แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านประธานและคณะและท่านที่ดำเนินกิจการการศึกษาเพื่อประโยชน์แก่เด็กๆอนุบาลทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีเป็นข้อแรกในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ สรุปสั้นๆว่ามาช่วยกันปรึกษาหารือกันในการที่จะแก้ไขปัญหาของมนุษย์หรือของโลกก็ว่าได้ ซึ่งเป็นเจตนาของพระศาสนาของพระพุทธเจ้ามีวัตถุประสงค์ร่วมกันอย่างนี้ก็ขอแสดงความยินดี และก็ยินดีที่จะสนองความประสงค์ให้สุดความสามารถตามที่จะทำได้ ตามที่จะทำได้ มันก็จะมีปัญหาอยู่บ้างเหมือนกันคือคำว่า อนุบาล อนุบาลนี่มันหมายถึงอะไรกันแน่ คำว่าอนุไม่ได้แปลว่าน้อยอย่างเดียว มันแปลว่ารองลำดับหรือตามลำดับหรืออะไรได้อีกด้วย หรือเราเรียกว่าอนุบาลและก็หมายถึงเด็กเล็กๆก็คงจะความหมายคำว่าน้อย เลยกลายเป็นเด็ก แม้จะอนุบาลกันในรูปไหน ถ้ามันไม่มีเรื่องทางจิตใจเข้าไปรวมอยู่ด้วยแล้ว การอนุบาล การศึกษาอนุบาลก็ไม่ผิดอะไรกับการเลี้ยงลิง มันก็ไม่มีความหมายอะไร งั้นต้องนึกดูว่าหัวใจของมันอยู่ที่ตรงไหน ทำไมจึงต้องมีการศึกษาประเภทนี้ นี้เป็นข้อแรกที่อาตมาอยากจะทำความเข้าใจคือเหตุผลว่าทำไมต้องมีการศึกษาระบบนี้ ข้อนี้มันลึก มันอยู่ลึก ต้องเรียนรู้ถึงเรื่องของมนุษย์ โดยเฉพาะเรื่องสัญชาตญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประจำอยู่ในสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าอะไรถ้ามันมีชีวิตมันจะมีความรู้สึกที่รู้สึกได้เองที่เรียกว่าสัญชาตญาณ มันเป็นของที่ธรรมชาติให้ติดตัวมาเป็นสมบัติ ถ้าไม่มีสัญชาตญาณแล้วมันมีชิวิตไปไม่ได้ มันต้องมีสัญชาตญาณสำหรับจะให้รู้การดำรงชีวิต สัญชาตญาณมันก็มีหลายแขนง แต่แขนงที่สำคัญที่สุดก็คือสัญชาตญาณแห่งความมีตัว มีตัว มีตัวฉัน นั่นแหละคือสัญชาตญาณอันนั้น สัญชาตญาณมีตัวฉันนั่นแหละมันทำให้คลอด สัญชาตญาณแสวงหาอาหาร ต่อสู้ หนีภัยจนกระทั่งสืบพันธุ์ไปตามเรื่องเพื่อจะไม่สูญพันธุ์ เพื่อชีวิตจะยังอยู่ แต่ละจุดศูนย์กลางของสัญชาตญาณนั้นคือสัญชาตญาณว่ามีตัว มีตัวฉัน มนุษย์ก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี แม้แต่ไม้แต่ไร่ก็ดีที่มันมีความรู้สึกคิดนึกมันมีรู้สึกมีตัวเหมือนกันแหละ แต่คนไม่รู้หาว่าไม่มีเสียด้วยซ้ำไป การศึกษาบางแขนงถือว่า ชีวิตมนุษย์ เอ๊ย ต้นไม้ไม่มีชีวิตไม่มีชีวิตไม่มีวิญญาณไม่มีความรู้สึก พ้นสมัยแล้ว รู้แต่ว่าต้นไม้ก็มีความรู้สึก เพื่อที่จะต่อสู้ เพื่อที่จะยังอยู่ เพื่อที่จะสืบพันธุ์อะไรต่างๆ สัญชาตญาณแห่งความมีตัว สัญชาตญาณแห่งความมีตัวเนี่ยผิดกันกับความเห็นแก่ตัว ขอให้ตั้งข้อสังเกตไว้ สัญชาตญาณแห่งความมีตัวติดมากับชีวิตเลย ทารกในครรภ์ก็มีสัญชาตญาณแห่งความมีตัวเตรียมพร้อม พอคลอดออกมาจากท้องแม่แล้ว ได้รับสิ่งแวดล้อมแล้วเนี่ย มันจะเดินไปต่อไปจากสัญชาตญาณแห่งความมีตัวกลายเป็นสัญชาต...ความรู้สึกซึ่งเห็นแก่ตัวซึ่งไม่ใช่สัญชาตญาณอันถูกต้องที่แท้จริง เมื่อเด็กอยู่ในครรภ์ไม่ได้รับรสอร่อยอะไร มันก็ไม่มีความรู้สึกคิดนึก พอออกมาจากครรภ์แล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของมันได้รับการสัมผัส ได้รับการแวดล้อม ได้รับการบำรุง มันมีสิ่งที่ถูกใจ ถูกใจ ความถูกใจทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีตัวยิ่งขึ้นไป ยิ่งถูกใจก็ยิ่งต้องการ ยิ่งถูกใจก็ยิ่งยึดมั่นถือมั่น เนี่ยมันจะคลอดออกไป ต่อไปเป็นความเห็นแก่ตัว ระวังให้ดีว่าสัญชาตญาณแห่งความมีตัวล้วนๆ ที่บริสุทธิ์ มันจะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว คือสัญชาตญาณที่เดินไปไกลกว่ากิเลส ถ้ามันได้รับการอบรมแวดล้อมที่ดี สัญชาตญาณแห่งความมีตัวมันจะเดินไปฝ่ายโพธิซึ่งตรงกันข้าม เดี๋ยวนี้ตามธรรมดาที่เป็นอยู่ในมนุษย์เนี่ยมันไม่มี มันไม่มี มันไม่มีทางที่จะเดินไปฝ่ายโพธิ เพราะมันปล่อยไปตามเรื่องตามราว เด็กๆได้รับความพอใจก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวจนเต็มรูปแบบ สัญชาตญาณมีตัวอันบริสุทธิ์จะกลายปเป็นความเห็นแก่ตัวคือการมีกิเลสม่ใช่โพธิ ดังนั้นเราจึงต้องกั้นกระแสปิดกั้นกระแสแห่งสัญชาตญาณบริสุทธิ์ที่มันจะเดินไปฝ่ายกิเลสนั้นหน่ะ อย่าให้มันเดินไป ให้มันเดินไปอย่างถูกต้อง ให้มันเดินไปตามฝ่ายสัญชาตญาณแห่งโพธิ มันมีจุดตั้งต้นที่เด็กๆ พอเริ่มเกิดขึ้นมาในโลกมันก็จะเริ่มเดินไปฝ่ายกิเลส ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นตามความเติบโตของเด็กๆ ดังนั้นเราจึงต้องปิดกั้นกระแสอันนี้ให้ถูกต้อง นี่คือเหตุผล เหตุผล เหตุผลข้อเดียวที่ต้องมีการศึกษาระบบอนุบาล เพื่อกั้นกระแสสัญชาตญาณของทารกของเด็กๆนั้นให้เดินไปถูกทาง คือฝ่ายโพธิอย่าได้เดินไปฝ่ายกิเลสเลย ขอให้ถืออันนี้ว่าเป็นเหตุผลที่วันนี้ทำไมต้องจัดการศึกษาระบบอนุบาล ขอให้มีความหมายคำๆนี้ที่ถูกต้อง จะไม่เดินตามก้นฝรั่งมากเกินไป อนุบาลของฝรั่งจะเป็นอย่างไรอาตมาก็ไม่ค่อยจะรู้แต่เชื่อว่ามันไม่ค่อยจะมีเรื่องทางจิตใจอะไรมากนักและก็ไม่ได้มีความมุ่งหมายอย่างว่านี้ ที่จะควบคุมหรือสกัดกั้นกระแสแห่งสัญชาตญาณที่รู้สึกว่ามีตัวที่ว่านี้อย่าให้เดินทางไปในทางเห็นแก่ตัว เป็นกิเลส แต่เดินไปทางโพธิ ไม่มีกิเลส เป็นความถูกต้อง นี่เป็นเหตุผลอยู่ลึก แต่ก็จำเป็นที่สุด ที่ต้องมีเหตุผลอย่างนี้และจัดการศึกษาอันนี้ให้ถูกต้อง เอาล่ะ เป็นอันว่าเหตุผลการจัดการศึกษาอนุบาลก็เพื่อจะควบคุมกระแสแห่งสัญชาตญาณของทารกให้เดินไปทางฝ่ายโพธิอย่าให้เดินไปฝ่ายกิเลส ทีนี้ปัญหาที่มันมีอยู่หรือที่มันแล้วมาก็ตามมันมีแต่ปล่อยให้เดินไปฝ่ายกิเลสเพราะไม่มีอะไรควบคุม เพราะเด็กๆได้รับการดูแลเหมือนกับเลี้ยงลิงเหมือนกันนะ เด็กมันชอบอะไรจะกินอะไร พ่อแม่ก็มีแต่สนองให้เสนอให้ มันจึงเกิดความเข้าใจผิดเป็นทำนองว่าพ่อแม่นี่คือผู้ที่จะต้องสนองความต้องการให้แก่เรา เราเรียกร้องเอาตามความพอใจ พ่อแม่ก็เหมือนกันก็ไม่มีความรู้สึกอะไรนอกจากความรัก แล้วความรักก็ทำให้ตาบอด มันจะเอาอะไรก็ให้มันทั้งนั้น มันจะเล่นหัว มันจะสนุกสนาน จะอะไร ส่งเสริมทั้งนั้น นั่นแหละส่งเสริมสัญชาตญาณมีตัวให้ค่อยๆกลายเป็นความเห็นแก่ตัว ไม่มีพ่อแม่คนไหนพาลูกเด็กๆไปที่ร้านของเล่นแปลกๆแพงๆ แล้วก็บอกลูกว่าไอ้ทั้งหมดนี้เขามีไว้ให้เราโง่นะลูกเอ๋ย ไม่มีใครทำอย่างนั้น มีแต่มึงจะเอาอะไรกูจะซื้อให้ แพงเท่าไรก็ไม่ว่า นี่มันเป็นซะอย่างนี้ เรื่องของเอร็ดอร่อย สนุกสนานก็เหมือนกัน ไม่ได้มองกันในแง่ที่ว่ามันทำให้เด็กโง่ เข้าใจผิดคือหลงไหลในสิ่งนั้นแล้วก็เกิดความเห็นแก่ตัวเป็นแน่นอน นี้เป็นปัญหาที่ว่า ทำอย่างไรลูกเด็กๆของเราจึงจะได้รับการแวดล้อมที่ถูกต้อง อย่าได้เกิดความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นมา เพิ่มขึ้นมา มันโทษใครก็ไม่ได้ ขนบธรรมเนียมประเพณีมันก็เป็นอย่างนี้ ทุกคนที่แวดล้อมเด็กๆก็จะมีแต่พูดว่าของหนู ของหนู พ่อของหนู แม่ของหนู อะไรๆก็ของหนู เป็นของหนู เป็นของตัวไปหมด เด็กก็เข้าใจเป็นทำนองนั้น ไอ้สัญชาตญาณที่เป็นเพียงความมีตัวล้วนๆมันก็ค่อยๆกลายเป็นสัญชาตญาณแห่งความเห็นแก่ตัว จนกระทั่งมัน เลย เลย เลยความพอดี มันเรียกร้องมากเกินไป นี่เราเรียกว่า ไม่รู้ว่าจะโทษใคร วัฒนธรรมประจำชาติประจำบ้านเรือนมันก็ไม่มีสำหรับจะสอนให้เด็กเล็กๆเข้าใจมาอย่างถูกต้องตั้งแต่เล็กๆ ถ้าว่าเด็กมันเดินไปชนเก้าอี้ พ่อแม่พี่เลี้ยงก็ตีเก้าอี้ ช่วยตีเก้าอี้ให้เด็กมันหายร้องไห้ เข้าข้างลูก เข้าข้างหนูๆ มันก็ส่งเสริมความมีตัว ความเห็นแก่ตัว เด็กๆก็มันมีความรู้สึกเป็นตัวกู ตัวกู ตัวกูขึ้นมา ขึ้นมา ขึ้นมา ตามความเห็นแก่ตัวแล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกเป็นของกู ของกู ของกูขึ้นมาตามความที่มีรู้สึกว่ามีตัวกู ปัญหามันจึงเกิดขึ้น มีดบาดนิ้วมือ มันก็บอกว่ามีดบาดกู เอาสิ มันไม่ได้รู้สึกว่าเพียงแต่มีดบาดนิ้วนิดเดียว เพียงแต่เหล็กมันผ่านเข้าไปในเนื้อ มันก็เรียกมีดบาดกู กูจะตายแล้ว กูจะ อะไรก็ไม่รู้ หน้าซีดเป็นลม ความเห็นแก่ตัวกูมันเจริญขึ้นมาโดยควบคุมไว้ไม่ได้ มันก็ไปในทางฝ่ายกิเลส เป็นความโลภบ้าง เป็นความโกรธบ้าง เป็นความหลงบ้าง ถูกใจมันก็รักเป็นความโลภ ไม่ถูกใจมันก็โกรธ ไม่รู้จะเป็นอย่างไรมันก็หลงวนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละ สงสัยอยู่นะจึงขอให้รู้ว่ามันมีเหตุผลที่สุดแล้วในการที่จะจัดการศึกษาอนุบาลให้เป็นรูปเป็นร่างและถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของธรรมชาติ และเราก็ยังใช้หลักเกณฑ์ของธรรมชาติอีกต่อไปที่จะจัดการศึกษาอนุบาลให้ได้ตามที่ปรารถนา อาตมานึกถึงวัฒนธรรมประจำบ้านเรือนที่จะส่งเสริมให้ลูกเด็กๆเนี่ยเขาเข้าใจถูกต้องในสิ่งแวดล้อมทุกๆอย่างจนไม่เกิดไขว้เขวเป็นเหตุ ความโง่อ่ะ เป็นไสยศาสตร์เป็นอะไรไปก็ไม่รู้ เป็นความผิดพลาด เข้าใจผิดร้ายแรงคือเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวซึ่งมีปัญหามาก ปัญหาทั้งโลก งั้นเราจะต้องจัดการที่จะสอนเด็กกันอย่างไร จะอบรมกันอย่างไรในเมื่อลูกเด็กๆไม่มีพื้นฐานอะไรมาก่อนเลย ไม่มีความรู้อะไรมาก่อนเลย มันก็มีแต่จะต้องบรรจุเข้าไป แล้วจะบรรจุกันอย่างไร เขาไม่มีความรู้พื้นฐานอะไรมาเลยนอกจากตัวกูของกู ควรจะได้ตามที่ตัวกูต้องการ แม้ที่สุดแต่ว่า ไอ้ความรักพ่อแม่นั้นก็ไม่ได้มี จนกว่ามันจะเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวเพราะพ่อแม่ตามใจ และก็ได้อะไรตามความพอใจก็เกิดความรักพ่อแม่เพราะความเห็นแก่ตัว มันก็เลยเป็นการส่งเสริมการเห็นแก่ตัว ทีนี้เราจะให้เด็กเกิดความรู้ที่ถูกต้องแท้จริงขึ้นมาอย่างไร อาตมาขอเสนอวิธีการสอนด้วยการถาม ให้เด็กเกิดความรู้สึกขึ้นมาได้เองซึ่งไม่ต้องอาศัยคำสั่งสอนอะไร ให้เด็กๆรู้ขึ้นในใจว่ามันเป็นอย่างนั้นเช่นจะถามว่าใครรักเรามากที่สุดในโลก ใครรักเรามากที่สุดในโลก ให้คิดอย่างเสรี เด็กๆมันก็จะคิดไปในทางออก คิดออกว่า พ่อแม่ พ่อแม่ เกิดมาเองได้ไหม เอ้าก็ไม่ได้ เกิดจากโพรงไม้ไหม ก็ไม่ได้ เกิดมาจากไหน มันก็เกิดมาจากพ่อแม่ ใครให้นมกิน ใครให้เสื้อ ใครให้ผ้า ใครให้กางเกง ใครให้รองเท้า ใครให้ขนม ใครให้ ให้มันเกิดความรู้สึกออกมาจากเด็กเอง ถามว่าออมสินไหนบ้างที่เบิกเงินได้ตะพึดโดยไม่ต้องฝาก เชื่อว่าเด็กทุกคนจะมองออก ออมสินไหนที่เบิกเงินได้เรื่อยโดยที่ไม่ต้องฝาก แล้วมันจะค่อยๆเกิดความรู้สึกขึ้นเรื่อยๆในพ่อแม่ ในพ่อแม่ ในพ่อแม่ ดังนั้นขอให้ฝังหมุดตัวแรกลงไปที่พ่อแม่ หรือความรักพ่อแม่ ฝังหมุด หมุดตัวสำคัญตัวหลักฐานลงไปที่ความรักพ่อแม่ เราจะต้องซ้ำทุกวันให้สูงยิ่งขึ้นไป แม้แต่คำถามง่ายๆว่า พ่อแม่เกิดมานะต้อง ต้องถามเพิ่มขึ้นทุกวันให้ลึกขึ้นไปทุกวัน ให้ลึกขึ้นไปทุกวัน จนเห็นว่าชีวิตนี้ได้มาจากพ่อแม่ ให้ความรู้สึกในพระเดชพระคุณของพ่อแม่นั้นมันเพิ่มขึ้นทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน คำถามในใจความเดียวนั่นแหละแต่ว่าถามให้มากขึ้น ให้ลึกขึ้น สูงขึ้น ทุกวัน ทุกวัน จนเป็นอันว่าฝังหมุดหลักฐานลงไปในจิตใจของเด็กนั้นได้สำเร็จ มีความรักพ่อแม่อย่างสุดชีวิตจิตใจ ด้วยความรู้สึกของเหตุผลที่เกิดขึ้นเพราะเราชักจูง อย่าปล่อยไปตามลำพังว่าพ่อแม่ตามใจเราทุกอย่างให้เราได้ของอร่อยได้ของเล่นเพียงเท่านั้นมันยังไม่พอ และมันนำไปทางกิเลส มันไม่ได้นำไปทางเห็นแก่ตัว ถ้าจะนำไปทางโพธิมันก็ต้องมีเหตุผลที่ให้เขาเห็นได้ชัดขึ้นมา เป็นเหตุผล เป็นความถูกต้องว่าพ่อแม่มีพระเดชพระคุณยิ่งกว่าพระเดชพระคุณ มันยิ่งกว่าผู้ใด ถ้าว่ามันมีหมุดอันนี้ปักลงไปได้สำเร็จแล้วอันอื่นมันก็จะเกาะอยู่ที่อันนี้ คุณธรรมอันอื่นมันจะพาไปเกาะอยู่ที่หมุดตัวสำคัญนี่คือความรักพ่อแม่อย่างสุดชีวิตจิตใจ โตขึ้นมันไม่สามารถจะทำให้พ่อแม่น้ำตาไหล แต่นี่มันไม่มีหมุดตัวนี้ฝังอยู่ในจิตใจ วัยรุ่นทุกคนพร้อมที่จะทำให้พ่อแม่น้ำตาไหล และก็ได้เป็นอยู่จริง มันจึงเป็นว่าจึงต้องวางหมุดตัวแรก รักพ่อแม่อย่างสุดชีวิตจิตใจ เอาละทีนี้เราก็จะดูกันต่อไปว่ามันมีเด็กชนิดไหนที่เราต้องการ เด็กชนิดไหนที่เราต้องการ หรือคำว่าเด็กนั้นมันมีความหมายว่าอะไร ได้ยินเขาว่ากันว่าเด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า เท่านั้นมันไม่มีความหมายอะไร ใครๆก็มองเห็น ถ้ามองเห็นได้ลึกกว่านั้นว่าเด็กมันคืออะไร ควรจะมองกันให้ไกลจนถึงว่าเด็กหนะมันคือผู้สร้างโลกในอนาคต เป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกหรือเป็นผู้ร่วมมือกับพระเจ้าในการที่จะสร้างโลกในอนาคต ถ้าเด็กของเราเป็นอย่างไร โลกในอนาคตมันจะเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องสงสัย มันเหตุผลเกินกว่าเหตุผล เด็กของเราเป็นอย่างไร โลกในอนาคตจะเป็นอย่างนั้น งั้นเราสร้างโลกในอนาคตได้โดยการสร้างเด็กหรือผ่านทางเด็กแล้วเด็กมันก็จะเป็นผู้สร้างทั้งโลก จะพูดให้เต็มแบบก็คือคำว่าครูสร้างโลกโดยผ่านทางเด็ก เด็กคือผู้สร้างโลก งั้นจงสร้างเด็กให้ดี ให้เหมาะสำหรับจะไปสร้างโลกให้ถูกต้อง ให้งดงาม ลองคำนวนดูว่าไอ้โลกข้างหน้ามันจะมีอารยธรรมอย่างไร มีวัฒนธรรมอย่างไร มีคุณธรรมอย่างไร มันขึ้นอยู่กับตัวเด็กที่ได้รับไว้อย่างไร เราสร้างเด็กขึ้นมาอย่างไรนั่นเอง เราสร้างเด็กให้มีคุณธรรมอย่างไร โลกในอนาคตมันก็จะมีอย่างนั้น เพราะงั้นขอให้มุ่งไปว่าเด็กนั้นคือผู้สร้างโลกในอนาคต ทีนี้มันก็อยู่ที่ว่าผู้ใหญ่จะโง่หรือจะฉลาดพอที่จะสร้างเด็กที่จะสร้างโลกในอนาคตได้หรือไม่ เพราะงั้นความรับผิดชอบของผู้ใหญ่นี่ปัจจุบันที่จะสร้างเด็กให้เป็นผู้สร้างโลกในอนาคตได้หรือไม่ ถ้าเรายึดติดกันอย่างนี้ เราก็ต้องเห็นว่าการอบรมเด็ก การให้การศึกษาเด็กให้ถูกต้องนั้นแหละเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เป็นความรอดของมนุษย์ เป็นความรอดของโลกในอนาคต เด็กจะได้รับการฝังหมุด รักพ่อแม่อย่างที่ว่ามาแล้ว แล้วมันก็ค่อยๆมีคุณธรรมอันอื่นมาขยายตามออกไปเองแหละ ถ้าจุดนี้มันแน่นอนตายตัวแล้ว ความซื่อสัตย์ต่อพ่อแม่ ควารักพ่อแม่ ความกตัญญูต่อพ่อแม่ มันก็จะมีขึ้นมา แล้วมันจะมีความอดกลั้นอดทนเสียสละ มีน้ำใจนักกีฬาอะไรให้มันพอแก่การที่มันจะตอบสนองแก่พ่อแม่ซึ่งมันรักอย่างสุดชีวิตจิตใจ นี่หัวข้อหลักๆมีอยู่อย่างไรก็ไปคิดกันเสียให้พอ จริงๆมันก็ไม่มากนัก ถ้ามันมีความซื่อสัตย์ ความกตัญญู เสียสละ น้ำใจนักกีฬาแล้วมันก็พอที่จะสนองความประสงค์อันนี้ได้ ทีนี้เราจะลองเหลือบไปดูทางพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าได้ตรัสลักษณะของลูกหรือบุตรเอาไว้หลายๆรูปแบบ แต่ในที่สุดท่านสรุปว่า ไอ้บุตรที่เชื่อฟังนั้นคือบุตรที่ดีที่สุด เปโถปุตตานัง โย จะ ปุตตานะมัสสะโว ที่มันเชื่อฟังบิดามารดานั่นหนะคือบุตรที่ดีที่สุด ท่านไม่ได้ตรัสว่าบุตรที่ฉลาดที่สุดหรือบุตรที่รวยกว่าบิดามารดา บุตรอะไรทั้งบุตร บุตรที่เชื่อฟังคือบุตรที่ฉลาดที่สุด เพราะว่าบุตรที่เชื่อฟังมันไม่สร้างปัญหา มันไม่ทำให้พ่อแม่น้ำตาตก มันจะช่วยยกพ่อแม่ขึ้นมาจากนรก ได้โดยแท้จริง โดยแท้จริง บุตรที่เชื่อฟังมันจะทำอะไรได้ทุกอย่าง นี้ดูสิ ปัญหามันเกิดเนื่องจากบุตรมันไม่รักพ่อแม่ มันไม่เชื่อฟังพ่อแม่ มันพร้อมที่จะหลอกลวงพ่อแม่ บุตรสมัยนี้มันเลวจนถึงกระทั่งว่ามันฆ่าพ่อแม่ หนังสือพิมพ์ยังหาได้เกือบทุกเดือน ที่บุตรมันฆ่าพ่อแม่ เพราะขัดใจ มันเป็นเสียอย่างนี้ ถ้าบุตรมันเชื่อฟังเสียอย่างเดียวมันก็ไม่มีปัญหาอะไร ถึงพ่อแม่จะโง่เง่าอย่างไรก็ไม่ได้ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาได้ งั้นเด็กๆนี้จะต้องมีหลักการที่ว่า ยังเล็กอยู่ ยังรู้อะไรของตนเองไม่ได้ก็ต้องเชื่อฟัง เชื่อฟังพ่อแม่ เออ อีกข้อนึงอาตมาอยากจะพูดเสียเดี๋ยวนี้ ยืนยันว่า เด็กก็จะต้องมีคุณธรรม ธรรมะที่สูงสุด ที่ใช้ไปนิพพานนั้นแหละ ธรรมะพวกไหนที่ใช้ไปเพื่อบรรลุนิพพานก็ต้องเอามาให้เด็กใช้ด้วยเหมือนกัน อริยมรรค มีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องไปนิพพานก็ขอให้ลดระดับลงมาปรับปรุงให้ลดลงมาใช้กับเด็กๆได้ เรื่องอริยสัจก็พูดจนเด็กๆเข้าใจอ่ะ ทุกข์มันมีเหตุ ดับทุกข์ต้องดับที่เหตุ พระพุทธเจ้าไม่ให้ดับที่ทุกข์ แต่ให้ดับที่เหตุแห่งความทุกข์ อริยมรรคมีองค์ 8 ถูกต้องแปดประการนี้เด็กก็ควรได้รู้ และธรรมะสูงสุดที่ทำให้บรรลุมรรคผลได้ที่ที่แปลกหูอ่ะที่ไม่ค่อยเคยได้ยินได้ฟังกันว่า อตัมมยตา อตัมมยตา รู้จากสิ่งนั้นๆดีจนกระทั่งรู้สึกว่าเอากะมันไม่ได้อีกต่อไป คำว่า อตัมมยตา แปลว่าไม่อาศัยสิ่งนั้นอีกต่อไป ตัวหนังสือหน่ะ แต่ใจความสำคัญก็คือพูดอย่างนี้ พูดได้ว่าอย่างนี้ กูจะไม่เอากะมึงอีกต่อไป การที่เด็กมันจะละความเลว ความชั่ว อบายมุข หรือความไม่ดีอย่างไรของเด็กๆเนี่ย ถ้ามันไม่มีความรู้ถึงขนาดที่เป็นอตัมมยตาแล้วมันก็ละไม่ได้หรอก มันก็ต้องเกเรเสเพลอยู่เรื่อยไป มันจะละเฮโรอีนไม่ได้ มันจะละอะไรไม่ได้ไปเสียทุกอย่าง ที่จะต้องละ เรื่องนี้มันสูง สูงในขั้นที่ว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ธัมมัตทิฐตตา ธัมมนียามตา อินะปัถถะยมตา สุญตา กัตถาตา (0:26:27) ถึงที่สุดแล้วจึงจะมีอตัมมยตาที่จะละสังขาร ละความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 หรือในโลกหรือในรูปในนามอะไรก็ตาม ต้องเห็นอตัมมยตา ต้องมีอตัมมยตา คือรู้ว่ามันเลวจนขนาดที่จะเอากับมันไม่ได้อีกต่อไป สูงสุดเป็นพระอรหันต์อย่างนั้นหน่ะ เอามาใช้กับเด็กๆได้ คำว่าอตัมมยตา มองเห็นชัดว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้ อาศัยกันไม่ได้อีกต่อไป เลิกกันที อย่าขาดกันที แล้วเด็กๆของเราก็จะละอะไรได้ จะละอบายมุขก็ได้ จะละสันดานชั่วๆนั้นก็ได้ นี่ธรรมะสูงสุดก็ต้องรู้จักนำ ดึงเอามาใช้ ลงมาใช้ได้แก่เด็กๆเดี๋ยวนี้ดูจะไม่สนใจกันเลย ก็จะมีความเห็นตรงกันข้าม ตัดบทเสียทีเดียวว่าเอามาใช้กับเด็กๆไม่ได้ อาตมาเคยประสบมาแล้วไม่ต้องเอาชื่อใคร เขายืนยันมาว่าอย่างนั้นว่าเอามาใช้กับเด็กๆไม่ได้ อาตมาก็บอกว่าทุกอย่างที่ไปพระนิพพานหน่ะ ปรับปรุงมาใช้กับเด็กๆได้ที่เขาจะละสิ่งที่ควรละ เขาจะทำสิ่งที่ควรทำ ก็ขอให้นึกถึงข้อนี้ด้วย เอาธรรมะอันประเสริฐของพระพุทธเจ้านำมาใช้กับเด็กได้ทุกระดับ ทุกข้อของธรรมะเอามาใช้เป็นบทตั้งสำหรับ ถาม ถาม ถาม ถาม จนเด็กมันรู้สึกได้เอง ถ้ามันไม่รู้สึกว่ามันเลว มันเลว จนอยู่กับมันไม่ได้แล้ว มันจะละได้อย่างไร มันจะละได้อย่างไร เด็กๆก็พอจะรู้ได้ เขาจะละอะไรที่ครูสอนให้ละ ที่พ่อแม่ต้องการให้ละ เขาจะต้องรู้จนที่ว่าไม่ไหวจริงๆ อยู่กับมันไม่ได้จริงๆ เช่นขันธ์ 5 เนี่ย มายึดถือที่เขาเรียกว่าอุปาทานเป็นตัวกู เป็นของกู กัดเอา กัดเอา เป็นทุกข์ เด็กๆก็จะสำคัญใจได้ว่ายึดถือสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้นแหละมันกัด รักสิ่งใดสิ่งนั้นแหละมันกัด มันก็ต้องเข้าใจได้ มันก็จะไม่ยึดมั่น ถือมั่น หมายมั่นสิ่งใดให้มันกัด มันเป็นความรู้ชั้นพระอรหันต์ที่นำมาใช้กับเด็กได้ และมันก็เป็นหมันอยู่ตลอดเวลาไม่มีใครเอามาใช้ ไม่เคยมีใครคิดจะใช้ และก็กลัว กลัว ไม่กล้าเอามาใช้ พอเราพูดขึ้นเขาก็ว่าเราบ้าๆบอๆ หัวเราะ ที่จริงธรรมะมันอันเดียวกันทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะในกรณีไหนมันมีหลักการอันเดียว ที่จะบรรเทาความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู ว่าของกูทั้งนั้น เด็กๆควรจะรู้มาตั้งแต่เล็กๆเท่าที่ควรจะรู้ แล้วก็ขยายขึ้น ขยายขึ้น อาตมาจึงเสนอธรรมะสูงสุดคือ อตัมมยตา ความรู้ว่าจะอาศัยสิ่งนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จะเป็นอยู่ด้วยสิ่งนี้ พึ่งพาสิ่งนี้ อาศัยสิ่งนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ขออย่าขาดจากกัน เพราะงั้นใครจะอย่าจากขวดเหล้า จะอย่าขาดจากบุหรี่ จะอย่าขาดจากอะไรก็ขอให้ใช้อัตตัมยตาเถิด มันจะละได้ ทีนี้เด็กๆมีหมุดฝังลงไปว่าบิดามารดาเป็นที่รักที่พอใจสูงสุดและในโลกนี้ก็ไม่มีใครรักเรายิ่งไปกว่าบิดามารดาก็สามารถที่จะปลูกฝังความคิดนึกลงไปในลูกเด็กๆเหล่านั้นว่าเราจะต้องเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาเลยออกไปถึงกับเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ในความหมายเดียวกัน บิดามารดาก็เป็นครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกับบิดามารดาในลักษณะหนึ่ง และเราก็จะต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน อย่างนี้นี่เราเคยพูดกันในเรื่องของจริยธรรมว่า เราต้องการให้เด็กๆเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระศาสนา เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องของความเป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยม นี่ขอให้นึกถึงข้อแรกๆที่ว่าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดานั้นคืออย่างไร ให้เขาเข้าใจ ให้เขารู้จัก ให้เขาสมัครที่จะเป็น อุทิศชีวิตที่จะเป็น ที่จะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ปัญหาจะได้หมด ถ้าเด็กมันสมัครมอบกายถวายชีวิตเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาแล้วปัญหามันจะไม่มี เพราะมันจะไม่ทำสิ่งที่ขัดใจ หรือขัดความประสงค์ของบิดามารดา มันก็เลยทำผิดอะไรไม่ได้ ดังนั้นเด็กๆจะต้องมีความรู้ครบเรื่องทางวัตถุ ทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ แม้ไม่รู้มากเท่าที่ผู้ใหญ่รู้ แต่ก็ต้องรู้ แต่ก็ต้องรู้ ทางวัตถุร่างกายเป็นอย่างไร ทางวัตถุล้วนๆเป็นอย่างไร ทางร่างกายเนื้อหนังเนี่ยเป็นอย่างไร ทางจิตเป็นอย่างไร ทางวิญญาณ คือสติปัญญานั้นเป็นอย่างไร คำนี้มันยืมมาใช้ไม่รู้ว่าจะใช้คำอะไรดี ใช้คำว่าวิญญาณ วิญญาณเพื่อจะเทียบกับคำว่า spiritual ของฝรั่งว่าทางวิญญาณให้เด็กๆรู้ว่าเราก็มีวัตถุ อาศัยวัตถุ เราก็มีร่างกายอาศัยร่างกาย เราก็มีจิตเป็นไอ้เครื่องมืออันสำคัญ และเราต้องมีคุณธรรม คุณสมบัติของจิตคือสติปัญญาที่ถูกต้อง มีแต่เพียงจิตล้วนๆ ไม่แต่มีสมาธิก็ทำอะไรไม่ได้ ให้เด็กรู้เรื่องว่าจะต้องมีความร็ที่ถูกต้อง และก็มีจิตที่ดี มีร่างกายที่ดี และก็จะมีวัตถุ บ้านเรื่อน เครื่องใช้ไม้สอยที่ถูกต้อง เขาจะต้องรู้เรื่องนี้ครบ เดี๋ยวนี้ผู้ใหญ่บางคนก็ยังไม่รู้นะ ขออภัยที่ต้องพูดกันตรงๆว่าผ็ใหญ่บางคนก็รู้แต่เรื่องวัตถุ เรื่องร่างกาย เรื่องปาก เรื่องท้อง ไม่รู้เรื่องชีวิตจิตใจ ไม่รู้เรื่องทางวิญญาณ แล้วจะสอนเด็กให้รู้เรื่องเหล่านี้อย่างไรได้ งั้นขอให้เด็กได้เริ่มรู้เถอะว่ามันมีเรื่องเป็นเรื่องๆ เรื่องวัตถุ ในบ้านเรือนของเราจะต้องถูกต้อง ในบ้านเรือนด้วยวัตถุเครื่องใช้ไม้สอยอะไรก็ตาม ร่างกายของเราจะต้องถูกต้อง ต้องมีคุณสมบัติดีเต็มที่ จิตของเราจะต้องมั่นคง จะต้องมีกำลัง และเราต้องมีสติปัญญากำลังความรู้ของจิตนั้นที่ถูกต้อง มีความคิดความเห็นเป็นสัททาทิฐินั้น ทรัพย์สมบัติอันเลิศอยู่ที่นั่น เดี๋ยวนี้เด็กไม่ได้รับคำสั่งสอนให้จัดเป็นแผนกๆ ให้จัดให้มันถูกต้องอย่างนี้ รู้จักแต่เรื่องเอร็ดอร่อย สนุกสนาน บูชาสิ่งเหล่านี้ มันก็เลยรู้จักแต่เรื่องที่เป็นรากฐานของกิเลส มันจะเป็นการสั่งสมกิเลสไม่มีที่สิ้นสุด ทางฝ่ายโพธิมันก็รกปิดตันไปเลย แล้วจะมีไอ้ความรู้ที่เป็นสติปัญญาได้อย่างไร แต่ก็สงสารอยู่เหมือนกันว่าพูดอย่างนี้มันจะเกินไปแล้วก็ได้ บางคนอาจจะเห็นว่าบ้าแล้วก็ได้ มันพูดเกินไปแล้ว แต่อาตมาว่าไม่เกินหรอก เด็กๆควรจะต้องรู้ถึงขนาดนี้ แม้ในระดับเบื้องต้น ในระดับพื้นฐาน เด็กๆก็จะต้องรู้ต่อไปถึงเรื่องความจริง ความจริงของธรรมชาติ ความจริงของธรรมชาติ รู้เรื่อง เอ่อ ธรรมชาติอันแท้จริง ไม่งมงายเป็นไสยศาสตร์ไม่ ไม่ไ ม่มีปัญหาเรื่องผีๆสางๆ เรื่องกลัวผีเรื่องอะไรเหล่านี้ซึ่งผู้ใหญ่ทำให้เขาโง่ เด็กในท้องไม่กลัวผี ไม่รู้จักกลัวผี เพิ่งมากลัว รู้จักกลัวผี เมื่อผู้ใหญ่เขาพูดในทำนองที่ทำให้มันโง่ งั้นก็ถามเด็กๆดูสิว่า หมากลัวผีไหม หมากลัวผีไหม เอาไปดูกัน เอาไปดูกัน ที่ป่าช้า ที่ไหนก็ตาม ถ้าหมาไม่กลัวผีทำไมหนูจะต้องกลัวผีเล่า คิดให้มันรู้ว่ามันธรรมชาติแท้ๆ มันก็มีอยู่ก็จะต้องรู้ว่าธรรมชาติแท้ๆเป็นอย่างไร อย่าให้เรื่องไสยศาสตร์เข้ามาฝังหัวจนผิดไปหมด จนยุ่งไปหมด ให้อาศัยหลักของธรรมชาติที่เฉียบขาดแน่นอน ตายตัว เป็นกระแสแห่งเหตุและผล เกิดความคิดโง่ๆขึ้นมาก็เพราะเหตุและผลมันไม่ถูก เกิดความคิดฉลาดขึ้นมาก็เพราะเหตุผลมันถูกต้อง ให้เป็นผู้อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผลตลอดไป ฉะนั้นการสอนให้มองเห็นให้ลึกลงไปตามหลักธรรมะชั้นสูงนั้นไม่เสียหลายหรอก ให้เด็กรู้ว่าจิตมันคิดนึกได้เองโดยไม่ต้องมีอัตตา โดยไม่ต้องมีอะไร ไม่ต้องมีผีสาง ไม่ต้องมีเทวดาอะไรที่ไหนเข้ามาช่วย ร่างกายระบบประสาทมันรู้สึกอะไรได้เอง ไม่ต้องมีผีมีอะไรมาช่วยทำความรู้สึก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันมีระบบประสาทที่มันรู้สึกอย่างนั้นได้เอง ไม่ต้องมีอัตตา ไม่ต้องมีอัตตาที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมาทำหน้าที่ จิตรู้สึกเวทนาได้เองไม่ต้องมีอัตตามาช่วย จิตรู้สึกเป็นสัญญาจำได้หมายมั่นอะไรได้เองไม่ต้องมีอัตตาไหนมาช่วย จิตรู้สึกคิดนึกได้เองเป็นวิญญาณทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้เอง ไม่ต้องผี ไม่ต้องมีอัตตา ไม่ต้องมีเทวดา ไม่ต้องมีเจตภูมิ ไม่ต้องมีวิญญาณอะไรที่ไหนมาช่วย เด็กมีความรู้ที่ถูกต้องอย่างนี้ แต่ข้อนี้ก็น่าเห็นใจ น่าเห็นใจทั้งหมดว่ามนุษย์แหลมทอง สุวรรณภูมินี่ ศาสนาฮินดูเข้ามาก่อน ศาสนาพราหมณ์หน่ะมันมาก่อน มาฝังความรู้อย่างฮินดู อย่างพราหมณ์ว่ามีอัตตา มีเจตมัน มีอัตมัน มีเจตภูติ มีอะไรเนี่ยไว้เสียแน่นแฟ้นก่อน มันก็จะเข้ารูปกับความรู้เดิมๆของคนป่านั้นด้วย มันรับฝังไว้แน่นแฟ้น มีเจตภูติ มีอัตมันนี้ พอพุทธศาสนาเข้ามาถึง โอ้มันก็ยากเหลือเกินที่จะถอนได้ เพราะมันฝังแน่นอยู่ก่อน เพราะงั้นเรื่องนี้มันก็เหลืออยู่จนกระทั่งบัดนี้ให้จิตใจของพุทธบริษัทถือพร้อมกันทั้งฮินดูและพุทธ ถือทั้งไสยศาสตร์และพุทธศาสตร์ เป็นปัญหาที่น่าเห็นใจ รับเอาไอ้อย่างฮินดูเข้าไว้เต็มที่ และก็บอกลูกเด็กๆว่านี่ก็เป็นพุทธเสียด้วย พิธีไสยศาสตร์ต่างๆก็หลอก หลอกลูกเด็กๆว่าเป็นพุทธเสียด้วย จึงมีการบูชาเซ่นสรวงอ้อนวอนตามแบบนั้นแหละแก่วัตถุในพระพุทธศาสนา มันก็เลยยุ่งหมด เด็กๆยุ่งจนไม่รู้จะอะไรเป็นยังไงแน่ เด็กๆจะต้องรู้ว่าอะไรเป็นไสยศาสตร์อะไรเป็นพุทธศาสตร์ นี่สำคัญมาก ค่อยๆบอกให้เขารู้ ค่อยๆบอกให้เขารู้ แต่ถ้าพ่อแม่มันไม่รู้แล้วใครจะบอก มันมีปัญหายากอย่างนี้ ปัญหาทางการศึกษาหน่ะมันลำบากอย่างนี้ มันกลายเป็นว่าต้องอบรมกันทั้งพ่อและก็ลูก ทั้งพ่อแม่และทั้งลูก ให้มีความเข้าใจถูกต้อง เรื่องความเป็นไปตามอำนาจแห่งเหตุผล และรู้ว่าจิตเนี่ยมันลึกลับซับซ้อน มันทำอะไรที่เข้าใจได้ยาก เราจึงเข้าใจผิดต่อสิ่งที่เรียกว่าจิตกันมากมาย เรื่องทางไสยศาสตร์มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้ ก็ขอให้ระวังให้ดี ทีนี้เด็กๆเนี่ยควรจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าจิตตามสมควร แม้จะไม่รู้หมด รู้ในขนาดที่ที่ว่า จิตเป็นสิ่งที่อบรมได้ อันนี้สำคัญ จิตเป็นสิ่งที่อบรมได้ก็หมายความว่าเปลี่ยนแปลงได้ ให้รู้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ตายตัว ถ้าจิต ถ้าเด็กมันรู้ว่าจิตเป็นสิ่งที่อบรมได้ ทำการเปลี่ยนแปลงได้ มันก็พอใจที่ว่า ทำอย่างไรให้มันเป็นจิตที่ดี ให้มันรู้ว่าไม่ดีอย่างไร และดีอย่างไร จิตที่จะมีประโยชน์อย่างไร ไม่มีประโยชน์อย่างไร นอกจากที่ว่าจิตเป็นสิ่งที่อบรมได้แล้ว ร่างกายก็เป็นสิ่งที่อบรมได้ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับจิตได้ การอบรมแต่จิตก็เป็นไปไม่ได้ถ้าร่างกายมันไม่เหมาะสม เพราะงั้นร่างกายก็เป็นสิ่งที่อบรมได้เช่นเดียวกับจิต งั้นขอให้เราอบรมพร้อมๆกันไปทั้งร่างกายและทั้งจิต ให้ร่างกายมันเป็นพื้นฐานของจิต ความคิดนึกนี้ยังไม่มีที่สิ้นสุดยังจะเป็นไปอีกมาก แต่เราจะต้องรู้ว่าอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น อะไรจำเป็นก่อน อะไรต้องมีเดี๋ยวนี้ อะไรรอไว้ก่อนก็ได้ จนเห็นว่าการทำให้หมดปัญหา การทำให้หมดความทุกข์นี้จำเป็นที่สุด อย่าให้พ่อแม่ต้องน้ำตาไหล อย่าให้ตัวเองต้องน้ำตาไหลนี่ถูกต้องที่สุด แม้กระทั่งว่าให้เด็กมันรู้ว่าผู้ใหญ่หวังอยู่ว่าเราจะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต มันอาจจะทำให้เด็กอวดดีไปก็ได้ แต่เราก็มีวิธีพูดที่จะทำไม่ให้เด็กอวดดีเพียงแต่รู้ว่าผู้ใหญ่เขาหวัง บิดามารดาหน่ะเขาหวังให้เราเป็นผ้สร้างโลกในอนาคตที่งดงามที่น่าอยู่ ให้เรารู้จักความรับผิดชอบอันนี้ อย่าปัดความรับผิดชอบอันนี้ มันจะสอนได้ แม้ว่าลูกทารก ลูกเด็กๆ อายุน้อยๆ มันจะได้เตรียมตัวสำหรับที่จะเป็นผู้ดี เป็นคนที่ดีที่มีคุณค่า มันจะอวดดี จะหยิ่งผยองไปบ้างก็ไม่เป็นไร ถ้ามันจะหยิ่งผยองไปในทางที่ว่าเราจะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคตมันไม่เสียหายอะไร อันนั้นมันก็ค่อยๆรู้ได้เอง แต่ขอให้เขารับในความรู้สึกว่าเราเป็นผ็ที่มีค่ามีความรู้สึกสูงสุดว่า self-respect เราเคารพคุณค่าของเรา คุณค่าอันสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์มันอยู่ที่ความเป็นมนุษย์ของเรา อาจจะปรับปรุงความเป็นมนุษย์ให้ดีที่สุด นี่ให้เด็กเขายอมรับอย่างนี้ เขาก็จะเตรียมตัวสำหรับที่จะเป็นอย่างนั้น ความรู้ยังมีไม่เพียงพออาจจะอวดตัวไปบ้าง อาจจะเบ่งไปบ้างก็ไม่เป็นไร แล้วมันก็ค่อยๆหายไป ลดลงมาเหลือว่าทำหน้าที่ถูกต้องพอดีกันอย่างไร นี่เราจะมีเด็กลักษณะอย่างนี้ นี่เรื่องเด็กที่เราต้องการมันมีลักษณะอย่างนี้ เราจะทำได้หรือไม่ ในการที่จะเตรียมเด็กของเราให้เป็นอย่างนี้ เอาทีนี้ก็จะมองดูไปที่ทางอื่นต่อไปว่าจะให้เด็กของเรารู้จักพระเจ้าในลักษณะอย่างไร เราจะมีพระพุทธเจ้าอย่างไหนให้กับเด็กของเรา เดี๋ยวนี้มันมันมีอะไรก็จะโทษใครก็ไม่ได้เพราะเด็กเขาเข้าไปในในโบสถ์ โบสถ์ที่ที่ศักดิ์สิทธิ์หรือที่สูงสุด ที่แพงที่สุด เด็กก็เริ่มเข้าใจผิดต่อพระพุทธเจ้า เพราะนั่งอยู่บนบัลลังก์งาช้างหลายๆชั้น มีทั้งเศวตฉัตรกั้นอยู่บนศีรษะ พอเด็กเห็นภาพอย่างนี้เด็กจะเข้าใจผิดต่อพระพุทธเจ้าทันที ความคิดจะเดินไปทิศทาง ไปทางไหนก็ไม่รู้ ก็ไม่ๆๆมองเห็นว่าพระพุทธเจ้านั้นอยู่ในกระท่อมอย่างกระท่อมคนขอทานนั้นแหละ มันไม่เคยรู้ มันไม่เคยมองเห็น ไปดูสิ ซากซากพระคันธกุฎีทั้งหลาย มันไม่ดี ไม่ดีไปกว่ากระท่อมขอทาน อย่าไปดูหลังที่เขาเสริมสร้างทีหลัง ใหญ่โตมโหฬารหน่ะมันรุ่นหลังทั้งนั้น พระคันธกุฎีในยุคแรกโดยแท้ๆแล้วมันก็ไม่ใหญ่ไปกว่ากระท่อมของคนขอทาน แล้วพระพุทธเจ้าจะมานั่งบนบัลลังก์งาช้างข้างบนกั้นเศวตฉัตรได้อย่างไร นี่มันลำบาก ลำบากเสียแล้วที่จะทำให้เด็กๆรู้จักพระพุทธเจ้าอย่างถูฏต้อง เพราะพอเขาเข้าไปในโบสถ์ เขาก็รู้จักพระพุทธเจ้าในลักษณะที่ผิดความจริงซะแล้ว จะอธิบายกันได้ไหม จะอธิบายกันได้ไหม ให้เด็กๆเขารู้ว่าพระพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไร มีชีวิตอย่างไร และเด็กๆก็จะเข้าใจว่าในพระพุทธรูปนั้นมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่เพราะผู้ใหญ่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นหนิ เป็นลัทธิอะนิมิซึ่มของคนป่า มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ในรูปเคารพหน่ะมันเป็นลัทธิอะนิมิซึ่มของคนป่า เดี๋ยวนี้เราก็ทำให้เด็กๆเข้าใจอย่างนั้น พระพุทธรูปองค์นี้ต้องนำของอย่างนี้ไปถวาย พระพุทธรูปองค์นี้ต้องนำไข่อย่างเดียวไปถวาย มันก็ทำให้เกิดความคิด ความเข้าใจผิดต่อพระพุทธรูปในฐานะที่เป็นสิ่งที่มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ในนั้น ทำอย่างไรให้เด็กรู้จักพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้อยู่ต่ำที่สุด ทำสูงที่สุด ช่วยโลกทั้งโลก ทุกๆโลก ท่านมีการเสียสละเหลือประมาณ ไม่มีใครเสียสละเท่า ไม่มีรถยนต์ ท่านเดินด้วยเท้า ไปไหนที่ท่านต้องการจะไปโปรดไปสอน ท่านไม่นั่งยานพาหนะที่เทียมด้วยสัตว์มีชีวิต เช่นเกวียน เช่นรถม้า ท่านไม่นั่งเพราะว่ามันเทียมด้วยสัตว์มีชีวิต เพราะงั้นท่านก็ต้องเดิน เดิน เดิน การเดินเป็นโยชน์โยชน์นั้นเป็นของธรรมดาสำหรับพระพุทธเจ้า แต่ท่านก็ทำได้ด้วยความเสียสละ ก่อนจะตื่นเช้าหัวรุ่งนึกว่าวันนี้จะไปโปรดใคร แล้วก็ไปโปรดจนได้ ไปบิณฑบาต ไปโปรดจนได้แหละ จะเป็นคนชนิดไหนก็ตาม ไปฉันที่นั่น ไปพูดที่นั่น ไปทำให้เขาเกิดความเข้าใจถูกต้อง จะเป็นเศรษฐี เป็นคหบดี เป็นชาวนา เป็นพ่อค้า เป็นอะไรก็แล้วแต่ บางทีก็ไปโปรดลัทธิอื่นก็มี เที่ยงพักผ่อน บ่ายมาที่วัดก็สอนไอ้คนที่ไปหาที่วัดหน่ะ ประชาชนที่ไปหาที่วัดก็สอนกันตอนบ่าย พอตอนค่ำก็สอนพระเณรประจำวัด พอตอนดึกก็สอนเทวดา บาลีมันมีอย่างนั้น อัตถะ ระเต เทวะปันหะนัง จะเทวดา พระราชาหรือ เทวดา มาจากฟ้าต่างๆตั้งใจมาหาเวลาดึกทั้งนั้นเลย บาลีมันมีอย่างนั้น ถือกองทัพคบเพลิงไปหาพระพุทธเจ้าเวลาดึกทั้งนั้น พระเจ้า อภิชาติกษัตริย์แผ่นดินไหน ก็ไปหาพระพุทธเจ้าเวลาดึกทั้งนั้น พักผ่อนหน่อยแล้วพอหัวรุ่งมันนึก จะไปโปรดใครอีก ท่านทำงานครบวงจร เหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ ขอให้เด็กมองเห็นพระพุทธเจ้าท่านทำงานอย่างนี้ เหน็ดเหนื่อยอย่างนี้ และท่านก็ไม่ได้รับค่าจ้าง เงินเดือนอะไรที่ไหน ท่านอยู่อย่างคนขอทาน รับประทานอาหารอย่างเดียวกับคนขอทาน ท่านทำอย่างนี้ ให้เด็กรู้จักพระพุทธเจ้าให้ถูกต้องเสียทีเถอะ และเขาจะได้มีความคิดที่จะเอาอย่างว่าอยู่ให้มันต่ำที่สุด แล้วทำให้มันสูงที่สุด สูงยิ่งกว่าเทวดา เราจะพยายามให้เด็กเข้าใจข้อเท็จจริงอันหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าหน่ะมีพระคุณยิ่งกว่าพ่อแม่ ยิ่งกว่าพ่อแม่ เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นช่วยให้พ่อแม่ของเราเดินถูกทาง ให้พ่อแม่ของเราปปฏิบัติถูกทาง ให้พ่อแม่ของเราสามารถคลอดบุตรเลี้ยงบุตรได้โดยถูกทาง ท่านช่วยให้พ่อแม่ของเราเดินถูกทาง ถ้าพ่อแม่ของเราเดินไม่ถูกทางเราก็ไม่ได้เกิดมา เราก็ทำผิดหมด พระพุทธเจ้าจะต้องมีพระพระคุณมากกว่าพ่อแม่ ให้เขาฝังความรู้สึกอันนี้ลงไปในพระพุทธเจ้า ให้ถูกต้อง พ่อแม่คลอดเรามาเลี้ยงเรามาอบรมเรามาสั่งสอนเราช่วยเหลือเรามาเนี่ยก็เพราะการนำของพระพุทธเจ้า อ้าวทีนี้ก็มาถึงข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงหน่ะมันอยู่ที่ไหน ลูกเด็กๆก็มีพระพุทธเจ้าที่พระพุทธรูปอย่างที่กล่าวแล้วหน่ะ ก็ผู้ใหญ่สอนให้คิดเช่นนั้น พระพุทธรูปหน่ะคือพระพุทธเจ้า แล้วก็เชื่อตามที่คิดเอาเองว่ามันจะเป็นอย่างไร ไอ้คนที่ไม่ได้รับการศึกษาก็พระพุทธเจ้าอยู่ที่พระธาตุ พระสารีริกธาตุ พระบาท พระอะไรก็ตาม พระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่น นี้มันก็เป็นพระพุทธเจ้าชนิดหนึ่ง สำหรับผู้ที่มีปัญญาเพียงเท่านั้น ทีนี้คนที่มีการศึกษาธรรมดา ธรรมดาแม้ในระดับมหาวิทยาลัย เอ้า มันก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ เกิดในประเทศอินเดีย สอนอยู่สี่ห้าสิบปีแล้วก็ตายแล้ว นิพพานแล้วก็มีเท่านั้น แล้วที่การศึกษาที่คนธรรมดามันรู้จักพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าท่านปฎิเสธพระพุทธเจ้าในลักษณะนั้น ท่านตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดไม่เห็นธรรม แม้แต่จะจับจีวรของเราไหว้ก็ไม่เห็นเรา ก็ไม่ชื่อว่าเห็นเรา นี่พระพุทธเจ้าชนิดนี้ใครเห็นบ้าง ใครมีบ้าง ลูกเด็กๆยังไม่อาจจะมี อ่ะเขาก็มีพระพุทธรูปไปก่อน มีพระธาตุไปก่อน มีอะไรตามความรู้ที่เรียนมาในหนังสือไปก่อนตามที่เราให้เด็กๆมันเรียนมันท่อง ว่าพระพุทธเจ้าคือบุคคลอย่างนั้นอย่างนี้ จนกว่าเด็กจะรู้ว่าโอ้พระพุทธเจ้าพระองค์จริงคือธรรมะ ธรรมะอะไร ธรรมะที่ไหน อ่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสต่อไปอีกที่แห่งหนึ่งว่าผู้ใดเห็นปฏิจสมุบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจสมุบาท ปฏิจสมุบาทก็คือวิธีที่ คืออาการที่ทุกข์มันเกิดขึ้นอย่างไร อาการที่ทุกข์มันดับลงไปอย่างไร อาการที่ทุกข์เกิดขึ้นและดับลงอย่างไรนั้นเรียกว่า ปฏิจสมุบาท ผู้ใดเห็นปฏิจสมุบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา นี่จะต้องเห็นว่ามันเกิดขึ้นทางทุกข์อย่างไร ก็ดับลงไป ความทุกข์อย่างไร ที่ว่าเห็นธรรมคือเห็นเรา ก็หมายความว่าเราสามารถที่จะดับทุกข์ได้นั่นเอง นี่พระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่พระพุทธองค์ประสงค์จะให้ทุกคนรู้จัก แล้วท่านก็ตรัสว่า ธรรมะที่แสดงแล้วในที่บัญญัติแล้วอยู่เป็นพระศาสดาของท่านทั้งหลายในเวลาล่วงลับไปแล้วแห่งเรา พระศาสดาพระองค์จริงนี่คือธรรมวินัยที่ดับทุกข์ได้ จะอยู่กับท่านตลอดไป ไม่เคยตาย ไม่เคยตาย แล้วก็มีโอกาสที่จะบอกเด็กๆว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่เคยตาย พร้อมที่จะปรากกฏขึ้นในจิตใจของเรา เมื่อไรก็ได้ที่ไหนก็ได้ และถ้าเราพยายามให้พระพุทธเจ้าพระองค์จริงเกิดในจิตใจของเราคือ ดับทุกข์ได้ ปัญญาที่ดับทุกข์ได้ ความรู้ที่ดับทุกข์ได้ หรือจะเอาจิตก็ได้ที่มันมีความรู้จนดับทุกข์ได้นี่คือพระพุทธเจ้า เรามีพระพุทธเจ้าชนิดนี้กันเถิด แม้ว่าเดี๋ยวนี้เราจะมีน้อย เราก็ขอให้มันมีมากมากมากขึ้นไปจนดับทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้หมด เราก็มีพระพุทธเจ้าหมด มีอยู่ในเรา หรืออาจจะพูดได้ว่าเราก็เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเหมือนกัน แม้จะองค์น้อยๆ นี่อย่างนี้ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดหรอกโดยเฉพาะฝ่ายเถรวาทที่เคร่งครัดหน่ะไม่กล้าพูดอย่างนี้ว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง แต่ถ้าฝ่ายมหายานเขาอิสระ เขากล้าพูด ทำจนดับทุกข์ได้เหมือนพระพุทธเจ้า เราก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็เต็มไปหมดทั้งจักรวาล เด็กๆก็จะกล้าคิดว่าพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่เราทำให้มีขึ้นมาได้ในเรา ตามที่ท่านตรัสไว้ว่าจะอยู่กับพวกเธอทั้งหลายตลอดกาล แม้ว่าร่างกายนี้จะดับไปแล้ว นี่พระพุทธเจ้าแม้สำหรับเด็กๆ ก็ควรจะได้รู้อย่างนี้ แต่ทีนี้พ่อแม่ของมันก็ไม่รู้นี่ มันจะสอนให้เด็กๆรูเได้อย่างไร การที่จะจัดการศึกษาอนุบาลให้เด็กๆรู้จักพระพุทธเจ้าได้สักเท่าไรนั้นเอาไปพิจารณาดูเอาเถิด เอาพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดิมอยู่เรื่อยไปเด็กก็ไม่รู้จักโต แล้วมันก็จะมีความผิด เห็นผิด ที่เดินผิด มันก็จะเกิดสติปัญญาทางสัมมาทิฐิ รีบประดิษฐานพระพุทธเจ้าที่มีความหมายถูกต้องลงไปในจิตใจของเด็ก เด็กๆก็จะมองเห็นว่าพิธีพุทธาภิเษกที่เขาทำกันนั้นหน่ะเป็นเรื่องเด็กเล่น เป็นเรื่องเล่นละคร จะเสกก้อนอิฐก้อนหินกองดินให้เป็นพระพุทธเจ้า มันเป็นเรื่องเด็กเล่น พระพุทธเจ้าพระองค์จริงหน่ะมันจะทำขึ้นอย่างนั้นไม่ได้ จะเสกกันอย่างนั้นหน่ะไม่ได้ ปัญญาที่ช่วยเราดับทุกข์ได้นะแหละ แม้แต่ว่าการศึกษาเล่าเรียนของเราในโรงเรียนที่จะช่วยให้เราดับทุกข์ได้ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะเป็นพระพุทธเจ้าเต็มรูปแบบในที่สุด ขอให้เด็กเตรียมตัวที่จะมีพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องกันอย่างนี้ไปแต่เล็กๆ การที่เด็กจะสร้างโลกในอนาคตเป็นสิ่งที่มีหวังได้ หวังได้ เด็กๆจะสร้างโลกในอนาคตได้ถ้าเขารู้จักพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องในกันในลักษณะเช่นนี้ อาทีนี้ก็พูดถึงพระธรรมบ้าง พระธรรมบ้าง เด็กๆก็เป็นธรรมดารู้อย่างที่พ่อแม่บอกให้รู้ พระธรรมก็คือใบลาน คือตู้พระไตรปิฎก คือเล่มพระไตรปิฎก หรือแม้แต่เสียงที่พระเทศน์ออกไปแจ้วๆนี่ก็คือพระธรรม เด็กเขาก็รู้เท่านั้น เด็กไม่รู้ว่าพระธรรมคืออะไร มันก็อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าแหละ ไอ้ความรู้ที่ดับทุกข์ได้ และปฏิบัติตามนั้นแล้วดับทุกข์ได้ เกิดผลขึ้นมาเป็นความดับทุกข์ได้นั้นหน่ะคือพระธรรม พระธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่ตู้ใบลาน ไม่ใช่ตู้พระไตรปิฎก ไม่ใช่เสียงแสดงธรรม หรือไม่ใช่อะไรที่เป็นวัตถุ แต่เป็นความรู้ เป็นการกระทำ เป็นผลของการกระทำที่มันดับทุกข์ได้ เหมือนที่เด็กๆเรียนหนังสือในโรงเรียน เรียนให้รู้ที่จะประกอบอาชีพ แล้วก็ไปประกอบอาชีพ แล้วก็ได้ผลจากการประกอบอาชีพ ทั้งหมดนี้มันมีลักษณะอย่างไร พระธรรมก็มีลักษณะอย่างนั้นแหละ ขอให้เด็กเตรียมตัวรู้จักพระธรรมไว้ให้ถูกต้อง ให้รู้ยิ่งๆขึ้นไป อย่ามัวเห็นแต่ว่าเป็นตู้พระธรรม ตู้พระไตรปิฎก ใบลาน คัมภีร์ อะไรอย่างที่เขาเรียกๆกัน ที่เขาใช้ทำพิธีกัน นั้นมันเป็นเรื่องพิธี บอกให้รู้ไว้นั้นเป็นเรื่องพิธี ความจริงมันอยู่ลึกกว่านั้น มันเป็นตัวที่ เป็นของจริง ให้เด็กเขารู้จักพระธรรมเป็นจุดตั้งต้นที่ถูกต้องกันเสียอย่างนี้ มันก็จะง่ายขึ้น อนุบาลนี่ควรรู้เท่าไหร่ ประถมจะรู้เท่าไหร่ มัธยมจะรู้เท่าไหร่ ก็ให้มันไปแนวเดียวกันนี้แหละ ทีนี้มารู้จักพระสงฆ์กันเสียบ้าง ว่ามันไม่ใช่เพียงแต่คนที่เอาผ้าเหลืองมาห่ม เด็กๆมันรู้จักเพียงเท่านั้น เด็กทารกละก็รู้จักเพียงเท่านั้น เพราะพ่อแม่เขาบอกให้เพียงเท่านั้น ไอ้ตัวเหลืองๆมาละโว้ยก็ยกมือไหว้ สาธุ สาธุ มันก็เลยรู้เพียงเท่านั้น ให้เขารู้ว่าพระสงฆ์หน่ะคือผู้ที่ประสบความสำเร็จในการดับทุกข์ตามแบบของพระพุทธเจ้า แล้วยังจะสืบวิชาอันนี้ไว้ให้คนชั้นหลังตลอดกาลนิรันดร พระสงฆ์ที่ปฎิบัติตามพระพุทธเจ้าดับทุกข์ได้แล้วจะสืบ สืบอายุ ไอ้การปฎิบัตินี้ไว้คนชั้น สำหรับคนชั้นหลังมาถึงพวกเราต่อไปเพราะพระสงฆ์คืออย่างนั้น ไม่ใช่เพียงแต่ว่าห่มเหลืองแล้วจะเป็นพระสงฆ์ เด็กๆก็จะไม่หลงในคำว่าพระสงฆ์เหมือนที่หลงๆกันอยู่ จนเกิดเรื่องเกิดราวที่ไม่น่าดู นี่เราต้องการให้เด็กรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สำหรับเด็กที่เป็นจุดตั้งต้นอย่างนี้ เพราะงั้นคงจะทำได้น้อยในชั้นอนุบาล แต่มันทำได้ ถ้าไม่ทำไว้แต่ชั้นอนุบาลสัญชาตญาณน้อมไปทางกิเลส หญ้ารกปกปิดไปหมดแล้วมันยากที่จะฝังอะไรลงไป เพราะงั้นจงนึกถึงคำพูดข้อสั้นว่าเหตุผลที่จะต้องรีบทำแก่เด็กๆชั้นอนุบาลนั้นมันมีเหตุผลอย่างนี้ เพราะว่าสัญชาตญาณของมันจะแปรในทางกิเลส เมื่อมันแปรไปในทางกิเลสอย่าให้มันเพิ่มเติม รีบใส่อะไรเข้าไว้เสียก่อนมันจะได้อยู่ในลักษณะที่ถูกต้อง งั้นพยายามที่จะให้เขารู้จักตัวเองอย่างไร รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างไร ก็รีบทำเข้าเสียเถิดเท่าที่จะทำได้ ทีนี้ก็มีเรื่องต่อไปที่ว่าควรจะพูด เราจะสอนเด็กให้รู้จักสิ่งสูงสุด ขอใช้คำว่าสิ่งสูงสุด จะไม่ใช้คำว่าพระเป็นเจ้าหรือพระพุทธเจ้าหรืออะไรตามเขามักจะใช้กัน คำว่าสิ่งสูงสุดนั้นมันเป็นคำรวม รวมดีที่สุด สูงสุดเพราะเราต้องเคารพ เพราะเราต้องเชื่อฟัง เพราะเราต้องปฎิบัติตาม เพราะเราต้องมี ให้อยู่กับเราให้จงได้ เรียกว่าสิ่งสูงสุดก็แล้วกัน ถ้าถือศาสนามีพระเจ้านะเขาก็มีพระเจ้าหนะเป็นสิ่งสูงสุดเข้าไปอยู่กับพระเจ้า เป็นอันเดียวกับพระเจ้า เป็นเอ่อมีสิ่งสูงสุดคือพระเจ้า แต่เราชาวพุทธจะมีอะไรเป็นสิ่งสูงสุด เด็กๆอาจจะตอบมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสิ่งสูงสุด เอ้าก็ได้เหมือนกัน แต่เราอยากจะถามว่าพระพุทธเจ้าเคารพอะไร นี่เด็กยังไม่รู้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพธรรมะ คือหน้าที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง เมื่อท่านตรัสรู้แล้วใหม่ๆท่านฉงนขึ้นมาว่าเอ้ยต่อไปนี้จะเคารพใครเมื่อตรัสรู้แล้ว ทบไปทบมาโอ้เคารพธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ แล้วท่านก็เคารพหน้าที่ เด็กๆของเราจะต้องรู้ว่าเหนือพระพุทธเจ้าขึ้นไปยังมีสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ จะไม่สูงสุดอย่างไร สิ่งนั้นคือหน้าที่ อ่าทีนี้ก็มาบอกเรื่อง หน้าที่ หน้าที่ อะไรที่มันจะช่วยให้เรารอด ไม่ตายและไม่เป็นทุกข์ อะไรจะช่วยเรารอด พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ท่านได้แต่บอกว่าให้ทำหน้าที่อย่างนั้น อย่างนั้นแล้วท่านจะรอด พระพุทธเจ้าจะช่วยให้รอดเองไม่ได้ ท่านกลับมอบหมายให้ทำหน้าที่อย่างนั้น อย่างนั้น ปฎิบัติอย่างนั้นแล้วมันก็จะรอด งั้นสิ่งที่จะช่วยให้เรารอดก็คือหน้าที่ที่เราจะต้องปฎิบัติ พระพุทธเจ้าก็ทรงกำชับว่าต้องเป็นที่พึ่งแก่ตัวเอง หมายความว่าต้องช่วยตัวเอง ต้องทำหน้าที่ด้วยตนเองแล้วหน้าที่มันก็จะช่วยผู้นั้น เพราะงั้นสิ่งสูงสุดที่จะช่วยเราได้จริงก็คือหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ พระพุทธเจ้าท่านทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าอย่างไม่มีใครจะเปรียบได้ อย่างที่เล่ามาแล้วเมื่อตะกี้นี้ ครบวงจรจนกระทั่งสิ้นชีวิต จะดับขันธ์ จะปรินิพพานอยู่หยกๆแล้ว ยังมีคนมาสอน มาขอให้สอนปริพาชกคนสุดท้าย พระสงฆ์ทั้งหลายก็ โอ้มันเกินไปแล้ว ท่านจะปรินิพพานอยู่เดี๋ยวนี้มาสอน ไป ไปไล่ไปเสีย พระพุทธเจ้าก็อย่าไล่ อย่าไล่ให้มันเข้ามา แล้วก็สอน สอน จนไอ้ปริพาชกคนนี้บรรลุธรรมถึงที่สุด เป็นพระอรหันต์เป็นสาวกองค์สุดท้าย ต่อมาไม่กี่นาทีท่านก็นิพพานหน่ะคิดดู ท่านเคารพหน้าที่กี่มากน้อยแล้วเราเคารพหน้าที่กันอย่างนี้หรือเปล่า เดี๋ยวนี้คนโลกนี้มันมีแต่ขบถหน้าที่ หลอกลวงหน้าที่ เอาเปรียบหน้าที่ โกหกหน้าที่ มันไม่เคารพหน้าที่ โลกมันจึงวุ่นวาย ถ้าหากมันเขารพหน้าที่ปัญหามันจะหมด งั้นสิ่งสูงสุดนั่นคือหน้าที่ สูงจนพระพุทธเจ้าก็เคารพแล้วมันสูงก็เพราะมันไม่มีใครช่วยได้นอกจากหน้าที่ เราอาจจะบอกเด็กได้ว่าให้พระเจ้า พระเป็นเจ้ามาสักฝูงหนึ่งก็ช่วยไม่ได้ถ้าคนนี้มันไม่ทำหน้าที่ ถ้าคนๆนี้มันไม่ทำหน้าที่อะไรเลย ให้พระเจ้ามาสักฝูงหนึ่ง มากันทุกๆพระเจ้าก็ช่วยไม่ได้หรอก เพราะงั้นสิ่งที่ช่วยได้จริงก็คือหน้าที่ หน้าที่นี้ก็รู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดนู่น แต่เป็นหน้าที่ต่ำๆ และหน้าที่ก็รู้จักสูงๆๆขึ้นมา ธรรมะสูงขึ้นมาจนพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นด ท่านก็สอนหน้าที่สูงสุดบรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ยังเรียกว่าหน้าที่ หน้าที่อยู่นั่นแหละ ทุกคนจะต้องรู้ว่าหน้าที่นะคือสิ่งที่จะช่วยให้รอด ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เคารพหน้าที่ บูชาหน้าที่ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพธรรมะคือหน้าที่ ท่านทำหน้าที่ของท่านแล้ว ท่านช่วยผู้อื่นได้ทำหน้าที่ช่วยตนเองด้วย นี่พระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างนี้ จึงให้ถือว่าสิ่งสูงสุดนั้นคือหน้าที่ แล้วก็ขยายออกไปอีกคำว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ที่สุด ไม่มีอะไรนอกจากหน้าที่ หน้าที่ที่ถูกต้องหน่ะคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ เราไม่รู้ว่าอะไร บ้าๆบอๆกันบ้าง อ่าขอให้รู้ว่าหน้าที่ที่ตรงนี้หน่ะถูกต้องต่อการดับทุกข์ หน้าที่นี้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แท้จริง จะช่วยดับทุกข์ให้ได้สิ้นเชิง งั้นจะไปอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกให้มันป่วยการ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มันอยู่ที่หน้าที่ที่เรากระทำไปโดยถูกต้องแล้วมันจะช่วยยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้าทำหน้าที่อันนี้ไม่ถูกต้อง ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาเป็นฝูงๆมันก็ช่วยไม่ได้ อย่าไปมัวอ้างหน้าที่ อ้างๆสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกเลย ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงที่ถูกต้องคือหน้าที่ที่ประพฤติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้ว่าจะดับทุกข์กันอย่างไร นี่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าลูกเด็กๆของเรารู้จักพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้มาตั้งแต่เล็กๆก็จะดีมาก เดี๋ยวนี้มันไม่รู้จักมันก็ต้องไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่พ่อแม่เคยถือกันมา จะไปสอบไล่ทั้งทีก็ไปไหว้ผุดศักดิ์สิทธิ์ เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ อาตมาก็เคยเป็นเด็กๆ ผู้ใหญ่หรือเพื่อนเขาสอนกันอย่างนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปไหว้ ไปบูชา แล้วไปสอบไล่ แล้วก็จะสอบไล่ได้ มันก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้กันมาเรื่อยๆ ขอรู้ให้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงนั้นคือสิ่งที่ช่วยได้ แล้วสิ่งที่ช่วยได้นั้นคือการปฎิบัติถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะท่านหนะช่วยให้ ช่วย ช่วยได้ ช่วยให้เราช่วยตัวเองได้ ท่านแต่ง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือการดับทุกข์ได้ ดับกิเลสได้ นั่นหนะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็มอบหมายให้เรา แล้วเราก็มาทำตาม ช่วยตัวเอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือหน้าที่ที่กระทำโดยถูกต้องมันจะเป็นการโอหังไปไหม ถ้าจะพูดอย่างนี้ก็เอาไปคิดดูเอาเองว่าจะสอนเด็กสักเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าจะเด็กจะเป็นพุทธะ เป็นพุทธบริษัทจริงแล้วจะต้องมีความเข้าใจอันนี้ ไม่เป็นไสยศาสตร์โดยประการทั้งปวง กฎธรรมชาตินั่นหนะศักดิ์สิทธิ์ ฝืนไม่ได้ ในพระพุทธศาสนาเราเรียกว่ากฎอิคัปปัจญตา หรือกฎปฎิจสมุทบาทนั่นแหละกฎศักดิ์สิทธิ์ ฝืนไม่ได้ต้องเคารพอย่างยิ่งในฐานะเป็นศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเราปฎิบัติตามกฎนั้นแล้วเราก็ดับทุกข์ได้ นี่ขอเข้าใจอย่างนี้ เอ้าทีนี้มาดูกันถึงเรื่องทางสังคม ทางสังคม เราควรจะให้เด็กๆทารกของเรารู้เรื่องนี้สักเท่าไร อย่างไร ข้อแรกที่สุดที่จะต้องให้เขารู้ก็คือว่า เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ให้ถือหลักนี้เป็นหลักเถอะ ไอ้เรื่องทางสังคมมันจะถูกต้องหมด ถ้าสมมุติว่าเขายกโลกทั้งหมดให้เรา ทั้งหมดทั้งโลก ทุกโลกให้เรา ให้เราอยู่คนเดียว ก็อยู่ได้ไหม มันก็อยู่ไม่ได้ มันต้องมีหลายๆคนช่วยกันทำอย่างนั้นช่วยกันทำอย่างนี้จนครบเรื่องครบถ้วนมันจึงจะอยู่ได้ การมันแน่ใจว่าการอยู่คนเดียวในโลก ในโลกไม่ได้ เพราะเราต้องรับรู้ รับผิดชอบที่เราจะต้องอยู่ร่วมกันหลายคน ธรรมชาตินะมันไม่ได้สร้างมาให้เราอยู่คนเดียวนะ instinct ของคนทั่วไป ทั้งคน ทั้งมนุษย์ ทั้งเดรัจฉาน มันก็แสวงหาหมู่ทั้งนั้น รวมหมู่ทั้งนั้น เพราะธรรมชาติมันได้สร้างมาสำหรับ ไม่ได้อยู่ เพื่ออยู่ตัวเดียว คนเดียว สัญชาตญาณที่มีอยู่ในจิตใจมันจึงน้อมไปในทางที่จะอยู่กันเป็นหมู่ เพราะงั้นเราจะระลึกนึกถึงการที่จะต้องอยู่กันเป็นหมู่ เพราะงั้นเราจะต้องนึกถึงสังคมนิยม ซึ่งเป็นคำที่มันเกลียดกันนัก สังคมนิยมเดี๋ยวนี้ อาตมาว่าธรรมชาติแท้ๆมันสร้างมาสำหรับเราอยู่กันอย่างสังคมนิยม ไม่ใช่อยู่ ไม่ใช่อยู่อย่างเสรีนิยม ตัวใครตัวมัน ใครทำได้เท่าไรทำเอา อย่างนั้นไม่ใช่ความประสงค์ของธรรมชาติแต่เราต้องมีสังคมนิยมที่ถูกต้อง อย่าให้เป็นสังคมนิยมของความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันมีสังคมนิยมของความเห็นแก่ตัว มันยังเกิดสังคมนิยม communist สังคมนิยมอะไรพวกนั้นจนเกลียดกันเข้ากระดูกดำ มันเป็นสังคมนิยมที่มันไม่ถูกต้อง เราจะต้องมีสังคมนิยมที่ถูกต้องที่จะขอเติมท้ายหน่อยว่า ธรรมิกะสังคมนิยม ธรรมิกะสังคมนิยม สังคมนิยมที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะและไม่เป็นอันตราย เสรีนิยมนี่ตามใจกิเลส ไม่ไหวพระพุทธเจ้าท่านมีประชาธิไตยสูงสุด โดยวินัย การโหวตคะแนนต้องเป็นเอกฉันท์ ค้านเพียงเสียงเดียวก็ไม่ได้ ดูประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ประชาธิปไตยในโลกใบนี้เกินครึ่งนะมันใช้ได้ แต่ถ้าเอาตามแบบพระเจ้าแล้ว ค้านเสียงเดียวมันก็ไม่ได้ แต่ว่านั่นมันเป็นหมู่สงฆ์ คณะสงฆ์ เราก็ยังเห็นได้ชัดว่าท่านนิยมประชาธิปไตยเพื่อความอยู่ร่วมกันโดยเรียบร้อย มันเป็นสังคมนิยม ถึงแม้ศาสนาทุกศาสนาไปดูให้ดี พิจารณาดูให้ดี อาตมาใคร่ครวญอย่างยิ่งแล้วเห็นว่าโอ้มันก็ มันก็นิยมสังคมนิยมด้วยกัน จะเป็นคริสต์ เป็นอิสลาม เป็นฮินดู อะไร มันมุ่งหมายที่อยู่กันเป็นสังคม ไม่ได้แยกกันอยู่เป็นแต่ละคนละคน มันจะต้องนึกถึงการอยู่กันเป็นสังคม มีธรรมะเป็นหลักถ้าเรามีเสรีนิยมกิเลส กิเลสมันก็เป็น เป็นผู้บัญชา เพราะเราไม่สามารถควบคุมกิเลส ยิ่งการศึกษาในโลกสมัยนี้เป็นการศึกษาหมาหางด้วน สอนแต่ให้ฉลาดๆๆๆ แล้วไม่ควบคุมความฉลาด แล้วเอาเสรีนิยมตามแบบนี้ดูสิ มันพูดอย่างหลับเอามาพูดว่า ประชาธิปไตยเพื่อประชาชน โดยประชาชน ของประชาชน ถ้าประชาชนมันเห็นแก่ตัวแล้วมันวินาศ แต่มันวินาศ ประชาธิปไตยของประชาชนที่เห็นแก่ตัวมันวินาศ มันเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐานโดยประชาชนทั้งหมด มันก็เลือกผู้แทนที่เห็นแก่ตัวเข้ามา ก็เป็นสภาของผู้เห็นแก่ตัว สภาของผู้เห็นแก่ตัวก็ตั้งรัฐบาลที่เห็นแก่ตัว แล้วจะไปกันทางไหนเล่า มันต้องเป็นสังคมนิยมของผู้ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ประชาชนก็ประกอบอยู่ด้วยธรรมะมันก็เลือกผู้แทนที่มีธรรมะ สภาที่มีธรรมะมันก็ตั้งรัฐบาลที่มีธรรมะ มันก็รอด มันนึกถึงคำว่าธรรมิกะ ธรรมิกะ ประกอบด้วยธรรมะนี้ไว้ให้มากๆ ทำอะไรให้มันเป็นธรรมิกะ ธรรมิกสังคมนิยม ธรรมิกประชาธิปไตย ธรรมิกะสัมปทาน(1:11:36) ให้เป็นเรื่องที่ยึดธรรมะเป็นหลัก เห็นแก่ธรรมะเป็นสรณะ เดี๋ยวนี้ทั้งโลกมันเห็นแก่ตัวกู มันจะไปเห็นแก่ธรรมะได้อย่างไร มันจะไปเห็นแก่เพื่อนมนุษย์ได้อย่างไร มันเลยมีปัญหาอย่างที่กำลังมีปัญหาร้อนระอุไปหมดทั้งคู่ เราจะต้องรักเพือน เพื่อนอะไร เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย หมายความถึงไหน สัตว์เดรัจฉานด้วยก็ได้ ต้นไม้นี่ด้วยก็ได้ มันเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน สิ่งใดมีความเกิดแก่เจ็บตายเอามาเป็นเพื่อนให้หมด มนุษย์ด้วยกันก็ได้ สัตว์เดรัจฉานก็ได้ ต้นไม้ต้นไร่ก็ได้ แล้วมันจะเป็นอย่างไร มันจะทำลายป่าเป็นแถบๆแบบนี้ได้เหรอ มันจะฆ่าสัตว์ให้สูญพันธ์อย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าเรามีสังคมนิยมแบบธรรมิกะแล้วก็มีความเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ผสมตามที่ว่า ธรรมชาติสร้างสัตว์ สิ่งมีชีวิตมา เพื่ออยู่กันเป็นสังคม เราจะต้องมีประเทศชาติ ศาสนา ที่มีหลักการเช่นนั้น แล้วเราจะมีพระมหากษัตริย์ที่จะช่วยดลบันดาลให้มันเป็นเช่นนั้น เราจะมีสังคมนิยมในความหมายของความเป็นชาติ เป็นศาสนา เป็นประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นที่รวบยอด จะช่วยดลบันดาลให้มันเป็นไปอย่างนั้น ให้ประเทศชาติมันมีธรรมิกะสภาวะ ธรรมิกะสังคมนิยม เพราะงั้นเดี๋ยวนี้มันก็ถูกต้องแล้วที่ว่าเรามีประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่เราอย่าไปเอาเสรีนิยมชนิดที่กิเลสเป็นประธานนี่ เอาสังคมนิยมที่มีธรรมะเป็นประธาน ไอ้เรื่องมันก็จะรอด เด็กๆต้องรู้ว่าเราไม่มีสติปัญญามาแต่ในท้อง เราก็จะต้องเชื่อฟังบิดามารดา ผู้ที่เกิดก่อนเรา เราไม่ต้องเสียเวลาไปคิดใหม่ เราเสียเวลาคิดจนตายเราก็ไม่รู้ เรารับเอาสิ่งที่เขาเคยคิดกันมาแล้วน่ะ มา มา มาปฎิบัติ มาศึกษา มาค้นคว้า มาใช้เป็นประโยชน์ดีกว่า เรื่องอะไรต่างๆที่เราจะคิดได้เหมือนที่เขาคิดกันมาแล้วนั้นไม่ได้ เราคิดจนตายตั้งร้อยหนพันหนมันก็คิดไม่ได้ ไม่พอ ไม่ออก รับเอาที่เขาคิดกันไว้แล้วมาปฎิบัติ ศึกษา มันก็จะได้ประโยชน์ คอยรู้จักใช้ไอ้ความรู้ของบรรพบุรุษ จะต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เด็กอาจจะไม่เเข้าใจว่าคืออะไร ก็ต้องค่อยๆบอก ค่อยๆสอนกันต่อไปว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับนั้นคืออะไร มันเรื่องง่ายๆ เรื่องอยู่กันอย่างเยือกเย็นเป็นนิพพาน น่าสงสารเด็กๆได้รับคำสั่งสอนในโรงเรียนผิดๆว่านิพพานคือความตาย ในพระไตรปิฎกค้นดูจนตลอดทั้งหมดแล้ว คำว่านิพพานไม่มีที่ตรงไหนที่ใช้หมายถึงความตาย ยืนยันอย่างนี้ ถ้าจะใช้ถึงความตายบ้างในบางครั้งก็ใช้คำว่าปรินิพพาน เช่นคำพูดว่าปรินิพพานจักมีต่อสามเดือนแต่นี้ คำว่าปรินิพพานน่ะจะหมายถึงความตาย แต่ถ้าใช้นิพพาน นิพพานเฉยๆนะมีถึงความเย็นทั้งนั้น ความดับเย็นทั้งนั้น นิพพานไม่ได้แปลว่าความตาย ในโรงเรียนสอนเด็กๆว่านิพพานแปลว่าความตาย ความตายของพระอรหันต์เนี่ยทำให้เข้าใจผิดอย่างยิ่ง ไม่ปรารถนานิพพาน ไม่อยากได้นิพพาน ไม่ถือว่านิพพานเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ให้รู้ว่านิพพานคือความเย็น เย็นกาย เย็นใจ เย็นทุกสิ่งทุกอย่าง มีชีวิตเย็นนั่นหน่ะเราต้องได้สิ่งนี้ จึงจะเรียกว่าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ขอให้สนใจกันในการที่จะให้เด็กเข้าใจคำว่านิพพาน นิพพานอย่างถูกต้อง ในระดับโลกๆ ธรรมดาๆมักจะเรียกว่านิพพุติ นิพพุติ มีความหมายอย่างเดียวกับนิพพานหน่ะ แปลว่าเย็น เหมือนกับดับเย็นแห่งความร้อน อะไรที่ร้อนๆเย็นลงไปก็เรียกว่านิพพาน ภาษาเดิมก่อนมีธรรมะก็ใช้คำว่านิพพานในความหมายอย่างนี้ ไฟดับเรียกว่าไฟนิพพาน จากแกงกับข้าวต้มข้าวอะไรเนี่ยถ้ามันเย็นลงเรียกว่ามันนิพพาน เอาน้ำ เอาน้ำร้อนราดลงไปบนทองที่กำลังหลอมในเบ้าให้เย็นที่พวกช่างทองกระทำ ในบาลีใช้คำว่านิพพาปยะ คือทำให้มันนิพพาน คือทำให้มันเย็นเรื่องของเรื่อง ทำให้มันนิพพาน ทำให้หมดพิษหมดปัญหาเรียกว่านิพพาน ไม่ใช่ตาย ไม่ต้องตายถ้าตายแล้วจะได้รับประะโยชน์อะไร มันต้องนิพพานกันก่อนตาย ได้รับประโยชน์จากความเย็นก่อนที่จะตาย เด็กๆควรจะเข้าใจคำว่านิพพานในฐานะที่เป็นจุดหมายที่ดีที่สุดของมนุษย์ที่ควรจะได้ เดี๋ยวนี้ยังไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแต่ว่าเราต้องไปทางนั้น ให้เย็นๆๆๆตัวเองเย็น พ่อแม่เย็น ครอบครัวเย็น บ้านเมืองเย็น อย่าทำให้พ่อแม่ต้องน้ำตาตก ตัวเองต้องน้ำตาตก เอาทีนี้ก็เรื่องหนึ่งก็ว่า เรื่องดี เรื่องชั่ว เด็กๆไม่ได้รับคำสั่งสอนที่ถูกต้องอย่างเพียงพอ เข้าใจผิด สับสนไขว่เขว เดี๋ยวนี้มันมีคำบ้าบอที่ไหนมาว่า ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีมีถมไป อะไรทำนองนี้ นี่ยิ่งทำให้เข้าใจผิดหนักขึ้น เพราะไม่ไม่รู้ความหมายของคำนั้น และคำพูดนั้นมันก็ผิด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนี่ไม่ใช่คำที่ถูกต้องมันแปลคำผิดเอง ต้องพูดว่า ทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว หน่ะถูกต้อง พอทำดีก็ดีนะแหละ พอทำชั่วเข้าก็ชั่ว ไม่ต้องรอได้ ไม่ต้องรอการได้ เพราะสิ่งนี้ยึดติดกันแล้วว่าดี พอทำเข้ามันก็ดี สิ่งนี้ยึดติดกันแล้วว่าชั่วพอทำเข้าแล้วมันก็ชั่ว ไม่ต้องรอการได้ ส่วนการได้อีกทางนึงที่ตามมามันคือปฎิกิริยา มันได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ได้ ถ้าเราทำดี ดีให้มันดีแล้ว ดีแน่ แต่มันจะได้เงินได้ชื่อเสียงบ้างหรือไม่นั้นมันก็ไม่แน่บางทีมันก็ไม่ได้ แต่ว่าส่วนมากหน่ะมันต้องได้ แต่มันไม่แน่ว่าจะต้องได้ มันเป็นผลพลอยได้ ทำชั่วก็เหมือนกัน มันชั่วก็แน่ๆหล่ะ แต่มันจะรับเคราะห์กรรมทันทีตามนั้นหรือไม่มันก็ไม่แน่ บางทีมันก็ยังมีสิ่งอื่นมาแทรกแซง เด็กควรจะเข้าใจว่าทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว ทันทีเลย แล้วดีนั้นเป็นสิ่งที่บ้าไม่ได้ เป็นสิ่งที่หลงไม่ได้ ถ้าบ้าได้ หลงได้แล้วไม่ใช่ดี ดีเป็นสิ่งต้องไม่ต้องบ้า ไม่ต้องหลงและไม่ต้องอวดด้วย ถ้าอวดแล้วมันจะหมด แล้วมันจะหมดดี งั้นเด็กๆรู้จักความดีว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ทำแล้วก็ดี และก็ไม่ต้องไปบ้า ไม่ต้องไปหลง แล้วก็ไม่ต้องอวดดี แล้วก็จะได้รับผลแห่งความดี เราจะต้องให้เขาเข้าใจคำว่าชั่ว คำว่าดีให้ถูกต้องเสียใหม่ อย่าให้เป็นไปตามที่คนเขาพูดกันอยู่ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ยิ่งขึ้นทุกที ทีนี้มันก็ไปถึงความสุข ความทุกข์ทำชั่ว ทำดี ทำสุข ทำทุกข์ ทำบุญ ทำบาป บุญนั้นต้องเป็นสิ่งที่ล้างบาป ถ้าไม่ล้างบาปไม่ใช่บุญ เด็กๆก็จะได้ยินได้ฟังคำว่าทำบุญตักบาตรหนึ่งก็ได้สวรรค์วิมานหลังหนึ่งมีบริวารห้าร้อย ทำทำบุญก็คืออย่างนั้น อย่างนั้นมันล้างบาปหรือเปล่าอ่ะ ความหมายเดิมแท้ๆของเขาคือคำว่าบุญนี่แปลว่าล้างบาป แต่มันมีความหมายว่าพอใจ อิ่มใจนี่ก็มี มีเหมือนกันไม่ใช่ไม่มี แต่คนหน่ะมันถือเอาความหมายหลังเอาทั้งหมด พอใจ อิ่มใจ สบายใจ บ้าบุญไปเลยนี่ บุญอย่างนี้หน่ะมันกัดเจ้าของ มันไม่ทำให้เยือกเย็น ไม่ล้างบาป ไอ้ความสุขที่แท้จริงคือความสงบ เด็กๆก็พอจะเข้าใจได้ แม้ว่าคนแก่ๆจะเข้าใจไม่ได้ คนแก่ๆเดี๋ยวนี้เข้าใจไม่ได้ ไม่ชอบความสงบ ความสุขที่แท้จริงคือความสงบ ถามลูกเด็กๆอนุบาลนั่นแหละว่าดีใจๆๆ เหนื่อยไหม เสียใจๆๆเหนื่อยไหม ถ้าไม่ต้องดีใจ ไม่ต้องเสียใจเลย สบายไหม ถามลูกเด็กๆอนุบาลดู มันมองเห็นของมันเอง ไม่ต้องบอกหรอก เราก็เหมือนกันหน่ะ เสียใจมันก็กินข้าวไม่ลง ดีใจก็กินข้าวไม่ลง เมื่อไม่ดีใจเมื่อไม่เสียใจจึงจะกินข้าวอร่อย นั่นคือความสงบ ขอให้ลูกเด็กๆเข้าใจเสียแต่ต้นว่าไอ้ความสุขที่แท้จริงหน่ะคือความสงบ ไม่ใช่ดีใจถึงเนื้อเต้น ไม่ใช่เสียใจจนน้ำตาไหล รู้จักความสุขที่แท้จริงกันซะอย่างนี้ ก็จะเร่ไปหา หาความสงบและหาได้ด้วยการทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง ไม่ต้องหวังอย่างที่พวกๆฝรั่งเขาสอนให้หวัง ให้หวัง หวังที่ไหนสำเร็จที่นั่น เราไม่สอนลูกเด็กๆของเราให้หวัง สอนแต่ว่าให้ทำให้ถูกต้อง ให้ทำให้ถูกต้องนั่นก็พอใจ พอใจว่ามันถูกต้องๆๆ พอใจ เรียนหนังสือถูกต้องทุกนาที ทุกชั่วโมง ถูกต้อง พอใจ ทำงานที่บ้านถูกต้องทุกเวลา นาที พอใจ อะไรก็ถูกต้อง ล้างหน้าถูฟันก็ถูกต้อง ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะก็ถูกต้อง อาบน้ำก็ถูกต้อง กินข้าวก็ถูกต้อง ล้างถ้วยล้างจาน กวาดบ้านถูเรือนก็ถูกต้องๆ พอใจๆ เนี่ยมันอยู่ที่ถูกต้องและพอใจ เป็นความสุขที่ควรจะยึดถือเอา ไม่ใช่บำรุงบำเรอด้วยสิ่งสวยงามเอร็ดอร่อย นี่เด็กๆจะต้องรู้ความถูกต้อง ให้รู้กันเสียทั้งภาษาคน และภาษาธรรมว่าดี ว่าสวย ว่ารวยนั่นหน่ะมันมีสองภาษา ดีอย่างภาษาคนกับภาษาธรรมหน่ะมันคนละอย่าง สวยอย่างภาษาคนกับภาษาธรรมก็คนละอย่าง ดีอย่างภาษาคนกับภาษาธรรมคนละอย่าง ดี รวย สวยอย่างนี้ คนละภาษา ภาษาคนก็หมายถึงกิเลส แต่ภาษาธรรมหมายถึงความถูกต้อง ถูกต้องๆ ดีอย่างถูกต้อง สวยอย่างถูกต้อง รวยอย่างถูกต้องคือภาษาคน เด็กๆของเราอย่าไปหลงภาษา คนเป็นภาษาธรรม มันสวยอย่างประดับประดากันจนไม่รู้จะประดับประดากันอย่างไร รวยก็รวยแต่สตางค์ ไม่มีความดี ไม่มีอะไรที่ใครเขานับถือเลย ดีก็เหมือนกันหน่ะดีแต่ที่เขาว่าดี ว่าดี ไอ้ดีชนิดนี้หน่ะมันกัดเจ้าของ เป็นดีที่แท้จริงมันไม่กัดเจ้าของ เป็นอันว่าเราจะได้หาหนทางให้เข้าใจถูกต้องในสิ่งเหล่านี้ตามที่เป็นจริงในลักษณะที่เรียกว่ามีสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิ ธรรมะ หน้าที่ เป็นสิ่งสูงสุด มีหน้าที่ มีการทำหน้าที่ที่ไหนมีธรรมะที่นั่น ไม่มีการทำหน้าที่ ไม่มีธรรมะเลย โบสถ์บางโบสถ์มีแต่สั่นเซียมซี ในโบสถ์นั้นไม่มีธรรมะเลย ธรรมะไปมีอยู่กลางทุ่งนาที่ชาวนาไถนาอยู่ เหงื่อไหลไคลย้อยนั้นกลับมีธรรมะ ธรรมะในโบสถ์หนีไปอยู่กลางทุ่งนาหมด ถ้าในโบสถ์มันไม่มีการทำหน้าที่ แล้วธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ งั้นขอให้เด็กพอใจ เสียสละอย่างยิ่งที่จะทำหน้าที่ แม้จะอาบเหงื่อ เหงื่อนี่คือน้ำมนต์ที่แท้จริง มันจะช่วยให้รอด ไอ้น้ำมนต์ที่เขารดๆกันนี่มันไม่ได้ช่วยใคร แต่ถ้าเหงื่อแล้วมันจะช่วยให้รอด งั้นเหงื่อคือน้ำมนต์ที่แท้จริง ถ้าเด็กๆเขาถือหลักอย่างนี้จะไม่มีใครว่างงาน เดี๋ยวนี้พวกปริญญาเขาว่างงานกันเป็นแถวๆ เพราะว่ามันเกลียดเหงื่อ ถ้ามันบูชาเหงื่อแล้วไม่มีใครว่างงาน ลูกเด็กๆของเราจะต้องรูล่วงหน้าว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ มีธรรมะแล้วก็มีความรอด จะต้งเอาเหงื่อแลกออกมา ไม่ควรจะมีใครว่างงาน ถ้าใครว่างงานคนนั้นมันไม่บูชาธรรมะ ไม่บูชาหน้าที่ เอาเป็นว่าให้เด็กทุกคน รู้ตั้งแต่เล็กๆว่าเราจะต้องมีค่าของความเป็นมนุษย์สูงสุด สูงสุดให้จนได้ เดี๋ยวนี้เราก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราได้พบกับพระพุทธศาสนา อย่าให้เป็นหมันอย่าให้เป็นหมัน เราก็สืบเลือดเนื้อมาจากบิดามารดาที่เป็นพุทธบริษัท เราก็อย่าให้เป็นหมัน ให้ได้รับประโยชน์จากความเป็นพุทธบริษัท ให้เด็กๆเขาถือความหมายง่ายๆเข้าใจได้ภาษาเด็กๆว่าพุทธะ พุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะไม่ใช่พระพุทธรูป ไม่ใช่ ไม่ใช่บุคคลคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ผู้ใดมีความรู้สิ่งที่ควรรู้ มีความตื่นจากหลับคือความโง่หรืออวิชชา มีความเบิกบานด้วยความเป็นสุขน่ะคือพุทธะๆๆ ทุกคนเป็นพุทธะได้ ถ้าเด็กทุกคนเตรียมตัวสำหรับเป็นพุทธะ คือเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานตามพระพุทธเจ้าไป ตามพระพุทธเจ้าไปเป็นพุทธะกันให้เต็มโลกเลย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่ถ้าได้อย่างนี้แล้วการศึกษาอนุบาลก็สูงสุดแหละ มีค่าสูงสุด ไม่ใช่การเลี้ยงลิง ช่วยกันคิดนึกให้ดีๆ ให้ได้ผลว่าให้เด็กมันสามารถสร้างโลกในอนาคต บิดามารดาครูบาอาจารย์สร้างเด็กก็คือสร้างโลกในอนาคต เราเตรียมลูกหลานของเราให้เป็นผู้สามารถสร้างโลกในอนาคตเป็นโลกแห่งมนุษย์ นี่เป็นมนุษยวิทยา เป็นมนุษยศาสตร์ นอกหลักสูตรในมหาวิทยาลัย สร้างโลกแห่งความเป็นมนุษย์ให้มีความถูกต้องแล้วมันก็เป็นหมดปัญหา ทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ทุกคนเห็นแก่ธรรมะ ทุกคนรักผู้อื่น นี่โลกพระศรีอริยเมตไตรย พอคนทุกคนในโลกเปลี่ยนเป็นรักผู้อื่นเท่านั้นแหละ โลกนี้ก็กลายเป็นโลกพระศรีอริยเมตไตรยขึ้นในพริบตาเดียว ไม่มีใครเชื่อ ในพริบตาเดียว เปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นโลกพระศรีอริยเมตไตรยได้ด้วยกัน ทุกคนหมดความเห็นแก่ตัว ทุกคนหมดความเห็นแก่ตัว ประกาศสงครามกับความเห็นแก่ตัว ช่วยกันทำลายล้างให้หมดไป บูชาความไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความ แต่เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ผู้อื่น เป็นหัวใจของทุกศาสนา คนที่ไม่เห็นแก่ตัวอย่างเดียวนะจะได้ชื่อว่าเขาถือศาสนาทุกศาสนาอย่างดีที่สุดหน่ะ ทุกศาสนามันมุ่งหมายที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว แล้วก็มีความไม่เห็นแก่ตัว อาตมาพูดไปไม่มีใครเชื่อ ว่าโลกสมัยนี้มันเป็นสมัยวิทยาศาสตร์ มันฉลาด มันเรียนเรื่องเหตุผลกันมาแล้ว ขอให้คนในโลกถิอศีลเพียงข้อเดียว ศีลข้อเดียว ศีลข้อเดียว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ถิอศีลเพียงข้อเดียวพอ และศีลทั้งหมดกี่ร้อยกี่พันข้อมันจะมาอยู่ที่ศีลข้อนี้หมด ไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้นหล่ะ มันจะแก้ปัญหาบุคคล แก้ปัญหาครอบครัว แก้ปัญหาบ้านเมืองประเทศชาติทั้งโลกได้ ไม่เห็นแก่ตัวมันมีความหมานกว้างเกิน ไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันจะฆ่าใครได้ แล้วมันจะขโมยใครได้ มันจะกาเมใครได้ มันจะโกหกใครได้ มันจะกินน้ำเมายังไงได้ มันทำอะไรไม่ได้ เพราะมันคือศีลข้อเดียวคือไม่เห็นแก่ตัว คำพูดหน่ะมันเป็นปัญหาเสมอไปไม่ว่าภาษาไหน ภาษาไทยก็ดี ภาษาฝรั่งก็ดี เห็นแก่ตัวนั้นบางคนมันยักเอาความหมายว่าถ้าเราไม่รักตัวแล้วจะ จะทำอะไรดี มันก็ไม่ทำดีสิ นั่นมันผิด อย่างนั้นเขาเรียกเคารพตัว บูชาตัว ไม่ใช่ ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัวแล้วเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นเลย เอาเปรียบ ขูดรีด เอาเปรียบนะแหละเห็นแก่ตัว ถ้าบูชาตัว รักตัว สงวนตัว พัฒนาตัวอย่างนี้ ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัว ภาษาไทยที่ถูกต้องต้องเป็นอย่างนี้ ภาษาฝรั่งก็เหมือนกัน เอาไม่เห็นแก่ตัวก็พอแล้ว อย่าเพ้อถึงหมดตัวเลย อาตมาบอกครอบครัวฝรั่งว่าเอา non selfishness พอแล้ว ไม่ขอถึงกับ selflessness หรอก มันจะมากไปสำหรับคุณนี่ selfless มันมากสำหรับคน เอา non selfish พอ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ฝรั่งก็เคยพูดเรื่องนี้มากเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มี ไม่ได้ยินพูด เพราะว่ามันกลายเป็นโลกเห็นแก่ตัวกันไปทั้งโลก กอบโกยกันทั้งโลก ไม่มีใครดูถูกผู้ที่เห็นแก่ตัวเสียแล้ว เพราะตัวเองก็เป็นเสียเอง แต่ขอให้ระลึกนึกถึงกลับมาว่าความเห็นแก่ตัวนี่ทำลายโลก เลวทรามที่สุด ร้ายกาจที่สุด เป็นซาตาน เป็นพญามารถึงที่สุด อยู่ที่ความเห็นแก่ตัว หมดความเห็นแก่ตัว สูงที่สุดของความเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยม เอาว่ารายละเอียดมีอยู่อย่างนี้เท่าที่เอามาจากท่าน เป็นข้อมูลหรือเป็นเหตุผลหรือเป็นอะไรและจะเอาไปใช้ เท่าที่จะนึกได้หรือเท่าที่เคยๆนึกมา ขอสรุปใจความสั้นๆในตอนสุดท้ายนี้ว่า เรามีเหตุผลอันเพียงพอแล้วที่จะจัดการศึกษาอนุบาล เหตุผลที่จะอ้างได้แก่คนทั้งโลกว่ามีเหตุผลเพียงพอจะสกัดกั้นกระแสแห่งสัญชาติญาณของเด็กๆที่กำลังจะไหลไปสู่กิเลสให้ไหลไปสู่กระแสแห่งโพธิ นี่คือเหตุผลที่เราจะต้องจัดการศึกษาอนุบาล อย่าถือว่าเด็กเป็นเพียงผู้ใหญ่ในวันหน้า ถ้าอย่างนี้มันก็เป็นกันหมด ให้ถือว่าเด็กเนี่ยเป็นผู้ที่สร้างโลกในอนาคต เดี๋ยวนี้เรากำลังมีเด็กที่เป็นอันตรายมากขึ้นหรือเปล่า เรากำลังมีเด็กที่จะเป็นเด็กอันตรายน่ะมันมากขึ้นหรือเปล่า จะป้องกันได้อย่างไร ถ้าไม่จัดการกันเสียตั้งแต่ขั้นอนุบาล ไอ้โลกมันเป็นโลกแห่งความเห็นแก่ตัวนี้มันเป็นความผิดของใคร เป็นความผิดของใคร ใครเป็นผู้จัดการโลก ใครเป็นผู้เจ้าของโลก มันไม่มี มัน มัน เป็นผู้รับผิดชอบร่วมกัน ไม่มีใครที่มีอำนาจเป็นเจ้าของโลก เป็นผู้บัญชาการโลกแต่ผู้เดียว มันไม่มี เพราะงั้นทางที่ดีมันก็ช่วยกันทำให้ทุกคนเนี่ยสามารถร่วมมือกันจัดการโลก โลกในอนาคตจะอยู่ในความรับผิดชอบของใครหละ ก็อยู่ในความรับผิดชอบของมนุษย์ที่จะมีอยู่ในสมัยนั้นก็คือเด็กๆในวันนี้ เราจะจัดการศึกษาเนี่ยให้เด็กเขาได้เป็นมนุษย์ที่พึงประสงค์ ที่ควรต้องการ เรียกเป็นภาษาธรรมะก็ว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษก็ได้ เขาเป็นสัตตบุรุษก็ได้ ถ้าตามหลักภาษาพุทธศาสนาแล้วใช้คำว่า สัตตบุรุษ เป็นคำสูงสุดในสมัยพุทธกาลที่ใช้เรียกพระอรหันต์เลยนะ สัตตบุรุษนี่ใช่เรียกพระอรหันต์ได้ด้วย จารึกที่ผอบกระดูกของพระสารีบุตร โมคคัลลานะ เขาใช้สัพพีสัตต (1:34:23) ของพระสารีบุตรของพระผู้เป็นสัตตบุรุษ ของพระโมคคัลลานะผู้เป็นสัตตบุรุษ ถามว่าสัตตบุรุษนี่ขั้นสูงสุดเลย เราต้องการสัตตบุรุษ หรือเพียงลดลงมาเป็นสุภาพบุรุษก็ได้ ต่ำๆลงมา และต้องการให้มนุษย์ทุกคนในโลกนี่มันเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ใช่บุคคลผู้เห็นแก่ตัว ให้เขาถือศาสนาแห่งความถูกต้อง ไม่ถือศาสนาประโยชน์ เดี๋ยวนี้ถือกันเถิดไป เงียบ (1:34:58 – 1:35:04) ไม่ใช่รับจ้างรัฐบาลทำงาน เป็นการทำกุศลอย่างมหาศาลในการช่วยกันสร้างโลกในอนาคตอันเป็นโลกที่ถูกต้อง เป็นกุศลมหาศาลตามพระพุทธประสงค์ ตามแบบที่ถูกต้องของพุทธบริษัท ถ้าทำได้อย่างนี้ก็เป็นการสืบอายุโลกให้ยืนยาวไป สืบอายุพระธรรมให้ยืนยาวไป สืบอายุพระศาสนาให้ยืนยาวไป เป็นการกระทำที่เป็นความรับผิดชอบแห่งยุค มากไปไหม เรารับผิดชอบแห่งยุค ยุคนี้เราต้องรับผิดชอบอย่างนี้ เราเป็นผู้มีการกระทำ รับผิดชอบแห่งยุค โลกทั้งโลกจะรอดได้ไปอีกยุคหนึ่งถ้าเรามีการกระทำอย่างนี้ คือสร้างเด็กขึ้นมาอย่างถูกต้อง ประเทศไทยจะเป็นป้อมปราการของโลกด้วย ไม่ใช่เป็นเพียงป้อมปราการของพระพุทธศาสนา เป็นป้อมปราการของมนุษย์ในโลก โลกจะยังคงเป็นโลกที่มีความน่าอยู่ ขอให้ทุกท่านมีความพอใจ มีความเชื่อตัวเอง มีความกล้าหาญ มีความสุขในการกระทำงานชิ้นนี้ ขอให้สำเร็จตามความประสงค์ มุ่งหมาย ทุกๆคน ทุกๆประการ เทอญ ขอยุติการบรรยายลงด้วยความสมควรแก่เวลา