แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนทั้งหลาย อาตมาต้องบอกกล่าวตรงๆว่า มันเป็นครั้งแรกที่สุดและมันก็ประหลาดที่สุดในการที่จะให้อาตมาบรรยายอภิปรายเรื่องหน้าที่ในการให้อาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียน ลองคิดดูสิ อาตมาต้องพูดเรื่องให้อาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียนซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยทำ เป็นเรื่องที่อยู่นอกแนว เนื่องจากได้มีการกำหนดลงไปแล้ว มีการขอร้องแล้ว ก็จะได้พยายามอย่างดีที่สุด จะบรรยายเรื่องที่ไม่เคยทำหรือไม่เคยนึกคิดมาก่อน เท่าที่จะนึกคิดได้ว่าจะเป็นประโยชน์อย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจที่จะเข้าใจให้ดีที่สุดเอาเองด้วยอีกส่วนหนึ่ง มันจึงจะสำเร็จประโยชน์ มิฉะนั้นมันอาจจะไม่มีความหมายอะไรก็ได้ ใช้คำว่าสัมมนาแต่พูดคนเดียวอย่างนี้มันก็ไม่ใช่รูปแบบอยู่แล้ว ทีนี้สมมติว่าพูดกันหลายคนในแง่มุมต่างๆ เพื่อจะได้ครบทุกเรื่อง เพื่อที่จะได้พูดกันทุกเรื่องที่ควรทราบ เกี่ยวกับการให้อาหารกลางวันแก่เด็ก แล้วก็เป็นอันว่าพูด จะขอแรงท่านองค์อื่นพูดก็ไม่กล้า เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดเคยนึก
ในที่สุดนี้ก็จะถือว่ามันเป็นเรื่องที่เราจัดขึ้นมาเพื่อความสมบูรณ์ เพื่อความสุขุมรอบคอบเกี่ยวกับการศึกษา การศึกษาก็เป็นการงานชนิดหนึ่ง มันก็ต้องมีอาหารที่ถูกต้องและเพียงพอ ถ้าทำเป็นในรูปนั้นมันก็เรียกว่าดี ให้อาหารนั้นถูกต้องที่จะส่งเสริมหล่อเลี้ยงให้ถูกต้องและเพียงพอถ้ายังขาดอยู่ ให้ลูกเด็กๆของเราได้รับอาหารถูกต้องและเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกว่าอาหารกลางวัน นี่เพิ่งมี ก่อนนี้มันไม่มี สมัยเด็กๆ อาตมาเป็นเด็กๆ อายุ ๘ ปี ๙ ปี อาตมาเรียนโรงเรียนประถม หลายปีแล้ว ไม่มีอาหารกลางวันที่จัดให้นักเรียนหรอก มันเป็นความคิดใหม่ยุคนี้ ปัจจุบันนี้หยกๆ อยากจะบอกว่าเป็นเนื้อเป็นตัวมาเท่านี้ สมัยนั้นได้อาหารกลางวัน วันละ ๑ สตางค์ ลองดูสิ ๑ สตางค์ ซื้อขนมจีนได้ ๑ สตางค์สมัยนั้น ๑ สตางค์ซื้อขนมจีนได้ กินได้พอสมควร ถ้าไม่พอก็ไปเก็บผักบุ้งในคูใกล้ๆมาใส่ ใส่ลงไปมากๆมันก็อิ่ม เป็นปีๆอาหารกลางวัน ๑ สตางค์ แล้วก็รอดเป็นเนื้อเป็นตัวมาจนถึงบัดนี้ ไม่ได้รบกวนรัฐบาลหรือรบกวนอะไรกันมากมายนัก เอาเป็นว่าเราจะช่วยเหลือเด็กๆให้มีสุขภาพอนามัยดีแล้วก็จะได้มีการเรียนดี เราจะต้องรอบรู้ในการที่จะทำให้มันสำเร็จประโยชน์
การสัมมนาก็มีหัวข้อว่า กินอาหารอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น เมื่อครูบาอาจารย์หรือโรงเรียนจะต้องหามาให้ ก็ต้องความเข้าใจในเรื่องที่จะต้องกินด้วย การกินอาหารกับการกินเหยื่อ สองคำนี้ช่วยจำไว้ให้ดีๆไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ไกลกันอย่างฟ้ากับดิน กินอาหาร กินเพื่ออยู่ได้ เพื่อระงับความหิว และกินเหยื่อคือกินเพื่อส่งเสริมความอยาก มันจะอยาก มันจะหิวมากเกินไป มันเดินคนละทาง แยกให้เด็กๆเข้าใจให้ดีๆว่า กินอาหารมันอย่างหนึ่ง กินเหยื่อมันอย่างหนึ่ง กินอาหาร กินเพื่อรอดชีวิต เพื่อพอสะดวกสบายแล้วก็พอดี แต่ถ้ากินเหยื่อคือกินให้อร่อย จู้จี้พิถีพิถัน อย่างโน้น อย่างนี้ มันเป็นเรื่องของการกินเหยื่อ มันต่างกันมาก กินอาหาร กินตามธรรมชาติ กินด้วยสติปัญญา แต่ถ้ากินเหยื่อต้องกินด้วยกิเลสตัณหา เอาแต่อร่อยท่าเดียว ไม่ต้องรู้ว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ นี่เป็นสิ่งที่จะต้องให้เด็กๆของเรารู้จักว่าเราจะเลี้ยงอาหาร ไม่ได้เลี้ยงเหยื่อซึ่งจะทำให้หลงใหล ทะเยอทะยานมากขึ้นไป ถ้าเป็นเหยื่อมันสนองความหิวความอยาก ถ้าเป็นอาหารมันยุติความหิวความอยากให้เรียบร้อยไป ถ้ากินอย่างกินเหยื่อ ยิ่งอร่อยยิ่งอยาก ยิ่งอร่อยยิ่งอยาก จนท้องแตก อย่าเอามาปนกัน มาตกลงกันว่าเดี๋ยวนี่จะเลี้ยงอาหาร อย่ากินอย่างกินเหยื่อเลย ก็เป็นการอบรมธรรมะสูงสุดอย่างยิ่งอยู่ในตัว นี่คนทั้งหลายโดยมากกินเหยื่อกันทั้งนั้นแหละ อุตส่าห์นั่งรถตั้งแพงไปกินที่ร้านนั้น ไปกินที่ร้านนี้ แล้วก็ประดิดประดอยกันอย่างนั้นอย่างนี้ แม้เอามากินที่บ้าน ก็ยุ่งมาก คนยังชอบกินเหยื่อ คือกินเพื่อลิ้นอร่อย เพื่อสนองกิเลสตัณหา เด็กๆของเราต้องรับการฝึกฝนให้รู้ให้เข้าใจว่า จะต้องกินให้ถูกต้อง กินให้พอดี กินให้มีประโยชน์ อย่าไปส่งเสริมกิเลสให้มันเป็นความอยาก นี่เรียกว่าอยากกินเหยื่อ รู้จักกินอาหารแล้วก็อย่ากินเหยื่อ เราจึงไม่แสวงหาอันที่มันอร่อย สวยงาม แพงๆ เอาแต่ที่มันพอดีๆกับการที่จะบำรุงร่างกายได้พอดี ถ้ามีความรู้ทางแพทย์ทางอนามัยด้วยก็ยิ่งดี อาหารอะไรควรจะเอามากิน อาหารอะไรไม่ควรจะเอามากิน ถ้าเราปลูกกันเองได้เราก็จะได้เลือกปลูกแต่ที่มันสมควร ได้ผลดี คุ้มค่าหรือเกินค่า เราจะกินชนิดเป็นอาหารไม่ใช่เพื่อเป็นเหยื่อเอร็ดอร่อย ยกตัวอย่างเช่นว่า ข้าวและกับข้าวคลุกกัน คลุกข้าวกันแล้วมันก็เหมือนกันทั้งหมดทั้งจาน มันก็เหมือนกันหมด กินคำไหนมันก็เหมือนกับคำอื่นๆ จะกินกี่คำ กี่คำ รสชาติก็เหมือนกันหมด ดังนั้นไม่ต้องเลือก หลับตากินก็ยังได้ ไม่ต้องเลือก ทุกคำจะอร่อยเหมือนกันหมด ถ้ากินเหยื่อแล้วมันไม่ทำอย่างนั้น คำนี้จะผสมนั้น คำนั้นจะผสมนี้ จะผสมเนื้อ ผสมหมู ผสมปลา ผสมไก่ ผสมน้ำปลา ผสมน้ำตาล นั่นมันเรียกว่ากินเหยื่อ พระบ้าๆเท่านั้นที่จะทำอย่างนั้น พระดีๆก็จะถืออย่างที่ครั้งพุทธกาลก็ถือ มีอาหารก็ใส่คลุกเสมอกันหมด แล้วก็มานั่งหลับตาเปิบทุกคำอร่อยเหมือนกันหมด นี่เป็นวิธีของบรรพชิตมาตั้งแต่โบราณกาล กินอาหารชนิดที่เป็นอาหาร ไม่ใช่เป็นเหยื่อ มาคลุกมาทำกันจนเสมอ มานั่งหลับตาฉันกันได้ไม่ต้องลำบากด้วยเรื่องก้างปลา ด้วยเรื่องอันตราย แล้วก็มีจิตเป็นสมาธิได้ง่ายในเวลากินอาหารไม่ต้องยุ่งยากลำบากอะไร นี่ตัวอย่างการกินอาหารไม่ใช่กินเหยื่อ กินตามแบบพระดี พวกลูกๆเด็กๆทุกคนจะได้รับการสั่งสอนอย่างนี้แหละ มันเอาข้าวราดแกงหลับตากินได้เหมือนกับว่าพระฉัน มีประโยชน์ทางจิตใจ มิฉะนั้นจะต้องเลือก คำนี้ผสมอย่างนั้น จะผสมอย่างนี้ จะจิ้มนั้น จะจิ้มนี้ มันยุ่งไปหมด ต่างๆกันไม่เหมือนกันแต่ละคำๆ ถ้าอย่างนั้นล่ะกินเหยื่อ ส่งเสริมกิเลส แนะให้เขารู้ความต่างกันระหว่าง คำพูด ๒ คำนี้ กินเหยื่อนั้นอย่างหนึ่ง กินอาหารอย่างหนึ่ง กินเหยื่อนั้นเป็นทาสของลิ้น ถ้ากินอาหารไม่ต้องเป็นทาสของลิ้น แต่ถ้าครูเป็นทาสของลิ้นเสียเองก็คงสอนไม่ได้ สอนเด็กๆไม่ได้ ครูจะต้องทำตัวอย่างที่ดี กินอาหารจะไม่ใช่กินเหยื่อ กินอาหารอย่างพระกินให้ดู เด็กๆเขาก็จะเดินได้ถูกทาง นี่เป็นเรื่องที่คิดว่าควรจะรู้อย่างน้อยเรื่องหนึ่งในการจัดอาหารกลางวันให้แก่เด็กๆ แม้ว่าจะกินอาหารอย่างกินอาหาร ยังต้องกินเท่าที่พอดีๆ ไม่มาก ไม่น้อย ไม่ดีเกินไป หรือว่าไม่เลวเกินไป แต่กิเลสของคนมันต้องการจะกินดี เดี๋ยวนี้มันพูดก้องไปหมด ที่ไหนๆ จะกินดี อยู่ดี คำว่ากินดีนั้น ระวังให้ดีๆ มันเกินพอดีกันทั้งนั้นแหละ ถ้ากินพอดีนั่นแหละถูกต้องตามหลักของพุทธศาสนาที่ว่ากินพอดี กินอยู่แต่พอดี ถ้ากินดีมันหมายความไปทางอร่อยเอร็ด สนุกสนาน สวยงาม เพลิดเพลิน สรวลเสเฮฮา กินพอดี ในปริมาณที่พอดี มันก็เป็นเรื่องที่จะต้องฝึกให้เด็กๆรู้จักกินแต่พอดี อย่าให้กินจนแน่นอึดแน่นอัด มันก็เรียนไม่ได้ทำงานอะไรไม่ได้ ยังจะให้โทษบางอย่างด้วยถ้ากินอยู่ที่เกินพอดี
อย่างนี้เพื่อที่จะจำง่ายก็อยากจะอธิบายด้วยตัวอย่างที่ใช้อยู่ในหมู่บรรพชิต พระภิกษุในพระพุทธศาสนาซึ่งมีหลักดังที่กล่าวไว้ในพระบาลีว่า กินอย่างกินเนื้อลูกกลางทะเลทราย ถ้าเป็นพระที่แท้จริงก็จะกินอย่างนั้น ถ้าไม่เข้าใจก็จะเล่าให้ฟังว่าเป็นอย่างไร ในอินเดียก็มีทะเลทราย พ่อแม่คู่หนึ่งเขาอุ้มลูกทารกเพิ่งคลอด ทารกเล็กๆ เดินทางไกลผ่านข้ามทะเลทราย แล้วเผอิญมันหลง ข้ามทะเลทรายไปไม่ได้ วนอยู่ในทะเลทรายนั่นแหละ เสบียงอาหารก็หมดไปไม่มีอะไร จนกระทั่งลูกเล็กๆนั้นก็ได้ตายลงเพราะความลำบาก พ่อแม่คู่นั้นก็หมดทางออกอย่างอื่นแล้ว จึงตกลงกันว่าจะกินเนื้อลูก ประทังชีวิต เพราะลูกก็ตายแล้ว เพื่อจะประทังชีวิตมีกำลังเดินต่อไปก็ตกลงใจกินเนื้อลูกกลางทะเลทราย ความหมายอยู่ที่ตรงไหนคิดดูสิ กินเนื้อลูกมันก็กินเพราะจำเป็นจำใจเหลือประมาณ จะกินแบบเอร็ดอร่อยสนุกสนานมากมายมันไม่ได้ ก็เลือกกินเท่าที่จำเป็นจะต้องกิน นี่กินเนื้อลูกกลางทะเลทราย ภิกษุที่ซื่อตรงต่อการปฏิบัติเพื่อการขัดเกลากิเลสก็กินอาหารอย่างนี้แม้ไม่ใช่ไปกินกลางทะเลทราย กินที่วัด กินในบ้านในเมืองนี่แหละ แล้วก็กินเท่าที่จำเป็น
อีกอุปมาหนึ่งก็ว่าเหมือนน้ำมันหยอดเพลารถ สมัยโน้นเขาเรียกว่าเพลาเกวียน เหมือนกับน้ำมันหยอดเพลาเกวียนเพราะมันไม่มีรถ ไม่มีรถยนต์ น้ำมันหยอดเพลารถนี่มันหยอดกันพอลื่นเท่านั้น ไม่ได้เทให้มันไหลนองไป หยอดพอลื่นแล้วก็พอ ก็เรียกว่าเท่าที่จำเป็นเหมือนกัน จะกินอย่างกินเนื้อลูกกลางทะเลทรายก็ได้ จะกินอย่างหยอดเพลารถก็ได้มันก็เท่าที่จำเป็น เราก็สอนให้เด็กๆเขารู้ว่าควรจะกินเท่าไรเท่าที่จำเป็นจะไม่ให้โทษ อยากจะบอกเรื่องของพระเท่าที่จำเป็น ที่พอดีคือว่า ไม่ฉันจนอิ่ม ฉันจวนจะอิ่ม ประมาณว่าอีก ๔-๕ คำจะอิ่มก็หยุดเสียแล้วก็ดื่มน้ำแทนเข้าไปให้อิ่ม อิ่มด้วยน้ำ เว้นอาหารสัก ๔-๕ คำ อย่างนี้ก็พอดีถูกต้องสำหรับพระ ฆราวาสจะเอาอย่างนั้นบ้างก็ได้ในบ้างกรณี แต่ว่าลูกเด็กๆนั้นยังจะไม่จำเป็น แต่ว่าอย่าให้มันเกินอิ่ม หรือว่าให้มันอิ่มด้วยน้ำสักเล็กน้อยก็ยังดีกว่าที่จะอิ่มด้วยข้าวและอึดอัดด้วยกินน้ำเข้าไปอีก ให้รู้จักว่าเราจะกินอาหารกันแต่พอดีหรือจะใช้คำอีกคำว่าเท่าที่จำเป็น ตามหลักในบาลีวินัยสำหรับพระ หรือบาลีธรรมะก็ตาม ไม่กินเพื่อมัวเมา นะมะทายะ ไม่ใช่กินเพื่อมัวเมาเอร็ดอร่อย สนุกสนาน สรวลเสเฮฮา เหมือนที่เขาไปเลี้ยงกัน เลี้ยงเหล้าเลี้ยงยา อย่างนั้นกินเพื่อมัวเมา อย่าเลย มันกลับจะให้โทษ และไม่ใช่กินเพื่อการประดับตกแต่ง กินเพื่อประดับเกียรติก็ได้ ประดับกายก็ได้ อะไรก็แล้วแต่ การประดับตกแต่งให้มันครึกครื้นหรูหราฟุ่มเฟือยเกี่ยวกับการกิน อย่างที่เขาประดับประดากัน จะกินสักทีก็มีประดับด้วย แล้วก็ว่าถ้ามันหายหิว ความหิวที่มีอยู่ก่อนก็เลยหายไป เวทนาเก่าหายไป เวทนาใหม่คืออึดอัดจนลำบากก็อย่าได้เกิดขึ้น เวทนาเก่าหิวก็ถูกกำจัดออกไป เวทนาใหม่ก็ไม่เกิดขึ้นเพราะความอึดอัด นี่ถ้าเด็กๆเขารู้จักจัดอย่างนี้จะเป็นคนฉลาดในทางอื่นด้วย รู้จักฉลาดในการกิน การกระทำอย่างนี้มันเพิ่มความฉลาดเป็นพื้นฐาน และมันจะฉลาดในเรื่องต่อๆไปอีกด้วย กินเพื่อชีวิตเป็นไปได้ คำปัจจเวกว่า ยาตรา จะ เม ภะวิสสะติ ให้ชีวิตเป็นไปได้ และ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโรจะ คือจะไม่เกิดโทษ มันจะอยู่สบาย ชีวิตเป็นไปได้ ไม่มีโทษปัญหาใดๆเกิดขึ้นเพราะการกิน แล้วจะมีการอยู่ที่สบาย นี่เรียกว่ากินอาหารอย่างถูกต้องพอดี
มันมีหลักใหญ่ที่ใครๆก็ปฏิเสธไม่ได้ทั้งทางโลกและทางธรรมที่ว่า สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร หรือจะใช้คำว่าสิ่งมีชีวิตมันกว้างกว่านั้นก็ได้ สัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร เป็นคนก็ต้องกินอาหาร เป็นสัตว์ก็ต้องกินอาหาร วัวควาย สัตว์ที่ไหนก็กินอาหาร ต้นไม้ก็กินอาหารมันจึงตั้งอยู่ได้ เพราะฉะนั้นอาหารเป็นเครื่องรองรับการตั้งอยู่ได้ของชีวิต ให้เขาศึกษาเรื่องนี้ อย่ากินอาหารให้เป็นเครื่องสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นแก่ชีวิต มันไปกินสิ่งที่ไม่ควรกิน มันมีโรคภัยไข้เจ็บ แม้ที่สุดแต่โรคฟันผุฟันเสียนี่มันก็ไม่ควรจะมี นี่เขาจะต้องกินอาหารชนิดที่ไม่ทำให้เกิดปัญหา สำหรับคำว่าอาหาร อาหารนี่ขอให้มีความหมายกว้างทั้งทางกายและทางจิต ทางกายร่างกายนี่ก็ต้องการอาหารทางกาย อาหารที่รับประทานเข้าไปทั้งถูกต้องและไม่มีโทษอย่างที่กล่าวแล้ว อาหารทางจิตมันก็ต้องมีความคิดความนึกหรือการกระทำที่ถูกต้อง ก็มีความถูกต้องอีกเหมือนกันเป็นอาหาร ทางกายก็มีความถูกต้องทางวัตถุเป็นอาหาร ทางจิตก็มีความถูกต้องทางจิตเป็นอาหาร ชีวิตนี่ต้องการอาหารทั้งทางกายและทางจิต แต่ว่าที่เป็นอยู่กันในโลกนี้ มันรู้จักลุ่มหลงกันแต่เรื่องอาหารในทางกาย ดูสิ เขาผลิตกันขึ้นมา ไม่หยุดไม่หย่อน แปลกใหม่ไม่หยุดไม่หย่อน จนอาตมายอมรับสารภาพว่าเป็นคนโง่ คือกินไม่ถูกไม่รู้จะกินอย่างไร ไอ้ที่เขาผลิตเขาทำขึ้นมากันแปลกๆ นี่มันเกินไป แล้วมันก็ยุ่ง มันมีความอร่อย แปลกมากออกไปกันทั้งโลก แต่มันก็มีความยุ่งเพิ่มขึ้นทั้งโลก สมัยก่อนเขาไม่ได้ยุ่งกันมากอย่างนี้ เด็กๆต้องรู้จักกินอาหารทั้งทางกายและทางจิต คือรักษาความถูกต้องในทางจิตไว้ด้วย แม้ว่าจะกินอาหารในทางวัตถุ ขอให้อบรมนิสัยลูกเด็กๆของเราให้รู้จักความถูกต้อง แล้วก็บูชาความถูกต้องเป็นหลักไปเสียแต่ยังเล็กๆอย่างนี้ อะไรเรียกว่าความถูกต้อง ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ยังเถียงกันอยู่อะไรคือความถูกต้อง มันเถียงกันได้บ้างล่ะเอาเสียงข้างมากเป็นการถูกต้องบ้าง เอาตามที่กฎหมายบัญญัติบ้าง เอาตามนิยมประเพณีอะไรบ้าง อย่างนั้นมันไม่แน่นอน เอาความถูกต้องตามลักของพระพุทธศาสนาดีกว่าคือมันได้ประโยชน์โดยส่วนเดียว มันไม่ให้โทษกับใครเลย ไม่ว่าตนเองหรือผู้อื่น ไม่ได้รับทุกข์ไม่ได้รับโทษ ได้แต่ความสะดวกสบายปลอดภัย อย่างนี้ก็เรียกว่าความถูกต้อง จะใช้เลยไปถึงคำว่าดีก็ได้ ความดีเป็นอย่างไร คนส่วนมากก็จะว่าดี ดีตามที่กูอยากได้สิ ถ้าได้แล้วก็ดี ไม่ได้ก็ไม่ดี ได้ตามที่กูอยากจะได้แล้วมันก็ดี อย่างนี้เป็นอันธพาล มันไม่ได้ดูว่าควรหรือไม่ควร ใครจะเดือดร้อนหรือใครไม่เดือดร้อน เรื่องความดีความถูกต้องความยุติธรรมมันจะต้องมีหลักว่า ไม่ทำใครเดือดร้อน ไม่มีใครเดือดร้อน แล้วก็ยังมีการได้รับประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่ายก็ยิ่งดี นี่คือความดีความถูกต้อง ความยุติธรรม ในการที่มีชีวิตเป็นอยู่ด้วยอาหารนี้ก็ขอให้มีความถูกต้อง ไม่เป็นปัญหายุ่งยากลำบากแก่ตัวเอง แก่พ่อแม่ แก่ญาติพี่น้อง แก่ครูบาอาจารย์อะไรต่างๆ ขอให้มีความถูกต้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกินอาหารนั่นแหละจะแก้ปัญหาได้ อย่าเผลอให้มันเกิดปัญหาใหม่ๆขึ้นมา ทีนี้ก็จะพูดต่อไปถึงขั้นตอนที่ว่าในการที่จะได้มา มันก็ต้องมีวิธีการที่ได้มาอย่างถูกต้อง อย่างไม่เป็นปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนจะต้องทำสวนครัว มันจะได้ผักหญ้ามาใช้ปรุงอาหารได้ จะเลี้ยงสัตว์ด้วยก็ได้ รวมเรียกว่าสวนครัวก็แล้วกัน รอบโรงเรียนก็มีคูน้ำเลี้ยงปลา ในน้ำก็เลี้ยงผักน้ำ ปากคูก็เลี้ยงผักบก รั้วโรงเรียนก็เต็มไปด้วยผักที่กินได้ เขาเรียกว่ารั้วกินได้ รั้วกินได้หมายความว่า มันเต็มไปด้วยผักที่กินได้ เช่น ถั่วพู เถาตำลึง นี่มันเป็นรั้วที่กินได้ แล้วโรงเรียนนั้นมันก็จะไม่มีความยุ่งยากลำบากในทางเศรษฐกิจ เพราะมันมีสวนครัว เรื่องมีสวนครัวนี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเล็กๆน้อยๆ มันมีธรรมเนียมมาตั้งแต่โบราณ วัดทุกวัดทำสวนครัว วัดแบบโบราณน่ะทำสวนครัว อาตมาเคยเป็นเด็ก เคยทำสวนครัว ทำอย่างยิ่งเลย สวนครัวนั้นก็จะปลูกสิ่งที่จะใช้เป็นประโยชน์ได้ ส่วนใหญ่ปลูกมันเทศ มันหัวแดงๆอยู่ใต้ดิน ปลูกพริกปลูกมะเขืออะไรก็ตาม แล้วก็ไม่ขี้เกียจ เจียดเวลาไปทำสวนครัวได้โดยไม่ต้องเสียการเรียนหนังสือ นอกจากจะถวายพระฉัน ตัวเองก็กิน ถ้ายังมีเหลือบางทีก็แจกให้ไปยังชาวบ้านที่เขาส่งแกงส่งกับประจำวันนั้นด้วย วัดทำสวนครัวพอกินพอใช้ในวัด และยังมีโอกาสที่จะแจกไปยังผู้ที่เขาอุปฐากวัดอยู่ทุกวันด้วย นี่มันไม่มีปัญหาแต่มันต้องขยัน มันต้องบูชาหน้าที่ ต้องเห็นเหงื่อเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งเหงื่อออกมากยิ่งดี ยิ่งถูกต้อง ถ้าอย่างนี้แล้วก็ไม่มีปัญหา การจะมีสวนครัวตามสมควร จะต้องมีสวนครัว ไอ้เงินทุนนั้นก็มีแต่ว่าที่ดีที่สุดก็ต้องมีสวนครัวอย่างว่า รอบรั้วกินได้ ในคูในอะไรก็ยังมีของกินได้ บนบกก็มีของกินได้ มีกล้วย มีอ้อย ทีนี้การกระทำด้วยเรี่ยวแรงของเด็กๆ การทำสวนครัวนั้นก็เป็นการศึกษาอย่างหนึ่ง เป็นการศึกษาในรูปแบบกสิกรรม ซึ่งเราต้องการกันหนักหนานะกสิกรรม เพราะว่าประเทศไทยยังเหมาะสำหรับกสิกรรม แต่ว่าประชาชนหันเหไปทางอื่น เรียนจบแล้วไม่อยากทำนาจึงว่างงานกันเป็นแถวๆ เรียนจบปริญญาแล้วทำนาไม่ได้ ยอมว่างงานอยู่เป็นฝูงๆเลย แต่ถ้าว่าพยายามศึกษาให้เกิดนิสัยรักการกสิกรรมมันก็ยังทำได้ พ่อแม่ยังมีนาให้ทำหรือว่ามีสวนให้ทำ ก็เป็นสวนที่กลายเป็นอุตสาหกรรมไปก็ได้ เพาะนิสัยลูกเด็กๆให้ฉลาดในการทำกสิกรรม รู้จักธรรมชาติ เรื่องดิน เรื่องน้ำ เรื่องแสงแดด เรื่องปุ๋ยอะไรต่างๆ เขาจะเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว เด็กๆก็ยังไม่ยอมสกปรกถ้าปลูกต้นไม้ต้องใส่ปุ๋ยนี่มันสกปรกมันก็ไม่ชอบทำ ควรจะสร้างนิสัยอันนี้ให้ว่ามันเป็นของธรรมดาหรือว่าถูกต้องแล้ว มันจะต้องทำกับปุ๋ยที่สกปรก ต้องปลูก ต้องฝัง ต้องดูแล ต้องรักษา ต้องเหน็ดเหนื่อย ให้เห็นเป็นของสนุกไปเสียเลย นั่นแหละโครงการที่จะมีอาหารกลางวันให้เด็กนั้นมันเท่ากับเพิ่มการศึกษาขึ้นด้วย ได้มีอาหารกินด้วย และเพิ่มการศึกษาขึ้นอีกอย่างหนึ่งด้วยพร้อมๆกันไป และจะต้องอบรมนิสัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งว่าได้กินฟรีๆโดยไม่ทำอะไรเป็นการตอบแทนน่ะไม่ถูก เป็นเรื่องผิด ถ้ามีการกินฟรีโดยไม่ทำอะไรตอบแทนที่คุ้มค่ากันแล้วให้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าละอายสำหรับมนุษย์เรา มันจะเสียนิสัยที่เห็นผิดไปตั้งแต่เด็กๆ จะเอาฟรีเรื่อยไปไม่ตอบแทน ฉะนั้นต้องสอนให้รู้จักตอบแทนให้มากกว่าไว้เสมอ เพราะอย่างไรก็มีเรี่ยวมีแรงมีเหงื่อที่จะทำงานตอบแทน เกิดนิสัยว่าเราจะต้องไม่เอาเปรียบ จะไม่เอาฟรี จะไม่ทำอย่างที่เรียกว่ามันเป็นหนี้โดยไม่รู้สึกตัว ไม่รู้จักละอายในการเป็นหนี้