แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก่อนอื่นทั้งหมด อาตมาขอแสดงความยินดี ในการมาของท่านทั้งหลาย สู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือ การแสวงหาความรู้ ทางธรรมะ เพื่อไปใช้ประกอบในหน้าที่การงานของตน ของตน ให้มีความเจริญ ยิ่งขึ้นไป ให้สมกับว่า เป็นครู หัวข้อที่ท่าน ได้กำหนดไว้ให้ ว่า ครูทำตัวอย่างไร ครูจะได้อะไร นี่ก็ดี เป็นหัวข้อที่ธรรมดาที่สุด ชัดเจนที่สุด และควรจะทำความเข้าใจที่สุด
ความเป็นครูจะทำตัวอย่างไรก็ตอบกำปั้นทุบดิน ว่าทำตัวให้เป็นครูนะ แต่ทีนี้มันมีความหมาย ของคำ ว่า ครูอย่างไรบ้างนี่ ข้อนี้เปลี่ยนแปลงมาก คำว่า ครู ในภาษา อินเดีย บาลีหรือสันสกฤตก็ตาม ครั้งโบราณโน้น, เขามีคำว่า ครู นี้ใช้กันมาแล้ว ในฐานะเป็นบุคคลสูงสุดในฝ่ายผู้สั่งสอน มันไม่มีอะไรที่เหนือ ไปกว่าครู คำว่า อาจารย์ หรือคำว่าอุปัชฌาอย่างนี้ ไปเทียบกับครูไม่ได้ อาจารย์นะสอนวิชาชีพ แม้แต่คำว่า อุปัชฌา สอนวิ สอนวิชาชีพครั้งกระโน้น เคยเรียกว่า อุปัชฌา สอนวิชาชีพนั่นแหละ แต่คำว่า ครูนั้นสูงสุดนะ มันสอนเรื่อง ทางจิตทางวิญญาณ ตามปกติเป็นที่ปรึกษาของพระราชามหากษัตริย์ นี่เรียกว่าเป็นครู มีคำประกอบว่าเป็น มหาครู เป็นราชครู เป็น อัครครู อะไรก็แล้วแต่ สูงสุดเลยไม่มีสิ่งอื่นสูงกว่านั้น
พอมาถึงสมัยนี้มันเปลี่ยนเอาครูมาไว้ข้างใต้อาจารย์ ครูบางคนไม่อยากให้ ใครเรียกว่า ครู อยากให้ เรียกว่า อาจารย์ มันโก้เก๋ดี ในความหมายทางภาษาไทย ใช้กันในเมืองไทยนี่ ข้อนี้มันทำให้เกิดปัญหา ขึ้นมาว่า ครูคือใครนะ คือ ครู คือ ผู้ที่จะทำอะไรจะทำตัวอย่างไร แต่สังเกตเห็นได้ว่า ที่ใช้กันอยู่ในภาษาไทย คำว่า ครู เขาใช้ทั้ง ๒ ความหมาย คือ สอนวิชาโลก ๆ วิชาชีพ นี่ก็เรียกว่า ครู สอนเรื่องธรรมะ ทางจิตทางวิญญาณ สูงขึ้นไป ก็เรียกว่า ครู อ่า, กลายเป็นว่า เอาคำว่า ครู มาใช้เสียทั้ง ๒ อย่าง ก็ได้เหมือนกัน เป็นที่รู้กันอยู่ เป็นรับรอง ที่รับรองกันอยู่
ก็เหลืออยู่แต่ว่าท่านทั้งหลาย จะเอาคำไหน ที่จะให้อาตมาพูดถึง คำว่า ครู หรือเรื่องของครูนั้น หมายถึง ครู ในความหมายไหน ครูในทางวิชาชีพทั่วไป สอนหนังสือสอนไอ้ วิชาชีพนี่ก็พวกหนึ่ง สอนเรื่องจิต เรื่องวิญญาณ สอนสมาธิ วิปัสสนา ก็เรียกว่า ครู นั่นก็อีกพวกหนึ่ง จะเอาในความหมายไหน นี่อาตมาคิดว่า เอาความหมายเดิม แล้วมาขยับขยายให้มันได้กับ เรื่องของเรา เอาในความหมายเดิม
ต้องพูดกันถึงเรื่องทางศัพท์ ศัพทศาสตร์นะ คำว่า ครู ครูนี่ ตัวหนังสือหมายถึงอะไร เราพูดกันอยู่ใน เมืองไทย เขาสอนกันอยู่ในเมืองไทยตลอดมานี้ว่า ครู ครู แปลว่า ผู้ที่เป็นที่เคารพของคนทั้งหลาย โดยถือเอา ความหมาย คำ ๆ นี้ว่า หนัก หนัก คือ เคารพ ผู้ที่ทุกคนควรเคารพ ต้องเคารพ ก็เรียกว่า ครู เป็นผู้ที่คนเขา เคารพ นี้มันก็ยังไม่แน่ว่าทำอะไร เป็นที่เคารพ ไอ้ตัวหนังสือมันไม่ได้แปลว่า ผู้สอน มันแปลว่า ผู้ที่ทุกคนควร เคารพ ก็เอาในความหมายที่ว่า ทุกคนควรเคารพนะ เพราะเหตุไรจึงควรเคารพ
ปรากฎว่า การค้นคว้าตอนหลัง ๆ สุดมานี่ ค้นคว้าทางศัพท์ ทางคำโบราณนะ ในอินเดียนะไม่ใช่ที่นี่ พบว่า ครู ครูนี่แปลว่า เปิดประตู Root รากศัพท์หรือ อ่า, ของคำมันแปลว่า เปิดประตู ครู ครู แปลว่า ผู้เปิดประตูนี่ แล้วมันอธิบายมาตามลำดับ เข้ากันกับเรื่องที่เคยมีมาก่อน แล้วก็ทำอยู่นี้ว่า เปิดประตูทาง วิญญาณ เปิดประตูแก่จิตใจ หมายว่า ให้สัตว์ออกมาเสีย จากคอก นั่นคือ เปิดประตูคอก สัตว์ถูกขังอยู่ในคอก ทั้งมืด ทั้งเหม็น ทั้งร้อน ทั้งเป็นทุกข์ อะไรก็ตาม ตามประสา ไอ้สิ่งที่เรียกว่า คอก ถ้าเปิดประตูสัตว์ทั้งหลาย ก็ออกมาจากคอก มาสู่อิสรภาพ มาสู่ ความสุขความสบาย เรียกว่า หลุดพ้นออกมา ได้ผลดี นี่ก็ถือเอาความ ต่อไปว่า เมื่อเปิดประตู ออกมาจากคอกแล้ว ก็นำให้มันไปในทางที่ถูก นำสัตว์ไปในทางที่ถูก นี่ก็เลยแปลว่า ผู้นำ คนนำทางวิญญาณ
ที่ใช้กันอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่จะพบคำนี้ก็แปลว่า ผู้นำทางวิญญาณ Spiritual Guide มัคคุเทศก์ทาง วิญญาณนั่นแหละ ความหมายของคำว่า ครู ที่ใช้กันอยู่เป็นเวลานาน ๒๐ กว่าปีมาแล้ว ๓๐ ปีนี่ได้ อาตมาไป บรรยายแก่ครู ที่สวนสุนันทาที่กรุงเทพฯ อธิบายอย่างนี้ Spiritual Guide ความหมายว่า ครู ผู้นำทางวิญญาณ ถ้าไม่มีการนำทางวิญญาณไม่ใช่ครู คนสอนหนังสือทั้งนั้น มันคนสอนหนังสือ นี่ก็ยักษ์สอนหนังสือ ไว้สงเคราะห์ มันนำทางวิญญาณได้เหมือนกันนะ จากความโง่สู่ความฉลาด แต่ถ้าจะเอาความหมายกันเต็มที่ แล้วก็ขอใช้คำว่า เปิดประตู ออกมาจากคอก แล้วก็นำไป ๆ สู่ทิศทางที่ถูกต้องสำเร็จประโยชน์สูงสุดนั่นแหละ คือ คำว่า ครู เพราะฉะนั้นถ้า จะเรียกว่า ผู้นำวิญญาณของสัตว์โลกจะถูกกว่า ให้สัตว์โลกเดิน ออกมาเสียจาก คอกอันโง่ คอกแห่งความโง่ แล้วก็เดินไปถูกทาง ไปถึงจุดหมายปลายทาง ว่ามนุษย์ควรจะได้อะไร ควรจะไปถึงไหน
ดังนั้น ถูกจัดไว้เป็นคำสูงสุด คุรุ คุรุเป็นคำสูงสุด ไม่มีคำอะไรสูงกว่า จนกระทั่งคำว่า อาจารย์ คำว่า อุปัชฌา เป็นของเด็กเล่นไปเลย เป็นสอนวิชาชีพเหมือนกับที่เราสอน ๆ กันอยู่นะ ที่ท่านกระทำอยู่จะเป็น เรื่องวิชาชีพ เป็นเรื่อง เทคโนโลยีอะไรก็ตาม มันเป็นเรื่องวิชาชีพ มันไม่ได้เกี่ยวกับจิตหรือวิญญาณ ยังไม่ตรง ตามความหมายของคำว่า ครู ยังไม่ได้เป็นผู้เปิดประตู ยังไม่ได้นำ วิญญาณของสัตว์ไปในทางสูง เอ้า, จะทำยังไง ถ้าอย่างที่เรามี ความหมายของคำว่า ครูหรือหน้าที่ของครูมีเพียงเท่านี้ ก็ขอให้เอามาบวกบวกกันเข้า บวก จะสอนวิชาอะไรก็ตามใจเถิด ไอ้เป็นวิชาชีพก็สอนไปส่วนหนึ่ง ให้สำเร็จประโยชน์ทางเทคนิคของมัน แต่อีกส่วนหนึ่ง อย่า อย่าละเลย อย่าปล่อยให้มันสูญเสียไปเสีย คือ เป็นผู้นำในทางวิญญาณด้วยเสมอไป
สอนวิชาตามหลักสูตรก็สอน สอนให้ดีที่สุด แต่พร้อมกันนั้น ก็อบรมนักเรียน นักศึกษา ทั้งหลายนี่ ให้มันมี ความถูกต้องในทางวิญญาณ มีความสูงไปในทางวิญญาณ แต่ว่าทำพร้อมกัน ๒ หน้าที่เลย วิชาชีพที่ โดยตรงก็สอนไปให้ดีที่สุด แล้วพร้อมกันนั้นก็อบรมนักเรียนทั้งหลายให้มีจิตใจสูง อย่าทำเพียงเพื่อปาก เพื่อท้อง อย่าทำเพื่อเงิน อย่าทำเพื่อ วัตถุอย่างนี้มันต่ำไป ไม่ ๆๆ ไม่สมกับความหมายของคำว่า ครู ซึ่งเป็น ปูชนียบุคคลสูงสุด เทียบเท่ากับครู ในพระศาสนาพระบรมครู คือ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายก็เป็นครู แม้สาวก ที่ทำหน้าที่ สอนสั่งสอนนี่ก็เรียกว่า ครูเหมือนกัน แต่ว่าสังกัดพระพุทธเจ้า ไม่ได้สังกัดกระทรวง ศึกษาธิการ เอาเถอะ จะสังกัดใคร ก็ขอให้มีความหมายเดียวกันนะว่า ผู้นำทางวิญญาณ หลังจากเปิดประตู ออกมาจากคอก ก็นำให้ไปทางถูกต้อง ถูกต้อง จนจนกว่าจะสิ้นสุด ของเรื่องที่จะต้องไปให้ถูกต้อง
นำในทางวิญญาณ ก็หมายความว่า จากวิญญาณในสภาพต่ำ ให้ไปสู่วิญญาณในสภาพที่สูง แล้วมันก็ เข้ากันได้ กับคำว่า มนุษย์ มนุษย์ คำว่า มนุษย์นั้น มันมีความหมายไปในทางมีจิตใจสูง มันแปลได้หลายคำนะ แต่ว่าทุกคำ มันไปทางจิตใจสูง มะนะ-จิต ษะยะ-สูง จิตใจสูงก็ได้ หรือว่า มะ-นุษ-ษะ-ยะ ก็เป็นเหล่ากอ ลูกหลาน เหล่าเครือของพระมนู พระมนูก็จอมจิตใจสูง ๆ ทำอย่างไร ๆ เสีย คำว่า มนุษย์ ก็ยังแปลว่า จิตใจสูง แต่เกิดมายังไม่สูง ต้องมีการศึกษา อบรมเรื่อยไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนกว่าจะถึงสูงสุด
สูงสุดกันที่ไหน สูงสุดกันที่ไหน คือ หมดปัญหา ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ใด ๆ หมดปัญหา เกี่ยวกับความทุกข์ ก็เรียกว่า สูงสุด อย่างในทางศาสนาพุทธ ก็เรียกว่า พระนิพพานนั้นนะ จุดที่สูงสุด ศาสนาอื่นเขาก็มีคำเรียกกัน ไปอยู่โลก พระเป็นเจ้า เข้าเป็นอันเดียวกันกับพระเป็นเจ้า หรือแล้วแต่จะเรียกกัน สูงสุดกันที่นั่น นี่เราเป็นครูในความหมาย ที่ตรงตามความหมายของคำ แล้วก็ต้อง เปิดประตู แล้วนำไปสู่ สภาพแห่งจิตใจที่สูงสุด อยู่เหนือความทุกข์ เหนือปัญหา นี่เรียกว่า ครู ครูคืออย่างนี้
นี้ดูว่ามันเหตุไร มันจึงเกิดขึ้นมาในโลก ก็พอมนุษย์มีขึ้นมาในโลก จากความเป็น ตั้งต้นที่ความเป็น ไม่รู้อะไร เรียกว่า คนป่า คนดอย คนดง ผ้าก็จะไม่นุ่ง แล้วค่อยรู้ขึ้นมา รู้ขึ้นมา แต่มันไม่รู้เรื่องที่ควรจะรู้ให้ เพียงพอ คือ เรื่องสันติสุข สันติภาพ มันจึงต้องเกิดมีบุคคลขึ้นมาประเภทหนึ่ง ซึ่งรู้แล้วก็สอน มีบางคน ออกไปศึกษา ลองตาม ลองทำเป็นฤาษี เป็นมุนี เป็นอะไรก็ตาม อยู่ในป่า ต่อมาก็รู้ ๆๆ แล้วมาสอน ๆๆ ก็เกิดบุคคลประเภทผู้สอนขึ้นมา นี่ กำเนิดของครู มันก็สอนสิ่งที่มนุษย์อยากจะรู้ คือ ปัญหาที่กำลังเกิดอยู่ กับมนุษย์ คือ ความทุกข์ ชีวิตที่ไม่มีความรู้ มันเป็นชีวิตที่กัดเจ้าของ
ให้จำคำนี้ไว้เถอะ เป็นคำสรุปความดีที่สุด ถ้ามีความรู้ ชีวิตสงบเย็นเป็นประโยชน์ ถ้าไม่มีความรู้ชีวิต กัดเจ้าของ เลวกว่าหมาอีก เพราะว่าหมามันยังไม่กัดเจ้าของ ชีวิตที่ปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง มันกัดเจ้าของ ร้องไห้ เป็นทุกข์หรือว่าสลับกับหัวเราะ ร้องไห้ หัวเราะ ร้องไห้ คือ โง่ทั้งนั้น หัวเราะก็โง่ ร้องไห้ก็โง่อย่างนี้ละ ชีวิตมันกัดเจ้าของ เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวกัด ความตื่นเต้น ตื่นเต้นกัด ความวิตกกังวลอนาคตกัด อาลัยอาวรณ์อดีตกัด อิจฉา อิจฉาริษยากัด ความหวงกัด ความหึงกัด นี่ชีวิตมันกัดเจ้าของ เมื่อเจ้าของชีวิต มันปราศจากความรู้ที่ถูกต้องนี่ จึงเป็นโชคดีมหาศาล ที่มีผู้รู้ ฤาษี มุนี ชีไพรอะไรก็ตาม เขาก็ค่อย ๆ รู้ ค่อย ๆ รู้ แล้วสอนประชาชน ประชาชนเคารพนับถือ
นี่ครูอย่างนี้มันเกิดขึ้นก่อน มันจำเป็นกว่า ไอ้เรื่องรู้หนังสือนี่มันมามากันยุคหลัง เมื่อก่อนเขาบอกกัน ด้วยปาก เพียงแต่จดจำไว้ด้วยปาก แล้วปฏิบัติ ๆๆ นี่ ก็ดับทุกข์ได้ นี่ครู เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ บีบบังคับ อยู่โดย ธรรมชาติ มนุษย์ทนอยู่ไม่ได้ ก็ต้องแสวงหาจนรู้ จนรู้แล้วก็เป็นผู้สามารถที่จะสอน มันมาจากความจำเป็นของ ธรรมชาติบังคับ มนุษย์มันหาความสงบสุขไม่ได้ มันมีชีวิตที่กัดเจ้าของอยู่เรื่อยไป
ทีนี้มันก็เพื่อประโยชน์อันนี้ ถ้าจะถามว่าเพื่อประโยชน์อะไรเป็นครูนี้ ก็เพื่อช่วยโลก ช่วยสัตว์โลก ช่วยมนุษย์นี่ ให้ออกมาจากคอก เดินไปถูกทาง แล้วไม่มีปัญหาอยู่เหนือปัญหา ออกไปจากปัญหา แล้วครูก็ ทำหน้าที่ ทำหน้าที่ของครู เป็นปูชนียบุคคล เปิดประตูทางวิญญาณ นำในทางวิญญาณ นี่ นี่คือ ครู ครู ครูที่แท้จริง ที่แฝงอยู่ ที่ไม่ได้ในความหมายนี้ก็คือ ลูกจ้าง รับจ้างสอนหนังสือหากินไปวัน ๆ มุ่งหมายเงิน เป็นที่ตั้ง อย่างนี้ไม่ใช่ครู ในความหมายของคำว่า คุรุ ครู เป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวัน ๆ ไม่ใช่ครู ไม่ใช่ปูชียบุคคล
ฉะนั้นถ้าเราจะเป็นครู ต้องทำให้เป็นปูชนียบุคคล เมื่อให้สิ่งที่สูงสุด ๆ มีค่ามาก แล้วก็รับสิ่งตอบแทน นิดเดียว แม้ว่าครูจะได้เงินเดือน ๆ ละ ห้าพันหรือหมื่นนึง แต่ว่าครูที่แท้จริง ครูที่แท้จริง ให้มันมากกว่านั้น ให้แก่ประชาชน ให้แก่สัตว์มันมาก มันมากกว่าห้าพันหรือหมื่น เป็นแสนเป็นล้าน การดับทุกข์ได้ หรือว่า ดับทุกข์ สิ้นเชิงได้ มันตีราคาไม่ไหว ตีราคาไม่ได้ ครูที่แท้จริงให้สิ่งประเสริฐสูงสุด จนตีราคาไม่ได้ แล้วก็รับ ค่าบำรุง ตอบแทนพอยาไส้ไปวัน ๆ หนึ่ง อย่างนี้ไม่ใช่ค่าจ้าง อย่างนี้มันเป็นไอ้ ค่าบูชา บูชา สิ่งบูชา ของบูชา เราไม่ใช่ลูกจ้าง เราไม่ได้เป็นทาสรับจ้างสอนหนังสือไป นี่เราทำสิ่งที่ ให้เกิดสิ่งสูงสุด เกิดที่สุด ขึ้นในโลก แล้วเขาบูชา
พระพุทธเจ้านะมีเงินเดือนวันละบาตร บิณฑบาตรวันละบาตรนะ รับการบูชา แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้า ทำให้แก่โลก มันตีราคาไม่ได้ มันตีราคาไม่ไหว ดังนั้นมันจึงอยู่ในฐานะที่ว่า เป็นปูชนียบุคคล เป็นครูได้อย่างไร เป็นครูได้โดยปฏิบัติหน้าที่ของครูให้ถูกต้อง ฉะนั้นครูนั้นจะต้องมีจิตใจ สูงกว่า ลูกศิษย์ จึงจะนำไปได้ เป็นครู ต้องมีคุณสมบัติของครู สูงกว่าประชาชนพื้นฐานโดยทั่วไป จึงจะนำไปได้ เพราะฉะนั้นครูก็ต้องศึกษาสูงสุด อยู่เหนือไว้เสมอ
เดี๋ยวนี้พูดกันแล้ว เอ้า, ส่วนหนึ่งของวิชาชีพก็ต้องเรียนในส่วนวิชาชีพตัวนี้ ให้สูงกว่า จึงสอนคนได้ ส่วนหนึ่งจะสอนเรื่องทางจิตใจ ตามความหมายของคำว่า ครู ให้ลูกศิษย์ให้นักเรียน มีจิตใจสูงขึ้น ๆๆ นั่นนะ ก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งกำลังเป็นปัญหาที่ว่ากระทรวงศึกษาธิการจะจัดอย่างไรก็ไม่รู้ มีคนคัดค้านก็มี ล้อเล่นก็มี จัดอะไรบ้าง ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร ทางจิตทางวิญญาณ การศึกษาที่กำลังจัดกันอยู่ในโลกนี้ ยังไม่ได้ผล ทางจิตทางวิญญาณ เพียงแต่สอนให้ฉลาด ๆๆ มันสอนให้เบื้อง ๆ เบื้องล่างวิชาชีพนี่ ให้ฉลาด ๆๆ จนไม่รู้จะ ฉลาดกันอย่างไร เล่ยเอาความฉลาดไปใช้เพื่อเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว กอบโกยประโยชน์ คอรัปชั่น คดโกงอะไร ก็ตาม เราทำกันลึกซึ้งเพราะมันฉลาด
นี่การศึกษายังไม่สำเร็จประโยชน์ทางการศึกษา เป็นเพียงทำให้คนฉลาด แล้วสร้างปัญหาด้วย ความฉลาด เดี๋ยวนี้กำลังเป็นกันทั้งโลก ๆ เป็นเป็นกันทั้งโลก ประเทศมหาอำนาจที่เจริญก้าวหน้า เป็นประเทศ นำหน้า ประเทศไทยมันเล็กไปตามก้น ประเทศตามก้น มีอะไรสักหน่อย มาจากเมืองนอกมันโก้ แม้ว่าไอ้ที่มัน นำเป็นตัวต้นยัง ยังไม่ถึงขนาดที่ว่าทำให้โลกมีสันติภาพ เพียงแต่สอนให้ฉลาด ๆๆ แล้วก็ไปรับใช้เศรษฐกิจ ไปรับใช้การเมือง ไปรับใช้อำนาจ การปกครองไปทางโน้น ไม่ได้มาสอน ไม่ได้มารับใช้สันติภาพ
เพราะฉะนั้นในประเทศมหาอำนาจ มันแม้แต่ทางการศึกษา มันก็ยังมีความเลวร้าย ในประเทศ มหาอำนาจ แม้ในทางการศึกษานั้นนะ มันก็ยังมีคนฆ่าคนอื่นนะมาก มีคนฆ่าตัวตายมาก มีคนบ้ามาก มีอาชญากรมาก มีการทำแท้งมาก มีการหย่าร้างมาก มีปัญหาเสพติดมากอยู่นั่นแหละ นี่เราไปตามก้น ตามหลังเขา ครูมันเป็นอย่างนั้น นี่มันหลับตาทำ
ฉะนั้นเรามาเป็นตัวเราดีกว่า อาศัยหลักธรรมะของพระศาสนา มีความถูกต้อง ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ มีความฉลาด แล้วก็ใช้ความฉลาดเพื่อรับใช้สันติภาพ มาสร้างความสงบสุข อย่าเอาความฉลาด มารับใช้กิเลส ตัณหา เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัวลึก ยิ่งโกหก ยิ่งหลอกลวง เห็นได้ที่สมุด ลงเวลาทำงานประจำวันตามออฟฟิศต่าง ๆ เวลาโกหกทั้งนั้น เรื่องของคนฉลาด มันไม่จริง มันเห็นแก่ประโยชน์ มันเห็นแก่ประโยชน์ ปากมันว่าเคารพนับถือธรรมะ นับถือศาสนา แต่จิตใจมันเคารพเงิน ปากถือศาสนานั่น ศาสนานี่ ศาสนาโน่น แต่หัวใจแท้ ๆ มันถือศาสนาเงิน มันจะเอาประโยชน์ มันจะเอาเงิน ท่าเดียว เมื่อเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้ เอาความฉลาดไปรับใช้ประโยชน์หมด
เมื่อก่อนนี้ ศาสนามันแฝดกันอยู่กับการศึกษา อย่างที่เรียก ฟั่นเกลียวกันทีเดียว เมื่อแรกจัด รุ่นแรก ๆ การศึกษาของทางโลกนี่ แฝดกันอยู่กับ ศาสนาหรือเรื่องทางศาสนา เหมือนกับฟั่นเกลียวกัน แล้วมันก็ค่อย ๆ แยกออกจากกัน ค่อย ๆ แยกออกจากกัน พวกเราเป็นพวกตามก้น พวกฝรั่งเขาแยกก่อน ไอ้ลัทธิแยกศาสนา ออกไปจากการศึกษา ฝรั่งทำก่อนนะ ไทยเพิ่งไปตามก้น ไปเอาอย่างมา Humanization แยกการศึกษาออกจาก ศาสนา แยกศาสนาออกจากการศึกษา ฝรั่งเขาทำก่อน แต่ว่าครั้งแรกทีเดียว ยุคแรกทีเดียว การศึกษาในเมือง ฝรั่ง มันก็ฟั่นเกลียวกันอยู่กับศาสนาเหมือนกัน
คนรุ่นเก่ารุ่นแรก อย่าง นมส. กรมหมื่นพิทยอลงกรณ์นี่ ท่านเล่าให้ฟัง อาตมายังทันฟัง กลับมาจาก การศึกษาที่เมืองนอกใหม่ ๆ มา ไปศึกษาที่เคมบริดจ์มา ประเทศอังกฤษยะ ท่านเล่าให้ฟังว่า โอ้, การศึกษา มันเป็นแฝดกันอยู่กับศาสนา ยังมีพิธีทางศาสนา เพราะว่ามหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด หรือเคมบริดจ์ ก็ตาม เมื่อก่อนนี้มันเป็นโรงเรียนราษฎร์ของวัดนะ คุณคิดดูสิ มันตั้งต้นด้วยการเป็นโรงเรียนราษฏร์ของวัด แล้วมันก็ ค่อย ๆ เจริญขึ้นมา เจริญขึ้นมา เดี๋ยวนี้เป็นมหาวิทยาลัยสูงสุด มีชื่อเสียงสูงสุดในโลก ของอ็อกฟอร์ดบ้าง เคมบริดจ์บ้าง ตามใจ ก่อนนี้เป็นโรงเรียนราษฏร์ของรัฐ เมื่อเป็นโรงเรียนราษฏร์ของรัฐ พระจัด พระจัด ทุกอย่าง สัมพันธ์อยู่กับศาสนา มีพิธีทางศาสนา กำกับอยู่วันหนึ่ง ๆ หลายครั้ง แม้แต่จะกินอาหาร ก็ต้องขอบคุณพระเจ้า หรือทุกอย่างมัน มีศาสนากำกับอยู่ นี่เรียกว่า การศึกษามันแฝดกันอยู่กับศาสนา แล้วค่อยแยกกันทีหลัง
แล้วท่านยังเล่า ที่ให้น่าสนใจอย่างหนึ่งว่า อุดมคติสูงสุดของการศึกษา เออ, ที่พระจัดนะ เขาต้องการ ให้เป็นคนดี เรียกว่า สุภาพบุรุษนะ คำภาษาฝรั่งเรียก สุภาพบุรุษ Gentleman นะ คำเด็ก ๆ เรียกทั้งนั้น ไม่ได้ ต้องการเป็นนักปราชญ์ ความเป็นนักปราชญ์ได้รับการบูชาน้อยกว่าความเป็นสุภาพบุรุษ เพราะความเป็น นักปราชญ์นั้นมันโกงก็ได้ แต่ถ้าเป็นสุภาพบุรุษไม่มีคดโกง มีบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำทุกอย่างถูกต้องเสมอ ไม่เห็นแก่ตัว นักปราชญ์แม้ที่ฉลาดสูงสุด วิเศษอย่างไร มันก็ยังมีกิเลสได้ ยังเห็นแก่ตัวได้ แล้วก็มักจะเป็น อย่างนั้นเสียด้วย ไอ้ความฉลาดที่ไม่มี ศาสนาควบคุมนะมันเห็นแก่ตัว ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นนักกีฬา หรือความเป็นสุภาพบุรุษ นี่ได้รับการยกย่องสรรเสริญมากกว่าความเป็น นักปราชญ์ เพราะว่าถ้ามันไม่มี ความถูกต้องของทางศาสนาแล้ว แล้วมันก็เสียหมดแหละ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวเข้ามาทันที เพราะความเห็นแก่ตัว กิเลสคือเห็นแก่ตัวเข้ามา มันก็เสียหายหมด ดูสิเดี๋ยวนี้ก็เห็นได้ ถ้าว่าหมอ เห็นแก่ตัว หมอก็กลายเป็นพ่อค้าทันที ขูดรีดคนเจ็บคนไข้ ตายก็ชั่งหัวมันนะ หมอจะเอาแพง ๆ คิดค่าหมอ ไม่มีธรรมะ มีแต่ความเห็นแก่ตัวก็เป็นพ่อค้า
ครูบาอาจารย์นี้ก็เถอะ ลองไม่มีธรรมะเถอะ ก็กลายเป็นพ่อค้า ขูดรีดนักเรียน ทำ นาบนหลังนักเรียน ถ้ามันไม่มีธรรมะ ความเห็นแก่ตัวมันทำให้เป็นอย่างนั้น แม้แต่ตุลาการนะ ผู้พิพากษาตุลาการ ถ้าไม่มีธรรมะ มีความเห็นแก่ตัว มันก็กลายเป็นพ่อค้า มันก็ขูดรีดสิ ขูดรีดไอ้ผู้ผู้ต้องคดี แม้พระเจ้า พระสงฆ์นี่ก็เถอะ ลองเห็นแก่ตัวเถอะ ไม่มีธรรมะเดี๋ยวมันก็เป็น พ่อค้าผู้ขูดรีดเหมือนกันนะ แปลว่า ไอเความเห็นแก่ตัวนี้ มันเข้ามาที่ไหน กลายเป็นความเลวร้ายทั้งนั้น ทำความเสียหาย ทำความ เออ, เลวร้าย ยุ่งยาก ลำบากทั้งนั้น ความเห็นแก่ตัว ต้องเอาออกไป ต้องเอาออกไป ต้องเอาออกไป
ลำพังการศึกษาล้วน ๆ มันเอาออกไม่ได้ มันต้องเป็นเรื่องของพระศาสนา เรื่องของจริยธรรม เรื่องของศีลธรรม มันจึงจะเอาความเห็นแก่ตัวออกไปได้ ดังนั้นจึงเอามารวมกันกับไอ้การศึกษา ให้การศึกษานี้ มันมี ศาสนากำกับควบคุม แล้วกำจัดความเห็นแก่ตัวออกไป กำจัดออกไป กำจัดออกไป จึงได้รับประโยชน์ เป็นสันติสุข เป็นความผาสุกนี่ เดี๋ยวนี้มันถูกปล่อยปละละเลย หรอว่าเจตนา กีดกัน เกลียดกัน เอาศาสนา ออกไปจากการศึกษา การศึกษาก็เลย รับใช้กิเลส รับใช้การเมือง รับใช้เศรษฐกิจ รับใช้ความเห็นแก่ตัว ไม่มีสันติภาพ
อาตมาเรียกการศึกษาชนิดนี้ว่า การศึกษาสุนัขหางด้วน เขาโกรธ เขาด่ากันนะ พวกครูนะบางคนนะ เราเรียกการศึกษาชนิดนี้ว่า การศึกษาสุนัขหางด้วน สอนแต่ให้ฉลาด ๆๆๆ แล้วก็ไม่ควบคุมความฉะ สอนแต่ ให้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เป็นมากขึ้น แยกแยกพระศาสนาออกไปจากการศึกษาเท่าไหร่ มันความเลวร้าย ในการศึกษา มากขึ้น ก็ดูหนังสือพิมพ์สิ ลงข่าวเรื่องครูเลวร้าย ครูอุตริวิตถาร ครูบ้าๆ บอๆ มากขึ้น เพราะธรรมะมันแยกออกไป ศาสนามันแยกออกไป กิเลสมันก็ได้โอกาสสิ
เพราะฉะนั้นขอให้พยายาม รักษาความเป็นครูให้ถูกต้อง ให้เป็นปูชนียบุคคล นำหัวใจ นำดวงใจ นำดวงวิญญาณ ของมนุษย์ในโลก ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เป็นไปในทางสูง เรียกว่า ครู คือ ผู้นำในทางวิญญาณ หลังจากเปิดประตูคอกให้วิญญาณออกมาจากคอกแล้วก็นำไปนำไป สู่ความถูกต้อง จนหมดปัญหา นี่ความหมายของครูที่แท้จริง ถ้าเป็นครูสอนวิชาชีพ ก็คล้ายกับลูกจ้างชนิดหนึ่ง สอนให้เขาสามารถ ทำมาหากิน แต่ถ้าเป็นครูตามความหมาย ความหมายของคำว่า ครู ก็ต้องดึงจิตใจ จูงจิตใจ ย้อมจิตใจ ซักฟอกจิตใจ หรือว่าล้างจิตใจเขา ให้สะอาด ไม่มีไม้มีกิเลส เมื่อไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่เกิดกิเลสใด ๆ เมื่อไม่ไม่ ไม่เกิดกิเลสใด ๆ มันก็ไม่มีปัญหา ทีนี้มันก็ไม่มีความทุกข์ใด ๆ นี่ขอให้เข้าใจอย่างนี้
ที่ว่าเป็นครู จะทำตัวอย่างไรจึงจะเป็นครู ก็ทำตัวให้เป็นผูู้ เปิดประตู แล้วก็นำไปให้ถูกต้อง มันจะได้ อะไร จะได้อะไรในการทำอย่างนี้ ได้ความเป็นปูชนียบุคคล อยู่เหนือเกล้าเหนือเศียรของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เพราะความเป็นปูชนียบุคคล ทำสัตว์โลกหรือทั้งโลกให้ได้รับประโยชน์สูงสุด พูดอีกสั้น ๆ ว่า ครู คือ ผู้นำทาง วิญญาณของโลก ครูที่ถูกต้องแท้จริงนะ มันเป็นผู้นำวิญญาณโลก นำวิญญาณของโลก นำวิญญาณโลกให้ เป็นไปในทางที่ถูกต้อง โดยไม่เห็นแก่ตัว เสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้คนมนุษย์ในโลกนี้ เป็นไปถูกต้อง เป็นไปถูกทาง ก็ได้ความเป็นปูชนียบุคคลมา ความเป็นปูชนียบุคคลนั้นมีค่าสูงสุดจนตีกันไม่ไหว เรียกว่า อยู่เหนือการตีค่า ไม่มีการตีค่า นั่นเรามันก็ได้สิ่งนั้นล่ะมา
มองเห็นชัดอยู่ว่าทำโลกให้มีสันติภาพ ยิ่งฉลาดก็ยิ่งกำจัดความเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดก็ยิ่งกำจัด ความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็ไม่มีความเห็นแก่ตัว เหลืออยู่ในโลก จะมีปัญหาอะไร โลกทั้งหมด ไม่ว่าโลกไหนล่ะ มันเลวร้ายที่สุด ก็เพราะมีความเห็นแก่ตัว ปัญหาเลวร้ายทุกอย่าง ทุกชนิด ทุกระดับ ทุกขนาดล่ะ มาจาก ความเห็นแก่ตัว ปัญหาขี้ผงก็มาจากความเห็นแก่ตัว ปัญหาใหญ่หลวง โลกจะวินาศก็มาจากความเห็นแก่ตัว ปัญหาขี้ผง เช่นว่า คนกรุงเทพฯ นั้น มันเห็นแก่ตัว ยุงมันครองกรุงเทพฯ นี่ยุงมันครองเมืองกรุงเทพฯ ถ้าคนกรุงเทพฯ ไม่เห็นแก่ตัว ช่วยกันคนละครึ่งไม้ครึ่งมือยุงไม่มีนะ ในกรุงเทพ นี่ปัญหาขี้ผง มันเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัว คนจนก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว นายทุนเงิน มหาศาลก็เห็นแก่ตัว ตัวชนกรรมาชีพต่ำต้อยนี่ก็เห็นแก่ตัว มันเป็นโลกของความเห็นแก่ตัว มันพูดกันไม่รู้เรื่อง มันคอยจ้องจะเอาเปรียบกันเท่านั้นเอง นี่ ความเลวร้ายจึงเกิดเต็มไปใน ทั่วไปในโลก
อาตมาขอท้าทายท้าทายและยืนยันว่า ปัญหาทุกชนิด ทุกระดับ ทุกมา ทุกขนาดมาจากความเห็นแก่ตัว เอ้า, ไปหาปัญหาไหนมา ดูทีว่าที่ไม่ไม่มาจากความเห็นแก่ตัว แต่มันนี่ไม่มอง เมื่อไม่มองมันก็ไม่เห็น เช่นว่า นักเรียนไปจมน้ำตายกัน เมื่อวัน ๒-๓ วันที่ เออ, เมื่อไม่ ไม่กี่วันที่ลงข่าวหนังสือพิมพ์นะ นักศึกษานี่มันโง่ มันเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัวจนไม่ดูตาม้าตาเรือ จนไม่ดูเรือลำนี้ไม่ควรลงไป มันเห็นแก่ตัว คือ ความโง่นะ มันจะเห็นแต่ความสุข สนุกสนาน พอลงไปในเรือแล้ว มันยังเห็นแก่ตัวกระโดดโลดเต้น เล่นรำ เต้นรำกัน จนเรือพัง เรือคว่ำ นักศึกษาโง่มีความเห็นแก่ตัว ได้ตายโหงไปเท่าไร
รถแก๊สระเบิดนะ ที่ว่าตายมาก น่าทุเรศที่สุด เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่หยุดนะ มันเห็นแก่ตัว เจ้าของรถมันรู้ว่า รถมันไม่ควรเอาไปใช้ ไม่ควรเอาไปทำ มันเห็นแก่ตัวมันก็เอาไปใช้เอาไปทำเพื่อหาประโยชน์ แล้วคนขับรถทั้ง ๒ ฝ่าย ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว ไม่ลดราวาศอก มันก็ได้ชนกัน แก๊สก็ระเบิดตายกันเป็นร้อย ก็อย่างน่าทุเรศ นี่มันเห็นแก่ตัว นี่มันเรื่องเห็นแก่ตัว ปัญหาขี้ผงนี้มันเรื่องเห็นแก่ตัวอย่างนี้
ปัญหาของโลก ที่ว่ามันจะแย่งกันครองโลก แย่งกันครองโลก สงครามมีตลอดเวลาไม่มีหยุดนี่ ก็เพราะ มันเห็นแก่ตัว ไปโลกพระจันทร์ได้ มันก็ไปรบราฆ่าฟันกันที่โลกพระจันทร์ แล้วมันไปกัดกันบนโลกพระจันทร์ นี่ความฉลาดที่สูงสุด เพราะว่าความเห็นแก่ตัวนี่มันเลวร้าย เป็นที่เกิดแห่งกิเลสทุกชนิด ไม่มีปัญหาไหน ที่ไม่ได้เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวแล้วมันขี้เกียจนี่ มันไม่อยากจะทำงาน มันอยากนอน แต่มันก็ อยากจะได้ประโยชน์ได้เงิน ที่ได้ข้าวกินนั่นแหละ แล้วมันจะเอาแต่นอน นี่ละคนเห็นแก่ตัวมันก็ขี้เกียจอย่างนี้
นี่คนเห็นแก่ตัวมันก็ เอาเปรียบตะพึด เอาเปรียบตะพึด ไปดูเด็ก ๆ ผู้ใหญ่มันก็เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ ตะพึด คนเห็นแก่ตัวไม่สามัคคี เรียกมาช่วยทำนี่กันหน่อย มันไม่สามัคคีมันไม่มา มันรอให้คนอื่นทำ แล้วมันใช้ประโยชน์ คนเห็นแก่ตัวมันก็อิจฉาริษยา อิจฉาริษยา สารพัดอย่างเพราะมันเห็นแก่ตัว มันก็มีความ เป็นอันธพาล อันธพาลเกิดขึ้น เป็นอาชญากร เป็นอาชญากรรมมากขึ้น อ่า, มันสร้างมลภาวะเต็มไปหมด นั้นคนเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าที่กรุงเทพหรือที่ไหน ที่ไหนในโลก มลภาวะเกิดขึ้น ก็เพราะมันเห็นแก่ตัว ทำลายธรรมชาติวินาศหมด ก็เพราะเห็นแก่ตัว
เกิดปัญหาโง่เขลาที่สุด คือ ปัญหายาเสพติดนี่ มันก็เพราะเห็นแก่ตัว ปัญหาโลกบ้าบออะไรของมัน ก็เพราะเห็นแก่ตัว ไม่เคยเกิดในสมัยคนป่าสมัยโน้น ซึ่งไม่มีปัญหายาเสพติด ไม่มีปัญหาโรคบ้า ๆ บอ ๆ นี้ มันเจริญให้คนป่าหัวเราะนี่ คนเดี๋ยวนี้มีความเจริญให้คนป่ามันหัวเราะ ยิ่งเจริญยิ่งเต็มไปด้วยปัญหา ปัญหา มลภาวะ ปัญหาทำลายธรรมชาติ ปัญหายาเสพติด ปัญหาโรคบ้า ๆ บอ ๆ ของมัน นี่เป็นเรื่อง ความเห็นแก่ตัว มันเกิดสิ่งเหล่านี้ ขึ้นมาทำให้โลกสกปรก ให้โลกเน่า ให้โลกไม่มีมนุษย์นะ มีแต่สัตว์อะไรก็ไม่รู้ชนิดหนึ่ง มีแต่ ความทุกข์ความปั่นป่วน ปั่นป่วน ปั่นป่วนไม่มีเวลาหยุด
ในที่สุดไอ้คนเห็นแก่ตัว มันก็หลงทาง เห็นแก่ตัวจัดแรงขึ้น แรงขึ้น มันก็เป็นบ้า เป็นบ้าได้ไปอยู่ โรงพยาบาลบ้า คนบ้าทุกคนในโรงพยาบาลบ้านะ มันตั้งต้นมาจากความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็หลงทาง ๆๆ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าตัวเองตายตามนั่นแหละ คนเห็นแก่ตัว สร้างคุกตะรางเท่าไรก็ไม่พอ สร้างตำรวจ โรงพักเท่าไรมันก็ไม่พอ สร้างศาลเท่าไรมันก็ไม่พอ ศาลสถิตย์ยุติธรรมสร้างเท่าไรก็ไม่พอ เดี๋ยวนี้ไม่มีงบประมาณ สร้าง โรงพยาบาลบ้าเท่าไรก็ไม่พอ กระทรวงสาธารณสุขบอกว่าไม่มีเงินพอที่จะสร้าง โรงพยาบาลบ้าให้พอกับคนบ้า ให้หลบหลีกกันไปต่าง ๆ
นี่คนเห็นแก่ตัวมันเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่มีปัญหาอย่างนี้ มันก็เรียบร้อย ราบรื่น สุขสบาย ไม่มีการอันธพาล ไม่มีอาชญากร ไม่มีปัญหามลภาวะ หรือทำลายธรรมชาติ ไม่เจริญด้วยการฆ่าตัวเอง ไม่เจริญ ด้วยการฆ่าผู้อื่น ไม่เจริญด้วยการทำแท้ง ไม่เจริญด้วยการหย่าร้าง การศึกษาที่มันบ้า ที่มันฉลาด ๆ แล้วมันก็ เห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นครู ครูนี้จงทำหน้าที่นี้ กำจัดสิ่งเลวร้ายของโลก คือ ความเห็นแก่ตัว ครูเป็นผู้นำทาง ในการไม่เห็นแก่ตัว ลูกศิษย์ทั้งหลายเดินไปเป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว ในโลกก็มีแต่ผู้ที่ ไม่เห็นแก่ตัว ปัญหาเลวร้าย ที่กำลังมีอยู่ในปัจจุบัน มันก็ไม่มี นี่ประโยชน์ของครู พระคุณของครู มหากรุณาคุณของครู มันมีอยู่ในโลก อย่างนี้
ฉะนั้นเขาจึงจัดเป็นปูชนียบุคคล ตามหลักคำในภาษาอินเดีย ครูนะสูงสุด สูงสุดอยู่เหนือหัว เหนือเกล้า แม้ของพระราชามหากษัตริย์ก็เคารพครู เคารพครู ครูไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวัน ๆ ครูไม่ใช่รับจ้าง รวบรวมเงินแล้วจะไปเล่นหัว พาสุข สนุกสบาย จะแต่งงานให้หรูหราสักที แท้มันไม่ใช่ เพียงเท่านั้นไม่ใช่ครู เป็นลูกจ้างรับจ้างสอนหนังสือ หากินไปวัน ๆ ครูที่แท้จริงต้องช่วยกันทำโลกนี้ให้สะอาด ทำโลกนี้ออกมาจาก กิเลส คือ ความเห็นแก่ตัว
ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี มันออกมาจาก ความเห็นแก่ตัว เมื่อความเห็นแก่ตัว เป็นไปในทางบวกมันก็เกิดกิเลส ราคะ โลภะที่จะเอา จะทะนุถนอม ที่เป็นเหตุให้คอรัปชั่น ถ้าความเห็นแก่ตัว มันเป็นลบ มันก็เกิดโทสะ โกรธะ มันฆ่า มันฟัน มันทำลาย ถ้ามันไม่รู้ว่าเป็นบวกหรือเป็นลบแน่ มันเกิดโมหะ สงสัย ๆๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำผิด ๆ ทำแบบโง่เขลา มัวเมาไปตามแบบของโมหะ ราคะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดี มันมาจากความเห็นแก่ตัว
แล้วท่านทั้งหลายก็ไปดูเอาเองเถอะว่า ราคะ โทสะ โมหะ ๓ อย่างนี้เกิดขึ้นแล้วมันเป็นอย่างไร มันทำให้โลกลุกเป็นไฟอยู่เสมอ ในทางจิตทางวิญญาณ มันจะหมดไปจากโลกก็ด้วยบุคคลประเภทที่เรียกว่า ครู ครู มาแต่ดึกดำบรรพ์ มาก่อนพุทธกาลเขาก็บูชาครู พุทธกาล หลังพุทธกาลก็บูชาครู พอมาถึงยุคนี้บูชาวัตถุ บูชาเงิน บูชาอะไรกันเสีย ครูก็ไม่รู้ไปไหนหมด หาครูปูชนียบุคคลมาทำยาหยอดตายาก มันมีแต่ครูรับจ้างสอน หนังสือหากินไปวัน ๆ หนึ่งเสียโดยมาก นั่นละไปคิดเอาเอง ว่าครูเป็นครูแล้วจะได้อะไร เป็นครูที่ถูกต้องแล้ว จะได้อะไร เป็นครูสมัคร เป็นเรือจ้างนี้มันก็จะได้อะไร
อาชีพครูเคยถูกถือว่าเป็นอาชีพเรือจ้าง ยังไปทำงานอะไรไม่ได้ เป็นครูไปก่อนเถิด แล้วก็ค่อยไปหา อาชีพที่ดีกว่า ไปเรียนกฎหมายไปเป็นใหญ่เป็นโต นั้นนะเป็นครูอาชีพเรือจ้าง อย่างนี้ก็แย่มาก เรียกว่า ต่ำที่สุด ครูเป็นปูชนียบุคคลสูงสุด ไม่มาเป็นเรือจ้างหรอก แต่ถ้าทำผิดพลาดมันตกลงไป เป็นฐานะเรือจ้าง สำหรับ ข้ามฟากอย่างนี้กันอยู่ แม้ในประเทศไทยที่อื่นก็เหมือนกัน
เอาละเป็นอันว่า อาตมาได้ แสดงความรู้ความคิด ความเห็นอะไร เกี่ยวกับเรื่องครูให้ท่านทั้งหลายฟัง เรียกว่า พอสมควรแล้ว อาตมาสนใจเรื่องนี้ มาเป็น ๑๐ ๑๐ปี สนใจเรื่องความเป็นครู แล้วก็ตัวเองก็เป็นครู เป็นครูเต็ม ๑๐๐% แต่ไม่ได้ขึ้นกับกระทรวงศึกษา เป็นครูที่ไม่สังกัดในกระทรวงศึกษาธิการ เป็นครูที่สังกัด ในพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ฉะนั้นจึงเรียกตัวเองว่า ครู ครูเหมือนกันแหละ จึงพูดอะไรตรง ๆ กับเพื่อนครู ไม่ต้องเกรงใจกัน เพราะเป็นครูด้วยกันไม่ไม่เกรงใจ พูดอะไรก็พูดตรง ๆ นี้จึงได้พูดแบบที่ได้พูดไปแล้ว ชอบก็ ไม่ชอบตามใจ แต่แสดงความจริงที่ได้ศึกษาค้นคว้า รวบรวมสังเกตมาเป็นเวลา ๑๐ ๑๐ปี ๕๐-๖๐ ปีมาแล้ว สนใจเรื่องนี้ ก็พูดได้อย่างนี้
ขอฝากท่านทั้งหลายไปคิดดู ว่าเป็นครูจะได้อะไร เป็นครูจะได้สิ่งสูงสุด สูงสุด ๆ ที่มนุษย์จะพึงได้ เหนือวรรณะอื่นใด วรรณะสูงสุด คือ วรรณะของความเป็นครู ไม่ใช่วรรณะโดยกำเนิดนะ วรรณะโดยหน้าที่ การงานนะ วรรณะโดยกำเนิดมาจากพ่อแม่ เลิกแล้วไม่เอาแล้ว แต่วรรณะโดยหน้าที่การงานที่ทำอยู่ไม่ไม่มีใคร เลิกได้ ทำงานอะไรก็เป็นวรรณะนั้น วรรณะครูก็สอนคน คือ ยกสถานะทางวิญญาณของมนุษย์ในโลกให้ สูงสุด นี้เราได้สิ่งสูงสุด สูงสุดจนไม่รู้จะเรียกว่าสูงสุดอย่างไร นี่ผลที่พวกครูแท้จริงจะได้รับ นี่ได้อะไร ไปคิดเอาเอง ครูทำตัวอย่างไร ทำตัวให้เป็นปูชนียบุคคล มันก็ได้อะไร ได้ความเป็นปูชนียบุคคล เป็นประโยชน์ มหาศาล จนตอบแทนกันไม่ไหว อยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของคนทุกคน นี่คือความเป็นครู
อย่างกเงิน อย่าเห็นแก่เงิน อย่าเห็นแก่เงินเดือน ค่าจ้างมันจะมาอยู่บนหัว อย่าเป็นทาสของเงิน เห็นแก่หน้าที่ เห็นแก่อุดมคติของความเป็นครู เงินเดือนมันจะมาอยู่ใต้ฝ่าเท้านะ แยกกันเด็ดขาดอย่างนี้ เป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวัน ๆ หนึ่ง เงินเดือนมาอยู่บนหัว แต่ถ้าเป็นปูชนียบุคคล ยกสถานะ ทางวิญญาณโดยแท้จริง เงินเดือนมาอยู่ใต้ฝ่าเท้า เป็นเครื่องบูชา เป็นเครื่องบูชาคุณไป แม้ครูบางคนจะมี อายุยังน้อย ก็ขอฝากไว้ช่วยนำไปคิดเถอะ คุณจะต้องมีอายุมากขึ้นทุกวัน ขอให้เจริญ เจริญด้วย อายุ เจริญด้วยความเป็นครู เป็นครูให้สูงสุด สมตามความมุ่งหมายทุกประการ นี่ล่ะคือครู ครูคืออะไร แล้วเป็นครูจะได้อะไร
ดังที่ได้อธิบายมานี้พอสมควรแก่เวลาแล้ว แล้วก็ขอยุติการบรรยาย และแสดงความหวังว่า ท่านทั้งหลาย ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะนำไปคิดนึก ตรึกตรอง พิจารณาดู แล้วฉวยโอกาสปฏิบัติให้ได้ ให้มากที่สุด ให้ได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และมีความสุขสวัสดี อยู่ในหน้าที่การงานของตน อยู่ทุกทิวาราตรี กาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย
เริ่มมีกันแล้วก่อนนี้มันไม่มี คนไทยสนใจธรรมะน้อยกว่าพวกฝรั่งเสียอีก