แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
แด่ท่านผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการงานครูและท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ คือแสวงหาความรู้ทางธรรมะเพื่อนำไปใช้ประกอบในหน้าที่การงานของตนๆ ให้มีความเจริญงอกงามก้าวหน้า เป็นสิ่งที่มีเหตุผลควรแก่การอนุโมทนา จึงขออนุโมทนาด้วยเป็นอย่างสูง และขอทำความเข้าใจเป็นพิเศษเล็กน้อยเรื่องเวลาการบรรยาย
การบรรยายในเวลาห้าโมงนี่ก็พิเศษ ส่วนตัวอาตมานั้นก็ไม่มีความสำคัญอะไรนักเพราะเป็นคนป่วย เวลาอื่นไม่ค่อยมีแรง จึงได้เลือกเอาเวลาอย่างนี้ แต่เมื่อกล่าวโดยทั่วไป มีความสำคัญเป็นพิเศษอยู่ในข้อที่ว่าเวลาอย่างนี้เป็นเวลาเหมาะสม ควรแก่การศึกษาเรื่องที่ละเอียดสุขุม คือ ธรรมะ จิตใจยังว่างหรือยังเกลี้ยงพอที่จะบรรจุอะไรลงไปได้ ถ้าล่วงไปถึงสาย ถึงเที่ยง ถึงบ่าย มันก็บรรจุอะไรเต็มอัดรุงรังไปหมดแล้ว ระหว่างที่จิตใจยังมีความเกลี้ยงหรือว่างอยู่นี้ มีความเหมาะที่จะบรรจุสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะคือธรรมะนี้ลงไป
ดังนั้นเราจึงเลือกเอาเวลาที่ธรรมชาติกำหนดไว้หรือส่งเสริมให้เป็นอย่างนี้ ดอกไม้ป่าเริ่มบานในเวลาอย่างนี้ เบิกบาน ไก่ก็ขัน ตื่นจากหลับขึ้นวันใหม่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เวลาอย่างนี้ แม้พระศาสดาในศาสนาอื่นก็เข้าใจว่ายังมีอีกด้วยเหมือนกันที่ใช้เวลาอย่างนี้เป็นเวลาตรัสรู้ นี่แหละคือข้อที่เราเลือกเอาเวลาอย่างนี้ ในเมื่อเพื่อนของเรากำลังนอนหลับหรือกำลังแสวงหาความสุขจากการนอนอยู่บนที่นอนเพื่อเพิ่มพูนนิสัยแห่งความโลเลไม่เข้มแข็ง เรามาฝึกฝนให้มีความเข้มแข็ง ให้ได้มีโอกาสที่จะศึกษาสิ่งที่ละเอียดสุขุมเพิ่มเติม ก็นับว่าเป็นการยืดเวลาของตัวเองยาวออกไปอีกชั่วโมงหรือสองชั่วโมง แล้วแต่ว่าเราจะได้ใช้เวลาอย่างนี้ได้ทำอะไรแทนที่จะยังนอนหลับอยู่ในที่นอนหรือนอนจนแสงแดดส่อง นี่จึงเลือกเอาเวลาอย่างนี้ ถ้าลองฝึกให้เป็นนิสัยเป็นประจำก็เท่ากับเพิ่มเวลาแห่งอายุ จะเป็นเวลาชั้นดีเป็นนาทีทองอีกวันละชั่วโมงสองชั่วโมง เมื่อเป็นปีๆ ๆ ๆ เข้ามันจะเพิ่มอีกกี่ชั่วโมง ท่านทั้งหลายก็ลองคำนวณดูเอง อาตมาขอแนะนำแต่เพียงว่าลองฝึกให้เป็นนิสัยจะเจริญด้วยความรู้งอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นการยืดอายุให้ยาวออกไป แต่เป็นอายุที่มีค่าสูงสุด ไม่ใช่เพิ่มออกไปอย่างหลับตา นับว่าได้สิ่งที่ประเสริฐควรจะได้โดยไม่ต้องมีใครมาให้พรเรา เราจัดของเราเองให้มันเป็นพร เพิ่มขึ้นมาคืออายุที่เพิ่มขึ้นอย่างมีประโยชน์มหาศาล ขอให้ทำความเข้าใจในเรื่องนี้ในลักษณะอย่างนี้คู่กันกับแสดงความยินดีอนุโมทนาในการมาสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้
ทีนี้ก็จะได้พูดถึงเรื่องธรรมะๆ ตามความประสงค์ ได้ยินว่าท่านกำหนดมาว่าหัวข้อเรื่องการดำเนินชีวิต ดังนั้นก็จะได้กล่าวตามหัวข้อนั้น และขอให้ทำความเข้าใจกันเป็นลำดับๆ ไป คำว่าชีวิตนั้นมันหลายความหมาย มีหลายความหมาย ชีวิตบางอย่างดำเนินให้ไม่ได้ มันดำเนินของมันเอง ชีวิตในขั้นพื้นฐาน ไอ้ที่จะดำเนินได้ก็คือวิถีแห่งชีวิต วิถีทางแห่งชีวิตนั้นจะเป็นสิ่งที่เข้าไปควบคุมดำเนินได้ ไอ้ชีวิตโดยพื้นฐาน ไอ้อย่างวิทยาศาสตร์ เมื่อเซลล์หนึ่งๆ ที่เต็มไปด้วยเยื่อวุ้น protoplast protoplast ในเซลล์หนึ่งๆ ยังสดอยู่ ยังไม่เน่าไม่ตาย วิทยาศาสตร์บัญญัติว่านั่นคือชีวิต อย่างนี้จะไปดำเนินอะไรมันได้เล่า มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ มันดำเนินของมันเอง ชีวิตคือprotoplast ที่ยังสดอยู่ในเซลล์หนึ่งๆ ที่แม้ชีวิตในทางภาษาศาสตร์มันก็แปลว่าความไม่ตาย ความยังไม่ต้องลงโลง เป็นเพียงความไม่ตายเท่านั้น มันก็เป็นของมันอยู่เอง คือมันไม่ยังไม่ตาย นี่เราก็ไปจับตัวมันไม่ได้ ดำเนินมันไม่ได้ แต่สิ่งที่เราจะจับตัวมันได้ ดำเนินได้ นี่มันคือวิถีแห่งชีวิตที่ทำให้ได้พบกันกับชีวิตที่ใหม่ ที่แปลกไปกว่าธรรมดา นั่นแหละเป็นสิ่งที่จะต้องศึกษา
วิถีทางดำเนินชีวิตมันก็สำคัญอยู่ตรงที่คำว่าทางหรือวิถีทาง เมื่อเป็นพุทธบริษัทหรือจะไม่ใช่พุทธบริษัท มันก็มีเหตุผลที่ว่าจะดำเนินโดยวิถีทาง ๘ ประการ ดังที่กล่าวไว้ในหลักอริยสัจ ๔ วิถีทาง ๘ ประการ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ ที่เรียกว่าความถูกต้อง ๘ ประการ สัมมาแปลว่า ซึ่งถูกต้อง สัมมัตตะ แปลว่า ความถูกต้อง ความถูกต้อง ๘ ประการนั้นเป็นวิถีทางสำหรับดำเนินชีวิตอย่างดีที่สุดที่เราไม่ต้องค้นคว้าอีกแล้ว มีแต่ศึกษาให้เข้าใจแล้วก็ปฏิบัติให้ได้ มันก็จะได้ชีวิตใหม่คือชีวิตที่พอจะเรียกได้ง่ายๆ ว่ามันไม่กัดเจ้าของ
ชีวิตของคนโง่ของอันธพาลน่ะมันกัดเจ้าของ เพราะมันดำเนินชีวิตไม่ถูกทาง ชีวิตกลายเป็นสิ่งที่กัดเจ้าของเสียเอง มันต้องจัดว่าเลวกว่าสุนัข เพราะว่าสุนัขมันยังไม่เคยกัดเจ้าของ ชีวิตที่กัดเจ้าของนั่นมันต้องเลวกว่าสุนัขแหละ เพราะมันเป็นชีวิตของคนอันธพาล ที่เห็นได้ง่ายๆ เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวกัด เดี๋ยวความตื่นเต้นกัด เดี๋ยววิตกกังวลกัด อาลัยอาวรณ์กัด อิจฉาริษยากัด ความหวงกัด ความหึงกัด จนฉิบหายตายโหงไปเลย นั่นแหละเรียกว่าชีวิตที่มันกัดเจ้าของ ลองคิดดูสิความรักชนิดไหนมันก็กัดเจ้าของ รักกามารมณ์แล้วยิ่งกัดเป็นบ้า แม้แต่รักตามธรรมดา รักพ่อ รักแม่ รักเอ่อ,เพื่อนก็ยังอาลัยอาวรณ์ ยังกัดเจ้าของ ความโกรธนั้นไม่ต้องพูด ไอ้ความเกลียดนี่ทรมานใจ ความกลัวก็ครอบงำแล้วมันก็ๆ ไม่ๆ มีแผ่นดินจะอยู่ ความตื่นเต้นๆ ต้องหาอะไรมาให้ตื่นเต้นตามแบบของคนโง่ ต้องเอาสุรามาใช้ให้เกิดความตื่นเต้น ต้องไปดูกีฬา ไปเล่นกีฬา ไปชกมวย ไปให้มันเกิดความตื่นเต้น ความตื่นเต้นนั้นไม่ใช่ความสงบ ความวิตกกังวลต่ออนาคตว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรมันบ้า สร้างวิมานในอากาศ อาลัยอาวรณ์สิ่งที่ล่วงลับไปแล้วก็เป็นเรื่องของคนปัญญาอ่อน ร้องไห้ก็ได้ อิจฉาริษยานี่ก็ธรรมดา เป็นเพียงมีกิเลส อิจฉาริษยาผู้อื่นแม้ไม่ใช่เป็นศัตรู เพียงแต่เห็นเขาสวยกว่าดีกว่านี่ก็ไม่ได้แล้ว มันก็อิจฉา มันเป็นศัตรูกันแล้วมันก็ยิ่งอิจฉาเหลือประมาณ คนที่ถูกอิจฉาไม่รู้เรื่อง ไอ้คนอิจฉาเขานี่ร้อนเหมือนกับสัตว์นรกอยู่คนเดียวก็ได้ ฝ่ายนั้นยังไม่รู้เรื่องแต่ฝ่ายนี้ร้อนเป็นสัตว์นรกอยู่แล้ว เรื่องอิจฉาริษยานี่มันไม่ไหวอย่างนี้ ความหวงนั้นก็ลำบากยุ่งยาก ความหึงมันสุดขีดของความหวง เป็นโมหะเจือราคะแล้วก็แต่แล้วแต่เรื่องที่มันจะเป็น ถ้ามันประกอบอยู่ในอาการเหล่านี้เรียกว่าชีวิตนี้มันกัดเจ้าของ เป็นชีวิตของคนไม่รู้ เป็นชีวิตของอันธพาล ปล่อยไปตามบุญตามกรรม
เราบรรยายธรรมให้พวกฝรั่งที่เขามากันเดือนละร้อยกว่าคน ทุกๆ เดือนๆ ละสิบวันนี่ ปรากฏว่าชอบใจในหลักคำพูดคำนี้คำเดียวว่าชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ เขาเคยมีแต่ชีวิตเก่าๆ แก่ๆ แบบของเขานั่น มันกัดเจ้าของ ร่ำรวยสวยงามเท่าไรมันก็ยังกัดเจ้าของเพราะมันยังโง่ นี่เขาได้พอใจที่ว่าได้พบชีวิตใหม่ ชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ คือชีวิตที่มีความรู้เรื่องความทุกข์ ดับทุกข์ เกิดทุกข์ แล้วก็ปฏิบัติให้ควบคุมไว้ให้ได้ ไม่เกิดความทุกข์ ไอ้ที่จะไม่ให้เกิดความทุกข์นั้นมันก็คือไอ้ความถูกต้องทั้ง ๘ ประการนั่นแหละ ช่วยจำไว้ดีๆ อย่าให้เสียทีที่เป็นคนไทยนับถือพระพุทธศาสนาประจำชาติ ให้มันมากลายเป็นจวักในหม้อแกงที่ไม่รู้รสแกง กลายเป็นกบใต้กอบัวจึงไม่ได้รับเกสรบัว ควรจะแม่นยำๆ ๆ ยิ่งกว่าความแม่นยำอย่างอื่น รู้จักอย่างยิ่งๆ กว่ารู้จักอย่างอื่น รู้จักทรัพย์สมบัติ ข้าวของ เงินทอง วัวควาย ไร่นา แต่ไม่รู้จักไอ้สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือความถูกต้องสำหรับจะดำเนินชีวิตให้เป็นไปอย่างมีความสงบสุขถูกต้อง ๘ ประการ
สองประการแรกเป็นเรื่องของสติปัญญา คือถูกต้องทางทิฐิ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ เอ่อ,อุดมคติอะไรต่างๆ เหล่านี้รวมอยู่ในคำว่า สัมมาทิฐิ มีทิฐิถูกต้อง ข้อที่สองเรียกว่า สัมมาสังกัปปะ มีความปรารถนาถูกต้อง ถ้าปรารถนาไม่ถูกต้องมันเรียกว่า มิจฉาสังกัปปะ หรือเรียกว่าตัณหาไปเสียเลยก็มี ตัณหาโลภะนี่เป็นความปรารถนาที่ไม่ๆ ถูกต้อง ถ้าทิฐิไม่ถูกต้องเรียกว่ามิจฉาทิฐิ เดี๋ยวนี้จะต้องมีความถูกต้องคือทิฐิถูกต้อง ความปรารถนาถูกต้อง แล้วก็ถูกต้องในเรื่องศีลต่อไปอีก เอ่อ, สี่คือสัมมาวาจา มีการพูดจาถูกต้อง สัมมากัมมันโต ให้มีความทำการงานถูกต้อง สัมมาอาชีโว ดำรงชีวิตทำมาหาเลี้ยงชีวิตอย่างถูกต้อง หมดนี่สามอย่างคือหมวดศีล เกือบจะไม่ต้องอธิบายเพราะเป็นคำธรรมดาง่ายๆ ว่าการพูดจา ถ้อยคำที่พูดจา เวลาที่พูดจา ความมากน้อยที่พูดจานี่ให้มันถูกต้องๆ
กัมมันโต คือการงานที่ต้องทำประจำชีวิต เว้นในสิ่งที่ควรเว้น คือการฆ่า การขโมย และกาเม เว้นเสีย มีความถูกต้องในส่วนกายและวาจา แล้วก็มีความถูกต้องในส่วนจิตหรือที่เป็นสมาธิ คือสัมมาวายามะ พากเพียรพยายามอยู่อย่างถูกต้องไม่ขาดสาย สัมมาสติ ความระลึกที่ระลึกอยู่ประจำใจนั้นเป็นความระลึกที่ถูกต้อง ให้เป็นอยู่เป็นประจำ เรียกว่าสัมมาสติ ระลึกถูกต้อง แล้วก็สัมมาสมาธิความตั้งใจมั่นอยู่ในภาวะที่ถูกต้อง เรียกว่าสัมมาสมาธิ ความพยายามพากเพียรถูกต้อง ความระลึกถูกต้อง ความตั้งจิตมั่นถูกต้อง รวมกันทั้งหมดนั้นเป็นองค์ ๘ องค์
๘ องค์นี้รวมกันเข้าเป็นหนึ่ง เรียกว่า ทาง หนทางนี้สายเดียว ไม่ใช่ ๘ สาย แต่ประกอบอยู่ด้วยองค์ทั้ง ๘ มีสัมมาทิฐิเป็นตัวนำ นำหน้า ถ้ามีสัมมาทิฐินำหน้าเป็นที่เชื่อได้ว่าจะประสบความสำเร็จ จะก้าวหน้าไปด้วยดี ดังนั้นปัญญาหรือทิฐิ โดยเฉพาะคือสัมมาทิฐินี่ถูกต้องๆ ๆ และต้องเป็นตัวนำหน้า สิ่งอื่นๆ จะถูกต้องหมด เรื่องศีลเรื่องสมาธิจะถูกต้องหมด แม้แต่เรื่องการเป็นอยู่ในบ้านเรือนในครอบครัวก็ถูกต้องหมด เพราะเป็นเรื่องของสัมมาทิฐิ นี่คือหนทาง และมีคำว่าอริยะ คือประเสริฐ ประเสริฐอย่างไร ประเสริฐเพราะออกไปจากข้าศึก อริ แปลว่าข้าศึก ยะ แปลว่าไป อริยะ แปลว่าไปจากข้าศึก เรียกว่าประเสริฐ ประกอบอยู่ด้วยองค์ ๘ ประการ เป็นครูบาอาจารย์เรียกให้ถูกๆ เรียกว่ามรรคมีองค์ ๘ อย่าไปเรียกว่ามรรค ๘ มันจะแสดงความโง่หรือความไม่รู้ในธรรมะข้อนี้เอาเสียเลย อย่าไปพูดว่ามรรค ๘ ๆ มันจะกลายเป็น ๘ ทาง ถ้าพูดว่ามีองค์ ๘ ก็หมายความว่าทางเดียวแต่ประกอบไปด้วยองค์ ๘ ประการ คำว่าองค์ๆ ๆ นี่เป็นส่วนประกอบเท่านั้น จะมีความสำคัญคือต้องครบองค์ที่มันควรจะมี และก็เป็นความถูกต้องด้วยกัน และก็ต้องทำงานร่วมกัน เรียกว่าสามัคคีกันมันจึงจะสำเร็จประโยชน์ในเรื่องนั้น
นี่ข้อว่าดำเนินชีวิตถูกต้องที่เป็นหลักสำคัญสูงสุดในพระพุทธศาสนาก็ได้แก่อริยมรรคมีองค์ ๘ ขึ้นเป็นอริยสัจองค์สุดท้ายหรือองค์ที่ ๔ ครั้นมีอริยมรรคมีองค์ ๘ เหล่านี้แล้ว ความผิดพลาดใดๆ มันเกิดขึ้นไม่ได้ ความทุกข์มันเกิดขึ้นไม่ได้ มันดำเนินชีวิตอยู่อย่างนี้ แม้จะเรียกว่าความดับทุกข์ๆ แต่ความหมายแท้จริงนั้นคือการทำให้ความทุกข์เกิดไม่ได้ ความถูกต้องในการป้องกันจากความทุกข์เกิดไม่ได้เพราะมันไปควบคุมที่ต้นเหตุแห่งความทุกข์ คือความต้องการอย่างโง่เขลา ความโง่เขลาในการดำเนินชีวิต ไปควบคุมที่ต้นเหตุคือความอยากอย่างโง่เขลา และต้องการอย่างโง่เขลา แล้วก็ทำอะไรอย่างโง่เขลาไปหมด นั่นมันเป็นมูลเหตุ กำจัดเสีย ควบคุมเสีย ความทุกข์ก็ไม่เกิด เรียกว่ากำจัดที่ต้นเหตุ เป็นหลักเกณฑ์ของคนฉลาด บัณฑิตผู้มีสติปัญญา ถ้าไปควบคุมที่ปลายเหตุมันเป็นเรื่องของคนโง่ ถ้าควบคุมที่ต้นเหตุเป็นเรื่องของผู้มีสติปัญญา
ท่านทั้งหลายจงสังเกตดูให้ดีว่ามันมีความผิดพลาดในข้อนี้อยู่เป็นอันมาก มันไม่ควบคุมเหตุของความเลวและมันก็ต้องเลว มันดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน แม้แต่ยาเสพติด นี่มันไม่รู้จักควบคุมที่ต้นเหตุ มันก็ได้เป็นอย่างนั้น มันเป็นลูกหมา คือมันไม่ควบคุมที่ต้นเหตุ ไปคอยควบคุมแต่ปลายเหตุนู่น ไปต่อสู้กับความทุกข์ ถ้ามันเป็นลูกเสือ หรือลูกราชสีห์ มันควบคุมที่ต้นเหตุ ลองดูสิ เอาไม้ไปแหย่หมาๆ ก็กัดไปที่ปลายไม้ ก็หมามันโง่นี่ แต่ถ้าเอาไปแหย่ลูกเสือ ลูกราชสีห์ มันไม่กัดที่ปลายไม้ มันกระโจนใส่คนที่ถือไม้นั่น นั่นมันๆๆ โง่หรือมันฉลาดมากน้อยกว่ากันอย่างไร ไอ้ตัวหนึ่งมันกัดที่ปลายไม้ ไอ้ตัวหนึ่งมันกระโจนใส่คนถือไม้ เรียกว่าตัดที่ต้นเหตุ ตัดที่ต้นเหตุเป็นบัณฑิต เป็นผู้มีปัญญา เป็นลูกราชสีห์ มาแก้ที่ปลายเหตุทะเลาะกันไม่มีที่สิ้นสุดในครอบครัวนั้น มันก็เป็นลูกหมาด้วยกันทั้งนั้นแหละ ทั้งฝูงนั่นแหละ ก็มัวตัดปัญหาที่ปลายเหตุนี่ นี่เป็นใจความสำคัญของเรื่องอริยสัจว่าจะต้องจัดการที่ต้นเหตุ
มิจฉาทิฐิเป็นมูลเหตุให้ทำผิดๆ หรือว่าจะดูที่ตัณหาความอยากอย่างโง่เขลา มันก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ดับต้นเหตุเหล่านี้เสียก็ไม่เกิดทุกข์ มันฉลาดหรือโง่มากกว่ากันกี่มากน้อย ดับที่ต้นเหตุกับดับที่ปลายเหตุมันก็ดับไฟๆ พูดว่าดับไฟแต่ที่จริงมันคือป้องกันไม่ให้ไฟเกิด ไฟเกิดแล้วจึงดับเสียหายกี่มากน้อยล่ะ ป้องกันไม่ให้ไฟเกิดมันเสียหายกี่มากน้อย คือมันไม่เสียหายเลย มันดับไฟก็คือป้องกันไม่ให้ไฟเกิด ดับทุกข์ก็คือป้องกันไม่ให้ความทุกข์เกิด นั่นเรียกว่าหนทางดำเนินชีวิตอยู่อย่างถูกต้อง ความทุกข์เกิดไม่ได้ ชีวิตไม่เกิดไม่กัดเจ้าของ
เดี๋ยวนี้มันมีลักษณะเป็นชีวิตที่กัดเจ้าของ แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเหตุอะไรเข้าไป เซ่นสรวงผีสาง เทวดา พระเจ้า พระอะไรก็ไม่รู้ ให้มันโง่หนักขึ้นไปอีก ไม่กำจัดที่ต้นเหตุ แล้วก็หลับตาเซ่นสรวงเทวดา บางทีก็มอบหมายให้เทวดาเป็นต้นเหตุ แต่ความจริงนั้นมันอยู่ที่ความผิดพลาดที่ตัวกระทำเอง ไม่ใช่ไปคอยให้เทวดาแก้ไขนี่มันโง่สองซ้อน คือมันโง่หลายซับหลายซ้อน ควรใคร่ครวญกันดูให้ดีๆ อย่าให้มันมีลักษณะอย่างนี้ รู้จักต้นเหตุและก็จัดการที่ต้นเหตุเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเพราะว่ามันมีเหตุมีปัจจัย ควรจัดการให้ถูกต้องคือรู้จักควบคุมต้นเหตุ เรื่องสำคัญว่าจัดการที่ต้นเหตุ สิ่งที่เป็นเหตุนั่นน่ะ ถ้าจะแจงโดยรายละเอียดมันก็มาก เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ก็ได้ถ้าใช้กับสิ่งที่มีชีวิตรู้จักสุขทุกข์ เรียกว่า อิทัปปัจจยตา ก็ได้ไว้ใช้กับทุกสิ่งทุกอย่างแม้จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต มันมีเหตุมันต้องเป็นไปตามเหตุ จัดการให้ถูกต้องที่เหตุ แล้วความเลวร้ายอันใดๆ มันก็ไม่เกิดขึ้นมา นี่เรียกว่าเป็นวิถีทางชีวิตที่ได้รับการดำเนินควบคุมไปเป็นอย่างดี ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา
ทีนี้ก็อยากจะแนะในแง่มุมอื่นต่อไปอีกว่า ชีวิตนี้มันมีเจตนารมณ์แห่งความเป็นสหกรณ์ มันมีหัวใจๆ พูดภาษาธรรมดาว่ามีหัวใจ มันเป็นสหกรณ์ ชีวิตประกอบขึ้นด้วยอะไรกี่อย่างๆ มันต้องทำงานร่วมกันทั้งหมดทั้งสิ้น หรือจะกล่าวให้กว้างออกไปก็ว่าธรรมะทั้งหลายมีเจตนารมณ์เป็นสหกรณ์ ส่วนธรรมชาติๆ นั้นกว้างขวางมหาศาลก็ดี มันมีเจตนารมณ์เป็นสหกรณ์ กฎของธรรมชาติก็ดีมีเจตนารมณ์เป็นสหกรณ์ หน้าที่ๆ ตามกฎของธรรมชาติก็ดีมีหลักเป็นสหกรณ์ ผลที่ได้รับจากหน้าที่ก็มีเจตนาเป็นสหกรณ์ รวมความว่าตัวธรรมชาติก็ดี ตัวกฎของธรรมชาติก็ดี ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็ดี ผลที่ได้เกิดจากหน้าที่ก็ดี ทั้ง ๔ อย่างนี้เรียกว่าธรรมะ ธรรมะแต่ละอย่างๆ มีเจตนารมณ์เป็นสหกรณ์ คือทำงานร่วมกัน
ธรรมชาตินอกตัวเราอันกว้างขวางคือ จักรวาล สุริยะจักรวาล จะมีกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นจักรวาลก็ช่างมันเถอะ แต่ว่าทั้งหมดนั้นต้องมีเจตนารมณ์เป็นสหกรณ์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ดวงอะไรต่างๆ ทำงานอย่างสหกรณ์จึงจะอยู่ได้ อำนวยประโยชน์ได้ ถ้าไม่ทำอย่างสหกรณ์มันก็ชนกันแหลกลาญกันหมด ก็วินาศกันหมดไม่มีเหลือ ธรรมชาติ ตามธรรมชาตินี้มันก็มีลักษณะเป็นสหกรณ์ มันเป็นโลกนี้โลกและก็เป็นสหกรณ์ดินน้ำลมไฟในโลกนี้ก็ดี หรือว่าคนที่อยู่ในโลกนี้ก็ดี ต้นไม้ สัตว์มีชีวิตก็ดี และต้นไม้ก็ดี มันระบบสหกรณ์ มันอยู่คนเดียวตัวเดียวไม่ได้ ถ้าคนอยู่คนเดียวในโลกมันตายภายในไม่กี่นาที ต้องอยู่กันอย่างครบถ้วนเป็นระบบสหกรณ์ สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็อยู่กันอย่างครบถ้วนเป็นระบบสหกรณ์ ต้นไม้ต้นไร่ก็อยู่กันอย่างระบบสหกรณ์ มันอยู่ตัวเดียวอันเดียวนั้นมันเป็นไปไม่ได้ และต้นไม้ใหญ่อย่างต้นไม้ต้นนี้มันก็อาศัยต้นไม้เล็กๆ ที่ปกขี้โคลนให้ดินมันดี และตะไคร่ที่จะช่วยทำอะไรให้บางอย่างที่ผิวเผือกทั่วๆไปเขียวๆนั้นมันก็ช่วย นี่มันต้นไม้มันยังต้องสหกรณ์ มันจึงจะอยู่กันได้ถาวรในโลกนี้
นี่โดยหลักภายนอกกว้างๆ และที่มันเป็นตัวคนๆ หนึ่งมันก็ต้องระบบสหกรณ์ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันเป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนังต่างๆ นานา ระบบแต่ละระบบร่วมกันหมดแหละ ระบบการหายใจ ระบบสูบฉีดโลหิต ระบบเอ่อ,กำจัดเชื้อโรคกำจัดของเสีย ระบบขับถ่าย ระบบตา ระบบหู ระบบจมูกก็ตาม ล้วนแต่ต้องสหกรณ์กันทางอัตภาพร่างกายนั้น อัตภาพหนึ่งๆ เป็นสหกรณ์ใหญ่มันจึงรอดชีวิตอยู่ได้ ในคนๆ หนึ่ง ในครอบครัวหนึ่งๆ ก็ต้องมีระบบสหกรณ์ที่ถูกต้อง ผิดระบบสหกรณ์มันก็จะต้อง ขออภัย ว่ามันกัดกันแหละ มันต้องหย่ากันน่ะ มันอยู่กันไม่ได้ เรียกว่าในครอบครัวมันก็ต้องมีระบบสหกรณ์ ในหมู่บ้านก็เถอะ ระบบสหกรณ์ เป็นประเทศ ประเทศชาติหนึ่งๆ ก็เป็นระบบสหกรณ์
เดี๋ยวนี้เรามันไม่เป็นระบบสหกรณ์ มึงก็มึง กูก็กู มันก็เกิดอิจฉาริษยา แล้วก็ไม่ร่วมมือ เมื่อคนอื่นทำงาน พวกมึงทำ กูก็จะใช้ประโยชน์ เพื่อนก็ช่วยกันสร้างถนนหนทาง มึงทำ กูก็จะเดินให้มึงได้บุญ มันพูดเอาเปรียบมากถึงขนาดนี้เพราะมันไม่มีเจตนารมณ์แห่งความเป็นสหกรณ์ ท่านทั้งหลายจงดูเถอะว่าเดี๋ยวนี้มันไม่สหกรณ์ มันพร้อมที่จะคดโกงกัน ตั้งสหกรณ์ขึ้นมาไม่เท่าไรมันก็เป็นสหโกง แม้แต่สหกรณ์ครู ก็ไปดูให้ดีเถอะ มันมีปัญหาพร้อมที่จะโกงอยู่เสมอ มันไม่มีความบริสุทธิ์แห่งความเป็นสหกรณ์ ถ้าเรามีเจตนารมณ์เป็นสหกรณ์มันก็จะถูกต้อง ไม่คดโกง เป็นไปด้วยดี เป็นไปอย่างสะดวกดาย ให้เข้ากับเรื่องว่าแม้แต่จักรวาลทั้งหมดมันก็ยังระบบสหกรณ์ มันเป็นโลกแต่ละโลกมันต้องสหกรณ์ มาเป็นบุคคลแต่ละคนมันก็ต้องระบบสหกรณ์ ช่วยกันให้ครบถ้วนในทุกๆ หน้าที่ ประเทศชาติก็จะมีความมั่นคง ก้าวหน้า สวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ เป็นสุข เกิดสุข สุขสวัสดี
ระบบการเป็นอยู่ของปลวก ของแมลงผึ้ง ของมด มันก็ยังเป็นระบบสหกรณ์ ที่มันทำได้ดีกว่าคน ไม่มีเกี่ยงงอนในหน้าที่ มันไม่บิดพลิ้วหน้าที่ มันจึงมีความกลมกลืนสามัคคี เป็นปึกแผ่น สำเร็จประโยชน์ นี่มันมีใจความสำคัญว่า จะอยู่กันอย่างมึงก็มึง กูก็กูนั้นมันก็วินาศ มันก็วินาศ ลองดู แม้แต่หมู่บ้านนี้มันจะอยู่กันอย่างมึงก็มึง กูก็กู อีกหมู่บ้านหนึ่งมันอยู่อย่างสหกรณ์ มันจะเป็นอย่างไร มันจะตามกันกี่ๆมากน้อย ก็ค่อยคิดดู ด้วยเหตุดังนี้แหละหลักศาสนาทั่วไปๆ จึงมีหลักที่ว่าให้ยึดถือเสมือนหนึ่งว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น คนโง่ๆ เดี๋ยวนี้มันหัวเราะ แม้จะเป็นนักศึกษาปริญญายาวเป็นหาง มันก็ยังดูหมิ่นคำว่าเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นคำครึคระของคนโบราณปู่ย่าตายาย มัวแต่ท่องว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั่นมันโง่เอง ลองไม่อยู่กันอย่างเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันจะเป็นอะไร มันก็ต้องเอาเปรียบ ฆ่าฟันกัน ถึงขนาดฆ่าฟันกัน อิจฉาริษยากัน ขัดแย้งกันเป็นประจำเพราะมันไม่มีเจตนารมณ์ว่าเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ไม่มองดูว่าเราทุกคนมีปัญหาอย่างเดียวกันคือความทุกข์ มีหน้าที่ที่จะต้องดับทุกข์ เราก็ควรจะช่วยกัน เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งพอจะมองเห็นว่ามันทุกคนก็มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่แล้วมึงก็มึง กูก็กู อย่างนี้มันผิดหลักของธรรมชาติ
ฉะนั้นขอให้สนใจระบบที่ปู่ย่าตายายเขาเคยยึดถือกันมาแล้ว ค่ำลงก็ได้ตะโกนบอกตัวเองเสมอว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย นี่ว่าไปตามเรื่อง ย้อมใจให้เป็นอย่างนี้อยู่เสมอ ความสงบสุขมันก็เกิดขึ้นโดยง่าย
เดี๋ยวนี้มันไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น มันบูชาประโยชน์ มันก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวแยกออกมาเป็นตัวกู เป็นของกู นี่ของกู นี่ตัวกู แล้วก็เห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัว แล้วคุณคิดดูว่ามันจะเป็นอย่างไร เมื่อเขายังอยู่กันไม่สัมพันธ์กัน ก็ยังไม่ๆเกิดเรื่อง พอมาสัมพันธ์กัน เช่น เกิดมาเป็นลูกจ้างนายจ้างแก่กันและกัน ต่างฝ่ายต่างก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็จะเอาประโยชน์ของตัวให้มาก ลูกจ้างก็จะเอาประโยชน์ของตัวให้มาก ก็เลยมีการต่อสู้กัน เมื่อยังไม่มาเป็นลูกจ้างนายจ้างกัน ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีปัญหาข้อนี้ แม้รู้จักกันแล้วมันก็ยังไม่มีปัญหาข้อนี้ แต่พอมาเป็นลูกจ้างนายจ้างมันมีปัญหาข้อนี้ คิดดูสิ เพราะอะไร เพราะความเห็นแก่ตัว เพราะความเห็นแก่ตัว เป็นปัญหาถาวร เป็นปัญหาโลกแตกตลอดเวลา มีปัญหาเรื่องลูกจ้างนายจ้างในโลกนี้ เพราะมันเจริญด้วยกิจการงานที่ต้องใช้ลูกจ้าง
เมื่อมีนายจ้างมากขึ้นๆ ความเป็นมึงเป็นกูก็มากขึ้น ทีนี้ก็มีการขัดแย้ง ขัดแย้งๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ความเห็นแก่ตัว จึงพูดได้ว่าโลกเรานี้มันกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว โดยเหตุที่ว่าระบบการเป็นอยู่ในโลกนี้มันทำให้มีความเป็นลูกจ้างนายจ้างนั้นมากขึ้น คือความเจริญงอกงามก้าวหน้าในทางวัตถุนั่นเอง หรือตามธรรมชาติส่วนตัวมันก็ยังมีความเห็นแก่ตัว คือ จะเอาเปรียบ จะขี้เกียจ เห็นแก่ตัวชนิดที่จะคอยเอาเปรียบอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว
ลองพิจารณาดูว่าคนเห็นแก่ตัวเป็นอย่างไร ขี้เกียจทำงานแต่จะเอาประโยชน์ อิจฉาริษยาเพราะเห็นแก่ตัว จองหองพองขนเพราะเห็นแก่ตัว ไม่สามัคคีเพราะเห็นแก่ตัว พร้อมที่จะจับกลุ่มกันขัดแย้ง บางทีก็เพื่อความแสดงอำนาจบาตรใหญ่เท่านั้นน่ะ เพราะมันเห็นแก่ตัว เป็นที่รังเกียจเกลียดชังมาแต่ดึกดำบรรพ์โบราณนู้น เขาเรียกว่าผู้เห็นแก่ตัวไม่มีใครอยากคบ มันจะตรงกันทุกชาติ ทุกภาษา ทุกมุมโลก เกลียดผู้เห็นแก่ตัว เพราะผู้เห็นแก่ตัวมันทำแต่ประโยชน์ตัวและก็ทำลายประโยชน์ผู้อื่น แล้วก็โหดร้าย เป็นอันธพาล เป็นอันธพาล รวยลัดไม่ต้องทำงานให้ออกเหงื่อ แต่จะรวยด้วยการปล้น การจี้ การโกง ไปโกงธนาคารพักเดียวได้มาเป็นล้านๆ อย่างนี้ ก็หวังกันแต่อย่างนั้น นี่ผู้ที่เห็นแก่ตัวๆ และในที่สุดมันก็ระบาดออกไป สูงขึ้นตามเหตุการณ์ที่มีอยู่ มันก็เอาเปรียบผู้อื่น ชุ่ยๆ หวัดๆ เอาแต่ประโยชน์ตัว มันก็เกิดไอ้มลภาวะขึ้นมา ทุกคนสร้างมลภาวะเต็มบ้าน เต็มเมือง เต็มประเทศ จนเป็นปัญหาของโลกไปเลย กำจัดมลภาวะไม่ไหว
ไปสังเกตดูเถิดว่ามลภาวะนี่มาจากผู้เห็นแก่ตัวทั้งนั้น แล้วก็สร้างอุบัติเหตุ ความชุ่ยๆ หวัดๆ เอาแต่ประโยชน์ตัว มีอุบัติเหตุชนกัน รถก็ดี เรือก็ดี อุบัติเหตุบนถนนหนทาง ในแม่น้ำลำคลอง มีอุบัติเหตุมากขึ้นๆ เพราะคนเห็นแก่ตัวมันมากขึ้น คนเห็นแก่ตัวสร้างมลภาวะแล้วยังสร้างอุบัติเหตุมากมายมหาศาล รายงานทางโรงพยาบาลการแพทย์เขาว่ามาเป็นอันดับหนึ่ง คนเจ็บๆ คนเจ็บบาดแผลที่มาโรงพยาบาลนี่ล้วนแต่มีมูลมาจากความเห็นแก่ตัวไม่มากก็น้อย แล้วมันก็ทำลายธรรมชาติ คนเห็นแก่ตัวทำลายป่า ทำลายอะไรตามธรรมชาติให้หมดไป แม้สิ่งเขาสร้างไว้ดีแล้วมันก็ทำลาย ทำลายถนนหนทางๆ ห้วย หนอง คลอง บึง ที่เขาทำไว้ดีแล้วมันก็โกง นี่เรียกว่ามันทำลายทั้งธรรมชาติและมิใช่ธรรมชาติ แล้วมันก็ตามใจตัว เพราะเห็นแก่ตัวมันก็ได้ติดยาเสพติดซึ่งเป็นปัญหาโลกอีกเหมือนกัน ไม่เห็นแก่ตัวนิดเดียวเท่านั้นไม่มีใครไปติดยาเสพติด แม้แต่บุหรี่ก็ไม่ติด ติดยาเสพติดก็ติดอบายมุขที่เป็นยาเสพติดสูงสุดขึ้นมา ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน ติดอบายมุข คนเห็นแก่ตัว
ในที่สุดความเห็นแก่ตัวมันอยากจะหาความเพลิดเพลินนอกขอบเขต พิเศษนอกขอบเขต มันก็เลยเป็นโรคที่สุนัขหมานี่ก็ไม่เป็น สุนัขหมาๆ นี่ก็ไม่เป็น โรคเอดส์โรคอะไรก็ไม่รู้ ก่อนนี้ก็มีโรคซิฟิลิส โกโนเรีย ที่มันเป็นกันอย่างที่หมาก็ไม่เป็น นี่คนเห็นแก่ตัวมันได้รับผลตอบแทนอย่างนั้น แล้วจะเอากันอย่างไร เป็นปัญหาโลกทั้งนั้นแหละ มลภาวะก็ดี อุบัติเหตุก็ดี ยาเสพติดก็ดี กระทั่งว่าเป็นปัญหาโลก โรคเอดส์นี่บางทีจะมาเป็นพระเจ้าช่วยคุมกำเนิดก็ไม่แน่ ไม่ให้คนมันล้นโลก ควบคุมอย่างอื่นไม่สำเร็จ ให้โรคเอดส์มาช่วยควบคุม ควบคุมกำเนิดไม่ให้คนล้นโลก สมน้ำหน้าของคนเห็นแก่ตัว
คนเห็นแก่ตัวนี่ไม่เคารพนับถือ ไม่ซื่อสัตย์ ไม่กตัญญู ไม่อะไรหมด ดูจะเข้าใจได้ มันจะรวยลัดท่าเดียว ในที่สุดมันก็หลงทางๆ ความเห็นแก่ตัวนั้นหลงทาง เป็นบ้า ที่โรงพยาบาลบ้ามากที่สุด พูดได้ว่าโรงพยาบาลบ้ามีคนบ้ากี่คน ทุกคนไปจากความเห็นแก่ตัวของตนหลงทาง อย่างอื่นๆ ไม่มี อีกทางหนึ่งเห็นแก่ตัวหนักเข้า ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าตัวเองตายตามไปเลย เรื่องมันจบอย่างนั้น คนเห็นแก่ตัว จะเรียกว่าดำเนินชีวิตถูกต้องได้อย่างไร มันไม่มีความเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น มันไม่มีเจตนารมณ์แห่งความเป็นสหกรณ์ในการดำเนินชีวิตอยู่ในโลก มันก็อย่างนั้น มันก็แยกออกไปเป็นเห็นแก่ตัว ก็จบด้วยลักษณะอย่างนั้น
ถ้าพวกครูเห็นแก่ตัว ทำนาบนหลังลูกศิษย์ ทำนาบนหลังผู้ปกครองของลูกศิษย์ ถ้าครูมันเห็นแก่ตัว มันหมดความเป็นครู ไม่เป็นปูชนียบุคคลเหลือแม้แต่สักนิดหนึ่ง เป็นลูกจ้างสอนหนังสือที่เอาเปรียบที่สุด เอาเปรียบที่สุด คดโกงที่สุด ถ้าครูมันเห็นแก่ตัว ถ้าหมอมันเห็นแก่ตัวมันก็หมดความเป็นหมอเป็นพ่อค้าสูบเลือด ทำนาบนหลังคนเจ็บ คนเจ็บไข้ ถ้าตุลาการเห็นแก่ตัว มันก็ทำนาบนหลังจำเลยอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ ถ้าพระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัวก็ทำนาบนหลังทายกทายิกาอย่างที่ไม่น่าจะมี อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ มันเห็นแก่ตัวมากเท่าไร มันก็สร้างปัญหามากเท่านั้น มันมีเป็น ลงไปได้เรื่อย กระทั่งว่าเห็นแก่ตัวในครอบครัวระหว่างสามีภรรยา มันก็ต้องหย่ากัน เดี๋ยวนี้ลูกมันเห็นแก่ตัวจนพ่อแม่น้ำตาตก มันก็ไม่รู้จะทำกันอย่างไร
นี่ความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งเลวร้ายอย่างนี้ ขอให้ลองพิจารณาดูเถอะว่าโลกกำลังจะล่มจมเพราะความเห็นแก่ตัว ประเทศมหาอำนาจก็เห็นแก่ตัว นายทุนก็เห็นแก่ตัว จนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว เศรษฐีก็เห็นแก่ตัว คนขอทานก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวจนไม่มีอะไรเหลือ มันจะเป็นยังไง มีสงครามเย็นอยู่ตลอดเวลาไม่เคยขาด สงครามร้อนก็มาเป็นคราวๆ รบกันฆ่ากันเพราะความเห็นแก่ตัว
นี่เรากำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว เพราะว่าได้หลงใหลในความสุขสวยงามก้าวหน้าในทางวัตถุ ในทางวัตถุจนเกินๆ ๆ ๆ ๆ กินเกิน อยู่เกิน แต่งเนื้อแต่งตัวเกิน ใช้ไม้สอยเกิน แม้แต่รักษาโรคก็เกิน เดี๋ยวนี้ต้องสร้างบ้านเรือนราคาแสนราคาล้าน ห้องน้ำบางห้องเขาก็ต้อง ผู้มั่งมีบางคนก็ราคาล้าน เพียงห้องน้ำเท่านั้น มันมีความเกินๆ ๆ เพราะความเห็นแก่ตัว ไม่รู้ว่าจะรับกันอย่างไรได้เพราะมีความเห็นแก่ตัว มันคอยเอาเปรียบกันทุกกระเบียดนิ้ว ผู้ซื้อก็เห็นแก่ตัว ผู้ขายก็เห็นแก่ตัว ผู้ผลิตก็เห็นแก่ตัว ผู้จะมารับไปขายก็เห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ จนจะวินาศ คือจะขัดแย้งกันเรื่อยไปจนวินาศในที่สุด
ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวมันไม่มีอาชญากรรม ไม่ต้องอธิบายท่านทั้งหลายก็รู้ได้เอง ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวมันไม่มีการลักขโมย มันไม่มีการฆ่า มันไม่มีการกาเม มันไม่มีการหลอกลวง ไม่มีการดื่มน้ำเมาให้ลำบากยุ่งยากให้กลายเป็นผู้ไม่มีสติสัมปชัญญะ อาชญากรรม คดีอาญาก็ไม่เกิด คดีแพ่งก็ไม่เกิด เพราะผู้ไม่เห็นแก่ตัวนั้นมันให้อภัยเสมอ มันด่ากันที เอา,ให้พรมัน เออ,มึงได้บุญ มึงด่ากู มึงสบายใจ หรือคดโกงอะไรบ้าง ก็เออ, ให้มันๆ ๆ ผู้ไม่เห็นแก่ตัวไม่ไปจับตัวมาฟ้องความแพ่งอย่างที่เป็นๆ กันอยู่ มันให้อภัย มันยกเลิกไปได้ คดีแพ่งก็ไม่มี คดีอาญาก็ไม่มี ถ้ามนุษย์ ประชาชน พลเมืองไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว เอากฎหมายไปทิ้งทะเล เลิกตำรวจ เลิกคุก เลิกตาราง เลิกศาล เลิกเรือนจำ เลิกอะไรหมดได้ ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัว พวกเหล่านั้นว่างงานหมด
ยิ่งกว่านั้นอีกก็คือว่าแม้แต่เรื่องทางศาสนาก็จะระงับไปเพราะว่าถ้าไม่เห็นแก่ตัว มันถึงหัวใจของพุทธศาสนาในอันดับสูงสุดแล้ว ศาสนาต้องการไม่ให้คนเห็นแก่ตัว ทุกศาสนาไปดูไปค้นดู หัวใจของพระคัมภีร์ของทุกศาสนาต้องการจะไม่ให้เห็นแก่ตัว แต่คนมันไม่ปฏิบัติ ถ้าเกิดปฏิบัติมันก็หมดปัญหาที่จะต้องมีศาสนา ศาสนาไม่ต้องมีก็ได้ พระคัมภีร์ไม่ต้องใช้ก็ได้ เรียกว่าถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วไม่ต้องมีทั้งกฎหมาย ไม่ต้องมีทั้งพระธรรม เพราะมันถึงพระธรรมเสียแล้ว แล้วมันคนที่ไม่ผิดกฎหมายโดยเด็ดขาดเสียแล้ว เรียกว่าไม่เห็นแก่ตัว
อ่านเรื่องของเล่าจื๊อ ปรมาจารย์ศาสดาพร้อมสมัยกับพระพุทธเจ้านะ เล่าจื๊อนี้พร้อมสมัยกับพระพุทธเจ้าในอินเดีย สอนประชาชนเรื่องไม่เห็นแก่ตัว แต่เขาก็สอนโดยวิธีที่ใช้คำที่ต้องตีความ คือลูกศิษย์ถามปรมาจารย์เล่าจื๊อนี้ว่าการปกครองที่ดีที่สุดนั้นเป็นอย่างไร ท่านอาจารย์ก็ตอบว่าการปกครองที่ไม่ต้องมีการปกครอง ไม่ต้องมีการปกครองนี้เป็นการปกครองที่สุด ลูกศิษย์มันโง่เกินที่จะเข้าใจไม่รู้จะว่าอย่างไร หมายความว่าถ้ามันไม่มีความเห็นแก่ตัว มันไม่มีการทำผิด มันไม่ต้องมีการปกครอง นี่คือการปกครองที่ไม่ต้องมีการปกครอง คนทุกคนไม่เห็นแก่ตัว จะทำผิดอะไรได้ เลยเป็นการปกครองที่ไม่ต้องมีการปกครองเพราะคนมันไม่เห็นแก่ตัว มันไม่มีเรื่องที่จะต้องจับตัวไปลงโทษหรือไปอบรมอะไร มันประเสริฐ นี่เรียกว่าไม่ยุ่งยาก ไม่ลำบาก ไม่เหน็ดเหนื่อยไม่ด้วยเรื่องการปกครอง แต่ได้รับผลของการปกครองที่ดีที่สุด นี่ถ้ามนุษย์เราไม่เห็นแก่ตัว ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องก็เป็นอย่างนี้ ได้รับความสงบสุขถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับเพราะไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว
เมื่อไรมันจะมีมา ถ้ามันมีมามันกลายเป็นโลกพระศรีอาริยเมตตรัยไปทันที โลกที่เดือดร้อนเลวร้ายนี้มันจะกลายเป็นโลกสงบเย็น เป็นโลกของพระศรีอาริยเมตตรัยไปทันที เมตตรัย แปลว่าเกื้อกูลแก่ความเป็นมิตร หมายความว่ามีความเป็นมิตรถึงที่สุด ศรี แปลว่าอย่างงดงาม อริยะ แปลว่าประเสริฐ ความเป็นมิตรที่งดงามประเสริฐถึงที่สุดนั่นแหละ โลกพระศรีอาริยเมตตรัย เขาบรรยายไว้ในลักษณะที่ว่าคนยากที่จะเชื่อว่าจะเป็นไปได้ คนดีเสมอกันจนกระทั่งว่าพอลงจากเรือนก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ใครเป็นใคร เพราะมันดีเสมอกันไปหมด พบหน้าก็แต่ยกมือขึ้นถามว่าจะให้ช่วยอะไรๆ ๆ ไปที่ไหนก็มีแต่คนถามว่าจะให้ช่วยอะไร จะต้องการอะไร ก็ช่วย ก็ให้แต่สิ่งที่ต้องการ นี่ถึงขนาดนี้ มันจะมีได้ที่ไหนเมื่อไรนั้นมันก็อีกเรื่องต่างหาก แต่ว่าเขาได้บรรยายลักษณะไว้อย่างนี้ คล้ายๆ กับสมัยนี้จะพูดก็พูดว่ามันมีสวัสดิการที่มาจากไหนก็ไม่รู้ มีสวัสดิการทั่วไปทุกหัวระแหง ต้องการอะไร ที่ไหน เมื่อไรก็ได้ จากนั้นเขาพูดง่ายๆ ชัดๆ สำหรับคนธรรมดาสามัญว่า คนแต่ละคนๆๆ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาเปรียบ พร้อมที่จะช่วย จนเป็นมิตรเหมือนกันไปหมด พอลงจากเรือนก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พอกลับบ้าน มาที่บ้าน อ้าว,จึงจะรู้ว่าภรรยาของเรา สามีของเรา ลูกของเรา พี่ของเรา น้องของเรา พอลงไปที่ถนนมันก็เหมือนกันไปเสียหมดอย่างนี้ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแท้ แต่ถ้าลองคิดดูบ้างว่าถ้ามันมีแต่ผู้ไม่เห็นแก่ตัวมันก็จะเป็นอย่างนี้ได้ ไม่มีใครเก็บของตก ของตกไม่มีใครเก็บเพราะว่าถือว่าเขาไม่ได้ให้เรา กล่าวไว้ในเรื่องโลกพระศรีอาริยเมตตรัย
อยากจะเล่าให้ฟังสักนิดหนึ่งว่ามันก็ไม่ใช่เหลือวิสัยเกินไปนัก การไม่เอาของตก ถ้าศึกษาเรื่องโบรมโบราณ เรื่องโบราณคดีสมัยศรีวิชัย ภาคใต้เรานี้เป็นสมัยศรีวิชัย ดินแดนสมัยศรีวิชัยโดยเฉพาะรอบอ่าวบ้านดอน จากไชยาไปคีรีรัตน์วกไปนครศรีธรรมราชเคยเป็นแผ่นดินศรีวิชัย พวกอาหรับทางตะวันตกสุดนั่นมาค้าขายแถวนี้ มันก็เลยยินเสียงเล่าลือว่าในกรุงศรีวิชัย ศีลธรรมเจริญสูงสุดจนไม่มีใครเอาของตก ไม่ถือเอาของตก มันไม่เชื่อ มันจึงอยากจะทดลอง มันแกล้งทิ้งทองคำไว้ที่ทางสี่แยก ทิ้งทีเดียวแล้วก็ไป ไปค้าต่อไปสามสี่ทีกลับมา มาพิสูจน์ว่าจะจริงหรือไม่ มาดูที่ตรงนั้น โอ้,ไม่เห็นโว้ย แต่ยังสงสัยว่ามันอาจจะจมอยู่ มันก็ควักดินหน่อยมันก็พบอยู่ใต้ดิน มันเขียนอยู่ในบันทึกของพวกอาหรับ พ่อค้าที่เคยมาเที่ยวบ้านเมืองสมัยกรุงศรีวิชัย ได้แก่บ้านเมืองภาคใต้เรานี่แหละ มันไม่มีข้อสงสัย มันจะเขียนโกหกไว้ทำไม เขียนหลอกตัวเองทำไม มันเป็นบันทึกตามธรรมดาของคนที่บันทึก นี่มันๆๆ ทำให้เชื่อได้ว่าแม้แต่โลกธรรมดา โลกคนธรรมดาสมัยธรรมดานี้มันก็ยังมีได้ที่คนไม่เอาของตก เมื่อมันนิยมศีลธรรม นิยมศีลธรรมเชิดชูบูชาศีลธรรมๆ มันก็ไม่มีใครเอาของตกจริงได้เหมือนกัน อย่าเห็นว่าเป็นของเหลือวิสัย ศีลธรรมมันสูงสุดได้อย่างนี้ เพราะมันไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง
ความไม่เห็นแก่ตัวเป็นธรรมะสูงสุด ความไม่เห็นแก่ตัวเป็นธรรมะสูงสุดในทางธรรมะแท้ๆ มันก็สูงสุด คือไม่เห็นแก่ตัวมันก็มีความรู้เรื่องอนัตตา อนัตตา แปลว่าตัวซึ่งมิใช่ตัว ไอ้ความรู้สึกว่าตัวๆ นี่มันต้องมีเป็นธรรมดา สัญชาตญาณมันต้องมีมาในจิตใจของสัตว์ ออกมาจากท้องแม่แล้วก็มีสัญชาตญาณนั้นติดมา ก็มีตัวๆๆ แต่มันยังไม่เห็นแก่ตัวๆ มันมีตัวเฉยๆ มันก็ไม่มีเลวร้ายอะไร ทีนี้มันค่อยๆ เห็นแก่ตัว ถูกใจมันก็ยิ่งเห็นแก่ตัวไปในทางเอา ไม่ถูกใจมันก็เห็นแก่ตัวในทางฆ่า ในทางทำลายนี่แหละ ถ้าเห็นแก่ตัวทั้งในทางบวกและทั้งทางลบค่อยเจริญๆ ๆ ขึ้นตามอายุ คือมากขึ้นๆ นี่จนเป็นของธรรมดาเต็มไปหมด เป็นผู้มีความเห็นแก่ตัว เมื่อควบคุมไว้ไม่อยู่มันก็ฆ่าเขาบ้าง ขโมยเขาบ้าง กาเมเขาบ้าง อะไรเขาบ้าง นี่เป็นผลของการเห็นแก่ตัว ถ้าควบคุมไว้อยู่มันก็ไม่มี
ศาสนานี้ขอให้ทราบว่ามันเกิดขึ้นเพราะจำเป็นบังคับ สังคมมันทนอยู่ไม่ได้ มันจึงเกิดผู้ที่ค้นคว้าว่าจะต้องทำอย่างไร มันค้นคว้าพบว่าต้องทำอย่างนี้ๆ ก็บัญญัติ คือช่วยกันให้บัญญัติขึ้นมาเป็นกฎเกณฑ์อย่างนี้ๆ เป็นศีลธรรม
ศีลธรรมก็ดี วัฒนธรรมก็ดี มันเกิดขึ้นเพราะความจำเป็นบังคับ มนุษย์มันทนอยู่ไม่ได้ มาปรึกษาหารือกันว่าจะเอาอย่างไร เกิดเป็นระบบศีลธรรมจริยธรรมขึ้นมาสำหรับปฏิบัติ และก็สมมติกันให้มีผู้ปกครองให้รักษากฎเกณฑ์อันนั้น เป็นพระราชาขึ้นมาอย่างนี้ ทั้งหมดนี้มันมาจากผู้เห็นแก่ตัวเป็นต้นเหตุ แล้วก็เจริญต่อไปจนเป็นระบบศาสนา สอนเรื่องไม่มีตัวคือพระพุทธศาสนา ถ้าศาสนาไหนสอนว่ามีตัวๆ มันก็ลำบากที่จะสอนไม่ให้เห็นแก่ตัว ถ้าระบบศาสนาที่สอนว่าไม่มีตัวๆ มันก็ไม่เห็นแก่ตัวได้ เพราะมันไม่มีตัว
ถ้าเป็นพุทธบริษัทแท้จริง รู้ความไม่มีตัวมันก็ไม่เห็นแก่ตัว มันก็หมดปัญหา เพราะฉะนั้นอย่าลืมว่าพุทธศาสนาเรานี้สอนเรื่องอนัตตา มีตัวซึ่งมิใช่ตัว ตัวซึ่งติดมาจากสัญชาตญาณนั้นมันไม่ใช่ตัว อย่าไปเห็นแก่ตัวอย่างนั้น อย่าไปตามใจตัวกิเลสอย่างนั้น มีตัวชนิดที่ไม่เห็นแก่ตัวอยู่เสมอ มันฟังยากหน่อยแต่มันก็เป็นได้ เมื่อรู้สึกจะเอา ทีนี้ความรู้สึกส่วนหนึ่งบอกไม่ได้ มันผิดหรือมันอะไรก็ตามที่มันไม่เห็นแก่ตัว ไอ้เห็นแก่ตัวมันจะเอา ไอ้ไม่เห็นแก่ตัวว่า อย่าๆๆ อย่าขโมย อย่าฆ่า อย่างนี้ ความไม่เห็นแก่ตัวนี้จึงเป็นที่ตั้งแห่งความสงบสุขตั้งแต่ชั้นต่ำๆๆ สุด สูงขึ้นไปๆ จนถึงพระนิพพาน พระอรหันต์คือผู้ที่หมดความเห็นแก่ตัวโดยสิ้นเชิง ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ไม่มีอหังการะๆ นั่นน่ะคือความเป็นพระอรหันต์
เดี๋ยวนี้มันมีความเห็นแก่ตัวมันก็เป็นปุถุชน หนักเข้าๆ ก็เป็นปุถุชนอันธพาล เป็นปุถุชนอันธพาลเลยเป็นตัวร้าย ตัวเลวร้าย ตัวเสนียดจัญไรในโลก เมื่อไม่เห็นแก่ตัวมันก็เป็นตัวฝ่ายดีฝ่ายกุศล เป็นสวัสดีมงคลแก่โลก จงรู้ว่าระบบจริยธรรม วัฒนธรรม และศาสนาสูงสุดนั้น ต้องไม่เห็นแก่ตัวๆ ข้าราชการเห็นแก่ตัว เห็นกันอยู่แล้วว่าทำอะไรบ้าง แม้แต่ลงเวลาในสมุดทำงานก็มาลงเวลาโกหกหลอกลวง ลงเวลาไม่จริง มันโกง มันพร้อมที่จะคอยเอาประโยชน์จากผู้มาติดต่ออย่างนี้ ข้าราชการมันเห็นแก่ตัว ข้าราชการครูเห็นแก่ตัวมันก็ดูเถอะ อ่านเอาเอง อ่านหนังสือพิมพ์เอาเอง มันก็ขูดรีดไปตามเรื่อง ประชาชนเห็นแก่ตัวมันก็ขูดรีดกันเอง ผู้แทนเห็นแก่ตัวมันก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว รัฐบาลเห็นแก่ตัวมันก็ต้องเหลือทน พระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัวมันก็ไม่ไหว เป็นว่าไม่มีทางที่จะผ่อนผันให้เห็นแก่ตัว เพราะคำๆ นี้มันหมายถึงการกระทำของกิเลส ไม่ใช่สติปัญญา ถ้าสติปัญญามันไม่เห็นแก่ตัวๆ มันเห็นแก่อะไร มันก็เห็นแก่ผู้อื่นสิ ลองไม่เห็นแก่ตัวสิ มันจะอัตโนมัติเห็นแก่ผู้อื่นทันที เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ตัวนี่มันเห็นแก่ความไม่ถูกต้อง เห็นแก่ประโยชน์ของตัวมันไม่ถูกต้อง พอไม่เห็นแก่ตัวมันก็เห็นแก่ความถูกต้อง ก็คือเห็นแก่ธรรมะ ก็ปฏิบัติธรรมะ และมีธรรมะ เมื่อไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันก็อัตโนมัติที่จะเห็นแก่ผู้อื่น รักผู้อื่น เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันได้ทันทีเพราะความไม่เห็นแก่ตัว
ความไม่เห็นแก่ตัวเป็นธรรมะสูงสุด สูงสุดทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายโลกียะและฝ่ายโลกุตระ ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็อยู่กันอย่างสงบสุข เป็นศาสนาพระศรีอาริยเมตตรัย ไม่เบียดเบียนกันแม้กระทั่งเส้นขน อยู่ในโลกนี้กันด้วยกันทุกๆ คนอย่างสงบเย็นและเป็นประโยชน์ สงบเย็นคือไม่ร้อน ไม่เป็นสัตว์นรกเพราะร้อน ไม่เป็นสัตว์เดรัจฉานเพราะโง่ ไม่เป็นเปรตเพราะหิว ไม่เป็นอสูรกายเพราะขี้ขลาด นี่ไม่มีสิ่งเหล่านี้มันก็เป็นความสงบเย็น ก็มีเมตตากรุณาปราณีแก่กันและกัน อยู่กันอย่างสงบสุขที่สุด นี้เรียกว่าถึงที่สุดในฝ่ายโลกียะในฝ่ายโลกที่จะอยู่กันในโลก
อีกทางหนึ่งซึ่งตรงกันข้าม เมื่อไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันก็ไม่เกิดกิเลสโลภะ โทสะ โมหะ ไม่เกิดกิเลส ลดกิเลสเรื่อยไป เพราะว่าถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วกิเลสเกิดไมได้ ไม่เห็นแก่ตัวแล้วกิเลสเกิดไม่ได้ กิเลสที่เคยเกิดอยู่ก็เกิดไม่ได้ มันไม่มีอาหารจะกิน ความเห็นแก่ตัวมันหล่อเลี้ยงกิเลส ถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วกิเลสมันขาดอาหาร มันเกิดไม่ได้ กิเลสมันก็หมด มันก็ไปเป็นพระอริยบุคคล เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์ นี่ทางนี้มันไปสู่โลกุตระจากมูลเหตุเดียวกัน คือไม่เห็นแก่ตัวๆ ๆ อยู่ในโลกก็อยู่กันอย่างสงบเย็น อีกทางหนึ่งก็ค่อยเอียงไปๆ หาโลกุตระ คือบรรลุมรรคผลนิพพาน ความไม่เห็นแก่ตัวมีประโยชน์ทั้งสองสถาน คือทั้งจะอยู่ในโลก หรือที่จะเหนือโลกข้ามพ้นไปจากโลกเพราะความไม่เห็นแก่ตัว แล้วคิดดูเถอะชีวิตจะกัดเจ้าของได้อย่างไร ถ้ามีความถูกต้องอย่างนี้ ถูกต้องอยู่อย่างนี้ ชีวิตไม่มีทางจะกัดเจ้าของในอย่างที่ว่ามาแล้ว ขอให้สนใจว่ามันสูงสุดทั้งฝ่ายโลกียะและฝ่ายโลกุตระ หรือทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม จิตใจสูงสุดทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม
ทีนี้มาพูดกันถึงคำว่าครู วิญญาณของครู คำว่าครูนี้ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ แต่ว่าครูนี้เป็นผู้นำในทางวิญญาณ อบรมวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายสูงขึ้นๆๆ เราเคยรู้กันมาว่าคำว่า ครู แปลว่าหนัก คือควรหนัก ควรเคารพ แต่การค้นคว้าทางอักษรศาสตร์กับภาษาศาสตร์ที่ละเอียดขึ้นไปในตอนหลังนี้ ปรากฏว่าคำว่า คุรุๆ นั้น รากของศัพท์ Root ของคำ แปลว่าเปิดประตูๆ มันค้นไกลไปกว่าธรรมดา เปิดประตูแห่งความโง่ ให้สัตว์ออกมาเสียจากความโง่หรืออวิชชา เปิดประตูให้ออกมาเสียจากความทุกข์ เพราะถูกกักขังอยู่ในคอก อยู่ในคอกนั้นมืด ทั้งเหม็น ทั้งสกปรก ทั้งเร่าร้อน ทั้งเป็นทุกข์ทรมานเบียดเบียนกัน เปิดประตูออกมาแล้วก็ไปสู่ที่โล่งที่แจ้ง ไปสู่ความผาสุก
ครูแปลว่าผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ครั้นแล้วก็เป็นผู้นำในทางวิญญาณ เป็นไกด์ มัคคุเทศก์ นำในทางวิญญาณ ให้มนุษย์ทุกคนรู้จักหนทางทางเดินไปตั้งแต่เล็กๆ แล้วก็ในที่สุดก็ได้พบจุดหมายปลายทางที่มีแต่ความสงบเย็น เพราะฉะนั้น ครูๆ ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ ถ้าอย่างนี้ก็ต้องมีปัญหาเรื่องลูกจ้างกับนายจ้าง แม้กับรัฐบาลก็เถอะ รัฐบาลเป็นนายจ้าง ครูเป็นลูกจ้าง ก็ต้องกระทบกันก็เหมือนกับลูกจ้างนายจ้างเป็นธรรมดา หาความสงบสุขหรือปกติสุขไม่ได้ และถ้าครูเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เป็นผู้นำในทางวิญญาณ ให้มอบให้มหาศาล รับเงินบำรุงนิดเดียว อย่างนี้ก็เป็นปูชนียบุคคลเพราะมันต้องรับอาหารรับการจุนเจือแหละ พระพุทธเจ้าก็ทำงานได้เงินเดือนวันละบาตร พระพุทธเจ้าก็มีเงินเดือนวันละบาตรๆ แต่ส่วนที่พระพุทธเจ้าให้มันมีราคาเป็นแสน เป็นล้าน เป็นโกฏิ มันจึงเป็นปูชนียบุคคล ผู้ใดเสียสละประโยชน์ตนให้แก่ผู้อื่นมาก รับการบำรุงเป็นค่าใช้สอยเพื่อเป็นอยู่อย่างนี้มันก็เป็นปูชนียบุคคล อย่าไปทำตัวเป็นลูกจ้าง ทำตัวเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำงานอย่างสหกรณ์ ผู้ที่ทำหน้าที่ลูกจ้างๆ ตามธรรมดาสามัญอย่าคิดว่าเป็นลูกจ้าง ฉันจะเป็นผู้ช่วยกันสร้างโลกให้งดงาม ให้ผาสุก ร่วมมือกับนายจ้าง แต่ฉันไม่ใช่ลูกจ้าง ฉันสร้างโลกให้งดงาม แล้วนายจ้างให้เงินค่าใช้สอย ให้สามารถสร้าง สามารถทำหน้าที่ของตนได้ดี และเป็นการได้บุญด้วย ถ้าทำอย่างนี้มันได้บุญด้วย มันได้เงินค่าบูชาคุณด้วย ไม่ใช่ลูกจ้าง พ้นสภาวะความเป็นลูกจ้าง ครูเป็นปูชนียบุคคลในลักษณะอย่างนี้
แต่ก็มีครูเป็นอันมากที่มีลักษณะเป็นลูกจ้าง สอนหนังสือหากินไปวันๆ ไปวันๆ มีอยู่สมัยหนึ่งซึ่งครู อาชีพครูนี้เขาจัดให้เป็นอาชีพเรือจ้าง หมายความว่าขอไปที ไม่มีเงินจะเรียนวิชาอย่างอื่นก็เป็นครูไปพลาง แล้วก็เรียนกฎหมายไปพลาง เรียนอะไรไปพลาง ก็ไปหางานข้างหน้าได้เป็นผู้พิพากษา เป็นอะไรไป ครูเป็นอาชีพเรือจ้างอย่างนี้ก็มีอยู่มาก อาตมาเองก็รู้จักหลายคนที่ใช้ครูเป็นอาชีพเรือจ้างเพื่อจะเข้าไปสู่อาชีพที่สูงกว่า มันก็ไม่ถูกนักที่จะคิดอย่างนั้น เพราะว่าครู อาชีพครูนี้ เป็นปูชนียบุคคล ประเสริฐสูงสุดกว่าอยู่แล้ว ตั้งใจให้เป็นปูชนียบุคคล ทำหน้าที่ของตนให้ตรงตามความหมายของคำว่าครู ครูเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณให้เด็กๆ ออกมาเสียจากคอกแห่งความโง่ คอกแห่งความเห็นแก่ตัว คอกแห่งกิเลสตัณหา ให้มีความถูกต้องๆ ๆ ยิ่งขึ้นทุกที เขาจะเป็นมนุษย์ที่เรียกว่าเป็นมนุษย์ได้สมชื่อ คือมีจิตใจสูง มีจิตใจสูงอยู่เหนือปัญหาและความทุกข์ นี่ครูสร้างให้
เพราะฉะนั้นครูจึงเป็นปูชนียบุคคล มีพระคุณอยู่เหนือเกล้าเหนือเศียรของคนทุกคน เพราะว่าเป็นผู้เปิดประตู เพียงแต่สอนหนังสือธรรมดาสามัญนี่ยังไม่ถึงขนาด ต้องสอนศีลธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม ให้เขารอดตัวไปได้ เพียงแต่เขาฉลาด ไอ้เขาฉลาดนั้นไม่พอ เขาเอาฉลาด เอาความฉลาดไปใช้เห็นแก่ตัว เลวร้ายใหญ่ การศึกษาในโลกกำลังเป็นหมาหางด้วน ดีแต่สอนให้ฉลาดๆ ๆ แล้วไม่ควบคุมความฉลาด เอาความฉลาดไปเห็นแก่ตัวๆๆ ทุจริต คดโกง โลกจึงเป็นอย่างนี้ เพราะมีแต่คนฉลาดๆ และเห็นแก่ตัว ทว่าการศึกษาถูกต้อง มีพระศาสนาเข้าไปควบคุมพรหมจรรย์ ควบคุมๆ อยู่แล้วมันก็ไม่อาจจะเห็นแก่ตัว พลเมืองก็จะไม่เห็นแก่ตัว พลเมืองก็จะมีความถูกต้องในการรักเพื่อนมนุษย์ มีลักษณะเป็นสหกรณ์ช่วยกันสร้างโลกที่มีสันติสุข
การศึกษาเปลี่ยนมาๆ เพราะว่ามันเปลี่ยนไปทั้งโลก มันเปลี่ยนไปทั้งหมด มันมาต้องการเกิน กินอยู่เกิน กินอยู่ดีเกิน อะไรเกิน มันไม่ทัน มันก็ต้องมีความเห็นแก่ตัว นี่มันก็เป็นกฎของธรรมดา ถ้าเราจะเอาชนะให้ได้เราก็ต่อสู้ให้ได้ จะไม่ยอมเห็นแก่ตัวๆ จะไม่หลงในส่วนเกิน ระบบอุตสาหกรรมมันช่วยทำให้เกิดปัญหาข้อนี้ เขามีอำนาจเงิน เขาสร้างอุตสาหกรรม ผลิตของที่ไม่จำเป็นออกมา ที่จำเป็นน้อย แล้วก็ใช้ศิลปะหลอกลวงโฆษณาจนคนต้องซื้อ ยายแก่หนังเหนียวก็ซื้อ ยอมซื้อตู้เย็น เพราะโฆษณามันเก่ง นี่เราจึงต้องซื้อของใหม่ออกมาเรื่อย ของออกมาใหม่ก็ต้องซื้อเรื่อย เปลี่ยนของเก่าเรื่อย ทั้งที่มันใช้อยู่ได้แล้วมันก็ยังต้องเปลี่ยนเรื่อยๆ มันไปทำสิ่งที่เกิน หรือไม่ควรจะทำโดยมากขึ้น เปลี่ยนเรื่อยๆ อุตสาหกรรมก็จะผลิตออกมาเรื่อย ก็โฆษณาหนักขึ้นไปเรื่อยมันก็ขายได้
นี่สรรพสินค้าไปดูเถอะ มันมีแต่ของเกิน ถ้าเอาแต่ส่วนที่จำเป็นแล้วจะเหลือสักสิบเปอร์เซ็นต์ เดี๋ยวนี้เรากำลังถูกหลอกถูกลวงด้วยผู้ตั้งใจจะหลอกลวงจะควักกระเป๋าของเราด้วยการผลิตของเกินอันสวยงามออกมาแล้วโฆษณากันเป็นอย่างยิ่ง ลูกเด็กๆ ก็เป็นอย่างนั้น และก็ยากที่ครูจะไปควบคุมหรือบังคับ เพราะว่าแรงของกิเลสมันมากกว่า ศีลธรรมมันจึงตกต่ำๆ เห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นๆ นี่ถ้าครูเป็นครูปูชนียบุคคลอันแท้จริง สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิด แต่จะเป็นปูชนียบุคคลโดยแท้จริงนั้นมันต้องเสียสละมาก ครูผู้เห็นแก่ตัวทำไม่ได้หรอก ครูที่รับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ ทำไม่ได้หรอก ที่จะเสียสละเพื่อเปิดประตูทางวิญญาณนี้ แต่ถ้าว่ามานึกว่าเราจะต้องทำให้มันสมเกียรติสมชื่อครูเป็นปูชนียบุคคล ต้องทำให้เกิดผลเป็นปูชนียบุคคล ย่อมเสียสละความสรวลเสเฮฮา ความสนุกสนาน เมามายอะไรเสีย เลิกอุ้มไก่ชน เลิกอุ้มขวดเหล้าเท่านั้นแหละ ครูก็จะเป็นปูชนียบุคคลเข้ามาได้ทุกทีๆ
เอาอย่างพระพุทธเจ้าผู้เสียสละเป็นพระบรมครู เราเป็นครูของรัฐบาล แต่หัวใจของเราสังกัดพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู เอาพระพุทธเจ้าเป็นบรมครูแล้วก็จะเกิดการเสียสละ พระพุทธองค์ทำงานครบวงจร ๒๔ ชั่วโมง ถ้ายังไม่ทราบ ก็อยากจะให้ทราบบ้างว่าหัวรุ่งก่อนสว่างนี่ พระพุทธเจ้าก็ตรวจ ใช้ดวงวิญญาณส่องโลก คือส่องโลกมาแล้วตรวจไปทั่วๆ ทั่วๆ บ้าน ทั่วๆ เมือง ว่าวันนี้สว่างขึ้นแล้วจะไปโปรดใครที่ไหน เพราะพระพุทธเจ้าก็ได้ยินได้ทราบได้อะไรอยู่ว่าที่ไหนเป็นอย่างไร ใครเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนในบ้านนี้เมืองนี้ และมันมีมากคนด้วยกัน
หัวรุ่งก็เล็งญาณส่องโลกว่าจะไปโปรดใครที่ไหน พอตกลงแน่ใจจะไปที่นั่นแล้วก็พอสว่างขึ้นก็ไปบิณฑบาตที่นั่น เพื่อให้ได้โอกาสพบบุคคลนั้น ให้ได้พูดจากับบุคคลนั้น เอาชนะบุคคลนั้นให้ได้ บางทีก็ฉันที่บ้านนั้น พูดจากันที่บ้านนั้นจนเที่ยงจนสายจึงจะกลับ ท่านพยายามอย่างนี้ ไอ้ตอนเที่ยงนี่มันจะพักผ่อนพักร้อนหน่อยก็ได้ พอตอนบ่ายมันก็ต้องมีคนไปหาที่วัดอีกแหละ ตอนบ่ายมีคนไปหาที่วัด มันก็ต้องพูดจากันไปสุดที่จะทำได้เพื่อจะโปรดเขา
พอตอนค่ำลง พอพลบค่ำลง ก็ต้องสอนภิกษุสามเณรที่อยู่ประจำวัด ปโทเส ภิกขุโอวาทัง พลบค่ำสอนภิกษุสามเณร ทีนี้พอเที่ยงคืนสอนพวกเทวดา อัฑฒรัตเต เทวปัญหะนัง เทวดาคนๆ เช่น พระเจ้าแผ่นดินก็ไปหาเวลาเที่ยงคืน เทวดาที่มาจากสวรรค์ก็ลงมาเวลาเที่ยงคืน เวลาเที่ยงคืนเป็นเวลาแก้ปัญหาเทวดา ดึกดื่นเลยไปพักผ่อนนิดหน่อยเดี๋ยวก็หัวรุ่งอีกแล้ว หัวรุ่งก็เล็งญาณสอดส่องว่าพรุ่งนี้จะไปที่ไหนนี่ เป็นอย่างนี้ครบวงจรๆ เราทำงานครบวงจรอย่างนี้กันหรือเปล่า หรือจะเจียดเวลาไปบ่อนไก่ ไปโรงเหล้า ไปเต้นรำ ไปอะไร มันก็ๆ เทียบกันไม่ได้ มันไม่ได้ทำหน้าที่ ๒๔ ชั่วโมง ครั้นทำหน้าที่ที่เมืองนี้ จังหวัดนี้ ชนบทนี้สมควรแล้วก็จะไป ย้ายไปชนบทอื่น ทำอย่างไร ไม่มีรถยนต์ๆ แล้วก็ไม่นั่งยานพาหนะที่เทียมด้วยสัตว์มีชีวิต รถม้าก็มีแต่ไม่นั่งเพราะมันเทียมด้วยสัตว์มีชีวิต เกวียนก็มีก็ไม่นั่งเพราะมันเทียมด้วยสัตว์มีชีวิต มันก็ต้องเดิน ท่านก็ต้องเดิน อาตมาพยายามค้น ค้นดูในพระบาลีทั่วๆ ไป โอ้, พระพุทธเจ้านี่ไม่มีรองเท้านะ แม้ในวินัยพูดถึงเรื่องรองเท้ากันมากๆ
พระพุทธเจ้าไม่มีรองเท้า ไม่ได้ใช้รองเท้า ก็เดินเท้าเปล่าเหมือนกับหมอเมืองจีน เหมือนกับหมอเท้าเปล่า ร่มก็ไม่มีนะ ร่มก็ไม่มี กลางวันแดดเปรี้ยงๆ ท่านก็เดินได้เป็นโยชน์ๆ ไปเมืองอื่น พระพุทธเจ้าไม่มีรองเท้า ไม่มีร่ม ไม่มีมุ้ง ไม่มีอะไรอย่างที่พระเดี๋ยวนี้เขามีกัน ท่านก็เดินไปได้ ไปที่อยู่ที่เมืองไหนก็ทำอย่างเดียวกันอีก ทำงานครบ ๒๔ ชั่วโมงอีกน่ะ ทำอย่างนี้ๆ เรื่อยไปแม้วันที่จะปรินิพาน เรียกว่าค่ำนี้จะปรินิพานนี่ กลางวันยังเดินอยู่เป็นโยชน์ๆ เจ็บป่วยด้วย พระพุทธเจ้าไม่รู้จักโรงพยาบาล พระพุทธเจ้าไม่เคยไปโรงพยาบาล ไม่เคยขอร้องให้พาไปโรงพยาบาล ไม่รู้จักโรงพยาบาล พระพุทธเจ้า บำบัดเยียวยาไปตามธรรมชาติด้วยความอดกลั้นอดทน มันก็เป็นไปได้ จนอายุ ๘๐ ปีสู้ไม่ไหวก็นิพพาน แต่ว่าท่านทำงานครบวงจรจนนาทีสุดท้าย ไปถึงที่ที่จะปรินิพพานในตอนเย็น เตรียมที่ปรินิพพาน นิพพานกลางดิน มีเตียงมีตั่งตั้งหน่อยหนึ่งพอได้นอนปรินิพพาน บางแห่งมีว่าปูสังฆาฏิ ๔ ชั้นแล้วนอน ประทับนอนเพื่อปรินิพพานอย่างนี้ก็มี แต่เอาล่ะ เป็นว่าเตียงแขก เตียงเตี้ยๆ เตียงสูงคืบเดียววางอยู่กลางดินแล้วก็ปรินิพพานที่นั่น
จะปรินิพพานอยู่หยกๆ อย่างนี้แล้ว ก็มีนักบวชในลัทธิอื่นในศาสนาอื่นมาทูลขอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเพื่อดับทุกข์ จะปรินิพพานอยู่อย่างนี้ พระสงฆ์ทั้งหลายก็อดสู้ไม่ไหว ทำอย่างนี้ ไม่ไหว ไล่ ไล่คนนั้น พระพุทธเจ้าได้ยินเสียงไล่ อู้,อย่าไล่ๆ ให้มา ให้เข้ามา ให้เข้ามาแล้วก็ทูลถามและตรัสตอบ ก็ทรงสั่งสอนๆ จนคนนั้นรู้ธรรมะพอที่จะเป็นพระอรหันต์และเป็นองค์สุดท้ายที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน เป็นพระอรหันต์คนสุดท้าย ต่อมาไม่เท่าไรท่านก็ปรินิพพานตามวิธีของท่าน ทำจิตเป็นสมาธิ ถอยไปถอยมาด้วยสมาธิสูง สมาธิต่ำ พอถึงโอกาสเหมาะอันหนึ่ง ก็เหมือนกับปิดสวิทช์ไฟ ดับไฟเลย เหมือนกับปิดสวิทช์ไฟ นิพพานอย่างไม่มีความทุกข์อะไรเลย
นี่เรียกว่าท่านทำหน้าที่ของท่านจนวินาทีสุดท้ายที่จะทำไหว เราทำงานอย่างนั้นกันหรือเปล่า พอไม่สบายก็ไปอยู่โรงพยาบาลแล้ว นี่ท่านอยู่กับงาน อยู่กับงานจนนา วินาทีสุดท้าย แล้วก็ปรินิพพาน นั่นล่ะพระบรมครูของพวกเรา จงรู้จักกันไว้บ้าง ถ้าบูชาพระบรมครูก็พยายามเอาอย่าง ทำหน้าที่เปิดประตูทางวิญญาณในความหมายเดียวกัน พระพุทธเจ้าเป็นพระบรมครูก็เปิดประตูใหญ่ ประตูลึกให้แก่สัตว์ ไอ้เราเป็นธรรมดาก็เปิดประตูเล็กๆ ไปตามธรรมดา แต่ขอให้ได้ความหมายว่าเปิดประตูทางวิญญาณด้วยกันนั้น ให้คนนั้นมีความรู้ถูกต้องตามที่เป็นจริงเพื่อจะไม่เป็นทุกข์ จนกว่าชีวิตมันจะดับไป ดับไปมันก็ปิดสวิทช์ไฟ นั่นหน้าที่ของครู แม้จะสอนหนังสือ ก ข ก กา ก็เพื่อความฉลาดอันจะมาถึงข้างหน้าแล้วก็สูงขึ้นไปๆ ให้รู้จักรับผิดชอบ มันเป็นเรื่องเกลียดบาป กล้าบุญ ไม่เห็นแก่ตัว ถูกต้องยิ่งขึ้นๆ ให้สำเร็จประโยชน์ตน สำเร็จประโยชน์ผู้อื่น และสำเร็จประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกันทั้งตนและผู้อื่น นี่ประโยชน์มีอยู่ ๓ อย่างอย่างนี้ นี่คือเรียกว่าเป็นลูกศิษย์พระบรมครู คือพระพุทธเจ้า เป็นปลายทางสุดของการดำเนินชีวิต ถ้าท่านพูดว่าดำเนินชีวิต คือดำเนินวิถีทางแห่งชีวิต ก็ขอให้ทราบว่าจบที่ตรงนี้ มันไปจบที่ตรงนี้ คือเป็นมนุษย์ที่ปราศจากปัญหา ไม่มีความทุกข์ใดๆ แล้วก็ดับไป เหมือนอย่างปิดสวิทช์ไฟนั่นแหละ จบชีวิตอย่างนั้น
ครูที่จะสอนเขาก็ต้องพยายามให้เป็นอย่างนั้น เป็นตัวอย่างที่ดีเพียงข้อเดียวว่าไม่เห็นแก่ตัวๆ รักลูกศิษย์เป็นชีวิตจิตใจ ต้องการให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่เกิดมา นี่เรียกว่าวิถีทางดำเนินชีวิตของผู้ที่จะเป็นครู ยึดหลักความถูกต้อง ๘ ประการที่เรียกว่าอริยอัฏฐังคิกมรรค เรียกว่าทำทุกสิ่งทุกอย่างในลักษณะที่เรียกว่าสหกรณ์กัน เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายกัน เขาจะเป็นคนยากยนยากเย็นเข็ญใจ เป็นขอทาน เป็นอะไรก็ว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ไม่มีความเห็นแก่ตัวในความหมายใดๆ เพราะรู้ความจริงที่ว่าทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว ปฏิบัติหน้าที่สูงสุดที่อยู่ในโลกนี้ เป็นความสงบสุข และมีความเอียงๆ ค่อยๆ เอียง ค่อยๆ เท ค่อยๆ ลาดเทไปทางพระนิพพาน สำเร็จประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายโลกและฝ่ายธรรมะ นี่เรียกว่าวิถีทางดำเนินแห่งชีวิตที่ถูกต้อง ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมา คือคนเห็นแก่ตัวก็อาจจะพูดว่า ฉันไม่ได้สัญญากับใครว่าเกิดมาจะต้องทำอะไร ฉันก็ไม่ต้องทำ เอ้า,ก็ลองดูสิ ลองไม่ทำดูสิ ลองไม่ทำหน้าที่แบบนี้ที่ถูกต้อง มันก็จะไปเข้าล็อกที่เรียกว่าเป็นบ้าหรือฆ่าตัวตายในที่สุด
เราจะได้สัญญาหรือไม่ได้สัญญาว่าจะปฏิบัติธรรมก็ตาม แต่เมื่อเกิดมาอย่างนี้แล้วมันก็มีความเด็ดขาดว่าท่านจะต้องทำอย่างไรชีวิตจึงจะไม่กัดเจ้าของ คือไม่กัดตัวท่าน แล้วท่านก็ทำได้ตามนั้นก็เป็นมนุษย์สูงสุด เป็นมนุษย์ที่มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ฉะนั้นขออย่าได้ประมาทผลัดเพี้ยนขัดแย้งอะไรอยู่เลย จงศึกษาธรรมะดีที่สุด ปฏิบัติธรรมะดีที่สุด แล้วก็มีธรรมะดีที่สุด ใช้ธรรมะดีที่สุด รับประโยชน์จากการใช้ธรรมะดีที่สุด นั่นแหละวิถีทางดำเนินชีวิต
ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลาย อุตส่าห์ตั้งใจฟังมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดนึกอย่างละเอียดละอออยู่บ้าง เพราะว่าธรรมะเป็นของลึกซึ้งอย่างนี้เอง ยังได้นำไปใคร่ครวญพิจารณาให้พบหัวใจของธรรมะ คือว่าถูกต้อง ๘ ประการ แล้วก็ทำงานอย่างทุกชีวิตเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน แล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว จึงจะถูกต้องทุกๆ ประการในการดำเนินวิถีทางแห่งชีวิต ขอให้หลักการอันนี้เป็นที่แจ่มแจ้งแก่ท่านทั้งหลายและสามารถประพฤติบำเพ็ญให้มีอยู่ ให้เจริญงอกงามก้าวหน้า เป็นสุขสวัสดีในหน้าที่การงานของตนอยู่ตลอดเวลาทุกทิพาราตรีเทอญ ขอยุติการบรรยาย