แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นคุณครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีที่ในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือการแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อประกอบการงานในหน้าที่ของตนให้ก้าวหน้าเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป นับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องทั้งในแง่ของโลกและในแง่ของธรรมะ คือคนเราต้องมีความเจริญทั้งในแง่ของโลกทั่วๆ ไป และในแง่ของธรรมะซึ่งเป็นการดับความทุกข์ที่รบกวนอยู่ตามธรรมชาติ มันต้องมีอะไรสักอย่างเป็นเครื่องมือสำหรับกำจัดความทุกข์นี่เป็นสิ่งที่แน่นอน แม้ว่าจะกำลังเล่าเรื่องอยู่ ก็มีธรรมะที่ทำให้ไม่เป็นทุกข์ แม้จะประกอบหน้าที่การงานแล้วก็มีธรรมะสำหรับช่วยให้ไม่เป็นทุกข์ ชีวิตนี้มันจึงจะเรียกว่ามีค่า สมกับที่เกิดมาและได้เป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา มันต้องดีกว่าคนที่ไม่เคยพบพุทธศาสนา หรือเรียกว่าสูงยิ่งกว่าสรรพสัตว์ทั่วๆ ไป
จึงขอแสดงความยินดีในการสนใจที่จะแสวงหาธรรมะประกอบการกระทำหน้าที่ของตนโดยเฉพาะ การเป็นครูบาอาจารย์ คือครูบาอาจารย์คำนี้มีความหมายพิเศษโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า "ครู" มีความสูงสุดกว่าอาจารย์ กว่าอุปัชฌาย์เสียอีก คำว่า ครู ครู ในประเทศอินเดียซึ่งเป็นต้นฉบับเดิมของวัฒนธรรมนี้ อาจารย์สอนทั่วๆ ไป อุปัชฌาย์ยังหมายถึงอาจารย์สอนวิชาชีพก็มี ซึ่งนำไปให้สำเร็จประโยชน์ แต่ถ้าครู ครู แล้วมันเป็นเรื่องช่วยเหลือความคิดทางวิญญาณในด้านสูงสุดให้มันรอดออกไป ให้มันรอดออกไป อุปัชฌาย์อาจารย์ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องในโลกนี้มากกว่าเสียอีก
ฉะนั้นขอให้รับรู้ด้วยสนใจที่จะรู้ในเรื่องความหมายของคำว่าครู ครู เคยถือเอาความหมายอันต่ำๆ ว่า "นัก" อันเป็นผู้ที่พึงจะต้องเคารพ เพราะคำว่าครู ครู นี่ คำธรรมดามันแปลว่าหนัก แต่ปรากฏว่าไอ้นักศัพทศาสตร์ที่ค้นคว้ากันไม่หยุดหย่อนก็ค้นพบว่า คำว่า ครู ครู คำนี้ รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "เปิดประตู" ยุติในครั้งสุดท้ายว่าเป็นการเปิดประตู เปิดประตูทางจิต เปิดประตูทางวิญญาณให้สัตว์ทั้งหลายออกมาเสียได้จากคอก อันทนทุกข์ทรมาน มืด สกปรกสารพัดอย่าง ที่เรียกว่า "คอก" ออกมาเสียจากคอกได้ด้วยการเปิดประตู บุคคลนั้นเรียกว่าครู แล้วได้นามว่าผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เมื่อเปิดประตูแล้วก็เป็นผู้นำต่อไปอีก เป็นผู้นำในทางวิญญาณให้ไปให้ถูกทิศทางที่ควรจะไปอีก รวมกันก็เป็นสองความหมายว่า เปิดประตูทางวิญญาณ แล้วก็เป็นมัคคุเทศก์ในทางวิญญาณ นำไปสู่ที่ที่ควรจะเป็น นี่ความหมายมันสูงสุดอย่างนี้ เราก็ใช้กันมาอย่างนี้ จนกระทั่งเกิดบรมครู คือพระพุทธเจ้าเป็นบรมครู เป็นผู้นำในทางวิญญาณอันสูงสุดแล้วก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน แต่แม้ว่าใครจะมองกันอย่างต่ำๆ ครูสอนหนังสือหนังหาแก่เด็กๆ ลูกเด็กๆ นี่ก็ยังมีอาการอย่างนี้แหละ ที่จะเป็นการเปิดประตูทางวิญญาณให้ลูกเด็กๆ ให้มันออกมาเสียจากความโง่ ความดื้อ ความไม่รู้อะไรหรือความผิดพลาดมาสู่ความถูกต้อง แม้จะเรียนหนังสือมันก็คงทราบได้ว่าเป็นการออกมาสู่แสงสว่าง ออกมาสู่แสงสว่าง หนังสือเด็กเรียนสูงขึ้นไปๆ มันก็ไปสู่แสงสว่างที่มากขึ้นๆ จนกระทั่งว่าเอาตัวรอด แม้จะเป็นเรื่องทางโลก
ทีนี้เรื่องทางโลกมันทุกคนหมดไม่ว่าใคร ชาติไหน ภาษาไหน มันมีความทุกข์อยู่ตามธรรมชาติคือปัญหา เกี่ยวกับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายตามธรรมชาติ นี่มันเป็นปัญหา คือเกี่ยวกับการที่ธรรมชาติแล้วมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่ได้อย่างใจ เพราะฉะนั้นคนจึงมีอาการหัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง สลับกันไปๆ หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง ขอให้ดูให้ดี นี่เรียกว่าประโยชน์ของสิ่งที่เรียกว่า "ธรรมะ" ซึ่งครูจะต้องใช้เป็นเครื่องมือ จะต้องใช้เป็นเครื่องมือสำหรับทำหน้าที่ของตนๆ
ความเป็นมนุษย์มันสูงสุดอยู่ที่ไม่มีความทุกข์ ถ้ามีความทุกข์ทรมานมันจะอยู่ไปทำไม มันกลายเป็นตายเสียดีกว่า เพราะความเป็นมนุษย์สูงสุดอยู่ที่จะต้องได้รับความสำเร็จสองประการคือว่า มีความสงบเย็นไม่เป็นทุกข์ และสองให้มีความเป็นประโยชน์แก่กันและกัน ต้องสองเรื่องนะ ไม่ใช่เรื่องเดียว สงบเย็นและเป็นประโยชน์ สงบเย็นในส่วนตัวไม่มีความทุกข์ ดำรงชีวิตอยู่โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะความเป็นอย่างนั้นของคนนั้นมีประโยชน์ เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่เป็นประโยชน์แก่ตนโดยส่วนตัว มันจะแก่ทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นขอให้จำไว้ให้ดีๆ ฟังให้ดีๆ แล้วจำไว้ให้ดีๆ ว่า "สงบเย็น” และก็ ”เป็นประโยชน์" ถ้าไม่เป็นประโยชน์มันก็ไม่ดีกว่าหมา พูดตรงๆ กันอย่างนี้ดีกว่า ขออภัย คำมันหยาบ แต่มันฟังง่ายและลืมยาก มันต้องสงบเย็นและเป็นประโยชน์ มันไม่ต้องมีการทะเลาะวิวาทกันจนเป็นเรื่องทุกข์ร้อน แล้วไม่รู้จักช่วยตัวเองให้พ้นจากความทุกข์
ข้อนี้มันมีความลับอยู่ที่การทำงานนั่นแหละ ที่การทำงานในหน้าที่ของตนนั่นแหละ มันแยกได้เป็นสองอย่างด้วยกัน คือทำงานเพื่อเงิน หรือเพื่อตัวกู นี่มันอย่างหนึ่ง มันทำงานเพื่อเงิน หรือเพื่อตัวกู อีกอย่างหนึ่งมันทำงานเพื่องาน มันทำงานเพื่องาน คนเห็นแก่ตัวมันสั่นหัว ไม่ชอบ ทำงานเพื่องานได้ประโยชน์อะไร นั่นมันโง่ มันคนโง่ จริยธรรมสูงสุดของโลกที่ยุติกันลงไปแล้วในบัดนี้ว่า Common Donon (นาทีที่ 09:47) สูงสุดของมนุษย์นั่นคือมีความสุข ไม่มีความทุกข์ ให้มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ (man perfected) มีความเต็มเปี่ยมความเป็นมนุษย์ อย่าเป็นมนุษย์กันครึ่งๆ กลางๆ เลย แล้วข้อที่สาม duty for duty benefit’s sake (นาทีที่ 10:09) หน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ นี่คนมันยังทำไม่ถูก เพราะคนมันยังไม่ถึงที่สุดแห่งความเป็นมนุษย์ หรือไม่เข้าใจไม่สนใจที่จะถึงที่สุดแห่งความเป็นมนุษย์ มันเห็นแก่ประโยชน์ ยังเห็นแก่ปาก เห็นแก่ท้อง ได้เงินได้ทอง ทำแล้วจะต้องได้เงินได้ค่าจ้างได้รางวัลก็เพื่อสนองความอยาก หรือกิเลสตัณหาของตน การได้ทำงานเพื่อกิเลสตัณหาของตน มันไม่ได้ทำงานเพื่อหน้าที่ ไม่ได้ทำงานเพื่อหน้าที่ มันไม่เหมือนกับพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลายท่านทำงานเพื่อหน้าที่ ทำงานเพื่อหน้าที่ของท่าน ไม่เอาค่าจ้างรางวัลเงินเดือนจากใคร หลักจริยธรรมสากลสองข้อนี้ไปรวมไว้เป็นข้อที่สาม ข้อที่สี่ เอ่ยถึงหน่อยว่า universal love มีความรักษาตน มีความรักทั่วไปทุกคนเป็นเหมือนกับว่า เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายกันทุกคน
ข้อที่หนึ่งมันมีความสุข คือ Happiness ข้อสอง Man perfected เป็นมนุษย์ที่เต็ม อย่าเป็นมนุษย์ครึ่งๆ กลางๆ ข้อที่สาม duty for duty benefit’s sake (นาทีที่ 11:28) ประโยชน์ ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ ข้อที่สี่ มีความรักสากล คือรักกัน เป็นเพื่อนกันหมดนั่นแหละ ไม่ยกเว้น คุณลองคิดดูว่าทั้งสี่ความหมายนี้มันมีอยู่ในพวกครูสมัยนี้บ้างหรือไม่ หรือถ้าไม่มีมันก็ไม่เป็นครู มันควรจะมีครบทั้งสี่แหละ คือมีความสงบ และมีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ แล้วมันก็ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ แล้วก็มีความรักสากล คือรักทุกคนไม่เลือก เป็นหลักธรรมะในศาสนาทุกศาสนาเลยการรักษาตนนี่
ที่อยากจะพูดกันหน่อยก็ว่าทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ เดี๋ยวนี้มันทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่เงินเดือน แก่ค่าจ้าง มันเลยกลายเป็นลูกจ้าง นายจ้าง ถ้าครูคนไหนมันทำงานเพื่อเงินเดือนมันก็เป็นลูกจ้างรัฐบาล ลูกจ้างประชาชนอย่างที่เรียกๆ กัน สมน้ำหน้ามันเลย แต่ถ้ามันทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ มันยกมือไหว้ตัวเองได้ ครูเป็นอิสระ ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ มีความเป็นครู ความเป็นครู ขอให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่เถิด มันจะอิ่มใจไปตั้งแต่แรกทำ ถ้าทำหน้าที่เพื่อเงินเดือน ก็รอต้องรอจนกว่าจะได้เงินเดือน มันจึงจะรู้สึกว่าได้อะไรมา มันจึงหิวเป็นเปรตอยู่ตลอดเวลา คือมันยังไม่ได้เงินเดือน เปรตมีความหมายว่าหิว หิว หิว มีความเป็นเปรต แต่ถ้ามันทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ พอลงมือทำมันก็ได้ทันที มันได้ผลที่ต้องการทันที มันอิ่มใจทันทีว่าได้ ได้ทำหน้าที่คือได้หน้าที่ มา ได้ทำหน้าที่ มันจะเป็นผู้ได้ตั้งแต่ลงมือทำ ไม่ต้องรอหิวเป็นเปรตกว่าเงินเดือนหรือค่าจ้างจะมาถึง
อาตมาอธิบายอย่างนี้แม้แต่ลูกจ้างพนักงานของบริษัทใหญ่ๆ ที่เขามากันเกือบทุกเดือน มาขอศึกษาธรรมะ ก็จะบอกอย่างนี้ คุณไม่ต้องเป็นลูกจ้าง คุณไม่ต้องเป็นนายจ้าง คุณเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกับเจ้าของบริษัท แล้วคุณทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ มันสูงสุด มันสูงสุด งานมันก็ดี ดีเหลือเกิน เราทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ นายจ้างกลับจะรักหรือนับถือยิ่งกว่าทำงานเพื่อเงิน หรือเป็นลูกจ้าง แล้วคุณคิดดูเถิดทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ หน้าที่สูงสุด แล้วเงินมันจะไปไหนเสียเล่า ถ้าทำหน้าที่เพื่อหน้าที่สูงสุด หน้าที่สูงสุดแล้วเงินมันจะไปไหนเสียเล่า เงินมันจะคลานมาเอง จะมาหาเอง ถึงแม้ว่าเราทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ เงินมันคลานมาหาเอง แล้วมันมาอยู่ใต้ฝ่าเท้า ถ้าทำหน้าที่เพื่อเงินเล็กน้อย เงินมาอยู่บนหัว เงินมาสุมอยู่บนหัว หัวลูกจ้างนี่ ถ้าทำหน้าที่เพื่อเงิน เงินมันจะอยู่บนหัวจากประโยชน์ที่ได้มา แต่ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ เงินมันจะอยู่ใต้ฝ่าเท้า มันจะช่วยบูชาคุณ ขอให้ยึดถือคำว่าทำหน้าที่เพื่อหน้าที่เถิด แล้วมันจะสนุกๆๆ สนุกในการทำหน้าที่ มีความสุขตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ ไม่ต้องทรมานคอยวันเมื่อไรเงินเดือนจะออก กูได้น้อย อย่างนี้ไม่มีเลย เต็มใจจะสนุกอยู่แต่อย่างนี้ เรื่อง ??? (นาทีที่ 15:07) ขอให้ระวังเถิด ขอให้เป็นเรื่อง ???? (นาทีที่ 15:10) มันอยู่ได้ด้วยความซื่อตรง ไม่ใช่เรื่องของคนโกง เพราะคนโกงมันล้มละลายหมด ขอยกตัวอย่างให้ ??????????? (นาทีที่ 15:17 ถึงนาทีที่ 15:30) คือมันมาเถียงกันเรื่องสหกรณ์ในการฟังเทศน์ คือไม่ได้ฟังเทศน์เลย คือฟังคำเหล่านั้น มันมาถกเถียงอยู่ ซุบซิบๆ เกี่ยวกับเรื่องสหกรณ์ที่ค้างคามา มันไม่ได้ฟังธรรมเลย นั่นแหละมันบูชาเงิน ไอ้พวกบูชาเงินมันเป็นอย่างนั้น ถ้ามันทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ มันจะไม่มีข้อเกี่ยงงอนแม้แต่เล็กน้อย ที่จะต้องถกเถียงกันไม่รู้จักสิ้นจักจบ
เพราะฉะนั้นเราจงทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ เป็นคติอันเดียวกันกับของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายท่านทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ พระพุทธเจ้าก็ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ของพระพุทธเจ้า ถ้าทหารก็ทำหน้าที่ของทหารเพื่อประโยชน์แก่ความเป็นทหารของท่าน แล้วเงินเดือนอย่าง ????? (นาทีที่16:24) ก็ไม่ต้องมี จะต้องมีอะไรยิ่งกว่าเงินเดือนหลายร้อยหลายพันเท่า เพราะฉะนั้นขอให้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ แล้วมันจะชื่นใจตั้งแต่วินาทีแรกที่ลงมือทำ คือมันได้แล้ว มันได้แล้ว มันไม่ต้องรอ แต่ถ้าเป็นเงินเดือนมันต้องรอเงินเดือนออก มันต้องรอว่าเมื่อไหร่เขาจะขึ้นเงินเดือนอย่างนี้ มันหิวอยู่ตลอดเวลา ขอให้ทำหน้าที่อย่างหลักพระธรรมของพระพุทธเจ้าก็ได้ว่าทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ หรือจะทำหน้าที่อย่างหลักจริยธรรมสากลก็ได้ active democracy of morality (นาทีที่17:00) ประโยชน์จริยธรรมสากล มันระบุว่า duty for duty benefit’s sake (นาทีที่17:08-17:10) ขอให้คุณครูทั้งหลายได้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่เถิด มันจะเป็นอิสระ มันไม่เป็นลูกจ้าง แล้วมันสนุก มันเป็นสุข พอใจตั้งแต่วินาทีแรกที่ลงมือทำหน้าที่ แล้วจะทำอย่างสนุกด้วย คือแข่งขันกับตัวเองด้วย กูจะแพ้หรือกูจะชนะ คือทำหน้าที่นี้จะเหลวหรือจะไม่เหลว มันจะรู้สึกสนุกตั้งแต่แรกๆ อย่างนี้ แล้วมันจะเหมือนกับเล่นกีฬา เล่นกีฬาที่จะเอาชนะให้จนได้ ชนะการงานนี่ เล่นกีฬาเอง แล้วก็ดูเอง แล้วก็ตัดสินเสียเอง มันสนุกเท่าไหร่กี่มากน้อย มันสนุกเหลือประมาณในการทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่นี้มันทำให้สนุกได้ ทำให้สนุกได้แม้ยังไม่เป็นพระอรหันต์ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง ก็ขอให้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่เถิด ประโยชน์มันไม่ไปไหนเสีย มันต้องมาหาผู้ทำหน้าที่ แล้วเราก็ไม่ได้บูชาเงิน ไม่ได้บูชาประโยชน์ แต่บูชาหน้าที่ความเป็นมนุษย์อย่างสูงสุดที่ ??? (นาทีที่18:25) ไม่ทำอะไรเพื่อปากเพื่อท้องเหมือนสัตว์ หรือเหมือนเพื่อเป็นลูกจ้าง กรรมกรสามัญธรรมดานี่เป็นลูกจ้าง แล้วก็มีนายจ้าง แล้วคำว่าลูกจ้างกับนายจ้างนั้นเป็นศัตรูกันอยู่ตลอดเวลา มันคอยจ้องเอาเปรียบกันอยู่ตลอดเวลา นี่ปัญหาทั้งโลก ทั้งโลกมันมีปัญหาระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง เลิก ไม่เป็นลูกจ้าง ไม่เป็นนายจ้าง เป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้งดงาม เป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตรย ทุกคนทำหน้าที่ ทำหน้าที่อย่าให้บกพร่องได้ นับแต่สัตว์เดรัจฉานเหมือนกันอย่าบกพร่อง ไก่อย่าบกพร่องในการขันตามหน้าที่ แมวอย่าบกพร่องในหน้าที่จับหนู หมาอย่าให้บกพร่องหน้าที่เฝ้าบ้าน ทำหน้าที่ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างนี้ สัตว์ก็ทำแล้วคนก็ทำ คนก็ทำ โลกนี้ก็จะมีแต่ความสุขสงบเย็นสมตามความมุ่งหมายเป็นแน่นอน อย่าเห็นแก่ลูกจ้างที่ทำงานเพื่อเงินหรือเมื่อนายจ้างบังคับ แล้วทำงานชนิดที่มีแต่ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ พอได้ทำวินาทีนั้นก็ได้ผลได้งานแล้ว จะชื่นใจตัวเองเรื่อยไปๆ แล้วเงินมันจะค่อยคลานเข้ามาอยู่ใต้ฝ่าเท้า ไม่มาอยู่บนหัวจนบูชากันนัก แล้วมาสนใจกันแต่เรื่องเงินจนไม่ไปทำหน้าที่ที่แท้จริง
อาตมาพบปะมากับตาตนเอง มีครูราวพันคนที่มาเถียงทะเลาะกันเรื่องสหกรณ์ที่ค้างคาอยู่จนไม่ได้ฟังธรรมะเลย จนต้องบอกเลิก จะพูดกันจนต้องเอ็ดตะโรขอให้หยุด หยุด นี่เป็นถึงขนาดนี้ เป็นครูบาอาจารย์ คิดดู เพราะฉะนั้นขอแสดงความยินดีแก่ท่านทั้งหลาย ที่มาเพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่การงาน ไอ้ตัวธรรมะ ธรรมะนั้นก็แปลว่าหน้าที่ คำๆ นี้แปลว่าหน้าที่ แต่พวกครูไปสอนเด็กๆ ว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมะมันไม่ใช่ตัวคำสั่งสอน ธรรมะมันตัวหน้าที่ แล้วเราสอนเรื่องหน้าที่ เพราะธรรมะ ธรรมะเป็นภาษาบาลีแปลว่าหน้าที่ ภาษาไทยคือหน้าที่
มนุษย์คนแรกตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ ??? (นาทีที่ 20:54) โอ้ มันมีสิ่งสำคัญคือหน้าที่ ไม่ทำก็คือตาย คำนี้คือธรรมะ ธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ มันก็รบเร้ากันให้ทำหน้าที่ให้สูงสุด สูงสุด สุดความสามารถ หน้าที่ทางโลกธรรม ๖ ต่อมามันสูงสุดทางจิตใจ ฤๅษี มุนีอะไรมาค้นพบต่อหน้าที่ทางจิตใจให้สูงขึ้นไปเป็นหน้าที่มรรคผลนิพพาน เป็นพระพุทธเจ้าสอนเรื่องหน้าที่สูงสุด หน้าที่สูงสุด เพราะว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ หรือกระทั่งเด็กๆ ในอินเดียเดี๋ยวนี้ ธรรมะแปลว่า duty ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ธรรมะแปลว่า duty คือธรรมะหรือ duty จะเรียกภาษาไหนก็ตาม มันแปลว่าสิ่งที่ช่วยให้รอด ธรรมะแปลว่าสิ่งที่ช่วยให้รอด หน้าที่ก็แปลว่าสิ่งที่ช่วยให้รอด ภาษาบาลีมันสะดวก คือว่าแต่ละคำๆ มันมีรากของศัพท์แสดงอยู่ เป็นภาษาที่ ??? (นาทีที่21:53) มันมีรากศัพท์แสดงอยู่ ธรรมะมันมาจาก root แปลว่า ราก ธรรมะแปลว่าทรงขึ้นไว้ ทรงขึ้นไว้ ไม่ให้พลัดตกลงไปในกองทุกข์ ภาษาบาลีมันชัดเจนอย่างนั้น แต่ภาษาไทยแปลว่าหน้าที่ หน้าที่ มันความหมายอย่างเดียวกัน คือเป็นผู้มีหน้าที่ไว้ไม่ให้ตกไปในกองทุกข์
ธรรมะก็ดี หน้าที่ก็ดี ?????????? (นาทีที่ 22:19 – 22:23) มีธรรมะก็มีหน้าที่ ธรรมะมีหน้าที่ทรงไว้ซึ่งผู้มีไม่ให้ตกในกองทุกข์ ถ้าไม่มีธรรมะหรือหน้าที่มันพลัดตกลงไปในกองทุกข์ ทางกายมันก็ตาย ทางจิตมันก็เป็นทุกข์ทรมาน เราไม่ทำหน้าที่มันตาย คนก็ตาย สัตว์ก็ตาย สุนัขมันก็ตายลองไม่ทำหน้าที่ อย่างนี้ต้องทำหน้าที่ทุกวินาทีตลอดเวลา แต่เรามองไม่เห็น ไม่ได้เรียนมัน สัตว์ทั้งหลายก็เหมือนกันต้องมีหน้าที่ คนก็ต้องมีหน้าที่ เลือกเอาส่วนที่เป็นส่วนๆ แขน ขา มือ ตีนก็ทำหน้าที่ ตับ ไต ไส้ พุง ปอด ก็ทำหน้าที่ เซลล์ไม่รู้กี่ล้านๆ เซลล์ แต่ละเซลล์ก็ทำหน้าที่ พอมันไม่ทำหน้าที่มันก็ตายลูกเดียว ชีวิตมันอยู่ด้วยหน้าที่ เป็นตัวคู่ชีวิตหรือเป็นตัวชีวิตเสียเอง เพราะฉะนั้นเราจงรู้จักสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด รอดทั้งทางกายคือไม่ตาย และรอดทั้งทางจิตคือไม่ต้องเป็นทุกข์ รอดตายอยู่แต่ในความทุกข์ทรมาน มันก็ตกนรก เอาไปทำไมให้ป่วยการ มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ มีความสงบเย็นและเป็นประโยชน์อย่างที่ขอร้องทีแรกว่า สองคำ คำนี้คือมีชีวิตอย่างสงบเย็นและให้เป็นประโยชน์นั่นแหละ สมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่เต็ม เป็นมนุษย์ที่เต็มแล้วก็สมบูรณ์เลย ความสงบเย็นและเป็นประโยชน์เพราะว่าทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ คือทุกชีวิตเอาอย่างพระพุทธเจ้าท่านทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ พระอรหันต์ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ท่านเป็นบรมครู เป็นมหาบุรุษ เป็นอะไรก็แล้วแต่ที่จะเรียกกัน เพราะได้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ ท่านมีชีวิตเต็ม คือบริสุทธิ์แล้วก็เป็นสุข แล้วก็เป็นประโยชน์แก่ทุกคน
พระพุทธเจ้าทำงานครบวงจรทั้งวันทั้งคืน ไปเรียนกันเสียบ้าง หัวรุ่ง ก่อนรุ่ง คิดแต่วันนี้จะไปโปรดใคร ที่ไหน คิดไว้แต่ก่อนรุ่ง พอสว่างก็ไป ไปพยายามให้พบปะกับคนนั้น ทรมานมันให้สำเร็จ จนสาย ต้องเอามันให้สำเร็จ ฉันที่นั่นพูดกันที่นั่นหรือที่ไหนก็แล้วแต่จะให้โอกาส ในตอนบ่ายก็สอนคนที่ไปหาที่วัด ไปฟังธรรมที่วัด พอหัวค่ำก็คอยเทศน์ภิกษุ แสดงธรรม พอพลบค่ำก็สอนพระภิกษุสามเณรที่อยู่ประจำวัด อัตตะวะโต เทวะตันทันนัง (นาทีที่ 25:09 – 25:11) เที่ยงคืนแก้ปัญหาพวกเทวดา สอนพวกเทวดา เทวดาทั้งหลาย เทวดาคน หรือเทวดาบนฟ้าก็ไปเที่ยงคืน นี้เลยเที่ยงคืนไปแล้วพักผ่อนนิดหน่อย เดี๋ยวก็หัวรุ่งก็คิดว่าพรุ่งนี้จะไปทรมานใคร จะไปทำงานให้ครบวงจร ท่านทำอย่างนี้จนสิ้นพระชนม์ชีพ จนชีวิตนาทีสุดท้ายก็ยังทำ จนกระทั่งจะปรินิพพานอยู่หยกๆ แล้ว เดี๋ยวนี้ตกลงปรินิพพานที่ตรงนี้ ยังมีนักบวชจากศาสนาอื่นก็ถลำเข้ามาขอให้สอน ขอให้สอน ขอให้โปรด ภิกษุทั้งหลายไล่ไปๆ ไอ้นี่มันจะบ้า พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ท่านได้ยิน อย่าไล่ อย่าไล่ บอกให้มา บอกให้มา ท่านก็สอน สอน สอนจนคนนั้นมีความรู้พอที่จะเป็นพระอรหันต์ ต่อมาไม่กี่นาทีท่านก็นิพพาน
คิดดูสิ ใครทำงานจนได้อย่างนี้บ้างเล่า ถ้าบูชาเงินเดือน มันคอยจะเอาเปรียบ มันไม่อยากทำงาน มันก็โกงหน้าที่ ลงบัญชีทำงานประจำวันโกหกกันนักสมุดเล่มนี้ สมุดลงเวลาว่ามาทำงานประจำวัน ขอให้บูชาหน้าที่ เคารพหน้าที่อย่างพระพุทธเจ้า อย่างพระอรหันต์ทั้งหลาย ให้ท่านทั้งหลายไปเกิดเป็นบุคคลที่ไม่ใช่ธรรมดา คือเลื่อนจากคนมาเป็นมนุษย์ คนธรรมดามันหนาด้วยกิเลส มนุษย์ก็เบาบางด้วยกิเลสหน่อย หรือว่าเป็นอริยบุคคล เป็นอารยชน เป็นอริยชนคือว่ามีคุณค่าสูงสุด สูงสุดกว่าคนธรรมดา คนธรรมดาทำหน้าที่เพื่อเงินเดือน อารยชนทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ เป็นอริยบุคคลยิ่งทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ จนเป็นพระพุทธเจ้า จนเป็นพระอรหันต์ เงินมันอยู่ใต้ฝ่าเท้า เป็นขยะมูลฝอยไปเสียก็มี เป็นเครื่องบูชาคุณไปเสียก็มี ไม่มาสุมอยู่บนหัวมาเป็นค่าจ้างเลย
ขอให้ท่านทั้งหลายทั้งปวงผู้เป็นครูบาอาจารย์ อย่างน้อยก็เรียกว่าสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครู จงมีความเข้มแข็ง เฉียบขาด สติปัญญา สติสัมปชัญญะ ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ และมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งแก่ตนเองและแก่ทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องแล้วเป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ เวลาที่กำหนดให้หมดแล้ว