แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ ก่อนอื่นทั้งหมดขอแสดงความยินดีที่ในการที่ได้พบปะกันในลักษณะเช่นนี้ คือรู้สึกว่าได้พบเพื่อน ร่วมการงาน ท่านเป็นครูทำหน้าที่ครู อาตมาหรือพวกเพื่อนๆนี้ก็ เป็นครูขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครู เป็นครูเหมือนๆ กัน อาจจะมีความยินดี ที่จะได้พบปะกัน นั้นก็เป็นโอกาสที่จะได้พูดจากันไม่ได้เพื่อประโยชน์สิ่งใด นอกจากประโยชน์เพื่อหน้าที่ มีความซื่อตรงต่อหน้าที่ มีความรับผิดชอบในหน้าที่ ก็พยายามทำทุกอย่าง เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ตรงตามหน้าที่ นี่ก็เลยยินดีที่ว่าได้พบกัน ในระหว่างผู้ที่เรียกตัวเองว่าครูด้วยกัน ท่านทั้งหลาย ควรจะนึกถึงว่าไอ้การเป็นครูนั้น ไม่ได้ยึดติดอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ มันสุดยอดไป ควรเลยไปถึงพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครูด้วย นั่นจึงจะตรงความหมายของคำว่าครู เว้นเสียแต่ ท่านจะไม่นิยมความหมายของคำว่าครู ไปนิยมความหมายของคำว่าลูกจ้าง สอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งวันหนึ่ง ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ต้องนึกถึงก็ได้ ที่ถูกแล้วมันก็เป็นกรรมกรชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นปูชนียบุคคลของโลก เดี๋ยวนี้เรามาพูดกันถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่าครู ที่เป็นปูชนียบุคคลของโลก กันดูจะเหมาะสม เพื่อได้รับประโยชน์ เราไม่ได้เป็นกรรมกรรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งวันหนึ่ง แต่ว่า มันก็จะต้องระมัดระวังมากเหมือนกัน ที่จะต้องทำหน้าที่ของครูให้ถูกต้อง เมื่อเรามาพิจารณากันถึงไอ้ ความหมายของคำว่าครู หรืออุดมคติอะไรก็ได้ของครู กันเป็นข้อแรก เมื่อครูเกิดขึ้นมาในโลก เมื่อไรก็ตามใจ ซึ่งมันมีประวัติศาสตร์ มันจด บันทึกไว้เป็นวันไหนแน่ แน่นอน แต่มันก็ได้เกิดขึ้นในโลก เมื่อมนุษย์มันรู้สึกว่า พ่อแม่ไม่อาจจะสอนเด็กๆ ให้ไกลไป อีกได้ ก็มอบหมายบุคคลจำพวกหนึ่งซึ่งเรียกว่าครู รับหน้าที่รับภาระไป อบรม สั่งสอนไอ้ลูกเด็ก ๆ ให้มันเป็นคนดีที่สุด แต่ดูเหมือนว่า ไอ้ส่วนใหญ่แท้ๆ มันเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณกันมากกว่า ไอ้เรื่องทางศิลปะวิทยาทำมาหากินนี้ มันไม่ได้ ตรงกับความหมายของคำว่าครู มันไปตรงกับความหมายของคำคำอื่น มันจะเป็น อุปชาอาจารย์หรืออะไรก็ เราก็ทราบไม่ได้ถนัด แต่ว่าที่แท้จริงมันมีคำอื่น หนังสือวรรณคดีสันสกฤต ก็เรียกอาจารย์สอนให้ดีดพิณว่า อุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ มันกลายเป็นว่า อุปัชฌาย์ ผู้สอนอาชีพหรือสอนอะไรไปเสีย ถ้าถือตามตัวหนังสือมันก็ได้ อุปัชฌาย์มันแปลว่าผู้ที่ลูกศิษย์จะต้องค่อยเพ่งเล็ง หรือคอยติดตาม คอย คอยเพ่งดู ว่าให้ทำอะไร ทำอย่างไร ในการสอนวิชาชีพมันก็จะเป็นอย่างนั้น แต่คำว่าครู ครูนี่ มีความหมายไกลกว่านั้น ในเมืองไทยจะมีอย่างนี้ก็ตามใจ แต่ว่าไอ้ในภาษาบาลี หรือในภาษาสันสกฤต หรือภาษาอินเดียนั่น มันมีความหมาย แปลกกว่าที่เรารู้กันอยู่ในเมืองไทยว่า ครูเป็นผู้ที่สอนหนังสือ เคยพบคำแปล ตอนแรกๆว่า Spiritual Guide ผู้นำนะ เป็น Guide ทางวิญญาณ ประทานุกรมในอินเดีย คำว่าครุ ครุนี้มันแปลว่า Spiritual Guide ไม่ได้ว่าแปลผู้สอนหนังสือแรกเริ่มเดิมทีอย่างนี้ ประมาแอนัท สัพธสาท(06.34) ชั้นละเอียดขึ้นไปอีก มันค้นพบว่า ไอ้คำว่าครู ครูนี้รากศัพท์ รากศัพท์ Root มันแปลว่าเปิดประตู ก็เลยอธิบายกันว่า เปิดประตูด้านจิตใจ ให้คนที่มันถูกขังอยู่ในความโง่ น่ะ ออกมา เป็นความหมายสูงสุดเลยทีนี่ เปิดประตูทางวิญญาณให้สัตว์ที่โง่เขลางมงาย อยู่ในความมืดนั่นออกมาเสียได้ จากความมืด ฉะนั้นก็มีลักษณะเป็นปูชนียบุคคล แล้วมันใช่ เลยไปได้ถึงเรื่องทางจิต ทางวิญญาณโดยตรง มันคือการปฏิบัติทางจิตทางใจเพื่อจะได้ดับทุกข์ ดับกิเลศ ทางจิตทางใจ นี้ก็ยิ่งเป็นเรื่องของการเปิดประตูทางวิญญาณยิ่งกว่าไปเสียอีก ที่จริงสอนหนังสือเราพออนุโลมได้ว่า เราเปิดประตูทางวิญญาณให้หายโง่ มันเผอิญได้ตรงกับคำว่า ครุ ครุ ซึ่งแปลว่าหนัก คือผู้ที่โลภ ต้องเคารพบูชา คำว่าครู ที่นี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องสูงสุด เรื่องออกจากความทุกข์ในอันดับสูงสุด เลยได้นามว่า บรมครู พระบรมครู แต่พระพุทธเจ้านี้มีนามแตกแขนงออกไปหลายอย่างแล้วแต่เขาจะมุ่งกันถึงอะไร ที่มีนามว่าหมอ แพทย์ก็มี เป็นแพทย์สำหรับรักษาโรคทางวิญญาณในโลก อย่างนี้ก็มี เป็นผู้สั่งสอนเป็นผู้ชี้ทางเป็นผู้บอกทาง นั่นน่าจะเป็นความหมายส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นที่รับรองทั่วไปแล้วเราเรียกพระองค์ท่านว่าบรมครู ไม่มีครูชนิดไหนจะสูงไปกว่านั้น คือสอนเรื่องสูงสุดของมนุษย์ เป็นการรอดพ้นทางจิตทางวิญญาณ นี่คือความหมายของคำว่าครู คืออุดมคติของคำว่าครู มันมีอยู่อย่างนี้ พิจารณาดูแล้วมันก็มีคุณค่ามากถึงกับจะเป็นปูชนียบุคคลของโลก ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา มองเห็นกันอยู่ก็ว่ามันเป็นผู้สร้างโลก ถ้ามันเป็นครูที่แท้จริง มันคือผู้สร้างโลก มันเพียงลูกจ้างสอนหนังสือไปวันวันหนึ่งมันก็ไม่ใช่สร้างโลกอะไรหนักหนา แต่ถ้าจะสอนให้ คนในโลกรู้จักหนทางที่จะ ก้าวหน้าพัฒนาไปถึงจุดสูงสุด ของมนุษย์คือดับทุกข์สิ้นเชิงได้ เนี่ยมันถึงจะสูงสุด เรียกว่าสูงสุด ที่นี้จะมองในแง่ว่าครูเป็นผู้สร้างโลกก็คือว่าไอ้โลกนี้มันประกอบอยู่ด้วยมนุษย์แต่ละคนละคน ถ้ามนุษย์แต่ละคนละคนมันเป็นคนดีหรือถูกต้องตามความเป็นมนุษย์ ไอ้โลกนี้มันก็ดี โลกนี้มันก็ไม่มีปัญหาเลวร้ายอย่างที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ มันมีแต่สันติสุข มีแต่สันติภาพ มีแต่สิ่งที่น่าดูน่าพอใจ ถ้าครูทำให้เด็กๆทุกคนเป็นคนที่ดีได้ มันก็คือเท่ากับผู้สร้างโลกแหละ หากแต่ว่ามันสร้างผ่านทางเด็ก สร้างโลก ครูสร้างโลกผ่านทางเด็กๆ ที่อบรมสั่งสอนกันมาอย่างไร ถ้ายังรักษาอุดมคติอันนี้ไว้ได้ ครูก็ยังคงเป็นปูชนียบุคคลอยู่ต่อไป ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งวันหนึ่ง แล้วก็ประท้วงต้านทานตัวแย่งอย่างกรรมกรทั้งหลาย โดยไม่นึกถึงความเป็นปูชนียบุคคลอะไร ครูบางคนจะสนใจแต่ประโยชน์ หลายหลายทาง หลายหลายอย่างที่จะได้รับ มากกว่าที่จะสนใจที่จะยกสถานะทางวิญญาณของมนุษย์ให้สูง เป็นเรื่องจริงที่เคยประสบมาแล้ว ที่นี่เราก็มาดูกันว่า จะเปิดประตูทางวิญญาณกันอย่างไร รวมทั้งครูที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูด้วย รวมทั้งครูทั่วๆไปที่เรียกกันว่าครู อย่างนี้ ตามหลักการที่ใช้กันอยู่ในโลก ในภาษาไทยคำว่าครูเดี๋ยวนี้เขา เขาถือว่ามันด้อยค่า กว่าคำว่าอาจารย์ คำว่าอาจารย์มีเกียรติ มีเกียรติ ตำแหน่งที่สูงกว่าครูคืออาจารย์ ศาสตราจารย์อะไรกันไปอย่างนั้น น่ะ มันไขว้กันอยู่ กับไอ้ ถ้อยคำของดั้งเดิม ที่มันมีมาในภาษาบาลี หรือภาษาสันสกฤต แล้วเรียกว่าครู กลายเป็นถูกลดค่าลงมา ต่ำกว่าอาจารย์ ที่จริงคำว่าครูมีความหมายมากกว่าอาจารย์อย่างลิบลับ อาจารย์ตัวหนังสือแปลว่าผู้ฝึกมารยาท อาจาระ อาจาริยะ นี่ น่ะ มารยาท คือ ผู้ ผู้ฝึกมารยาทให้เด็ก มันมีมารยาท ก็เรียกอาจารย์ แต่คำว่าครูมันหมายถึงทำให้วิญญาณมันสูง วิญญาณมันรอด ออกมาจากคอกที่กักกันด้วย อวิชชา ความโง่ ความหลง กิเลิศ ตัณหา และความทุกข์ พูดภาษาใหม่ๆก็เรียกว่าครูเป็นผู้ปลดปล่อย ปลดปล่อยสัตว์ออกมาจากที่คุมขัง เพราะฉะนั้นครูก็จะต้องรู้ว่าอะไรเป็นที่คุมขัง จะปลดปล่อยกันอย่างไร อะไรเป็นจุดสูงสุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ บางทีมันก็จะมาอยู่ที่ตรงนี้ ตรงที่ว่าได้รับการปลดปล่อยออกมาจากที่คุมขังนั้นคือสิ่งดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ถ้ามนุษย์มันยังโง่ยังจมอยู่ในกองทุกข์ ทนทรมานอยู่ในกองทุกข์จนตาย ก็เรียกว่าไม่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เดี๋ยวนี้ถ้ามีอะไรมาทำให้หูตาสว่าง รู้จักปลดเปลื้องความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นออกไปได้ มีความหลุดรอดออกมาจากกองทุกข์ ทางจิตทางวิญญาณ รวมทั้งทางกายด้วย นี้จึงจะสูงสุด เรียกว่าสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ได้รับ และครูเป็นผู้ทำให้ ครูมีค่าเท่ากับผู้ปลดปล่อยทางจิตทางวิญญาณ ความหมายเดียวกับพระพุทธเจ้า หรือสูงสุดในฐานะเป็นผู้สร้างโลก ความหมายเดียวกับพระเจ้าผู้สร้างโลก ถ้าเป็นอย่างนี้จริง มันก็ ไอ้โลกนี้มันก็ไม่อยู่ในสภาพอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ เต็มไปด้วยอันธพาล เต็มไปด้วยอะไร แล้วก็มากขึ้น ปนเปกันไปหมด มันจะมีข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ น่ะ มีคำว่าครูรวมอยู่ในพวกอันธพาล ที่ตำรวจจับมาลงโทษ เพราะก่ออาชญากรรมเลวร้ายต่างๆนานาน่าบัดสี ก็มีอยู่มาก มันมีปัญหาเกิดขึ้นมาแล้วอย่างนี้ ดังนั้นก็ให้เราสำนึกกันให้ดีๆว่า ภาวะของความเป็นครูนี่ มันถูกกระทบกระเทือนอย่างไร จะต้องชำระสะสางกันอย่างไร ครูส่วนมาก ก็ยังดีอยู่ ในทางอุดุมคติ จะมีครูบางส่วนได้ทำให้เสียเครดิต เสียเกียรติ เสียอะไร ของคำว่าครู หน้าหัวที่มีเรื่องจริงที่ว่าครู บอกลูกศิษย์ ครูคนหนึ่งไม่ใช่ครูทั้งหมด บอกว่าเหล้านั้นนะไม่ได้ให้โทษร้ายแรงอะไรหรอก ให้โทษเล็กๆน้อยๆ และยังเป็นรายได้สูงสุดของรัฐบาลทำเหล้าขึ้นมาขาย และก็ชวนเด็ก ลูกศิษย์กินเหล้า สอนให้ลูกศิษย์กินเหล้า ให้มันติดเหล้า ให้มันได้ช่วยกันหาเหล้ามากิน นี้ไม่ใช่เรื่องนิยายมันเป็นเรื่องจริง เมื่อเขาตั้งของสังเกตเห็นว่าครูอย่างนี้ กินเหล้ามากที่สุดกว่าใครๆ ในวันครู วันครู ครูกินเหล้ามากที่สุดกว่า ประชาชนทั่วไป เพราะมันเป็นโอกาส เป็นโอกาสที่จะรวบรวมกำลัง รวบรวมทรัพย์รวบรวมอะไร จำนวนก็มาก ก็กินเหล้ากันใหญ่ ชาวบ้านเค้าก็เห็นๆอยู่ เค้าก็เลยพูดกันว่า วันครู ครูกินเหล้ามากกว่าใคร แล้วมีเสียงครหาถึงกับว่า ไปจัดผู้หญิงมาจับฉลากกันด้วยในวันครูนั่น น่ะ ดู วันครูซิ ถ้าพิจารณากันในแง่นี้แล้วมันก็ ก็เรียกว่าใกล้จะหมดหวัง แล้วก็รู้เอาเองเถอะว่าสถานะอันแท้ของครูนั้น มันเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้เรามาพูดกันใหม่ โดยมุ่งหมายเอาพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูนั้นแหละเป็นหลัก แล้วเราจะได้เดินตามหลัก พระพุทธเจ้าเป็นบรมครูสอนให้คน ให้คนนี่มันสูงขึ้น สูงขึ้นจากความเป็นคน จนเป็นมนุษย์ จนเป็นอริยะ มนุษย์ จนเป็นพระอรหันต์ ถึงที่สุดความเป็นครูของพระพุทธเจ้า สอนถึงชนิดที่ว่า จะอยู่ในโลกอย่างถูกต้อง สำหรับผู้ที่ยังพอใจจะอยู่ในโลก และสอนในขึ้นพ้นไปจากโลกเป็นโลกุตระได้สำเร็จ ถ้าเขาต้องการและพยายามอย่างนั้น อยู่ในโลกเนี่ย มันก็ยังจะต้องคลุกคลีกันอยู่กับไอ้เรื่องปรุงแต่ง เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องได้ เรื่องเสีย เรื่องแพ้ เรื่องชนะ เรื่องกำไร เรื่องขาดทุน เรื่องผู้หญิง เรื่องผู้ชาย เรื่องลูก เรื่องหลาน เรื่องอะไรต่างๆ เนี่ย กระแอม ก็ต้องเป็นอยู่อย่างถูกต้อง อย่าให้เกิดปัญหาเลวร้ายขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็สอน พระองค์จะสอนดีที่สุดกว่าที่พวกไหนๆ สอนเสียด้วย ขอให้ครูสนใจเรื่องอย่างนี้ว่าเป็นเรื่องอยู่ในโลกมีตัวตน แต่อยู่กันในโลก ก็สอนกันให้อยู่อย่างดีที่สุด เรื่องทิศหกช่วยศึกษาไว้เถอะ นั่นแหละความเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด อยู่ที่นั่น ทิศทั้งหก ถ้าครูคนไหนไม่รู้เรื่องนี้ ก็ต้องขอพูดว่าแย่หน่อย ถ้าเคยบวชเคยเรียนนักธรรมก็ต้องรู้ เพราะมันมีสอนอยู่ในหลักสูตรนักธรรม มนุษย์บริหารทิศทั้งหกให้ถูกต้อง อย่าให้มีภัยอันตรายเข้ามาจากทิศทั้งหก ทิศทั้งหกนั้นก็คือทิศข้างหน้า ทิศข้างหลัง ทิศซ้าย ทิศข้างขวา ทิศข้างบน ทิศข้างล่าง นับดูซิมันได้หก ข้างหน้าข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา ข้างบน ข้างล่าง ถ้าปิดกั้นไอ้ทิศทั้งหกนี้ไม่ให้มีความเสียหายผิดพลาดอะไรแล้ว มันก็เป็นมนุษย์ที่ดีได้อยู่ในโลก อยู่ในโลก ถึงขนาดที่เราเป็นมนุษย์ ถูกต้องที่สุดที่จะอยู่ในโลก เรื่องข้างหน้า ทิศเบื้องหน้าก็คือเรื่องบิดามารดา จะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องเป็นคนดีที่สุด แก่บิดามารดา ทิศข้างหลังคือบุตรภรรยาหรือลูกเด็กๆ จะต้องปฏิบัติต่ออย่างถูกต้องที่สุด ไม่มีความผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นในการที่มีลูก มีหลาน มีเหลน ทิศทางซ้าย ซ้ายมือ มิตรสหาย ต้องปฏิบัติถูกต้องจนได้รับประโยชน์จากความเป็นมิตรความเป็นสหายดีถึงที่สุด ทิศข้างขวา ขวามือ ครูบาอาจารย์ ผู้แนะนำสั่งสอน ต้องถูกต้องที่สุดให้มีครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องที่แท้จริง แล้วก็สอนได้จริง สำเร็จประโยชน์ได้จริง ทิศข้างบน ผู้ที่อยู่เหนือกว่าพระเจ้าพระสงฆ์ผู้บังคับบัญชาหรือว่าพระราชา รัฐบาลอะไรก็ตาม มัน มัน มันอยู่ในฐานะเป็นผู้ปกครอง ผู้บังคับบัญชาอยู่ข้างบน ปฏิบัติไม่มีข้อเสื่อมเสียกระทบกระทั้ง เสียหายอะไร ทิศข้างล่างคือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย ลูกจ้างกรรมกร คนใช้อะไรก็ตาม มันอยู่ข้างใต้อยู่ข้างล่าง เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ก็คือว่าปฏิบัติถูกต้องต่อทิศทั้งหก ก็เรียกว่าป้องกันทิศทั้งหกไม่ให้เกิดอันตรายผิดพลาดใดๆ ขึ้นมา ในความเป็นพระบรมครูสอน เรื่องผู้ที่จะมีตัวตนอยู่ในโลก ยังไม่พูดถึงเหนือโลก น่ะ ก็ลองคิดดูซิว่าเราทำกันได้สำเร็จเท่าไร ครูทั้งหลายจะต้องเตรียมสอนเด็ก หรือเตรียมเด็กไว้เพื่อเป็นผู้ เป็นมนุษย์ ที่จะอยู่ถูกต้องในโลกนี้ เราได้ทำกี่มากน้อย เราได้ทำกี่มากน้อย ไม่ได้ถือว่าสอนหนังสือวันหนึ่งวันหนึ่งหมดเวลาเหน็ดเหนื่อยไม่พอที่จะสอนอะไรได้ ข้อนี้มัน มันมีปัญหาอยู่ ที่จริงอาจสอนหนังสือเหน็ดเหนื่อยทั้งวัน แล้วก็ไม่อาจจะสอน เรื่องศีลธรรมจรรยาอะไรได้ แต่ว่าการเป็นอยู่มันสอนได้ เมื่อการอยู่วัดเด็กๆอยู่วัดแบบโบราณ แวดล้อมกันอยู่แต่เรื่องของวัด น่ะ มันทำให้เกิดความถูกต้องทางจิตทางวิญญาณขึ้นมาอย่างเพียงพอ คือทำให้เด็กนั่น น่ะ มัน กลัวบาป เกลียดบาป และก็รักบุญ รักดี เท่านี้มันพอเสียแล้วนี่ อยู่วัดนานๆ มันจะเกิดนิสัย ขึ้นมาอย่างนี้ด้วยการแวดล้อมอบรมอยู่ในวัด หนังสือก็เรียนไปตามเรื่องไม่ใช่ไม่เรียนหนังสือ ก็เรียนไปตามแบบโบราณ ถ้าผลที่ได้จากการอยู่วัดนั่น มันสร้างนิสัยเกลียดบาป กลัวบาป แล้วก็รักบุญ รักดี เด็กสมัยนู้นกลัวบาป มากพอที่ว่า ถ้าใครร้องขึ้นมา ขึ้นว่าบาป ข้างหลังมันจะสะดุ้ง นี่เด็กเล็กๆ สมัย อาตมายังเป็นเด็กๆ ยังจำได้ติดตาว่ามันมีลักษณะอย่างนี้ ที่นี้เด็กสมัยนี้ ของครูบาอาจารย์สมัยนี้พอใครร้องว่าบาปมันแลบลิ้นหลอก มันแลบลิ้นหลอก มันไม่ได้สะดุ้ง แสดงว่ามันไม่ได้กลัวบาป หรือมันไม่ได้สำนึกบาปอะไร ผลของการศึกษามันต่างกันมาก แม้ว่าเดี๋ยวนี้มีการจัดการศึกษา มีเทคนิคมากสูงเจริญก้าวหน้าที่สุด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เด็กรู้จักสิ่งที่เรียกว่าบาป แล้วเกลียดแล้วกลัว การศึกษางมงาย โง่ๆสมัยนู้น มันอย่างสมัยโบราณ มันยังมีผลทำให้เด็กเกลียดบาป กลัวบาป ทักขึ้นว่าบาปและสะดุ้ง เด็กสมัยนี้ พระจะบอกบาปก็ไม่ได้ มันก็แลบลิ้นหลอก บางทีมันจะเอาก้อนอิฐขว้างหัวพระเอาด้วย คือเหตุการณ์อย่างนี้ก็มีจริงๆ ลูกนก มันเข้าไปออกลูกในกุฏิพระ บนไอ้ บนไอ้จั่ว ที่ข้างในกุฏิ น่ะ เด็กมันก็จะเข้าไปเอาให้จนได้ พระบอกว่าไม่ได้ มันบาป แลบลิ้นหลอก แล้วมันจะเอาก้อนอิฐขว้างหัวพระ เลยอ้างว่านกนี่ เป็นของกลาง เป็นของธรรมชาติ เขาควรจะเอาได้ นี้เด็กสมัยนี้มันเป็นอย่างนี้ ซึ่งเด็กสมัยโบรั่ม โบราณ โง่เหง้า นั้นมันไม่กล้าทำหรอกเพราะมันกลัวบาปเสียย่ำแย่แล้ว มันกลัวบาปทั้งไอ้พรากลูกนก มันกลัวบาปทั้งที่พระเป็นผู้กล่าว เป็นผู้ห้าม เป็นผู้สอน ไม่ ไม่ ไม่มีทางที่ว่าคิดจะขว้างหัวพระหรอก นี่เรา พิจารณาดูเถอะว่า ไอ้การสั่งสอนอบรมที่ว่าจะเจริญก้าวหน้า ในโรงเรียนในไอ้นี้ มันไม่มีผลทางจิตใจอะไรนัก มันก็ ไปตามประสา ที่มีกิเลส มีอวิชชา มีตัณหา มีกิเลส สรุปสั้น ที่สุดก็คือ มีความเห็นแก่ตัว คำนี่สำคัญที่สุด ขอร้องท่านทั้งหลาย ทุกคนช่วย จำไปด้วย ไปพินิจ พิจารณาว่า ปัญหาของโลก ทั้งโลก ทั้งจักรวาลนี้ มันมาจากความเห็นแก่ตัว ที่ทำให้เกิดอันธพาล เลวร้ายขึ้นมาเต็มไปหมด กระทั่งทำให้เกิดการ ขูดรีด ทำนาบนหลังคน ก็มาจากเห็นแก่ตัว กระทั่งว่าทำสงครามกัน โดยการคิดจะครองโลกฝ่ายเดียว ทำสงครามมันก็มาจากความเห็นแก่ตัว แล้วมันพูดจาปรองดอง เพื่อ สันติภาพใด ๆ กันไม่ได้ ตกลงอะไรกันไม่ได้ เพราะความเห็นแก่ตัว ความเจริญก้าวหน้าในทางจิตใจ มันเป็นความเจริญก้าวหน้าของความเห็นแก่ตัว จนมันเปลี่ยนความหมายหมด คำว่าสันติภาพ คำว่าสันติภาพ หรือคำว่าถูกต้องคือการที่ฉันได้ตามที่ฉันต้องการ ทุกฝ่ายมันจะถือหลักอย่างนั้น ถ้าเป็นสันติภาพ ปรองดอง ให้มีความถูกต้อง มีสันติภาพ ฉันต้องได้ตามที่ฉันต้องการ ไม่มีใครยอมเสียสละอะไรให้อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อให้มันเกิดความถูกต้อง ก็มีสันติภาพ สันติภาพคือกูได้ตามที่กูจะเอา สันติภาพ ถ้ามันได้อย่างนั่นมาแล้วก็มีสันติภาพ นี้โลกสมัยนี้มันเป็นอย่างนี้ เพราะว่าไอ้ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว มันสูงสุด มันสูงสุด มันเป็นกิเลสมากมาย หลายอย่างออกมาจากความเห็นแก่ตัว นั้นก็โลกกำลังบูชาความเห็นแก่ตัว เชื่อความก้าวหน้าความเจริญนั่นแหละ ล้วนแต่เป็นไปเพื่อความเห็นแก่ตัว ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว คือความได้สนุกสนาน เอร็ดอร่อย สวยงาม อะไรตามที่ต้องการ เป็นความสนุกสนานเพลิดเพลินทางเนื้อทางหนัง ไม่ใช่ความสงบ บริสุทธิ์ถูกต้อง แห่งกายวาจาใจ เขาเรียกว่าที่ได้อย่างที่กิเลสต้องการ นั่นละคือความถูกต้อง เพราะฉะนั้นในโลกนี้ทั้งโลกมันกำลังส่งเสริมเหตุ ปัจจัยที่ให้เกิดความเห็นแก่ตัว เครื่องมือที่จะทำให้เห็นแก่ตัว ที่ว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทางเทคโนโลยี ทางอะไรก็ตามนั้น มันเป็นอุปกรณ์แห่งการเห็นแก่ตัวเพื่อให้ได้มาเพื่อสิ่งที่ตัวต้องการ แม้ไปโลกพระจันทร์ได้ก็ไม่ได้มี หรือพิสูจน์ความมีประโยชน์อะไร นอกจากจะเป็นช่องทางที่จะทำลายผู้อื่น หรือว่าจะเห็นแก่ตัวได้มากขึ้น ความก้าวหน้าสูงสุด Electronic คอมพิวเตอร์นั่น มันเพื่อประโยชน์ อุปกรณ์แก่ การทำงานชนิดที่เป็นการเห็นแก่ตัว แสวงหาประโยชน์เข้ามาหาตัว มันใช้กันเสียอย่างนั้น ไม่ได้ใช้เพื่อความถูกต้องตรงไปตรงมา ซึ่งมันไม่ได้จำเป็นจะต้องใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อจะกอบโกยให้มากให้ลึกซึ้งมันต้องใช้เครื่องมืออย่างนั้น ก็เลยเพื่อความเห็นแก่ตัว และยังหน้าหัว ในส่วนที่ว่า สิ่งที่ผลิตขึ้นมาเป็นอุตสาหกรรมใหญ่หลวงท่วมโลก ล้วนเป็นเรื่องบำรุงบำเรอ ความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อย เพลิดเพลินทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินก็ดี ผลิตกันจนเหลือประมาณจะแข่งกับเทวดา เครื่องนุ่นห่มก็ดี ผลิตกันจนไม่รู้จะสวยกันอย่างไร เครื่องใช้ไม้สอย กิน บ้านอาศัย รถยนต์อะไรอย่างนี้ ก็ดูเอาเถอะ ไม่รู้ว่าจะเป็นมนุษย์กันตรงไหน อย่างไร ต้องการแต่สิ่งเหล่านี้ มันมากขึ้น มากขึ้น แม้แต่ยารักษาโรค ก็เพื่อส่งเสริมความรู้สึกทาง กามมารมย์ ทางเพศ ทางอะไรไปเสีย จนเกิดโรคแปลกๆใหม่ๆ ออกมา เกี่ยวเรื่องนี้ นั่นคือความเจริญของโลก เราก็เรียกว่าไอ้โลกนี้ก้าวหน้า มีวัฒนธรรม มีวัฒนธรรม เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมี คือเกินพอดี คำว่าวัฒนธรรม ถ้าเอาตามตัวหนังสือในภาษาบาลี คำว่าวัฒนะคำนี้มันแปลว่ามากขึ้น มันแปลว่ามากขึ้น มันไม่ได้มีความหมายว่าดีหรือชั่วอะไร มันมากขึ้นกว่าเดิมก็เรียกว่าวัฒนะ วัฒนะ มันก็ดีอยู่ทีแรกๆ ถ้ามันดีขึ้นมาเพียงให้รู้จักทำมาหากิน สะดวกสบาย ก็จะจัดเป็นวัฒนธรรมได้ แต่เดี๋ยวนี้มันเกิน เกินสะดวกสบาย กลายเป็นเรื่องทำให้เกิดปัญหา ยุ่งยาก ลำบากมากขึ้น จะต้องกินอาหารอย่างนั้น อย่างนั้น จะแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างนั้น จะต้องมีเครื่องใช้ไม้สอย บ้านเรือน รถยนต์อะไรก็ตามอย่างนั้น อย่างนั้น จะว่าสร้างตึกร้อยห้าสิบชั้น เดี๋ยวนี้ ไอ้ตึกร้อย ร้อย ร้อยสิบสองชั้นมันเป็นเด็ก ลูกเด็กๆ มันจะทำ ทำไม มันทำเพื่อเจริญ เพื่อเจริญ เพื่อเจริญ นั้นคำว่าเจริญหรือวัฒนะอามันใช้ได้ เพราะว่าคำนี้มันแปลว่ามากขึ้นเท่านั้นแหละ หญ้ารกมันก็เรียกว่าวัฒนะเหมือนกัน ผมรกก็เรียกว่าวัฒนะเหมือนกัน ผมมันวัฒนะเหมือนกัน คำว่าวัฒนะมันมีความหมายแต่อย่างนั้น มันไม่ได้เฉพาะเป็นฝ่ายที่ดีมีประโยชน์ไม่มีโทษ นอกจากเพียงว่ามากขึ้นก็เรียกว่าวัฒนะ นี้โลกมันกำลังวัฒนะ พัฒนา หรือเจริญไปในแบบนี้ สิ่งที่มันไม่จำเป็น มันก็ มีมากขึ้น สิ่งที่เกินจำเป็นก็มีมากขึ้น มันก็ยุ่งไปหมด ถ้าลดกันมาเสียบาง เท่าที่จำเป็นจะอยู่ได้ มันก็ไม่มีปัญหามากมายอย่างนี้ พวกอันธพาลก็ไม่ต้องการใช้เงินมากอย่างนี้ จนถึงต้องเที่ยวจี้เที่ยวปล้น พวกอันธพาลเขาก็อยากจะเจริญ อยากวัฒนา อยาก ศิวิไลซ์ ต้องใช้เงินมาก เงินไม่พอก็ต้องจี้ต้องปล้น การจี้การปล้นมันก็มากขึ้น เพราะว่าโลกมันวัฒนา โลกมันพัฒนา ไอ้ สิ่งที่มันเกินจำเป็นเหล่านี้ มันทำให้จิตใจ เปลี่ยน ความเห็นแก่ตัวก้าวหน้า พวกฝรั่งเขาพูดกันนักว่า ถ้าว่าสงคราม ปรมาณู มา มีมา มันก็จะทำลายวัฒนธรรม หมดสิ้น ทุกสิ่งต่างๆที่สร้างสรรค์ขึ้นมา อย่างมากมาย มโหฬาร วิจิตร พิสดาร แพงที่สุด มักก็จะถูกทำลาย หมดสิ้น เขาว่าวัฒนธรรมจะถูกทำลายไปหมดสิ้น เราเห็นว่าดีแล้ว ดีแล้ว ให้มันฉิบหายไปให้หมด ไอ้สิ่งที่เหลือเกิน เกินจำเป็น ให้มันหมดไปเสียเถอะ มันจะดี มันจะไม่ยุ่งมาก นี่มันก็จะสร้าง สิ่งที่ไม่จำเป็น หรือเกินจำเป็นมากขึ้น มากขึ้น จนเกะกะไปหมด จนสร้างปัญหาเต็มไปหมด ขอฝากไว้ด้วยว่า จงพิจารณาดูด้วยว่าหลักที่ว่า มัน มันจำเป็นไหม มันเกินจำเป็นไหม มันพอดีไหม เดี๋ยวนี้มันต้องการสิ่งที่เกินจำเป็น แล้วมันก็ประดิษฐ์ ประดิษฐ์ ประดิษฐ์ เกินจำเป็นมากขึ้นไป เมื่อจิตใจมันเปลี่ยนแล้ว มันก็เห็นเป็นสิ่งจำเป็นไปหมด น่ะ สำหรับครูบาอาจารย์เหล่านี้ จะถามว่า ตู้เย็น น่ะจำเป็นหรือไม่ จำเป็นไหม ถ้าครูคนไหนเห็นว่าจำเป็น ก็ว่าดีแล้ว ฐานะมันก็เลื่อนขึ้นไปก่อน เลื่อนขึ้นไป จนไอ้ตู้เย็นหรือว่าทีวีเป็นสิ่งจำเป็น เราอยู่ได้โดยไม่ต้องมีสิ่งเหล่านี้ ปู่ย่าตายายของเรา ไม่ได้ใช่สิ่งเหล่านี้เขาก็อยู่ได้ สมัยที่มนุษย์ไม่มีน้ำแข็งจะกิน ไม่รู้จักทำน้ำแข็งในโลก มนุษย์ยังไม่รู้จักการทำน้ำแข็งกิน มนุษย์มีจิตใจเยือกเย็นกว่าเดี๋ยวนี้นะ มนุษย์สมัยนั้นมีจิตใจเยือกเย็นกว่าเดี๋ยวนี้นะ สมัยที่มนุษย์ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ยังใช้ไต้ ใช้กองไฟสุมอยู่ น่ะ จิตใจเขาสว่างไสวกว่าเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวนี้มันมีไฟฟ้าใช้ จิตใจมันโง่ มันมืด มันต่ำ มันหลงความเห็นแก่ตัว หลงความเอร็ดอร่อยเพลิดเพลิน ทางเนื้อทางหนัง เนี่ย จิตใจมันมืด มันมืด ยิ่งกว่าสมัยมนุษย์ที่มันไม่มีไฟฟ้าใช้ นั่นละดูให้ดีว่าไอ้ความเจริญ หรือ Civilization น่ะ มันหมายถึงอะไร ถ้ามันไม่ถูกต้องก็คือวินาศนั่นเอง ก็คือบาปชนิดหนึ่งนั่นเอง ในความเจริญ เจริญ รุ่งเรือง ศิวิไลซ์ ศิวิไลซ์ นั้นแหละ คือบาปชนิดหนึ่งนั่นเอง สร้างปัญหาให้มนุษย์ มากยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น จนแก้ปัญหาเหล่านั้นไม่ไหว เพียงแต่จะดับมลภาวะ ไอ้ Pollution เดี๋ยวจะดับกันไม่ไหวอยู่แล้ว ในโลกนี้ เพราะมนุษย์มันสร้างกันขึ้นมาเอง จะมีความคิดเกิดขึ้น อย่างมหาตมคานธีพูด ก็มีคนเห็นด้วยมากขึ้นว่า เราอยู่กันอย่างหมู่บ้าน หมู่บ้านเถิด อย่าอยู่กันอย่างมหานครเลย เนี่ย คุณลองเทียบเคียงดู อยู่กันอย่างมหานครเช่นกรุงเทพก็เท่านั่นนะ บ้า มาอยู่กันอย่างหมู่บ้าน หมู่บ้าน หมู่บ้าน หมู่บ้าน เล็กๆน้อยๆ เฉลี่ยเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้าน ไม่มีปัญหาอะไร ช่วยกันจัด ช่วยกันทำได้ แต่ละหมู่บ้านมีแต่ความเยือกเย็น แต่ว่ามันไม่หรูหราสวยงามกระโดดโลดเต้นอย่างไอ้มหานคร อาจจะเป็นไปได้ว่า ไอ้โลกเรามันจะย้อนกลับไปที่ความต้องการ ชนิดที่พอดี อยู่อย่างหมู่บ้าน อยู่อย่างหมู่บ้านกันแต่ดึกดำบรรพ์ ไม่ ไม่อยู่อย่างมหานคร ซึ่งเต็มไปด้วยปัญหา ล้วนแต่มีปัญหากันทั้งนั้นทุกอย่าง พอมันเจริญเข้าไปอะไรต่ออะไร ก็เพิ่มปัญหามากขึ้นเท่านั้น ลองหลับตาดูอยู่กันว่า อยู่กันอย่างหมูบ้าน แม้ที่สุดก็ทุกคนทำนา ก็ยังจะสงบไม่มีปัญหา เหมือนกับอยู่อย่างมหานครที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนให้เห็นแก่ตัว แล้วก็ประทุษร้ายผู้อื่น มนุษย์โง่หรือฉลาดที่ว่าบูชา เหยื่อของกิเลส บูชากามารมณ์ บูชาสิ่งมึนเมาเสพติด สิ่งเสพติดกลายเป็นปัญหาโลก คิดดูซิ ไอ้โลกเจริญหรือว่าโลกมันบ้า มันเจริญหรือมันบ้า ที่ว่าสิ่งเสพติดทั้งหลายกลายเป็นปัญหาทั่วทั้งโลก ไม่ว่าประเทศเล็กประใหญ่ ประเทศไหน มีปัญหาเรื่องสิ่งเสพติด ในมหาประเทศชนิดใหญ่มันก็มีปัญหาเรื่องยาเสพติด ซึ่งมากขึ้นทุกที มากขึ้นทุกที นี่มันผิดมาแต่ครั้งไหนล่ะ จะสอนเด็กๆ กันอย่างไร เด็กโตขึ้นมาแล้วชอบยาเสพติด ครูสอนอย่างไร หรือว่าผู้ใหญ่บูชาเหล้า จะให้เกียรติอะไรกันขึ้นมาก็ยกแก้วเหล้าขึ้นทูนหัว เห็นไหม มนุษย์ จะให้เกียรติกันก็ยกแก้วเหล้าขึ้นทูนหัวให้พรกัน นี่มันจะบ้า กี่มากน้อย ให้คนป่ามันหัวเราะเอา ดูความเจริญ ไอ้เหล้าที่แพงที่สุด น่ะ ใครมันกิน ก็คนมันกิน แพงเท่าไรมันก็โง่เท่านั้น เราอ่านหนังสือข่าว เหล้าบางชนิดราคาขวดเดียวตั้งสองสามพันบาท หลายพันบาท แล้วใครมันกิน นอกจากคนที่โง่ โง่หลายพันโง่ จึงจะกินเหล้าขวดละหลายพันบาทได้ นี่คือการเจริญ พวกครู สร้างเด็กขึ้นมาอย่างไร เด็กจึงมาเป็นเด็กอย่างนี้ในโลกอย่างนี้ ปัญหามันมีเท่าไร ถ้าเช่นนั้นขอให้ย้อนระลึกไปถึงพระบรมครู ที่จะสร้างโลกเพื่อความสงบสุขอยู่กันอย่างเยือกเย็น ที่เรียกว่าศาสนา พระศรีอาริยเมตไตรย์ โลกพระศรีอารย์ ที่อยู่กันอย่างไร มันไม่ต้องมีรถยนต์สักคันหนึ่งก็ได้ มันไม่ต้องมีเหล้าเลยก็ได้ มันไม่ต้องมีโรงหนัง มันไม่ต้องมีอะไรอย่าง ที่เดียวนี้มันมี ไม่ต้องมีตึกหลายชั้น สองร้อยชั้นก็ได้ มันก็อยู่ได้อย่างสงบเยือกเย็นเป็นสุข ชนิดที่ว่า นอนไม่ต้องปิดประตูเรือน ไม่มีอันตราย ไม่มีขโมย ทำบ้านไม่ต้องมีประตูก็ได้ ถ้า ถ้า ถ้าไม่อยากจะทำ นอนไม่ต้องปิดประตูเรือน ทุกคนเป็นมิตร ลงจากบ้านเรือนแล้ว จำกันไม่ได้ว่าใครเป็นใครเพราะดี ไปหมดทุกคน ดีกันเหมือนทุกคน กลับถึงบ้าน จึงจะรู้ เราอยู่บ้านนี้ นี่ภรรยาของเรานี่ สามีของเรานี่ พอลงจากเรือนแล้ว จำกันไม่ได้ว่าใครเป็นใคร เขาบรรยายว่าอย่างนั้น ในความสงบสุข ด้วยธรรมะ ด้วย ศีลธรรม ด้วยความมีศีลธรรม มันทำให้เกิดความสงบสุขอย่างนั้น ไม่ต้องมีน้ำแข็งกิน ไม่ต้องมีเหล้ากิน ไม่ต้องมีน้ำอัดลมกิน ไม่ต้องมีอะไรหลายอย่างที่ ที่ ที่กินกันเป็นไอ้ บู บู ของวิเศษบูชาไม่ต้องมี ก็กินอาหารธรรมดา ก็อยู่อย่างสบายเป็นสุขเยือกเย็น โรคภัยไข้เจ็บมันก็น้อย เดี๋ยวนี้ร่างกายมันก็ได้รับการกระทบกระเทือนมาก เพราะไอ้ความเจริญก้าวหน้า ที่เรียกว่าวัตถุนิยม นี่ครูมี มี ภาระหนักแล้ว เห็นไหม มันมาถึงโลก โลกมาถึงยุคที่ว่า ครูจะแก้ไม่ไหว ครูจะแก้ไขไม่ไหว จะพาออกจากประตู คอกไม่ไหว อาการมันหนักขนาดนี้ แต่มันไม่เป็นไร เมื่อถือตามหลักแล้วมันก็ต้องต่อสู้ ต้องพยายามต่อสู้ มันไม่มีอะไรเที่ยงแท้ มันกลับเปลี่ยนได้ ในสิ่งที่ไม่เคยมีมันก็มีขึ้นมา เมื่อมีขึ้นมาแล้วมันก็หายไปอีกก็ได้ กลับเปลี่ยนได้ ในความเลวร้ายในโลกที่มันเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น นี้ มันก็เปลี่ยนกลับเป็นไม่มีได้ ขอให้เราพร้อมใจกันสร้างโลกเสียใหม่ สร้างโลกเสียใหม่ให้มันถูกต้อง อย่าให้เป็นโลกของกิเลส อย่าให้เป็นโลกของอวิชชา ความโง่เขลา ตัณหาอุปาทาน ความยึดมั่น เป็นตัวกูของกู เห็นแก่ตัวสุดเหวี่ยง กูได้ตามกูต้องการนั่นคือความถูกต้อง ความรู้สึกของอันธพาล ความถูกต้องคือกูได้ตามต้องการ
ที่นี่เรามาพูดถึงปัญหาเรื่องสร้างโลกกันดีกว่า จะช่วยกันสร้างโลกต่อไปอย่างไร ขอฝากไว้ เป็นข้อคิด ฝากไว้เอาไปคิดเห็นด้วยจึงค่อยทำ ไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้อง ว่าในการร่างหลักสูตรประถมศึกษาไอ้คราวที่แล้วมา ที่มาช่วยกันทำที่นี่ อาตมาก็แนะนำ ให้ที่ประชุมตกลงกัน เราจะมีหลักการ เป็นเค้าโครงหลักๆ ว่า เราจะอบรมสั่งสอนเด็ก ให้เป็นเด็กที่ดี ให้เป็นคนดี หก หกประการ หนึ่งให้เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา สองให้เป็นลูกศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ สามให้เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน สี่ให้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ห้าให้เป็น ศาสนิกที่ดี หรือสาวกที่ดีของศาสนา หกให้เป็นมนุษย์ที่เต็ม ขอท้าทายเดี๋ยวนี้ให้ใครคนไหนก็ตาม ช่วย พิสูจน์ไอ้ความผิดความโง่ ของหลักการอันนี้ว่ามันผิด ผิดอย่างไร หรือใครมีอะไรดีกว่านี้ก็ช่วยแสดงมา นี่ขอท้าทายเดี๋ยวนี้ ให้ครูบาอาจารย์ช่วยสร้างเด็กโดยหลักหกประการ หนึ่งเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา คำว่าบุตร ธิดาอะไรก็ตาม มีหมายความว่า ผู้ที่เกิดมาเพื่อทำให้บิดามารดาสบายใจ ถ้าไม่ได้ทำให้บิดามารดาสบายใจ มันไม่ใช่บุตร มันไม่ใช่บุตร มันไม่ใช่ความหมายของคำว่าบุตร ถ้ามันเป็นบุตรมันต้องทำให้บิดามารดาได้รับความสบายใจ นับตั้งแต่พอคลอดออกมา โตขึ้นมา อะไรขึ้นมาล้วนแต่ให้ความสบายใจแก่บิดามารดา พออกพอใจ ชื่นอกชื่นใจ กระทั่งมาโรงเรียน กระทั่งเรียนเสร็จ ก็ยิ่งทำความพอใจให้แก่บิดามารดา เป็นบุตรที่แท้จริง เป็นบุตรที่ดีที่สุดของบิดามารดา นี่เราให้เขาสร้างบุตรที่ดีให้แก่บิดามารดา คือทำความสบายใจให้แก่บิดามารดา ก็ดูเด็กๆ ของเราเดี๋ยวนี้ซิ มันใจร้ายใจดำ มันหลอกลวงบิดามารดามัน เรียกว่ากลับกัน (หัวเราะ) กลายเป็นบิดามารดาต้องสร้างความสบายใจให้แก่บุตร ต้องตามใจบุตร ต้องให้บุตรได้รับความพอใจ ไม่ใช่ให้บิดามารดาได้รับความพอใจเพราะมีบุตร ไปคิดดูเถอะว่าไอ้เด็กๆ ของเรามันเห็นแก่ตัวจัด มันเห็นแก่ตัวจัด มันจะเอาแต่ความต้องการของตัวมัน มันไม่ต้องคำนึงว่าบิดามารดาจะเหน็ดเหนื่อยจะยากจนอะไร มันไปเรียนที่กรุงเทพ มันหลอกบิดามารดาสารพัด อยากให้ส่งเงินไปให้ จนหมดเนื้อหมดตัว มันก็ยังทำได้ มีเป้าหมายที่จะให้เด็กเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น จนเรียนจบประถม มัธยม เป็น มหาวิทยาลัย ก็ทำความพอใจให้แก่บิดามารดาถึงที่สุด เดี๋ยวนี้มันยังมีบุตรที่ทำความร้อนใจให้แก่บิดามารดาอยู่มาก เบียดเบียนบิดามารดากระทั่งเรียนจบแล้ว ก็ยังเบียดเบียนบิดามารดา จะแต่งงานก็ยังต้องเบียดเบียนบิดามารดา มันไม่ได้ทำความชื่นใจให้แก่บิดามารดา มันไม่ถูกต้อง นี่มันเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ที่หนึ่งเป็นบุตรที่ดี ที่สองเป็นศิษย์ที่ดี ศิษย์ที่ดีคือผู้ที่ครูบาอาจารย์นำไปได้ ถ้าครูบาอาจารย์นำไปไม่ได้ มันไม่ใช่ศิษย์ที่ดี ถ้ามันเป็นศิษย์ที่ดี ครูบาอาจารย์ต้องนำไปได้ตามประสงค์ มันดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น เดี๋ยวนี้มันมีความต่อต้าน มันไปเห็นแก่ตัวมากไป เห็นแก่ความสนุกสนานส่วนตัวมากไป ครูบาอาจารย์น่าจะดีอย่างไรก็ยังนำมันไปไม่ได้ มันจึงเป็นส่วนน้อย ไม่สมกันที่ครูบาอาจารย์นำไปได้ ถ้ามันอยากดีด้วย ครูบาอาจารย์จึงจะนำไปได้ แต่บางที มันก็ ทั้งๆ ที่มันอยากดี มันบังคับตัวมันไม่ได้ มันก็เป็นดื้อดึง มันก็นำไปไม่ได้ ยังคงนำไปไม่ได้ นำไปได้ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ พร้อมที่จะออกไปเป็นอันธพาลมันยังมีอยู่ มันอบรบให้เขาเป็นศิษย์ที่ดีให้ครูบาอาจารย์นำไปได้ โดยวิธีทุกอย่างทุกประการ ท่านที่ปรามให้เขาเป็นเพื่อนที่ดี แก่กันและกัน ไม่ทะเลาะวิวาท ไม่เห็นแก่ตัว ไม่คดโกงให้เห็น แต่เพื่อนรัก เพื่อนเหมือนกับที่รักตัวเอง ถ้ามันมีความเห็นแก่ตัวมันรักผู้อื่นไม่ได้ มันต้องสอนเรื่องทำลายความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวลดลงเท่าไรมันก็จะรักผู้อื่นได้มากขึ้นเท่านั้น หมดความเห็นแก่ตัวเท่าไรมันรักผู้อื่นหมดเท่านั้น คำว่าเพื่อนมีความหมายมาก เพราะว่า เราเป็นเพื่อนกันจริงๆ ธรรมชาติมันสร้างมาในลักษณะความเป็นเพื่อน ธรรมชาติมันสร้างมนุษย์ สร้างโลก สร้างอะไรมาเนี่ย ในลักษณะที่ต้องมีเพื่อน คืออยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ไอ้ตอนเด็กๆ ให้รู้ว่า เขาให้เราอยู่ในโลกคนเดียวทั้งหมด เขาให้โลก ให้โลกทั้งโลกแก่เรา ให้เราอยู่คนเดียว เราก็อยู่ไม่ได้ เพราะธรรมชาติมันสร้างมาสำหรับมีเพื่อน รอบทิศรอบทาง ต้องมีเพื่อนร่วมมือกันทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ กว่าเราจะได้ข้าวมากินอย่างนี้ มันต้องนึ่งด้วยคนอื่นๆ อีกหลายสิบคน กว่าจะได้หยูกยามาใช้ต้องนึ่ง ด้วยเพื่อนมนุษย์อื่นๆ อีกหลายสิบคน จะได้เสื้อผ้านุ่งห่มมา มันก็ต้องมีคนอื่นอีกหลายสิบคน เจ็บไข้จะได้ช่วยเหลือกัน แล้วก็ ธรรมชาติสร้างมาให้มีปัญหาอย่างเดียวกัน คือเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน เป็นเพื่อนเกิด เป็นเพื่อนแก่ เป็นเพื่อนเจ็บ เป็นเพื่อนตายด้วยกัน นี้ก็เป็นเพื่อนที่ธรรมชาติกำหนดมา มันจึงเป็นการกำหนดว่าต้องมีเพื่อนที่ถูกต้องที่ครบถ้วน เราจึงพยายามเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและกัน เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย คือเป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนยาก ที่ต่อสู้กับเพื่อนความทุกข์ ด้วยกัน นี่ก็จะเป็นเพื่อนที่ดี ถ้าเราสอนกันถึงขนาดนี้ เด็กๆ มีความรู้สึกอย่างนี้ เขาก็จะเป็นเพื่อนที่ดี แก่กันได้ ถ้าทุกคนในโลกเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันแล้วมัน มัน มันไม่มีปัญหาอะไรเหลือล่ะ มันจะไม่มีสงคราม มันจะไม่มี ความกระทบกระทั้งเบียดเบียนใดๆ เพียงมันเป็นเพื่อนที่ดีแก่กันเท่านั้น โลกหมดปัญหา หรือมันหมดวิกฤตการณ์ในโลก นิติธรรมโบราณในอินเดียจึงให้ความหมายแก่คำว่าเพื่อนนี้อย่างสูงสุด ให้ความหมายสูงสุด พูดว่าพ่อ ก็มีความหมายลึกเฉพาะ พูดว่าพี่ก็มีความหมายลึกเฉพาะ แต่พอพูดว่าเพื่อนความหมายหมด กินความหมดรอบทิศรอบทางทั้งหมด ทั้งจักรวาลเลย มันก็จึงเน้นเรื่องความหมายของคำว่าเพื่อนมาก ถ้าเด็กๆของเราได้รับคำอบรมสั่งสอนให้รู้จักความหมายของคำว่าเพื่อน เต็มตามความหมายแล้วก็จะดีมาก นี่ก็ต้องช่วยกัน เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ที่นี่ก็มาถึงข้อที่สี่เป็นพลเมืองดีของชาติ กระจาย (55.15)ในหลักสูตรเต็มไปหมดแล้ว อยากพูดไหม จะให้อาตมา อาตมา พูดการเป็นพลเมืองดีอย่างไร เนี่ย ท่านทั้งหลายก็รู้ดีอย่างยิ่ง หรือรู้ดีเกินว่าที่อาตมาจะมีอะไรพูด แต่ก็มีอะไรจะพูด ขอท้าทาย ว่า ถ้าจะเป็นพลเมืองดีของชาติ ก็ให้เขาเป็นพลเมืองที่มีการปฏิบัติถูกต้องต่อทิศทั้งหก อย่างที่ว่าเมื่อตะกี้นั้นแหละ ทิศทั้งหก ถ้าเขาปฏิบัติถูกต้องครบทั้งหกทิศ เขาจะเป็นพลเมืองที่ดีที่สุด ที่เลิศที่สุดเลย ของประเทศชาติ ไม่ทำผิดเบื้องหน้าเบื้องหลัง เบื้องซ้ายเบื้องขวา เบื้องบนเบื้องล่าง เป็นพลเมืองที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด ซึ่งไม่รู้จะไปหากันที่ไหน ถ้าศาสนากลับมาอย่างยิ่ง อย่างสมบูรณ์ อย่างถูกต้อง มันก็มีได้ มันก็มีได้ ไม่ใช่มันมีอะไรตายตัว มันก็มีได้ตามเหตุตามปัจจัย ใช้ธรรมะกลับมาถึงที่สุด มันก็เกิดมนุษย์อย่างนี้ขึ้นมาได้ แม้ศาสนาอื่นๆทุกศาสนามันก็สอนแนวเดียวกันนี้ สอนทำลายความเห็นแก่ตัว พอทำลายความเห็นแก่ตัวได้ ปัญหาทุกชนิดมันก็หมดไป ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ เขาจะสอนกันอย่างไร ตามใจ กระทรวงจะออกกฎเกณฑ์มาอย่างไร ตามใจ อาตมา ก็ไม่ค่อยอยากรู้อยากชี้ แต่เน้น ไอ้ข้อที่ว่า เป็นบุคคลผู้ปฏิบัติถูกต่อทิศทั้งหก น่ะ นั่นแหละคือเป็นพลเมืองดีชั้นเลิศของประเทศชาติ ที่นี่ ข้อที่ห้าเป็นสาวกที่ดีของศาสนา จะเรียกว่าเป็น ศาสนิกที่ดีของศาสนา เป็นพุทธมามักกะที่ดี อะไรก็ตาม คำเดียวกัน แหละ ขอให้เป็นสาวกของศาสนาชั้นดี มีความหมายว่าได้รับประโยชน์จากศาสนา ถ้ายังไม่รับประโยชน์จากศาสนาไม่ชื่อว่าเป็นสาวกที่ดี ไม่เป็นสาวกด้วยซ้ำไป สาวกที่ดีของศาสนาก็ต้องรู้ศาสนา ต้องปฏิบัติศาสนา ได้รับผลของศาสนา และก็เป็นอยู่ด้วยผลที่ดีของศาสนา ในชีวิต นั่นแหละคือสาวกที่ดีของศาสนา ข้อนี่มันยังไป แต่มันต้องไต่เต้าตั้งแต่ ตั้งต้น น่ะ เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ เป็นสาวกที่ดีของศาสนา ในสุดท้ายก็เป็นมนุษย์ที่เต็ม เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เป็นมนุษย์ที่มีความเป็นมนุษย์ที่เต็ม ได้ ได้ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นมนุษย์ที่เต็ม ก็เรียกว่าจบ นี่ครูจะช่วยกันทำได้อย่างไร เท่าไร เพียงไร ถ้าทำได้ นั่นก็คือถูกต้องตามอดุมคติของครู ว่าครูเป็นผู้นำทางวิญญาณ ครูเป็นผู้นำทางวิญญาณ เป็นผู้เปิดประตู ทางวิญญาณให้สัตว์ที่มืดบอดนั้นออกมาที่แสงสว่าง อยู่ในคอกนะมันมืด มันเหม็น มันสกปรก ออกมาซะจากคอกที่มืด ที่เหม็น ที่สกปรก ออกมาสู่ชีวิตที่สดใส แจ่มใส รุ่งเรืองและเป็นสุข นั่นพระคุณของครูมหาศาล เกินกว่าที่จะกล่าวได้ เลยยกเป็นปูชนียบุคคล แล้วก็อย่าลืมว่า เอามาเปรียบเทียบกันดูกับลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งวันหนึ่งมันต่างกันอย่างไร มันจะต้องกู้สถานะของตัวให้ได้ คือว่าเราจะไม่เพียงแต่สอนหนังสือ แต่เราจะมีการอบรมนิสัยใจคอให้ลูกศิษย์ ของเราทุกคนคลายความเห็นแก่ตัว เนี่ยขอให้จำ ว่าทางออกของครูที่จะออกมาเสียจากฐานะต่ำต้อย ลูกจ้างสอนหนังสือ กรรมกรรับจ้างสอนหนังสือ มันทำได้โดยการสอนให้เด็กให้ศิษย์นั่น มีความรู้คิด รู้สึกคิดนึกถูกต้อง ทำลายความเห็นแก่ตัว มันจะพร้อมกันไปกับว่า เป็นศิษย์ที่ เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี ถ้าเขาทำลายความเห็นแก่ตัวลงได้เท่าไร เขาก็จะเป็นศิษย์ เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดีได้ ได้พร้อมกันมากับการทำลายความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว เนี่ยมัน มันพึ่งมีไม่ได้ติดมาตั้งแต่อยู่ในท้อง เมื่ออยู่ในท้อง มันไม่มีบาปมีบุญอะไร พอคลอดมาจากท้องแม่แล้ว มันมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ สัมผัส นั่น นี้ รู้รส รู้อะไรอย่างนั้นอย่างนี้ ได้รู้จักรสอร่อย รสไม่อร่อย ถูกใจไม่ถูกใจ พอถูกใจ มันก็ชอบ ก็เกิดความรู้สึกเป็นตัว ว่าที่พูดถูกใจเพราะเห็นแก่ตัว พูดถูกใจมีของถูกใจเป็นของตัว ความยึดถือว่าของตัวนี้ของตัว นี่เพิ่งเกิดทีหลัง ตั้งต้นตั้งแต่เป็นทารก รู้สึกได้ว่าอะไรอร่อย อะไรไม่อร่อย จนกระทั่งรู้ดีรู้ชั่วยังไปยึดถือ เป็นเห็นแก่ตัวเรื่อยมา แล้วก็มากขึ้น มากขึ้น มันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้หมดได้ เพราะมันเป็นของใหม่พึ่งเกิด ไม่ใช่มันมาในสันดานในจิตใจ โดย โดย ตายตัว ยิ่งได้รับการอบรมสั่งสอนผิดเป็นอยู่ผิด ความเห็นแก่ตัว มันก็แก่กล้า แก่กล้า จนมันเป็นอันธพาล จนมันฆ่าบิดามารดาของมันได้ เหล่านี้ก็เพราะ ความเห็นแก่ตัวมันเตลิด มันเลยเถิด มันมากเกินไป ทำลายความเห็นแก่ตัวลงได้เท่าใดไอ้ความถูกต้องมันก็จะเข้ามา เข้ามา มาคอยตักเตือน ระมัดระวัง ตักเตือนสั่งสอนให้ ทักท้วงไว้ทุกที ที่มันมีการทำอะไร ที่เป็นการเห็นแก่ตัว แล้วก็ช่วยสอนให้มันรู้จักเสียสละเพื่อผู้อื่นนั่น น่ะ มันจะทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้ามันกำลังทำประโยชน์ผู้อื่น มันจะทำลายความเห็นแก่ตัว ไอ้หลักสูตรลูกเสือมันดีเลิศ น่ะ ที่ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น แต่มันมีแต่ตัวหนังสือ มันมีความเป็นลูกเสือแต่ตัวหนังสือ มันไม่ได้มีการกระทำที่แท้จริง ขอให้มันยึดถือหลักอันนี้เป็นความจริงขึ้นมา ทำประโยชน์ผู้อื่นเท่าไร ก็ลดความเห็นแก่ตัวลงเท่านั้น แต่ก่อนจึงเน้นมากเรื่องให้เด็กๆ ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น ทำประโยชน์โรงเรียน อย่างอัตตามานี้ไม่ได้อวดดี จะเล่าให้ฟังว่า มาโรงเรียนแต่เช้าก็มากวาดโรงเรียน เพราะครูบอกว่าให้ทำ เพราะครูบอกว่าถูกต้องและดี แต่ก็มาไม่มีคนหรอกที่จะมาก่อนใครทั้งหมดมากวาดโรงเรียน แต่มันเป็นบทเรียนที่จะสร้างความไม่เห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่น พอเห็นแก่ผู้อื่น มันก็อันธพาลน้อยลง ฉะนั้น ขอให้สนใจเรื่องการอบรมลูกเด็กๆ ทั้งของเรา ให้เห็นแก่ตัวน้อยลง ด้วยการบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นมากขึ้น พร้อมกันไปกับที่ให้เรียนหนังสือ อาตมาตะโกนมาหลายปีแล้ว พวกกระทรวงได้ยินหมดแล้ว ว่าการศึกษายังเป็นหมาหางด้วน ของประเทศเราก็ดี ของทั้งโลกก็ดี การศึกษายังเป็นหมาหางด้วน คือมันเรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพสองอย่างเท่านั้น มันไม่เรียนในข้อที่ว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร จึงจะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง คือธรรมะ ศีลธรรม มันไม่เรียน ทั้งโลกเลย ทั้งโลกเลย ต้องพูดว่าทั้งโลกเลย การศึกษาทั้งโลกมันก็ยังเป็นหมาหางด้วน ฉะนั้นพวกไทยเราที่จะไปศึกษามาจากต่างประเทศ มันก็ไปเอาการศึกษาหมาหางด้วนมาให้ประเทศตัวมากขึ้น ถึงลุ่มหลงในทางก้าวหน้าทางวัตถุอะไรมากเกินไป เห็นแก่ตัวมากขึ้น มันก็หางด้วนมากขึ้น ฉะนั้นขอให้นึกถึงการศึกษาที่มันเปลี่ยนแปลงมาก ทะเยอทะยานแต่เรื่องความก้าวหน้าทางอาชีพ ไม่นึกถึงความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ซึ่งแต่ก่อนนี้เขาสนใจกันเรื่องนี้มากกว่า ระดับมหาวิทยาลัย Cambridge , Oxford เคยสนใจเคยไต่ถาม เมื่อนานมาแล้ว เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ว่ามันมุ่งหมายอะไร เขาบอกว่ามุ่งหมายความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ต้องการความรู้อะไรนัก ต้องการไอ้ พละ อนามัยบ้าง ไอ้ต้องการที่สุดคือความเป็นสุภาพบุรุษ นั้นมันคำเดียวกับคำว่าธรรมะหรือศีลธรรม มันไม่ได้มุ่งหมาย ไอ้หนังสือ วิชาชีพ เป็นบ้าหลังเหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ก็คงไม่มีแล้ว คำว่าสุภาบุรุษไม่มีความหมาย ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนหมดแล้ว มันอาชีพ ก้าวหน้าเทคโนโลยี ก้าวหน้าเพื่ออาชีพ หนังสือฉลาดฉลาด ก็ใช้เทคโนโลยี มีคนดีเพื่ออาชีพ มันก็เหลือแต่เรียนหนังสือกับวิชาชีพ เป็นการศึกษาเหมือนสุนัขหางด้วน มันไม่สมบูรณ์ จึงเขาฝากไว้ว่า มันจะต้องสอนหนังสือ และสอนวิชาชีพก็ตามใจเถอะ แต่ขอให้คอย อบรมสั่งสอน สะกิด หรือเตือนไว้ทุกครั้ง ที่มันมีความเห็นแก่ตัว จะป้องกันไม่ให้มีความเห็นแก่ตัว ถ้ามันมีโอกาสอันไหนที่เด็กมันจะเกิดเห็นแก่ตัว จะเอาเปรียบผู้อื่นละก็ ป้องกันไว้ ช่วยป้องกันไว้ ช่วยต้านทานไว้ ช่วยแนะนำสั่งสอนอบรมไว้ ให้เด็กๆ ของเราถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวมากเกินไป จนมันเป็นเรื่อง มี มีน้อยหน่อย มีพอสมควร หรือมีน้อยหน่อย ไอ้ที่ว่าจะไม่เห็นแก่ตัวเลยคงจะทำไม่ได้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันมากเกินไป จนมันเป็นเรื่อง จนไม่เป็นมนุษย์กันอยู่แล้ว เพื่อให้ทำประโยชน์ผู้อื่น ตามอุดมคติลูกเสือนั้นนะ เป็นธรรมะ เป็นตัวธรรมะ เพราะว่าถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันไม่มีกิเลส หรือ มันมีกิเลสน้อยลง เพราะว่ากิเลสมันมาจากความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นถ้าเตรียมพื้นฐานไม่เห็นแก่ตัวแล้ว มันก็เป็นการป้องกันกิเลสไว้ล่วงหน้า มันก็ดี ช่วยกันต่อต้านไอ้ความเห็นแก่ตัว ขจัดปัดเป่าออกไปเสียจาก ไอ้ลูกหลานของเรา อย่าคิดว่ามันเป็นคนอื่นเลย นักเรียนทุกคนจะโตเป็นลูกเป็นหลานในความรู้สึกของครู ช่วยขูดเกลา ความเห็นแก่ตัวอยู่ทุกเมื่อ มันก็จะเป็นการสอนธรรมะอย่างยิ่งในอยู่ในตัวการศึกษา ในการศึกษาในโรงเรียนก็จะเป็นการศึกษาทางจิตทางวิญญาณไปด้วย คุณครูก็จะเป็นผู้นำทางวิญญาณแท้จริงขึ้นมา มันจะเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ โดยแท้จริงขึ้นมา ขึ้นมา นี่ก็เลยเป็นปูชนียบุคคลขึ้นมาโดยไม่มีใครแต่งตั้ง มีความเป็นปูชนียบุคคลแท้จริงถูกต้องโดยไม่ต้องมีใครแต่งตั้ง มีพระคุณอยู่เหนือศีรษะของคนทุกคน ก็ตรงกับคำว่าครู ครุ ครุ คือมันหนักอยู่บนหัวคนทุกคน พูดอย่างนี้มันหยาบคายไปนะ แต่ที่จริงมันต้องเป็นอย่างนั้น คือว่าครูนี่ต้องมีบุญคุณอยู่เหนือศีรษะคนทุกคนในโลก จึงจะตรงกับคำว่า ครู ครุ ครุ ผู้ที่บุคคลอื่นควรหนัก คือควรเคารพ คนยอมรับ ด้วยความเคารพ พูดเป็นภาษาหยาบคาย ก็หนักอยู่บนหัวคนทุกคน แต่มันหนักไปในทางดี หนักไปในทางถูกต้อง เมื่อยังมีครูหนักอยู่บนศีรษะแล้ว ก็หมายความว่ายังเชื่อฟังครูอยู่ จะทำผิด ทำชั่ว ทำเลวไม่ได้ มันก็เป็นการช่วยกันสร้างโลกที่ดี ใครยอมรับเกียรติยศว่าครูที่ดีเป็นผู้สร้างโลก แม้ว่าจะต้องสร้างผ่านทางนักเรียน ทางศิษย์มันก็เป็นการสร้างโลกอยู่นั่นแหละ มิฉะนั้นแล้วมันก็จะเป็นลูกจ้างรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันวันหนึ่งเท่านั้น ไม่เป็นอะไรมากไปกว่านั้นได้ ขอให้ตั้งใจให้ดี เสียใหม่ ให้มันอยู่ในลักษณะที่ว่านำในทางวิญญาณ เปิดประตูทางวิญญาณ ขูดเกลาความเห็นแก่ตัวของลูกเด็กๆ อยู่ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน พร้อมกันที่ว่าจะสอนหนังสือ สอนเรื่องอะไร สอนวาดเขียน สอนวิชาอะไรก็ตามเถอะ มันก็มีโอกาส มีแง่มีมุม ที่จะชี้แนะ ทำลายความเห็นแก่ตัวอย่างใดอย่างหนึ่งได้ มันเป็นอุบายที่จะต้องหาเอาเอง สอนวิชาอะไรก็สอนกันตามหลักสูตร แต่ให้มันแทรกหรือแซม การทำลายความเห็นแก่ตัว การให้เห็นผู้อื่นเข้าไปไว้ด้วยทุกเรื่องไป เด็กๆ พอเรียนหลายๆ ปี เขาก็จะมีนิสัยที่ว่าไม่เห็นแก่ตัวมากไป เห็นแก่ผู้อื่น รักผู้อื่น มันก็จะเป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี เป็นอะไรได้ในอนาคต ปัญหาก็หมด ครูก็เป็นครู โดยแท้จริงโลกนี้ยังมีครู ยังมีที่พึ่งเพราะยังมีครูที่แท้จริงเหลืออยู่ในโลก ขอได้โปรดนำไปพิจารณา ไม่ได้บังคับให้เชื่อ ไม่ได้บังคับอะไร แต่ขอร้องให้นำไปพิจารณา ถ้าเห็นด้วยแล้วไม่ต้องสงสัย มันทำตามเอง นี้เป็นธรรมชาติ ถ้าเห็นด้วยแล้วพอใจแล้วมันก็มีการกระทำตามขึ้นมาเอง ในเรื่องที่เป็นไปทางที่ดีที่ถูก หวังว่าการพบปะกันในวันนี้คงจะสำเร็จประโยชน์ตามนี้ โดยบ้างไม่มาก ก็น้อย การบรรยายนี้มันก็สมควรแก่เวลาแล้ว ก็ขอยุติการบรรยาย