แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดี ในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ คือแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อไปใช้ประกอบในการปฏิบัติหน้าที่การงาน ให้มีความก้าวหน้าเจริญยิ่งๆขึ้นไป ยินดีเพราะมันเป็นการกุศลอันใหญ่หลวงที่ช่วยเพื่อนมนุษย์ ตามอุดมคติของความเป็นครู ความเป็นครูหรือสถาบันครู เกิดขึ้นมาในโลกนี้เป็นพันพันปี หมื่นปีมาแล้ว เพราะความจำเป็นมันบังคับ เมื่อมนุษย์เดินไม่ถูกทาง มันก็ต้องมีบุคคลประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้นำทาง อุเด็มอุดมคติของครูมันสูงถึงอย่างนี้ แล้วมันค่อยเลื่อนลด ลดๆลงมาต่ำๆมาเป็นครูสอนหนังสือกับลูกเด็กๆ คำว่าครู ครูนี้ แต่ที่แรกดึกดำบรรพ์โน่นมันไม่ใช่สอนหนังสือเด็กๆ มันเป็นเรื่องนำทางวิญญาณแก่ผู้ใหญ่ทุกคน กระทั่งพระราชามหากษัตริย์จะมีครูประจำ เรียกว่าเป็นครูของคนทั้งประเทศ นี่คำว่าครู ต่อมามันก็ขยับลงมาจนถึงกับว่าเป็นครูสอนหนังสือ ให้รู้หนังสือ แล้วก็ให้ความหมายลงไปถึงว่า บิดา มารดา เป็นครูคนแรก มารดาบิดาเป็นครูคนแรก ถ้าถือตามบาลีก็พูด บิมารดาก่อน มารดาเป็นครูคนแรก แล้วสอนให้ทารกให้มันรู้อะไร เป็นข้อแรกสิ่งแรกก่อนกว่าใครทั้งปวง นี่เรียกว่าให้ความเป็นครู
เรามาปรึกษาหารือกัน เพื่อจะปรับปรุงให้ความเป็นครูของเราในปัจจุบันนี้ให้มันสำเร็จประโยชน์ยิ่งๆ ขึ้นไป ตามหัวข้อที่กำหนดให้บรรยายนั้นมีว่า อุดมธรรมสำหรับครูแห่งยุคปัจจุบัน ยุคปัจจุบัน เราก็จะพูดกันเป็นพิเศษกับยุคปัจจุบัน แต่มันก็ทิ้งยุคอดีตไปไม่ได้ เพราะมันมีหลักเกณฑ์หรือว่ามีกิจการอย่างเดียวกันตลอดมา มีแต่ว่าจะปรับปรุงให้ถูกต้องกับยุคปัจจุบัน ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นไป นี่ให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน ถ้ากิจการของความเป็นครูหรือของสถาบันครูยังถูกต้องอยู่ตามเดิม โลกนี้ก็จะมีสันติภาพตามสมควร มีวิกฤตการณ์น้อยลง มีสันติภาพมากขึ้น แต่ถ้าว่าอุดมคติของความเป็นครูมันเปลี่ยนไป นี่จะทำยังไง มันก็ได้ผลไปทางอื่น หรือว่าถึงกับตรงกันข้ามที่มี
อาตมามีความยินดีในการที่ได้มา มาสนทนากันในเรื่องนี้ เพราะว่ามันเป็นการกุศลของมนุษยชาติทั้งหมดทั้งสิ้น ขอทำความเข้าใจพิเศษเล็กน้อยเรื่องเรามาพูดกันในเวลาอย่างนี้ เข้าใจว่าจะไม่เคยมีสำหรับท่านทั้งหลายกระมังที่มาฟังคำบรรยายเวลาตีห้า คงจะไม่เคยมี เดี๋ยวนี้ที่นี่เรามี ขอทำความเข้าใจเรื่องนี้โดยเฉพาะว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะสม ที่จะบรรจุอะไรลงไปในความรู้สึกของผู้ฟัง เวลาอย่างนี้เป็นเวลาที่เหมาะที่จะเพิ่มเติมความคิดนึกอะไรใหม่หรือความลึกซึ้งอะไรใหม่ๆ เป็นจิตเหมาะสมที่จะรับ ตื่นนอนมาใหม่ๆ ยังไม่ได้บรรจุอะไรลงไปในจิตใจ เหมือนกับถ้วยชาว่างเปล่า ใส่น้ำชาได้มาก ถ้าไปตอนสาย ตอนเที่ยง ตอนบ่าย มันใส่อะไรลงไปมากจนวุ่นไปหมด ดังนั้นขอให้ถือว่าเป็นเวลาที่พิเศษสำหรับผลอันพิเศษ ไม่ใช่ว่าทำให้รำคาญ แต่สำหรับส่วนตัวอาตมานั้นก็ต้องขออภัยละที่ว่าเวลาอื่นมันไม่ค่อยมีแรงไม่มีเรี่ยวแรง เดี๋ยวนี้มี มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่น้อยที่สุด และก็มีเรี่ยวแรงบ้างก็เวลาตอนนี้ ตอนตื่นนอนใหม่ๆ ประกอบกับว่าพอดีกับเวลาอย่างนี้เป็นเวลาที่จิตใจเบิกบาน ดอกไม้ในป่าทั้งหมดนี้ก็เริ่มบาน หรือเตรียมตัวที่จะบานในเวลาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เวลาอย่างนี้ มันก็จะต้องอดทนบ้าง มันเสียความสุขในการนอนไปบ้างก็เพื่อแลกเอาสิ่งที่มันมีคุณค่าเกินกว่า ไปก็แล้วกัน มันเป็นการฝึก ฝึกให้มีความเข้มแข็ง ให้มีความอดทน มีความเข้มแข็ง ใจความสำคัญมันอยู่ที่ว่าใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์ คือโลกเวลา ๕ น. อย่างนี้มัน มันมีค่าสำหรับกิจการบางอย่าง เพราะฉะนั้นเราอย่าให้มันล่วงไปเสียเปล่าๆ เรารู้จักเอามาใช้ให้สำเร็จประโยชน์เต็มที่ แล้วก็หวังว่าท่านครูทั้งหลายก็จะได้รู้จักใช้มันสืบต่อไปข้างหน้าด้วย คือใช้โลกเวลา๕ น. ให้เป็นประโยชน์ เสียสละความสุขอันเกิดมาจากการนอน นี่ขอให้ทำความเข้าใจกันให้ถูกต้องในข้อนี้ ในลักษณะอย่างนี้
สำหรับหัวข้อบรรยายที่กำหนดให้ว่าอุดมธรรมสำหรับครูยุคปัจจุบัน นี้ก็เราจะพิจารณากันเป็นลำดับๆ ไป อุดมธรรมของครู คุรุฐานียธรรมของครู คือธรรมะที่จะต้องทำให้มากให้หนักให้เป็นพิเศษให้สมกับความเป็นครู นั้นมันมีอยู่อย่างไร เพื่อจะปฏิบัติหน้าที่ของครูด้วยความสนุกสนานพอใจ ไม่เป็นเรื่องยุ่งยากลำบาก
มาพิจารณากันถึงคำว่าครู ครูนี้ก่อนว่าอะไรกันแน่ เราเข้าใจกันว่าคำว่าครูแปลว่า หนัก คือความเคารพ เป็นผู้ที่ประชาชนควรจะเคารพอย่างหนัก เพราะว่าเอาใจใส่มากเท่าไร ก็มีความหนักมากเท่านั้นน่ะ ถ้าเป็นครูก็ควรจะให้ความเคารพมากเท่านั้น นี่แต่ปรากฎว่า เมื่อกล่าวโดยรากศัพท์ของคำๆนี้ คำว่าคุรุนี่ เมื่อเป็นนามก็เป็นคำนามนามคำ รากศัพท์ของมันว่าอะไร เป็นกิริยาน่ะว่าอะไร การศึกษาค้นคว้าทางศัพทศาสตร์ คือคำพูด มันพบกันใหม่ว่า คำว่าคุรุ นี่แปลว่าผู้เปิดประตู ผู้เปิดประตู ใครเปิดประตู คนนั้นเป็นครู เพราะคำว่าครูมีรากศัพท์ว่าเปิดประตู เปิดประตูอะไร นี่ก็เปิดประตูทางวิญญาณทางจิตใจ ให้เปิดออกไป แล้วสัตว์ทั้งหลายก็จะได้ออกมาเสีย จากคอกที่กักขัง เต็มไปด้วยความสกปรก ทุกข์ทนทรมาน มืดมัวเร่าร้อน ออกมาสู่ที่โล่งที่แจ้ง นี่เรียกว่าเปิดประตูให้ แล้วก็ยังนำให้เดินทางต่อไปอย่างถูกต้อง มันก็เลยใช้คำสืบต่อไปว่า ผู้นำทางวิญญาณด้วย คือเปิดประตูทางวิญญาณ ออกมาจากคอกแล้วก็นำต่อไป เป็นมัคคุเทศก์ทางวิญญาณ แล้วคิดดูสิมากน้อยเท่าไร มันก็ควรจะเป็นปูชนียบุคคล สมควรแก่ความเป็นผู้ที่ใครๆจะเคารพ อย่างหนักอย่างหนักแน่น นี่ถือเอาคำนี้เป็นความหมายแรกที่จะต้องสนใจว่าเป็นปูชนียบุคคล เพราะเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ แล้วก็นำในทางวิญญาณ เคยพบที่พวกฝรั่งเขียนกัน spiritual guideเป็น guide ในทางวิญญาณpiritual guideดูเขาจะนิยมให้ความหมายมันเป็นอย่างนั้น จะทำอย่างไรให้เป็นผู้นำทางวิญญาณได้ ก็สังเกตดู มันจะต้องนึกถึงข้อที่ว่า ครูในโรงเรียนสอนหนังสือหนังหาจะเป็นผู้นำในทางวิญญาณ อย่างไรกัน มันก็มองดูได้สอง แง่ คือว่าการรู้หนังสือนั้นก็เป็นการที่วิญญาณมันสูงขึ้น ฉะนั้นถ้าครูแท้จริงไม่ได้สอนแต่หนังสือหรอก ครูที่แท้จริงไม่ได้สอนแต่หนังสือ หนังสือก็สอนไป อบรมจิตใจ อบรมมรรยาท อบรมวัฒนธรรม อบอะไรทุกอย่างพร้อมกันไป ข้อนั้นแหละมันเป็นการนำทางวิญญาณ มากยิ่งขึ้นไปกว่าสอนหนังสือ ไม่ได้สอนหนังสือ ให้รู้หนังสือมันก็เป็นการยกวิญญาณให้สูงเหมือนกันแหละ คนไม่รู้หนังสือเป็นคนโง่นี่ พอมันรู้หนังสือแล้วก็มันมีความสูงทางวิญญาณ
เอ้า, ที่นี้ก็จะมองลึกสุดเลยถึง มารดาเป็นครูคนแรก ตอนออกมาจากท้องมารดา มารดาเป็นครูคนแรก นับตั้งแต่ว่าสอนให้ดูดนมเป็นอย่างนี้ก็เป็นครูทางวิญญาณได้ ในความหมายที่ว่ามันรู้อะไรเพิ่มขึ้น มันทำอะไรถูกต้องขึ้น แล้วมารดาก็สอนทุกอย่างที่มันเกี่ยวกับทารก จะต้องประพฤติปฏิบัติ บิดาก็ช่วยกัน คนเลี้ยงทุกๆคนก็ช่วยกัน เด็กๆของเราก็ค่อยๆมีความก้าวหน้า มีความเจริญทั้ง ทางกายและทางจิต ทางวิญญาณ นี่เปิดประตูทางวิญญาณ นำไปในทางวิญญาณ เรียกว่าโดยพยัญชนะคือตัวหนังสือ คำว่าครู แปลว่าผู้เปิดประตูทางวิญญาณ แล้วก็นำไปในทางวิญญาณ ให้ไปถึงจุดที่สูงสุดที่มันจะสูงได้ ครูครั้งสุดท้ายก็คือ ครูบาอาจารย์ในทางจิตทางวิญญาณได้บวช ได้เรียน ได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน นี่ก็เรียกว่าพระบรมครู คือพระพุทธเจ้าท่านเป็นพระบรมครู นับตั้งแต่ครูคนแรกคือมารดา และก็เรื่อยขึ้นมา คนเลี้ยงคนดู กระทั่งมาอยู่โรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยมสูงขึ้นไป และก็ได้บวชได้เรียน จนบรรลุธรรมะ บรรลุมรรคผลนิพพาน ตลอดสาย นี่มันเป็นการเดินในทางที่ ที่ถูกต้องในทางจิตในทางวิญญาณ โดยมีครูบาอาจารย์เป็นผู้นำเป็นมัคคุเทศก์ รู้จักสิ่งที่เรียกว่าครู ไว้ในฐานะอย่างนี้ แล้วก็จะได้ชำระกิจการงานที่ครูกระทำอยู่ ให้มันถูกต้องยิ่งๆขึ้นไป คือตรงตามจุด ความหมายของความเป็นครูยิ่งๆขึ้นไป นี่เรียกว่าดูกันโดยพยัญชนะ หรือโดยตัวหนังสือ ของคำว่าครู
ที่นี้จะดูกันโดยอรรถะ อรรถะ คือความหมายกันบ้าง ผู้นำทางวิญญาณมันนำไปไหนกัน มันก็มันสูงขึ้น เมื่อมนุษย์สูงขึ้นโลกนี้มันก็ดี มันก็ดีขึ้น เพราะฉะนั้นเรามองดูอีกทางหนึ่งก็เห็นได้ว่า ครูเป็นผู้สร้างโลก พระเจ้าสร้างโลกให้เก็บไว้ก่อนเถอะ เก็บไว้ก่อนเถอะมันไม่รู้อยู่ที่ไหน แต่ว่าผู้สร้างโลกที่เราเห็นๆ กันอยู่ปัจจุบันนี้ก็คือครูสร้างโลกคือครูสร้างเด็กโดย สร้างโลกโดยการสร้างเด็ก สร้างเด็กขึ้นมาได้อย่างไร เป็นบุคคลในโลกขึ้นมาอย่างไร ไอ้โลกมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ครูช่วยกันสร้างเด็กให้เป็นอันธพาลหมด ก็เป็นโลกอันธพาล ครูช่วยกันสร้างโลกให้เป็นเด็กที่ดีที่ถูกต้อง เป็นสัตบุรุษ มันก็เป็นโลกของอริยชนโลกของพระอริยเจ้านั่นฉะนั้นครูเป็นผู้สร้างโลก มันเป็นเกียรติอันสูงสุด ขอให้ประสบความสำเร็จตามความหมาย ของเกียรติอันสูงสุด อย่าได้เป็นเพียงลูกจ้าง รับจ้างสอนหนังสือไปวันๆหนึ่ง เพื่อเลี้ยงชีพ แล้วก็ต่อสู้ ต่อสู้เพื่อเงินเดือนขึ้น ต่อสู้อย่างพวกกรรมกรต่อสู้อย่างนี้ มันไม่ตรงตามอุดมคติของคำว่าครู เพราะว่าการสร้างโลกมันได้บุญได้กุศลเหลือหลายแหละ นับประสาอะไรกับเงินเดือนเล็กๆน้อยๆน่ะ อย่าเป็นลูกจ้างเลย เป็นปูชนียบุคคลดีกว่า ไอ้เงินเดือน เงินเดือนก็กลายเป็นค่าใช้สอย เงินเดือนเป็นค่าจ้างก็ได้นะ เป็นค่าจ้างของกรรมกร แต่ถ้าเป็นค่าใช้สอยก็ว่าให้ใช้สอยเพื่อทำหน้าที่ ให้สะดวกในการทำหน้าที่ แล้วก็ประสบผลสูงขึ้นไป เป็นผลที่แพงมากกว่าเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ได้รับ ถ้าอย่างนี้เงินเดือนไม่ใช่ค่าจ้าง เงินเดือนเป็นค่าใช้สอย แต่ถ้าเราทำได้ดีกว่าธรรมดา แทนที่จะเป็นค่าใช้สอย มันก็เป็นค่าบูชาคุณนั่น ขอให้ครูปฏิบัติหน้าที่ของตนๆ จนเงินเดือนไม่ไม่เป็นค่าจ้าง ไม่เป็นค่าใช้สอย แต่เป็นค่าบูชาคุณ บูชาคุณของผู้ที่เป็นปูชนียบุคคล อย่างนี้ละวิเศษสุด ถึงที่สุดของความหมายของความเป็นครูที่เราควรจะรับรู้ เพราะโชคดีนะที่ได้เกิดมาเป็นครู ได้ทำสิ่งที่มีค่าสูงสุด ไม่ใช่ลูกจ้าง แต่เป็นปูชนียบุคคล
ถ้าพูดโดยเกียรติก็เป็นเกียรติสูงสุดนะในวรรณะทั้ง ๔ วรรณะกษัตริย์ก็สูงไปในทางปกครองบ้านเมือง แต่ในวรรณะครู หรือครูวรรณะ เทียบแต่โบราณน่ะวรรณะพราหมณ์คือเป็นครู นี่ก็เป็นที่เคารพสักการะของวรรณะกษัตริย์ เพราะว่าเป็นผู้รู้ นับว่าอยู่ในวรรณะสูง ความเป็นครูนี่อยู่ในวรรณะสูง ไอ้เรื่องวรรณะๆนี่ยังเข้าใจผุดผิดกันอยู่นะ บางคนคิดว่าเลิกแล้ว เลิกแล้ว ไม่มีวรรณะแล้ว นั่นมันหลับตาพูด วรรณะที่เลิกได้มันก็มี แต่วรรณะที่เลิกไม่ได้ เลิกไม่ได้ มันเลิกไม่ได้โดยธรรมชาติ นี้ก็มี ไอ้วรรณะที่เลิกได้คือวรรณะโดยกำเนิด เกิดมาจากท้องบิดามารดาที่เป็นอะไรแล้วก็จะเหมาว่าเป็นอย่างนั้น วรรณะอย่างนี้เลิกได้เพราะว่ามันเกิดไม่จริงขึ้นมาวรรณะโดยกำเนิดของบิดามารดานั้นเลิกได้ แต่วรรณะโดยหน้าที่การงาน ที่กระกำลังกระทำอยู่นี้มันเลิกไม่ได้นี่ คุณคิดดูจะเลิกได้อย่างไร เพราะทำหน้าที่อย่างนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองให้บ้านเมืองเรียบร้อย มันก็เป็นวรรณะกษัตริย์เลิกไม่ได้ ครูบาอาจารย์สอนมนุษย์ในโลกให้จิตใจสูงมันก็เลิกไม่ได้ มันก็เป็นวรรณะผู้สอนอยู่นั่นแหละ นี่วรรณะโดยหน้าที่ โดยกิจการงานที่กำลังกระทำอยู่นี้ มันเป็นวรรณะที่เลิกไม่ได้ พระเจ้าก็เลิกไม่ได้ เอ้า, ทำนาสิคุณก็เป็นชาวนา ทำสวนก็เป็นชาวสวน ค้าขายก็เป็นพ่อค้า ทำราชการก็เป็นข้าราชการ นี่มันเลิกได้เมื่อไหร่ จึงเรียกว่าวรรณะส่วนที่เลิกไม่ได้นั้น มันก็มีอยู่ จึงตาท้า(ไม่ชัดนาทีที่๐ :๒๑ :๔๗.๐ )ว่าพระเจ้าก็เลิกไม่ได้ เมื่อเค้าทำอะไรเค้าก็เป็นอันอันนั้นเป็นวรรณะนั้น ที่นี้ครูเราก็ทำหน้าที่ยกสถานะทางวิญญาณของ ของโลก ให้มันสูงขึ้นไป มันก็เป็นวรรณะนี้ วรรณะนี้ มีวรรณมีคำอีกคำหนึ่งที่ที่ท่านอาจจะไม่เคยได้ยินก็ได้นะ ท่านเคยได้ยินแต่คำว่าวรรณะกษัตริย์วรรณะพราหมณ์วรรณะไวศยะ และก็วรรณะศูทรวรรณะแพศย์ วรรณะศูทร วรรณะกษัตริย์ปกครอง วรรณะพราหมณ์สั่งสอน วรรณะแพศย์ก็ทำกิจการงานที่เป็นล่ำเป็นสัน ที่วรรณะศูทรก็เป็นลูกจ้างกรรมกรรับใช้ แต่ในบาลีเราก็พบอีกคำหนึ่งว่า เว เว วรรณะ มาจากคำว่าวิ วิ วรรณะ ถ้าทำรูปตัวหนังสือสำเร็จตามไวยกรณ์แล้วมันก็เป็นเว วรรณะ คือวรรณะวิเศษ วรรณะวิเศษคือได้เป็นบรรพชิต ได้ปฏิบัติเพื่อการบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ก็เรียกว่าเป็นวิวรรณะ เป็นวรรณะวิเศษ วรรณะนี้ใครไปเลิกได้ ใครไปเลิกได้ นี่ถ้าเราเป็นอุบาสก อุบาสิกา ปฏิบัติธรรมะอยู่ส่วนหนึ่ง ดังที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็นิยมกระทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ที่มีชุมนุมการศึกษาธรรมะฏิบัติธรรมะ ถ้าอย่างนี้ก็มันพลอยมาเป็น วิ วรรณะ หรือ เว วรรณะ ตามแบบของพระเจ้าพระสงฆ์ไปด้วยในตัว มีการสอน พระพุทธเจ้าน่ะสอนให้พิจารณา เว วรรณิ ยัง วิ อัชชู ป กโต ติ(บาลีนาทีที่ ๐ :๒๓ :๕๐.๐ )เดี๋ยวนี้เรามีวรรณะพิเศษแตกต่างจากคฤหัสถ์แล้ว หน้าที่การงานอย่างไรมีอยู่ สำหรับวรรณะนี้เราก็จะทำหน้าที่อันนั้น แล้วดูเถอะมันเป็นกันได้ทุกคนน่ะ ไอ้ เว วรรณะในความหมายที่ว่าวิเศษนี่ ถ้าใครปฏิบัติธรรมะเพื่อบรรลุคุณธรรมทางจิตใจสูงขึ้นไป มันก็มาอยู่ในวรรณะนี้ด้วยกันทั้งนั้นน่ะ ดังนั้นขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสนใจที่จะดำรงตนอยู่ในวรรณะอันพิเศษ คือรู้ธรรมะ แล้วสอนธรรมะให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ให้โลกนี้มันประกอบไปด้วยธรรมและก็มีความสงบสุข เป็นปูชนียบุคคลด้วยการช่วยให้ทุกคนมันเลื่อนชั้น เลื่อนชั้น สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป แม่สอนคนแรก ทุกคนก็สอนต่อมา ครูชั้นอนุบาลก็สอนชั้นอนุบาล ชั้นประถม ชั้นมัธยม ชั้นมหาวิทยาลัย แล้วก็ไปบวชเรียนเป็นพระเจ้าพระสงฆ์ มันไปจบกันที่บรรลุ มรรค ผล นิพพาน นี่หน้าที่ของครู
เรามีคำพูดรวบ รวบหมดง่ายๆเป็นคำว่าครู เป็นผู้ให้การศึกษา ภาษาชาวบ้าน ภาษาไทย ภาษาชาวบ้าน กลางบ้านใช้คำว่า ศึกษา ศึกษา แต่ถ้าเอาตามบาลี ก็ว่า สิกขา สิกขา ภาษาไทยที่ใช้อยู่ตามกลางบ้านนี่ เอารากศัพท์มาจากสันสกฤต เอาศัพท์มาจากสันสกฤตเรียก ศึกษา ศึกษา เขียน สอ คอ สระอึ กอ สระ สอ บอ สระอา ศึกษา ออกเสียงอย่างภาษาอินเดีย แต่ถ้าว่าเป็นภาษาบาลีก็สิกขาเป็น สอเสือ สระอิ กอ ขอสระอา สิกขาคำเดียวกันแหละก็คือ ศึกษาน่ะ สิกขา หรือ ศึกษาก็คือคำเดียวกัน เรียกว่าให้การศึกษา ดังนั้นท่านจะต้องรู้จัก ไอ้สิ่งที่เรียกว่าการศึกษาและก็ให้การศึกษาอย่างถูกต้อง ให้การศึกษาอย่างถูกต้องให้สำเร็จประโยชน์ ฉะนั้นก็ควรจะถามกันขึ้นก่อนว่า ศึกษาเพื่ออะไร ศึกษาเพื่อจะหมดปัญหาจากความทุกข์ ในทางส่วนตัวนี้ก็อีกประเภทหนึ่ง แล้วก็ศึกษาเพื่อทำประโยชน์แก่คนอื่น นี่อีกส่วนหนึ่งหรือศึกษาให้เกิดประโยชน์ทั้งส่วนตนและส่วนคนอื่น เรียกว่า การศึกษา ครูให้การศึกษา ให้การศึกษาให้ถูกต้อง
ทีนี้มันพาดพิงไปถึงว่าสังคมมนุษย์ต้องการอะไร แล้วครูจะต้องให้สิ่งนั้น สังคมมนุษย์ต้องการอะไร ครูจะต้องจัดการศึกษาน่ะเพื่อประโยชน์แก่สิ่งนั้น จัดการศึกษาเพื่อสิ่งที่สังคมทั้งโลก ทั้งสังทั้งประเทศชาติมันต้องการ แต่ว่าถ้าดูทั้งโลกมันต้องการดับทุกข์ ต้องการอยู่เหนือความทุกข์ บรรลุมรรคผลนิพพาน หรือว่าถ้าว่าประเทศชาติมันต้องการความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ เอ้า,ครูก็ช่วยให้สำเร็จประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ เมื่อประเทศชาติต้องการสำเร็จประโยชน์ทางการเมือง ครูก็ช่วยเหลือเตรียมนักเรียน คน นักเรียนให้มันเหมาะสมที่จะไปเป็นนักการเมือง แต่เดี๋ยวนี้มันเลยเถิดไปเสียแล้ว มันไปรับจ้างนักการเมืองอย่างสุนัขรับใช้เสียแล้วนั่น ขออภัยนะพูดมันหยาบคายไปหน่อยนะ แต่ดูให้ดีมันมีมากขึ้นทุกที ครูถูกใช้ให้เป็นนัก เป็นสุนัขรับใช้ทางการเมืองมากขึ้นๆ ต้องคอยสนใจต่อสู้ต่อต้านรักษาเอาไว้อย่าให้มันกลายเป็นถึงขนาดนั้นเลย เราทำประโยชน์ให้ให้เป็นประโยชน์ทางการเมืองแก่ประเทศชาติก็ดี แต่อย่าให้มันถึงขนาดรับใช้เป็นสุนัขรับใช้ อย่างกับว่าเตรียมเด็กทุกคนให้มันเหมาะสม ที่จะเป็นผู้คน พลเมืองที่ดีอย่างนั้นก็ถมไปแล้ว ถ้าประเทศชาติเขาต้องการความก้าวหน้าทางอื่น ก็ทำให้มันเหมาะสม เดี๋ยวนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่ากระทรวงศึกษาธิการ เขาควบคุมครูทั้งหลายอยู่ เขาก็ระบุการงาน หรือเขาก็ควบคุมการงานไปตามความประสงค์ของรัฐบาล ว่าให้เราเตรียมนักเรียนขึ้นมาในทางที่จะเป็นอะไรในอนาคตข้างหน้า เรียกว่าให้การศึกษา เพื่อให้เหมาะสมที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในอนาคต
นี้ขอถือโอกาสพูดถึง คำว่าการศึกษา การศึกษานี่ ให้ชัดเจนสักหน่อย เดี๋ยวนี้ก็พูดโดยรวมความสรุปว่าเพื่อรับใช้สังคม เพื่อรับใช้ประเทศชาติให้ดีที่สุดตามที่ต้องการ นั่นเป็นความหมายรวมๆ แต่ก็จะดูโดยละเอียดว่า ทำอย่างไรล่ะที่จะเป็นอย่างนั้น ให้การศึกษาอย่างไร โดยส่วนใหญ่ครูก็ทำตามกฎเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการ บังคับไว้อย่างไรก็ทำอย่างนั้น ให้รู้หนังสือ ให้รู้วิชาชีพนั่นแหละเป็นสำคัญ ให้มีความสามารถในการปฏิบัติวิชาชีพตามแขนงต่างๆ แล้วก็ช่วยกันสร้างประเทศชาติ นี่ก็เรียกว่าเป็นการศึกษา
แต่อาตมาอยากจะพูดถึงความหมายของคำว่า ศึกษานี่ ให้เต็มตามความหมายของภาษาสันสกฤตหรือภาษาบาลีที่เรายืมเขามาใช้น่ะศึกษาก็ดีสิกขาก็ดี หรือศึกษาในภาษาไทยก็ดี เป็นคำๆเดียวกัน มันมาจากภาษาอินเดีย เอาภาษาอินเดียเป็นหลัก มาวิจัยวิจารณ์กันดู ว่าคำนี้มันหมายความว่าอย่างไร พวกเราเรียนบาลี เป็นศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนา ใช้ภาษาบาลี แล้วก็สนใจในการที่จะเอาความหมายของคำว่า สิกขา ซึ่งเป็นคำเดียวกับศึกษา มีความหมายพิเศษ ละเอียดที่จะต้องสนใจ จะได้รับประโยชน์เต็มตามความหมายของคำว่า สิกขา หรือศึกษา สะ สะ กับ อิกขะ มันมีคำว่า สะ อยู่ข้างหน้า มันเป็นกิริยาวิเศษ ถ้าเป็น อิกขะ เป็นกิริยาโดยตรง คำว่า สะ สะ นั้น มันแปลว่า เองก็ได้ เอง เอง คือโดยตนเองไม่ ไม่โดยผู้อื่น หรือว่าภายใน ข้างในก็ได้ ที่ใกล้ๆ ก็ได้ คำว่า สะ นี่ อิกขะ อิกขะ นี่แปลว่า เห็น แปลว่าเห็น เห็นด้วยตาและเห็นด้วยใจนั่นเรียกว่า อิกขะ ทีนี้เอาบวกกันเข้าสิ สะ กับ อิกขะ บวกกันเข้าเป็นสิกขะ สิกขะ ใช้เป็นคำนามสำเร็จรูปตามไวยากรณ์ออกเสียงเป็นอา เป็นสิกขาแปลว่าการดูอย่างเต็มที่ ซึ่งตนเอง ด้วยตนเอง ในภายในของตนเอง จำความหมายของคำว่า สะ สะ ไว้ให้ดี สะ แปลว่า เอง อย่า อย่าให้คนอื่นทำ ให้ทำเอง แล้วก็แปลว่า ใน ข้างใน ส่วนข้างในไม่ใช่ส่วนข้างนอก ก็หมายความว่าตัวเองดูตัวเอง ดูตัวเอง เข้าไปข้างในตัวเอง ด้วยตนเอง ดูตัวเอง ในตนเอง ด้วยตนเอง แล้วก็เห็นตนเอง เห็น ตอนนี้เห็นตนเอง แล้วก็รู้จักตนเอง เห็น รู้จัก ใช้ไม่ได้ เห็นตนเองรู้จักตัวเอง ครั้นเห็นแล้วก็วิจัยวิจารณ์โดยเหตุผลโดยเรื่องเกี่ยวข้อง วิจัยวิจารณ์ร่วมกันอย่างไร วิจัยวิจารณ์เห็นตนเองแล้ว ก็ปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้สมควรแก่ความมุ่งหมายของสิ่งนั้นๆ มันอยู่ที่ว่าจะศึกษาตนเอง ให้เข้าใจตนเอง แล้วจึงจะช่วยผู้อื่นได้ เพราะฉะนั้น เราต้องศึกษาตนเองให้ครบถ้วนถึงที่สุดกันเสียก่อน
ขอย้ำอีกทีหนึ่งว่าดูตนเอง ด้วยตัวเอง ในตัวเอง ดูข้างใน แล้วก็เห็นไอ้ตนเองว่าเป็นอย่างไร แล้วก็รู้จัก รู้จัก โดยความมุ่งหมาย โดยความประสงค์อะไรทุกอย่าง ก็รู้จัก รู้จัก ครั้นรู้จักมันแล้วก็เอามาวิจัยวิจารณ์ดูว่าจะใช้มันทำประโยชน์อะไรได้กี่อย่าง มันจะสามารถทำไมประโยชน์อะไรได้กี่อย่าง เอามาวิจัยวิจารณ์ วิธีทางของกระทำ และก็ปล่อยลงไปสู่การปฏิบัติ ก็มีการปฏิบัติ ปฏิบัติสำเร็จประโยชน์เป็นผลขึ้นมาอย่างนี้จึงจะเรียกว่าสิกขา สิกขาในภาษาบาลีโดยสมบูรณ์ อาตมาเชื่อว่าเอามาใช้กับภาษาไทยก็ได้ หากจะว่ามันจะเพิ่มความหมายมาก หรือเพิ่มงานมันมากเข้าไป เดี๋ยวนี้เราเอากันแต่ว่าสอนหนังสือให้เด็กรู้หนังสือ ก็เป็นการศึกษาเหมือนกันน่ะมันน้อยเกินไปกระมัง โบราณกระทรวงศึกษาธิการให้ความหมายไว้ ๔ คำ เขียนปรากฎชัดอยู่ที่ประกาศนียบัตร อาตมารุ่นเด็กๆ ได้รับประกาศนียบัตรชนิดที่มี คำว่า สุ จิ ปุ ลิอยู่บนหัวกระดาษ สุ แปลว่า ฟัง จิ แปลว่า คิด ปุ แปลว่า ถาม ลิ แปลว่า กำหนด จดจำ สุ จิ ปุ ลิ นั่นน่ะคือการศึกษา ต้องฟัง ต้องคิด ต้องถาม ต้องจำ ก็ดีนะ แต่เดี๋ยวนี้ดูจะไม่เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว จะไม่เอากันแล้วกระมัง ไม่ จะไม่มีประกาศนียบัตรที่มีความเตือนอย่างนี้ อุตส่าห์ฟังอุตส่าห์คิดอุตส่าห์ถามอุตส่าห์จำ ก็พอใช้ได้นะ แต่ถ้าให้ลึกและสมบูรณ์แล้วขอยืนยันว่าไอ้ที่ว่ามาแล้วน่ะจะสมบูรณ์กว่า ดูตัวเอง ด้วยตัวเอง ในตัวเอง เห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง วิจัยวิจารณ์ตัวเองแล้วก็ปฏิบัติให้ตรงตามวัตถุประสงค์นั้นๆ นี่คือการศึกษา ฉะนั้นครูจะต้องช่วยนะ ครูจะต้องช่วยเด็กๆ ของเรา สามารถดูตัวเอง ในตัวเอง เห็นตัวเอง รู้จักตนเอง วิจัยวิจารณ์ตัวเอง และปฏิบัติให้ได้รับผลตามที่ต้องการนั่น ความเป็นครูสมบูรณ์ที่สุดแหละ เรียกว่าให้ให้การศึกษาถูกต้อง และสมบูรณ์ที่สุด นี่คำว่าการศึกษา เมื่อครูได้ให้การศึกษาสมบูรณ์อย่างนี้ มันก็สำเร็จประโยชน์สิ เด็กๆของเราทุกคนมีความรู้ถูกต้อง มีความเฉลียวฉลาด มีสติสัมปชัญญะ มีอะไรที่จะปะ ปฏิบัติหน้าที่ของตน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ แล้วก็เป็นชาว สมาชิกของโลกที่ดีของโลกน่ะ มัน มันไปไกลถึงอย่างนั้น จึงขอให้สนใจในความหมายของคำว่า ครู ให้ถูกต้อง สนใจในความหมายของคำว่า การศึกษานี่ให้ถูกต้อง แล้วมันก็ง่ายที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน ของตน คือความเป็นครู ผู้ให้การศึกษา
เอ้า, ทีนี้ก็มาดูไอ้บทบาทของความเป็นครูกันบ้าง บทบาทของความเป็นครู บทบาทที่จะต้องแสดงออกไปในการเป็นครู เป็นครูไปพลาง รู้จักความเป็นปูชนียบุคคลไปพลาง เป็นครูด้วยเป็นปูชนียบุคคลด้วยพร้อมกันแหละ เป็นครูไปพลาง เป็นปูชนียบุคคลไปพลางถ้าเป็นครูรับจ้างสอนหนังสือ เห็นแก่ตัว เอาเปรียบการสอน ขูดรีดพ่อแม่ของเด็กๆ และโอ้,มันก็เป็นครูอะไรก็ไม่รู้ ไม่เป็นปูชนียบุคคล ขอให้ได้เป็นครู ตามความหมายของครู แล้วก็เป็นปูชนียบุคคลของมนุษย์หรือของโลกไปพลาง ข้อนี้ว่าเป็นครูไปพลาง เป็นปูชนียบุคคลไปพลาง ทีนี้ข้อ ๒ให้ แถมว่า เป็นผู้ประพฤติธรรมบำเพ็ญกุศลไปพลาง ครูเป็นผู้ให้ทาน ให้ทานความรู้เรียกว่าธรรมทาน ธรรมทานเป็นสิ่งสูงสุดกว่าทานทั้งปวง แล้วครูก็ให้ธรรมทานไปพลาง ให้ธรรมทานไปพลาง ครูก็กลายเป็นผู้บำเพ็ญกุศลอย่างยิ่ง เป็นผู้บำเพ็ญกุศลอย่างยิ่ง แล้วก็อยากจะแถมให้ว่าครูนั้นจะต้องเป็นผู้ศึกษาเด็ก ครูเองจะต้องเป็นนักศึกษาเสียเอง คือศึกษาเด็ก ให้รู้จักเด็ก ให้รู้จักบุคคล ให้รู้จักหน้าที่ของชีวิต ให้รู้จักโลก ครูจะต้องรู้จักเด็กทุกคนดี รู้จักบุคคลทุกคนดี กระทั่งรู้จักโลกดี ฉะนั้นครูก็เป็นนักศึกษาสุดยอดไปพลาง เป็นครูไปพลาง ศึกษาโลก ศึกษาคนทุกคนในโลกเป็นพลางไปไปพลาง ทีนี้ก็ดูไปอีกหน่อยว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรมไปพลาง นี่เป็นผู้ปฏิบัติไปพลาง แล้วเพิ่มความสามารถของตนให้ยิ่งขึ้นๆไปพลาง มันก็สมบูรณ์
ทีนี้จะมองกันให้ลึกกว่านั้น ครูเป็นผู้ปราบกิเลสของโลก ปราบสิ่งเลวร้ายในโลก ปราบกิเลสของโลก ครูปราบสิ่งเลวร้ายในโลก ก็คือปราบความเห็นแก่ตัว สิ่งเลวร้ายของโลกน่ะ อาตมาขอยืนยันว่าเดี๋ยวนี้เหลืออยู่ตัวเดียวตัวร้ายกาจใหญ่ที่สุดก็คือ ความเห็นแก่ตัวขอให้เสียเวลาเพื่อพูดกันเรื่องนี้สักหน่อยว่า ความเห็นแก่ตัวเป็นพญามารร้ายกาจตัวเดียวตัวใหญ่ของโลกอย่างไร จนถึงว่าโลกมันจะวินาศ เพราะความเห็นแก่ตัวนี้ โลกมันจะวินาศอยู่หยกๆ เพราะความเห็นแก่ตัว เพราะความเห็นแก่ตัวมันครองโลก ใครเป็นจ้าวโลก ความเห็นแก่ตัวมันเป็นจ้าวโลก เพราะว่ามนุษย์เห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้นมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากน่ะ เปรียบกันไม่ไหว สมัยคนป่า สมัยดึกดำบรรพ์โน้น คนเห็นแก่ตัวน้อย มันไม่ ไม่มีปัญญาที่จะเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันศึกษายิ่งฉลาด ฉลาดก็ยิ่งเห็นแก่ตัวลึก แล้วพร้อมกันนั้นมันก็มีสิ่งยั่วยวนให้เห็นแก่ตัว คือสิ่งที่ให้ความสุข สนุกสนานสวยงาม เอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง ทางกิเลสน่ะ มันมากขึ้น เพราะฉะนั้นคนในโลกจึงเห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น ยิ่งยุคอุตสาหกรรมนี่เรายิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้น เท่ากับเครื่องจักรนั่นแหละ เอาเครื่องจักรมาใช้เพราะเห็นแก่ตัว แล้วมากกว่าธรรมดา มันมีสิ่งยั่วเห็นแก่ตัว บูชาความสุขสนุกสนานของตัว เรียกว่ายึดมั่นถือมั่นในเรื่องนี้น่ะ มากขึ้น ความยึดมั่นในการได้ การเสีย การแพ้การชนะอะไร มันก็มากขึ้นๆ
ความเห็นแก่ตัวนี่จูงไปในทางให้เกิด กิเลสคือความโลภ เห็นแก่ตัวชนิดหนึ่ง ก็จูงไปในทางให้เกิดกิเลส ความโกรธ ความเห็นแก่ตัวชนิดหนึ่งมันโง่ ก็ทำให้ว่ายเวียน วนเวียนยิ่งมัวเมาไปในสิ่งนั้นๆ ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดีมันเกิดมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวมันจะโลภได้อย่างไรเล่า แล้วมันจะโกรธฆ่าเขาได้อย่างไรล่ะ แล้วมันจะมัวเมาในสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร แล้วมันก็ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง มีความเห็นแก่ตัวมากเท่าไร มันก็มีความโลภความโกรธความหลงมากขึ้นเท่านั้นแหละไม่ต้องสงสัย มันโง่ในทางบวกและทางลบ มันหลงบวกแล้วก็กลัวลบ มันก็ทำไปในทางเห็นแก่ตัวมากขึ้น ชอบความสวยงาม เอร็ดอร่อย สนุกสนาน มันก็หาซื้อ ซื้อหาสิ่งเหล่านั้นมาบำรุงบำเรอตัวมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวก็มากขึ้นๆ พร้อมกันทุกคนในโลก จึงเรียกว่าความเห็นแก่ตัวกำลังเป็นจ้าวโลก ครองโลก เมื่อมีการศึกษามากขึ้น ฉลาดมากขึ้น ก็เอาความฉลาดไปใช้เห็นแก่ตัว ไม่ใช้เพื่อความถูกต้องหรือเพื่อส่วนรวม อย่างแต่สมัยก่อน
สมัยก่อนนั้นการศึกษาของโลกมันแฝดกันอยู่กับพระศาสนา การศึกษาแฝดฟั่นเกลียวกันอยู่กับการศาสนา หรือถ้าจะมองกันอีกทีก็ว่านักการศาสนาเป็นผู้จัดการศึกษา อาตมาได้ยินมานะ เท็จจริงอย่างไรก็ไม่ทราบว่า ไอ้มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ก็ดี ออกซ์ฟอร์ดก็ดีของโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลานี้น่ะ เมื่อก่อนมันก็เป็นโรงเรียนราษฎร์ของวัด โรงเรียนราษฎร์ของวัด พระจัดให้มันตั้งต้นขึ้นมา ด้วยความเป็นโรงเรียนราษฎร์ของวัดแล้วมันเติบโตขึ้นมา เติบโตขึ้นมา เป็นวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยสูงสุดในโลก เมื่อพระจัดนี่ก็เป็นพระอย่างคริสเตียนด้วยแล้ว มันก็เคร่งครัดสิ ทุกคนจะต้องปฏิบัติศาสนา มันก็ไม่แยกไปจากศาสนา ศาสนามันคุมแจ ความรู้หรือการศึกษาก็ไม่ถูกนำไปใช้เพื่อความเห็นแก่ตัว มันก็เป็นอย่างนี้เรื่อยมา เรื่อยมา แต่มันก็ลดลงๆ เพราะเขาแยกตัวออกมาทีละนิด ทีละนิด เมื่อกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ หรือน.ม.ส. ไปศึกษาที่เคมบริดจ์กลับมา แสดงปาฐกถาให้ครูทั้งหลายฟังที่ศามรรคญาจารย์ อาตมาเป็นพระอุตส่าห์ไปฟังกับเขาด้วย ท่านเล่าเรื่องละเอียดละออดีมาก แต่ติด ติดอยู่ในใจอยู่ในเวลานี้ ก็อย่างหนึ่งว่า นักเรียนนักศึกษาที่นั่นจะกินข้าวต้องขอบคุณพระเจ้าก่อน ชั้นระดับมหาวิทยาลัยแล้วจะกินข้าวยังต้องขอบคุณพระเจ้าก่อน มันกินนอนในมหาวิทยาลัย เดี๋ยวนี้มีหรือ เด็กนักเรียนโรงเรียนพุทธ มันก็ไม่ได้ขอบคุณพระรัตนตรัยก่อนแล้วถึงกินข้าว นี่มันแยกออกห่างกันอย่างนี้ แยกออกห่างกันอย่างนี้ secularizationต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวไม่ผูกพันกับสิ่งอื่นนั้นน่ะ มันแยกศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา secularization , secu, secularismอะไรนี่บ้าบอที่สุด คือแยกการศึกษาออกจากศาสนา มีใครอยากศึกษาศาสนาไปศึกษาเอาเอง ฉันไม่รู้ไม่ชี้นั่น มันก็เลยศึกษาแต่เรื่องโลกล้วนๆ แม้ในประเทศไทยเราการศึกษาแต่ก่อนก็อยู่กับวัดกับวา ผูกพันอยู่กับการศึกษา ก็ไปตามก้นฝรั่งนี่ ที่พูดอย่างนี้มันก็เพื่อให้เข้าใจง่าย แต่เป็นคำไม่น่าฟัง โสกกระโดกหยาบคาย ไปตามก้นฝรั่ง มันก็แยกการศึกษาออกจากศาสนา หรือจะเรียกว่าแยกศาสนาออกไปจากการศึกษามากขึ้นๆ ๆ เดี๋ยวนี้คงจะไม่ค่อยจะผูกพันอยู่กับการศาสนาแล้ว มันจึงผู้ที่ฉลาดๆๆ แต่ว่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เป็นนักศึกษาที่พร้อมที่จะstrikeหรือต่อสู้เพื่อประโยชน์ เป็นเงินเป็นทอง นี่ ที่เรียกว่าส่วนหัวใจมันเป็นซะอย่างนี้ ยิ่งฉลาด ฉลาด ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ก็ทำไปตามความเห็นแก่ตัว
เอ้า, ที่นี้ดูความเห็นแก่ตัวกันสักหน่อยต่อไปว่า มันเห็นแก่ตัวแล้วมันเป็นอย่างไร คนเห็นแก่ตัวใครก็ตามละ ใครก็ตามใช้คำว่าอย่างนี้น่ะ เห็นแก่ตัวแล้วมันก็ขี้เกียจ ไม่อยากทำงาน ทำงานแต่น้อย เอาประโยชน์ให้มาก เอาเงินให้มาก เอาค่าจ้างให้มากน่ะ มันเห็นแก่ตัว มันก็โกงงาน ทำงานน้อย เอาเงินมาก เห็นแก่ตัว แล้วมันก็เอาเปรียบ หาช่องทางที่จะเอาเปรียบให้มากที่สุดที่จะมากได้ แล้วมันก็อิจฉา ริษยา ผู้อื่นน่ะ ผู้เห็นแก่ตัว จะต้องอิจฉาริษยาผู้อื่น ผู้เห็นแก่ตัวไม่สามัคคีไม่สามัคคี ไม่ร่วมแรงกันสามัคคีเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเพราะมันเห็นแก่ตัว เท่านี้มันก็พอที่จะยุ่งยากแล้ว มันขี้เกียจมันเอาเปรียบ มันอิจฉา ริษยา มันไม่สามัคคี ถ้าพูดว่ามาสามัคคีกันช่วยชาติ แต่มันก็ไม่ไม่ทำละ ในจิตใจมันไม่ทำ แต่มันจะเอาประโยชน์จากชาติ นี่มันพร้อมที่จะขายชาติน่ะ คนชนิดนี้ คนชนิดนี้เห็นแก่ตัวมันพร้อมที่จะขายชาติ นั่นแหละความเห็นแก่ตัว
แล้วที่ในทางสังคมมันก็เห็นแก่ตัว มันก็ทำลายธรรมชาติ ทำลายทรัพย์สมบัติของธรรมชาติ ทำลายความสวยงามของธรรมชาติ แล้วมันก็สร้างมลภาวะ สร้างมลภาวะ อย่างที่กำลังเป็นปัญหาอย่างยิ่ง ในกรุงเทพฯโดยเฉพาะ เพราะมันบ้าเป็นมหานครขึ้นมา มลภาวะมันก็ท่วมหัวท่วมหู ถ้ามันอยู่กันอย่างง่ายๆ แต่เดิมมันก็ไม่มาก เดี๋ยวนี้มันจะเป็นมหานครขึ้นมา มลภาวะ มันก็เป็นมหามลภาวะ ทุกอย่างทุกประการ ขยะมูลฝอย น้ำเน่าอะไรต่างๆ แม้แต่ยุงก็มากขึ้น นี่เรียกว่ามันสร้างมลภาวะ แล้วก็มีความโง่ที่จะไปติดยาเสพติด เห็นแก่ตัวน่ะเป็นเหตุให้ติดยาเสพติด ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันติดยาเสพติดไม่ได้ มันจะเป็นโรควิกล วิตถารโรคเอดส์โรคแอดไม่ได้ ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัว มันจะทำบายอบายมุขไม่ได้ ถ้ามันไม่เห็นแก่แก่ แก่ตัว นี่ความเห็นแก่ตัวมันทำให้ทำได้ทุกอย่างๆๆ กอบโกย กอบโกย ทุจริต กระทั่งเป็นอันธพาล เป็นอันธพาล จะมาทำงานให้เหงื่อออกทำไมเล่า ไปปล้นไปจี้เอาดีกว่า มันเห็นอย่างนั้น อันธพาลก็เต็มบ้านเต็มเมือง หนาไปหมด ในกรุงเทพฯน่ะเมื่อสักห้าสิบหกสิบปีมาแล้ว อันธพาลน้อยกว่านี้มาก อาตมาเห็นกับตา เมื่อไม่ได้บวชในกรุงเทพฯ เห็นว่าอันธพาลน้อยมากดีกว่าบ้านดีกว่าบ้านเรา ดีกว่าที่บ้านนอกเรา แต่เดี๋ยวนี้มันตรงกันข้ามมันเต็มไปด้วยอันธพาลเต็มไปหมด ยิ่งกว่าบ้านนอก บ้านนอกยังดีกว่า สมัยเมื่อ ห้าหกสิบปีอาตมาไปน่ะ ที่กรุงเทพฯดีกว่า อันธพาลน้อยกว่า แต่พอมาเดี๋ยวนี้สิที่กรุงเทพฯมันมีมากกว่า นั่นแหละความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ตัวเห็นแก่ตัวกันไปทั้งหมด มันก็วุ่นวาย นี่ขออภัยพูดสักหน่อยนะเปรียบเทียบนะ อย่าว่าด่าใครนะ ถ้าประชาชนทุกคนเห็นแก่ตัว ประชาชนก็เลือกผู้แทนด้วยความเห็นแก่ตัว ผู้แทนก็เห็นแก่ตัว เสนอตัวให้ประชาชนเลือก เราก็ได้ผู้แทนที่เห็นแก่ตัว ผู้แทนทุกคนเห็นแก่ตัวก็จัดตั้งรัฐบาลขึ้นมา รัฐบาลก็เป็นรัฐบาลที่เห็นแก่ตัว เอ้า,ได้ความว่ายังไง ประชาชนเห็นแก่ตัว สภา รัฐสภาเห็นแก่ตัว รัฐบาลเห็นแก่ตัว นก็หมดเท่านั้นน่ะมันไม่มีอะไรเหลือ
เอ้า ,ทีนี้ขอพูดตรงๆ ใครจะด่าก็ด่า แม้แต่พระจ้าพระสงฆ์ก็พลอยเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้พระเจ้าพระสงฆ์ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วนี่ เห็นแก่ตัวเห็นแก่ตัว เมื่อพระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัวก็หมดแล้วน่ะ ลูกเล็กเด็กแดงเห็นแก่ตัว ลูกเล็กเด็กแดงก็พลอยเห็นแก่ตัว เพราะถูกอบรมผิด ครูบาอาจารย์ก็เห็นแก่ตัว ก็สอนกันผิด ถ้ามันเห็นแก่ตัวลูกเล็กเด็กแดงเห็นแก่ตัว แล้วหมาหมูกาไก่ก็เห็นแก่ตัวแหละ แมวเห็นแก่ตัว หมาก็เห็นแก่ตัว ไม่ทำงานให้ถูกต้องตามหน้าที่ นี่ ถ้ามันถึงขนาดนี้แล้วก็จะต้องพูดว่าก้อนหินก็เห็นแก่ตัวแหละ พลอยเห็นแก่ตัวแหละ เพราะว่าคนมันใช้ก้อนหิน ก้อนหินก็มีลักษณะเห็นแก่ตัวขึ้นมา แล้วอะไรจะเหลือเล่า นับตั้งแต่ก้อนหินขึ้นไปเห็นแก่ตัว สัตว์เดรัจฉานเห็นแก่ตัว เด็กเล็กเห็นแก่ตัว พระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัว ทุกคนเห็นแก่ตัว แล้วจะอยู่ได้อย่างไรเล่า โลกนี้จะไม่วินาศอย่างไรเล่า น่าคิดดู
ในที่สุดไอ้ความเห็นแก่ตัว มันก็หลงทาง มืดมนจนหลงทาง ดังนั้นคนเห็นแก่ตัวมันจึงทำอะไร ทำอะไรอย่างมืดมนอนธการ หลงทาง หนักเข้า มันก็บันดาลความบ้าของมัน ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูกฆ่าเมีย เสร็จแล้วก็ฆ่าตัวเองตายตามไป นั่นน่ะจบฉากกันอย่างนั้นน่ะ ความเห็นแก่ตัวที่มันสูงสุด ที่มันสูงสุดน่ะมันเป็นอย่างนี้ ไปจบลงด้วยการฆ่าตัวเองตายก็ได้แล้วก็ไปจบลงด้วยความเป็นบ้า เป็นบ้า ไปอยู่โรงพยาบาลบ้า เดี๋ยวนี้คนในโลกเห็นแก่ตัวมากขึ้น โรงพยาบาลบ้าก็ต้องสร้างมากขึ้น ได้ข่าวว่าเมืองนอกเมืองนามหาประเทศที่เจริญยิ่งใหญ่ก็คนบ้ามากขึ้น คนฆ่าตัวเองตายมากขึ้น นี่ก็เรียกว่าความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลกความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลก เพราะว่าแยกการศึกษาออกจากการศาสนาคนก็เห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว คำว่าสัตบุรุษ สัตบุรุษ นี่มัน มันไม่เห็นแก่ตัวละ แต่คำว่าสุภาพบุรุษสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้เสียแล้ว สุภาพบุรุษสมัยนี้ สมัยก่อนคำว่าสุภาพบุรุษมีความหมายมาก เป็นที่เคารพนับถือ อย่างเขาถือกันว่ามหาวิทยาลัยสูงสุดของอังกฤษ มหาวิทยาลัยของโลกน่ะ คือมหาวิทยาลัยในอังกฤษ เคมบริดจ์ ออกซฟอร์ด ก็ตามเขาบูชาสุภาพบุรุษ ไม่ได้บูชานักเรียนเรียนเก่ง ความรู้มาก เขาบูชาสุภาพบุรุษ คือมีความประพฤติดี ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว เรียกว่าสุภาพบุรุษ บูชาสุภาพบุรุษยิ่งกว่านักเรียนที่เรียนเก่ง เดี๋ยวนี้มันหลายร้อยปีมาแล้วสองสามร้อยปีมาแล้ว มันก็เปลี่ยนๆเปลี่ยนๆ มันกลายเป็นสุภาพบุรุษผู้เห็นแก่ตัว สุภาพบุรุษผู้หลอกลวง มันได้เกิดขึ้นมาแล้ว เพราะการศึกษามันไม่ได้ทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นเราจึงยึดถือเป็นหลักแน่นอนว่า ต้องไม่เห็นแก่ตัว ต้องไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด สูงสุดในโลก และสิ่งนี้กำลังจะครองโลกยิ่งขึ้นๆ จนใช้เครื่องมือเป็นอุตสาหกรรม พวกที่หลงใหลในวัตถุ ส่งเสริมกิเลสอย่างนี้ ก็ไปซื้อหามา ไม่จำเป็นก็ซื้อหามา มีอยู่แล้วก็ซื้อหามาที่มันยั่วยวนดีกว่าเก่า ในบ้านในเรือนจึงเต็มไปด้วยของเกิน ของที่ไม่จำเป็น หาเงินไม่ทันก็ต้องคดโกง ต้องทุจริต ต้องคอรัปชั่น ได้ยินว่าแม้แต่พวกครูก็คอรัปชั่น คิดว่ามันไปหลงบูชา ไอ้ส่วนเกินที่จะต้องเอามาบำรุงบำเรอ จะต้องมีรถยนต์จะต้องมีอะไรชนิดที่มันเกินการฐานะของครู แล้วมันก็ต้องมีเรื่องทุจริต นั่นแหละความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นจึงขอให้ครูนี้แสดงบทบาทของครู แสดงบทบาททำลายความเห็นแก่ตัวในโลก จะช่วยกันอบรมลูกเด็กๆเล็กๆน้อยๆ ตาดำๆ ในชั้นอนุบาลน่ะให้มันรู้จัก ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ประถมมัธยมก็สูงขึ้นไป ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว อย่าให้ว่าเรียนสูงขึ้นมายิ่งเห็นแก่ตัว เรียนสูงขึ้นไปยิ่งเห็นแก่ตัว อย่างนี้มันทำลายโลก นี่บทบาทของครูในข้อนี้ ก็ว่าช่วยกันปราบข้าศึกอันใหญ่หลวงของโลก คือความเห็นแก่ตัว
ข้อต่อไปก็อยากจะพูดว่า ครูจะต้องเป็นนักกีฬา จะต้องเล่นกีฬาสู้กับใคร สู้กับเด็ก ครูอย่าแพ้เด็ก ครูจะต้องควบคุมเด็กให้ได้ โดยการชนะเด็ก มันต้องต่อสู้ ต่อสู้ ในลักษณะกีฬา ครูมีน้ำใจเป็นนักกีฬา เอาชนะเด็กให้ได้ พาเด็กไปตามความถูกต้องให้ได้ ชนะเด็กให้ได้ด้วยน้ำใจนักกีฬา เพราะมันต้องอดทนมากนะ การที่จะเอาชนะเด็กให้ได้นี่แหมเหลือทนละ มันล้วนแต่น่ารำคาญ ยากละ ถ้าครูมีน้ำใจเป็นนักกีฬา ก็อดทนได้ เอาชนะเด็กให้จนได้ พาเด็กไปตามไอ้วัตถุประสงค์นั้นได้ เรียกว่าครูเป็นนักกีฬาต่อสู้กับเด็ก จนชนะเด็กได้ จะต้องมีอะไร จะต้องมีปัญญาและเมตตาให้มาก ครูจะต้องมีปัญญาและเมตตามากกว่าคนธรรมดา ครูจึงจะสามารถเล่นกีฬาเอาชนะเด็กได้ มีปัญญา มีเมตตา เต็มอัดอยู่ในหัวใจ พูดโดยอุปมาว่า ถ้าผ่าหัวใจของครูออกดู จะพบว่ามีแต่เมตตากับปัญญานอนเคียงคู่กันอยู่เต็มหัวใจของครู อย่างนี้เรียกว่าครูที่แท้จริง มีปัญญา มีเมตตา แล้วก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้สำเร็จตามความมุ่งหมาย ในที่สุดครูก็สามารถสร้างโลกได้ สร้างโลกได้ ทำโลกให้มีความสงบเย็น มีความสะอาด คือไม่ไม่ทุจริต และก็มีความสงบสุข สันติภาพได้ นี่ครูเป็นผู้สร้างโลกให้ได้ โดยผ่านทางเด็กๆ สร้างโลกโดยสร้างเด็กผ่านทางเด็กๆ แล้วมันก็สร้างโลกได้ นี่คือบทบาทของความเป็นครู
เอ้า, ทีนี้ก็มาพูดถึง อุปสรรค ปัญหาอุปสรรคของความเป็นครู ก็ขอพูดซ้ำอีกทีนะ ครูทำตัวเป็นลูกจ้าง รับจ้างสอนหนังสือ หากินไปวันๆไม่ทำตัวเป็นปูชนียบุคคล นี่คือปัญหาที่เลวร้ายที่สุด ปัญหาที่กำลังมีอยู่ แถมครูบางคนหรือคณะครูบางคนเป็นผู้ขูดรีด ขูดรีดบิดามารดาของเด็ก เกี่ยงงอน เอาเงินให้มาก ในการอะไรๆก็ตามนี่ เป็นผู้ขูดรีดอย่างนี้ก็มี ลืม ลืมตัว ลืมความเป็นปูชนียบุคคลกลายเป็นลูกจ้าง เรียกว่าคู่ต่อสู้ เรียกว่าผู้ขูดรีด นี่คือตัวปัญหาที่ทำลายอุดมคติของความเป็นครู พูดตรงๆ นะเรายังมีครูที่ อุ้มไก่ชนนะ หิ้วขวดเหล้านะ ครูหิ้วขวดเหล้านี่น่าหัว แล้วบางทีก็เมาให้คนดูเสียเอง แม้แต่นานๆสักทีก็เถอะ ยังหาดูได้ ครูเมาให้ประชาชนดู ครูจะไปหิ้วขวดเหล้า ไปอุ้มไก่ ปัญหาไม่บูชาหน้าที่ของครู ไม่เคารพหน้าที่ของครู ไม่เอาอย่างพระบรมครู ก็คือพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมครู
ครูหลงเกียรติผิดๆ คุณช่วยฟังให้ดี อาตมาพูดว่า ครูกำลังหลงเกียรติผิด ผิด ครูเกลียดคำว่าครู แล้วไปรักคำว่าอาจารย์ นี่มันลดเกียรติตัวเองเหลือประมาณแหละ ไอ้ครูน่ะมันเกียรติสูงสุด ๆ มาแต่โบราณดึกดำบรรพ์ คำว่าอาจารย์ๆ สมัยโบราณมันต่ำกว่าครูมาก เปรียบกันไม่ได้ คำว่าอาจารย์ๆน่ะเป็นผู้สอนหนังสือสอนวิชาชีพเท่านั้นน่ะ ไม่ได้ชักนำทางจิตทางวิญญาณให้สูง คำว่าครูในครั้งพุทธกาล โบราณ นั้นสูงสุดไม่มีใครสูง อาจารย์น่ะสอนวิชาชีพ แม้แต่คำว่า อุปัชฌาย์ ก็ไม่เท่ากับคำว่าครู ครู สูงสุด นำ นำวิญญาณ ในหนังสือที่เราอ่านวรรณคดีอินเดีย ผู้สอนวิชาดนตรีสอนการดีดพิณ สีซอ เป่าปี่ก็เรียกว่า อุปัชฌาย์ก็มี คุณไปอ่านหนังสือเช่นหนังสือ ปรีย ทรรศิกา(บาลีนาทีที่ ๑ :๐๓: ๑๒.๐ )ที่วรรณคดีสูงสุดของอินเดียจะมีพบ อุปัชฌาย์ ผู้สอนการดีดพิณ คำว่าอาจารย์ คำว่าอุปัชฌาย์นี้ต่ำต้อยกว่าคำว่าครูมาก เดี๋ยวนี้ได้ยินว่าครูไม่ค่อยชอบให้เรียกว่าครู เห็นว่าเชย เรียกว่าอาจารย์ๆ ยิ่งดีมาจากเมืองนอก นั่นน่ะรู้ไว้เถอะว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามใจเถอะ คำว่า ครู ครู มันสูงสุดทางวิญญาณ อาจารย์เป็นเรื่องโลกๆ แต่ครูของเรากลับไปสร้างความนิยมกันอะไรกันมาก็ไม่ทราบ เกลียดคำว่าครูไปบูชาคำว่าอาจารย์ ระวังอาจารย์นั่นน่ะจะเป็นลูกจ้างได้ง่าย ถ้าเป็นครูมีจิตเข้มแข็งสูงสุด ไม่ตกมาเป็นลูกจ้างได้ง่ายๆ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันกลับกันเสียแล้ว มันกลับกันแล้ว ช่วยกันต่อสู้ช่วยกันแก้ไข
แล้วก็ครูหมุนมารับใช้นักการเมืองมากขึ้น นี่อย่า อย่า อย่า อย่าหาว่าเป็นคำด่าหรือกระทบกระทบเทียบใครเลย ให้ดูตามสถานการณ์ที่เป็นตามเป็นจริง ครูสมัยก่อนไม่รับใช้นักการเมือง เพราะมันยังไม่มีนักการเมืองก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้พอมีนักการเมือง นักการเมืองเขาก็ใช้ครูนี่ เป็นผู้ไปทำงานกันเสียมาก มันก็เป็นปัญหาอันหนึ่ง เรียกว่าครูมันรับใช้นักการเมือง อย่า อย่าพูดเลยนะ คงจะฟังถูก ก็ไม่ใช่บาง ไม่ใช่ทุกคนมันบางคน แต่มันมากเกิน ครูยังไม่ได้ประสบความสำเร็จ ที่จะทำให้ฉลาดๆ แล้วก็ใช้ในความถูกต้อง เด็กๆ ของเราฉลาดแต่ไปรับใช้ความเห็นแก่ตัว ฉลาดไปรับใช้ความเห็นแก่ตัว ครูเรายังปฏิบัติหน้าที่นี้ไม่สำเร็จ ลูกศิษย์ของเรายังไปเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ตามความฉลาดที่มันมากขึ้น นี่ปัญหา นี่ปัญหามันมีอยู่อย่างนี้
แล้วก็จะต้องพูดตรงๆอีกคำว่า ครูยังไม่ค่อยสนใจศึกษาในเรื่องของธรรมะให้มาก สนใจแต่หน้าที่วิชาบังคับ เรื่องของธรรมะไม่ค่อยจะศึกษากัน เดี๋ยวนี้ก็มีวี่แววว่าครูสนใจธรรมะกันบ้าง ตั้งชุมนุมนักศึกษาธรรมะกันบ้าง ก็ดี ดี ดี วิเศษที่สุด แต่แล้วก็ยังไม่วายที่จะพูดด้วยคำผิดๆ สอนนักเรียน ยกตัวอย่างมาสัก ๒ คำ เช่น ครูสอนนักเรียนว่า ธรรมะนั้นคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่ครูเขาไม่รู้ตัวเขาพูดไปอย่าง อย่างนั้นตามๆ กันมา ไม่รู้ตัวว่า ไอ้คำว่า ธรรมะ ธรรมะ ในอินเดียน่ะเขาไม่ได้ใช้แต่เฉพาะพุทธศาสนา ศาสนาไหนก็ตามใจ ลัทธิไหนก็ตามใจ คำสั่งสอนของครูเจ้าลัทธิจะเรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ เหมือนกันหมด ฉะนั้นจึงต้องพูดว่าธรรมะของพระสมณโคดมบ้างธรรมะของนิคัณฐนาฏบุตรเดียรถีย์บ้างธรรมะของวักกลิโกสาละบ้าง ไอ้หกศาส หกศาสดา หกศาสดาใหญ่ๆน่ะ มีคำสอนล้วนแต่ เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ ทั้งนั้นน่ะ เพราะฉะนั้นคำว่า ธรรมะไม่ได้ใช้เฉพาะพระพุทธศาสนา นี่มันผิด เพราะธรรมะมันไม่ใช่คำสั่งสอน ธรรมะมันเป็นการระบบมันเป็นระบบปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ ถ้าเราจะบอกนักเด็กนักเรียนว่า ธรรมะคืออะไร เราก็บอกเขาว่าเป็นระบบการดับทุกข์ดีกว่า ดีกว่าที่จะพูดว่าเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะพวกอื่นเขาก็ใช้คำว่าธรรมะ และธรรมะ มันไม่ได้หมายแต่ถึงตัวคำสั่งสอนอย่างเดียว มันหมายถึงการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ได้ด้วย เพราะฉะนั้นธรรมะ ธรรมะคือการปฏิบัติที่ดับทุกข์ได้นั่นน่ะ เอาคำนิยามยาวๆ ไหม ? ฟังให้ดี จำให้ดี ธรรมะคือระบบการปฏิบัติ ระบบการปฏิบัติ ต้องระต้องปฏิบัติเป็นระบบไม่ใช่ข้อเดียว ธรรมะคือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอด ที่ถูกต้องแก่ความรอดคือดับทุกข์น่ะ ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อตนเอง และผู้อื่นธรรมะไม่ใช่ของตนฝ่ายเดียว ต้องเพื่อผู้อื่นด้วยธรรมะคือระบบปฏิบัติให้ครบถ้วนทุกระบบตามระบบถูกต้องแก่ความรอด ถ้าไม่ถูกต้องแก่ความรอด ใช้ไม่ได้นะไม่ใช่ธรรมะ แล้วรอดนี่คือรอดทุกขั้นตอนแห่งชีวิตนับตั้งแต่ออกมาจากท้องมารดาจนเข้าโลงแหละ มันมีกี่ขั้นตอน ก็ให้มันถูกต้องทุกขั้นตอน ทุกขั้นตอน ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต และทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น เราเป็นมนุษย์อย่านึกแต่เรื่องตัวเองข้างเดียว ต้องนึกถึงผู้อื่นด้วย ดังนั้นธรรมะมันจึงมีการปฏิบัติเพื่อถูก เพื่อรอดทั้งตนเองและผู้อื่น นี่มีคำว่าธรรมะ ธรรมะสอนลูกเด็กๆ ว่าธรรมะคือระบบปฏิบัติที่ดับทุกข์ได้ทั้งตนเองและผู้อื่น ถ้าพูดว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็น่าสงสารที่สุด ก็มันผิดเหลือที่จะผิด หลับตาพูดนะ ไม่เรียนรู้เรื่องความจริงของคำว่าธรรมะ ธรรมะ ที่ถูกแล้ว ธรรมะมันมีความหมายมาก หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยกเว้นอะไร แต่ถ้าพูดอย่างนั้น เด็กฟังไม่ถูก เลือกเอามาเฉพาะการปฏิบัติที่ดับทุกข์ได้ นี่ถูกต้องที่สุด
ทีนี้อีกคำหนึ่งก็คือ คำว่านิพพาน นิพพาน ครูจะสอนเด็กว่า นิพพานคือความตายของพระอรหันต์ จริงไหม นิพพานคือความตายของพระอรหันต์ มันเรียก เรียก เรียก เรียกศัพท์ ตายของหมาเรียกอย่างนั้น ตายของคนเรียกอย่างนั้น ตายของพระราชามหากษัตริย์เรียกอย่างนั้น ตายของพระเรียกว่าเรียกอย่างนั้น ก็เรียกนิพพานน่ะเป็นชื่อการตายของพระอรหันต์ นี่มันน่าเศร้าพระอรหันต์ตายไม่ได้หรอก สิ่งที่เรียกว่าพระอรหันต์มันเป็นคุณธรรมสูงสุดไม่ตาย พระอรหันต์ไม่ตาย จะไปเรียกการตายของพระอรหันต์ผู้ไม่มีการตายมันก็ผิดสิ และคำว่านิพพานนี้ไม่ได้แปลว่าตาย มารู้กันซะเดี๋ยวนี้เลยว่า นิพพาน นิพพาน คำนี้ไม่ได้แปลว่าตาย มันก็แปลว่า เย็น คือความร้อนน่ะดับไป แล้วเย็นนั่นน่ะคือนิพพาน กิเลสดับไป มันเป็นไฟดับไป มันก็เย็นเป็นนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดบิดพลิ้วไม่ได้ ราคักขโย โทสักขโย โมหักขโย นิพพานัง ( บาลีนาทีที่ ๑ :๑๐:๕๖.๒ )ทางสิ้นไปแห่งราคะ สิ้นไปแห่งโทสะ สิ้นไปแห่งโมหะ นี้เราเรียกว่านิพพาน นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย ถ้าตายจะมีประโยชน์อะไร เอาไปทำอะไรตาย มันไม่ตาย แต่มันมีเย็น เพราะสิ้นไฟ ดับไฟ มันเป็นการดับแห่งความร้อนไม่ใช่ดับชีวิตไม่ต้องดับชีวิต ไม่มีคำว่านิพพานในพระบาลีใช้สำหรับมีชีวิตทั้งนั้นแหละ ทุกชนิดแหละ จะมาสอนกันผิดๆ ข้อนี้อาจจะเป็นว่าลัทธิอื่นเขาสอนอย่างนั้นนะ ไม่ใช่พระพุทธศาสนาเขาสอนกันอย่างนั้น จะเป็นลัทธิฮินดู แขนงใดแขนงหนึ่ง เขาสอนอย่างนั้น แล้วเขามาสอนที่นี่ก่อนพระ ก่อนพุทธศาสนามาถึง ประชาชนก็โง่ๆ นิพพานคือความตาย ตายของพระอรหันต์ นิพพานคือเย็น มันดับ แล้วแต่มันดับแห่งความร้อนแล้วมันก็เหลือความเย็น หนาวมันทนไม่ไหว ร้อนทนไม่ไหว แต่ถ้าเย็นละสบาย ถ้าหนาวมันก็เดือดร้อน ถ้าเย็น ถ้าร้อนก็เดือดร้อน เอา ไม่เอาไม่เอาทั้งหนาว ไม่เอาทั้งร้อน เอาแต่เย็น เพราะไม่มีความร้อน ถ้าจะพูดเป็นภาษาฝรั่ง เราเห็นกันว่า ใช้คำว่าquench, quenching, quenchนั้นน่ะ ดับลงแห่งความร้อนนั่นน่ะ นั่นน่ะคือหมายถึงนิพพานฉะนั้นขออย่าได้สอนเด็กว่านิพพานคือความตายของพระอรหันต์ เพราะ พระอรหันต์ตายไม่ได้ เป็นคุณธรรมไม่ไช่เป็น เป็นเนื้อเป็นหนัง และก็คำว่านิพพานไม่ได้แปลว่าตาย แปลว่าดับแห่งความร้อน ถ้าพูดเรื่องนี้ก็ยืดยาวมากละ ประวัติของคำๆนี้ยืดยาวมาก จะเสียเวลาทั้งชั่วโมงก็ได้ ก็สรุปเอาความว่ามันเย็นลงแห่งความร้อน ฉะนั้นนิพพานแปลว่าดับทุกข์สิ้นเชิง ดับกิเลสสิ้นเชิง ความทุกข์ก็ร้อนกิเลสก็ร้อน ร้อนทั้งสองร้อน นี่ดับไปให้เย็น นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่านิพพาน นิพพานนี่คือปัญหาที่มันกำลังมีอยู่ กำลังมีอยู่ ขอให้ช่วยกันกำจัดให้หมดไป
ครูยังเป็น ทำตัวเป็นลูกจ้าง เรายังมีครูที่อุ้มไก่หิ้วขวดเหล้า แล้วก็ว่าไม่บูชาหน้าที่ ไม่เสียสละเพื่อหน้าที่ เหมือนพระพุทธองค์ แล้วครูไปหลงคำว่าอาจารย์แทนคำว่าเป็นครู เห็นว่าเป็นครูนี่ต๊อกต๋อย หรือเชย สู้เป็นอาจารย์ไม่ได้ นี่คำนี้เพิ่งเกิดสมัยใหม่นี่ ครูยังรับใช้นักการเมือง นอกหน้าที่มากเกินไป ใช้ว่ามากเกินไป ครูยังไม่สามารถขจัดไอ้สิ่งเลวร้ายคือความเห็นแก่ตัวในโลก ครูยังเข้าใจคำธรรมะผิดๆ เช่นคำว่า ธรรม และคำว่านิพพาน เป็นต้น
หมดเรื่องปัญหาที่เกี่ยวกับครูแล้ว ทีนี้ก็จะพูดถึงอานิสงส์ของความเป็นครู อานิสงส์ อานิสงส์ คำนี้ตัวหนังสือแท้ๆ มันแปลว่าความดีที่ไหลออกมา หรือว่าไหล เป็นกิริยาที่ไหลออกมาก็แล้วกันน่ะ ไหลออกมาของสิ่งที่พึงปรารถนา เรียกว่าอานิสงส์ อานิสงส์ อานิสงส์ของความเป็นครู อานิสงส์ของความเป็นครู ก็คือไหลออกของสิ่งที่พึงปราถนา เมื่อมีความเป็นครูถูกต้อง อานิสงส์ก็ไหลออกมา คือวิญญาณของประชาชนมันสูงขึ้น โลกมีผู้นำทางวิญญาณที่ถูกต้องมากขึ้น นี่อานิสงส์จากความเป็นครู ความเป็นครูให้การศึกษาที่เป็นรากฐานของศีลธรรม วัฒนธรรม และศาสนา ครูนี่ให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ลูกเด็กๆ ให้มีรากฐานทางศีลธรรม ทางวัฒนธรรม ทางศาสนา พูดให้เป็นภาษาลืมยากกันบ้างก็ว่า ครูเป็นผู้เตรียมคนให้สวรรค์ อย่าให้สวรรค์มันร้าง ครูนี่เตรียมคนไว้ให้สวรรค์ ให้สวรรค์มันไม่ร้าง เพราะว่าถ้าครูสอนดี สอนจริง สอนถูกต้อง ประชาชนพลเมืองมันก็ดี คนดีตายก็ไปสวรรค์ สวรรค์มันก็ไม่ร้าง ขอให้ครูเป็นผู้เตรียมคนไว้สำหรับไปสวรรค์ นี่เรียกอานิสงส์ อานิสงส์ ที่จะได้แก่โลกแก่มนุษย์ วัวไหลน้ำนม ให้น้ำนมไหลออกมา ก็เรียกว่าอานิสงส์เหมือนกันน่ะ มันไหลออกมาเหมือนกับน้ำนมไหลออกมาจากวัว เรียกว่าอานิสงส์ เดี๋ยวนี้ความดีความงามเหล่านี้ก็จะไหลออกมาจากครู ให้สำเร็จประโยชน์แก่มหาชน แก่ประชาชนเรียกว่า ครูมีอานิสงส์ สิ่งใดที่ไม่มีอานิสงส์ สิ่งนั้นไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ไม่มีอานิสงส์สิ่งนั้นไร้ค่า ดังนั้นขอให้ทำให้ครูเป็นผู้มีสิ่งที่ไหลออกมาเป็นประโยชน์ น่าชื่นใจ น่าชอบใจจนยกไว้เป็นปูชนียบุคคล เหนือเกล้า เหนือเศียรของประชาชน นี่คืออานิสงส์ของความเป็นครู
เอ้า,ทีนี้ก็มาพูดถึงธรรมะเพื่อทำให้เกิดความเป็นครูที่ถูกต้องกันบ้าง ธรรมะสำหรับครู ข้อแรกครูก็จะต้องมีธรรมะทั่วไปที่ทุกๆคนมี ธรรมะพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องมี ก็ขอให้ครูมีก่อน เป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องเสียก่อน นี่มีธรรมะพื้นฐานกันเสียก่อน แล้วก็มีธรรมะของครูโดยเฉพาะ ธรรมะของครูโดยเฉพาะก็คือ เมตตา ปัญญา ปัญญา เมตตา เอาเมตตาไปใส่ไว้กับพรหมวิหาร ๔ ก็ได้ ก็เรียกว่าครูมีเมตมีปัญญา และมีพรหมวิหาร พรหมวิหารคือธรรมะเครื่องอยู่ของบุคคลผู้ประเสริฐ พรหม ประเสริฐ วิหารแปลว่าธรรมะเครื่องอยู่ ธรรมะเครื่องอยู่ของผู้ประเสริฐ เรียกว่าพรหมวิหารคือเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาครูมีเมตตารักลูกศิษย์ ครูมีกรุณา ช่วย ช่วย ช่วยยกช่วยกู้ลูกศิษย์ ครูมีมุทิตา คือพลอยยินดีด้วย แสดงกำลังใจให้เกิดแก่ลูกศิษย์ ว่าครูยินดีด้วย ครูยินดีด้วย เด็กๆ ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป แล้วก็ครูก็มีอุเบกขา คำนี้สอนกันผิดๆ ว่าอุเบกขา วางเฉย เมื่อช่วยอะไรไม่ได้ก็วางเฉย นั่นน่ะมันสอนผิดๆ ขอให้ท่านครูทั้งหลาย ช่วยจำไว้ด้วยว่าอุเบกขาไม่ได้แปลว่าอยู่เฉยๆอุเบกขาแปลว่า จ้องดู จ้องดู อยู่นิ่งๆจริงน่ะ แต่ว่า มันคอยดูว่าเมื่อไรจะช่วยได้อุเบกขา แปลว่าจ้องดูอยู่ว่าเมื่อไรจะช่วยได้ หรือว่าเมื่อไรจะประสบความสำเร็จ เมื่อได้ทำสิ่งต่างๆ ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องดีแล้วก็จ้องดูอยู่ว่าเมื่อไรจะสำเร็จ ไม่ใช่เฉยไม่ทำอะไร นั่นมันสอนผิดๆ สอนผิดๆกันเสียไปทั้งหมด อุเบกขาเฉย เฉย ช่วยไม่ได้ เฉย เดี๋ยวนี้ช่วยไม่ได้ คอยจ้องดูอยู่เมื่อไรจะช่วยได้ อย่างนั้นน่ะอุเบกขา อุเบกขาที่ถูกต้องเป็นอย่างนั้น อุเบกขาในที่นี้หมายความว่าอย่างนี้อุเบกขาเฉยในกรณีอื่น ไม่ใช่กรณีนี้และก็ไม่เคยใช้คำนี้เลย อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร เฉยเมื่อทุกสิ่งถูกต้องแล้ว มันก็เป็นไป เป็นไป จนถึงไอ้หนสุดท้าย ขอให้ครูมีครบทั้งเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาแล้วก็มีปัญญานำหน้าสิ่งเหล่านี้ นี่เรียกว่าธรรมะเฉพาะครูก็มี ธรรมะทั่วไปอย่างประชาชนคนหนึ่งก็มี ธรรมะเฉพาะครูก็มี
อยากจะเอาคำสูงสุดสักคำหนึ่งมาบอกกล่าวแก่ครู บางคนจะหาว่าบ้าก็ได้ ว่ามันคำสูงสุดในพระพุทธศาสนา แต่ว่าคำสูงสุดเหล่านี้มันเอามาใช้ต่ำๆก็ได้ คือคำว่า อตัมมยตา อตัมมยตา แปลกหูใช่ไหม เคยได้ยินก็ได้ อตัมมยตามีอยู่ในพระคัมภีร์ ในพระไตรปิฎก แปลว่าความที่อะไรดึงไปไม่ได้ ความคงที่อยู่ในความถูกต้องจนอะไรๆ ดึงไปไม่ได้ คือดึงไปให้ผิดน่ะ ดึงไปไม่ได้อตัมมยตา ไม่สำเร็จมาแต่ปัจจัยนั้นๆ คือว่าปัจจัยนั้นๆดึงไปไม่ได้ คงที่ คงที่ อยู่ในความถูกต้อง ครูอธิษฐานจิต คงที่ คงที่อยู่ในความถูกต้อง จนอะไรๆ มาดึงไปทำผิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นครูก็ไม่ไปอุ้มไก่ชน ไม่ไปหิ้วขวดเหล้า ไม่ไปอบายมุข ไม่ไปทำอะไรต่างๆ เพราะว่ามี อตัมมยตา แข็งโก๊กโก๊กอยู่ในความถูกต้อง ดึงไปไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ดึงไปหาความผิดพลาดได้มีแต่คงที่ คงที่ อยู่ในความถูกต้อง อย่างนี้เรียกอตัมมยตาสำหรับครู ครูก็มีปัญญาและเมตตา หรือพรหมวิหารดังที่กล่าวมาแล้ว ในฐานะเป็นธรรมะสำหรับครู นี่ ปัญญาที่กลมกลืนกันอยู่กับเมตตา ให้ครูแสดงออกมาทุกๆนาที ในเมื่อเกี่ยวข้องกับเด็ก เมื่อครูเกี่ยวข้องกับเด็ก ขอให้ครูแสดงปัญญาและเมตตาออกมาทุกๆนาที แล้วเด็กก็จะรักครูยิ่งกว่าพ่อแม่ เด็กจะรักครูยิ่งกว่าพ่อแม่ ถ้าครูทำให้มันถูกวิธีในทางของธรรมะ
ทีนี้ธรรมะอีกข้อต่อไปก็ว่า เอาตัวอย่างพระพุทธเจ้า เอาพระบรมครู คือ พระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ข้อนี้ก็หมายความว่าเสียสละ เสียสละจริงๆ เพราะความรักเด็กจริงๆ ก็เสียสละจริงๆ เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านเสียสละให้แก่มหาชนด้วยความลำบากของพระองค์เอง พระพุทธเจ้าเสียสละอย่างยิ่งน่ะ ทำหน้าที่๒๔ชั่วโมงครบวงจร ก่อนสว่างน่ะก็ท่านคิดว่าวันนี้จะไปโปรดใคร พอสว่างก็ไปบิณฑบาตเพื่อโปรดคนนั้น ต่อสู้ ต่อสู้จนต่อ จนเอาชนะได้ไม่ ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ท่านทำหน้าที่อย่างนี้ พอบ่ายกลับมาที่วัด เอ้า,คนมารออยู่ที่วัด แล้วก็สอนคนที่มาหาที่วัด พวกชาวบ้านน่ะ พอค่ำลงก็สอนภิกษุสามเณรประจำวัด พอดึกก็แก้ปัญหาเทวดา เที่ยงคืน อรรถ รัตเต เทว ปัญห นัง (บาลีนาทีที่ ๑ :๒๓:๓๐.๗ )เที่ยงคืนแก้ปัญหาเทวดา เทวดามาจากบนฟ้า เทวดา พระราชามหากษัตริย์ก็ไปเวลาเที่ยงคืนท่านก็แก้ปัญหาคือสอนน่ะ มันเลยเที่ยงคืนไปแล้วมันก็เหลือนิดเดียว พักผ่อนนิดหน่อย เดี๋ยวมันก็หัวรุ่งอีกแล้ว หัวรุ่ง คิดอีกว่าวันนี้จะไปสอนใคร ท่านทำงานครบสี่ ยี่สิบสี่ชั่วโมงอย่างนี้ ฉะนั้นขอให้พวกครูเราเอาอย่างพระพุทธเจ้า เอ้า,ที่ต่อไปก็คือว่าเมื่อท่านสำเร็จการสอนที่เมืองนี้ แล้วจะไปเมืองอื่น ท่านทำอย่างไร ไม่มีรถยนต์ ไม่มีรถยนต์ ที่เกวียนมีแต่เทียมด้วยสัตว์มีชีวิตท่านไม่นั่ง รถม้ามีเทียมสัตว์มีชีวิตท่านไม่นั่ง อ้าว, เมื่อไม่นั่งก็เดินสิ พระพุทธเจ้าก็ต้องเดิน น่าสงสาร ตามเรื่องราวที่เราพ้นพบ พระพุทธเจ้าไม่มีรองเท้านะ พระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้รองเท้านะ พระพุทธเจ้าไม่มีร่มกันแดดนะ ท่านเดินไปอย่างไรล่ะ พระศาสดาเท้าเปล่าน่ะ ดีไหม พระศาสดาเท้าเปล่า ไม่มีสมบัติอะไรติดตัว แล้วครูเป็นอย่างนั้นหรือ ครูต้องการจะซื้อรถยนต์สักสองสามคัน ใช่ไหม ครูมีรองเท้ามีอะไรเหลือ เหลือประมาณ ขอให้อุทิศตนเป็นครูเท้าเปล่า เป็นครูเท้าเปล่า อุทิศชีวิตเพื่อ เพื่อลูกศิษย์ เจ็บปวดทรมานอย่างไรก็เอาอย่างพระพุทธเจ้าเป็นครูเท้าเปล่า เหมือนพระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดาเท้าเปล่าคำนี้มันใช้อยู่ที่เมืองจีน หมอเท้าเปล่า หมอที่ไม่มีรองเท้าน่ะ แต่ว่าไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ย่ำโคลน ย่ำน้ำไปสอนประชาชน ได้ผลดีกว่าหมอที่นั่งรถยนต์ หมอเท้าเปล่าน่ะมันไปถึงไอ้หมู่บ้านที่ยากจนเข็ญใจ ขอให้เราเป็นครูเท้าเปล่า ไม่คิดอะไรมาก เสียสละทุกอย่างทุกประการ เป็นผู้เสียสละสูงสุดแก่ลูกศิษย์ เป็นปูชนียบุคคลให้จนได้ นี่เรียกว่า ธรรมะสำหรับครู
เอ้า,ทีนี้ก็จะเข้ามาถึงหัวข้อหัวข้อที่กำหนดให้บรรยาย อุดมธรรมสำหรับครูในปัจจุบัน เอาคำว่าอุดมธรรมกันก่อน คำว่า อุดม อุดม ภาษาไทยมาจากคำว่า อุตมะ อุตมะ ภาษาบาลี อุตมะน่ะมันออกมาเป็น อุดม อุดม คำนี้แปลว่า สูงสุด สูงสุด อุดมธรรม ก็ธรรมะสูงสุดสำหรับครูคืออะไร อุดมธรรมของครู ตั้งแต่บิดามารดาเป็นครูคนแรก จนถึงครูคนสุดท้ายช่วยไปนิพพาน ก็คือการปฏิบัติ ให้เป็นตัวอย่างที่ดีที่ถูกต้อง แสดงตนเป็นตัวอย่างที่ถูกต้องอยู่เสมอ ทุกกระเบียดนิ้ว เป็นอุดมธรรมสำหรับครู ครู ครู เปิดประตูทางวิญญาณ แล้วก็นำไปทางวิญญาณ ประสบความสำเร็จในที่สุด เป็นครูให้ถูกต้องตามความหมายของคำว่า ครู ขอให้เป็นครูให้ถูกต้องตามความหมายของคำว่าครู ให้ถูกต้องตามความหมายของคำว่า วรรณะแห่งความเป็นครู วรรณะแห่งความเป็นครู หรือ วิวรรณะวรรณะวิเศษ ให้เป็นวรรณะวิเศษทำหน้าที่วิเศษ ได้เป็นครูคือยก เปิดประตูทางวิญญาณ นำทางวิญญาณ นี่เรียกว่าปฏิบัติตนตรงตามความหมายของคำว่าครู และความหมายของคำว่า วรรณะของครู เป็นปูชนียบุคคลให้ได้ แม้ว่าจะสอนเด็กอนุบาลน่ะก็เป็นปูชนียบุคคลให้ได้ เพื่อให้เด็กๆ เขามีจิตใจสูงตามประสาเด็กๆ ไม่เป็นเด็กเกเร เห็นแก่กิน แก่เล่น เห็นแก่ตัว ยกจิตใจของลูกเด็กๆชั้นอนุบาลให้มันสูงขึ้นมาให้ได้ ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ ให้มันสูงขึ้นมาให้ได้ นี่เรียกว่าเป็นครู เป็นครู ถูกต้องตามความหมายของครู มีธรรมะที่ครูจะต้องเคารพ นี่เรียกว่าคุรุฐานียธรรม โลกจะต้องมีต่อครูอย่างไร ครูจะต้องมีต่อโลกอย่างไร ชาวโลกจะต้องหนัก เคารพหนักแน่นต่อครูอย่างไร แล้วครูจะต้องมีความเคารพหนักแน่นต่อหน้าที่ของตนหรือต่อประชาชนอย่างไร เรียกว่าต่างฝ่ายต่างมี คุรุฐานียธรรม แปลว่าธรรมเป็นที่ตั้งของความเป็นครู หรือความเป็นผู้หนักก็แล้วแต่ ครูมี คุรุฐานียธรรมต่อโลก โลกก็มีคุรุฐานียธรรมต่อครู แล้วมันก็เป็นโลกที่ประเสริฐวิเศษสูงสุด
นำโลกสร้างสันติภาพ เราจะทำหน้าที่ที่เรียกว่านำโลกเพื่อการสร้างสันติภาพ ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือแต่ละวันๆ ไอ้สอนหนังสือนี่มันเรียกว่านำโลกไปสู่สันติภาพ แต่แล้วเราก็ทำในฐานะที่ว่าเป็นการนำโลกสู่สันติภาพ ไม่ใช่รับจ้างสอนหนังสือ ขอให้เงินเดือนน่ะเป็นเครื่องบูชาคุณ เราทำหน้าที่สูงสุดเกินกว่าคุณค่า ถ้าอย่างนี้แล้วก็เป็นสมาชิกช่วยกันสร้างโลก สร้างโลก สร้างโลก ให้มีสันติภาพ ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือ ในจิตใจกำหนดไว้แม่นยำให้มั่นคง ว่าเราเป็นผู้ช่วยกันสร้างโลกให้มีสันติภาพ เราไม่ใช่รับจ้างนักการเมือง ไม่ใช่รับจ้างนายทุนอะไรที่ไหน ที่เราทำนี่ใครให้เงินเดือนเรา เราก็ไม่ได้เป็นลูกจ้างคนนั้นนะ เรารับมาในฐานะเป็นค่าใช้สอย หรือว่าเป็นค่าบูชาคุณของเรา
เราจะเป็นกัลยาณมิตรให้ได้ คำนี้สูงมาก แต่เรามาใช้กันต่ำๆ กัลยาณมิตรแปลว่ามิตรที่ดี มันสูงมากจนพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า“ ถ้าสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ คนทั้งหลายเหล่านี้มีเราเป็นกัลยาณมิตร สัตว์เหล่านี้ก็จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง” นี่พระพุทธเจ้าตรัสนะ “ถ้าสัตว์เหล่านี้จักมีเราเป็นกัลยาณมิตรแล้วไซร้ สัตว์ที่มีความเกิดเป็นธรรมดาจะพ้นจากความเกิด ที่มีความแก่เป็นธรรมดาจะพ้นจากความแก่ ที่มีความเจ็บเป็นธรรมดาจะพ้นจากความเจ็บ ที่มีความตายเป็นธรรมดาจะพ้นจากความตาย”นี่เพราะมีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร พระพุทธองค์ทรงถ่อมตนจากที่สูงสุดมาอยู่ระดับเดียวกับเราคือเป็นกัลยาณมิตร เพื่อนเป็นเพื่อนตายกันนี่ กัลยาณมิตรมีความหมายสำคัญคือว่ามิตรแท้ มิตรสูงสุด มิตรที่นำไปสู่สถานะอันสูงสุด นี่เป็นกัลยาณมิตร ขอให้ยอมตนเถอะ ลดลงมาเป็นกัลยาณมิตรของลูกเด็กๆเล็กๆ แม้แต่ชั้นอนุบาล ชั้นประถม ชั้นมัธยม เป็นกัลยาณมิตร เป็นกัลยาณมิตรก็นำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ คำว่ากัลยาณมิตร คำว่ามิตรนี่มันสำคัญมาก สำ มีความหมายว่าถ้าโลกนี้ไม่มีมิตร แล้วก็วินาศแน่ มันอยู่ได้ด้วยความเป็นมิตรกันน่ะ ศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรยก็มีความเป็นมิตรสูงสุด สูงสุด ขอให้ครูเป็นมิตรและเป็นกัลยาณมิตรแก่เด็กๆ และแก่ประชาชนทั้งหลาย
เอ้า, ทีนี้ฟังนะ ขอให้ครูเป็นยักษ์ให้ได้ ตกใจไหม นี่เพราะไม่รู้บาลีก็ตกใจ ครูทุกคนเป็นยักษ์ให้ได้ เราเข้าใจความหมายของคำว่ายักษ์น่ะผิดๆ ยักษ์กินคน ยักษ์น่าเกลียดดุร้าย เป็นยักษ์เป็นมารอย่างนี้ แต่คำว่ายักษ์นี้ไม่ได้หมายความอย่างนั้น มันหมายความว่าผู้ที่บุคคลต้องเกรงกลัวและบูชา ผู้ที่บุคคลต้องบูชาและเกรงกลัว คำว่ายักษ์ ยักษ์น่ะ ไปดูเถอะในบทพุทธคุณน่ะ อุปาลิสุตร(นาทีที่ ๑ :๓๓ :๑๐.๗)พระพุทธเจ้าเป็นยักษ์นะ พระพุทธเจ้าเป็นยักษ์คือผู้ที่ทุกคนต้องเกรงกลัวและบูชา พวกเทวดาเมืองสวรรค์ก็มักจะทักกันว่ายักษ์ ดูก่อนยักษ์ เขาทักกันกับเพื่อนฝูง ดูก่อนยักษ์ คือว่า ผู้ที่บุคคลต้องบูชา ฉะนั้นถ้าครูเป็นยักษ์ได้ก็ทุกคนจะบูชา ทุกคนจะเกรงกลัว เพราะฉะนั้นถ้าครูทำตัวดี เด็กๆจะกลัวครูมากกว่ากลัวพ่อแม่ไหม นี่อาตมายืนยันเพราะเคยปรากฎแก่ตนเอง เรากลัวครูที่โรงเรียนมากกว่ากลัวพ่อแม่นี่ครูเป็นยักษ์เพื่อให้เด็กๆทุกคนยอมรับ ยอมเกรงกลัวยอมเชื่อฟัง นี่ไม่ใช่พูดเล่น มันมีพระบาลีมีคำที่เคยใช้กันมาแล้ว ในพระศาสนา แม้แก่ พระพุทธเจ้า ยักษะก็เป็นผู้ที่บุคคลควรบูชาด้วยความเกรงกลัว เทวดาที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นยักษ์ทั้งนั้นแหละใน ในภาษาอินเดีย เขาเรียกว่าเป็นยักษ์ทั้งนั้นนะ ไอ้ศาลเจ้าทั้งหลายประดิษฐานยักษ์ไว้ทั้งนั้นแหละ คือผู้ที่ต้องเกรงกลัวและบูชา ครูเป็นยักษ์ให้ได้ คือให้เด็กๆเคารพ เกรงกลัวและบูชา คงจะฟังแปลกสำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่อง เรื่องคำว่ายักษ์
ครูไม่เป็นเจ้าชู้กับนักเรียนหญิงหรือนักเรียนชาย แล้วแต่ว่าครูเป็นผู้หญิงหรือเป็นครูผู้ชาย ครูอย่าไปเป็นเจ้าชู้กับนักเรียน ไม่ว่านักเรียนหญิงหรือชาย
ครูจะไม่รับสินบน แม้เพียงแต่ว่าไข่ไก่กระจาดเดียว ที่ยกตัวอย่างอย่างนี้มันมีความจริง เพื่อนของอาตมาคนหนึ่งเป็นครู เป็นคุณครูที่ดี พอถึงไอ้ไอ้วันสอบไล่ ไอ้ไอ้ เข้าเข้าเขตสอบไล่ แม่ของเด็กนักเรียนคนหนึ่ง มันเอาไข่ไก่ใส่กระกระเช้าเล็กๆกระเช้าตาเล็กๆ ไปให้ครูคนนั้น ครูคนนั้นไล่ทันที ออกไปลงไปจากเรือนเรา ลงไปเดี๋ยวนี้เลย เพราะรู้ว่าแม่คนนี้มันมาให้สินบน เพื่อลูกมันเป็นนักเรียนที่เลวที่สุดในโรงเรียน นี่เรียกว่าครูไม่รับสินบน อย่าเอาชื่อเขาเลยแล้วเขาก็ได้ตายไปแล้วอายุรุ่นราวคราวเดียวกันน่ะ เขาไม่ยอมรับสินบน แม้แต่ไข่กระจาดเดียวซึ่งเอาไปให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างขนบธรรมเนียมประเพณีที่เขาเอาไปให้ไม่น่าเกลียดอะไรละ แต่แกรู้อันนี้มันให้ในลักษณะสินบน ให้ช่วยลูกของแกที่ขี้เกียจเรียน เลวที่สุด นักเรียนเลวในชั้น นี่จะใช้คำว่าครูไม่รับสินบน แม้แต่ไข่ไก่ไม่กี่ฟอง
เอาละสรุปอันสุดท้ายว่า อุดมคติของครูอยู่ที่ช่วยกำจัดความเห็นแก่ตัวในโลกนี้ให้ได้ ความเห็นแก่ตัวของลูกเด็กๆ ขึ้นไปจนถึงผู้ใหญ่น่ะ ครูรับภาระที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัวที่จะใช้ได้ มันยิ่งฉลาด มันยิ่งเห็นแก่ตัว ครูก็ยิ่งกำจัดความเห็นแก่ตัวของคนฉลาดให้ได้ มันยิ่งฉลาด มันยิ่งเห็นแก่ตัว ข้อนี้มันเป็นความจริง เพราะว่ามันไม่มีธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะแล้วยิ่งฉลาดมันก็จะยิ่งเห็นแก่ตัว ดังนั้นเราต้องกำจัดไอ้ความเห็นแก่ตัวของคนฉลาดให้ได้ แล้วเราก็สอนคนให้ฉลาดๆ แล้วก็สอนพร้อมกับที่ไม่เห็นแก่ตัว อย่าสอนให้มันฉลาดอย่างเดียว เพราะสอนให้ฉลาดแล้วกำกับไปด้วยว่าต้องไม่เห็นแก่ตัว อย่าใช้ความฉลาดเพื่อความเห็นแก่ตัว ถ้าใช้ความฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัวมันจะทำลายคุณ คุณ คุณเอง ความฉลาดที่เห็นแก่ตัวมันเชือดคอคุณเองน่ะ สอนให้เขาฉลาดแล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว ฉลาดอย่างไม่เห็นแก่ตัว นี่เรียกว่าอุดมธรรมธรรมะสูงสุดของความเป็นครู เป็นครูให้ถูกต้องตามความหมาย เป็นปูชนียบุคคลให้ได้ มี ธรรมะสำหรับความเป็นครูโดยสมบูรณ์ นำโลกไปสู่สันติภาพ เป็นกัลยายาณมิตรของเด็กทุกคนและเป็นยักษ์ให้ได้ เพื่อให้เขารักใคร่เกรงกลัวบูชา เหมือนกับกลัวยักษ์ ในที่สุดก็ไม่เป็นเจ้าชู้ ไม่รับสินบน
เอ้า, ก็มาถึงคำสุดท้ายแล้วขอให้นึกว่า ยุคปัจจุบัน ในโลกยุคปัจจุบัน โลกในยุคปัจจุบัน อุดมคติของครูในโลกยุคปัจจุบัน เรามาพิจารณาคำว่า ยุคปัจจุบันกันสักหน่อยว่ามันคืออะไรล่ะ ยุคปัจจุบันเป็นยุคอวกาศ ยุคปรมาณู คือว่าความรู้ มันเจริญมาก จนใช้กำลังของปรมาณูได้อย่างน่าเกรงขาม ยุคอวกาศก็ไปโลกพระจันทร์ได้ ใช้คำว่าไปเที่ยวโลกพระจันทร์ได้เหมือนกับไปเที่ยวสวนหลังบ้านน่ะ เดี๋ยวนี้ก็อยากจะไปเมื่อไร เขาก็ไปได้มีความเจริญของโลก จนโลกกลายเป็นยุคอวกาศ เป็นยุคปรมาณู แต่พร้อมกันนั้นมันน่าเศร้า มันน่าเสียใจที่ว่า มันยิ่งบูชาวัตถุ หลงใหลในวัตถุหรือความสุขทางเนื้อหนัง ครูจะต้องสอนลูกศิษย์ให้เหมาะสำหรับที่จะอยู่ในโลกยุคปรมาณู ยุคอวกาศคือให้มันฉลาด ให้ทันกัน ให้พร้อม ที่จะอยู่ในโลกยุคนี้ ให้ไม่เห็นแก่ตัว จึงจะสมควร ที่จะอยู่ในโลกอย่างนี้ เรียกว่าต้องสอนกันให้มันทันกันในความเจริญในโลก โลกปัจจุบันเป็น โลกแห่งวิทยาศาสตร์ โลกวิทยาศาสตร์มีความหมาย เป็นโลกที่อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล นับถือเหตุผล เคารพเหตุผล และถือในความชัดเจน แจ่มแจ้ง เปิดเผย ไม่เร้นลับ ไม่ลึกลับ ไม่เป็นไสยศาสตร์ ไม่เป็นอะไรหมด มีเหตุผลอย่างชัดเจนและแจ่มแจ้ง เพราะฉะนั้นครูเราจะต้องสอนให้มันชัดเจนแจ่มแจ้ง และมันมีเหตุผล มีความเปิดเผย ชัดเจนและแจ่มแจ้งอย่างมีเหตุผล นี่เรียกว่าโลกยุควิทยาศาสตร์
นี่เดี๋ยวนี้ก็โลกนี้เป็นยุคประชาธิปไตย เอ้า,โลกนี้มันเคยมีความเป็นอยู่ระระบบการปกครองมาหลายรูปแบบแล้ว คือเคยเป็นเผด็จการ เคยเป็นระบบไอ้นายทุน ระบบอะไรมาแต่ก่อน เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยนกันมายุคปัจจุบัน เรียกกันว่าระบบประชาธิปไตย เราจะต้องอบรมลูกเด็กๆของเราให้เหมาะสำหรับที่จะอยู่ในโลกยุคประชาธิปไตย สอนประชาธิปไตยให้ถูกต้อง ทั่วโลกมันกำลังมีประชาธิปไตยที่ไม่มีธรรมะ ประชาธิปไตยที่มือใครยาวได้ก็สาวเอา มือใครยาวเอาก็สาวเอาน่ะมีประชาธิปไตยอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ประชาธิปไตยอันธพาล ประชาธิปไตยที่จะต้องถูกต้องๆ ต้องมีความเมตตา กรุณา ต้องมีธรรมะ ประชาธิปไตยที่ไม่มีธรรมะ เลวร้ายที่สุด ประชาธิปไตยของประชาชนที่เห็นแก่ตัวนี่เลวร้ายที่สุด เป็นเผด็จการเสียดีกว่านะ อาตมาพูดไม่กลัวใครด่าหรอก เผด็จการที่มีธรรมะดีกว่าประชาธิปไตยของผู้เห็นแก่ตัว เมื่อโลกมันเห็นแก่ตัว ประชาชนเห็นแก่ตัวเป็นโลกเห็นแก่ตัว ก็ประชาธิปไตยเพื่อกอบกอบโอบกอบโกย เพื่อสาวเอา สาวเอา อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีธรรมะ มีหลักธรรมะ มีความรักใคร่ เมตตา กรุณา เห็นแก่ความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องนั่น ต้องประชาธิปไตยอย่างนั้น โลกสมัยนี้เป็นโลกยุคประชาธิปไตยที่ยังไม่ถูกต้อง ขอให้ครูช่วยกันแก้ไขให้มันมีความเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง
โลกมันกำลังมีวิกฤต คือความเลวร้ายยุ่งยาก โกลาหล วุ่นวายยิ่งขึ้นๆ โลกปัจจุบันนี้มีวิกฤต วิกฤตการณ์มากขึ้น เพราะมันหลง หลง หลงไอ้นิยมไอ้วัตถุ หลงความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทางกิเลสนะ เรียกว่าหลงทางวัตถุ และไม่ค่อยรู้เรื่องทางจิตใจ เรารู้เรื่องแต่ทางวัตถุ มันก็หลงทางวัตถุ แต่ที่จริงมันหลงไม่ได้ เรื่องจิตใจก็หลงไม่ได้ เรื่องวัตถุก็หลงไม่ได้ มันต้องเป็นความถูกต้องทั้งวัตถุและจิตใจนี่ นี่ครูเราพยายามให้เขามันมีความถูกต้องทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ ไม่หลงในโลกในทางวัตถุ และก็ไม่หลงในทางจิตจนบ้าบอไปเสียอีก มันกำลังมีวิกฤต วิกฤต เพราะเห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกที เห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกที คุณก็รู้เรื่องเพราะอ่านข่าวอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ ทั้งโลกมันมีการรบราฆ่าฟันกันอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็มันก็รบราฆ่าฟันกัน โดยทางตรงคือใช้อาวุธกัน โดยทางอ้อมคือใช้วิธีลึกลับทางการเมือง การเศรษฐกิจ ทำลายผู้อื่น ทำลายผู้อื่น ทำลายผู้อื่น เอามาเป็นประโยชน์ของตัว อย่างนี้อยู่ตลอดปีๆ ทุกวันๆนั่นน่ะ โลกปัจจุบันมันเป็นอย่างนั้น และนี่มันกำลังจะรบกันจริง เขาจะทำลายประเทศอิรักกัน จะรุมทำลายประเทศอิรักกัน มันก็คือความเลวร้าย หรือวิกฤตการณ์ พระเจ้าไม่ได้สร้างโลกมาเพื่อให้กัดกันอย่างนี้สร้างโลกมาเพื่ออยู่กันเป็นผาสุข เป็นผาสุข แต่โลกมันก็ไม่ทำไปตามนั้น มันก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว แย่งกันกอบโกย ไม่ได้อย่างใจก็ต่อสู้ แล้วก็ฆ่าฟันกัน นี่ยากมาก ยากมาก ที่ว่าไอ้ครูเราจะคิดไปแก้ไขวิกฤตการณ์ เมื่อผู้ที่มีอำนาจ มีอาวุธ มีอะไร มันมุ่งหมายที่จะทำลายผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ครูก็พยายามทำตัวเป็น แก้ไขลูกเด็กๆ เตรียมมันไว้ไว้ในอนาคต อย่าให้มันสร้างวิกฤตการณ์ ให้มันรู้จักรักเพื่อนมนุษย์ รู้จักรักเพื่อนมนุษย์ แล้วมันก็ไม่สร้างวิกฤตการณ์ หวังว่าโลกในอนาคตที่จะถูกสร้างขึ้นมาโดยบุคคลที่เป็นครูที่ดีที่ถูกต้อง มันคงจะมีวิกฤตการณ์ที่ลดลงๆ นี้น่าชื่นใจ จะเป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตรย มีสันติสุข เมตไตรย มันแปลว่าความเป็นมิตร อย่างศรีคือประเสริฐ อารยะก็ว่าอย่างอารยะชน เป็นมิตรอย่างอารยะชน ไม่ใช่เป็นมิตรอันธพาล ชวนกันไปปล้นไปจี้นั่นก็เรียกว่า เป็นมิตรอันธพาล ต้องเป็นมิตรที่ถูกต้องที่ช่วยกันสร้างความสงบสุข เรื่องพระศรีอารย์ ศาสนาพระศรีอารย์เรียน เขียนไว้มากแหละ แต่ที่น่าสนใจก็คือมิตรภาพอันสูงสุด เช่นว่าพอลงจากเรือนไปสู่ท้องถนนไปในสังคมนั่น ดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร เหมือนกันไปเสียหมด ต่อเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วนี่ จึงร้องอ้อนี่ นี่ลูกของเราสามีของเรา ภรรยาของเรา พอลงไปกลางถนน มันเหมือนกันเสียหมด มันมีแต่คนรักใคร่เมตตา กรุณา หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ยกมือขึ้นถามว่า จะให้ช่วยอะไร จะต้องการอะไร จะเอาอะไร นั่นมัน มันเป็นมิตรถึงขนาดนั้น ไปเสียทุกหัวระแหง เรียกว่าศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย มิตรภาพอันสูงสุด นี่หวังได้ไหม หวังได้ไหม เรือนไม่ต้องปิดประตู เรือนไม่ต้องใส่กุญแจ มันมีไอ้ความเป็นมิตรกันถึงขนาดนี้ จะสร้างได้ไหม สร้างโลกพระศรีอาริยเมตไตรย กันได้ไหม นั่นน่ะจุดสูงสุดของไม่มีวิกฤตการณ์ นี่คือโลกปัจจุบัน โลกปัจจุบัน มันเจริญด้วยวิชาความรู้ มันหลงยึดวิทยาศาสตร์เหตุผล มันเป็นประชาธิปไตยที่กำลังเดินผิดทาง มันกำลังมีวิกฤตการณ์เพิ่มขึ้นด้วยความเห็นแก่ตัว ครูจะต้องทำตัวยากลำบากละที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ และก็ขอร้องว่า ทำให้สุดความสามารถ เท่าที่จะทำได้ แล้วก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมแพ้ นี่เรื่องที่จะต้องพูด มันก็มีใจความอย่างนี้
เอ้า, สรุปความกันทั้งหมดอีกทีหนึ่ง ง่ายๆว่าจะต้องทำตนให้ถูกต้องตามความหมายของคำว่าครู ผู้เปิดประตูทางวิญญาณและนำไปอย่างถูกต้อง ต้องมีการศึกษาๆ ที่แท้จริง ดูตัวเอง ในตัวเอง เห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง วิจัยวิจารณ์ตัวเอง ปฏิบัติให้ถูกต้อง นี่เรียกว่าการศึกษาที่ถูกต้อง และมีบทบาทของความเป็นครู เป็นผู้นำทางวิญญาณ ขจัดสิ่งเลวร้ายในโลกให้หมดไป อย่ามีปัญหาอย่างที่เรียกว่า ครูยังอุ้มไก่หรือหิ้วขวดเหล้า มีอานิสงส์ที่ไหลออกมาน่าชื่นอกชื่นใจ จากความเป็นครูสู่มนุษยโลก เรียกว่าเตรียมคนให้สวรรค์ เตรียมมนุษย์ให้สวรรค์ ให้สวรรค์มันไม่ร้างนะ มันก็มีธรรมะสำหรับครูคือ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา มีปัญญานำหน้า มีปัญญานำหน้า อุดมธรรมอุดมธรรมสำหรับความเป็นครู คือเป็นครูให้ได้ เป็นกัลยาณมิตรของทุกคนให้ได้ เป็นยักษ์ให้ได้ คือเขาเคารพเชื่อฟังและเกรงกลัว นี่ครูเป็นยักษ์ให้ได้ แล้วก็ว่าให้มันเป็นประโยชน์แก่โลกยุคปัจจุบันที่เจริญก้าวหน้า ที่ถือหลักวิทยาศาสตร์ และกำลังมีประชาธิปไตยที่เห็นแก่ตัว มันกำลังมีวิกฤตเหลือประมาณ มีวิกฤตเหลือประมาณ อาตมาขอ ขอแสดงความรู้เกี่ยวกับความเป็นครู ในแง่ของพระศาสนา ส่วนเทคนิคของความเป็นครู วิชาครูน่ะไม่รู้ ไม่เคยได้เรียนนะ ท่านทั้งหลายรู้ดีกว่าอาตมา แต่ว่าไอ้ส่วนธรรมะที่จะประกอบความเป็นครูนี่อาตมาก็พอจะรู้นะ นี่ก็บวชเรียนมาตั้งหกสิบปีกว่าปีแล้ว ไอ้ธรรมะเหล่านี้ก็ได้ศึกษามา อะไรมา ก็พอ มีมากพอที่จะให้ ให้ความเป็นครูได้รับถ่ายทอดไป
ขอแสดงความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าขอให้คุณครูอาจารย์ทั้งหลายหนักแน่นในความเป็นครู ประพฤติหน้าที่ของครูให้สำเร็จ มีความเจริญงอกงามทั้งส่วนตนเองและส่วนผู้อื่น ส่วนโลกไปเลย สร้างโลกโดยทางเด็กเลย และพร้อมกันนั้น ก็สงบเย็น สงบเย็น สงบเย็น เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ สองคำพอ สงบเย็น สงบเย็น และเป็นประโยชน์ สองคำนี้พอ สูงสุด ไม่มีอะไรสูงสุดแล้ว ให้ท่านทั้งหลายได้ประสบความสุขสวัสดี ในการทำหน้าที่ของครูอยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย