แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านครูบาอาจารย์ซึ่งมีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับการศึกษาทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ เพื่อแสวงหาความรู้ในสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ เพื่อนำไปใช้ประกอบในหน้าที่การงานของตน ให้มีผลยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อประโยชน์ของสังคมและประเทศชาติ และตลอดถึงโลกให้มีเหตุผลที่ควรจะอนุโมทนาและยินดีด้วย อาตมายังขออนุโมทนาและสนองความประสงค์เท่าที่สามารถจะทำได้ แต่โปรดทราบไว้ว่า เรื่องเกี่ยวกับเทคนิกการศึกษาอะไรเหล่านี้ไม่ค่อยจะมีความรู้ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง มีความรู้อยู่บ้างก็เรื่องของธรรมะ แต่เผอิญว่าเรื่องของธรรมะ มันก็เกี่ยวข้องกันอยู่กับเรื่องของการศึกษา ยังพอจะพูดกันได้เท่าที่มันจะเกี่ยวข้องกันมากน้อยเพียงไร
การศึกษาก็ศึกษาธรรมะนั่นแหละ แต่เราไม่เรียกอย่างนั้น ที่จริงก็คือศึกษาธรรมะ ธรรมะคือวิธีหนสำหรับจะรอดจากความทุกข์และปัญหาทั้งปวง เรียกว่าธรรมะ ธรรมะ น่ะ หมายถึงวิธีที่ถูกต้องเพื่อความรอดจากปัญหาทั้งปวงนั้น ทีนี้ก็แบ่งออกเป็นสองขั้นตอนโดยธรรมชาตินั้น หมายความว่าคนเรามันมีทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นสองฝ่ายกันอยู่ ความถูกต้อง ต้องมีทั้งสองฝ่ายคือทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตใจ ชีวิตนี้จึงจะเป็นไปด้วยดี ฝ่ายร่างกายนั้นหมายถึงฝ่ายวัตถุด้วย ร่างกายก็เป็นวัตถุ หรือวัตถุโดยตรงก็ยังมีเกี่ยวข้องกันอยู่กับกาย จึงต้องมีความถูกต้องทางฝ่ายกาย ซึ่งรวมวัตถุอยู่ด้วย นี้อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจซึ่งจะต้องมีความถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของเรื่องนั้นๆ เมื่อคนเรามีความถูกต้องทั้งทางฝ่ายร่างกายและจิตใจ มันจึงจะหมดปัญหา ดังนั้นจึงมีธรรมเนียมมาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นต้นตอของวัฒนธรรม และการศึกษาของประเทศในถิ่นแถบทวีปนี้ ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย ดังท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่ ว่าทางการศึกษาล้วนๆ หรือแม้แต่ตัวหนังสือที่ใช้ มันก็ถ่ายออกมาจากอินเดีย จริยธรรม วัฒนธรรม ศาสนาก็มาจากอินเดีย ทั้งสองอย่างนี้ชาวอินเดียนำมาให้ถึงบ้าน ถึงประตูบ้าน เป็นเวลาตั้งพันหรือสองพันปีมาแล้ว เราก็ได้รับ แต่เมื่อสังเกตดูตามระบบการศึกษาของอินเดียโบราณ มันก็มีการศึกษาครบถ้วนทั้งสองฝ่ายอย่างนี้เอง คือฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตใจ เป็นไปอย่างถูกต้อง ว่าที่จริงก็มีขนบธรรมเนียมประเพณี หรือกระทั่งพิธีรีตองละเอียดละออมากสำหรับชาวอินเดีย ซึ่งประกอบกระทำแก่มนุษย์นับตั้งแต่ว่าตั้งครรภ์ แล้วมันก็คลอดออกมาเป็นทารก เป็นเด็ก โตเป็นหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน กระทั่งเข้าโลงไป เราก็มีวัฒนธรรมอินเดียเป็นแบบแผนอยู่ตลอด จัดให้มีการศึกษาขั้นต้นหรือปฐมวัย มันก็เป็นเรื่องทางกาย ทางวัตถุ แล้วก็ค่อยๆเพิ่มเรื่องจิตใจ เรื่องจิตใจเข้าไปมากขึ้นๆ พร้อมที่จะเผชิญโลก ก็เรียกว่าจบการศึกษา มีการศึกษาเพื่อความถูกต้องทาง ทาง ทางโลก จะเป็นเรื่องทางชีวิต ร่างกาย ทางสุขภาพ ทางอนามัย สมรรถภาพสำหรับจะต่อสู้กับโลกนี้ ก็เรียนกันจนจบในอาศรมหนึ่งๆ แล้วก็เลื่อนไปสู่อาศรมอื่นๆ ที่สูงขึ้นไป จนกลายเป็นเรื่องทางจิตใจที่เป็นธรรมเนียม ผู้จบการศึกษาจากอาศรมสูงสุด แล้วก็มีเรียกชื่อว่าเป็นบัณฑิต บัณฑิตมาแต่ครั้งกระโน้น แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยเรียกแล้ว
แปลว่ามนุษย์เริ่มเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาเบื้องต้นและเบื้องปลาย เรานี่ถ้าจะพูดตรงๆ โดยไม่ละอาย ก็เป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมของอินเดีย เรียกได้ว่าเป็น INDIA CULTURAL COLONY หรือ CULTURAL INDIA COLONY COLONY ก็คือเมืองขึ้นทางวัฒธรรมของอินเดีย คุณดูว่ารับอะไรมาจากอินเดีย เดี๋ยวนี้ชื่อคนไม่มีเป็นชื่อไทยมันสักชื่อแล้วมั้ง เป็นชื่อภาษาบาลีสันสกฤตหมด ขนบธรรมเนียมประเพณีทั้งหลายก็ยังคงอยู่บอลลีวู้ด ไอ้ความเจริญทั้งหลายมันถ่ายทอดมาจากอินเดียทางวรรณคดี ทางศิลปะแม้แต่ทางบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ แม้กระทั่งข้าวปลาอาหาร การ การ การปรุงแต่งอาหาร การบันเทิง การอะไรต่างๆ มันยังเป็นอินเดีย หรือเป็น เป็นคราบของอินเดีย ซึ้งเปลื้อง เปลื้องออกไม่หมด แต่เราไปเรียกว่าไทย ไทยนี้ ทีนี้เราจึงสังเกตดูต้นตอเดิมว่า ของอินเดียมันเป็นมาอย่างไร การศึกษาสมัยโบราณนั้น โดยเฉพาะที่อินเดีย นั้นมันก็เป็นเรื่องของทางบรรพชิต คือพระสงฆ์หรือวัดวาอารามมันจัดการศึกษา ดังนั้นการศึกษามันจึงเป็นแฝดกันอยู่กับศาสนา มันไม่แยกกัน มันแฝดอยู่ด้วยกันกัน เพราะฉะนั้นการศาสนามันจึงจะควบคุมการศึกษาให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ถูกต้อง เป็นทางธรรมะมากขึ้น การศึกษาทำให้ฉลาดๆ ๆ แล้วก็เอาความฉลาดไปใช้ให้ถูกต้อง ในการที่จะส่งเสริมจริยธรรม วัฒนธรรม สันติภาพ เดี๋ยวนี้มันแยกการศึกษาออกไปจากศาสนา หรือแยกศาสนาออกไปจากการศึกษา ประเทศมหาอำนาจมันทำ ประเทศลูกเด็กๆ ตามกันเขาก็ต้องทำตาม ลัทธิเซ็กเซอเลอไรเซชั่น(นาทีที่8 : 34) มันก็ครอบงำโลก แยกศาสนาออกไปจากการศึกษา การศึกษามันก็ฟรี ฉลาดๆ ๆ แล้วเอาไปใช้ทำอะไรก็ได้ จนเดี๋ยวนี้เอาความฉลาดในการศึกษาไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง การเศรษฐกิจ การพัฒนาอย่างลวกๆ ไปหมดเลย เรียกว่ามันมีปัญหาเกิดขึ้นมา
เป็นที่รู้กันว่ามหาวิทยาลัยสูงสุดอ็อกซฟอร์ด เคมบริดจ์ของโลกนั้น เมื่อก่อนนี้มันเป็นโรงเรียนราษฎร์ของวัด โรงเรียนราษฎร์ต๊อกต๋อยของวัด วัดจัด พระจัดน่ะ แล้วมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงๆ สองสามร้อยปีมันก็เลยกลายเป็นอิสระ เป็นอิสระ เรียกว่าจะเกือบหมดเสียแล้ว เหลือแต่พิธีนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่มีความหมายอะไร
การศึกษาซึ่งเคยให้สุภาพบุรุษ ผู้บริสุทธิ์ มันก็กลายเป็นให้เกิดสุภาพบุรุษผู้เห็นแก่ตัว สุภาพบุรุษผู้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เอาความฉลาดที่ได้จากการศึกษานี่ ไปใช้เพื่อประโยชน์เห็นแก่ตัว มันก็น่าเห็นใจ มันก็ช่วยไม่ได้ มันเป็นกันทั้งโลก เพราะว่าใครจะมางุ่มง่ามเพื่อจริยธรรม วัฒนธรรมอยู่ มันไม่ทันเขา มันกลัวจะไม่ทันเขา มันก็ไม่กล้าจัดเพื่อจริยธรรมหรือสันติภาพ มันจัดเพื่อพัฒนา พัฒนาทางการเมือง ทางการเศรษฐกิจ ทางการทหารการอะไรต่างๆ ที่มันจะได้เข้มแข็ง จะได้ครองโลก ก็ลองคำนวณดูเอาเองเถอะว่ามันจะเปลี่ยนมากขนาดไหน การศึกษาซึ่งยุคกระโน้นมันเป็นไปเพื่อจริยธรรม สันติธรรม สันติภาพ วัฒนธรรม เดี๋ยวนี้มันไปเพื่อรับใช้การเมือง รับใช้การเศรษฐกิจ รับใช้การทหาร ถ้าพูดตรงๆ ก็ว่าการศึกษามัน มันไปเป็นทาสของการเมือง มันไม่ได้ควบคุมการเมือง มันไม่ ไม่ ไม่เป็นที่นำการเมือง เหมือนสมัยโน้นที่มันยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ แล้วจะโทษใครล่ะ? โทษใครก็ไม่ได้ ใครมีอำนาจ โครงการไหนมีอำนาจ ก็มีอำนาจที่จะทำไป รัฐบาลมีอำนาจก็ทำไปตามความประสงค์ของรัฐบาล รัฐบาลที่นำโลกทำอย่างไร รัฐบาลเล็กๆ รัฐบาลเพิ่งพัฒนา หรือด้อยพัฒนา มันก็ต้องทำตาม เพราะฉะนั้นจึงละเลยจริยธรรม วัฒนธรรม และศาสนากันมากมายทีเดียว ตามความผันแปรของโลกในทางการเมือง เด็กๆ สมัยก่อน ไม่ต้องเท่าไรละ สัก ๘๐,๙๐ปี ชั่วอายุอาตมานี่ พอเขาทักว่าบาป มันสะดุ้ง มันเหลียวหา มันหาทางแก้ตัว ช่วยทำเสียใหม่ให้ถูกต้อง เด็กสมัยนี้พอบอกว่าบาป มันก็แลบลิ้นหลอกเลย มัน มันต่างกันเท่าไรท่านก็ลองคิดดู เด็กก่อนๆ ไม่มีจะยิงนก หรือข่มเหงสัตว์ในวัดนี้ เด็กสมัยนี้มันเกิน นกกางเขนดงมันเข้าไปออกลูกในกุฏิพระนั้น พระก็คุ้มครองเลี้ยงดูจนมัน จนบินได้ เด็ก เด็กมันก็ไปจะเอา ท่านก็บอกว่าไม่ได้ มันก็จะยิงหัวพระด้วยหนังกระติ๊ก เอากับมันสิ ถ้าเป็นเด็กสมัยก่อนก็หนีเลย เปิดเลยแหละ ถ้าพระเห็นแล้วก็บอกว่านี่มันเลี้ยงอยู่เว้ย นี่ นี่คุณวัดเอาเองว่า
การศึกษากับการศาสนาน่ะมัน มันแยกจากกันกี่มากน้อย คนสมัยก่อนกลัวบาป แล้วก็กล้าบุญ กลัวบาปแล้วก็กล้าบุญ สมัยนี้มันไม่กล้าบาป เอ้อ,ไม่กลัวบาป มันกล้าบาป แล้วมันกลัวบุญ มันเกลียดบุญ นี่เป็นความจริงที่กำลังมีอยู่จริง ผู้จัดการศึกษาจะมองเห็นหรือจะเข้าใจ หรือจะอะไรก็ไม่ทราบ แต่อาตมาเล่ารื่องให้ฟังว่า ปัญหามันได้เกิดขึ้นแล้ว ธรรมะ ธรรมะน่ะมันถูกมองผิดวัตถุประสงค์ หรือถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์มันจน จนไม่ใช่ธรรมะแล้ว ทีนี้ส่วนการศึกษาก็ดูเป็นเรื่องอะไรไป ไม่ใช่เรื่องที่จะช่วยให้มนุษย์พ้นจากทุกข์ภัยอันตรายโดยประการทั้งปวง คำว่า ธรรมะ ธรรมะนี่ครูหรือในโรงเรีนสอนลูกเด็กๆ ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนี้ครูคนนั้นมันหลับตาพูด มันไม่รู้อะไรเสียเลย คำว่า ธรรมะ ธรรมะในอินเดียนั้นมันแปลว่า หน้าที่ของมนุษย์ ธรรมะนี้ แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้หรอก เพราะว่าคำสั่งสอนของศาสดาองค์ไหน ลัทธิไหนมันเรียกว่าธรรมะ ธรรมะเหมือนกันหมดแหละ จะเรียกธรรมะของใครล่ะ ธรรมะของพระสมณะโคดม ธรรมะของนิครนถนาฏบุตร ธรรมะของพระมักขลิโคศาลก็ตาม ตามชื่ออาจารย์ไปเลย เมื่อเขาจะถามกันว่าท่านถือศาสนาอะไร เขาก็ถามว่า ท่านชอบใจธรรมะของใคร คนนั้นก็ตอบว่าข้าพเจ้าชอบใจธรรมะของพระสมณะโคดม หรือนิครนถนาฏบุตรแล้วแต่เขาจะชอบ คำว่า ธรรมะ ไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยผูกขาด ถ้าเป็นเรื่องสอนทางศาสนาแล้วก็เรียกว่า ธรรมะ แล้วคำที่สอนหรือเรื่องที่สอนนั้นเป็นเรื่องหน้าที่ หน้าที่ ดิกชันนารีสำหรับลูกเด็กๆ ในอินเดียเดรียน ธรรมะออกคำแปลว่า DUTY DUTY ไม่ใช่คำว่าคำสอนหรือศาสนาอะไรทั้งนั้น เอาความจริงอยู่ส่วนลึกของไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้น เพราะว่าภาบาลีก็ดี ภาษาสันสกฤตก็ดี คำว่า ธรรมะ ธรรมะ นี่มันเป็นคำเดียวกับคำว่า ธรรมชาติ “ธรรม” เฉยๆแปลว่า ธรรมชาติ ในภาษาบาลีโดยเฉพาะ ภาษาสันสกฤตก็เหมือนกัน ดังนั้นธรรมะจึงหมายถึงทุกเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติ จะเป็นตัวธรรมชาติ ดินน้ำลมไฟ อะไรนี้ก็ ก็ธรรมชาติ ก็เรียกว่าธรรมะในฐานะที่เป็นธรรมชาติ ทีนี้กฎเกณฑ์ กฎธรรมชาติที่มีอยู่ในธรรมชาติเหล่านั้นก็เรียกว่าธรรมะ ไอ้ตัวตัวกฎก็เรียกว่าธรรมะ แล้วหน้าที่ตามกฏเกณฑ์นั้นๆก็เอ้า เรียกว่า ธรรมะ แล้วผลได้รับหน้าที่เขาก็เรียกว่าธรรมะ ธรรมะตามธรรมชาติ เป็นสภาวธรรม แล้วมีกฎเกณฑ์ที่ต้องรู้ เพราะกฎเกณฑ์นั้นมันเฉียบขาด ไม่รู้ไม่ได้ นั้นก็เรียกว่าธรรมะ ก็มีหน้าที่ที่ต้องทำตามกฎเกณฑ์อันนั้น ไม่ ไม่ ไม่ทำมันก็ตาย ก็เรียกธรรมะ ทำแล้วได้ผลอย่างไรก็เรียกว่าธรรมะ ผิดก็ได้ผลไปอย่าง ถูกก็ได้ผลไปอย่าง นี่เรียกธรรมะ ธรรมะ หน้าที่ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถ้าจะบอกลูกเด็กๆ นักเรียนให้เขาเข้าใจอย่างถูกต้องในธรรมะ ธรรมะ คือการประพฤติกระทำที่ถูกต้องต่อกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ อาตมาขอร้องให้ผู้สนใจจำกันไว้ดีๆ ง่ายๆ ว่า ธรรมะคือระบบการปฏิบัติ เขาก็ต้องปฏิบัติเป็นระบบ ไม่ใช่ปฏิบัติข้อเดียว ระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกาย และทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น นั่นแหละคือธรรมะ ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ลัทธิอื่นศาสนาอื่นเขาก็สอนก็เรียกว่าธรรมะเหมือนกันหมดแหละ เพราะว่ามันมุ่งหมายให้รอด รอดตามลัทธินั้นๆ ตามความ…ตามหลักที่ยึดถือในลัทธินั้นๆ ก็ต้องการความรอดกันทั้งนั้น ดังนั้นธรรมะมันจะสรุปให้สั้นที่สุด มันก็แปลว่าหน้าที่เพื่อความรอด หน้าที่เพื่อความรอด หน้าที่ที่ผู้ใดทำเข้าแล้วจะเกิดความรอดแก่ผู้นั้น ตามตัวหนังสือแท้ๆ เอาทางตัวหนังสือมันว่า ยก ทรงขึ้นไว้ ยกขึ้นไว้ พระ พระ ธรรมะนี่ ธรรมะคือสิ่งที่จะยกผู้ที่มีธรรมะขึ้นไว้ มิให้พลัดตก มันยกแต่ผู้ที่มีธรรมะ แล้วท่านก็ดูสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่มันยกผู้ที่มีหน้าที่ไว้ ไม่ให้พลัดตกลงไปสู่ความวินาศ ธรรมะเป็นไทยเรียกว่าหน้าที่ เป็นบาลีเรียกว่าธรรมะ มันไม่มีทางผิดหรอก เพราะมันหมายเอาแต่ทางถูกเพื่อความรอด แล้วรอดทุกทาง ทั้งทางกายทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ตั้งแต่ออกจากท้องมารดาจนเข้าโลง แล้วก็ต้องเพื่อตนเองและผู้อื่นด้วย นี่คือธรรมะ ที่เขาศึกษาๆ ๆ หมายถึงสมัยโบราณศึกษาทุกแง่ทุกมุมแล้วแต่ว่า บุคคลเกิดในตระกูลนี้ควรจะเรีนอย่างไร เท่าไร เพียงไรก็ให้การศึกษาๆ
เอ้า, ที่นี้ขอพูดคำว่าศึกษา ศึกษาตามตัวหนังสือในภาษาอินเดียโบราณ นี้สักหน่อยว่า สิกฉา สิกฉานั้นเป็นสันสกฤต ถ้าศึกษา ถ้าศึกษาเป็นภาษาไทย ถ้าสิกขาเป็นบาลี ถ้าเป็นบาลีมันว่า ออกเสียงว่า สิกขา ตัวหนังสือที่เขียนออกนั้นเสียงว่าสิกขา สันสกฤตออกเสียงว่าสิกฉา “ษ” มันออกเสียงเป็น “ฉ” ในภาษาไทยเรานี่ก็ศึกษา สามคำนี้มันเป็นคำเดียวกัน เรื่องเดียวกัน ศึกษาๆ ที่สำเร็จประโยชน์ มันก็ต้องศึกษาอย่างถูกต้องตามความหมายของคำว่าศึกษา เอาบาลีเป็นหลักก็ได้ สิกขา “สะ” สะ มันเป็นแปลว่า “เอง” ว่าข้างใน อิกษะ อิกษะก็แปลว่าเห็น ทีนี้เป็นบาลีว่า อิกขะ มันก็เห็นเหมือนกัน หรือว่า อิกฉะ นี้มันก็คือเห็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคำว่าสิกขา สิกขานี่ต้องหมายถึงการดูตัวเอง นี่สำหรับคำว่าเอง ก็ดูตัวเอง แล้วก็ดูเข้าไปในตัวเอง แล้วก็โดยตนเอง ดูซึ่งตนเอง โดยตนเอง แล้วก็เห็นตนเอง แล้วก็รู้จักตนเอง แล้วก็วิจัยวิจารณ์ตนเอง แล้วจัดตนเองให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามผลที่ได้วิจัยวิจารณ์แล้วว่าควรทำอย่างไร นี่คือความหมายของคำว่า สิกขา ไม่ใช่ว่าเขียนใส่ เขียนด้วยชอล์กใส่กระดานดำบอกให้ดูหรือจดไว้ในสมุด มันไกลกันลิบนะ ท่านไปเปรียบเทียบดู ดูตนเอง ด้วยตนเอง ในตนเอง มันจึงจะเห็นตนเอง มันต้องดูเป็นถึงจะเห็นตนเอง แล้วต้องฉลาด มันจึงจะรู้จัก รู้จัก บางทีเห็นแล้วไม่รู้จักนี้มันก็มี ต้องรู้จักตนเอง แล้วก็วิจัยวิจารณ์แง่นั้น แงนี้ แง่โน้น ว่ามีเหตุผลอย่างไร วิจัยวิจารณ์ได้ผลอย่างไรก็ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง นั่นแหละสิกขาในภาษาบาลี หรือสิกฉาในภาษาสันสกฤต หรือว่าศึกษาในภาษาไทย ดูตนเอง ด้วยตนเอง ในตัวเอง เป็นตัวเอง รู้จักตัวเอง วิจัยวิจารณ์ตัวเอง แล้วก็ปฏิบัติ มันเจ็ดขั้นตอนสมบูรณ์เป็นความหมายของคำว่าศึกษา ถ้ายังไม่ได้รับผลจากการศึกษาโดยแท้จริง ก็พยายามปรับปรุงให้การศึกษาเป็นไปโดยลักษณะนี้ มันก็จะได้ของจริงออกมาสำหรับปฏิบัติ แล้วก็ได้รับผลของการปฏิบัติ
ทีนี้มันมีขอบเขตอย่างไร ขอบเขตเพื่อความรอดทั้งทางกายและทางจิต ฉะนั้นการศึกษาต้องรับใช้ศีลธรรมและจริยธรรม วัฒนธรรม เป็นต้น เพื่อให้มันเกิดความถูกต้องทางจิต เกิดความรอดทางจิต มนุษย์จึงจะรอด เพราะมีความถูกต้องทางจิต ไม่ผิดพลาดทางวัตถุ ทางกาย ไม่ผิดพลาดทางจิต แล้วก็เป็นรอดทางจิต นี้เรียกว่าภาวนา ภาวนาที่ถูกต้อง ภาวนาที่ถูกต้องมีผลแท้จริงเป็นไปถึงที่สุด ถ้าพูดว่าพัฒนา พัฒนามันมาจากคำว่าวัฒนาในภาษาบาลี วัฒนาในภาษาบาลีมัน มันมีคำแปลว่า มากขึ้นๆ ๆ ไม่จำกัดว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง แต่เราเอามาใช้ในภาษาไทย ว่ามันหมายไปในทางที่ถูกต้อง มันก็ฝืนกันอยู่กับความหมายของภาษา ถ้ามันพัฒนาในทางถูกต้อง ไม่มีผิดพลาด นั่นก็เรียกว่าภาวนา เช่นเดียวกับภาษา ภาษาละตินที่มาเป็นภาษาอังกฤษว่า PROGRESS คำนี้มันหมายอย่างเดียวกับพัฒนาแหละ คือมากขึ้นๆ ๆ แล้วในที่สุดจนบ้าก็ได้ มากจนเป็นบ้าก็เรียกว่า PROGRESS มันต้องมีคำอื่น DEVELOP หรือคำอะไรมันที่มีความหมายแน่นอนว่าไม่ผิด เพราะฉะนั้นคำว่า พัฒนา พัฒนาต้องแน่นอนว่า เป็นไปเพื่อสันติสุขและสันติภาพ ไม่ใช่พัฒนาจนเป็นบ้า เดี๋ยวนี้โลกกำลังพัฒนาจนเป็นบ้า ไปหลงเงินให้มาก อำนาจให้มาก หรือว่ากิจการที่จะเอาเปรียบผู้อื่น จะครองโลกให้มันมาก ก็เรียกว่าพัฒนา ยุ่งไปหมด มันก็เลยแยกเป็นสองพัฒนา พัฒนาทางวัตถุรับใช้การเมืองไป พัฒนาทางจิตก็รับใช้ศีลธรรม จริยธรรมไป เดี๋ยวนี้ในโลกนี้สนใจแต่จะพัฒนาทางวัตถุ พัฒนาเพื่อจะมีอำนาจ มีเงิน มีอาวุธมีอะไรครองโลก เพราะฉะนั้นโลกมันจึงยุ่ง ทั้งโลกเวลานี้ไม่ได้พัฒนาเพื่อสันติภาพ ปากมันพูดว่าสันติภาพ สันติภาพ องค์การโลกเพื่อสันติภาพ แต่จริงๆ เพื่อพัฒนาพรรคพวกของมัน เอาเปรียบผู้อื่นทั้งนั้น ที่ประชุมนั้นต่างฝ่ายต่างจะเอาเปรียบกัน พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ทะเลาะกันไป พอได้ประโยชน์ร่วมกันแล้วก็ยังจะเอา อย่างนี้มันพัฒนาเพื่อประโยชน์ทางวัตถุแต่ประเทศชาติของตน ไม่ใช่พัฒนาเพื่อประโยชน์ทางจิตใจ ทางจริยธรรมและศีลธรรมของมนุษย์ ดังนั้นโลกนี้จึงไม่มีสันติภาพ สังเกตดูไม่ต้องเชื่อใคร สังเกตดูความเป็นธรรม ความเป็นธรรมออกไป หายไปๆ ความไม่เป็นธรรม หรือเห็นแก่ตัวๆ ๆ เข้ามาแทนที่ คนในโลกเห็นแก่ตัวมากยิ่งขึ้นตามส่วนของการพัฒนาทางวัตถุ เมื่อยังไม่ก้าวหน้า ไม่เจริญไม่พัฒนาทางวัตถุ คนเห็นแก่ตัวน้อยกว่านี้มาก เดี๋ยวนี้มันหลับหูหลับตาเห็นแต่แก่วัตถุ ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ โดยเห็นแก่ตัวๆ ๆ จนถือศาสนาเห็นแก่ตัว ศาสนาของคนสมัยนี้คือ เห็นแก่ตัว ผู้มีอำนาจสูงสุด มหาประเทศมันก็เห็นแก่ตัว ประเทศด้อยพัฒนาก็เห็นแก่ตัว เศรษฐีก็เห็นแก่ตัว ขอทานก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว คนจนก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว คนขอทานก็เห็นแก่ตัว คนซื้อก็เห็นแก่ตัว คนขายก็เห็นแก่ตัว ผู้น้อยก็เห็นแก่ตัว ผู้ใหญ่ก็เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันกำลังครองโลก ซึ่งมันไม่เคยมี มันก็มีมา ความเห็นแก่ตนจึงอัดแน่นอยู่ในโลก คุณจะเอาอำนาจไหนมาต้านทาน จะจัดการศึกษาอย่างไรจะให้ลดความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวมันได้เปรียบ ได้เปรียบ ครองมันครองโลก มันครองโลก ความเห็นแก่ตัว บุคคลเห็นแก่ตัว ขี้เกียจไม่อยากทำ แต่จะเอาประโยชน์ เอาเปรียบ อิจฉาริษยา จองหองพองขน ไม่สามัคคี ไม่ ไม่ร่วมมือในการที่จะทำความเจริญแก่ส่วนรวม นี่เรียกว่ามันเห็นแก่ตัวโดยบุคคล แล้วอันธพาลรวยลัดปล้นจี้ดีกว่าไปทำงานให้เหงื่อไหลไคลย้อย อันธพาลมันจึงมาก มาก
มากขึ้นในส่วนบุคคล ฉะนั้นบุคคลเป็นอันธพาลแล้วครอบครัวมันก็เว้นไม่ได้แหละ มันก็เป็นแหละ หมู่คณะมันก็เป็น ประเทศก็มันพลอยเป็น ทั้งโลกมันก็พลอยเป็น นี่พัฒนา พัฒนาอะไรกัน ยิ่งศึกษายิ่งเห็นแก่ตัวลึก เมื่อไม่รู้หนังสือยังเห็นแก่ตัวตื้นๆโง่ๆ เพราะมันไม่มีปัญญา พอมันศึกษาลึกมันเห็นแก่ตัวลึก ใช้ปัญญาอย่างลึกแล้วเห็นแก่ตัว การศึกษาให้ปัญญา ให้ปัญญาดีมากกว่าสมัยก่อนๆ แต่การศึกษาสมัยนี้ก็ถูกเอาไปใช้ ปัญญาสมัยนี้ถูกเอาไปใช้เพื่อเห็นแก่ตัว ไม่เหมือนสมัยก่อน ทั้งนี้ก่อนเขาเอาปัญญาไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อโลกหรือสังคม มีใครรับผิดชอบ ใครกล้าทำการพัฒนาเพื่อสัง จริยธรรม เพื่อวัฒนธรรม ประเทศชาติมหาอำนาจมันก็ไม่กล้าทำ เพราะมันมัวมาทำอย่างนี้อยู่ มันเสียเปรียบประเทศอื่น ซึ่งมันไม่ทำอย่างนี้ มหาอำนาจมันก็มีหลายประเทศ คอยจ้องกันอยู่ที่จะเอาเปรียบ มันก็เลยมุ่งแต่พัฒนาเพื่อการต่อต้าน เพื่อการชนะเพื่ออะไรนั้น ไม่ ไม่กล้าพัฒนาเพื่อศีลธรรม จริยธรรม เพื่อสันติภาพ มันก็ปล่อยไปตามบุญตามกรรม โลกมันจึงเป็นอย่างนี้ ครูทำได้ที่ไหน ถ้ากระทรวงไม่เอากฎเกณฑ์อันนี้ กระทรวงจะทำได้ที่ไหน ถ้ารัฐบาลทั้งหมดมันไม่เอากฏเกณฑ์เหล่านี้ ประเทศเดียวจะกล้าทำได้อย่างไรเมื่อประเทศทั้งหลาย เขาไม่เอาอย่างนี้ จะเอาแต่การได้เปรียบ นั่นแหละคือปัญหา มันต้องคล้ายๆ กับพลิกแผ่นดินกันใหม่ สะสางชำระสะสางกันใหม่ ให้มีความถูกต้องมาแต่มนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนอย่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวมากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้น จนโลกนี้เต็มไปด้วยปัญหาโง่ๆ ปัญหาโง่ๆ บรมโง่ คือ ปัญหามลภาวะ ซึ่งมันไม่เคยมี มลภาวะนี่คนเห็นแก่ตัวสร้างทั้งนั้นแหละ สกปรกรกรุงรังตรงไหนสักนิดหนึ่ง ก็คนเห็นแก่ตัวมันสร้าง คนเห็นแก่ตัวมันก็สร้างมลภาวะ คนเห็นแก่ตัวมันก็สร้างอุบัติเหตุ อุบัติเหตุในท้องถนน ในแม่น้ำลำคลอง ที่ไหน บนฟ้าอากาศมันก็มีอุบัติเหตุ, อุบัติเหตุ เพราะเห็นแก่ตัวๆ ๆ มันไม่ต้องไปลองนี่ ยาเสพติด มันยังเห็นแก่ตัว ไปลองของแปลกๆ คือ ยาเสพติด จนได้เป็นทาสยาเสพติด เป็นทาสอบายมุข เดี๋ยวนี้ก็ได้เป็นทาสโรคเอดส์ ฉันขอตั้งชื่อว่าโรคซึ่งสุนัขก็ไม่เป็น สุนัขก็ไม่เป็น แล้วคนก็ได้ไปเป็น โรคเอดส์ โรคซึ่งสุนัขก็ไม่เป็นนี่ เพราะมันเห็นแก่ตัว, เพราะมันเห็นแก่ตัว ไปดูเอาเองว่าความเห็นแก่ตัวมันให้โทษเลวร้ายกี่มากน้อย แล้วสังคมของเราก็จมลงไป, จมลงไปในความเห็นแก่ตัว ผู้เห็นแก่ตัวเมื่อๆมันหยุดไม่ได้ มันหลงทาง หลงทางในที่สุดมันก็ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าลูกฆ่าเมีย ฆ่าตัวเอง ตายตามไปเลย หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นบ้า ไปอยู่โรงพยาบาลบ้าน่ะ พวกเห็นแก่ตัว การศึกษาอย่างไร เท่าไร เพียงไรที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ก็ให้ท่านทั้งหลายช่วยเอาไปคิด ไปใคร่ครวญ ไปปรึกษาหารือ ไปเสนอผู้มีอำนาจว่า มีความคิดเห็นทางไหนอย่างไรบ้างที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ คือแก้ปัญหาความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวนั้นมันไม่เห็นแก่ธรรมะ จะแก้ได้ก็ต้องเห็นแก่ธรรมะ หรือต้องให้ธรรมะกลับมา ธรรมะมาเป็นคู่แฝดกับการศึกษา ให้ศาสนามาเป็นคู่แฝดกับการศึกษา สอนลูกเด็กๆ เล็กๆ ตั้งแต่อนุบาลนั้นไม่ให้เห็นแก่ตัว ไม่ให้เห็นแก่ตัวไปตามลำดับ, ตามลำดับ นั่นแหละมันจะแก้ปัญหาได้ เพราะคำพูดเพียงคำเดียวว่า ไม่เห็นแก่ตัว, ไม่เห็นแก่ตัว บางคนฟังคำนี้ผิดว่า ถ้าไม่ให้เห็นแก่ตัว คนเราก็ไม่ทำความดี นั่นเขาเข้าใจผิด เห็นแก่ตัวมันเป็นความคิดผิด เป็นอวิชชา เป็นความโง่ ความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัว มีความถูกต้อง มีสติปัญญา มันก็ทำความดี มันก็ทำความดี ไม่ ไม่ฉ้อฉล เอาประโยชน์ผู้ใดมาจะเป็นประโยชน์ของตน
เห็นแก่ตน, เห็นแก่ตนเป็นเรื่องผิดทั้งนั้นแหละ ผิดทั้งนั้นไม่มีที่ทางที่จะถูก ถ้าเห็นแก่ผู้อื่น เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ความถูกต้องนั่น มันจึงจะถูกทั้งนั้น ถูกทั้งนั้น ฉะนั้นการศึกษาที่แท้จริงมันเป็นจัด มันจัดไปเพื่อประเทศชาติ เพื่อศีลธรรม เพื่อจริยธรรม เพื่อความสงบสุขไม่มีอันธพาล ไม่มีอะไรที่เป็นอันธพาล คอย คอยปล้น คอยจี้ คอยขโมย ผู้หญิงคนเดียวเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ เพราะมันไม่มีธรรมะ มันต้องแก้ปัญหาเหล่านี้หมดสิ้น จึงจะเรียกว่ามีธรรมะ มีธรรมะ ต้องร่วมมือกันกี่ฝ่าย ครูบาอาจารย์ ตำรวจ ทหาร ผู้พิพากษา ตุลาการ พระเจ้า พระสงฆ์ต้องร่วมมือกันหมด ที่จะให้การศึกษาที่ถูกต้อง แล้วก็ดำเนินไปอย่างถูกต้อง เราจึงจะมีสิ่งที่เรียกว่าสันติภาพ หรือความสงบสุข อาตมาจึงขอเสนอความเห็นแต่เพียงว่า เราจึงมีการศึกษา จงมีการศึกษาที่ถูกต้องตามความหมายของคำว่าศึกษา ได้ผลออกมาเป็นธรรมะ เป็นธรรมะ แล้วก็เห็นแก่ธรรมะ แล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ธรรมะ ความถูกต้อง ถูกต้องทุกอย่างก็เป็นไปเพื่อความถูกต้อง ไม่มีใครต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องมีใครมาคอยปกครองใคร เพราะว่าทุกคนไม่เห็นแก่ตัว จะไม่มีใครเชื่อก็ได้ แม้ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ก็อาจจะไม่เชื่อว่า ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว แล้วไม่ต้องมีการปกครอง แล้วจะไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ที่ทุกคนจะไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันยอมรับกันซะหมดแล้วว่า ทุกคนเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเป็นเรื่องปกติของคน มันจะพูดอะไรกันล่ะ ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่มีอาชญากรรมใดๆ เกิดขึ้น ไม่ฆ่าไม่ลัก ไม่ขโมย ไม่ล่วงกาเม ไม่โกหกหลอกลวง ใครด่าก็ยิ้มให้ เขาตบแก้มขวาก็ให้แก้มซ้ายตบอีกที เหมือนพระเยซูสอนนั่นแหละ อย่างนี้มันก็ไม่มีคดี ไม่มีคดี กฎหมายเป็นหมัน ศาลเป็นหมัน ผู้พิพากษาไม่ต้องทำงาน ถ้าทุกคมันนไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็ถึงว่าพระศาสนาก็เก็บไว้ก็ได้ ไม่ต้องทำอะไรเลยถ้าคนมันไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวแล้วโลกนี้มันไม่ต้องมีพระคัมภีร์ออกมาสั่งสอนอะไร เพราะจุดสงสุดมันอยู่ที่นั่น และศาสนาทั้งหลายสอนให้หยุดเห็นแก่ตัว กลายเป็นอนัตตา ว่างจากตัวก็เป็นนิพพาน เมื่อหมดความเห็นแก่ตัว หมดความเห็นแก่ตัวโดยสิ้นเชิงก็เป็นพระอรหันต์ หมดบางสัดบางส่วนก็เป็นอริยะเจ้ารองๆ ลงมา
ขอให้นึกถึงว่า พระบรมครูคือพระสมเด็จพระศาสดาเกิดขึ้นมาในโลก เพื่อสอนให้เลิกละความเห็นแก่ตัวด้วยบทว่าอนัตตา อนัตตาไม่ใช่ตัว สุญญตาว่างจากตัว เห็นชัดๆ ไม่มีความเห็นแก่ตัว มันก็กลายเป็นจิตใจที่ไม่มีกิเลส, ไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์ เป็นพระอริยะเจ้า เมื่อมองดูศาสตร์ การศึกษาในโรงเรียน มันเรียกว่าขั้นต่ำ และมันจุดตั้งต้นของลูกเด็กๆ กระทั่งลูกทารก แต่มันก็ต้องตั้งต้นที่ถูกต้อง ถูกต้องคือเป็นไปเพื่อความไม่เห็นแก่ตัว แล้วครูนั่นแหละเป็นผู้ประเสริฐที่สุด เป็นปูชนียบุคคล แต่ก่อนมันก็ไม่ต้องมีโรงเรียน มีเงินเดือน แต่ก็มีครูแยะ สอนประชาชนสอนลูกเด็กๆ ให้มีธรรมะ จะถือว่าครูเป็นปูชนียบุคคล เพราะครูลำบากๆ ๆ ยุ่งยากเหลือประมาณ ไม่ได้รับเงินเดือน ก็รับนิดเดียวพออยู่ได้ นั้นแต่ว่าสอนในสิ่งประเสริฐสูงสุดให้แก่มนุษย์ได้รอดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง พระพุทธองค์เป็นบรมครูรับเงินเดือนวันละบาตร คือไปบิณฑบาตวันละบาตร ข้าวบาตรหนึ่งนั่นล่ะเงินเดือนพระบรมครู เดี๋ยวนี้ลูกครนีู้ได้เงินเดือนวันละหลายบาท เดือนละหลายพัน เดือนตั้งหมื่นก็มี พระพุทธเจ้าเงินเดือนวันละบาตร เป็นพระบรมครูเพราะเหตุไร เพราะเหตุไร ท่านมีความเสียสละ เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้สังคมมันรอด ท่านเป็นครูเพื่อสังคมมันรอด ไม่ได้เป็นครูเพื่อรับเงินเดือน นี่ช่วยคิดกันดูให้ดีๆ เอาละ รับเงินเดือนก็ไม่เป็นไร ขอแต่ว่าให้เราทำสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินเดือนหลายเท่าให้แก่สังคม ก็ยังเป็นปูชนียบุคคลอยู่นั่นแหละ หมอรักษาคนให้รอดตาย รับเงินเดือนบ้างก็ไม่เป็นไรก็ยังเป็นผู้มีบุญคุณอยู่ ผู้พิพากษาตุลาการรักษาความเป็นธรรมสูงสุด รับเงินเดือนนิดหน่อยก็ยังเป็นปูชนียบุคคล รับประโยชน์นิดเดียว แต่พออยู่ได้เท่านั้นแหละ ก็ทำไปให้เขาได้รับประโยชน์สุขสูง นี่ก็เป็นปูชนียบุคคล ฉะนั้นครูทุกคนจงพอใจ ยินดีว่าเรามามีอาชีพ อาชีพของปูชนียบุคคล ให้สิ่งเป็นมีค่ามหาศาลแก่สังคม รับผลตอบแทนนิดเดียวจงสนุกกับการเป็นครู พอใจกับการเป็นครู บูชาความเป็นครูว่า ได้ทำหน้าที่ครู ก็พอใจชื่นใจ สนุกและเป็นสุข พอนึกถึงแล้วก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้าครูทุกคนทำงานจนยกมือไหว้ตัวเองได้แล้ว ก็หมดปัญหา ปัญหาไม่มี ไม่ต้องมาคิดค้นกันอะไรให้ยุ่งยากลำบาก คือให้ทำครู ทำหน้าที่ครูให้สุดความสามารถ ให้เกิดผลเป็น ให้ความไม่เห็นแก่ลูกเด็กๆสูงขึ้นนั้นแหละ แล้วก็ทำอย่างที่เรียกว่าสนุก หรือบูชาการทำ เอา เอาพระบรมครูเป็นตัวอย่าง
พระพุทธเจ้าเรียกว่าพระบรมครู ยังไม่ทันสว่าง ก่อนสว่างน่ะ ท่านนึกไปทั่วๆๆบ้านทั่วเมือง วันนี้จะไปโปรดใครที่ไหน ใครควรจะไปโปรดพอสว่างขึ้นก็ไปเลย ไปในรูปของการบิณฑบาฑแหละ ที่จริงจะไปโปรดเขา ทรมานเขา ไปสอนเขาให้สำเร็จ บางทีก็ฉันที่นั่น คุยกันที่นั่นก่อนจะได้กลับวัด พักเที่ยงนิดหน่อย เพราะว่ามันร้อนนะ พอบ่ายท่านก็ต้องสอนคนเป็นอันมากที่ไปหาที่วัด เขาไปหาท่านที่วัดตอนบ่าย ท่านก็ต้องสอนเขา สอนเขาคนนั้น คนนี้ คนโน้น พอเย็นก็จะพักนิดหน่อย หรือไม่อาจจะไม่พักก็ได้ ถ้าว่าเรื่องมันต่อกัน พอค่ำลงก็สอนภิกษุสามเณรประจำวัดเรื่อยๆ ไป พอถึงเที่ยงคืน เที่ยงคืนก็สอนพวกเทวดา เทวดามาจากสวรรค์ หรือพระราชามหากษัตริย์ที่นิยมเรียกกันว่าเทวดาๆ ท่านต้องสั่งสอนเขา ต้องตอบปัญหาเขา เที่ยงคืนไปจนดึกดื่นเลยไป พักผ่อนนิดหน่อย งีบเดียวแล้วก็เดี๋ยวมันหัวรุ่งอีกแล้ว หัวรุ่งก็ต้องส่องโลกดูทั่วโลก ดูทั่วบ้านทั่วเมือง ว่าพรุ่งนี้จะไปโปรดใคร ดูสิท่านทำงานวงจร ๒๔ ชั่วโมง เราทำงานอย่างนั้นหรือเปล่าเล่า เมื่อท่านเสร็จธุระที่เมืองนี้จะไปเมืองโน้นแล้วท่านทำยังไง ท่านก็เดินไป มันไม่มีรถยนต์ ชีวิตบรรพชิตสมัยโน้นไม่ๆนั่งรถที่เทียมด้วยม้า หรือเกวียนที่เทียมด้วยวัวหรอกเพราะมันเทียมด้วยสัตว์มีชีวิต ไม่นั่ง ไม่นั่ง เอ้า เมื่อรถยนต์ไม่มี ก็เดิน เดิน เรื่องของพระพุทธเจ้า อาตมาสอบสวนแล้วไม่มีร่ม ไม่มีรองเท้า ท่านก็เดินเท้าเปล่า ท่านก็เดินเท้าเปล่า ท่านก็ยังเดินได้ แดดเปรี้ยงๆ อย่างนั้นจนตลอดชีวิตของท่าน คืนนี้จะนิพพานอยู่แล้ว กลางวันท่านยังเดินอยู่เป็นโยชน์ๆ ไปทำหน้าที่ของท่าน หัวค่ำลงก็จะปรินิพพาน ยังมีคนมาทูลขอให้สอนอีกคน เอ้า,ก็สอน สอนเขาสำเร็จประโยชน์แล้วไม่กี่นาทีท่านก็นิพพาน ท่านทำงานครบวงจรแล้วก็จนวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต ขอให้เราเอาอย่างพระบรมครู ทำงานเช่นนั้นกันบ้างเถิด นึกถึงตัวเองเมื่อไรก็จะยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้น เพราะทำคุณงามความดีมหาศาล สมกับที่เรียกว่าเป็นปูชนียบุคคล
ฉะนั้นอาตมาจึงขอสรุปความสั้นๆ ฝากไว้แก่ท่านทั้งหลายว่า แก้ปัญหาทั้งหมดได้ด้วยความที่ครูเป็นปูชนียบุคคล แล้วก็สอนให้มีการรู้ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะที่แท้จริงโดยการศึกษาๆ ๆ ในลักษณะที่แท้จริง มีการศึกษาแท้จริง มีธรรมะแท้จริง ก็สอนให้ว่าคนอยู่เหนือความเห็นแก่ตัว โลกนี้ไม่ต้องมีใครทำผิดกฎหมาย นี่เป็นเหตุผลหรือว่าเป็นลักษณะโดยทั่วๆไปที่ควรจะนำไปศึกษา เปรียบเทียบดูเถิดว่า เราจะทำอย่างไรกับการศึกษาที่เราจะต้องจัดต้องทำให้เป็นไป ให้สำเร็จประโยชน์แก่ประเทศชาติบ้านเมืองของเรา หวังว่าท่านทั้งหลายจง คงจะได้เข้าใจคำว่า ธรรมะ เข้าใจคำว่า การศึกษา เข้าใจคำว่าปูชนียบุคคล แล้วก็พยายามจัด พยายามทำสิ่งเหล่านี้เท่าที่เกี่ยวข้องอยู่กับตน, กับตน ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง, ถูกต้อง จนยกมือไหว้ตัวเองได้ เรื่องก็หมด หวังว่าท่านทั้งหลายจะนำไปคิดไปนึก ไม่ต้องเชื่ออาตมา ถ้านำไปคิดไปนึก มันจะมีเหตุผลแสดงอยู่ในตัวของมันเอง ว่าควรทำแล้วค่อยเชื่อ แล้วก็ทำ เรื่องก็จบ ขอให้ท่านทั้งหลายได้ประสบความสำเร็จในการมาที่นี่ ในลักษณะอย่างนี้ คือแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อประกอบหน้าที่การงานของตน ให้มีความรู้ความเข้าใจ ปฏิบัติได้รับผลสมตามความปรารถนา มีความสุขสวัสดี ก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตนอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย