แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่มีหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีอนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้เพื่อมาแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อใช้เป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สำเร็จประโยชน์ยิ่งๆขึ้นไป ตามความหมายของคำว่าครู อาตมาจะไม่พูดถึงเรื่องวิชาครูหรืออะไรชนิดที่เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว แต่จะพูดถึงสิ่งอื่นที่ยังไม่ค่อยจะได้พูดถึงกัน หัวข้อที่จะพูดในวันนี้ก็จะมีสั้นๆว่า ครูใจเพชร ครูที่มีจิตใจเป็นเพชร
การที่มาพูดกันในเวลาหัวรุ่งอย่างนี้ มีเหตุผล มีความหมาย แต่ไม่เป็นที่พอใจสำหรับผู้ที่จะแสวงหาความสุขจากการนอน อยากจะระบุว่าชาวตะวันตก พวกฝรั่งทั้งหลายที่พวกเรากำลังไปตามก้นเขานั้นแหละ ในเรื่องการศึกษาอะไรก็ดี เขาไม่ชอบตื่นแต่เช้าอย่างนี้ อาตมาไปคบหาสมาคมกับพวกฝรั่งบางคน ในบางคราว รู้สึกว่าเขาไม่ชอบ แต่พวกเราชาวตะวันออกถือเป็นเรื่องที่มีความหมายในการที่จะตื่นแต่เช้าเช่นนี้ ถือเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการศึกษา พระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อเวลาจะใกล้รุ่งนี้ ต้องเป็นเวลาพิเศษที่ธรรมชาติช่วยเหลือให้เกิดความถูกต้องเหมาะสมอะไรบางอย่าง การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าหรือพระศาสดาองค์อื่นๆ มีเวลาใกล้รุ่งเป็นเวลาที่สำเริงสำราญเหมือนดอกไม้บานยามเช้า แม้แต่ดอกไม้ก็เป็นเวลาที่มันเบิกบานถึงที่สุด เราควรจะรู้จักใช้เวลาเช่นนี้ให้เป็นประโยชน์ไม่ใช่เป็นเรื่องทำให้เกิดความรำคาญ ที่จะมาพูดกันเวลาอย่างนี้ โลกเรานี้มันมีบรรยากาศที่ต่างกัน บรรยากาศยามเช้าก่อนรุ่งอย่างนี้ มันคล้ายๆกับว่าเป็นอีกโลกหนึ่ง มันจะไม่เป็นที่ปรากฎสำหรับคนที่นอนตื่นเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมาแล้ว โลกชนิดนี้มันไม่มีเสียแล้ว เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมาแล้ว ฉะนั้นขอให้รู้จักโลกในเวลาที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นหรือกำลังจะขึ้นดูบ้าง แม้ว่าจะไม่มาพูดกันในเรื่องธรรมะ เรื่องการศึกษาอะไร แม้แต่นั่งอยู่ที่บ้าน ก็ลองตื่นขึ้นมาชมโลกในเวลาชนิดนี้ดูบ้าง ถ้าสังเกตุสักหน่อยก็จะรู้สึกว่ามันเป็นคนละโลกจริงๆ ซึ่งคนนอนตื่นสายจะไม่ได้สัมผัส ไม่มีโอกาสจะสัมผัส ฉะนั้นอย่าได้ประหลาดใจหรือเห็นเป็นเรื่องทำความรำคาญในการที่เราจะมาพูดกันในเวลาเช่นนี้ ซึ่งบางคนจะเสียดายความสุขที่เกิดจากการนอนในเวลาเช่นนี้ ซึ่งก็ยังนอนคลุมโปงอยู่บนที่นอน อยู่ในที่นอน
เอาละหัวข้อที่จะพูดกันในวันนี้ จะใช้คำว่า ครูใจเพชร สามารถทำหน้าที่เป็นครูได้ รู้จุดประสงค์ตามความหมายได้โดยแท้จริง ช่วยเข้าใจคำๆนี้อย่างถูกต้อง จะง่ายดายในการที่จะรู้ความหมายของคำๆนี้ ก็อยากจะบอกกล่าวกันสักหน่อยว่า คำว่าครู ครูนี้ เป็นคำสูงสุดที่ใช้ให้กับผู้ที่มีหน้าที่สั่งสอน เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ที่ประเทศอินเดีย คำว่าครู ครูนี้เป็นผู้สอนเรื่องทางจิต ทางวิญญาณ เรื่องการหลุดพ้นไปจากโลกทั้งนั้นละ มันเคยเป็นคำสูงสุด ถึงขนาดนี้ แต่ว่าในเมืองไทยเรานี้ ทิ้งความหมายชนิดนั้น เอามาเป็นความหมายธรรมดาๆ เป็นผู้สอนหนังสือตั้งแต่กอ ขอ กอกา ขึ้นไปก็เรียกว่าครู นี้มันผิดความหมายเดิม ในประเทศอินเดียโดยเฉพาะ เดี๋ยวนี้เขาก็ยังใช้คำว่าครูในความหมายเดิมกันอยู่มาก เดี๋ยวท่านทั้งหลายจะได้ยินได้ฟังในการบรรยาย อะไรต่างๆของผู้ที่พูดกันในเรื่องทางจิตใจในชั้นสูง คำว่าครู คุรุนี้ได้มีการค้นพบทางศัพทศาสตร์ในครั้งหลังๆนี้ กิริยา root ของคำๆนี้แปลว่าเปิด เปิดประตู ทางจิตใจ มีการเปิดประตูให้ออกมาสู่แสงสว่าง เรียกให้เดินไป ถึงที่สุดจุดหมายปลายทางที่พึงปรารถนาของชีวิต และมีหน้าที่ช่วยเหลือพระราชา มหากษัตริย์ก็มีครู ครูนี้ประจำพระองค์ และถึงกับเป็นครูของประเทศชาติทั้งประเทศไปเลย เรียกว่ารัฐคุรุ ในประเทศพม่ายังใช้ตำแหน่งนี้ อภิรัฐคุรุ คือพระมหาเถระ ที่สามารถสูงสุดในเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ สรุปความว่าคำว่าครูเป็นคำสูงสุดสำหรับหมายถึงผู้สั่งสอน แต่นี้มันเปลี่ยนแปลง เอาครูมาไว้ใต้อาจารย์เสียอีก อาจารย์เป็นผู้สั่งสอนในระดับธรรมดาทั่วไปไม่ได้ถึงเรื่องทางจิตทางวิญญาณ ในหนังสือวรรณคดีเก่าๆในอินเดียแสดงให้รู้ว่า เขาใช้กันอย่างไร คำว่าอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์นั้น หมายถึงผู้สอนวิชาชีพ วิชาชีพทั่วๆไป และเดี๋ยวนี้ในพุทธศาสนามาใช้เป็นผู้ตำแหน่งสูงสุด ทำคนให้เป็นฟ้าอะไรทำนองนี้ ที่ความหมายเดิม อันที่จริงตามวินัยแท้ๆ อุปัชฌาย ก็คือผู้ที่เป็นนายประกันเท่านั้น เป็นนายประกันว่าจะควบคุม ที่เข้ามาขอบวชนี้ให้อยู่ในความถูกต้องจนกว่าจะพ้นจากเขตที่ควรจะควบคุม นี้คือความหมายของพระอุปัชฌาย์ ไม่ได้ทำคนให้เป็นพระเหมือนที่เจ้าอาวาสเขาเข้าใจนะ ในหนังสือเก่าๆ เช่นหนังสือเรื่องปิยทัศสิตา (นาทีที่๑๑.๑๙) ว่าอุปัชฌาย์มีตำแหน่งสอนดนตรี สอนดนตรี เค้าเรียกว่าอุปัชฌาย์ ภาษาชาวบ้าน ภาษาชาวบ้านที่เรียกว่าภาษาปรสิก(นาทีที่ ๑๑.๓๗) ออกเสียงสำหรับตำแหน่งนี้ว่าอุวันยาอี้ อุวันยาอี้ (นาทีที่ ๑๑.๔๔) แต่ถ้าเป็นภาษาบาลีว่าอุปัชฌายะ แต่ถ้าเป็นภาษาสันสกฤตเรียกว่า อุปัญญายะ (นาทีที่ ๑๑.๕๕) จะออกเสียงลำบากมากขึ้นๆ ภาษากลางบ้านนะ อุวันยาอี้ อุวันยาอี้ (นาทีที่ ๑๒.๐๔) นั่นคือคำว่าว่าอุปัชฌาย์ เขาก็สอนวิชาชีพทั้งนั้นนะ นี้เกี่ยวกับคำ เราอย่าไปยึดถือให้มันผิดไปจากความหมาย จะได้รู้ว่าคำว่าครูนี้เป็นตำแหน่งฐานะสูงสุดในด้านการสอนทางจิต ทางวิญญาณ และก็จัดไว้เป็นปูชณียบุคคลของบ้านเมืองของโลกของอะไรไป ไม่ใช่ผู้รับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ ระวังให้ดี คำว่าครู ครูนี้ สูงสุดทั้งสิ้นปูชณียบุคคลอยู่เหนือค่าจ้างเหนืออะไรต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้ก็ไปลดมาเป็นวิชาชีพอะไรธรรมดาสามัญอย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ ประโยชน์ที่จะได้รับมันจึงลดลงมา ฉะนั้นของให้สนใจความหมายของคำๆนี้ นำมาใช้ใหม่ นำมาใช้ใหม่เต็มตามความหมายเดิมก็ไม่เสียหายอะไร แทนที่จะดี จะเป็นผลดียิ่งๆขึ้นไปอีก อาตมาจึงตั้งหัวข้อบรรยายในวันนี้ว่า ครูใจเพชร คำว่าเพชรนี้ ตามที่รู้กันอยู่ทั่วๆไปก็หมายความว่า มันแข็ง แข็งเหนือสิ่งใด เพชรตัดทุกๆสิ่งได้ แต่สิ่งใดๆจะมาตัดเพชรนั้นไม่ได้ ในความหมายอย่างนี้ มีความมุ่งหมายอย่างนี้ ตามข้อเท็จจริงก็ควรจะเป็นอย่างนี้ ถ้าครูใจเพชรก็ไม่มีอะไรมาดึงไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร จะมั่นคงแข็งโป๊กอยู่ในหน้าที่ของครู คือการยกสถานะทางวิญญาณของคนในโลกให้มันสูงขึ้นไป ให้มันสูงขึ้นไป ในความหมายอันสูงสุดอย่างที่เคยมีมาแล้ว เราจะมองกันในทั่วๆไปในความรู้สึกทั่วๆไปอย่างที่ใครอาจจะเคยมองเห็นได้ว่า ครูนั้นเป็นดวงประทีปของโลก นับดั้งเดิมมา ตั้งแต่พระบรมครูคือพระพุทธเจ้า ท่านอยู่ในฐานะเป็นดวงประทีปของโลก เดี๋ยวนี้ก็ยังมีความหมายนั้น ถ้าครูได้ปฏิบัติหน้าที่ของตน และบางทีจะมากจนถึงกับว่าครูนั้นแหละคือผู้สร้างโลก หรือจะสร้างโลกแข่งกับพระเจ้าก็ได้ เพราะว่าในพฤติกรรมที่แท้จริงเป็นปกตินี้ครูได้สร้างโลกอยู่จริงๆ ตลอดเวลา แต่ว่าสร้างผ่านทางเด็ก ครูสอนให้เด็กมีวิชาความรู้ นิสัยใจคอ สติปัญญาอย่างไร โลกมันก็จะเป็นอย่างนั้น ลองครูนี้สอนให้เด็กเป็นอันธพาลให้หมด ก็เป็นโลกอันธพาลขึ้นมาทันที ถ้าสอนเด็กให้เป็นคนดี เป็นสัตบุรุษ ในโลกนี้ก็เป็นโลกของคนดี มันก็เป็นโลกของคนดีของสัตบุรุษขึ้นมาทันที แต่ไม่มีใครพูดว่าครูเป็นผู้สร้างโลก แต่ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนั้น ถ้ามองก็จะเห็นว่ามันไม่ลึกเกินไป ครูสร้างเด็กขึ้นมาอย่างไร โลกในอนาคตก็จะเป็นอย่างนั้น ในการศึกษานั้นมันสำคัญที่สุด ระบบการศึกษาที่มอบหมายให้แก่ครูทั้งหลายสอนกันอย่างไรนั้นสำคัญที่สุด ความผิดพลาดเกิดขึ้นก็เพราะระบบมันไม่ดี ครูก็ไม่อาจสอนนอกระบบเพราะเรามันเป็นลูกจ้างของกระทรวงศึกษาธิการอย่างนี้ เราก็จะต้องหาทางออกซึ่งมันไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดอะไร ในการที่จะเป็นครูให้ถูก ให้ตรง ให้จริง ยิ่งๆขึ้น ให้สมกับเป็นครูใจเพชร นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ เรามาคิดถึงเรื่องนี้กันสักหน่อย
ระบบการศึกษาในโลกนี้ มันกำลังบ้อบอที่สุด หลับหูหลับตาที่สุด ท่านทั้งหลายอาจจะไม่เชื่อ แต่ขอให้ไว้ดี ว่าการศึกษาทั้งโลก ทั้งโลกตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัยทุกแห่งในโลกนี้มันกำลังบ้าบอที่สุด คือสอนแต่ให้ฉลาดๆๆ สามารถ ฉลาดๆ ไปทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นอาจจะไปเที่ยวโลกพระจันทร์ได้ เหมือนกับไปเที่ยวสวนหลังบ้านอย่างนั้น มันฉลาดๆๆ ทุกสิ่งทุกอย่างทุกแง่ทุกมุม แต่แล้วมันก็ไม่มีทางสอนให้ควบคุมความฉลาด วิชาความรู้ที่จะสอนให้ควบคุมความฉลาดให้ถูกต้องนั้นมันไม่มี มันปล่อยขว้างไว้อย่างนั้น การศึกษานี้บ้าๆ บอๆ สอนให้ฉลาดอย่างเดียว ไม่ควบคุมความฉลาด แต่ละคนก็เอาความฉลาดไปใช้เพื่อเห็นแก่ตัว เพื่อประโยชน์ของตัว เพื่อกอบโกย เพื่อจะมีอำนาจเหนือใครๆในโลกจนคิดจะครองโลกไปเสีย เพราะความฉลาดที่ไม่มีอะไรถูกหุ้ม ระบบแยกการศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา ไอ้ centralization (นาทีที่ ๑๙.๓๕) บ้าๆบอๆนั้น มันจึงเริ่มมีขึ้นมาในโลก พวกฝรั่งเขาทำก่อน พวกคนไทยก็ไปตามก้นเขา แยกการศึกษาออกจากศาสนา สมัยก่อนโน้นเขาก็มีการศึกษา ศึกษา แต่ก็มีการควบคุมการศึกษา คือควบคุมความฉลาดที่ได้มาจากการศึกษา ให้มันเดินไปถูกทาง เดินไปถูกทาง การศึกษามันเคยอยู่เป็นของวัด เกี่ยวเนื่องกันอยู่กับทางศาสนา มาเรื่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนแปลง เท่าที่ทราบมา มหาวิทยาลัย Oxford, Cambridge มันเป็นโรงเรียนราษฎร์ของวัด มันตั้งต้นขึ้นมาด้วยการเป็นโรงเรียนราษฎร์ของวัด พระจัด พระควบคุม พระอะไรทั้งนั้น ไอ้ที่เราว่ามันเติบโต เติบโตขึ้นมา มันกลายเป็นมหาวิทยาลัยที่อิสระ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีการเกี่ยวข้องกับศาสนาอยู่อย่างมากในยุคแรกๆ เมื่อ นมส. ไปเรียน Cambridge กลับมาแล้ว มาแสดงปฐกถา เล่าเรื่องให้ฟังที่สามัคยาจารย์ อาตมาก็เคยไปฟังเพราะตอนนั้นยังเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้ความหลายอย่าง ไอ้ที่สนใจติดใจในใจก็ว่า นักศึกษาในมหาวิทยาลัยนี้ จะกินข้าวต้องสวดมนต์ คือพิธีทางศาสนา จะรับประทานอาหารต้องสวดมนต์ก่อน มันยังติดเหลืออยู่มาก แต่เดี๋ยวนี้คงไม่มีแล้ว มันเป็นเรื่องที่เรียกว่าแยกออกจากกัน แยกออกจากกัน ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป การศาสนากับการศึกษา พวกไทยเราไปตามก้นเขารับระบบการศึกษามา ล้วนแต่เรื่องทำให้ฉลาด ให้ฉลาด ให้ฉลาด ฉลาดจนไม่รู้จะฉลาดกันอย่างไร และก็ไม่ควบคุมความฉลาด คนเหล่านี้ก็มีเสรีภาพที่จะใช้ความฉลาด ไอ้การที่จะเห็นแก่ตัวๆๆไปทุกทิศทุกทาง โลกนี้มันจึงเจริญไปด้วยความเห็นแก่ตัว ระบบเศรษฐกิจก็เห็นแก่ตัว ระบบการเมืองก็เห็นแก่ตัว การปกครองก็ล้วนแต่เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวๆๆ เต็มไปทั้งโลก ปัญหาทั้งหมดมันมาจากความเห็นแก่ตัว ถอดผ้าให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายไปพ่นรู ปัญหาอะไรที่ไม่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว ปัญหาส่วนบุคคล เป็นโรคประสาทนอนไม่หลับ เป็นบ้า ฆ่าตัวตายไปในที่สุด มันก็มาจากความเห็นแก่ตัว ปัญหาเกิดจากความไม่สงบสุขในสังคม มีการเอาเปรียบ มีการเบียดเบียน มีการอะไรต่างๆ ก็มาจากความเห็นแก่ตัว นี้ความเห็นแก่ตัวเป็นปัญหาต้องเพิ่มตำรวจ ต้องเพิ่มเรือนจำ ต้องเพิ่มศาล เพิ่มอะไรเหล่านี้อีกมาก เร็วกว่าการเพิ่มของพลเมือง เทียบเคียงกันแล้ว เพราะความเห็นแก่ตัวมันรุ่งเรือง มันรุ่งเรืองไปทั้งโลก มันมีผู้เห็นแก่ตัวชนิดที่คิดว่าจะครองโลกไปเสียเลย คอมมูนิสต์ก็เห็นแก่ตัว นายทุนก็เห็นแก่ตัว ประชาธิปไตยก็เห็นแก่ตัว คอมมูนิสต์ก็เห็นแก่ตัว มันไม่มีใครที่ไม่เห็นแก่ตัว โลกมันจึงเป็นอย่างนี้ ทางโบราณความรู้สึก นึกทางโบราณเขาหวังที่จะมีโลกพระศรีอริยเมตตรัย คำนั้นแปลว่ามิตรภาพอันสูงสุด ในโลกพระศรีอริยเมตตรัยไม่มีความเห็นแก่ตัว ยังเป็นโลกพิเศษ พิเศษ ผิดจากโลกทั้งหลาย อย่างมีเรื่องเล่าไว้ในที่เกี่ยวกับโลกพระศรีอริยเมตตรัยนี้ว่า พอคนลงจากเรือนไปในบนท้องถนนจะดูร่างนั้นดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร มันเหมือนกันไปเสียหมด มันมีมิตรภาพที่ชูมือสลอนไปเสียหมดว่าจะให้ช่วยอะไร จะให้ช่วยอะไร จะต้องการอะไร จนไม่รู้ว่าใครเป็นใครนอกจากเป็นมิตรสหายไปเสียหมด นั้นคือความหมายของคำว่า เมตตรัย เมตตรัย เกื้อกูลแก่ความเป็นมิตรหรืออกมาจากความเป็นมิตร คำว่าศรี คำว่าอริยะ นั้นเป็นบทประกอบเท่านั้น อย่างสูงสุด ความหมายที่แท้จริงคือมิตรภาพ ต่อเมื่อมาถึงบ้านเรือน มาถึงบ้านเรือนแล้วจึงรู้ว่า อ้อนี่คือบ้านเรือนของเรา นี่บุตร ภรรยา สามีของเรา ต้องมาอยู่ที่บ้านเรือนของเรา พอออกไปนอนถนนมันเหมือนกันไปเสียหมด ความหมายของคำว่าศรีอริยเมตตรัย หมายความว่าไม่มีคนเห็นแก่ตัว ที่พูดว่ามีต้นไม้กัลปพฤกษ นี้กัลปพฤกษไปขออะไรก็ได้ มันเป็นคำพูดที่ต้องแปลต้องตีความหมาย ว่าที่ไหน ที่ไหนมันก็ไม่มีศัตรู มีแต่ผู้ช่วยเหลือ ไม่ใช่ต้นไม้ที่จะเทเงินเททองอะไรออกมา นั้นเป็นคำพูดที่ทำให้เกิดความสนใจทีหลัง รวมความว่าถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว โลกนี้ไม่จะ ไม่มีปัญหาอะไรเลย ปัญหาตั้งแต่ปัญหาขี้ผงนิดๆหนึ่งนี้จนถึงปัญหาสูงสุดจะดับทุกข์ไปนิพพานถ้าเป็นไปไม่ได้มันก็เพราะความเห็นแก่ตัว นี้เราจะพูดว่าตั้งแต่ ปัญหาทั้งหลายตั้งแต่ตัว กอ ถึงตัว ฮอ ทั้งหมดล้วนแต่มาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าความเห็นแก่ตัวไม่มีปัญหาก็ไม่มี ก็ไม่ต้องมีเรือนจำ ไม่ต้องมีคุกมีตะราง ไม่มีตำรวจ ไม่มีศาล ไม่มีอะไร เพราะมันไม่มีผู้ที่ล่วงละเมิดผู้ใด มีแต่สันติภาพ ไม่มีการทำลายประโยชน์ที่เป็นสาธารณะประโยชน์ แล้วก็ไม่ช่วยกันสร้างหนทางมาแห่งโลก คือการเป็นอยู่อย่างเกียจคร้าน อย่างไม่ถูกต้อง เพาะเชื้อโรคใหม่ๆขึ้นมาในตนตามความเจริญในโลกในทางวัตถุ ข่าวอย่างแม่น้ำเจ้าพระยาจะเน่ามันมาจากอะไร มาจากความเห็นแก่ตัว แม่น้ำที่เคยใสสะอาดอย่างกับมาจากสวรรค์มันกลายเป็นแม่น้ำเน่าไปมากแห่งแล้วก็เพราะความเห็นแก่ตัว เห็นแก่เรื่องประโยชน์ของตัว เห็นแก่กิเลสของตัว มันจึงสกปรกรกรุงรังไปหมด ที่กรุงเทพฯปราบยุงไม่สำเร็จเพราะว่าคนมันยังเห็นแก่ตัวมากเกินไป ถ้าคนกรุงเทพฯทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ยุ่งมันอยู่ไม่ได้แล้ว หายไปหมดแล้ว ความเห็นแก่ตัว เอากับมัน ความสกปรกรกรุงรัง ความกระทบกระทั่ง ความแออัด รถชนกันอะไรเหล่านี้มันก็มาจากความเห็นแก่ตัว เรื่องเล็กๆน้อยๆก็มาจากความเห็นแก่ตัว เรื่องใหญ่ๆก็เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว พ่อค้าคดโกงคอยแต่จะเอาเปรียบไม่มีขอบเขต แพทย์หมอกลายเป็นพ่อค้า ตุลาการทุจริต เจ้าหน้าที่ทุจริต มันก็มาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ศาสนาทุกศาสนาจึงมุ่งหมายที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว แต่ละคนถือศาสนาแต่ปาก มันไม่ปฏิบัติศาสนาตามคำสอน มันถือแต่ปาก มันถือแต่ทะเบียน พอได้ลงทะเบียน พอได้ทำพาสปอร์ตไปเมืองนอกว่าถือศาสนานั้น ว่าถือศาสนานี้ แล้วมันก็ไม่ได้ถือเลย มันถือศาสนาเห็นแก่ตัว มันถือศาสนาเงิน ที่จะได้ซื้อหาสิ่งต่างๆมาบูชากิเลส บูชาความเห็นแก่ตัวของมันนี้ คนทั้งโลกกำลังถือศาสนาเห็นแก่ตัว ไม่ได้ถือศาสนาตามที่มีชื่อในทะเบียนนั้นๆ ศาสนานั้น ศาสนานี้ ถ้ามีก็มีเป็นพิธีรีตอง เป็นพิธีไปเสียอีก ไม่ใช่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง กลายเป็นไสยศาสตร์ เป็นอะไรไปเต็ม นี้ความเห็นแก่ตัวก็ได้โอกาส โอกาสเพิ่มขึ้นๆ คนจึงเป็นบ้าฆ่าตัวตายกันมากขึ้น ทำอาชญกรรมเลวร้ายที่ไม่เคยมีในสมัยปู่ย่าตายายกันมากขึ้น ดูตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็แล้วกัน ไม่ต้องเอามาพูดกันให้มันสกปรกปาก สกปรกหูของผู้ฟัง เรื่องพ่อข่มขืนลูกสาวตัวเองนี้มันไม่เคยมีอย่างนี้เป็นต้น และการเบียดเบียนผู้อื่นมากขึ้นๆๆ มันฆ่ากันตายอย่างไม่มีความหมายนี้มันก็มากขึ้น มันทำลายล้างกันเป็นการใหญ่นี้มันมากขึ้น ตายกันมากๆ ก็เพราะความเห็นแก่ตัว นี้ขอระบุลงไปว่าระบบการศึกษามันบ้าบอที่สุดในโลก คือ มันสอนกันแต่ให้ฉลาดอย่างหลับหูหลับตาจนไม่รู้ว่าจะฉลาดกันอย่างไร และไม่มีอะไรจะมาควบคุมความฉลาด คนเหล่านั้นก็เอาความฉลาดไปใช่เพื่อเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดมันก็ยิ่งเห็นแก่ตัวลึกขึ้น ยิ่งฉลาดมันก็ยิ่งเห็นแก่ตัวลึกจนแก้กันไม่ไหว ป้องกันกันแทบจะไม่ไหว จำได้กระท่อนกระแท่นในหนังสืออะไรก็ลืมเสียแล้ว เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 5 จัดระบบการศึกษาใหม่ เปลี่ยนจากการศึกษาแผนเก่ามาสู่การศึกษาแผนใหม่อย่างที่ฝรั่งเขาทำกันนี้ เมื่อท่านก็ดำรัสกับน้องชายของท่านก็คือ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส หรือกรมพระยาดำรงอะไรก็ไม่แน่ใจ แต่น้องชายของท่านว่า ต่อไปนี้มันจะโกงกันเก่ง ใช้คำว่าอย่างนี้ การที่เราเปลี่ยนการศึกษาจากระบบโบราณมาใช้การศึกษาระบบใหม่อย่างพวกฝรั่งนี้ ท่านใช้คำว่า ต่อไปนี้มันจะโกงกันเก่ง พูดสั้นๆเพียงเท่านี้ก็รู้ได้เองว่า มันทำให้ฉลาด ฉลาดจนปกครองไม่อยู่ มันก็ใช้ความฉลาดนั้นโกง แล้วมันก็โกงกันเก่ง แสดงว่าท่านก็รู้ดีเหมือนกันว่า ถ้ามันควบคุมไว้ไม่ได้ มันก็จะโกงกันเก่ง แล้วมันจริงหรือไม่จริงละ ขอให้คิดดูว่าความฉลาดอย่างเดียวนั้น มันก็โกงกันเก่ง มันก็เอาเปรียบกันเก่ง อะไรสารพัดอย่างที่เป็นปัญหา ทีนี้จะทำอย่างไรดี เมื่อการศึกษา ระบบทั้งโลกมันเปิดโอกาสให้ความเห็นแก่ตัวก้าวหน้า เราจะดูดายกันไหม เราจะกล้าทำให้มันถูกต้องไหม ที่ว่าเราจะพยายามเป็นครูใจเพชร ถ้าใจเพชรจริง แข็งจริง ไม่กลัวอะไรจริง ก็จะเลือกเอาแต่ที่มันถูกต้อง แล้วก็จะสอนนอกระบบออกไปได้ คือระบบมีแต่สอนให้ฉลาดๆๆๆเอา แต่เราจะสอนให้มันรู้จักควบคุมความฉลาด ให้การพระศาสนามันมาควบคุมการศึกษา นี้ได้บุญ ได้บุญเหลือประมาณ ถ้าทำได้อย่างนี้คำว่าครูก็จะกลับไปสู่ความหมายเดิม ที่เป็นปูชณียบุคคลสูงสุด ให้มันเป็นตำแหน่งสูงสุด คือเป็นปูชณียบุคคลสูงสุด ไม่เป็นเพียงลูกจ้าง รับจ้างสอนหนังสือ หากินไปวันๆหนึ่ง คล้ายกับกรรมกรนี้ เลิกกันได้ จะไม่เป็นกรรมกรรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ ก็จะทำหน้าที่ของครูให้ถูกต้อง คือเปิดประตูทางวิญญาณ เป็นผู้สร้างโลกให้เป็นโลกพระศรีอริยเมตตรัยที่ลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เด็กๆของเรามันยกหูชูหางพร้อมที่จะเห็นแก่ตัวยิ่งๆขึ้นไป มันเรียนเพื่อหวังจะให้ได้เงินเดือนมากเงินเดือนดีแล้วก็สนุก เป็นสุขเพลิดเพลินกันในเรื่องกามารมณ์ เรื่องความเจริญทางวัตถุทั้งนั้น ฉะนั้นคอรัปชั่นมันก็จะมีมากขึ้นๆๆ ถ้าหากว่าการศึกษามันมีให้ผลเพียงเท่านี้
ฉันจึงหวังว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะเห็นแก่เกียรติยศของคำว่าครู ครูนี้ช่วยกันแทรกแซงเข้าไปทุกส่วนที่จะแทรกแซงได้ให้เขารู้จักควบคุมความฉลาด ให้เด็กๆตั้งแต่ชั้นอนุบาลขึ้นไป มันควบคุมความเห็นแก่ตัว ควบคุมกิเลส ควบคุมการทำตามความสบายใจ ประชาธิปไตยบ้าๆบอๆ นั่นแหละประชาธิปไตยชนิดไหนไปคิดดูเองเถิด ไม่ใช้ประชาธิปไตยของธรรมะ ประชาธิปไตยนี้พระเจ้าหรือธรรมชาติก็ตาม สร้างมาสำหรับผู้ไม่เห็นแก่ตัว ระบบประชาธิปไตยมันเหมาะแก่ผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัว เพราะถ้าเห็นแก่ตัวแล้ว ระบบประชาธิปไตยนั้นคือระบบที่เลวร้ายที่สุดสู้ระบบเผด็จการก็ไม่ได้ เพราะยังควบคุมเอาไว้อยู่ในร่องในรอย เดี๋ยวนี้เราไปชอบประชาธิปไตย นิยมประชาธิปไตยแล้วก็มาใช้กับผู้ที่เห็นแก่ตัว มันคงไม่ไหว ประชาชนเลือกผู้แทนก็เลือกด้วยความเห็นแก่ตัว ตามที่เขาจ้าง เขาให้สินจ้างรางวัลอะไรให้เลือกด้วยความเห็นแก่ตัว ได้ผู้แทนที่เห็นแก่ตัวเข้าไปประกอบขึ้นเป็นรัฐสภา มันก็รัฐสภาที่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นต้องยึดธรรมะไว้เป็นหลักว่ามันจะต้องเห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ ไม่เห็นแก่ตัว ถ้ามันเห็นแก่ตัวเสียแล้ว มันก็ไม่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร ซึ่งขอให้ประกาศตนเป็นข้าศึกกับความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นมารร้ายที่สุดของมนุษย์ในโลก พญามารร้ายกาจนั้นไม่มี ไม่ได้อยู่ที่ไหน มันอยู่ในความเห็นแก่ตัวของคนๆนั้นเอง มันจะทำลายคนนั้น ทำลายสังคม ทำลายประเทศชาติ และทำลายโลกในที่สุด เพราะความเห็นแก่ตัว ขอย้ำ ขอท้า ขอยืนยันอีกทีว่าปัญหาทุกชนิดตั้งแต่ปัญหาขี้ผงจนปัญหาที่จะดับกิเลสไปนิพพานนนั้นมันมีอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว ปัญหาทั้งหมดตั้งแต่ตัว กอ ถึงตัว ฮอ มันมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าครูจะเป็นปูชณียบุคคลเหนือเกล้าเหนือเศียรของคนในโลกแล้วจงทำหน้าที่อันนี้ คือควบคุมความฉลาดที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว นี่คือปัญหา ทีนี้เราก็ต้องการครูที่ใจเพชรเข้มแข็งเฉียบขาดพอที่ว่าจะไม่ตกเป็นทาสของเงินเดือน อย่าเห็นว่าเป็นลูกจ้าง รับจ้างสอนหนังสือ เป็นทาสของเงินเดือน อาตมาบอกกล่าวขอร้องเสมอ พวกพนักงานกรรมกรอะไรที่มาขอรับการอบรมฟังธรรมะที่นี่ ต้องบอกว่าคุณเลิกเป็นลูกจ้าง อย่าเป็นนายจ้าง อย่าเป็นลูกจ้าง ถ้าเป็นนายจ้าง เป็นลูกจ้างมันก็จะคอยเอาเปรียบกันและกัน การสไตร์ระหว่างลูกจ้างนายจ้างจะมีตลอดเวลา อย่างที่เป็นอยู่ในโลกนี้ เราอย่าเป็นลูกจ้างเลย เราเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้งดงาม เงินที่เขาให้มาไม่ใช่ค่าจ้าง แต่เป็นค่าใช้สอยเพื่อให้เราเอามาใช้สอยในการที่จะมาช่วยกันสร้างโลกนี้ให้มันงดงามให้น่าอยู่น่าดู ไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นลูกจ้างชนิดไหน ลูกจ้างมีหลายประเภท แต่ทุกประเภทขอให้เปลี่ยนเป็นผู้ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้งดงาม ด้วบความพอใจ อิ่มใจ สบายใจในตัวเอง แล้วก็ทำหน้าที่อย่างสนุกสนาน ครูก็อย่าได้เป็นลูกจ้างของรัฐบาล อย่าได้เป็นลูกจ้างของราษฎร ประชาชนเลย แต่จะเป็นผู้ที่สร้างโลกนี้ให้งดงามตามอุดมคติของพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู หรือแม้แต่ในความหมายของคำว่าครู ครูทั่วๆไป ตั้งแต่สมัยโบราณมาโน้น ครูเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ หรือเป็นผู้นำทางวิญญาณ ความหมายนี้ก็ใช้กันอยู่ทั่วไป Spiritual guide เป็นมัคคุเทศในทางวิญญาณ ใช้กันอยู่ทั่วไปในระบบของครู ต่อมาพบว่าไอ้ root คำนั้น มันแปลว่าเปิดประตูต่างหาก หมายความว่าสัตว์ทั้งหลายถูกกักขังอยู่ในคอกมืด เล้ามืด คืออวิชชา ความโง่ของตน ทนทุกข์อยู่ในคอก ในเล้าอันสกปรกมืดมนนั้น ครูซึ่งเป็นผู้เปิดประตูให้สัตว์นั้นออกมาจากคอก คำว่าครุ คุรุ นั้น root ของมันก็แปลว่าเปิดประตู นี่ก็สูงยิ่งขึ้นไปอีก แล้วในที่สุดแล้วก็เป็นผู้นำทางวิญญาณต่อไป เปิดประตูให้ออกมาจากคอก แล้วก็นำทางวิญญาณให้มันเดินถูกทาง ไปสู่จุดหมายปลายทางที่อยู่เหนือความทุกข์ นี้คือความหมายของคำว่า ครู เต็มไปด้วยบุญด้วยกุศลทุกๆธรรมณู ตั้งแต่เจตนารมณ์ของครูที่เปิดประตูทางวิญญาณแล้วพาไปให้ถูกต้อง ครู ครู จึงเป็นผู้ประเสริฐสูงสุด เป็นคำที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในอินเดีย คือผู้นำทางวิญญาณ ส่วนไอ้ลูกจ้างสอนหนังสือนี้จะเรียกว่าอะไรอาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกันไม่ได้ค้น ไม่ได้ถาม ก็จะถามผู้ที่เคยไปอินเดียมาว่า คำว่าครูในความหมายนี้ที่อินเดียใช้คำไหน แต่ในเมืองนั้นมันใช้คำว่าครู ลดเกียรติยศของคำว่าครูมาเป็นลูกจ้างสอนหนังสือ ไม่ใช่เป็นผู้นำทางวิญญาณ หรือเปิดประตูทางวิญญาณ
แต่แล้วเราก็เห็นกันอยู่แล้วทั่วๆไปว่ามันแก้ปัญหาไม่ได้ ในการที่เราจะสอนเพียงให้ฉลาดแล้วไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด การศาสนาที่เข้าไปอยู่ในโรงเรียนบ้างมันกระปริประปรอยเต็มที เป็นการหลอกเด็กมากกว่า มันยังไม่จริงจัง แม้ว่ากระทรวงจะได้เพิ่มหลักสูตรส่วนที่เป็นการศาสนาอะไรบ้างแต่มันก็ยังทำเล่นไม่ถึงขนาดที่จะแก้ปัญหาได้ กระทรวงศึกษาธิการไม่ได้มุ่งสอนทางจิตทางวิญญาณ มันต้องงตั้งกระทรวงศาสนา กระทรวงศีลธรรมขึ้นมาอีกกระทรวงหนึ่ง แล้วก็ควบคุมกระทรวงทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวงทั้งสิ้น ให้กระทรวงทั้งหลายอยู่ภ่ยใต้การควบคุมของกระทรวงศาสนาหรือกระทรวงศีลธรรม เมื่อนั้นแล้วการศึกษาจะเป็นไปในทางที่ว่าระงับปัญหาระงับความทุกข์ทำให้มนุษย์นี้จึงไปสู่จุดหมายปลายทางที่พึงปรารถนาอย่างยิ่ง คือสันติภาพอันถาวร เดี๋ยวนี้ฉลาด เจริญทางวัตถุ ยิ่งเจริญทางวัตถุยิ่งมีปัญหา ยิ่งมีสงคราม ยิ่งมีการเบียดเบียน เบียดเบียน โลกกำลังมีการเบียดเบียนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าที่นี่ก็ที่นั่น ที่นั่นก็ที่นี่ตลอดเวลา มีการเบียดเบียน มีสงครามน้อยๆ มีสงครามใต้ดิน มีสงครามอะไรอยู่ตลอด เพราะความเจริญทางวัตถุ มันยั่วให้เกิดความเห็นแก่ตัว มันจะต้องมีความคิด หาที่พึ่งในการที่จะกำจัดสิ่งเหล่านี้ คือจะต้องมีระบบการศึกษาที่มุ่งหมายทำลายความเห็นแก่ตัว ควบคุมความฉลาด ควบคุมความฉลาดให้ได้ และก็ไม่เห็นแก่ตัว ความฉลาดก็จะเป็นประโยชน์อย่างลึกซึ้ง เดี๋ยวนี้มันฉลาดในทางที่จะสร้างปัญหาเพิ่มปัญหาขึ้นโดยไม่จำเป็น เด็กๆมันบ้าเรียนก็เพราะว่ามันหวังว่าจะได้เงินมากแล้วมันก็จะได้สะดวกสบายกันถึงที่สุด รับใช้กิเลส รับใช้กามารมณ์โดยเฉพาะ มันเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ความเห็นแก่ตัวมันก็ต้องมากเป็นธรรมดา ฉลาดเท่าไหร่ก็เอาใช้กอบโกยหาประโยชน์ด้วยความเห็นแก่ตัว โลกนี้ไม่มีสันติภาพ ที่นี้มันจะนึกถึงจิตใจชนิดที่ไม่ยอมแพ้แก่สิ่งเหล่านี้ ให้มันมาอยู่ในความถูกต้อง อาตมาจึงนึกถึงคำว่าครูใจเพชร ครูใจเพชรแข็งโป๊กอยู่ในความถูกต้อง อะไรๆจะมาชักจูงไปในทางเห็นแก่ตัวไม่ได้ ครูใจเพชร ปัญหาในโลกนี้มันหนักมาถึงขนาดที่จะต้องเปลี่ยนจิตใจ ให้เป็นจิตใจเพชรกันเสียทั้งนั้น พลเมืองทั้งหลายก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี มีจิตใจเป็นเพชรแข็ง แข็งโป๊กอยู่ในความถูกต้องๆๆๆ ทั้งนั้น ไม่โง่ให้อะไรดึงไปหาปัญหา หาความทุกข์ แล้วเขาก็ทำไม่ได้ เราต้องการครูใจเพชรที่ช่วยให้เขาทำได้ นี้ครูจะต้องมีจิตใจที่เป็นเพชรขึ้นมาก่อน ไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหา ไม่เป็นทาสของความเจริญแผนใหม่ที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว จึงใจเพชรแข็งโป๊กอยู่ในความถูกต้องๆๆๆ ต้องเป็นอย่างนี้คือ ถูกต้องๆ ก็สามารถจะทำ จะช่วยให้คนในโลกนี้มันแข็งโป๊กอยู่ในความถูกต้อง ความถูกต้อง ธรรมะสูงสุดในพุทธศาสนาที่จะช่วยให้ครูมีจิตใจเป็นเพชรแข็งโป๊กอยู่แต่ในความถูกต้อง อะไรดึงไปไม่ได้ นั้นเรียกว่า อตัมมยตา คำนี้แปลตามตัวว่าอะไรๆดึงไปไม่ได้ อะไรๆปรุงแต่งไม่ได้ ดึงไปไม่ได้ คงที่อยู่แต่ในความถูกต้อง เรียกว่าอตัมมยตา ใครมีอตัมมยตาถึงที่สุดเป็นพระอรหันต์ ถ้ามีอตัมมยตาตามสมควรที่ควรจะมี ที่ว่ายังไม่เป็นพระอรหันต์เอามาใช้ได้ มีความถูกต้องคงที่อะไรๆดึงไปไม่ได้ โดยความหมายกว้างๆทั่วไปแปลว่า ความเป็นบวกหรือความเป็นลบดึงไปไม่ได้ คือไม่ยินดีไม่ยินร้าย ไม่รักไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัว สิ่งเหล่านั้นดึงไปไม่ได้ คำว่าอตัมมยตามันหมายความว่าอย่างนี้ อะไรๆ ดึงไม่นอกทางไม่ได้ คงที่อยู่ในความเป็นเช่นนั้น ความเป็นเช่นนั้น ความเป็นเช่นนั้น ความเป็นเช่นนั้นของความเป็นครู มันอยู่ในความเป็นเช่นนั้นของความเป็นครู ไม่มีอะไรมาดึงไปได้ ไม่มีสินบนที่ไหนมาดึงไปได้ ไม่มีความหลอกลวงที่ไหนมาดึงไปได้ หันเหไปได้ จากความเป็นปูชณียบุคคลของโลก คนธรรมดาทั่วไปก็เหมือนกัน กิเลสมันดึงไปได้ คนธรรมดาขวดเหล้าดึงไปได้ บุหรี่มันดึงไปได้ สนามม้าดึงไปได้ สถานเริงรมย์ดึงไปได้ อะไรก็ดึงไปได้ ดึงไปได้ทุกอย่าง ไปทางซ้ายก็ได้ ทางขวาก็ได้ มันไม่ถูกต้องมันไม่คงที่เพราะอะไรมันดึงไปได้ แต่ถ้าจิตใจเป็นเพชรแล้วมันดึงไปไม่ได้ มันคงที่อยู่ในความถูกต้องอย่างนี้ จะเป็นครูก็ได้ เป็นตุลาการก็ได้ เป็นหมอก็ได้ เป็นอะไรก็ได้อยู่ในความถูกต้อง ตามอุดมคติของสิ่งนั้นๆเสมอ ที่อะไรๆดึงไปไม่ได้ มันแปลเป็นไทยยาก คำนี้ จะเรียกว่า อตัมมยตา ตามภาษาบาลีเดิมดีกว่า จิตที่อะไรๆมาปรุงแต่งให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้นั้น คือ อตัมมยตา เป็นภาษาฝรั่งเราช่วยกันคิดกันนึก เห็นคำว่า non หรือ un , non –concoct ability, concoct able คืออะไรๆ มันดึงไปได้ ปรุงแต่งได้ non คือปรุงแต่งไม่ได้ ดึงไปไม่ได้ lity ก็คือภาวะ non –concoct ability คือภาวะของจิตที่อะไรๆดึงไปไม่ได้ ควรจะมีอยู่ในปทานุกรมของโลก ให้ถือว่าเป็นบทเรียนของคนและสัตว์ทุกคนในโลก ยึดถือภาวะนี้เป็นหลัก ความเป็นบวกดึงไปให้รักไม่ได้ ความเป็นลบดึงไปให้โกรธให้เกลียดไม่ได้ มันก็สบายเท่านั้น มันอยู่ด้วยความปกติไม่ดีใจไม่เสียใจ คุณครูทั้งหลายช่วยสังเกตดูให้ดีๆ ว่าไอ้ความดีใจก็ไม่ใช่ความสงบ มันเป็นความฟุ้งซ่านระหกระเหินอย่างหนึ่ง ความเสียใจก็ทนไม่ไหวมันทนทรมาณ ไอ้ที่ไม่ดีใจ ไม่เสียใจทั้งสองอย่างนั้น คือความปกติ สงบ เป็นอิสระ จิตมีเสรีภาพ เมื่อจิตมีความสงบ มีเสรีภาพ ก็จะเป็นจิตที่ดี ที่ถูกต้อง คิดเก่ง ตัดสินใจเก่ง ที่รักษาความถูกต้องไว้ได้ นี่คือ อตัมมยตา อย่าเป็นทาสของความเป็นบวก หรือความเป็นลบ ถ้าพูดภาษาวิทยาศาสตร์ก็เป็นอย่างนั้น อย่าเป็นทาสของฝ่ายที่มันล่อให้รัก และอย่าเป็นทาสของสิ่งที่มันล่อให้โกรธให้เกลียด ไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ อย่างนี้เรียกว่า อตัมมยตา พูดให้พวกฝรั่งที่มาอบรมกันทุกเดือนฟังว่า ฟังในแบบที่ไม่ได้คิดเอาเองว่าคืออะไร จะบอกเขาว่าหญิงสาวคนหนึ่งมีอตัมมยตาอยู่ในจิตใจ ถ้าอย่างนี้แล้วต่อให้ชายหนุ่มเจ้าชู้ฉลาดที่สุดร้อยคนก็มาเกี้ยวเอาไปไม่ได้ หรือในทำนองที่ตรงกันข้าม ชายหนุ่มคนหนึ่งมันมีอตัมมยตาอยู่ในจิตใจ ให้หญิงสาวสวยมาเป็นฝูงๆ ให้เอานางฟ้ามารวมด้วยก็ได้ มันก็ล่อเอาเขาไปไม่ได้ มันมีอตัมมยตา นี่คือความหมายของอตัมมยตาคืออะไร ให้ไปคิดดูเอาเอง โดยคำเปรียบอันนี้ มีจิตใจที่แข็งโป๊กอยู่ในความถูกต้อง มันก็เป็นอิสระ มันจะมองเห็นอะไรถูกอะไรผิด อะไรเป็นอันตราย อะไรเป็นมีประโยชน์มันคงตัวอยู่ในความถูกต้อง มันจึงสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง เพราะมีจิตใจที่เป็นเพชร รักษาเอาไว้ได้ ไม่ให้อะไรมาล่อมาหลอกไป หันเหออกไปนอกทาง ครูบาอาจารย์ยังรับสินบนอยู่ก็มี ครูบาอาจารย์ยังเหลวไหลไปอบายมุขก็มี ครูบาอาจารย์บางคนรักไก่ชนมากกว่ารักนักเรียนก็มี นี้เพราะว่ามันไม่มีอตัมมยตาไม่มีความถูกต้องของจิตใจ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะต้องมีจิตใจเป็นเพชร คือมีอตัมมยตาตามสัดส่วนที่ควรจะมี ลดความเห็นแก่ตัวให้ลูกศิษย์ดูอยู่ทุกขณะ ปลูกฝังเด็กเล็กๆตั้งแต่ชั้นอนุบาลให้มันเกลียดความเห็นแก่ตัว ให้มัน ให้มัน ให้มันเกลียดกลัวความเห็นแก่ตัว ให้มันไม่บูชาความเห็นแก่ตัว นั่นจะเป็นการสร้างโลกใหม่กันขึ้นมาให้เป็นโลกที่น่าอยู่น่าพอใจ
อยากจะพูดอะไรสักนิดหนึ่ง ให้ถือว่าไม่ได้พูดเพื่อเจตนาร้าย ที่อาตมาได้สังเกตตัวเองตั้งแต่สมัยโบราณก่อนโน้น ไม่ใช่โบราณ สมัยก่อนโน้นนู้นสักหกสิบเจ็ดสิบปี เคยเห็นมา พวกฝรั่งเขาเข้ามาในเมืองไทยแล้ว เค้าดูถูกคนไทยว่าเห็นแก่ตัว ป่าเถื่อนเห็นแก่ตัว ฝรั่งเขามาดีมาสูงไม่เห็นแก่ตัว มาเป็นผู้สอนมาเป็นผู้นำ อย่างนี้นะ แต่พอตกมาถึงยุคนี้แล้วไม่ ฝรั่งไม่พูดอย่างนี้แล้ว ฝรั่งไม่พูดอย่างนี้แล้ว ไม่กล้าอวดอย่างนี้แล้ว เปลี่ยนตรงกันข้ามเลย เป็นผู้เห็นแก่ตัวยิ่งกว่าพวกเราไปเสียอีก นี้เป็นอย่างนี้ แล้วโลกมันเป็นอย่างไร เมื่อพวกฝรั่งมันมีอำนาจที่จะหมุนโลกไปได้ ถ้ามันเห็นแก่ตัว มันก็จะหมุนเพื่อความเห็นแก่ตัวมันจะครองโลก เอาละเอาเป็นว่าเราจะมีจิตใจที่เป็นเพชร เราจะรักษาความถูกต้องไว้ได้ เราจะเป็นสาวกอันแท้จริงของพระศาสดา โดยเฉพาะคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเคารพหน้าที่ ท่านเคารพหน้าที่ ท่านเคารพธรรมะ ธรรมะ คือหน้าที่ ครูบาอาจารย์อย่าไปสอนเด็กๆผิดๆ ว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี้ไปหลอกเด็กด้วยความไม่รู้ของตัวเอง ในประเทศอินเดียคำสอนของลัทธิไหน ของศาสนาไหน กี่ศาสนา กี่ลัทธิเขาเรียกธรรมะทั้งนั้นแหละ ธรรมะคือคำสั่งสอนเรื่องหน้าที่ เพราะคำว่าธรรมะหมายถึงหน้าที่ เขาจะถามกัน ประชาชนถามว่าท่านชอบใคร ชอบธรรมะของใคร ชอบใจธรรมะของท่านสมณโคดม หรือชอบใจธรรมะของท่านนิครนถนาฏบุตร สญชัยเวลัฏฐบุตร มักขลิโคศาล หรืออะไรก็ตาม มันมีหลายศาสดา เขาใช้คำว่าธรรมะทั้งนั้นแหละถ้าคำสั่งสอนของศาสดา เพราะคำว่าธรรมะ ธรรมะนี้มันแปลว่าหน้าที่ คำนี้พูดกันอยู่ว่าก่อนที่ศาสนาจะเกิดขึ้นมา เมื่อมนุยษ์ยังไม่เจริญสักเท่าไหร่ คำว่าธรรมะ ธรรมะ มันเคยเป็นคำพูดเกิดขึ้นมาในโลกโดยบุคคลคนหนึ่งสังเกตุเห็นว่า โอ้ ไอ้หน้าที่ หน้าที่ ที่ทำอยู่นั่นแหละ เขายังมี ยังไม่มีคำว่า ธรรมะ ใช้นะ แต่เพียงสังเกตุเห็นว่าไอ้หน้าที่ที่ทำอยู่นั้นสูงสุดกว่าสิ่งใด ไม่ทำหน้าที่ก็คือตาย หรือเกือบตาย เพราะฉะนั้นจึงเรียกสิ่งนั้นว่าธรรมะ ธรรมะ ซึ่งมันมีคำแปลว่ายกขึ้นไว้ ยกขึ้นไว้ ช่วยกันไว้ ยกขึ้นไว้ คำว่าธรรมะมันแปลว่าการยกขึ้นไว้ ไม่ให้ผลัดลงไป สิ่งนั้นคือหน้าที่ เราต้องปฏิบัติหน้าที่ที่จะยกขึ้นไว้ไม่ให้ผลัดตกไปสู่ความตายหรือความทุกข์ คำว่าธรรมะได้เกิดขึ้นแล้วก่อนที่ศาสนาจะเกิด มันเป็นเรื่องขั้นต้นๆต่ำๆ หน้าที่ หน้าที่ทั่วไป ต่อมาไอ้คำว่าหน้าที่ หน้าที่ ถูกปรับปรุงให้สูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้นตามความเจริญจนมาใช้กับคำสอนทางศาสนา สอนเรื่องหน้าที่พ้นจากทุกข์ทั้งปวง เป็นสิ่งสูงสุดคือหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ที่ทำให้เกิดความรอด เพราะฉะนั้นขอบอกกล่าวกันเดี๋ยวนี้ว่าช่วยสอนเด็กๆกันเสียใหม่ว่า คำว่าธรรมะ คือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกาย ทั้งทางวัตถุและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ธรรมะ คือระบบการปฏิบัติ ต้องใช้คำว่าระบบเพราะไม่ได้ปฏิบัติข้อเดียวอย่างเดียว มันต้องปฏิบัติเป็นระบบ จึงใช้คำว่า ธรรมะ คือระบบการปฏิบัติ นี้ก็ที่ถูกต้อง ถูกต้องแก่ความรอด คือช่วยเกิดความรอด และความรอดนั้นก็หมายถึงทั้งทางกายและทางจิต และก็ต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการตั้งแต่ออกจากท้องแม่จนเข้าโลง และก็เพื่อทั้งของตนเองและของผู้อื่น นี้บทนิยามมันค่อนข้างยาว ธรรมะ คือระบบของการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางวัตถุและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น อย่าเห็นแก่ตัว ธรรมะ คือระบบการปฏิบัติไม่ใช่การเรียนการสอนการพูดอย่างเดียว แต่โดยเหตุของการที่ต้องมีการเรียนการสอนการพูดกันก่อนจึงมีการปฏิบัติ จึงเอามารวบเอาไว้ด้วย การสอนก็ดี การปฏิบัติก็ดี การได้รับผลของการปฏิบัติก็ดีเรียกว่าธรรมะเสมอกันหมด แต่ความหมายของคำว่าธรรมะนั้นคือระบบการปฏิบัติ ถ้าไม่มีการปฏิบัติคำสอนก็เป็นหมัน ถ้าไม่มีการปฏิบัติผลก็ไม่เกิดขึ้น มันจึงสำคัญอยู่ที่ตัวการปฏิบัติ ทำให้คำสอนไม่เป็นหมัน ทำให้ได้รับประโยชน์เป็นผลในภายหลัง นี้คือธรรมะ ธรรมะ ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งถูกนิดเดียวขี้เล็บก็ไม่ได้ เพราะคำว่าธรรมะมันหมายถึงหน้าที่ หน้าที่ที่ให้รอดจากความทุกข์ พอพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ท่านก็ฉงนขึ้นมาว่าต่อนี้ไปจะเคารพใคร มันรู้ธรรมะสูงสุดอย่างนี้แล้วจะเคารพใคร ในที่สุดท่านตกลงพระทัยว่าเคารพธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ คือหน้าที่ หน้าที่ที่จะต้องประพฤติ จะต้องกระทำ โดยเฉพาะหน้าที่ของพระพุทธเจ้านั่นเอง พระพุทธเจ้ามีหน้าที่อย่างไรก็เคารพหน้าที่อันนั้น ก็เรียกว่าธรรมะ ธรรมะ คือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ จะจำสำคัญให้เด็ดขาดว่าธรรมะคือหน้าที่ ทีนี้การทำหน้าที่เมื่อไหร่คือมีธรรมะเมื่อนั้น มีธรรมะเมื่อใดต้องมีการทำหน้าที่เมื่อนั้น เพราะธรรมะคือหน้าที่ ท่านก็เคารพหน้าที่ เคารพหน้าที่ พระบรมครูเคารพหน้าที่ เราเคารพพระพุทธเจ้าว่าสูงสุด แต่พระพุทธเจ้าท่านยังเคารพอีกสิ่งหนึ่งซึ่งสูงสุดไปกว่าท่านสิ่งนั้นคือธรรมะ หรือหน้าที่ เพราะฉะนั้นขอให้เราเขยิบขึ้นไปเคารพถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ พระพุทธเจ้าท่านเคารพอะไรเราจงเคารพสิ่งนั้นด้วย สิ่งนั้นคือ หน้าที่ หน้าที่
เล่าให้ฟังสักหน่อยหนึ่งก็ได้ว่าพระพุทธเจ้าท่านทำหน้าที่ครบวงจร ๒๔ ชั่วโมงอย่างไร ก่อนรุ่ง ก่อนหัวรุ่งอย่างที่เรามาประชุมกันนี้ ท่านทำหน้าที่สอดส่องไปทั่ว จะเรียกว่าทั่วโลกก็ตามใจ คือสอดส่องดูว่าวันนี้สว่างขึ้นมาแล้วจะไปทำอะไรที่ไหน สว่างขึ้นมาแล้วจะไปทำอะไรที่ไหน ท่านคิดตั้งแต่ก่อนรุ่งเพราะท่านเห็นอยู่ว่าที่ไหนเป็นอย่างไร ที่ไหนมีปัญหาอย่างไร ใครมีปัญหาอย่างไร บ้านเมืองอย่างไร ท่านตกลงพระทัยแล้ว พอรุ่งขึ้นท่านก็ไปทางนั้นละ ในฐานะไปบิณฑบาตร เพื่อได้โอกาสพบกับคนๆนั้น สมัยโบราณยิ่งง่ายไปบิณฑบาตรนั้นมันมีโอกาสนิมนต์ไปฉันที่บ้านที่เรือนสนทนากันจนพอใจแล้วก็ให้กลับ นี่บิณฑบาตรสมัยโบราณ ถึงแม้จะไม่เป็นอย่างนั้นก็มีโอกาสพูดจา ท่านต้องมีนโยบายอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะพูดจากับคนๆนั้น เพื่อสำเร็จประโยชน์ที่จะให้คนๆนั้นรู้ธรรมะ และท่านก็ไปทำอย่างนั้น จะเที่ยงจะสายไปก็ไม่เป็นไร ต้องทำสำเร็จในข้อนี้ ตอนเที่ยงท่านก็ต้องพักผ่อนเป็นธรรมดา พอบ่ายมาที่วัด ท่านก็สอนคนที่ไปหาที่วัด ประชาชนไปหาพระพุทธเจ้าก็ไปหาตอนบ่าย ท่านถือโอกาสสอนประชาชนไปหาที่วัดตอนบ่าย จนค่ำ พอค่ำก็สอนพระเณรจำวัด อโวเสภิกขุ อวาทัง หัวค่ำสอนภิกษุประจำวัด อทังรัตเต เทวปังหะรัง (๐๑.๐๕ นาที) เที่ยงคืนสอนเทวดา เทวดานี้เทวดาจากบนสวรรค์ก็ได้ เทวดาพระราชา มหากษัตริย์ ซึ่งเรียกว่าสมมติเทพนี้ก็ได้ เรียกว่าเทวดา พวกนี้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าเวลาเที่ยงคืนทั้งนั้น ในบาลีมีพบทั่วไปว่ายกกองทัพมาเลย กองทัพคบเพลิง ถือคบเพลิงเป็นกองทัพมาเฝ้าพระพุทธเจ้าอีกที่วัด พระราชาแต่ละองค์มีศัตรูมาก ไปไหนก็ต้องมีคนมคุ้มครองมาเป็นกองทัพ แม้แต่มาหา มาเฝ้าพระพุทธเจ้าก็มี ผู้คุ้มครองกองทัพเพลิงมา เพราะมาเวลาเที่ยงคืน ท่านก็ตอบคำถาม แก้ปัญหาของพวกเทวดา ไม่ว่าจะมาจากสวรรค์ หรือว่าเทวดาพระราชามหากษัตริย์จรเลยเที่ยงคืนดึกดื่นไปแล้ว มีเวลาพักผ่อนนิดเดียว เดี๋ยวก็หัวรุ่งอีกแล้ว จะหัวรุ่งอีกแล้ว ก็ส่องโลก ส่องโลกว่าไปที่ไหน ที่ไหน ทำอย่างนี้ครบ ๒๔ชั่วโมง พระบรมครูทำหน้าที่ของท่านครบวงจร๒๔ชั่วโมงอย่างนี้ เราลูกศิษย์ทำอย่างนี้หรือเปล่า หัวรุ่งยังนอนคลุมโปงอยู่ใช่ไหม ถ้าให้ต้องออกมาทำอะไรหัวรุ่ง ขัดใจ เสียความสุขในการนอน นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วก็จะไม่มีปัญหาในข้อนี้ ทีนี้ท่านไม่ได้สอนแห่งเดียว ท่านสอนทุกแห่งสอนทุกตำบลทุกบ้านเมือง ไม่มีรถยนต์ท่านก็ต้องเดินเพราะว่าบรรพชิตทั้งหลายจะไม่นั่งยานพาหนะที่เทียมด้วยสัตว์มีชีวิต ที่จริงเกวียนก็มี รถม้าก็มีแต่ท่านไม่นั่งเพราะว่ามันเทียมด้วยสิ่งมีชีวิต ท่านก็เดิน ท่านก็เดิน จะเป็นโยตๆ ก็เดิน และไม่มีพบในพระบาลีเลยว่าพระพุทธเจ้าได้ใช้ร่มหรือว่าใช้รองเท้า เหมือนพระสมัยนี้ซึ่งอ่อนแอก็เลยต้องใช้ร่มใช้รองเท้า พระพุทธเจ้าไม่มีร่มไม่มีรองเท้า แล้วก็เดินเป็นโยตๆ เดินเป็นโยตๆไปบ้านเมืองโน้น ไปบ้านเมืองนี้ ตลอดเวลาที่ท่านไปเผยแผ่พระศาสนา ๔๕ ปี ของชีวิต ในที่สุดปีสุดท้าย วันสุดท้าย วันสุดท้ายที่จะปรินิพพานในคืนนี้แล้ว กลางวันท่านก็ยังเดินอยู่เป็นโยตๆ ท่านไม่ได้ไปนอนเจ็บอะไรที่โรงพยาบาล ป่วยอยู่แล้วท่านก็ยังเดินระหกระเหินตอนกลางวันนั้น พอถึงที่จะนิพพาน ที่สวนสาระ เมืองปาวา หัวค่ำนี่จะปรินิพพาน ตอนหัวค่ำนี้ก็ยังมีนักบวชศาสนาอื่นมาเฝ้า ทูลถามขอปัญหา ถามปัญหา นี่ถึงขนาดนี้ พระทั้งหลายนี่ เห็นนี่ว่ามันเกินไปแล้ว ไล่ๆ อย่ามาไปออกไป พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระพุทธเจ้าท่านได้ยินคำไล่ไอ้คนนั้นท่านว่าอย่าไล่ อย่าไล่ บอกให้มันเข้ามา แล้วท่านก็ยังพยายามตอบปัญหาสั่งสอนจนคนนี้ได้บรรลุธรรมะสูงสุด ซึ่งต่อไปก็เป็นพระอรหันต์เป็นคนสุดท้าย พระพุทธเจ้าทำงานจนวาระสุดท้าย พูดภาษาชาวบ้านก็ทำงานจนตาย พระบรมครูทำงานอย่างนี้ แล้วครูทั้งหลายทำงานอย่างนี้หรือเปล่า หกสิบปีเกษียณสบายเลยกินบำนาญ คงไม่ได้ทำงานจนตายอย่างพระพุทธเจ้า นี่คิดดูสิ แต่เขาขอให้เราบูชาหน้าที่ บูชาหน้าที่ เคารพหน้าที่ เคารพสิ่งๆเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าเคารพ คือหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ แล้วก็เป็นครูปูชณียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆหนึ่ง นี่มีจิตใจเป็นเพชร ซื่อตรงต่อหน้าที่ เคารพหน้าที่ บูชาหน้าที่ ไม่มีอะไรมาดึงไปไม่ได้ ขวดเหล้าดึงไปไม่ได้ การพนันดึงไปไม่ได้ ไก่ชนดึงไปไม่ได้ เหมือนครูบางคน ไม่มีอะไรดึงครูที่แท้จริงไปได้จากการเป็นครู นี่ครูใจเพชร ทำหน้าที่ด้วยสติสัมปชัญญะสูงสุด มีสติสัมปชัญญะสูงสุด ตั้งใจจะทำอะไรดีที่สุด มีสติเร็ว มีปัญญามาก ศึกษาไว้มากพอที่จะเอามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในหน้าที่ของครู ของครู สติเร็วพอเอาปัญญาความรู้มาแก้ปัญหาทุกปัญหาในการทำหน้าที่ของครู ก็ทำหน้าที่ได้ดี
เรื่องงนี้มีความสำคัญมาก ขอให้เราสนใจเถิดว่าเราต้องมีปัญญารอบรู้ และก็มีสติ ที่จะไปดึงเอาปัญญาเฉพาะส่วนนั้นมาแก้ปัญหาอันนี้ ความรู้อันนั้นก็มาเผชิญหน้ากับปัญหาอันนี้ ก็เปลี่ยนชื่อเป็นสัมปชัญญะ สติไปเอาปัญญามาทำเป็นสัมปชัญญะเผชิญกับเหตุการณ์ในหน้าที่ ถ้ากำลังใจมันอ่อนก็เพิ่มสมาธิให้มันเข้มแข็งมันก็แก้ปัญหานั้นลุล่วงไป ธรรมะสี่เกลอนี้สำคัญมาก คือสติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ ทบทวนอีกทีหนึ่งว่าปัญญาสร้างไว้เพียงพอมากพอ พอมีอะไรเหตุเกิด เกินเหตุการณ์ขึ้นสติเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ ไปเอาปัญญามาทันที ไม่มีการเสียสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะก็ทำหน้าที่ ทำหน้าที่แก้ไขสถานการณ์ให้ดี ถ้าจิตใจมันอ่อนก็ไปเอาสมาธิที่ฝึกไว้ดีมาช่วยเพิ่มกำลัง สำเร็จทุกเรื่อง ครูปฏิบัติหน้าที่ของต นสำเร็จทุกเรื่องด้วยธรรมะสี่เกลอ คือสติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ ปัญยานี้ต้องหาไว้ทุกเรื่องเพราะเรื่องมันมาก แต่อย่าลืมว่าถึงคราวที่ใช้จริงมันใช้อย่างเดียวเท่านั้น เหมือนกับเรามีเครื่องมือมากๆเต็มบ้านเต็มเรือน แต่พอใช้จริงใช้แค่อย่างเดียว มีอาวุธมากๆแต่พอใช้จริงใช้แค่อย่างเดียว มียาทุกชนิดในตู้แต่พอมันใช้จริงมันใช้อย่างเดียว อย่างนั้นต้องมีไว้ครบบถึงจะแก้ปัญหาได้ทุกชนิด โดยสติไปเอาปัญญาที่ตรงกับเหตุการณ์มาเป็นสัมปชัญญะแก้ปัญหาด้วยกำลังของสมาธิ ขอให้คุณครูทั้งหลายตั้งใจฝึกสมาธิ อบรมปัญญา และก็รู้จักใช้สัมปชัญญะ และมีสมาธิก็จะปฏิบัติหน้าที่ใจเพชร ครูใจเพชรได้โดยไม่ต้องสงสัย ใจเพชรก็บูชาหน้าที่ที่ถูกต้องไม่ยอมให้ไปในทางเห็นแก่ตัวหรือ ทางต่ำ มันก็เกิดความรู้สึกที่แบ่งเป็นฝ่ายสูง ฝ่ายต่ำ พอหน้าที่เกิดขึ้นความรู้สึกฝ่ายสูงมันจะดึงเอาไว้ไม่ให้ผิดพลาด ความรู้สึกฝ่ายต่ำก็จะดึงไปให้เหลวไหล มันจึงมีความรู้สึกต่อสู้กันระหว่างฝ่ายสูงกับฝ่ายต่ำ มันจึงเกิดการต่อสู้กัน เหมือนกับกีฬา กีฬาที่จะแข่งขันให้มีแพ้ชนะ เราทำให้การงานของเราเป็นอย่างนี้ มีการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายสูงกับฝ่ายต่ำ แล้วการงานที่มำจะกลายเป็นกีฬาสนุกสนานไม่น่าเบื่อเลย มันมีการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว ความสูงกับความต่ำ เราผสมโรง จิตมันผสมโรงเล่นกีฬาอันนั้น ให้ฝ่ายสูงต่อสู้เอาชนะฝ่ายต่ำ หน้าที่การงานก็จะสนุกสนานเหมือนกับกีฬาไม่น่าเบื่อ เราก็ทำการงานไปได้จนถึงที่สุด ฝ่ายสูงมันก็ชนะ พอใจ ถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ อะไรๆก็แก้ปัญหาด้วยวิธีอย่างนี้หมด ไม่ว่าปัญหาที่โรงเรียน ที่ออฟฟิต ไม่ว่าปัญหาที่บ้านที่เรือน ปัญหาในครอบครัว ไม่ว่าปัญหากับสังคม เพื่อนบ้านใกล้เคียง ทุกปัญหาแก้ด้วยสติสัมปชัญญะอย่างนี้ นั้นก็มีความสนุก มีความสนุกเหมือนกับเล่นกีฬา การต่อสู้กันระหว่างความรู้สึกฝ่ายต่ำกับความรู้สึกฝ่ายสูง อาชีพก็ไม่น่าเบื่อก็สนุก แต่ก็ต้องขอให้มีจิตใจเป็นเพชรให้เสมอไป ถ้าจิตใจไม่เป็นเพชรก็จะถูกฝ่ายต่ำมันลากเอาไป ฝ่ายสูงก็แพ้เท่านั้นเอง บุชาอุดมคติของความเป็นครูผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เคารพหน้าที่อันนี้เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่ของพระพุทธเจ้า เราก็จะเป็นครูบริสุทธิ์ผุดผ่องทั้งเนื้อทั้งตัว สามารถนำโลกนี้ไปให้สู่สันติภาพโดยแท้จริง ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายมีจิตใจเป็นเพชร ให้ได้ชื่อว่าครูใจเพชร ไม่มีอะไรมาดึงให้ออกไปนอกลู่นอกทางได้แม้แต่นิดเดียว ทำหน้าที่อย่างนี้แล้วก็สร้างโลกทั้งโลก ให้เป็นโลกแห่งสันติภาพ คือสร้างเด็กให้ดีเป็นผู้ใหญ่ที่ถูกต้อง ประกอบกันเป็นโลกก็เป็นโลกที่ดีมีสันติสุขสันติภาพ ครูจึงเป็นปูชณียบุคคลสูงสุดไม่มีอะไรที่จะยิ่งไปกว่า ซึ่งไปเข้ารูปเข้ารอยกับพระพุทธเจ้าผู้สร้างโลก ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายแบ่งจิตใจส่วนหนึ่งของความเป็นครูไปสังกัดกับพระพุทธเจ้า อย่าสังกัดไปกับกระทรวงศึกษาธิการไปเสียหมดทั้งร้อย ขอให้แบ่งส่วนหนึ่งไปสังกัดกับพระพุทธเจ้า ช่วยกันสร้างโลกให้เป็นโลกที่มีแต่สันติภาพ เพราะเคารพในหน้าที่ เคารพในหน้าที่ รักษาความถูกต้องอันนี้ไว้ด้วยความมีจิตใจที่เป็นเพชร ขอให้ครูทั้งหลายเป็นครูใจเพชรด้วยกันทุกๆคน ปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่ด้วยความถูกต้อง มีความสุขในหน้าที่การงาน ในสังคมอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเถิด
ขอยุติการบรรยาย