แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งในการมาของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นครู เพราะว่าอาตมาก็เป็นครู ๑๐๐% เพียงแต่ไม่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ สังกัดพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู แต่มันก็มีความเป็นครู ด้วยกัน เพราะฉะนั้นจึงมีความยินดีในการที่ได้พบกัน นี่ก็ถือโอกาสพูดอย่างเพื่อน คือ พูดตรงไปตรงมา ให้ไม่อ้อมค้อม พูดให้เห็นความรู้สึก ว่าเราจะต้องมีอะไรที่มันร่วม ๆ กัน นี่ถ้าพูดอะไรตรงไปตรงมาบ้าง ก็ไม่ต้องขออภัย อาตมาจะพูดเฉพาะ ความหมาย ของความเป็นครู เรื่องความเป็นครู เทคนิคการสอน เช่น คณิตศาสตร์ อาตมาไม่มีความรู้เลย ไม่มีความรู้เลยเป็นอย่างไร ไม่ช่วยอะไรได้ แต่ว่ามีความรู้อยู่บ้าง ในเรื่องความเป็นครู เพราะว่าเป็นครูที่ทำงาน ให้พระพุทธเจ้ามา อ่า, หลาย ๑๐ ปีแล้ว หลาย ๑๐ ปีแล้ว ก็รู้เรื่องความเป็นครู ไม่ได้รู้ไอ้เทคนิควิชาแขนงอื่น ๆ ต่าง ๆ นี่ก็เพื่อเป็นโอกาส เออ, ทำความเข้าใจ กันให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้
คำแรก ข้อแรกก็จะพูดเรื่อง คำว่า ครู ครู ตัวหนังสือนี่ก็แปลว่า หนัก นี่ก็เคยถือกันว่า แปลว่า ผู้ที่คนควรเคารพ ผู้มีความหนัก แต่อาตมาชอบใจ ความหมายอีกความหมายหนึ่ง คือว่า ผู้นำทางวิญญาณ ไปพูดในความหมายของคำว่า ผู้นำทางวิญญาณนั่นแหละ คือ ครู Spiritual guide ไปพูดที่โรงเรียน ครูสวนสุนันทา เมื่อหลาย ๑๐ ปีมาแล้ว ก็พูดในข้อนี้ คือ ครู คือ ผู้นำทางวิญญาณ แต่นี่ปรากฏว่า ทางปรัชญาศาสตร์ ไอ้พวกนักปราชญ์ทางปรัชญาศาสตร์ในอินเดีย เขาค้น ๆๆ ได้ความรู้ใหม่ว่า คำว่า ครู ครูนี้ Root ของคำ ๆ นี้แปลว่า เปิดประตู ก็เลยครูกลายเป็นผู้เปิดประตู ก็เปิดประตูทางวิญญาณนั่นแหละ
เปิดประตูแล้วก็นำไปให้มันถูกทิศทางนั่นแหละ ครูเปิดประตูแล้วก็นำไปให้ถูกทิศทาง นี่คือ ความหมายของคำว่า ครู หากจะว่ามันเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ นี่ขอให้สนใจไว้ กล่าวอย่างรวบรัด ก็คือ ผู้นำวิญญาณของโลก ของโลก โลกทั้งโลกเป็นโลกกี่โลกกี่โลก ก็ครูนั่นแหละมันนำวิญญาณไป ๆๆ ให้ถูกทิศ ถูกเรื่อง ถูกวัตถุประสงค์ที่แท้จริงสำเร็จประโยชน์ ของความเป็นมนุษย์เต็มที่เต็มที่ มีความเป็น มนุษย์ที่ความเต็มเปี่ยม แห่งความเป็นมนุษย์ มันก็หมดปัญหา ถ้าทุกคนเป็นมนุษย์กันอย่างถูกต้อง เต็มความเป็นมนุษย์กันแล้ว ไม่มีปัญหา แต่นี่เป็นมนุษย์โพรง มนุษย์กลวง มีแต่ความเห็นแก่ตัวแรงขึ้น แรงขึ้น แรงขึ้น แรงขึ้นตามความเจริญทางวัตถุ
เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลกนะ ขอให้ดูให้ดี ดูให้ดี ความเห็นแก่ตัวของคนกำลังครอง โลก จะเป็นอย่างไร มันถือศาสนากันแต่ปาก ถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ อิสลาม มันก็ถือกันแต่ปาก หัวใจแท้ ๆ มันถือศาสนาเงิน มันถือศาสนาประโยชน์ นี่เพราะความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว มันครอง โลก นี่เห็นแก่ตัวกันทั้งโลกมากขึ้น มากขึ้นตามความเจริญทางวัตถุ คนจนก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว แล้วมันจะพูดกันรู้เรื่องหรือ
ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว มันก็พูด กันไม่รู้เรื่อง ไอ้พวกนายทุนมหาศาลก็เห็นแก่ตัว ชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว มันก็มีข้อขัดแย้งกันตลอดเวลา ตลอดเวลา ออกมาเป็นสงครามบ่อย ๆ เดี๋ยวนี้ก็ กำลังมี ไปดูมันมาจากความเห็นแก่ตัว ไอ้รถแก๊สระเบิดตายกันวินาศไปมากมาย นั่นมันความเห็นแก่ตัว ของเจ้าของรถ ที่เห็นอยู่ว่ารถนี้ มันไม่ถูกกฎหมาย มันไม่ควรจะออกนำ นำออกมาใช้ มันเห็นแก่ตัว มันก็นำออกมาใช้ คนขับรถทั้ง ๒ ฝ่าย ก็เห็นแก่ตัว กูไม่ยอมให้มึง กูไม่หลีก มันก็ได้ชนกัน เออ, ก็ให้ถือ เป็นหลักได้เลยว่า รถชนกันที่ไหน ก็เพราะความเห็นแก่ตัว ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้ง ๒ ฝ่าย อย่างนี้
วิกฤติการณ์เลวร้ายมันก็เพิ่มขึ้น ๆ มลภาวะเพิ่มขึ้น การทำลายธรรมชาติเพิ่มขึ้น เพราะความเห็น แก่ตัว นี่โลกมันกำลังมีวิญญาณ ที่เดินไปผิดทาง โง่เง่า มืดบอด เดินไปผิดทาง เพราะว่าความเห็นแก่ตัวนะ มันไสหัวไป จนทุกคนมันตกอยู่ใต้อำนาจความเห็นแก่ตัว ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้โลกนี้ก็วินาศในเวลาอันไม่ช้า วินาศเพราะความเห็นแก่ตัว นี่ก็ขอให้ครูเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ นำไปทางวิญญาณ ไปสู่ความถูกต้อง ถูกต้อง สู่ความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ที่เต็มที่นะ มันไม่ไม่เห็นแก่ตัว มันมีในจริยธรรม สากล ไม่ผิดหลายประการเรียกว่า เป็นมนุษย์สูงสุด หรือความดีสูงสุด กันอย่างไร
ก็มีอยู่ข้อหนึ่งที่น่าสนใจที่สุด คือว่า มนุษย์ที่มีความเป็นมนุษย์เต็มเปี่ยมแล้วมันก็ ทำหน้าที่ เพื่อหน้าที่ Duty for Duty success (นาทีที่ 07:30) มันทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ เดี๋ยวนี้คนเห็น แก่ตัว มันทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่ตัว ประโยชน์แก่เงินของมัน ประโยชน์ของมัน มันทำหน้าที่เพื่อ อันนั้น ถ้ามันทำหน้าที่เพื่อหน้าที่แล้วมันก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีคอรัปชั่นไม่มีอะไรเลย ทำดีที่สุดจึงจัดไว้เป็น คุณธรรมสูงสุดของมนุษย์ ทำดีสูงสุดของมนุษย์ Summon Benumb ความดีสูงสุดของมนุษย์ มันอยู่ที่ ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ อันนี้ควรจะเป็นอุดมคติของครูเรา ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ แล้วสิ่งทั้งหลายมันตามมาเองแหละ เงินเดือนก็เป็นเศษขยะมูลฝอย หรือเป็นเครื่องบูชาคุณ ไม่ใช่เป็น ค่าจ้างมาอยู่บนหัว ถ้าเป็นลูกจ้างค่าจ้างมันมาอยู่บนหัว ถ้าทำหน้าที่ของปูชนียบุคคล เงินเดือนมันเป็น ขี้ฝุ่นอยู่ใต้ฝ่าเท้า มันก็เป็นเครื่องบูชาอยู่ใต้ฝ่าเท้า
ขอให้คิดถึงว่า นี้เราไม่ใช่นักธุรกิจ เดี๋ยวนี้ไอ้ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว มันเพิ่มขึ้น ๆ จนครู กลายเป็นนักธุรกิจหรือเป็นพ่อค้า หมอกลายเป็นนักธุรกิจหรือพ่อค้า ตุลาการมันกลายเป็นนักธุรกิจ หรือพ่อค้ามากขึ้น ก็วินาศกันเท่านั้นเอง อือ, ฉะนั้นขอให้ระมัดระวัง ว่าเรื่องมันกำลังจะเลวร้ายลง เพราะว่าความเห็นแก่ตัวมันครองโลก ปูชนียบุคคล กลายเป็นลูกจ้าง
ขอพูดเรื่องปูชนียบุคคลกันสักหน่อย ครูอยู่อยู้ในพวกเป็นปูชนียบุคคลไม่ใช่ลูกจ้าง ลูกจ้างมันรับ ค่าจ้างเงินเดือนมันอยู่บนหัว ปูชนียบุคคลไม่ใช่ ลูกจ้าง ทำไปด้วยเมตตากรุณา อันนั้นนะถือเป็นหลักใหญ่ ว่ามีเมตตา ปัญญา ปัญญาความรู้ เมตตา ความกรุณา รวมกันแล้วทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ นี่คือ ความเป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้าง มันต่างกันลิบยิ่งกว่าฟ้ากับดิน ความเป็นปูชนียบุคคล ของความเป็นครูมีมาแต่โบรมโบราณ เออ, มันก็พูดยากเหมือนกันนะ คำว่า ครูแต่ โบรมโบราณดึกดำบรรพ์มันไม่มีเงินเดือน มีแต่ค่าบูชาครู ใครอยากบูชาครูก็บูชาครู ครูอยู่ได้ด้วย เครื่องบูชาครู ไม่ใช่เงินเดือน ฉะนั้นจึงไม่ใช่ลูกจ้าง ด้วยประการทั้งปวง
นี่ขอให้อุทิศเถิดว่า เกิดมาชาติหนึ่งนี้ อย่าเป็นลูกจ้าง เป็นปูชนียบุคคลดีกว่า การที่ได้มีโอกาสเป็น ครูนี้ ขอให้ถือว่าเป็นโชคดีที่สุด จะเป็นความบังเอิญอะไรก็ตาม การที่ได้เป็นครูนี้เป็นผู้มีโชคดีที่สุด คือ จะได้เป็นปูชนียบุคคล อยู่เหนือเศียรเกล้าของคนทั่วไป แม้วรรณะกษัตริย์ก็บูชาวรรณะพราหมณ์ผู้สั่งสอน ครูนี่ต้องจัดเข้าไปในวรรณะพราหมณ์ คือ ผู้สั่งสอน
ขอพูดเรื่องวรรณะสักหน่อย คนกำลังโง่ เข้าใจผิด ว่าพระพุทธเจ้าเลิกวรรณะ พระพุทธเจ้าไม่ได้ เลิกวรรณะนะ ขอให้ครูทั้งหลายรู้ว่า เลิกเพียงวรรณะที่มาจากชาติกำเนิด เกิดมาจากพ่อแม่อย่างไร เป็นวรรณะอย่างนั้น ท่านเลิกเลิก แต่วรรณะที่แท้จริงท่านไม่ได้เลิก คือ วรรณะตามหน้าที่การงาน ใครเลิกได้ ใครทำหน้าที่การงานอย่างไรก็เป็นวรรณะนั่นแหละ ผู้ทำงานเพื่อคุ้มครองประเทศ ก็เป็น กษัตริย์กันไปหมด มันเลิกไม่ได้ ผู้สั่งสอนก็เป็นวรรณะพราหมณ์กันไปหมด นักธุรกิจก็เป็นพ่อค้า ก็เป็นวรรณะไวศยะ ลูกจ้างก็เป็นวรรณะศูทร วรรณะนี้เลิกไม่ได้ เพราะฉะนั้นครูจงสำนึกรู้สึกตัวว่า อยู่ในวรรณะสูง คือ วรรณะพราหมณ์ เป็นที่เคารพแม้แก่วรรณะกษัตริย์นะ
เพราะฉะนั้นเรา พูดอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นกิเลสหรอก คือ รู้จักหน้าที่ รักษาหน้าที่ เคารพหน้าที่ บูชาหน้าที่ ก็ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ได้โดยง่าย อ่า, เพราะความเป็นปูชนียบุคคล ถ้าเป็นลูกจ้างก็ต้องทำตาม ความประสงค์ของนายจ้าง รับใช้ทางเศรษฐกิจ รับใช้ทางการเมือง รับใช้ทาง รับใช้ไปหมด เป็นลูกจ้าง ต้องรับใช้เขา ขอพูดตรง ๆ ว่า เช่นเดียวกับที่พวกครูรับใช้กระทรวงศึกษาธิการนั่นแหละ ถ้าเขามีอุดมคติ อย่างไรเขาก็พาไปอย่างนั้นนะ ความเป็นครูก็ง่อนแง่นคลอนแคลนเหมือนกัน แต่เราทำอะไรไม่ได้ เรายังอยู่ ในลักษณะเหมือนกับ ลูกจ้างของกระทรวงธรรมการอยู่ เลิกเสียดีกว่า เป็นครูอิสระ เป็นปูชนียบุคคล ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ เปิดประตูให้แก่สัตว์ทั้งหลาย นำสัตว์ทั้งหลายไปอย่างถูกต้อง ในทางจิตทางวิญญาณ อย่างนี้ก็เป็นปูชนียบุคคล เหมือนพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู เป็นบรมครู
มันคำเดียวกันนั่นแหละ พระพุทธเจ้าก็เป็นครู แต่ว่าชั้นบรมครูในความหมายเดียวกันคำเดียวกัน คือ เปิดประตูทางวิญญาณ เป็นผู้นำในทางวิญญาณ แล้วอะไรจะประเสริฐไปกว่านี้ เกิดมาทีหนึ่งได้ทำสิ่งที่ สูงสุด หน้าที่ที่สูงสุด ก็ควรจะพอใจ นี่เดี๋ยวนี้อาศัยอาชีพครูเป็นเรือจ้าง เพื่อไปสู่อาชีพอื่น มีอยู่เป็นอันมาก เพราะว่าอาชีพครู มันเรียนน้อยลงทุนน้อย พอเป็นครูแล้วไปเรียนกฎหมายหรือไปต่อไป ทิ้งอาชีพครู และดูหมิ่นอาชีพเสียด้วย อย่างนี้ครูมันเป็นลูกจ้าง เป็นเรือจ้าง เพื่อไปสู่อาชีพที่สูงกว่า อย่าเอาเลย ขอถือว่ามันเป็น เอ่อ, สิ่งสูงสุด อาชีพสูงสุด เป็นโชคดีที่สุด อ่า, ที่ได้มา มีอาชีพเป็นครู
ขอพูดถึงคำว่า อาชีพ สักหน่อย อาชีพคำนี้ใช้ได้ทั่วไปแหละ ทุกคนมีอาชีพ พระพุทธเจ้าก็มีอาชีพ แต่ไม่ใช่อาชีพในความหมายที่ ใช้กันอยู่กลางถนนกลางตลาด อาชีพ ไม่ได้ มันแปลว่า การดำรงชีพ การดำรงชีวิต พระพุทธเจ้าไม่ได้รับเงินเดือน แต่อาชีพมีอยู่ได้เพราะการบูชา ของมหาชน ถ้ามีอาชีพเป็น กรรมกร ก็ทำงานหนักไป เป็นพ่อค้าก็ค้าขายไป ชาวนาชาวสวนก็ทำนาทำสวนไป มันมีอาชีพอย่างนั้น
แต่บรรพชิตมีอาชีพ อย่างปูชนียบุคคล ทำหน้าที่เปิดประตูทางวิญญาณ นำไปในทางวิญญาณ ให้ถูกต้อง แล้วก็อยู่ด้วยข้าวปลาอาหาร บางทีเป็นเศษอาหาร ในลักษณะที่เขาบูชาให้กินไปวัน ๆ มื้อ ๆ หนึ่ง เราเรียกกันล้อ ๆ ว่าเงินเดือนวันละบาท ตอนเช้าไปบิณฑบาตได้บาตรหนึ่ง นี่คือ เงินเดือนละวันละ บาตร และนี่มันก็เป็นอาชีพ ของปูชนียบุคคล มีความเป็นอยู่ง่ายที่สุด ต่ำที่สุด ฉะนั้นจึงมีรายจ่ายน้อยที่สุด ถ้ามีอาชีพอย่างปูชนียบุคคล มันก็ไม่มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจนะ
ขอให้ชื่นใจ บูชา ความมีอาชีพชนิดนี้ เคารพตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเอง ในฐานะที่ได้ทำหน้าที่สูงสุด แล้วความเป็นครูก็จะสูงสุด ถึงที่สุด ถึงที่สุด พ้นจากภาวะลูกจ้าง พ้นจากภาวะไอ้ทำนองนั้นนะ แล้วก็อยู่ เหนือเศียรเกล้า ของไอ้สัตว์ทั้งปวง เออ, ของวรรณะกษัตริย์ ของเทวดา ของอะไรด้วยซ้ำไป ถ้ามีอาชีพครู โดยบริสุทธิ์นะ เทวดาก็ต้องเคารพ ยกย่องนับถือบูชา นี่ก็คือ ปูชนียบุคคล ปูชนียบุคคล
เอ้า, ทีนี้ก็มาพูดถึงหน้าที่ การถึงการทำหน้าที่ ว่าทำกันอย่างไร เรียกรวม ๆ กันไปว่าให้การศึกษา ให้การศึกษา ครูนี่ให้การศึกษา ให้คนรู้เรื่องที่ควรจะรู้ แต่นี่ครูมันก็ลดลงมาถึงสอน กอ ขอ กอ กา เริ่มต้น ถ้าว่ามันตั้งใจจริง มันก็มุ่งหมายจะให้คนมันฉลาดรอดตัวเหมือนกันแหละ แม้แต่จะ สอน กอ ขอ กอ กา เป็นครูชั้นอนุบาล ชั้นประถม มันก็เป็นการเตรียมพื้นฐาน หรือจุดตั้งต้นที่ดี ที่เขาจะมีความเป็นมนุษย์ สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป เป็นตามความหมายของคำว่า มนุษย์ ซึ่งแปลว่า มีใจสูง คำว่า มนุษย์ แปลอย่างอื่นก็ได้ แต่มันไปรวมความอยู่ที่ว่า มีจิตใจสูง มนุษย์ แปลว่า เป็นเหล่ากอของมนูก็ได้ พระมนูอันสูงสุดนะ ก็มีใจสูงอีกนั่นแหละ
คนธรรมดานี่ มีจิตใจสูงก็เป็นมนุษย์ มีจิตใจสูงจนไม่มีกิเลสท่วมทับ ครอบงำ ย่ำยี ความชั่วไม่ แตะต้อง เมื่อมีใจสูงก็เป็นมนุษย ์เมื่อต้องการให้เขาเป็นมนุษย์ที่เต็ม เป็นมนุษย์ที่เต็ม มีความเป็นมนุษย์ ที่เต็ม ครูก็มีความเป็นมนุษย์ที่เต็ม วัดด้วยคำว่า ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ ไม่ทำหน้าที่เพื่อ ประโยชน์แก่เงิน แก่อะไรที่เป็นกันโดยมาก นึกแล้วก็น่าเวทนาน่าสงสาร ที่ว่าครูรุ่นหนุ่มรุ่นสาว นี่รู้จักแต่ เพียงว่า เงินเดือนนะ ทำหน้าที่เพื่อเงินเดือนเท่านั้น ไม่รู้ความหมายของธรรมะ ไม่รู้ความหมายของ ปูชนียบุคคล เป็นครูรวบรวมเงินเดือนให้ได้มากพอ แล้วก็เป็นอยู่ให้สบาย มีงานสมรสให้หรูหรา มีเกียรติ์ที่สุด มันก็จะมุ่งมุ่งหมายกันเพียงเท่านี้ นี่มันมีความเป็นครูน้อยนิดเดียว น่าสงสาร
เพราะฉะนั้นควรจะ ทำให้ความทำความเข้าใจว่าเราจะต้องเป็น มนุษย์ที่สูงสุดให้ได้ ถ้าเป็นครู ก็เป็นครูที่ถูกต้องให้ได้ นำไปให้ได้ คือ เปิดประตูแล้วนำไปให้ได้ นำไปให้ได้ นำโลกไปให้ได้ นำวิญญาณ ของคนทั้งโลกไปให้ถูกทาง นี่ ก็จะเรียกว่า มีความเป็นครู
นี่จะพูดถึงคำว่า การศึกษาหรือการสอน การศึกษาคู่กันกับการสอน มีการสอน มีการเรียน รวมกันแล้วเรียกว่า การศึกษา ก็เป็นคำที่ใช้ ในความหมายต่าง ๆ กันตามภาษา ตามภาษาที่ใช้พูดกันอยู่ คำว่า Education มันแปลว่าอะไรก็ไม่รู้นะ รู้คำศัพท์แปลว่าอะไรอาตมาไม่รู้ ใครรู้ Education มันรู้แต่ว่า การศึกษาเท่านั้นนะ แต่ว่าการศึกษาคืออย่างไร ศึกษาศึกษานี้คืออย่างไร สอนให้คนรู้หนังสือ อ่า,ให้คน ฉลาดกันเท่านั้นพอ ฉลาด ๆๆ แล้วเห็นแก่ตัวก็วินาศเท่านั้นเอง โลกวินาศเพราะความฉลาด ๆ ของครู เห็นแก่ตัว เพียงแต่ทำให้คนฉลาด ๆๆ นี่ไม่ใช่การศึกษาหรอก มันต้องควบคุมความฉลาด ให้เดินไป ถูกต้อง จึงจะเป็นการศึกษา
เพราะฉะนั้นคำว่า สิก สิก สิกขา ในภาษาบาลีนะ สิชฉา(นาทีที่ 20:33) ในภาษาสันสกฤตนี่ หรือ ศึกษาในภาษาไทย ก็คำเดียวกันนั่นแหละ ตัวหนังสือนั่นนะวิเศษ ประเสริฐที่สุด ขอให้ถือเอาความหมาย ของคำว่า สิกขาหรือศึกษานี่ให้ได้ สะ มันแปลว่า เอง หรือใน ในตัวเอง หรือนัย สิกขะ สิกขะ (นาทีที่ 20:53) แปลว่า เห็น ๆๆๆ แจ้ง ศึกขา สิกขานั้นแปลว่า เห็นแจ้งภายในซึ่งตนเองอย่างทะลุปรุโปร่ง คำว่า Education Root ของคำไม่ได้ คงไม่ได้หมายอย่างนี้แน่ เพราะเท่าที่ใช้กันอยู่ สอนคนฉลาด ๆๆ แล้วโกงเก่ง ทั้งนั้น ไม่มีความเป็นบุรุษ มีแต่ความเป็นนักปราชญ์ ไม่มีความเป็นบุรุษ ไม่พอ
ขอทำความเข้าใจว่า สิกขาอย่างไร สะ แปลว่า เอง ก็คือว่า ตัวเอง ดูตัวเอง ในภายในตนเอง นั่นนะ คือ กิริยาของคำว่า สิกขา ถ้าดู ดู ถ้ามีการดูมันมีการเห็น ถ้าดูไม่เป็นก็ไม่เห็น มีการดูแล้วมันมีการเห็น เมื่อเห็น เห็นอย่างแท้จริง มันจึงจะรู้จัก ๆๆ สามารถวิจัย วิจัย วิจารณ์ วิจัย วิจารณ์ วิจัย วิจารณ์นำไปใช้ อะไรก็ได้ เมื่อสมบูรณ์อย่างนี้คือ คำว่า สิกขา โดยภาษาบาลี ออกมาเป็นภาษาไทยว่า ศึกษา ก่อนนี้ที่หัว ประกาศนียบัตร ที่ให้แก่นักเรียนสอบไล่ได้ มีคำว่า สุ จิ ปุ ริ อยู่ ๔ ตัว นั่นแปลว่า ฟัง คิด ถาม จำ ฟัง คิด ถาม จำ ก็ดีอยู่ก็ดีกว่าไม่มี เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแล้ว แต่มันยังสู้ไอ้คำว่า สิกขาไม่ได้ มันดู แล้วมันเห็น แล้วมันรู้จัก แล้วมันวิจัยวิจารณ์ แล้วมันนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้นั่น นั่นแหละคือ สิกขาหรือศึกษา
จงให้ศึกษา ให้การศึกษา กันในรูปนี้เถิด แล้วก็จะเป็นครูอย่าง สังกัด พระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู การศึกษานี้จะสำเร็จประโยชน์ คือ ไม่เป็นไปเพื่อความเห็นแก่ตัว ถ้าปล่อยเขาฉลาด ๆๆๆ อย่างเดียว ไปสู่ความเห็นแก่ตัว ต้องมีธรรมะคุมความฉลาด อย่าให้ไปเห็นแก่ตัว ให้เห็นแก่ธรรมะ ถ้าไม่เห็นแก่ตัว ก็เห็นแก่ธรรมะ หรือเห็นแก่ผู้อื่น ถ้ามันเห็นแก่ตัวก็ไม่เห็นแก่ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ธรรมะ มันก็วินาศนะ ฉะนั้นให้มันเห็นแก่ธรรมะ แก่ความถูกต้อง แก่ผู้อื่น เพราะมันได้ดูแล้วเห็น แล้วรู้จัก แล้ววิจัยวิจารณ์ แล้วรู้ว่าจะเอาไปใช้กันอย่างไร นี่เอาไปใช้เพื่อ ทำลายสิ่งเลวร้ายที่สุดของมนุษย์ในโลก คือ ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว ปัญหาทุกชนิด เหตุร้ายทุกชนิด ทุกขนาด ทุกระดับ มาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น
ทำลายความเห็นแก่ตัวได้ มันมีธรรมะ ทำไมทางฝ่ายศาสนา นี่เรียกว่า เป็นสัตบุรุษ สัตบุรุษ คือ ผู้สงบ ผู้ไม่มีไฟ ผู้ไม่มีความเลวร้าย ผู้มีความปกติสุข เรียกว่า สัตบุรุษ หรือนึกถึงคำฝรั่งที่ว่า Gentleman Gentleman คำเดียวกับสัตบุรุษนะ Gentleman นี่ไม่ใช่คนแต่งตัวโก้ ๆ อย่างไอ้เด็ก ๆ มันเข้าใจนะ เมื่อกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์หรือ น.ม.ส. ท่านไปเยือนที่เคมบริดจ์ กลับมาแล้วท่านแสดงปาฐกถาให้ฟัง อาตมาก็ไปฟังด้วยทั้งที่เป็นพระแรกบวช ที่สามัคยาจารย์ อยู่ใกล้ ๆ โรงเรียนสวนกุหลาบนี่ ท่านแสดง ให้ฟัง ก็ไปฟัง โอ้, สรุปความแล้วว่า มหาวิทยาลัยชั้นเลิศ ชั้นสูงสุดของโลกนั้น มุ่งหมายให้ผลสุดท้าย ของการศึกษานั้น เป็นสุภาพบุรุษ ไม่ได้มุ่งหมายความเป็นนักปราชญ์
ผู้ที่สอบไล่ได้ดีทางวิชาความรู้ ไม่ได้รับเกียรติยศมากเท่าความมีน้ำใจเป็นสุภาพบุรุษ หรือเป็น นักกีฬานะ นักกีฬาที่แท้จริงนะ มันยึดถือความถูกต้อง แล้วทำลายความเห็นแก่ตัว นักกีฬาสมัยนี้คดโกง โกหก โกงกันในสนามกีฬา โกงกันซึ่งหน้า โกงจนต้องไล่ออก ไอ้นักกีฬาอย่างนี้ ยิ่งเข้าไปสนามนักกีฬานะ ยิ่งเห็นแก่ตัว แต่ถ้าสมัยโน้นสมัยก่อน นักกีฬาต้องเป็นนักกีฬา ไม่มีความเห็นแก่ตัว เรียกว่า เป็นสุภาพบุรุษ ได้รับความเคารพนับถืออย่างยิ่งนี่ ฉะนั้นอุดมคติสูงสุดของการศึกษา คือ เป็นสุภาพบุรุษ ไม่ใช่เป็นนักปราชญ์ เดี๋ยวมันโง่มาเป็นนักปราชญ์ นิยมความเป็นนักปราชญ์ แล้วไม่มีอะไรควบคุม นักปราชญ์ นักปราชญ์ก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวลึกซึ้งจนใครก็ควบคุมไม่ไหว
นี่ก็ขอให้ครู ฝึกคน เออ, ศึกษาคน ให้การศึกษาแก่คน จนมาสู่ความเป็นสัตบุรุษ สัตบุรุษ เป็นคนดี ที่ไม่มีอันตราย หรือมีความเป็นสุภาพบุรุษก็ได้ ถ้าจะใช้อย่างสากลทั่ว ๆ ไป คำว่า สัตบุรุษ มันใช้กันในวงการพุทธศาสนา ก็คือ ความหมายของสัต เออ, สุภาพบุรุษสูงสุดนั่นแหละ มันขยายขึ้นไป ขยายขึ้นไป จนเป็นพระอรหันต์นะ ความเป็นสุภาพบุรุษ คือ เป็นคนดี เต็มเปี่ยม ดีดีอย่างที่จริยธรรมสากล ต้องการ ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ อ่า, ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ บูชาหน้าที่ เคารพหน้าที่ นั่นนะคือ สุภาพบุรุษ ต่างกันมากกับนักปราชญ์ นักปราชญ์มันรู้ ๆๆๆๆ เหลือเกิน แต่สุภาพบุรุษนั้น มีธรรมะ มีธรรมะ มีความถูกต้อง มีความธรรมะมากเหลือเกิน
ขอให้คุณครูทั้งหลาย ตั้งใจผลิตมนุษย์ให้เป็น สัตบุรุษเถิด ไอ้เป็นนักปราชญ์นั้นมันก็ยังไม่ ปลอดภัย มันดีเหมือนกันแหละ มันดีเหมือนกันแหละ แต่ถ้าว่าควบคุมไม่อยู่แล้วมันก็ เลวร้าย การศึกษาที่ ควบคุมไม่อยู่ ความฉลาดที่ควบคุมไม่อยู่ มันเอาไปใช้เพื่อรับใช้กิเลสทั้งนั้น เดี๋ยวนี้น่าเศร้าที่ว่าการศึกษา ปัจจุบันนี้ ไม่เป็นอิสระแก่ตัว ต้องไปรับใช้นักการเมือง ต้องไปรับใช้นักเศรษฐกิจ ต้องไปรับใช้ นักปกครอง นักอะไรสารพัดอย่าง ไปรับใช้มันก็ มันพ่ายแพ้แก่อำนาจเงิน การศึกษาไม่เป็นอิสระต้องไป รับใช้ให้สิ่งเหล่านั้น แต่ว่าถ้าไปรับใช้สันติภาพก็ดีเหมือนกัน แต่ว่าทำเพื่อสันติภาพเราไม่เรียกว่ารับใช้แล้ว ถ้ารับใช้ก็แปลว่า ได้ประโยชน์จากเขา
นี่เรียกว่า สิกขาก็ได้ ศึกษาก็ได้ สิชฉาก็ได้(นาทีที่ 27:59) ขอให้ช่วยเขา ช่วยเด็ก ๆ ช่วยเด็ก ๆ ให้มัน สามารถ มองเข้าไปข้างใน แล้วก็เห็น แล้วก็รู้จัก แล้วก็วิจัยวิจารณ์ เอาไปใช้ได้อย่างถูกต้อง นั้นนะ เป็นการให้การศึกษา ตามหลักของพระธรรม ตามหลักของพระพุทธศาสนา มันต้องเหนื่อยหน่อยนะ แต่การเหนื่อยนั้นเป็นบุญเป็นกุศลอย่างยิ่ง แล้วเมื่อขูดเกลา ความเห็นแก่ตัวของผู้เหนื่อยนะ ผู้ใดยอม เหนื่อย ผู้นั้นมีการขูดเกลาความเห็นแก่ตัวของตัวมากที่สุด ขอให้ยอมเหนื่อยเถอะ เหนื่อยเถอะไม่เป็นไร เหงื่อออกมาเป็นน้ำมนต์นะ ถ้ามีการกระทำที่มันถูกต้อง บูชาความถูกต้อง บูชาหน้าที่ เคารพหน้าที่ เหมือนพระพุทธเจ้า
นี่ขอเวลานิดหน่อยพูดถึงพระพุทธเจ้า ว่าท่านเคารพหน้าที่ ยิ่งกว่าใคร ๆ ในโลกนะ สมกับที่ท่าน เป็นบรมครู วันคืนนี่ท่านทำงานครบวงจร ก่อนสว่างก็นึกว่าวันนี้จะไปสอนใครที่ไหน ก็เรียกว่า ภัทพา ภัทเพ วิโลกะนัง (นาทีที่ 29:11) เพราะท่านรู้ที่นั่นมีนั่นที่นี่มีนั่นอยู่ตรงนี้ ท่านคิดแล้วตั้งแต่ก่อนรุ่ง ก่อนสว่าง พอสว่างขึ้นก็ไป ปุพันเภ นะวิโรกันจา (นาทีที่ 29:21) ไปในรูปของนักบิณฑบาต นักขอทาน นั่นแหละ ก็ไปที่นั่นแหละ ไปเอาความชนะให้ได้ที่นั่น คือ โปรดคนนั้นให้ได้ ท่านก็ทำจนสำเร็จประโยชน์ ได้บิณฑบาตที่นั่น ไปฉันที่นั่น ไปคุยที่นั่น ไปอยู่จนสายจนเที่ยง สำเร็จประโยชน์ตามที่ท่านต้องการ บางทีท่านไปโปรดพวกเดียรถีย์อื่น ลัทธิอื่นก็มีนะ
ทีนี้พอตอนบ่าย เที่ยงก็พักผ่อนนิดหน่อย มันร้อนนี่ ตอนบ่ายตอนเย็นนี่ สอนคนที่ไปหาที่วัด คนไปหาพระพุทธเจ้าตอนบ่ายตอนเย็นไปหาถึงวัดท่านก็ต้องสอน พอพลบค่ำก็ โธเส ภิกษุ ธะวาทัง (นาทีที่ 29:58) สอนภิกขุสามเณรที่อยู่ประจำวัดตอนหัวค่ำ ตอนหัวค่ำเรื่อยไป อัตระเต เทวะปะนานัง (นาทีที่ 30:06) พอเที่ยงคืน เที่ยงคืน สอนพวกเทวดา อ่า, เทวดา คนคน ราชา มหากษัตริย์ นี่ก็เรียกว่า เทวดา ก็ไปเที่ยงคืนเหมือนกัน ปรากฏอยู่ในบาลี ยกกองทัพคบเพลิง ไปถามปัญหาพระพุทธเจ้า พวกเทวดา ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เป็นเวลาเที่ยงคืน มาจากบนฟ้าก็ดี ราชามหากษัตริย์ก็ดี เที่ยงคืน ท่านก็ต้องต้อนรับเทวดา เลยเที่ยงคืน ดึกดื่นไปทางโน้น พักนิดเดียวเดี๋ยว ก็จะหัวรุ่งอีกแล้ว ต้องนึกอีกแล้ว ว่าพรุ่งนี้จะไปสอนใคร งานของท่านครบวงจร
เออ, เอาพวกเราไปเปรียบเทียบกันดู เคารพหน้าที่ไหม ซื่อตรงต่อหน้าที่ไหม ลงลงสมุดทำงาน ประจำวัน โกหกทั้งนั้นนะ เวลาที่ลงในสมุดนี้ มันไม่เคารพหน้าที่นี่ พระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่อย่างนี้ เป็นวงจรครบทั้งวันทั้งคืน ถ้าท่านเสร็จที่เมืองนี้แล้วท่านก็ไปเมืองอื่นนะ ทีนี้ทำอย่างไร รถยนต์ไม่มีนี่ รถยนต์ไม่มี เกวียนเทียมด้วย เทียมด้วยสัตว์มีชีวิตท่านไม่นั่ง รถม้าก็มีแต่ เทียมด้วยสัตว์มีชีวิตท่านก็ไม่นั่ง ถ้าอย่างนั้นต้องเดินนะ ในในบาลี เที่ยวสำรวจดูแล้ว พระพุทธเจ้าไม่มีรองเท้านะ ไม่มีร่มนะ ไม่มีรองเท้า และไม่มีร่มนะ พระศาสดาเท้าเปล่า หัวเปล่า ไม่มีร่มไม่มีหมวก ไม่มีรองเท้านั่นนะ ท่านยังไปได้ไปได้ ไปได้ จนทั่วทุกแคว้น ทุกแดน เดินไป
ทำหน้าที่ อย่างไม่หยุดจนวันวาระสุดท้าย วันที่จะนิพพานอยู่แล้ว วันที่จะนิพพานอยู่แล้ว กลางวันก็ยังเดินอยู่ เดินเป็นโยชน์ ๆ อยู่ ทั้งที่เริ่มป่วยแล้ว เตรียมที่จะไปนิพพานตอนหัวค่ำ ที่อุทยาน แห่งหนึ่ง ก็ยังมีคนมาถามอีก นักบวชศาสนาอื่นมาถาม มาขอศึกษา มาขอถาม จะนิพพานอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายว่า โอ้, ไอ้นี่มันเกินไปแล้ว โว้ย, เกินไปแล้วไม่รู้กาลเทศะไล่ ๆๆ ไป ๆๆๆ พระพุทธเจ้าได้ยิน แล้วท่านอย่าไล่ อย่าไล่ บอกมันมา บอกมันมา ท่านยอมให้ถามท่านให้มันศึกษา สอนจนมันรู้ธรรมะพอ ที่จะเป็นพระอรหันต์คนสุดท้าย แล้วต่อมาไม่กี่นาที ท่านก็นิพพาน เข้าสมาธิทบทวนพอถึงจุดที่เหมาะ แล้วท่านก็ปิดสวิตช์ เหมือนกับปิดสวิตช์ไฟ คือ นิพพาน นี่พระพุทธเจ้าทำงาน แต่เกิดจนตาย จนชีวิตนาที สุดท้าย ครบวงจรทั้งวันทั้งคืน พวกเราทำอย่างนี้รึเปล่าล่ะ
เพราะฉะนั้นการที่อาตมาขอร้อง ว่าท่านทั้งหลายที่เป็นครู จงเป็น จงสมัครเป็นพระ อ่า, เป็นเป็น ครูที่ขึ้นสังกัด พระบรมครูกันบ้าง จะได้ทำงานให้สนุก ทำงานให้สนุก จะได้เป็นสุขตลอดเวลาที่ทำงาน เคารพหน้าที่ บูชาหน้าที่อย่างยิ่ง นี่ ความเป็นครูก็ประเสริฐสูงสุด อยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของคนทั้งหลาย ของราชา มหากษัตริย์ ของเทวดานั่นนะ ครูเป็นปูชนียบุคคลอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าคนทุกคน
ฉะนั้นเวลาหมดแล้ว คุณมีเวลาเท่านี้ ก็ต้องขอยุติการบรรยาย ก็สรุปว่า พูดกันตรงไปตรงมา ในฐานะเป็นเพื่อนครู แล้วขอให้เป็นครูให้ได้เปิดประตูทางวิญญาณนำไปถูกทาง พอใจในความเป็นมนุษย์ ของตน มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ เคารพตัวเองได้ตลอดกาลทุกเมื่อ มีความสุขสวัสดี อยู่ทุกทิพาราตรีกาล เทอญ
มาช่วยให้ พระศาสนาตั้งอยู่ได้ ขอให้นึกอย่างนี้ อย่าทำบุญแลกเอาสวรรค์นะ ป่วยการ ยุ่งกว่าเมืองเมืองคนเสียอีกสวรรค์ มาช่วยให้พระศาสนาตั้งอยู่ได้ ให้ให้มีคนบวชอยู่ได้ เรียนอยู่ได้ สอนอยู่ได้ ปฏิบัติอยู่ได้ ช่วยกันทำบุญทำทานแล้วก็คิดอย่างนี้ ประเสริฐ ไปที่ไหน