แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้มีหน้ามีหน้าที่การงานที่เกี่ยวกับการเป็นครูในโลก อาตมาขอใช้คำว่าเป็นครูในโลกเป็นครูของโลก เพราะว่าไม่จำกัดอยู่เฉพาะครูจำนวนนี้หรือของใครที่ไหน เมื่อพูดถึงครูก็ขอให้ถือว่าเป็นผู้ยกสถานะทางวิญญาณของโลกหรือจะของมนุษยชาติก็แล้วแต่จะเรียก อาตมารู้สึกยินดีเสมอเมื่อได้พบกับผู้ที่มีหน้าที่ของครู เพราะอาตมาก็ทำตัวเอง จัดตัวเอง กำหนดตัวเองไว้ว่าเป็นครูสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ซึ่งมันก็เป็นครูในความหมายเดียวกันนั่นแน่ะ อย่าไปแยกว่าครูอย่างพระพุทธเจ้าหรือตามทางศาสนานั้นเป็นอย่างหนึ่ง หรือว่าครูในเรื่องโลกๆก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง การไปแยกอย่างนี้ทำให้สูญเสียอะไรมาก ให้เอาความหมายเดียวกันว่าความเป็นครู เป็นครูนั่นคืออะไร ทำไมโลกต้องมีครู ถ้าโลกไม่มีครูโลกนี้จะเป็นอย่างไร เมื่อมีครูๆทำหน้าที่อะไร นี่เรื่องที่เราจะต้องทำความเข้าใจกันให้ถึงที่สุดจนสามารถทำตนเองให้เป็นครูที่ถูกต้องตามความหมายตามอุดมคติของความเป็นครูโดยแท้จริง เดี๋ยวนี้เรามีปัญหาที่ว่าเรามิได้มีครูที่ถูกต้องตามความหมายหรืออุดมคติของครู มักจะมีแต่ครูรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆเท่านั้นเอง ถ้าอย่างนี้มันไม่ใช่ครูเพราะไปรับจ้างสอนหนังสือหากิน ถ้าเป็นครูต้องมีหน้าที่ยกสถานะทางวิญญาณของมนุษย์ การค้นคว้าทางศัพทศาสตร์ครั้งหลังสุดในอินเดียนั้นยุติกันว่าคำว่าครูเนี่ย รูปเกิดของคำๆนี้แปลว่าเปิดประตู คุรุนั้นแปลว่าเปิดประตู ถือว่าความหมายเป็นของหนักที่เคารพอะไรกันมาก็ได้ภาคเหนือ แต่ว่ารากศัพท์อันแท้จริงคำนี้มันแปลว่าเปิดประตู คือเปิดประตูให้สัตว์ออกมาเสียจากคอกที่กักขัง เป็นความมืดบอด ความเลวร้าย ความไม่มีประโยชน์ อะไรก็ตามที่มันกักขังสัตว์ไว้ ครูก็เปิดประตูให้สัตว์เหล่านั้นออกมาสู่แสงสว่างและเสรีภาพ ถ้าความหมายของคำว่าเปิดประตูๆ มันเป็นหลักแล้วมันก็จะมีความเป็นครูที่สมบูรณ์แบบ เป็นตามอุดมคติของคำๆนี้ ซึ่งก็มีลักษณะเป็นปูชนียบุคคลของโลก ไม่ใช่ครูรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ ถ้าอย่างนี้มันก็ไม่มากอะไรไปกว่ากรรมกรหรือลูกจ้างธรรมดา ดูให้ดีมันมีความหมายซ้อนกันอยู่สองชั้น การศึกษาสอนให้ฉลาดรู้จักทำมาหากินโดยทั่วไปในโลกทั้งโลก วิชาชีพสูงสุดอย่างไรมันก็รู้เรื่องการทำมาหากินชั้นสูงสุด แต่มันขาดการศึกษาส่วนที่ว่าปฏิบัติการศึกษานั้นอย่างไรผู้นั้นจึงจะไม่เป็นทุกข์ ทำมาหากินอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ เอางี้ดีกว่านะ สอนเรื่องวิชาชีพวิธีทำมาหากินอย่างนั้นๆๆ เหลือที่จะกล่าวน่ะ แต่ไม่ได้สอนว่าทำอย่างไรจิตใจจึงจะไม่เป็นทุกข์ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ส่วนนี้มันยังขาดอยู่ นั้นผู้ที่ประกอบการงานจึงไม่สนุก รู้สึกเบื่อรู้สึกเหนื่อยอันเป็นเหตุให้เฉออกไปนอกทางไปสู่ปัญหาทุจริตในหน้าที่ว่าอย่างนั้นดีกว่า มีมูลมาจากความเห็นแก่ตัวแบบหนึ่งเลย ครูจะต้องสอนสมบูรณ์ทั้งสองอย่างว่าทำมาหากินอย่างไร ในการทำมาหากินอย่างนั้นมีจิตใจอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ เป็นสุขในการทำหน้าที่นั่นเอง สอนแต่ความรู้เรื่องหน้าที่ๆมันไม่พอ จะต้องสอนให้รู้ทำหน้าที่นั้นทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา จึงจะสนุกสนานชวนให้ทำเรื่อยไปๆ เป็นความก้าวหน้าถึงที่สุด แต่มารู้สึกว่าส่วนนี้ยังขาดอยู่ นี่ถ้ามองไกลลงไปอีกเฉพาะเจาะจงขึ้นไปอีกว่าไอ้การศึกษาสมัยนี้ไม่สมบูรณ์ สอนแต่ให้มีความรู้มีความเฉลียวฉลาดๆๆ จนไม่รู้ว่าจะฉลาดกันอย่างไร แล้วก็ไม่มีอะไรสักนิดนึงที่จะไปควบคุมความฉลาดให้มันเดินถูกทาง ผู้ฉลาดสูงสุดก็นำความฉลาดไปใช้เพื่อกอบโกย เพื่อประโยชน์ของตัว ไม่ได้ทำหน้าที่โดยสุจริตโดยถูกต้อง เพราะว่าไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด นี่ปัญหาที่กำลังมีอยู่จริงในเวลานี้ การศึกษาในโลกกำลังเป็นอยู่ในรูปนี้คือสอนให้ฉลาดอย่างเดียวแล้วก็ไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด นี่ก็ภาระตกหนักอยู่ที่ผู้เป็นครู จะสอนให้เขาฉลาดให้เขาใช้ความฉลาดให้ถูกต้อง ถ้าเป็นสมัยโบราณการศึกษาของมนุษย์มันแฝกขึ้นอยู่กับการศาสนา คือว่าพระจะเอาหน้าที่ทางศาสนาเป็นผู้จัดการศึกษา มันก็มันธรรมดาที่มันต้องแฝกกันไปทั้งการศึกษาและการศาสนา ในความรู้ทางศาสนามันควบคุมความฉลาดของการศึกษา เขาจึงเป็นผู้ฉลาดที่ถูกต้องเป็นสัตบุรุษหรือจะเรียกว่าสุภาพบุรุษที่ไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เรามีกันแต่สุภาพบุรุษที่เห็นแก่ตัว เขามีแต่ความฉลาดๆๆ นี่คือปัญหาที่การศึกษามันให้โอกาสแก่กิเลสของมนุษย์ในการที่จะเห็นแก่ตัวได้ตามความปรารถนา ความเห็นแก่ตัวก็เจริญขึ้นๆ พอมาถึงยุคนี้ก็เรียกได้เลยว่าแยกกัน ศึกษาออกจากศาสนาหรือแยกศาสนาออกจากการศึกษา skillerization นั้นน่ะไปดูดีๆ ไปแยกออกจากกันเสียเพื่อว่าจะไม่เกะกะขวางทางกัน อ้างว่าการศาสนามาเกะกะขวางทางทำให้เกิดการเนิ่นช้าแก่การศึกษาแยกออกไป ใครสนใจไปหาเอาเอง อยู่ที่นี่จะพูดกันแต่การศึกษา นี่เรียกว่าการศึกษามันฟรีที่จะเห็นแก่ตัว เพราะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าศาสนาเข้ามาควบคุม อาตมาเคยอ่านพบที่ไหนว่ามหาวิทยาลัยสูงสุดอ๊อกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ นั้นทีแรกเป็นโรงเรียนราษฎร์ของวัด พระจัดทั้งนั้น โรงเรียนราษฎร์ของวัดแท้ๆมาพัฒนามาเป็นมหาวิทยาลัยชั้นเลิศของโลก ก่อนเขาก็นิยมความถูกต้อง ความเป็นสุภาพบุรุษเป็นจุดหมายปลายทางของการศึกษา ต่อมาแยกเป็นความเป็นนักปราชญ์เป็นจุดหมายปลายทางของการศึกษา เรื่องมันก็...กันนิด (11:58) คือมันเกิดสุภาพบุรุษผู้เห็นแก่ตัวที่เฉลียวฉลาดที่สุดเท่าไรก็เห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้น เพราะโอกาสใช้ความฉลาดมันมีมาก นี่เรียกว่าการศึกษามันเริ่มรวนเรไปในทางที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวทีละน้อยๆๆโดยไม่รู้สึก จนมาถึงยุคปัจจุบันนี้ก็เรียกว่าเป็นอิสระเต็มที่ๆจะมีความเห็นแก่ตัว เมืองไทยตามก้นเขา ประเทศเล็กๆ ประเทศใหญ่เขาจัดการศึกษากันอย่างไรก็ไปตามก้นเขา แม้เรียกว่าจะมี จะมีเรื่องทางศาสนาปนอยู่บ้างก็เป็นเรื่องเล็กน้อยเต็มที เป็นเรื่องเล็กน้อยเต็มทีไม่ถึงขนาด มีแต่ตัวหนังสือเสียมากกว่า ชี้ระบุลงไปว่ามันยังไม่สามารถกำจัดความเห็นแก่ตัวของลูกเด็กๆ ลูกเด็กๆฉลาดขึ้นมาโดยความเห็นแก่ตัว ฉลาดขึ้นมาโดยความเห็นแก่ตัว เด็กวัยรุ่นของเราก็เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ทั้งบิดามารดามันตาโตยิ่งขึ้นๆเพราะความเห็นแก่ตัว ความนิยมมันก็เป็นไปในทางที่ว่าเจริญ สะดวกสบาย แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้มันส่งเสริมความเห็นแก่ตัว สมัยอาตมาภาพเป็นเด็กนักเรียนต้องกวาดโรงเรียนทุกเวลาเช้า มาก่อนใครๆเขาเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องกวาดเพราะมีภารโรงมาช่วยทำ เด็กก็สูญเสียนิสัยที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมหรือละความเห็นแก่ตัว แม้เพียงเท่านี้ก็ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวขนานใหญ่ให้แก่เด็กๆ นี่มีอะไรอีกมากมายไม่ใช่เฉพาะเรื่องกวาดโรงเรียนที่ภารโรงเขาจะมาช่วยมาทำจนเด็กสบายไม่ต้องทำ นี่มันก็เป็นเรื่องส่งเสริมความเห็นแก่ตัว เราจึงประสบปัญหาหนัก ปัญหาหนักอย่างยิ่ง ยิ่งเจริญทางวัตถุมันยิ่งเพิ่มความเห็นแก่ตัว ยิ่งเจริญทางการศึกษาแบบสมัยปัจจุบันนี้มันก็ยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะยิ่งมีแต่ความฉลาดๆโดยส่วนเดียว โดยไม่ต้องมีอะไรมาควบคุมความฉลาดนั้น ก็ดูก็แล้วกันว่าเราโอ้ คุยกันโอ้อวดๆสักแต่ว่า การศึกษาเจริญ การศึกษาเจริญ แต่ทำไมมันเพิ่มๆอาชญากรรมเลวร้ายขึ้นมากมายโดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับครูนี่แหละ น่าสังเวชมันก็มีมากขึ้นๆ ทำไมมันจึงเพิ่มไปในลักษณะอย่างนี้ ทำไมประชาชนคนเมืองมันเป็นไปในทางสร้างปัญหา สร้างวิกฤตการณ์ แม้แต่เรื่องเลือกผู้แทนนิดเดียวก็ยังแก้ไขกันไม่ได้ ต้องเป็นความเห็นแก่ตัวทั้งสองฝ่าย เป็นทั้งฝ่ายผู้สมัครรับเลือกและฝ่ายที่รับจ้างเลือก มันก็เป็นเรื่องที่ฟ้องอยู่ชัดๆนะว่ายิ่งเจริญด้วยการศึกษาทำไมมันจึงยิ่งเพิ่มปัญหาหรือเพิ่มวิกฤตการณ์ นี่ขอให้นึกในแง่ของโบราณคดีหรือประวัติศาสตร์ ว่าทำไมบุคคลประเภทครู ประเภทครูนี่ต้องเกิดขึ้นมาในโลก ทีแรกมันไม่มีครูในโลก แต่ทำไมบุคคลประเภทครูมันได้เกิดขึ้นมาในโลก เพราะมันไปมีปัญหาทางจิตทางวิญญาณทางจิตใจนี่เกิดขึ้น ครูจึงเกิดขึ้นมีหน้าที่สั่งสอนแก้ไขปัญหาเหล่านี้จนเป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์ ขอโอกาสขยายความคำนี้ตามความรู้สึกของอาตมาสักนิดนึงว่า คำว่าสถาบันๆนั้นคืออะไร เพราะเดี๋ยวนี้มันไปกันใหญ่แล้ว ไอ้ลูกเด็กๆมันเข้าใจว่าสถาบันน่ะเป็นวัตถุ เป็นวัตถุที่ตั้งอยู่ สถาบันครูก็หมายถึงตัวบุคคลที่เป็นครู ตัวอาคารการศึกษา โรงร่ำโรงเรียนเป็นสถาบัน มันสถาบันที่วัตถุ มันไม่ได้สถาบันที่จิตใจคือความพอใจ ความเลื่อมใส ความเคารพบูชาที่ฝังแน่นลงไปในจิตใจของมหาชน สิ่งใดฝังแน่นลงไปในจิตใจของมหาชนสิ่งนั้นแหละคือสถาบัน สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สถาบันอะไรก็ตาม ไม่ได้เกี่ยวกับตัววัตถุ แต่มันเกี่ยวกับตัวคุณธรรม คุณภาพหรืออุดมคติก็ตามที่เลื่อมใส พอใจและฝังแน่นอยู่ในจิตใจของมหาชน ถ้าอย่างนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นสถาบัน นี่สถาบันครูมันเริ่มเสื่อมสลายไปจากความเป็นเรื่องทางจิตใจมาอยู่ทางเรื่องทางวัตถุกันเสียหมด ถ้าเป็นอย่างโบราณแท้ๆคำว่าครูนี่เป็นเครื่องหมายแห่งความเคารพสูงสุดศักดิ์สิทธิ์สูงสุดยิ่งกว่าคำอื่นๆ คำว่าอาจารย์ก็ดี อุปัชฌาย์ก็ดีเป็นคำเด็กเล่นทั้งนั้นแหละ คำว่าครูๆนี่มันสูงสุดๆเนื่องจากว่าเป็นผู้ยกสถานะทางวิญญาณ ดังที่กล่าวแล้วผู้นำผู้สอนที่ดีถูกเรียกว่าครู ไม่เรียกว่าอาจารย์ไม่เรียกว่าอุปัชฌาย์ คำว่าอาจารย์หรือคำว่าอุปัชฌาย์หมายถึงผู้สอนวิชาชีพๆธรรมดา เรื่องทำมาหากิน...ก็มี (11:47) แต่คำว่าครูมันไม่ได้สอนในลักษณะนี้สอนเรื่องทางจิตทางวิญญาณเป็นครูของพระราชามหากษัตริย์ เป็นผู้นำจิตใจวิญญาณของพระราชามหากษัตริย์ให้เดินถูกทางแล้วคนทั้งหลายก็พลอยเดินตามมันก็ถูก เดินถูกต้องกันทั้งประเทศ ครูจึงเป็นคำที่สูงสุดมีความหมายสูงสุด บูชาสูงสุด ไม่มีใครอยากให้เรียกว่าครูอยากให้เรียกว่าอาจารย์ เด็กๆเขาก็เข้าใจกันอย่างนี้ ขอให้ดึงเอาอุดมคติของคำว่าครูกลับมาให้ได้ ยกสถานะทางวิญญาณด้วยการเปิดประตูทางวิญญาณ เราจะสอนให้อะไรให้แก่เด็กๆก็มุ่งหมายให้วิญญาณของเขาสูงขึ้นอย่าต่ำลงไปคือเห็นแก่ตัว ถ้าว่าไอ้ความเห็นแก่ตัวไม่บีบ ไม่บีบคั้นมนุษย์ครั้งกระนู้น ไม่มีความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นบีบคั้นมนุษย์ครั้งกระนู้น บุคคลประเภทครูก็ไม่เกิดขึ้นในโลก บุคคลประเภทครูจะไม่เกิดขึ้นในโลก ถ้ามันไม่มีปัญหาเลวร้ายคือความเห็นแก่ตัวของมหาชนหรือของประชาชน ความผิดพลาดเสื่อมเสียทางจิตทางวิญญาณมันมีอยู่เป็นตัวปัญหาอยู่ ธรรมชาติมันจึงบังคับให้เกิดบุคคลประเภทครูขึ้นมาเพื่อจะแก้ปัญหานี้ มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันทำหน้าที่แล้ว เป็นที่พอใจแล้วมันก็เป็นสถาบันขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีใครไปแต่งตั้ง มันฝังลงไปในจิตใจ ในจิตใจของประชาชนของมหาชนบูชาครูเคารพครู ในทางจิตใจสูงขึ้นไป สูงขึ้นไปจนถึงชั้นระดับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นบรมครู จึงถือเอาความหมายที่ว่ายกสถานะทางจิตทางวิญญาณ เป็นผู้นำในทางจิตทางวิญญาณ นับตั้งต้นตั้งแต่ว่าเปิดประตูทางวิญญาณให้ออกมาเสียจากคอกแห่งความโง่หรืออวิชชา นี่อุดมคติของคำว่าครูๆโดยแท้จริง นี่เป็นการกุศลอันบริสุทธิ์คือไม่มีลักษณะแห่งความรับจ้างหรืออะไรทำนองนั้น เป็นกุศลอันสูงสุดอันบริสุทธิ์ ไอ้สิ่งที่เขาถวายครูมันไม่ใช่ค่าจ้างมันเป็นค่าบูชาครู บูชาพระคุณของครูไม่ใช่ค่าจ้าง ถ้าเป็นค่าจ้างเมื่อไรก็หมดความเป็นครูเมื่อนั้นแหละ มันก็กลายเป็นลูกจ้างไปทันที เพราะฉะนั้นระวังให้ดีไอ้สิ่งที่เรารับมามันเป็นเพียงค่าใช้สอยก็ยังดี ค่าใช้สอยที่สังคมให้มาเพื่อได้ปฏิบัติหน้าที่ แต่ถ้ามากกว่านั้นก็เป็นเครื่องบูชาคุณของบุคคลประเภทครู ดังนั้นเงินเดือนของครูนั้นก็เป็นเครื่องบูชาคุณของครูใช่ค่าจ้าง ด้วยเหตุนี้ครูจึงไม่ใช่ลูกจ้าง ครูจึงไม่ใช่ลูกจ้าง ไม่มีภาวะแห่งความเป็นลูกจ้างหรือนายจ้างแก่กันและกัน เมื่อปฏิบัติหน้าที่ถูกตรงตามอุดมคติก็เป็นปูชนียบุคคล ขอระบุลงไปว่าครูเป็นปูชนียบุคคคลไม่ใช่ลูกจ้างไม่ใช่ชนกรรมาชีพที่จะชวนกันสไตรค์เพื่อประโยชน์ทางวัตถุ เดี๋ยวนี้เขาจะคิดกันอย่างไรทั่วโลกก็สุดแท้ แต่ถ้าเกิดสมาพันธ์ครูอะไรขึ้นมาในลักษณะผูกพันกันในความหมายของความเป็นลูกจ้างแล้วก็จะต่อสู้จะอะไรอย่างนี้มันก็หมดความเป็นครูคือหมดความเป็นปูชนียบุคคล ปูชนียบุคคลตามตัวหนังสือก็แปลว่าผู้ที่เขาบูชามีหลายอาชีพไม่ใช่เฉพาะอาชีพครู อาชีพหมอถ้าทำถูกต้องอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องก็เป็นปูชียบุคคล อาชีพตุลาการถ้าทำอย่างถูกต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ฉ้อไม่โกงมันก็มีลักษณะเป็นปูชนียบุคคล มีอาชีพอื่นๆอีกหลายอย่างที่เป็นปูชียบุคคล เอาใจความสั้นๆว่าไอ้สิ่งที่เราให้ไปกะเขาน่ะมันมีค่ามากสูงสุดเหลือประมาณ ที่รับเป็นผลตอบแทนเอามาน่ะมันนิดเดียว มันนิดเดียว ถ้าจะพูดให้จำง่ายลืมยากก็ขอพูดแต่ประโยคว่า พระพุทธเจ้ามีเงินเดือนวันละบาตรเดียว บาตรที่ถือไปขออาหารวันละบาตร วันละบาตร เสียงซ่าฟังไม่ชัด(23:19-23:20) เงินเดือนวันละบาตรเดียว จอมบรมครูของโลกรับประโยชน์วันละบาตรเดียว แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าให้แก่โลกมันมากมายไปเทียบกันแล้วหมื่นเท่า ร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่าอะไรก็แล้วแต่ ถ้าสิ่งที่ให้ไปเป็นประโยชน์แก่เขามากมายมหาศาล ไอ้สิ่งที่รับเอามามาเพื่อดำรงชีวิตมันเล็กนิดเดียวก็กลายเป็นปูชนียบุคคล คือตามกฎธรรมชาติว่าถ้าไม่เลี้ยงดู ไม่เลี้ยงดูเอาไว้มันจะมีแรงไหนมาทำงาน ผู้ที่เสียสละเพื่อประโยชน์แก่โลกแก่มหาชนถ้าไม่มีใครเลี้ยงดูให้อาหารกินอยู่มันจะทำไปได้มันก็ตายซะก่อน ...(24:06) ใช้สอยก็ต้องมีค่าใช้สอย ฉะนั้นสิ่งที่จะรับมาต้องเป็นค่าใช้สอยไม่ใช่ค่าจ้าง เดี๋ยวถ้าดีจริงแท้จริง ...(24:18) ก็เป็นเครื่องบูชาคุณ จะบูชากันอย่างไรมันก็ไม่คุ้มค่าที่ปูชียบุคคลให้ลงมา...(24:29) ดังนั้นผู้นั้นจึงเป็นปูชนียบุคคลต่อไป...(24:34) ที่ครูเป็นปูชียบุคคลคือให้ดวงจิตวิญญาณที่สูงขึ้นมาเรียกว่าสะอาด สว่าง สงบ อิสรเสรีอะไรก็แล้วแต่ ทำให้เกิดจิตวิญญาณที่สูงขึ้นมา สูงขึ้นมา เรียกว่ามันแพงเหลือประมาณไปเทียบกับเงินเดือนๆละไม่กี่พัน ไม่กี่หมื่นนี่มันไม่ไหว ไอ้บุญคุณที่ฝ่ายที่ครูจะให้มันยังมากไปกว่าเดิม งั้นเราลองคิดถึงข้อนี้ดีๆ ความเป็นปูชนียบุคคลนั่นมันมีความหมายอย่างไร พ่อแม่เป็นปูชนียบุคคลก็เพราะพ่อแม่ให้แก่ลูกมากในชีวิตให้ทุกสิ่งทุกอย่างหรือว่าใครก็ตามที่มันเป็นผู้ให้มหาศาลเกินฝ่ายที่รับเอาไปมันก็เป็นปูชนียบุคคล อาตมา...(25:49-26:18) แต่ว่าทำด้วยความเสียสละๆ บูชาหน้าที่บูชาการงาน ยอมเสียสละความสุขส่วนตนแล้วก็มีลักษณะเป็นปูชนียบุคคลทั้งนั้น...(26:30) ก็มาดูให้มันใกล้ๆที่สุดว่าอาชีพไหนจะเป็นปูชนียบุคคลมากกว่ากัน อาตมาขอยืนยันตามเดิมว่าครูๆ เราเรียกว่าอาชีพๆด้วยกันแต่ความหมายไม่เหมือนกัน อันหนึ่งเป็นอาชีพลูกจ้างอันหนึ่งเป็นอาชีพปูชนียบุคคล คนทุกชนิดต้องมีอาชีพแม้แต่พระเจ้าพระสงฆ์ พระพุทธเจ้าก็มีอาชีพ ท่านมีอาชีพปูชนียบุคคลทำประโยชน์สูงสุดแล้วเขาก็ช่วยกันบำรุงเลี้ยงดูรักษาไว้ อาชีพปูชนียบุคคลไม่ใช่อาชีพลูกจ้าง ไม่ใช่อาชีพกรรมกร แล้วทีนี้ก็มาดูกันว่าทำไมมันจึงเป็นอาชีพปูชนียบุคคลที่สูงสุดก็เพราะว่ามันเกิดขึ้นมาในโลกเพื่อจะกำจัดปัญหาเลวร้ายที่เกิดของมนุษย์ในโลกคือความเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นมูลเหตุแห่งกิเลสทั้งหลายทั้งปวง กิเลสทั้งหลายจะนับโดยรายละเอียดมีหลายสิบหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นอย่างกิเลสทั้งหลาย แต่ว่ากิเลสทั้งหลายมันมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้วกิเลสใดๆเกิดไม่ได้ เกิดไม่ได้ ปัญหามันก็เกิดไม่ได้วิกฤตการณ์ใดๆก็เกิดไม่ได้ เกิดไม่ได้ ถ้าหากว่าคนในโลกมันไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้คนในโลกมันได้เริ่มเห็นแก่ตัว เริ่มเห็นแก่ตัวและมีมากขึ้นๆ ตามความเจริญ ข้อความในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้อย่าง...(28:26) ทีแรกมนุษย์ก็ไปเก็บของในป่ากินเท่าที่มีมันเกิดมีอยู่ในป่า แต่คนมันยังน้อยเก็บมาวันหนึ่งฉันก็กินวันหนึ่ง เก็บมาวันหนึ่งฉันก็กินวันหนึ่ง ทีนี้มันก็เกิดคนเห็นแก่ตัวไปเก็บมาวันเดียวกินหลายๆ วัน...(28:54) คนอื่นเอาอย่าง คนอื่นเอาอย่างก็เลยเกิดความไม่พอขึ้นมากินยากไปหมด เนี่ยความเห็นแก่ตัว...(29:02-29:06) ของวิกฤตการณ์ในโลก...(29:09-33:14) ปัญหามันแยกออกเป็นสองซีกคือซีกวัตถุธรรมดากับซีกทางจิตทางวิญญาณ ปัญหาธรรมดาก็ให้คนธรรมดาพระราชามหากษัตริย์ผู้มีหน้าที่ปกครอง แต่ทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ...(33:34-33:41) สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปจนกระทั่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อจะกำจัดสิ่งเลวร้ายอันนี้ ถ้าสมมติว่าโลกไม่มีสิ่งเลวร้ายอันนี้คือความผิดพลาดในทางจิตใจหรือความเห็นแก่ตัว บุคคลที่เป็นครูไม่ได้ต้องเกิดไม่เกิดไม่อาจจะเกิดและไม่เกิด ไม่ต้องเกิดขึ้นมาในโลกแต่นี่ในโลกมันมีความเลวร้ายทางจิตใจคือความเห็นแก่ตัว ธรรมชาติน่ะมันบังคับให้ต้องเกิดขึ้นด้วยความต้องการของคนเหล่านั้น...(34:17-34:27) มีการเบียดเบียนมีการฉ้อการขโมย...(34:32-34:54) แต่นั่นไม่หมดปัญหา ไม่หมดปัญหาทางจิตใจยังมี ในฟากหนึ่งที่เป็นอยู่ที่ในป่าในดงเป็นฤาษีเป็นมุนีอยู่ในป่าในดงก็ต้องคิดแก้ปัญหาในส่วนจิตใจ...(35:11) งั้นการปกครองและเรื่องการศาสนามันเลยกลายเป็นสองเรื่อง ปัญหาสองเรื่องเคียงคู่กันมาพวกครูก็รับภาระในส่วนที่เป็นเรื่องจิตเรื่องทางวิญญาณ...(35:27) เป็นที่เคารพบูชาของประชาชนทั้งปวงแม้แต่วรรณะกษัตริย์ก็เคารพวรรณะครูหรือวรรณะพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้รู้ผู้สั่งสอนครูต้องไม่มีความเห็นแก่ตัว ในหัวใจของครูมีแต่เมตตากับปัญญา ถ้าสมมติว่าดูกันทางวัตถุพูดกันในแง่ทางวัตถุในหัวใจของผู้เป็นครูมีแต่เมตตากับปัญญาหาไม่พบความเห็นแก่ตัว เมตตากับปัญญาทำหน้าที่ๆ เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้มีความสะอาดความถูกต้องขึ้นในหมู่มนุษย์เป็นลำดับๆ มา เพราะบุคคลประเภทที่เรียกว่าครูเป็นผู้นำทางวิญญาณที่เปิดประตูทางวิญญาณ...(36:30) ทีนี้ก็มาดูกันเป็นพิเศษว่าเรื่องเห็นแก่ตัวนี่มันร้ายกาจอะไรหนักหนาถึงต้องเกิดระบบที่กำจัดความเห็นแก่ตัวขึ้นโดยทางจริยธรรม วัฒนธรรมหรือทางศาสนาจนกระทั่งว่าเป็นศาสนาสูงสุดกำจัดความเห็นแก่ตัวในชั้นสูงสุดได้เป็นพระอรหันต์เป็นอะไรกันไปในชั้นสุดท้ายนั่นผู้หมดความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ที่อยู่กันในโลกไม่ต้องถึงขนาดนั้น ไม่ต้องถึงขนาดเป็นพระอรหันต์เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัวในความหมายปกติก็อยู่กันเป็นสุขได้ พอมีผู้เห็นแก่ตัวแล้วมันก็มีปัญหา ดูง่ายๆ มันก็เห็นว่าผู้เห็นแก่ตัว ผู้ใดเห็นแก่ตัว บุคคลใดเห็นแก่ตัวมันเป็นอย่างไร ข้อแรกมันขี้เกียจไม่อยากทำงานไม่อยากแม้แต่จะช่วยตัว มันจะขี้เกียจเอาความสุขให้แก่ตัวจนกลายเป็นผู้ขี้เกียจ มันก็เป็นปัญหา...(37:48) แต่จะเอาประโยชน์ขี้เกียจแต่จะเอาประโยชน์ เห็นแก่ตัว ขี้เกียจ แล้วก็อิจฉาริษยาแล้วก็เอาเปรียบคอยเอาเปรียบผู้อื่นทุกวิถีทาง ผู้เห็นแก่ตัวมันก็สุรุ่ยสุร่าย เปลือง ใช้อะไรเปลือง ผู้เห็นแก่ตัวสร้างปัญหาแก่ตัวขึ้นมาตามลำดับจนกระทั่งเป็นอันธพาล เขาไม่อยากจะเหน็ดเหนื่อยทำงานมันออกเหงื่อมันลำบากยุ่งยากก็รวยลัด เขาใช้คำว่ารวยลัด ปล้น จี้ ขโมย รวยลัดไม่ต้องออกเหงื่อมันก็เกิดอันธพาล อาชญากรเลวร้ายอย่างนี้ขึ้นมาในโลกเป็นไปในโลกมากขึ้นๆ การเบียดเบียนผู้อื่นมันจึงเกิดขึ้นมันเบียดเบียนตัวเองเพื่อพอแรงแล้วมันก็เบียดเบียนผู้อื่นเกิดขึ้นเป็นอาชญากร ความเห็นแก่ตัวมันยังไม่หยุดมันก็หลงทาง มันก็หลงทางจนกระทั่งว่ามันฆ่าพ่อฆ่าแม่ฆ่าลูกฆ่าเมียฆ่าตัวเองตายตามเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างที่ว่าความเห็นแก่ตัวมันต้องการ เนี่ยได้ข่าวมหาเศรษฐีของโลกก็ฆ่าตัวตายก็มีอยู่บ่อยๆ เพราะความเห็นแก่ตัวมันหลงทาง ไม่ฆ่าตัวตายมันก็ต้องเป็นบ้ามันต้องไปอยู่โรงพยาบาลบ้า คนบ้าที่อยู่ในโรงพยาบาลก็ดีอยู่นอกโรงพยาบาลก็ดีมูลเหตุทั้งหลายมันมาจากความเห็นแก่ตัว มันหลงทางทำอะไรไม่ถูกก็เป็นบ้า...(39:45) ไม่ตายก็บ้า ไม่บ้าก็ตาย...(39:48-39:59) เนี่ยปัญหาเลวร้ายที่ว่าเรากำลังยุ่ง...(40:04) ปัญหามลภาวะซึ่งแรงขึ้น แรงขึ้นในโลกมามันมาจากผู้เห็นแก่ตัวทั้งนั้น ปัญหามลภาวะจะยุคไหนประเทศไหนก็มาจากผู้เห็นแก่ตัว ปัญหาทำลายธรรมชาติทำลายสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติให้สูญเสียไปเช่นว่าป่าถูกทำลายมากไปโลกจะต้องวินาศเพราะสูญเสียไอ้ป่าที่เป็นเครื่องคุ้มกัน ทำลายธรรมชาติ ทำลายของสวยงามตามธรรมชาติ ทำลายสาธารณะประโยชน์...(40:40-40:44) มันตามใจตัว ตามใจตัว ตามใจความเห็นแก่ตัว...(40:48) ของสิ่งเลวร้าย อบายมุขเป็นต้น เป็นทาสของสุราการพนัน อบายมุขทั้งหลาย...(40:59) ของผู้เห็นแก่ตัว เป็นทาสของยาเสพติด ยาเสพติด เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ทราบแล้วนะว่าปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับโลก ระดับโลกจะช่วยกันทั้งโลกก็ยังแก้ไม่ได้เป็นปัญหาระดับโลกยังแก้ไม่ได้ เพราะความเห็นแก่ตัวมันดึงไปไม่ทันรู้ไปเป็นทาสของยาเสพติด ความที่ว่าปล่อยตามสบายก็คือความเห็นแก่ตัว หากปล่อยตามสบายไอ้คนเห็นแก่ตัวก็ได้เป็นทาสของโรคภัยไข้เจ็บชนิดที่เลวร้ายที่หมามันก็ไม่เป็น โรคเอดส์โรคแอดโรคอะไรก็ไม่รู้สารพัดอย่างที่หมามันก็ไม่เป็นแต่คนมันเป็น สมน้ำหน้าคนเห็นแก่ตัว มันๆๆก็จบลงที่ตรงนี้ คิดดูแล้วมันก็น่าๆๆ เศร้านะแม้แต่สุนัขมันก็ยังไม่เป็นโรคอย่างนี้ สัตว์เดรัจฉานทำโฮโมเซ็กชวลไม่เป็นแต่คนมันทำเป็นคิดดูสิ เพราะอะไรเพราะความเห็นแก่ตัวมันหลงทาง เนี่ยดูความเห็นแก่ตัวมันเป็นสิ่งทำลายเลวร้ายมหาศาลเป็นยักษ์เป็นมารเป็นซาตานชั้นสูงสุดในโลกนี่คือความเห็นแก่ตัว ความถูกต้องจะสูญหายไปหมดค่อยๆ สูญหายไปหมดเพราะความเห็นแก่ตัวมันเข้ามา คอรัปชั่นทั้งหลายมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นไม่ว่าคอรัปชั่นในรูปแบบไหน พอครูเราเห็นแก่ตัวมันก็หมดความเป็นครู ครูเห็นแก่ตัวก็ทำนาบนหัวลูกศิษย์ หมอเห็นแก่ตัวมันก็ทำนาบนหัวคนเจ็บ ตุลาการเห็นแก่ตัวก็ทำนาบนหลังจำเลย พระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัวทำนาบนหลังทายกทายิกา มันเป็นคอรัปชั่นไปหมดไม่มีเหลือถ้าหากว่ามันเห็นแก่ตัว มองในมุมกลับถ้าไม่เห็นแก่ตัวจะเป็นอย่างไรมันไม่มีปัญหาเหล่านี้ ไม่ต้องไปเป็นโรคชนิดที่สุนัขมันก็ไม่เป็น ทุกอย่างมันไม่มีปัญหาขึ้นมาจากความเห็นแก่ตัว...(43:31) ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะเป็นปูชนียบุคคลยอดสุดก็เพราะว่าช่วยกันทำลายความเห็นแก่ตัวในโลกสร้างโลกกันเสียใหม่ตั้งต้นแต่ว่าสร้างเด็กเล็กๆ ที่มันไม่เห็นแก่ตัวมันก็ขึ้นศักราชใหม่ เด็กๆ เล็กๆ ไม่เห็นแก่ตัวคนโตๆ ก็ไม่เห็นแก่ตัวจนกระทั่งไม่เห็นแก่ตัวกันทั้งหมดมันก็รอดตัวก็หมดปัญหา ปัญหามันมีมาจากสิ่งๆ เดียวคือความเห็นแก่ตัวเกิดกิเลสทุกชนิดเกิดความเลวร้ายทุกชนิดอย่างที่ว่ามา เนี่ยถ้าครูบาอาจารย์ทั้งหลายช่วยกันกำจัดสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ออกไปหมดจากโลกก็เป็นยอดของปูชนียบุคคลไม่ต้องสงสัย ขอฝากไว้ให้นำไปคิดแต่ว่าไอ้เรื่องความไม่เห็นแก่ตัวนี้มันวิเศษสักเท่าไร ความเห็นแก่ตัวมันเป็นปัญหาสักเท่าไร อาชญากรรมทั้งหลายมาจากความเห็นแก่ตัว ปัญหาที่ไม่ควรจะมีเช่นปัญหาโรคหรือปัญหายาเสพติดขึ้นมาเหล่านี้ก็มาจากความเห็นแก่ตัว คนกรุงเทพเห็นแก่ตัวยุงก็เป็นเจ้านครครองเมืองกรุงเทพคุณไปดูสิ ลองคนกรุงเทพเลิกความเห็นแก่ตัวยุงก็เลิกเป็นเจ้านครครองเมืองกรุงเทพ แต่นี่ยุงยังครองนครกรุงเทพอยู่เพราะคนกรุงเทพยังมีความเห็นแก่ตัว ช่วยกันคนไม้ละมือก็ไม่ได้ที่จะกำจัดยุง แม้แต่ปัญหาอย่างนี้มันก็มีมาจากไอ้ความเห็นแก่ตัว...(45:26) มีวิธีการอะไรที่จะไม่มีการซื้อเสียงเลือกผู้แทนไม่มีหวังถ้ามนุษย์ยังเห็นแก่ตัวอยู่ทั้งผู้ซื้อและผู้จ้างเป็นผู้รับเลือกมันก็ต้องมีอย่างนี้ มันต้อง...(45:39) อีต้นตอคือความไม่เห็นแก่ตัว จัดการศึกษาขึ้นใหม่ให้ถูกต้องให้มันเป็นความไม่เห็นแก่ตัวทำลายความเห็นแก่ตัวอยู่ตลอดเวลา นี่ขอให้มองดูอย่างลึกซึ้งในมุมกลับว่าถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวโลกนี้จะเป็นอย่างไร ถ้ามันไม่มีความเห็นแก่ตัวในโลกนี้ไม่ต้องมีกฎหมายคือการปกครองเอากฎหมายเอาระบบการปกครองไปทิ้งทะเลเสียก็ได้ไม่ต้องมีถ้ามนุษย์ทุกคนมันไม่เห็นแก่ตัว ระบบศีลธรรม จริยธรรม ระบบศาสนาทั้งหลายก็ไปทิ้งทะเลเสียก็ได้ถ้ามนุษย์ทุกคนมันไม่เห็นแก่ตัวมันไม่มีปัญหา เราไม่ต้องมีกฎหมายเราไม่ต้องมีศาสนาถ้าหากว่าคนมันไม่เห็นแก่ตัว เข้าใจว่าคุณครูเหล่านี้คงจะเคยอ่านเรื่องตลกๆ เล่าจื๊อศาสดาจารย์ในเมืองจีน...สมัยกับพระพุทธเจ้าถูกถามว่าท่านอาจารย์ในการปกครองชนิดไหนที่เป็นการปกครองที่ประเสริฐที่สุด เล่าจื๊อตอบว่าการปกครองที่ไม่ต้องมีการปกครองฟังดูมันเหมือนกับบ้าเลยนะ การปกครองที่ไม่ต้องมีการปกครอง ไอ้ลูกศิษย์คนนั้น...(47:13-47:17) แต่เอามาคิดดูมันจริงมันมีความจริง ถ้าเมื่อใดประชาชนมันไม่เห็นแก่ตัวมันไม่ต้องมีการปกครอง การปกครองที่ไม่ต้องปกครองคือการเป็นอยู่ของบุคคลผู้ไม่มีความเห็นแก่ตัว เอากฎหมายไปทิ้งทะเลเสียก็ได้เอาศาสนาไปทิ้งทะเลเสียก็ได้ นี่ความไม่เห็นแก่ตัวมีประโยชน์สูงสุดถึงขนาดนี้ ถึงขนาดนี้ ก็ไม่มีที่จะหันหน้าไปทางไหนได้นอกจากทางครู คุณครู ครูบาอาจารย์ในโลกเนี่ยจะกำจัดความเห็นแก่ตัว อาตมาท้าทายให้ไปดูพระคัมภีร์ของศาสนาสำคัญทุกๆ ศาสนาที่มีอยู่ในโลก พระคัมภีร์เหล่านั้นจะเน้นที่ความไม่เห็นแก่ตัว คัมภีร์ยิวโบราณก่อนคริสต์ก็ดีเมื่อเป็นคริสต์ก็ดีเป็นอิสลามก็ดีเป็นฮินดูก็ดี...(48:27-48:31) เน้นที่ความไม่เห็นแก่ตัว คัมภีร์ยิวก่อนคริสต์มันเน้นขึ้นมาไม่หลงดีหลงชั่ว ไม่หลงบวกไม่หลงลบมันก็ไม่เห็นแก่ตัว แต่แล้วก็ไม่มีใครปฏิบัติตามพระคัมภีร์เหล่านั้น พระคัมภีร์ก็คงเป็นหมันไม่มีใครปฏิบัติตามคือมันยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว แล้วมันก็เลวร้ายที่สุดคือเจ้าหน้าที่ทางศาสนามันเห็นแก่ตัวซะเอง ศาสนามันเห็นแก่ตัวซะเองศาสนาบางศาสนามุ่งจะทำลายศาสนาอื่น มันเป็นผู้เห็นแก่ตัวซะเองแล้วศาสนาจะเป็นที่พึ่งแก่มนุษย์ได้ยังไง นี่มันหมด มันหมด หมดหวังที่ว่าไม่ถือศาสนาไม่เคารพศาสนาซึ่งล้วนแต่สอนให้ไม่เห็นแก่ตัว ศาสนาพุทธเราต้องขอพูดว่าได้เปรียบที่สุดหรือว่าเหมาะสมที่สุดคือสอนเรื่องไม่มีตัวถ้าใครเข้าใจถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาจะมองเห็นความไม่มีตัว เมื่อไม่มีตัวแล้วมันจะเห็นแก่ตัวได้อย่างไรมันมีอย่างนี้ มันเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาเรื่องอนัตตาเรื่องสุญญตากันให้ดีๆ มันจะพบความไม่มีตัว ไม่มีตัว ไอ้ตัวนี่เป็นความคิดโง่ๆ เขลาๆ เพราะอำนาจของความไม่รู้ของอวิชชา โง่มาแต่กำเนิดเลย มันมีตัวขึ้นมาเพราะความโง่ ถ้ายังมีความโง่มันก็จะไม่มีความรู้สึกว่าตัว มันก็มีการกระทำทางอายตนะคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่ก่อน แล้วความรู้สึกโง่ๆ ตามมาว่ากูๆ ฉะนั้นตาเห็นรูปมันก็ว่ากูเห็นรูปมันโง่กี่มากน้อย ระบบประสาทตาแท้ๆ เป็นผู้เห็นรูปแต่คนโง่มันก็ว่ากูเห็นรูป ระบบประสาทหูได้ยินเสียงก็ว่ากูได้ยินเสียง กูได้กลิ่น กูได้รส กูได้สัมผัสผิวหนัง เป็นกูๆๆๆ เข้ามาเนี่ยมันเป็นความเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาโดยความโง่ไม่ได้มีอยู่จริง แม้กระทั่งว่ารู้สึกเป็นวิญญาณนั่นนี่ขึ้นมาก็กูอีกเอาวิญญาณเป็นกูเป็นผัสสะเป็นเวทนาเป็นสุขทุกข์ก็เอาเป็นตัวกู เพราะความไม่รู้จริงนี่เอาเป็นตัวกูหมด เอาขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวกูหมด ถ้ามองเห็นความที่เป็นจริงสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตัว เป็นการปรุงแต่งกันไปตามธรรมชาติตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่เรียกว่ากฎอิทัปปัจยตา มันเป็นอย่างนี้เอง ถ้าเห็นชัดแจ้งในข้อนี้แล้วจะเห็นว่ามันไม่มีตัวโดยแท้จริง เมื่อไม่มีตัวแล้วมันก็ไม่มีทางที่จะเห็นแก่ตัว เข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาเรื่องไม่มีตัวมันก็หมดมันก็ไม่เกิดความเห็นแก่ตัว ถ้าศาสนาอื่นเขาสอนว่ามีตัว มีตัว เอ้าทีนี้มันก็ลำบากสิ มันต้องสอนไอ้ที่บังคับไอ้ที่อย่าไปเห็นแก่ตัว...(51:57) ศาสนาไหนที่สอนว่ามีตัวเรามีความลำบากในการที่จะสอนให้ละความเห็นแก่ตัว แต่เขาก็มีอุบายมีวิธีที่จะทำได้เหมือนกันเอาตัวไปถวายพระเจ้าสิ ให้ตัวเป็นของพระเจ้าอย่าเอาตัวมาเป็นของกู อย่างนี้มันก็ลดความเห็นแก่ตัวได้เหมือนกัน เป็นอุบายต่างๆ กันตามแบบศาสนานั้นๆ เพื่อจะลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัวแล้วโลกนี้ก็เป็นโลกที่มีความสงบสุข มีสันติภาพคือมันไม่มีมึงมันไม่มีกู มันจะเป็นตัวเดียวกันเสียเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย เป็นอันเดียวกันเสีย ถ้าไม่มีมึงไม่มีกูมันก็ไม่มีทางที่จะเบียดเบียน เนี่ยเราเป็นตัวเดียวกันเสียเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายอย่างเดียวกันเสียอย่าแยกเป็นมึงเป็นกูนี่ก็ได้เหมือนกันที่ว่าจะไม่เห็นแก่ตัว คนโบราณเขาเอากันง่ายๆ ให้มันง่ายสำหรับคนทั่วๆ ไปก็ว่าอย่าไปถือว่าชีวิตนี้เป็นตัวกูเป็นของยืมมาจากธรรมชาติ ธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมธาตุอากาศธาตุวิญญาณตามธรรมชาติๆ ให้ยืมมาเป็นชีวิตเป็นอัตภาพชั่วคราว รีบพัฒนาๆๆ ให้พ้นตามความพอใจแล้วก็ส่งคืนเจ้าของในเวลาอันสมควรเช่นว่าร้อยปีเป็นต้น อย่ายักยอกเอาของยืมนั้นมาเป็นของกูมันก็ไม่เห็นแก่ตัวได้เหมือนกัน มันไม่ยากสำหรับคนทั่วๆ ไปแต่มันดูจะเป็นปัญญาอ่อนไปซักหน่อย ถ้าว่าจะให้มันดีกว่านั้นก็ศึกษาโดยตรงเห็นความไม่มีตัว ถ้าตามธรรมชาติปรุงแต่งตามธรรมชาติเป็นไปตามธรรมชาติกฎเกณฑ์ตามธรรมชาติไม่ใช่ตัวมันก็ไม่เห็นแก่ตัว มันก็ไม่มีการเบียดเบียนเพราะมันไม่มีมึงเพราะมันไม่มีกู เพราะมันไม่มีตัวนี้ตัวนั้นซึ่งจะต้องเป็นข้าศึกกัน มีพระบาลีว่า อตฺตตฺถปัญฺญา อสุจี มนุสฺสา ผู้มีแต่ปัญญาในประโยชน์ของตนเป็นมนุษย์อสุจิ อสุจิคำนี้หมายถึงสกปรกที่สุด ผู้มีแต่ปัญญามองเห็นแต่ประโยชน์ของตน อสุจี มนุสฺสา เป็นมนุษย์อสุจิ ก็ต้องการว่าคนสะอาดมีความถูกต้อง มีความถูกต้อง มีความถูกต้อง เห็นแก่ความถูกต้องเห็นแก่ผู้อื่น เพราะว่าถ้าไปเห็นแก่ตัวซะแล้วมันไม่เห็นแก่ผู้อื่นมันไม่เห็นแก่ความถูกต้อง เพราะว่าเห็นแก่ตัวๆ นี่กิเลสเป็นผู้เห็นไม่ใช่สติปัญญาเป็นผู้เห็น ถ้าสติปัญญาเป็นผู้เห็นมันจะไม่เกิดความเห็นแก่ตัวมันเป็นอย่างอื่น นั้นอย่าไปพูดอะไรเอาข้างเข้าถูว่าถ้าไม่เห็นแก่ตัวคนเราก็ไม่ทำอะไรสิ ถ้าไม่เห็นแก่ตัวคนเราก็ไม่ทำอะไรเขาว่าอย่างนั้น เราบอกไม่ต้องทำด้วยความเห็นแก่ตัวทำด้วยความไม่เห็นแก่ตัว คนนี้ทำด้วยกิเลสตัณหาเห็นแก่ตัวคนนี้ทำด้วยสติปัญญาโดยไม่ต้องเห็นแก่ตัว คนไหนจะทำได้ดีกว่าคนไหนจะสร้างสันติภาพในโลก เห็นแก่ตัวๆ มีความหมายในทางผิดอย่างเดียวคือเป็นเรื่องของกิเลสอย่างเดียว ภาษาฝรั่งมันใช้ได้ง่ายๆ จำกัดความได้ง่ายๆ ว่ามัน ใช้คำว่า selfish พวกฝรั่งไม่ให้ความหมายในแง่ดีเลยแก่คำว่า selfish เป็นแง่เลวร้ายด่าทอ ถ้ามันไม่ selfish มันจึงจะมาในทางที่ถูกต้องเป็น non-selfish ไม่ selfish มันถึงจะดีถูกต้องขึ้นมา ถ้ามันเป็น selflessness ไม่มีตัวตนเสียเลยมันก็ยิ่งประเสริฐสุดฝ่ายนั้นจัดเป็นฝ่ายถูกต้องว่ามันไม่เห็นแก่ตัวกระทั่งว่ามันไม่มีตัว ส่วนที่ว่าการรู้จักตัว รู้จักตัว ไอ้ self knowledge เคารพตัว self-respect self -confident เชื่อมั่นในตัว อย่างนี้ไม่ใช่ selfish มันเป็นฝ่ายถูกต้องมันอยู่ฝ่ายโน้นไม่ได้เรียกว่า selfish คนเราก็มี self knowledge self-respect self-confident self-development อะไรไปได้ตามเรื่องไม่เกี่ยวกับความหมายกับคำว่าเห็นแก่ตัว จึงมามองเห็นอยู่ทางเดียวว่ากำจัดความเห็นแก่ตัวออกไปเสียมนุษย์ก็จะมีความถูกต้องเห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ความถูกต้อง แล้วก็จะเห็นแก่ผู้อื่นถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันจะเห็นแก่ผู้อื่นโดยอัตโนมัติ การกระทำอย่างนี้ถูกต้องๆ พอไม่กระทำอย่างนี้ก็เป็นความผิดที่เรียกว่าคอร์รัปชั่นๆ จุดสกปรกมันก็เกิดขึ้นออกมาเป็นกิริยาอาการหลายร้อยอย่าง หลายสิบอย่างไม่พึงปรารถนา ก็เป็นอันว่าขอลาในขั้นสุดท้ายว่าเราครูบาอาจารย์ทั้งหลายจงเป็นครูที่ถูกต้องของธรรมชาติแม้ว่าโดยภายนอกจะสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ แต่โดยภายในในจิตใจแล้วขอให้สังกัดพระพุทธเจ้า ภายนอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการภายในสังกัดพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูแล้วปัญหาจะหมดเพราะท่านสอนแต่เรื่องไม่เห็นแก่ตัว สอนเรื่องไม่มีตัวไม่เห็นแก่ตัวบังคับตัว นั่นแหละเรียกว่าเปิดประตูให้สัตว์โง่ออกมาเสียจากคอกแห่งความโง่ คอกของอวิชชาเต็มไปด้วยความทุกข์ความสกปรกความไม่มีเสรีภาพในคอก เปิดประตูให้สัตว์ทั้งหลายออกมาเสียจากคอกนั่นแหละคือความเป็นครู ขอให้ขึ้นศักราชใหม่ของความเป็นครูทำหน้าที่เปิดประตูทางวิญญาณ แต่มันก็คงจะมีปัญหาที่ว่ากระทรวงทำไม่ได้ถ้ารัฐบาลส่วนใหญ่เขาไม่เอาเราก็เลยทำอะไรไม่ได้ แต่เราก็สมัครทำเป็นการกุศลสิใครจะว่าอะไรล่ะ ทำหน้าที่ครูในความหมายนี้เปิดประตูทางวิญญาณเรื่อยไปจะสอนอะไรสักนิดก็ให้มันเกิดความฉลาดไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว จะสอนเลขสอนวาดเขียนมันให้รู้จักความไม่เห็นแก่ตัวให้รู้จักโทษของความเห็นแก่ตัวมันก็จะดีขึ้น ดีขึ้น แล้วมันคงไม่ขัดอะไรกันไม่กระทบอะไรกันกับความต้องการหรือหลักการของกระทรวงหรือของรัฐบาล ถ้าเมื่อใดกระทรวงหรือรัฐบาลเขาต้องการอย่างนี้ขึ้นมาล่ะก็สบายเลย ปฏิบัติหน้าที่ของความเป็นครูง่ายดายสูงสุดถึงความเป็นบรมครูได้เหมือนกัน อาตมาขอแสดงความยินดีว่ามีความพอใจในตัวเอง เคารพตัวเอง บูชาตัวเอง เลิกละความเห็นแก่ตัวให้เป็นตัวอย่างแก่เด็กๆ ทั้งหลาย นี่ก็ช่วยสอนเด็กๆ ให้เกลียดกลัวความเห็นแก่ตัวตามโอกาสตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปเลย ครูสอนเด็กๆ ให้เกลียดกลัวความเห็นแก่ตัวตั้งแต่ชั้นอนุบาลขี้นไปเลยถึงประถม มัธยม อุดมอะไรก็ตาม เกลียดความเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นๆๆ นั่นแหละไอ้ความเห็นแก่ตัวมันจะค่อยละลายกระจายสูญหายไปจากโลกเพราะการศึกษาที่ถูกต้องมันเกิดขึ้นมาแล้ว ครูบาอาจารย์เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณชี้ให้เห็นโทษหรือความเลวร้ายของความเห็นแก่ตัวให้ลูกเด็กๆ เขามองเห็น นี่เราไม่มีในหลักสูตรนี่ เด็กอนุบาลไปเรียนภาษาต่างประเทศพ่อแม่มีคุณอย่างไรก็ยังไม่รู้ เด็กอนุบาลไปเรียนภาษาต่างประเทศก็ยังไม่รู้พ่อแม่มีคุณอย่างไร แต่นี่จะมาสอนให้เด็กๆ ชั้นอนุบาลเห็นโทษของความเห็นแก่ตัว เราทะเลาะวิวาทกันเรารบไม่มีความสุขกันไม่ใช่โรงเรียนเดียวกันเพราะเห็นแก่ตัวอย่างนั้นๆ เอามาทำเป็นนิทานสอนคติอย่างที่เขาสอนกันอยู่ในทางวิทยุประจำโรงเรียน ให้เด็กเล็กๆ ให้เกลียดความเห็นแก่ตัว เกลียดความเห็นแก่ตัว นี่จะขึ้นศักราชกันใหม่เมื่ออาตมายังไม่ได้บวชยังหนุ่มๆ นู่นพวกฝรั่งเขามาอบรมเขาจ้างฝรั่งมาเป็นที่ปรึกษาบ้างอะไรบ้างเป็นจเรตำรวจมาอบรมแถวนี้เขาดูถูกเขาพูดในแง่ว่าประชาชนคนไทยยังล้าหลังคือความเห็นแก่ตัว แต่เดี๋ยวนี้ฝรั่งไม่พูดอย่างนี้เพราะฝรั่งเก็บเอาไปใช้เองหมดไม่ว่าคนไทยเห็นแก่ตัวคือมันเห็นแก่ตัวกันทั้งโลกแล้วเนี่ยข้อเท็จจริง ขอให้เราเป็นตัวเราเป็นไทเป็นอิสระอย่าไปเป็นทาสของกิเลสตัณหา เราเป็นไทแท้เป็นอิสระแท้จากความผิดพลาดความเลวร้ายคือความเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นเหมือนปีศาจภูติผียักษ์มารอะไรหลอกลวงให้เสื่อมเสีย เป็นอิสระกันดีกว่าอย่าเห็นแก่ตัวนั่นแหละจะเป็นอิสระสูงสุดสมกับคำว่าเป็นไทๆ เป็นอิสระ ขอแสดงความยินดีขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่เป็นครู อาตมาถือเสมือนเป็นเพื่อน เพราะว่าอาตมาก็เป็นครูที่มาที่นี่แสวงหาความรู้เพื่อไปประกอบในหน้าที่การงานของตน หรือว่าทำชีวิตพื้นฐานให้ถูกต้อง แล้วชีวิตที่เป็นหน้าที่การงานก็จะถูกต้อง แล้วก็ได้อดทนฟังมานี่ชั่วโมงครึ่ง ขอขอบพระคุณขอยุติการบรรยาย