แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์และท่านสาธุชนที่สนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีและในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ โดยเฉพาะคือการแสวงหาความรู้ทางธรรมะเพื่อไปประกอบการดำเนินชีวิต และหน้าที่การงานให้ก้าวหน้าหรือให้ดีถึงที่สุดให้มีประโยชน์ถึงที่สุด มาด้วยความหวังอย่างนี้ขออนุโมทนา เดี๋ยวนี้มันมีเหตุผลอย่างยิ่งที่จะต้องแสวงหาความรู้ในด้านธรรมะหรือทางจิตใจมาเพิ่มให้แก่ตนเอง ทั้งนี้เนื่องจากความผันแปรของการศึกษาในโลกนี้ที่มันกำลังบ้าขออนุญาตใช้คำค่อนข้างหยาบคายตรงๆอย่างนี้ การศึกษาปัจจุบันนี้มันกำลังบ้าคือมันมีแต่ให้ฉลาดๆๆๆ ที่ไม่รู้จะฉลาดกันอย่างไร และไม่มีอะไรมาควบคุมความฉลาด หรือจะเปรียบเหมือนกับหางเสือที่มาถือหางเสือของความฉลาดให้มันถูกต้องมันก็เลยฉลาดที่ไม่มีอะไรควบคุม มันก็เป็นโอกาสของความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นตามความฉลาด คนฉลาดเห็นแก่ตัวร้ายกาจมากนะ ความเห็นแก่ตัวของคนโง่ก็ยังไม่ลึกซึ้งเท่าความเห็นแก่ตัวของคนฉลาด ยิ่งเดี๋ยวนี้มันฉลาด ฉลาดจากการทางวิทยาศาสตร์การกระทำอะไรมากมายเหลือเกิน นี่ง่ายๆก็พูดได้ว่าไปเที่ยวโลกพระจันทร์ได้เหมือนไปเที่ยวสวนหลังบ้านอย่างงั้น แต่พร้อมกันนั้นมันเพิ่มความเห็นแก่ตัวๆ ฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัว ก้าวหน้าเพื่อเห็นแก่ตัว พวกซ้ายก็เห็นแก่ตัว พวกขวาก็เห็นแก่ตัว พวกตรงกลางก็เห็นแก่ตัว แล้วโลกนี้มีแต่ความเห็นแก่ตัว ปัญหามันจึงยุ่งยากอย่างนี้ การศึกษาชนิดนี้ต้องเรียกว่าเป็นการศึกษาที่หลับหูหลับตาสอนแต่ให้ฉลาดๆอย่างเดียวแล้วไม่มีอะไรควบคุมความฉลาดแล้วคนก็เห็นแก่ตัว แม้ที่สุดแต่ระเบียบบางอย่างที่มิใช่การศึกษาโดยตรงมันก็เปลี่ยนแปรไปจนเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว เมื่อสมัยอาตมาเป็นเด็กๆมาโรงเรียนแต่เช้าแล้วก็ชิงกันกวาดโรงเรียน ชิงกันกวาดโรงเรียนกันสนุกสนาน มันกล่อมเกลานิสัยของความเห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่หน้าที่อย่างยิ่ง แต่เดี๋ยวนี้เป็นระบบที่ใช้ภารโรงกวาดเด็กก็ไม่ต้องทำ ความเห็นแก่ตัวก็เพิ่มหรือเข้ามา สมน้ำหน้ามันสมน้ำหน้าการศึกษาที่จัดโดยไม่มองความเห็นแก่ตัว ทว่าเด็กยังจะต้องช่วยเหลือทุกอย่าง อย่างกวาดขยะอย่างนี้มันจะมีนิสัยที่เห็นแก่ตัวน้อยน้อยกว่าเดี๋ยวนี้ เนี่ยขอคัดค้านการศึกษาที่ไม่มีการควบคุมความฉลาด ยิ่งฉลาดแล้วยิ่งเห็นแก่ตัว ขอได้โปรดนึกไว้ในใจเถอะว่าโลกกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว ไปดูเถอะว่าที่ไหนปัญหาที่ไหนปัญหาอย่างขี้เล็บก็มาจากความเห็นแก่ตัว ปัญหาจะทำลายโลกเพราะว่ามาจากความเห็นแก่ตัวขอให้ดูเอาเองเถอะ ปัญหาอันธพาล ปัญหามลภาวะ ปัญหาข้อขัดข้องนานาสารพัด ปัญหาทำลายป่าไม้ ปัญหาอะไรก็ตาม มาจากความเห็นแก่ตัวรุนแรงๆจนเสื่อมทางศีลธรรม จนพ่อแม่เอาลูกมาขาย เอาลูกสาวมาขาย มีหนังสือพิมพ์ชนิดข่าวที่ว่าพ่อ พ่อข่มขืนลูกสาวของตัวเองนี้ เดี๋ยวนี้มันๆๆหนาขึ้นมาในหน้าหนังสือพิมพ์ มันเป็นผลของความอะไร ของการศึกษาที่มันไม่ถูกต้อง หรือความเห็นแก่ตัวมันมากเกินไป ความเห็นแก่ตัวนั้นมันทำให้ตะกละๆ เหยื่อของกิเลส แล้วมันก็อิจฉาริษยา แล้วมันไม่ร่วมมือสามัคคีคือเห็นแก่ตัว จะขายชาติอะไรก็ได้เห็นแก่ตัว พร้อมกันนั้นตัวมันเองก็จะต้องมีปัญหายุ่งยากมากขึ้น เพราะมันอยากเกินๆประมาณ มันจะเป็นโรคประสาทเป็นบ้าฆ่าตัวตายในที่สุด ความเห็นแก่ตัวมันจัดเกินไปมันหลงทาง มีการฆ่าตัวเองได้ทั้งที่ร่ำรวยสวยงามหรือว่าได้อะไรตามที่ตัวต้องการจะได้ นี่ความเห็นแก่ตัวเป็นอย่างนี้ จึงขอฝากไว้กับท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ตลอดการจงสังเกตุดูความเห็นแก่ตัว ยิ่งมีความเจริญยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะความเจริญนั้นมันส่งเสริมกิเลสหรือมันส่งเสริมความเห็นแก่ตัว แต่การศึกษากับไปในทางที่ว่าลดสิ่งที่ควบคุมกิเลสหรือความเห็นแก่ตัว
อาตมาเคยฟังเขาเล่าให้ฟังว่า ก่อนนี้การศึกษามันเป็นเรื่องของพระเป็นเรื่องของทางศาสนา การจัดโรงเรียนเป็นการศึกษาขึ้นมานี้มันตั้งต้นมาจากพระหรือพระทำอยู่ก่อน เขาเล่าว่ามหาวิทยาลัยใหญ่โตของโลกปัจจุบัน อ๊อกซฟอร์ด แคมบริดจ์ นี่มันเป็นโรงเรียนราษฎร์ของพระ เป็นโรงเรียนราษฎร์ที่พระจัดมาก่อน แต่นี่มันกลาย กลายมาๆจนถึงอิสระหรือเป็นอะไรไป แต่นั้นหล่ะรู้เถอะว่ายังเป็นเรื่องของพระก็มีเรื่องศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้องเหมือนกับส่วนนั้นหล่ะมันควบคุมความฉลาดที่จะได้รับจากการศึกษา เมื่อ นมส กลับมาจากการเรียนมาเล่าให้ฟังที่สามัคยาจารย์ อาตมาก็เคยไปฟังเรื่องอย่างนี้ และยังบอกว่าสมัยที่ท่านไปเรียน กินข้าวยังต้องสวดมนต์อยู่นั้น ลูกศิษย์นักศึกษากินข้าวยังต้องสวดมนต์กัน เดี๋ยวนี้มันไม่มี เพราะว่ามันแยกเอาการศึก ศึกษาออกไปจากศาสนา หรือว่าแยกศาสนาออกไปจากการศึกษาแล้วแต่จะเรียก ไอ้ sectorization (นาทีที่ 09:05) บ้าๆบอๆอะไรของมัน ที่เมืองไทยเราไปตามก้นพวกฝรั่งแล้วก็แยกตามเขาไปนั้น มันเป็นสิ่งที่ให้ผลตรงกันข้ามอย่างมโหฬารทีเดียว งั้นเรียกว่าการศึกษาที่แยกจากศาสนาคล้ายๆว่าเรือที่มันปลดหางเสือทิ้ง งั้นเราจึงมีปัญหามากขึ้นๆ เข้ากับที่การศึกษามันเจริญ เพราะว่าการศึกษามันมีแต่ให้ฉลาดแล้วไม่มีอะไรควบคุม ก่อนนี้มันมีควบคุมเดี๋ยวนี้มันก็ตัดออกไปได้ยินว่าประเทศอเมริกาวางระเบียบว่าเอาศาสนามาสอนในโรงเรียนนั้นผิดกฎหมายจริงเท็จก็ไม่รู้เพราะได้ยินมาอย่างนั้น เอาความรู้เรื่องทางศาสนาเข้ามาสอนในโรงเรียนผิดกฎหมายเลยไม่ใช่เล็กๆน้อยๆ เนี่ยขอให้ดูให้ดีเถอะว่าไอ้ความสงุบสงบสันติภาพนั้นมันอยู่ที่ไหน มันไม่ได้อยู่ที่การศึกษาชนิดที่ไม่มีการควบคุมความฉลาด การศึกษามันทำให้มีความฉลาดมันต้องมีอะไรควบคุมพอ ยิ่งกว้างไกลก็ยิ่งต้องควบคุมมากขึ้น ยิ่งสูงก็ยิ่งต้องควบคุมมากขึ้น เพื่อให้มันเดินถูกทาง เราน่าจะลองนึกถึงว่าไอ้คนป่าดึกดำบรรพ์ บรรพบุรุษของเราเองดึกดำบรรพ์นะ มันมีการศึกษาเท่าไร มันมีการงานการเป็นอยู่ปัจจัยสี่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย หยูกยาอย่างไร ซึ่งมาเทียบกับสมัยนี้แล้ว มันๆ มันไม่มีทางจะเทียบกันได้นะ มันไม่มีวิทยุฟัง มันไม่มีน้ำแข็งกิน มันไม่มีไฟฟ้าใช้ สารพัดอย่าง แล้วทำไมมันไม่ตายล่ะทำไมมันจึงไม่ตายจึงไม่ลดจำนวนลงแล้วสูญพันธ์ไปเลย มันกลับมากขึ้นๆแล้วก็คือพวกเรา มันออกมาจากคนที่ระดับต่ำอย่างนั้น มันต้องมีอะไรถูกต้องๆอยู่ พอดีอยู่แม้ว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มันก็ไม่ตาย มันก็ยังไม่ตาย มันเกือบจะเทียบได้กับสัตว์เดียรฉาน ไม่ต้องมีความรู้อะไรมันก็ไม่สูญพันธ์มันก็มากขึ้นมีแต่มนุษย์จะไปทำลายมันเสียอีก งั้นขอให้ทวนใจดีๆว่าไอ้การศึกษามันคืออะไรแน่ มันจะต้องทำกันอย่างไร การศึกษามันต้องให้ผลเป็นสันติภาพ วิทยาการอะไรก็ตาม แขนงไหนก็ตามต้องให้ผลมีสันติภาพ มิฉะนั้นมันเป็นของร้ายฆ่าหรือเป็นอันตรายควรเลิกร้างไปเสีย เมื่อโลกยิ่งเจริญด้วยการศึกษาอะไรๆหลายๆอย่างแต่มันยิ่งไม่มีสันติภาพมีความอาฆาตมาดร้ายกันตลอดเวลาแล้วก็มีสงครามรบราฆ่าฟันกันไม่ที่ใดก็ที่หนึ่งอยู่ตลอดเวลา ดูข่าวหนังสือพิมพ์ก็แล้วกันมีการหลั่งเลือดอยู่ตลอดเวลาไม่มากก็น้อยนี่มันยังไม่ได้ผลสมกับคำว่ามนุษย์ มนุษย์ที่มีจิตใจสูงการศึกษานี้ไม่ได้ทำให้จิตใจสูงแล้วคนก็จะมีปัญหามากขึ้น เพราะความเห็นแก่ตัวมันเจริญ การที่ท่านทั้งหลายมาแสวงหาความรู้ทางธรรมะเพื่อไปประกอบเข้ากับความรู้ด้านการศึกษาที่มีอยู่อย่างมากมายนี่ อาตมาเห็นด้วยว่ามันเป็นสิ่งที่มีเหตุผลที่ควรจะทำจึงขออนุโมทนาด้วยในการที่มาที่นี่ในลักษณะอย่างนี้ คือหาธรรมะ ความรู้ทางธรรมะไปประกอบกันเข้ากับหน้าที่การงานการเป็นอยู่ เนี่ยขออนุโมทนา มีความยินดีที่จะช่วยเหลือ ช่วยเหลือเต็มความสามารถงั้นขอให้ทุกคนได้รับความรู้ถูกต้องตามนั้นพอ พอสมควร พอตัวเอากลับไป
ขอพูดสักนิดหน่อยว่าทำไมมาพูดกันเวลานี้ เวลาหัวรุ่งอย่างนี้ซึ่งคนเป็นอันมากยังอยากจะนอน ยังไม่อยากจะออกจากผ้าห่ม ขอบอกว่าเวลาอย่างนี้มันมีความหมายเป็นเวลาที่มันไม่เหมือนกับเวลาอื่น เวลาแต่ละชั่วโมงมันมีลักษณะของมันโดยเฉพาะ เวลาตอนหัวรุ่งก่อนรุ่งนี่โลกมันแสดงอาการอย่างนี้ ไอ้คนที่นอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่มไม่มีโอกาสได้มาสัมผัสขอเชิญมาสัมผัสไอ้โลกชั่วโมงนี้กันเสียบ้าง ให้มันเริงสำราญเหมือนดอกไม้บานยามเช้านั่นกันซะบ้าง ถ้ายังนอนคลุมโปงอยู่ก็ไม่ได้สัมผัสโลกชั่วโมงนี้ ชั่วโมงที่ทุกอย่างพร้อมทั้งทางกายทางจิตทางระบบประสาทที่จะทำอะไรได้ดี การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามีเวลาอย่างนี้ เวลาหัวรุ่งจะเป็นจิตสูงสุดของความพร้อมของร่างกายของมันสมองอะไรก็ได้ แล้วก็ได้ยินว่าเวลาอย่างนี้เป็นเวลาสำเร็จความเป็นพระศาสดา ของศาสดาองค์อื่นอีกตามใจเขา เราเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ท่านตรัสรู้เวลาจะรุ่งอรุณ เราคอยใช้เวลาอย่างนี้ให้เป็นประโยชน์มันแก้นิสัยที่หวังความสุขจากการนอน พอใจในความสุขจากการนอนได้ มันเป็นอิสระแก่กิเลสขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง กิเลสที่จะแสวงหาความสุขจากการนอนเราจะชนะมันแล้วเราก็จะมีอิสระเพิ่มขึ้นอีกแง่หนึ่งหน่วยเล็กๆหน่วยหนึ่งไม่หลงไหลในการนอน นอนเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นแก่ชีวิต แต่ต้องพอดีถ้ามากเกินไปก็กลายเป็นกิเลสติดความสุขในการนอน จำไว้ไอ้การนอนถ้ามากเป็นกิเลส ถ้าพอดีเป็นสุขภาพอนามัย ขอให้ได้จัดตัวเองอย่าให้ตกเป็นทาสของความสุขที่เกิดมาจากการนอน อาตมานี้ก็ไม่มีเกือบไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดแล้ว จะความชราก็ไม่ทราบไม่มีเรี่ยวแรง เวลาที่จะพอพูดได้หรือดีกว่าเวลาอื่นมีเรี่ยวแรงมากที่สุดก็คือเวลาอย่างนี้เหมือนกัน เราจึงขอร้องว่าถ้าจะพูดอะไรบ้างก็พูดเวลาอย่างนี้เถอะถึงจะเป็นการดีด้วยกันทั้งฝ่ายผู้พูดและผู้ฟัง อย่างน้อยก็เป็นการฝึกบทเรียนอยู่ในตัวที่จะไม่แสวงสุขจากการนอนหรือว่าเอาประโยชน์จากธรรมชาติที่กำลังให้อะไรเหมาะสมที่สุดที่จะรู้แจ้ง เอาล่ะก็ขออนุโมทนาด้วย ที่ว่ามาพูดกันเวลาหัวรุ่งเป็นเรื่องที่ควรจะรู้ไว้หรืออย่างน้อยก็ทดลองดู ถ้าไม่เคยก็ขอให้ทดลองดูๆใช้ชั่วโมงที่มันสดใสที่สุดของชีวิตนี่ ให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาหรือการคิดค้นหรือการงานอะไรก็ตามต่อไปด้วย นี่ก็เป็นเรื่องที่อยากจะพูดแต่ว่าโดยมากไม่ชอบ มันไม่ชอบตื่น ตื่นแต่ก่อนหัวรุ่ง
เอาล่ะทีนี้ก็จะพูดถึงเรื่องธรรมะ ธรรมะ ไอ้คำว่าธรรมะ ธรรมะนี่ หาได้ทราบว่าท่านทั้งหลายเป็นครูบาอาจารย์เกี่ยวข้องกับการศึกษาในแง่อาชีวะก็เลยอยากจะพูดถึงคำๆนี้ซึ่งมันมีความหมายละเอียดหรือซ่อนเร้นอยู่บางอย่างที่คนเรายัง ไม่เอาความหมายเต็มที่ อาชีพมักจะถูกเข้าใจกันไปแต่ในทางที่แสวงหาสิ่งมาเลี้ยงชีวิตมาบำรุงชีวิต แต่ทว่าอาชีพ อาชีพในภาษาบาลีนี่มันไม่ได้หมายแต่เพียงแสวงหาไอ้สิ่งปัจจัยจำเป็นมาเลี้ยงชีวิต มันหมายถึงการดำรงชีวิต ดำรงชีวิตซึ่งไม่ใช่หาอาหารมากิน ได้อาหารมาแล้วมันต้องจัดมาทำให้ถูกต้อง ในการเป็นอยู่ทุกอย่างไม่เกี่ยวกับอาหารอย่างเดียวปัจจัยเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตทุกอย่าง เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยอะไรก็ตามเอามารวมเข้าหมดแล้วดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างถูกต้องเป็นปรกติสุขนั่นคือคำว่าดำรงชีวิต คำว่าอาชีพมันแปลว่าดำรงชีพ อาในที่นี้หมายความว่าดำรง ดำรงชีพ ชีวก็ชีวิต อาชีวะดำรงชีวิตให้มีความถูกต้อง นี่เป็นข้อยุติที่ว่าจะต้องมีชีวิตที่ถูกต้อง ทีนี่ก็ดูชีวิตนี้มันมันมันกี่มิติกันล่ะ เอาแต่ที่สำคัญๆที่สุดก็มันมีเรื่องทางวัตถุอย่างหนึ่ง ก็ทางร่างกายนิอย่างหนึ่ง ก็ทางจิตใจอย่างหนึ่ง แล้วก็ทางวิญญาณคือทางสติปัญญาเป็น ๔ ทางด้วยกัน ทางวัตถุที่เราจะมีวัตถุมีอยู่ใช้สอยเก็บรักษาไอ้เรื่องวัตถุทั้งหลายนี่ก็ต้องถูกต้อง ของบ้านเรือนสิ่งของมันอยู่ในเรื่องวัตถุ รถยนต์มันก็อยู่ในเรื่องวัตถุของวัตถุจะต้องถูกต้อง แล้วเราก็มีร่างกาย ระบบร่างกายซึ่งประกอบอยู่ด้วยส่วนสำคัญคือระบบประสาทนี่ก็จะต้องถูกต้อง นี้ก็มีจิตระบบจิตต้องถูกต้องไม่เป็นบ้า ต้องปรกติจิตปรกติ นี้จิตปรกติไม่เป็นบ้ามันก็ยังโง่ มีมิจฉาทิฐิความเห็นผิดรู้ผิดเข้าใจผิด นี่ยังเรื่องนี้เราเรียกว่าเรื่องทางวิญญาณ ภาษาไทยถึงไม่มีพอจึงต้องคิดขึ้นก็คิดเอาเองว่าวิญญาณนี่ดูตามบาลีแล้วขอใช้คำๆนี้ว่าทาง Spiritual แล้วก็ทาง Mental หรือ Psygical ทางจิต นี่ก็ทาง Physical คือทางร่างกาย แล้วก็ทาง Material คือวัตถุล้วนๆ ถูกต้องทางวัตถุ Material ถูกต้องทางกายไอ้ Physical ถูกต้องทางจิต Mental หรือ Psygical แล้วแต่ และถูกต้องทาง Spiritual คือสติปัญญา เรายังไม่มีทางเรียกขอเรียกว่าทางวิญญาณ คำว่า Spirit เขาแปลว่าวิญญาณอยู่แล้ว แต่เป็นวิญญาณผีสาง วิญญาณทางธรรมะในความรู้ที่ถูกต้องสามารถบรรลุนิพพาน นี่เรียกว่าความรู้ทางวิญญาณ ความถูกต้องของชีวิตจะต้องประกอบด้วยมิติอย่างน้อย ๔ อย่างนี้ ทางวัตถุ ทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ ถ้าอาตมาจะพูดถึงคำว่าวิญญาณ วิญญาณก็ขอให้เข้าใจอย่างนี้ไม่ใช่ผีสางอะไร คือสติปัญญาที่ถูกต้องกับความดับทุกข์ เรามีจิตสมบูรณ์ไม่ต้องไปโรงพยาบาลโรคจิต แต่อาจจะมีมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดเข้าใจผิดถึงกับเป็นอันธพาลอยู่กันได้โดยไม่รู้สึกตัว ธรรมะ ธรรมะมันเป็นความถูกต้อง ถูกต้องทั้งทางระบบวัตถุ ระบบกาย ระบบจิต ระบบวิญญาณ ทั้ง ๔ ความหมาย งั้นขอให้ท่านทั้งหลายสนใจคำว่าธรรมะซึ่งมันจะเอาไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับอาชีวะที่ดำรงชีวิตให้มันถูกต้องจึงขอเน้นลงไปที่คำว่าธรรม ธรรม ธรรมะนี่คืออะไร เดี๋ยวนี้เราเพ่งส่วนสุดท้ายของมันคือผลของมันที่ว่า ที่จะทำให้เกิดความปรกติสุขทางวัตถุทางร่างกายทางจิตใจและทางวิญญาณ ผลของธรรมะนี่เราจะต้องรู้เรื่องธรรมะอย่างสมบูรณ์ว่าธรรมะคืออะไร ในโรงเรียนนะตัวสอนผิดๆนะ ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในโรงเรียนเขาสอนกันอย่างนี้ มันถูกขี้เล็บก็ไม่ได้ก็ธรรมะเขาพูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดอีก ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดก็ธรรมะ ธรรมะเขาใช้กันอยู่แล้ว แล้วในสมัยพระพุทธเจ้านี่คำสอนของลัทธิไหน ศาสดาไหนก็เรียกว่าธรรมะทั้งนั้น ประชาชนก็จะถามกันว่าคุณชอบใจธรรมะของใคร ชอบใจธรรมะของพระสมณโคดมหรือของนิคันถนาฏบุตร ของสัญชยเวลัฎฐบุตร ………. (นาทีที่ 26:15)อะไรก็ตามเขาจะถามอย่างนั้นกันอย่างนั้นคุณชอบใจธรรมะของอะไร ถ้าถามกันอย่างเดี๋ยวนี้บ้านเราก็ถามกันว่าท่านนับถือศาสนาอะไรนั้นล่ะ แต่เขาไม่ได้ใช้คำอย่างนั้นกลับใช้คำว่าธรรมะท่านชอบใจธรรมะของใคร ธรรมะจึงมิใช่เพียงแต่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันเป็นคำสั่งสอนที่เขาสืบๆต่อๆกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่ป่าเถื่อนนั้นนะ ธรรมะ คำว่าธรรมะ ธรรมะนี่มันเกิดขึ้นโดยมนุษย์คนแรกที่ยังไม่เจริญ ยังไม่เจริญอย่างที่เรียกว่าความเจริญ มันก็ได้สังเกตเห็นสิ่งสำคัญที่สุด สำคัญอย่างน่ากลัวที่สุดคือหน้าที่ที่จะต้องทำเพื่อให้ชีวิตรอดอยู่ได้ ถ้าเป็นบ้านเรา เมืองไทยก็ว่าหน้าที่ๆๆ เห็นแล้วสะดุ้งรู้จักสิ่งนี้กันมาก หากแต่ว่าครั้งกระนู้นสมัยนู้นมันภาษานู้นภาษาอินเดียด้วยก็มีคำว่าธรรมะๆเกิดขึ้น สำหรับมนุษย์คนนั้นเกิดขึ้นเอามา เปล่งออกมาว่าธรรมะๆหรือหน้าที่ๆ รู้สึกด้วยตนเองว่าสำคัญที่สุด ถ้าไม่ถูกต้องหรือไม่มีแล้วมันต้องตาย คำว่าธรรมะก็เกิดขึ้นในความหมายที่เป็นหน้าที่ ที่จะต้องทำให้ถูกต้องไม่มีแล้วจะต้องตาย นี่เขาก็บอกกันต่อๆมาหน้าที่อย่างไรหน้าที่อย่างไรสูงขึ้นๆๆ จนเป็นหน้าที่ทางวัตถุทางร่างกายทางจิตทางวิญญาณ ก็รู้จักแสวงหาขึ้นมาแล้วตั้งแต่สมัยนู้น หน้าที่ทำนาทำสวนอย่างไร หน้าที่ค้าขายอย่างไร หน้าที่อะไรอย่างไรก็ตามสอนกันดีขึ้นๆ จนเลยไปถึงเรื่องทางวิญญาณ คือมนุษย์บางคนไม่พอใจที่สิ่งวัตถุในโลกเหล่านี้ ออกไปแสวงหาทางจิตใจเป็นไปเป็นฤาษีมุนีชีไพรอยู่ในป่าในดง ค้นพบแล้วพอใจ พอใจเป็นอยู่อย่างนั้นก็เป็นมนุษย์พวกหนึ่ง เป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณก็มีหน้าที่เรื่องทางจิตทางวิญญาณ ไอ้แขนงนี้ที่มันจะกลายมาเป็นศาสนาคือเกิดพระพุทธเจ้า แต่เขาก็เป็นฤาษีมุนีชีไพร จำศีลกินวาตาเป็นผาสุกทุกคืนวัน เข้าฌาณนานนับเดือน ไม่เขยื้อนเคลื่อนกายา หนังสือเด็กๆนั้นมีความจริงอย่างนี้ มันเป็นหน้าที่ทางวิญญาณเขาก็ค้นกันมาแต่ดึกดำบรรพ์ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด นี่นะธรรมะ ธรรมะเสมอกันหมด หน้าที่ทางวัตถุก็ธรรมะ หน้าที่ทางร่างกายก็ธรรมะ หน้าที่ทางจิตล้วนๆก็ธรรมะ หน้าที่ทางสติปัญญาก็ธรรมะ งั้นธรรมะคืออะไร การที่พวกครูไปบอกเด็กๆว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามันถูกแต่ขี้เล็บเท่านั้นแหละ นี่ขอบอกอย่างนี้ ธรรมะตัวนี้มันแปลโดยรากศัพท์ของคำว่ายกขึ้นไว้ชูขึ้นไว้ทรงขึ้นไว้ อย่าให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งพลัดตกลงไป แต่ไอ้ๆรากศัพท์อย่างนี้มันมีทีหลังก็ได้ ไอ้มนุษย์คนแรกไม่ได้รู้ถึงรากศัพท์อะไรอย่างนี้ มันพูดออกมาพล่อยๆว่าธรรมะๆแล้วมันมีความหมายถึงหน้าที่ที่มันถูกต้องก็ใช้กันมาจนบัดนี้ ธรรมะคือหน้าที่ ปทานุกรมนักเรียนในประเทศอินเดียคำว่าธรรมะแปลว่า Duty มันไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและครูทั้งหลายจะต้องรับผิดชอบกี่มากน้อยที่จะทำให้เด็กๆเขารู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะๆอย่างถูกต้อง งั้นขอให้สนใจ ถ้าธรรมะไม่มีมาความเป็นมนุษย์ไม่ถูกต้อง ขอให้ธรรมะมีเข้ามา อาชีวะคือการดำรงชีวิตนั้นจะถูกต้องเอาไว้สนใจธรรมะ โดยคร่าวๆก็อย่างที่กล่าวนี้ หน้าที่ที่ทำให้เกิดความรอดคือหน้าที่ หน้าที่ไม่มีหน้าที่ก็คือตาย เห็นก็เห็นอยู่แล้วไม่ต้องใครบอก ไม่ต้องใครสอนก็เห็นอยู่ได้ มนุษย์ต้องทำหน้าที่ที่ถูกต้องไม่งั้นก็ตาย สัตว์เดียรัจฉานวัวควายมันทำหน้าที่ที่ถูกต้องแล้วก็ไม่ตาย ต้นไม้ต้นไร่ก็ทำหน้าที่ตามเรื่องต้นไม้ตามที่เรียนมาตามที่เราเรียนรู้กันอย่างวิชาชีวิทยาทางพฤกษา ทำหน้าที่มันจึงรอดอยู่ได้และไม่ตาย รู้จักคายคาร์บอนรู้จักคายอ๊อกซิเจนรู้จักทำหน้าที่ถูกต้องตามเวลาตามโองการของมันมันจึงไม่ตาย งั้นชีวิตคนก็ดี ชีวิตสัตว์ก็ดี ชีวิตต้นไม้ก็ดี มันอยู่ด้วยหน้าที่ ต่อชีวิตของพวกเทวดาบนสวรรค์มันก็ต้องทำหน้าที่ที่ถูกต้องมันจึงไม่ตายจึงจะรอดอยู่ได้ นี่เราจึงมานิยามถ้อยคำของคำว่าธรรมะกันด้วยความใคร่ครวญให้ๆ ให้ถูกกับเรื่องจริงจริง ให้ถูกกับความจริงแต่ที่จะมาใช้ประโยชน์ได้มากอย่างไร ถ้าเรามาถือเป็นหลักธรรมะใช้จำให้ดีๆ ธรรมะคือระบบการปฎิบัตินี้คำแรก ระบบการปฏิบัติละก็ที่ถูกต้องนี้คำที่สองผิดพลั้งไม่ได้ แต่ความรอดนี่คำที่สาม ทั้งทางกายและทางจิต ทั้งทางกายและทางจิต และทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการนี่คำที่ห้าที่หก คำสุดท้ายว่าทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น ธรรมะคือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น ทีนี้พอแล้วมันยาว มันยาวมากอยู่แล้ว ก็มาใคร่ครวญดู ธรรมะคือระบบการปฏิบัติ ต้องขอใช้คำว่าระบบ เพราะมันต้องทำเป็นระบบมันไม่ใช่สิ่งเดียวโดด ธรรมะที่จะมาปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์นี้ต้องธรรมะทุกๆองค์ประกอบละเป็นระบบ งั้นเราจึงไม่ใช่ปฏิบัติอย่างเดียว ต้องปฏิบัติหลายๆอย่างเป็นหนึ่งระบบ ปฏิบัติแต่อย่างเดียวไม่สำเร็จประโยชน์ ต้องปฏิบัติให้ครบระบบจึงใช้คำว่าระบบของการปฏิบัติ ทีนี้คำถัดไปก็ถูกต้องๆ Right ที่ใช้กันทั่วสากลโลก Right ที่มันแปลว่าถูกต้องแก่อะไรนั่น มันต้องถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องไม่ใช่ธรรมะ ถูกต้องแก่อะไรแก่ความรอด ในโลกนี้มีอะไรที่ว่าสูงสุดไปกว่าความรอด ก็นิพพานคือความรอดชั้นสูงสุด สิ่งที่กลัวกันนักก็คือความตาย ความรอดทางกายทางวัตถุทางจิตทางนั้นเป็นความรอด เป็นความรอดแล้วก็ทั้งทางกายและทางจิต พวกวัตถุพวกกายนี้เป็นทางกาย พวกจิตพวกสติปัญญานี้เป็นทางจิต จะให้สั้นขึ้นมาก็ทางกายและทางจิต รอดจากทางกายไม่ได้ รอดจากทางจิตมันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางที่จะแยกกันได้กายกับจิต ภาษาธรรมะกายกับจิตเขารวมเป็นคำเดียวกันเป็นเอกพจน์เป็นซิงกูล่าร์ กายจิต ใช้คำว่ากายจิตแต่ไม่ใช่กายและจิต คือมันรวมเป็นสิ่งเดียวกันเสีย เพราะเหตุว่ามันไม่อาจจะอยู่โดยแยกกันได้ มีกายโดยไม่มีจิตมีไม่ได้ มีจิตโดยไม่มีกายมีไม่ได้เขาจึงเรียกนามรูปๆ ใจกายๆหนึ่งเดียว นี่มันยังที่แบ่งแยกก็แบ่งแยกโดยการพูด เพื่อให้การปฏิบัติมันง่ายเข้า และถ้าโดยความจริงโดยพฤตินัยแล้วกายกับใจไม่เคยแยกกันตามหลักภาษาบาลีเรียกว่านามรูป ถ้าแปลเป็นไทยก็ต้องแปลว่าใจกาย อย่าไปอย่าไปแปลว่าใจและกาย อย่าไปคนละ ใจและกาย มันจะเป็นสองสิ่งไปเสีย ตามความเป็นจริงที่มันกำลังเป็นอยู่นี้มันสิ่งเดียวๆนี่ขอให้เข้าใจอย่างนี้ แต่เราแยกปฏิบัติจึงจะสมบูรณ์ ระบบกายให้มันถูกต้องทางระบบกาย ระบบจิตถูกต้องทางระบบจิต มันก็หมดปัญหา รวมกันแล้วว่ามันเป็นถูกต้องของชีวิตซึ่งประกอบอยู่ด้วยกายและจิต ทีนี้มันทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการหมายความว่า ตั้งแต่ออกจากท้องมารดาจนเข้าโลงวิวัฒนาการ คลอดมาจากท้องมารดาเป็นอะไรเป็นทารกเป็นเด็กเป็นกุมารเป็นยุวชนเป็นคนหนุ่มสาวเป็นพ่อบ้านแม่เรือนเป็นคนแก่เฒ่าเข้าโลงดูจะรู้จักกันเพียงแค่เข้าโลงไม่รู้จักไปไกลกว่านั้น เพราะเรียนธรรมะน้อย ถ้าเรียนธรรมะมากก็ออกตั้งแต่ออกจากท้องแม่จนกว่าจะนิพพานมันก็นิพพานนั้นแหละมันจบหมดจริง นี้ก็รู้จักแต่เพียงเข้าโลงสั้นนิดเดียว ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการหมายความอย่างนี้ แต่ถ้าจะพูดให้กว้างกว่านั้นก็ได้เหมือนกันว่าขั้นตอนโดยยุคโดยสมัย ขั้นตอนของมนุษย์ที่ยังเป็นป่าเถื่อนเป็นมนุษย์หินเป็นมนุษย์อะไรมาตามลำดับจนมาถึงยุคที่เจริญ เดี๋ยวนี้เป็นมนุษย์ที่ไปเที่ยวโลกพระจันทร์ได้เหมือนกับไปเที่ยวหลังบ้านนี้ เพราะจริงทุกขั้นตอนตั้งแต่เป็นมนุษย์หินมาเลย จนถึงยุคที่มันเก่งขนาดนี้แล้ว ยุคต่อไปข้างหน้าก็ยังถูกต้องอยู่ล่ะธรรมะนี้ยังถูกต้องอยู่เคยถูกต้องคนสมัยหินมาอย่างไรก็ถูกต้องคนสมัยวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ยังนั้นและต่อไปข้างหน้าอีกก็ยังถูกต้องต่อไป สิ่งที่เรียกว่าธรรมะจะเป็นอย่างนั้น ทุกขั้นตอนที่มีวัฒนาการในความหมายเล็กหรือในความหมายใหญ่ก็ตาม ทีนี้อันสุดแท้ทั้งตัวเองและผู้อื่น ทั้งตัวเองและผู้อื่น นั่นนะๆใจความที่สำคัญที่สุด คำว่าผู้อื่นคือเพื่อนมนุษย์ถูกต้องแต่เราคนเดียวนะมันใช้ไม่ได้ เพราะเราไม่อาจจะอยู่คนเดียวในโลกได้ ธรรมชาติก็มิได้สร้างมาเพื่อให้เราอยู่คนเดียว ธรรมชาติมิได้สร้างมาให้เราอยู่คนเดียว ดูอะไรที่มันอยู่สิ่งเดียวคนเดียวต้นไม้ก็ดีสัตว์ก็ดีคนก็ดี ธรรมชาติมันสร้างมาสำหรับอยู่กันมากๆ งั้นเราต้องรับรู้ถึงการที่จะอยู่กันมากๆ มันก็ต้องมีธรรมะสำหรับจะอยู่กันมากๆ ความเห็นแก่ตัวเป็นข้าศึกอย่างยิ่งที่จะทำลายอุดมคติที่ว่าจะอยู่กันมากๆอย่างผาสุก งั้นคอยสนใจไว้ว่าประโยชน์นั้นต้องแยกออกไปตามหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แบ่งเป็นสามนั่นนะไม่ใช่ตนเองและผู้อื่นแต่เป็นสาม อัตตโถประโยชน์ตน ปรัตโถประโยชน์ผู้อื่น อุภยัตโถประโยชน์ที่เนื่องกัน ท่านยังมองแง่อีกแง่ว่าประโยชน์ที่เนื่องกัน ไม่ใช่ประโยชน์ตนและผู้อื่น ประโยชน์ตนส่วนตนเอาไป ประโยชน์ผู้อื่นให้ไปแต่มันยังมีประโยชน์อีกชนิดหนึ่งที่ต้องเนื่องกันๆ นั้นเรียกว่าอุภยัตโถ แต่เราพูดกันในโลกนี้เพียงสอง ประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่น โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าท่านฉลาดกว่าท่านมองเห็นความที่ต้องอยู่ด้วยกันจะต้องสัมพันธ์กัน จะต้องรักผู้อื่นจะต้องช่วยผู้อื่นจึงมีคำว่าอุภยัตโถเข้ามา เอาล่ะเป็นอันว่าครบถ้วน
ธรรมะ ในภาษาไทยเรียกว่าหน้าที่ ธรรมะคือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น ผู้ใดมีธรรมะครบถ้วนในบทนิยามอย่างนี้ผู้นั้นมีอาชีวะสูงสุด อาชีวะสูงสุด อาชีวะในความหมายที่ถูกต้องอย่างที่กล่าวมาแล้วว่าระบบการดำรงชีวิตทั้งหมด ไม่ใช้เพียงแต่รู้จักหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง สุนัขแมวปูปลาหนูอะไรของมันรู้จักอาชีวะอย่างนั้นมันไม่พอ เพียงแต่รู้จักหากินมันยังไม่เรียกว่าอาชีวะที่ถูกต้อง มันต้องเป็นการดำรงชีวิตทุกแง่มุมอย่างถูกต้องแล้วก็จะเรียกว่าอาชีวะ รู้จักความหมายของธรรมะ ของธรรมะให้ครบอย่างที่ว่า แล้วปฏิบัติแล้วสิ่งที่เรียกว่าอาชีวะการดำรงชีวิตอันสูงสุดจะเกิดขึ้นเป็นชีวิตเย็น เป็นชีวิตเย็น เป็นชีวิตนิพพาน ขอประท้วงไปอีกคำหนึ่ง พวกครูทั้งหลายสอนผิดๆนะ สอนธรรมะว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าถูกไม่ได้ขี้เล็บนะ แล้วยังสอนอีกคำว่านิพพานแปลว่าตาย นี่มันผิดยิ่งกว่าผิด ผิดไม่มีอะไรเหลือเลย นิพพานแปลว่าตาย ตายของพระอรหันต์ ต้องเป็นคำคำว่าตาย พระราชาตายเรียกว่าอะไร มนุษย์ธรรมดาตายเรียกว่าอะไร ช้างตายเรียกว่าอะไร เอานิพพานเป็นการตายของพระอรหันต์นี่มันตู่ที่สุดมันผิดที่สุด เพราะว่านิพพานไม่ได้ตาย นิพพานไม่ต้องตาย นิพพานมันไม่ต้องตาย มีชีวิตที่เยือกเย็นหมดกิเลส หมดความทุกข์ ชีวิตนั้นเรียกว่าบรรลุสิ่งที่เรียกว่านิพพาน นิพพานไม่ต้องตายและยังๆไม่รู้จักตายด้วย หากว่าที่เย็นไม่มีความทุกข์นั้นจะอยู่ตลอดนิรันดร ปฏิบัติถึงที่สุดเมื่อไรจะได้รับทันที ปฏิบัติไม่ถึงที่สุดก็ไม่ไม่ได้รับนิพพาน นิพพานไม่ปรากฎ นิพพานไม่รู้จักตาย ตัวมันเองไม่ตาย และนิพพานไม่ใช่ความตายของใคร คำนี้มันใช้ผิดๆกันมาตั้งแต่แรกนะ นิพพานเป็นตาย นิพพานเป็นสิ่งสูงสุดที่ทุกลัทธิศาสนาเขาต้องการนิพพานๆ เขาเข้าใจอย่างไรเขาก็เอาอันนั้นเป็นนิพพาน นิพพานตั้งแต่ของคนโง่ที่สุด จนถึงคนฉลาดที่สุดตามที่ปรากฎอยู่ในพระบาลีพรหมจารสูตรเป็นต้น คนยุคหนึ่งเคยเอากามารมณ์เป็นนิพพาน เพราะให้ความสบายใจพอใจสูงสุดแก่เขายุคนั้นเอากามารมณ์เป็นนิพพาน นั่นก็ยังเหลืออยู่จนบัดนี้ ทีนี้ต่อมาพวกหนึ่งโอไม่ได้ๆบ้า พวกนี้ไปค้นพบทางด้านจิตใจที่ยิ่งเยือกเย็นเป็นสุขเพราะสมาธิ เพราะสมาบัตินั้น เขาก็เอาสมาธิขั้นแรกๆเป็นนิพพาน พบสูงขึ้นไปก็เลื่อนสูงขึ้นไป สมาธิมีหลายขั้นๆ ที่เป็นรุปฌานมี ๔ ขั้น ที่เป็นอรูปฌานมี ๔ ขั้น รวมกันเป็น ๘ ขั้น ที่มันจะเป็นวัตถุเอามาเป็นนิพพานได้ตั้ง ๘ ขั้น จนถึงยุคที่เขามีสมาธิเป็นนิพพาน สูงสุดกันแค่เนวสัญญานาสัญญายตน ที่ครูคนสุดท้ายของพระพุทธเจ้า สิทธัตถะไปเรียนนะเรียกว่า อุทกดาบสรามบุตรสอนท่านสุดท้าย เรียกว่าเนวสัญญานาสัญญายตน ชีวิตที่เย็นถึงขณะนั้น และอาจารย์นั้นก็บอกพระสิทธัตถะว่ามีเท่านี้จบแล้ว วิชานี้สูงสุดแล้วมาช่วยสอนกันสอนต่อไป พระพุทธเจ้าไม่ๆๆ ไม่เห็นด้วยแค่นี้ยังไม่จบ ท่านจึงทิ้งอาจารย์ออกไปหาของพระองค์เองแล้วก็พบนิพพานอันสุดท้ายที่แท้จริงคือความหมดกิเลส หรือจะพูดให้มันน่าหัวร่อความหมดตัวกู ความหมดตัวกู เพราะที่แล้วๆมาแม้จะมีรสชาติประสาทประเสริฐประหลาดเท่าไรมันก็ยังมีตัวกูตัวกูแบบตัวกูอยู่นั้น สลัดอัตตาตัวตนทิ้งออกไปเสียหมดตัวกูนี้เป็นนิพพาน ไม่ตาย ไม่เกี่ยวกับความตาย ความตายเป็นเรื่องของเปลือกของสังขารของร่างกาย คุณธรรมเหล่านั้นไม่ตาย พระพุทธเจ้าไม่ตาย พระอรหันต์ไม่ตาย นิพพานไม่ใช่ความตาย ครูทั้งหลายสอนผิดเท่าไรคุณลองไปดูเอง มันผิดยิ่งกว่าที่บอกว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นั้นมันยังจะถูกอยู่สักหยิบมือนึงได้ แต่ถ้าสอนแบบนิพพานนี้คือตายนี้มันผิดทั้งร้อยผิดหมดไม่มีอะไรเหลือ นิพพานคือชีวิตที่เย็น เย็นเพราะไม่มีไฟคือความร้อน คำว่านิพพาน นิพพานนี้เป็นคำที่ยืม ยืมคำของชาวบ้านไปใช้ในทางศาสนา มนุษย์พูดคำนิพพานๆอยู่กาลก่อนเกิดศาสนา ชาวบ้านที่ไม่รู้ธรรมะเนี่ยเขาใช้คำนี้กันมาแล้วตามภาษาคนนะ นิพพานแปลว่าดับไฟดับแห่งความร้อน อะไรที่ร้อนดับก็เรียกว่านิพพาน ถ่านไฟดับก็เรียกว่านิพพาน ข้าวแกงเย็นลงพอจะกินได้ก็เรียกว่ามันนิพพาน สัตว์เดรฉานฝึกดีแล้วไม่มีอันตรายก็เรียกว่ามันนิพพาน นั้นก็สิ่งที่มีความร้อนดับลงแล้วก็เรียกว่านิพพาน คำนี้ชาวบ้านพูดอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดก่อนศาสนาใดๆเกิด นิพพานแปลว่าดับลงแห่งความร้อน ดับในที่นี้ไม่ใช่ไม่ใช่หมายความว่ามันไม่มีค่าอะไร มันเย็นความร้อนมันดับมันเหลืออยู่เป็นความเย็น เย็นลงแห่งความร้อน quenching of the heat ใช้คำว่า quench จะถูกต้องที่สุดที่ใช้คำว่านิพพานคือมัน quench ไอ้ร้อนๆลงมาให้เย็น ไอ้ quench ความยุ่งยากลงมาให้มันหมดความยุ่งยาก ไอ้นิพพานโดยความหมายเดิมแปลว่าเย็นๆๆไม่มีความร้อน เดี๋ยวนี้เราก็ต้องการชีวิตที่เย็นที่ไม่มีความร้อน ก็หมายความว่ากิเลสมันหมดอำนาจไป มันก็เหลือแต่ความเย็นถ้ายังมีกิเลสมันเย็นไม่ได้ เดี๋ยวมันรัก เดี๋ยวมันโกรธ เดี๋ยวมันเกลียด เดี๋ยวมันกลัว เดี๋ยวมันตื่นเต้น เดี๋ยวมันวิตกกังวล เดี๋ยวมันอาลัยอาวรณ์ เดี๋ยวมันอิจฉาริษยา เดี๋ยวมันหวง เดี๋ยวมันหึง มันบ้าทั้งนั้นเลย มันเย็นไม่ได้ ต่อไม่ไม่มีกิเลสไม่มีผลน่ะของกิเลสเหล่านี้ล่ะเย็น เย็นนี้คือนิพพาน นิพพานมีชีวิตที่เย็น เย็น เย็นสูงสุดหมดกันเลยนี่เรียกว่านิพพานสมบูรณ์ เย็นตามประสาที่จะทำกันได้เดี๋ยวนี้เรียกว่านิพพุติ ก็จำคำนี้ไว้ด้วย นิพพานที่ยังไม่ถึงขั้นสูงสุดก็เรียกว่านิพพุติ ชาวบ้านได้ยินๆบ่อยได้ยินเป็นสิบๆครั้งแล้วร้อยครั้งพันครั้งก็ไม่เข้าใจ มีการรับศีลพที่ไหนเมื่อไหร่ที่ไหนพระจะบอกคำนี้ สีเลนะสุคะติง ยันติ สีเลนะโพคะสัมปะทา แล้วบันทัดนี้ สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย คุณได้ยินมากี่สิบครั้ง กี่ร้อยครั้งพันครั้งถึงหรือยัง แล้วทำไมไม่สนใจคำว่านิพพุติง นิพพุติงจะได้เพราะศีล คือความเย็นในระดับที่ยังไม่ถึงนิพพานนั่นแหละ มันจะได้เพราะศีล ชีวิตเย็นๆ เย็นอยู่ที่นี่เย็นไปพลางๆกว่าจะหมดสิ้นเชิงช่วยลดความร้อนลงไป ลดความร้อนลงไปหมดสิ้นเชิงเมื่อใดเป็นนิพพาน ถ้าเย็นอยู่อย่างนี้ก็เรียกว่านิพพุติ นิพพุติ ผู้ที่ประกอบไปด้วยธรรมะและจะมีนิพพุติคือมีความเย็นตามสมควร การดำรงชีวิตในครอบครัวก็เย็นได้เย็นตามมาตรฐานอันนี้ได้ไม่ต้องเป็นพระอรหันต์หรอก อย่าลืมว่าเย็นชีวิตเย็นๆเป็นการดำรงชีวิตที่ดี เป็นอาชีวะคือการดำรงชีวิตที่ถูกต้องจนเกิดความเย็นขึ้นมาในสิ่งที่เรียกว่าชีวิต นะคือนิพพาน งั้นท่านคงจะรู้ได้เองนะว่านิพพานนั่นแหละเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของสิ่งที่เรียกว่าอาชีวะและในโรงเรียนหรือในวิทยาลัยของคุณสอนอย่างนี้หรือปล่าว ที่ว่านิพพานเป็นจุดหมายปลายทางของสิ่งที่เรียกว่าอาชีวะ แต่โดยหลักธรรมะมันเป็นอย่างนี้ มันไม่น่าฟังมันชวนง่วงแล้วก็หลับ มันเป็นเรื่องที่ฟังไม่ถูกฟังไม่ออกแล้วก็ไม่เข้าใจอะไรได้ ชีวิตเย็น เราพูดกับฝรั่งต้องใช้คำอย่างนี้ ชีวิตเย็นหรือชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ เดี๋ยวนี้เรากำลังมีกันแต่ชีวิตที่กัดเจ้าของ ไอ้ที่มันออกชื่อมาแล้ว ความรักความโกรธความเกลียดความกลัวความตื่นเต้นวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์อิจฉาริษยาหวงหึง เนี่ยมันกัดเจ้าของทั้งนั้นแหละมันกัดถึงกระดูก กัดกันจนบ้า กัดจนฆ่าตัวตาย ชีวิตนี้กัดเจ้าของไม่ใช่ชีวิตแท้ ไม่ใช่ชีวิตที่พึงปรารถนา ชีวิตที่แท้ที่เย็นไม่กัดเจ้าของ มีความรู้จักทำให้ชีวิตเย็นล่ะไม่กัดเจ้าของรู้วิธีที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าชีวิตก็ไปตรงกับความหมายของคำว่านิพพาน คือหมดตัวกู หมดตัวกูไม่มีความโง่ว่าชีวิตเป็นตัวกู ชีวิตเป็นของกูอีกต่อไป ชีวิตก็หมดความเป็นของหนัก ไม่เป็นภาระไม่เผาลนไม่ผูกพัน ไม่เป็นภาระหนักแก่จิตใจ ไม่เผาลนให้ร้อน ไม่ผูกพันให้ยุ่งเหมือนติดโซ่ติดตรวน ไม่ร้อน ไม่เผาลน ไม่ผูกพันชีวิตที่เย็น เดี๋ยวนี้การศึกษาทั้งโลกมันมุ่งหมายอย่างนี้หรือปล่าว การศึกษาทั้งโลกมันมุ่งหมายอย่างนี้หรือปล่าว มุ่งหมายชีวิตเย็นหรือปล่าว มันหลับหูหลับตามีแต่สุมไฟให้มากให้ร้อนยิ่งขึ้นไป การศึกษาในปัจจุบันนี้ในโลกนี้มันต้องการจะหาเหยื่อของกิเลสให้มากให้แปลกออกไป ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมผลิตออกมาเลย แม้นมันจะเป็นผลิตวิทยุ ผลิตคอมพิวเตอร์ อิเล็คทรอนิกส์ก็ตามก็เพื่อส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมไฟคือตัณหาทั้งนั้นแหละ งั้นโลกนี้มันไม่มีทางจะเย็น แล้วสิ่งที่ผลิตออกมาแสนจะวิเศษนั้นก็ไม่ได้เอามาใช้เพื่อดับไฟ เอามาใช้เพื่อส่งเสริมไฟ คนเปิดวิทยุฟังส่วนมากฟังเพลงทั้งนั้น เอาตะพายหลังไปเกี่ยวข้าวในนาก็ฟังอยู่ก็มี มันไม่ได้ใช้เพื่อดับไฟ แม้แต่เครื่องคอมพิวเตอร์บ้าๆบอๆนี้มันก็เพื่อส่งเสริมความมากของกิเลสทั้งนั้น ไม่ได้เพื่อความลดกิเลส มันไม่ได้จัดให้ทุกสิ่งที่แสนจะวิเศษทางอวกาศทางปรมาณูอะไรก็ตามให้มันดับกิเลส มีแต่ส่งเสริมกิเลส ไปโลกพระจันทร์เพื่อที่จะเอาเปรียบผู้อื่น อะไรๆมันก็เพื่อส่งเสริมไฟ ดังนั้นไฟในโลกปัจจุบันนี้มันจึงเต็มไปหมดเหลือประมาณที่จะดับได้ เพราะเครื่องมือเหล่านี้มันเอาไปใช้ผิด มาแต่ มีมูลมาจากการศึกษาบ้าๆบอๆ สอนให้ฉลาดอย่างเดียวไม่มีการควบคุมความฉลาด ไปนึกถึงข้อนี้เป็นข้อแรกการศึกษาในโลกมีแต่ทำให้ฉลาด ฉลาดแล้วไม่ควบคุมความฉลาด มันก็เอาความฉลาดไปส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว งั้นขอให้เรามีธรรมะ มีธรรมะเถิด มันถึงจะย้อนกลับไปหาความเย็น หาความสงบสุขไม่มีน้ำแข็งกินใจมันก็เย็นกว่าคนกินน้ำแข็ง ไม่มีไฟฟ้าใช้หูตามันก็สว่างกว่าคนมีไฟฟ้าใช้ ไม่ต้องมีเรือบินมันก็ไปไหนได้ถูกต้องกว่าเร็วกว่า เพราะความถูกต้องของธรรมะเป็นอันว่าในที่สุดมันมาสรุปรวมอยู่ที่ธรรมะคำเดียว สำหรับสิ่งที่เรียกว่าอาชีวะ คือดำรงชีวิตจนถูกต้องเป็นชีวิตเย็นไม่กัดเจ้าของ เดี๋ยวนี้เรามันโง่มีอะไรก็มีสำหรับกัดเจ้าของแม้แต่มีชีวิตก็มีสำหรับกัดเจ้าของ มีทรัพย์สมบัติก็มีสำหรับกัดเจ้าของให้มันร้อนให้มันยุ่งยากมากขึ้น มีเมียสำหรับกัดผัว มีผัวสำหรับกัดเมีย จริงหรือไม่จริงไปดู มันมีแต่สำหรับกัดเจ้าของ เพราะความโง่ เพราะความยึดมั่น ถือมั่นว่าตัวกู ว่าของกู ธรรมะเข้ามามันจะสลัดไอ้ความยึดมั่นเหล่านี้ให้ออกไป จะไม่มีอะไรเป็นของร้อน ทรัพย์สมบัติจะไม่เป็นของร้อน เกียรติยศชื่อเสียงจะไม่เป็นของร้อน อำนาจวาสนาจะไม่เป็นของร้อน ถ้ากิเลสเข้ามามันใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อความร้อน ทำตัวเองให้เดือดร้อน ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เพราะมันขาดธรรมะ มันเจริญด้วยวิชาความรู้ปัญญา ปัญญาเหนือจะกล่าวแล้วแต่มันขาดธรรมะ มันเลยกลายเป็นสร้างของร้อนไม่สร้างของเย็น งั้นคอยสร้างธรรมะความรู้ที่สูงสุดรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอย่างไร ชีวิตเป็นอย่างไร ใจความสำคัญก็คือไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของตน เป็นธรรมชาติเป็นอย่างนั้นเองมีกฎตายตัว อยากจะให้อะไรเกิดขึ้นก็จงทำอะไรให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติในข้อนั้น อยากให้ความร้อนเกิดขึ้นก็เอาสิ ทำให้ถูกต้องกฎเกณฑ์ของความร้อนมันเกิดขึ้น อยากมีความเย็นก็ทำให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของความเย็น โลกนี้จะเย็นชีวิตนี้จะเย็น ธรรมะคือความถูกต้องมันสำหรับจะไปพบกับชีวิตเย็น จิตที่มีธรรมะนั้นมันคงที่ มันไม่ไปหลงบวกหลงลบ จิตที่ยังโง่อยู่มันจะหลงบวกหลงลบ ถูกใจเรียกว่าบวกไม่ถูกใจเรียกว่าลบ จิตนี้มันยังโง่อยู่จนอะไรๆมาทำให้เป็นบวกและเป็นลบ วันหนึ่งๆจิตใจเป็นบวกเป็นลบเป็นบวกเป็นลบกี่ร้อยตลบ กี่ร้อยกี่พันตลบไปคิดดู ถ้ายังเป็นบวกเป็นลบแล้วมันยังกระหืดกระหอบ ดีใจก็วุ่นแบบหนึ่ง เสียใจก็วุ่นแบบหนึ่ง ใช้ไม่ได้ทั้งดีใจและเสียใจ เหนือดีใจเหนือเสียใจ ว่างดีกว่านั้นนะเป็นความสงบเย็น หัวเราะก็ไม่ไหว ร้องไห้ก็ไม่ไหว มันเป็นคู่ตรงกันข้าม เป็นคู่คู่คู่เหล่านั้น เรียกว่าบวกและลบ ล้วนแต่ทำให้วุ่นวาย ดีใจก็เหนื่อยไปตามแบบดีใจ เสียใจก็เหนื่อยไปตามแบบเสียใจ ทั้งดีใจและเสียใจไม่ใช่ความสงบ ต่อเมื่อมันไม่ต้องดีใจไม่ต้องเสียใจนั้นนะเป็นความสงบ ขอให้ไปสังเกตุดูเองอย่าเชื่อใคร ไม่ต้องเชื่อใครว่าเวลาที่สบายใจที่สุดเวลานั้นดีใจหรือเสียใจ ถ้าฉลาดก็จะพบว่ามันไม่เกี่ยวกับดีใจหรือเสียใจ มันเหนือดีใจและเสียใจ เวลานั้นนะสบายที่สุดแต่มันหายาก หายากสำหรับปุถุชนคนธรรมดา มันอยู่ก็ด้วยแต่ด้วยความดีใจหรือเสียใจเหล่านั้น พระอรหันต์ที่ว่าบรรลุนิพพานแล้วไม่ตายล่ะ ท่านอยู่เหนือความดีใจเสียใจเหนือสุขเหนือทุกข์ เหนือได้เหนือเสีย เหนือแพ้เหนือชนะ เหนือบุญเหนือบาปเหนือดีเหนือชั่วเหนือไปหมดกระทั่งเหนือความเป็นหญิงเป็นชาย ปัญหาทางเพศมันไม่มีมันจึงเย็น นี้เรียกว่าจิตคงที่ คงที่ไม่มีอะไรมาทำให้เป็นบวกหรือเป็นลบได้ สูงสุดธรรมะนี้สูงสุดเรียกว่าอตัมมยตา คงจะแปลกหูท่านทั้งหลายส่วนมากนี่ มันแปลกหูสำหรับคนไทยส่วนมากเหมือนกัน เพราะไม่ค่อยเอามาพูดกันเป็นคำมีอยู่ในพระไตรปิฎกซ่อนเร้นอยู่เพราะไม่รู้อะไรจึงไม่ค่อยเอามาพูด คือความสูงสุดของธรรมะ เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง จนไม่หลงบวกไม่หลงลบอิทธิพลของบวกลบ ไม่มีไม่มีอิทธิพลแก่จิตใจชนิดนี้ จิตใจชนิดนี้เรียกว่ามีอตัมมยตา แปลเป็นไทยก็ตามตัวหนังสือก็แปลว่า อันอะไรๆปรุงแต่งไม่ได้ ตัวหนังสือแท้ๆแปลว่าไม่สำเร็จมาจากปัจจัยนั้นๆ คือปัจจัยนั้นๆไม่ทำอะไรได้ พูดให้คนธรรมดาฟังพูดให้แม้ฝรั่งฟังก็ยังต้องพูดว่า สมมุติว่าหญิงสาวคนหนึ่งมีธรรมะคืออตัมมยตาอยู่ในใจ ต่อให้ชายชู้ฉลาดๆสักฝูงหนึ่งก็มาเกี้ยวไม่สำเร็จ อตัมมยตาหมายความว่าอะไร หรือชายหนุ่มคนหนึ่งมีอตัมมยตาอยู่ในใจ ให้หญิงสาวสวยๆอย่างเทวดาเทพธิดานางฟ้ามาสักฝูงหนึ่งก็เกี้ยวเอาไปไม่สำเร็จนั่นคืออตัมมยตา หมายความว่าอะไร หมายความว่ามันไม่ผันแปรไปตามปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็อยู่ในโลกนี้มันมีสิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจสารพัดอย่างและจิตใจก็เปลี่ยนแปลงเป็นบวกเป็นลบขึ้นลงๆๆ นั้นเรียกว่ายังไม่มีอตัมมยตา ถ้ามันรู้จักสิ่งเหล่านั้นว่ามันโอ้เช่นนั้นเอง แค่นั้นเอง เช่นนั้นเองแล้วมันไม่เปลี่ยนไปเป็นบวกเป็นลบเนี่ยอตัมมยตา ถ้าใครมีอตัมมยตาคนนั้นเป็นพระอรหันต์เรียกว่า อตัมมนโย นั้นแหละสูงสุดแห่งอาชีวะ สูงสุดแห่งการดำรงชีวิต ดำรงชีวิตสูงสุด ด้วยการมีอตัมมยตา คุณไปดูในปทานุกรมไทย ปทานุกรมอังกฤษ ยังไม่มีคำนี้ ปทานุกรมของมนุษย์ แต่มันมีในพระไตรปิฎกมีหลายแห่ง หลายต่อหลายแห่งว่าจะพูดให้ฝรั่งฟังไม่รู้จะแปลว่าอะไร ถ้าที่เรานึกออกเวลานี้ก็ Unconcoctability Concoctable แปลว่าปรุงแต่งได้ Unconcoctable ปรุงแต่งไม่ได้ Unconcoctability ภาวะของการที่อะไรๆปรุงแต่งไม่ได้ จะไม่มีใครเคยพูดหรือไม่เคยได้ยิน อตัมมยตาก็ดี Unconcoctability ก็ดีมันยังไม่เคยพูดมันไม่เคยได้ยิน แต่มันมีอยู่ในพระไตรปิฎก ในฐานะเป็นธรรมะสูงสุด ขั้นสุดท้ายของการเห็นความจริงนี้ต้องเห็นอตัมมยตา เห็นอนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา แล้วก็เห็นธัมมัฎฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา แล้วก็เห็นสุญญตา ตถตา เห็นอตัมมยตาเป็นอันสุดท้าย ตั้งต้นมาเห็นจาก อนิจจัง ทุขขัง อนัตตา จะมาสูงสุดก็เห็นอตัมมยตา ยอดสุดของธรรมะที่จะแก้ปัญหาทั้งปวงได้ ใครมีสิ่งนี้คนนั้นดำรงชีวิตสูงสุด เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง โดยเหนือความสุขด้วย ความสุขนี้เป็นสิ่งสมุมติสำหรับคนมีกิเลสมันชอบใจ ผู้ไม่มีกิเลสและไม่สนใจทั้งทุกข์และสุข มันอยู่เหนือทุกข์และสุขเขาเรียกโลกอุดรๆ แต่ก็อยู่ในโลกนี้ โลกอุดรอยู่ในโลกนี้ ทุกอย่างในโลกนี้มันทำอะไรไม่ได้มันก็มีโลกอุดร เหนือปัญหาความเกิดความแก่ความเจ็บความตายบ้าๆบอมาทำอะไรคนนี้ไม่ได้ ไม่มีความหมายอะไรกับคนๆนี้ คนนี้อยู่ในโลกนี้แต่เรียกว่าอยู่ในโลกอุดรอยู่เหนือโลก นั้นจุดสูงสุดของอาชีวะคือการดำรงชีวิตมันอยู่ที่นี่ ท่านทั้งหลายจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยชอบใจไม่ชอบใจก็ได้ แต่ขอร้องอย่างยิ่งเอาไปคิดดู เอาไปคิดดู พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ ท่านสอนไว้อย่างนี้ จะมีประโยชน์หรือไม่ประโยชน์ก็ขอให้ไปคิดดูพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าไม่ต้องเชื่อทันที แม้พระพุทธเจ้าพูดเอง เอาไปใคร่ครวญดู ถ้ามันจะดับทุกข์ได้ก็ลองปฏิบัติดู พอมันดับทุกข์ได้จึงค่อยเชื่อ เสรี เสรีประชาธิปไตยทางความคิด ความเห็นไม่มีอะไรจะสูงสุดเท่าที่พระพุทธเจ้าท่านให้ ให้เสรีภาพจนไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าเอง แต่เราไม่ค่อยใช้กันนะ เราคอยแต่จะฟัง จำแล้วก็เชื่อ ไปยึดถือเป็นเรื่องโง่หนักเข้าไปอีก กลายเป็นเรื่องไสยาศาสตร์อะไรเข้าไปก็ไม่รู้ ขอให้มีธรรมะด้วยสติปัญญาอันแจ่มกระจ่างในทุกสิ่งทุกอย่างที่มาเกี่ยวข้องกับเราแล้วมันก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดๆ ไม่มีของหนักมากดทับจิตใจ ไม่มีของร้อนมาเผาผลาญจิตใจไม่มีของอีรุงนุงนังมาผูกพันจิตใจนี่ เรียกว่าหลุดพ้นๆๆ เสรีภาพสูงสุดในทางวิญญาณจุดมุ่งหมายปลายทางของการมีชีวิตทุกชนิด ถ้ายังไม่ถึงจุดนี้ชีวิตยังไม่ถึงที่สุด ไม่ถึงที่สูงสุด ถึงจุดนี้แล้วก็สูงสุดแล้วก็ไม่ตายจุดนี้เรียกว่านิพพาน นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย เลิกสอนเด็กๆว่านิพพานแปลว่าตายกันเสียทีเถิด
นี่การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาและเรี่ยวแรงของอาตมาแล้ว ขอขอบคุณท่านทั้งหลายมาช่วยใช้วัดนี้ให้เป็นประโยชน์ นี่ขอบคุณและอนุโมทนาที่มาแสวงหาธรรมะไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในหน้าที่การงาน ส่วนที่มันยังขาดอยู่นี้ขออนุโมทนา และขอให้เห็นว่าการศึกษาปัจจุบันมันไม่สมบูรณ์มันมีแต่ให้ฉลาดอย่างเดียวมันไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด จงหาสิ่งที่ควบคุมความฉลาดคือศาสนาอีกธรรมะ ธรรมะคือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น นิขอให้ได้สิ่งนี้ไปใช้ควบคุมชีวิตโดยตรง ควบคุมหน้าที่การงานควบคุมอะไรทุกอย่างกระทั่งขั้นตอนออกไปให้ถูกต้องๆ ก็จะเรียกได้ว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้รับสิ่งดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ขออนุโมทนาและขอตั้งความหวังว่าขอให้เป็นไปได้สำเร็จประโยชน์ตามนี้ด้วยกันจนทุกคนมีความสุขสวัสดีทุกเช้าราตรีกาลเทอญ