แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านอาคันตุกะทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายในลักษณะอย่างนี้ คือปรารภการศึกษาซึ่งมันมีจุดหมายร่วมกันกับทางการศาสนา คือทำคนให้เป็นคน การศึกษาเป็นเรื่องสร้างโลก คือว่าไอ้การศึกษาสร้างคนขึ้นมาอย่างไรแล้วโลกมันจะเป็นอย่างนั้น ขอให้คิดดูสักนิดหนึ่งว่าถ้าพวกครูนี่สร้างเด็กหรือสร้างคนขึ้นมาในลักษณะอย่างไร แล้วโลกมันก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นพวกครูก็เป็นพวก เป็นผู้ที่สร้างโลกยิ่งกว่าพระเป็นเจ้า พูด ไม่ใช่พูดหยาบคาย จ้วงจาบพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้ายังสร้างได้น้อยกว่าครู แต่เดี๋ยวนี้ครูไม่ค่อยจะมี มีแต่ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ ครูที่แท้จริงมีจิตมีวิญญาณสูง ทำหน้าที่ด้วยความหมายของคำว่าครูอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ
คำว่าครู ปทานุกรมอินเดียแปลว่า Spiritual Guide นี่มีอะไรแปลกอยู่อย่างนี้ คือว่ามันไม่เกี่ยวกับเงินเดือน ไม่เกี่ยวกับประโยชน์ มันจึงเป็นบุคคลบางพวกที่มีประโยชน์ทางอื่นและก็เป็นครู ครูไม่ได้เป็นอาชีพ ถ้าเป็นอาชีพก็เป็นอาชีพปูชนียบุคคล อาชีพของปูชนียบุคคลคืออาชีพเจ้าหนี้ คือทำบุญคุณให้แก่ผู้อื่นนั้นมากกว่าประโยชน์ที่ตัวได้รับ อาชีพอย่างนี้เขาเรียกว่าอาชีพปูชนียบุคคล หรืออาชีพของผู้เป็นเจ้าหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านให้สิ่งที่เป็นประโยชน์มากมายเกินค่าที่รับการบูชา ก็เลยเป็นอาชีพเจ้าหนี้ ครูนั้นก็ถูกจัดไว้ในพวกนี้ เป็นอาชีพประเภทปูชนียบุคคล เลยอุทิศตนทั้งหมดทั้งสิ้น จะเป็นเวลา หรือเรี่ยวแรง หรือสติปัญญาต่างๆนานา ก็อุทิศเพื่อผู้อื่นเหล่านั้น เมื่อเทียบกันกับค่าของทั้งสองฝ่ายแล้ว มันต่างกันมาก ก็เลยความเป็นเจ้าหนี้มันอยู่ที่บุคคลหรืออยู่ที่ครู ถ้ารับจ้างสอนหนังสือไปวันหนึ่งๆ มันก็มีค่าเท่านั้นแหละ มีค่าเท่าอัตราเงินเดือนที่วางไว้เท่านั้นแหละ มันไม่มีค่าสูงไปกว่านั้นได้ ผลมันก็เลยเปลี่ยนน่ะ ถ้าในโลกนี้มันมีครูแท้จริงคือผู้นำในทางวิญญาณ ไม่ ไม่ ไม่ใช่มีแต่เพียงครูอาชีพวันหนึ่งๆ แล้วโลกนี้จะผิดไปจากที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้มาก
เดี๋ยวนี้พูดกันตรงๆก็ว่าโลกนี้มันเป็นโลกแห่งความเห็นแก่ตัว การศึกษามันไม่ถูกต้อง ยิ่งเรียนมากยิ่งรู้มากมันยิ่งเห็นแก่ตัวมาก ฉะนั้นการศึกษาสมัยปัจจุบันน่ะมันมีผลส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ไม่เหมือนการศึกษาสมัยดึกดำบรรพ์ ศึกษาเพื่อลดความเห็นแก่ตัว ทำให้คนมีความรักผู้อื่น เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายกันได้ เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นส่งเสริมความเห็นแก่ตัว มุ่งประโยชน์ของตัว มันก็เปลี่ยน มันก็เป็นเรื่องที่ต้องเปลี่ยนแน่ๆ และยิ่งทุกสิ่งทุกอย่างมันตกอยู่ภายใต้อำนาจการเมืองหรือนักการเมือง การทหารเป็นต้น การศึกษาก็ต้องคล้อยตาม แสวงหาวิชาหรืออะไรที่เป็นการประพฤติกระทำให้ได้ประโยชน์ ได้เปรียบข้างพวกตัวให้มากที่สุด มันเลยกลายเป็นการศึกษาแห่งการเอาเปรียบให้มากที่สุด ประเทศใดก็จะจัดการศึกษาของตนให้ได้ ให้ได้เปรียบประเทศอื่นให้มากที่สุด เพื่อแย่งกันเป็นเจ้าโลก การศึกษามันเลยตกเป็นทาสหรือรับใช้การเมืองหรือการทหารเป็นต้นไป คือว่าวิธีใดที่ควรจะหาความได้เปรียบให้แก่ตนหรือพวกของตนมากแหละเอาวิธีนั้นกันทั้งโลก ทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย มันจึงเป็นสิ่งที่แกว่งไปอย่างไม่มีจุดหมาย คือยิ่งเห็นแก่ตัวก็ยิ่งทำไปตามที่เห็นแก่ตัว ก็ดูสิเดี๋ยวนี้ โลกนี้กำลังเป็นอย่างไร พร้อมที่จะทำลายโลกในพริบตาเดียว
ถ้าว่าเรามีการศึกษาชนิดที่เป็นอุดมคติตามความหมายของการศึกษา มันก็จะไม่เป็นอย่างนี้ ครูเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เมื่อเร็วๆนี้การศึกษาค้นคว้าทางศัพท์นี่ พบว่าคำว่า “ครุ” นี่มีรากศัพท์มาจากเปิดประตู พบว่ารากศัพท์แปลว่าเปิดประตู น่าแปลกไปกว่าผู้นำทางวิญญาณ แต่มันเรื่องเดียวกันแหละ ถ้ามันเป็นผู้นำทางวิญญาณ มันก็คือทำการเปิดประตูนั่นเอง ให้ออกมาเสียจากคอกคือปัญหาทุกชนิด เหมือนสัตว์ที่อยู่ในคอกที่มี มืด เหม็น สกปรก เดือดร้อน เปิดประตูคอกให้ออกมาเสียจากคอกเหล่านั้น นั่นแหละคือความหมายของรากศัพท์ของคำว่า “ครู” ก็เป็นที่น่าพอใจมาก ถ้าครูทุกคนเปิดประตูทางวิญญาณให้แก่ทุกคน โลกนี้ก็จะเป็นโลกของพระศรีอริยเมตไตรยไปได้ในพริบตาเดียว
เดี๋ยวนี้การศึกษามันยังไม่เป็นอิสระ ยังเป็นทาสการเมือง ยังรับใช้การเมือง รับใช้ไอ้ประโยชน์อะไรที่เรียกว่าด่วนหรือจำเป็น มันก็ต้องเป็นไปตามนั้น เด็กๆก็มีการศึกษาที่กวัดแกว่ง ไม่มีอะไรที่น่าชื่นใจ อาตมาอยากจะพูดว่า เอากันเพียงห้าอย่างหกอย่างนี้ก็พอ สำหรับการศึกษาที่มันบริสุทธิ์
คือว่า การศึกษาที่ช่วยทำให้เด็กๆเหล่านี้
๑. เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เดี๋ยวนี้เรายังหาบุตรที่ดีของบิดามารดายากขึ้นทุกที มีแต่บุตรที่ดื้อดึง หรือบุตรที่ฆ่าพ่อฆ่าแม่ได้มากขึ้นทุกที
๒. ให้มันเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ หรือครูมันก็ไม่เป็นครูที่ดีของศิษย์ก็ได้
ทีนี้ ๓. ขอให้มันเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน นี่มันเป็นไปไม่ได้ มันยังชกต่อยกันเสมอ แล้วมันยังอยู่ในลักษณะที่เรียกว่ากัดกันอย่างฝูงสัตว์ก็ได้ อย่างการยกพวกตีกันระหว่างโรงเรียนน่ะไม่เคยมีในสมัยประวัติศาสตร์การศึกษาของประเทศไทย เพิ่งจะมีเมื่อ เมื่อเร็วๆนี้ที่ยกพวกตีกันระหว่างโรงเรียน ซึ่งมันไม่เคยมีมาแต่สมัยบรรพบุรุษ นี่เรียกว่ามันเหมือนกับฝูงสัตว์ยกพวกเข้ากัดกัน แล้วก็ในสถาบันศึกษา แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไร ความเป็นเพื่อนนะมันไม่มี นี่เราต้องการความเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน
แล้ว ๔. เราต้องการความเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ คิดดูเถอะ เดี๋ยวนี้ก็สอนกันมาก สอนแต่สอนมากกว่าอย่างอื่นนะเรื่องพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ แต่เราก็ยังไม่ได้พลเมืองที่ดีมาก หรือสูงเป็นที่พอใจ
ข้อที่ ๔ อ่ะ, ข้อที่ ๕. นี้ขอให้เป็นสาวกที่ดีของศาสนา แล้วแต่เขาจะถือศาสนาอะไร ให้ได้เป็นสาวกที่ดีของศาสนา ประพฤติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของศาสนา ศาสนาทุกศาสนามีหัวใจรวมเป็นอันเดียวกันคือทำลายความเห็นแก่ตัวของคนในโลก ของสัตว์โลก ศาสนาที่แท้ที่ถูกต้องที่ไม่ขบถ มันจะมุ่งหมายทำลายความเห็นแก่ตัวของคนในโลก แล้วคนในโลกมันก็รักกัน อย่างเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็ไม่เบียดเบียนกัน นี่เดี๋ยวนี้มันมีการขัดแย้งระหว่างศาสนา คือจะทำร้ายกันระหว่างศาสนาไปเสียอีก มันก็ใช้ไม่ได้
ทีนี้ข้อสุดท้ายข้อที่ ๖. ขอให้มีความเป็นมนุษย์ที่เต็ม เป็นมนุษย์ที่เต็ม คงจะแปลกหูท่านทั้งหลายว่าเป็นมนุษย์ที่เต็ม ที่จริงคำนี้ก็ไม่ใช่คำแปลก มันเป็นคำกล่าวที่ใช้อยู่ในระบบไอ้จริยธรรม คือพวก Ethic Ethicist บัญญัติกฎเกณฑ์ทางจริยธรรมว่า ไอ้ที่ดีที่สุดของผลที่จะได้จากจริยธรรมนั้นก็คือความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ที่จริงมันก็ยากถ้าๆๆๆตีความให้ครบถ้วน มันจะมีแต่พระอรหันต์เท่านั้นน่ะที่เต็มแห่งความเป็นมนุษย์ คือไม่ไม่พร่อง ไม่พร่องด้วยอะไร ไม่ต้องการอะไรนั่นเอง แต่เธอไม่ต้องถึงเป็นพระอรหันต์ เป็นอะไรที่รองๆ ลงมาก็ได้ เธอก็เป็นมนุษย์ที่เต็ม
อาตมาเสนอแนะไอ้ร่างหลักสูตรประถมศึกษาเมื่อเร็วๆนี้ ขอให้คำนึงถึง ๖ ประการนี้ เป็นจุดหมายปลายทาง ของการศึกษาว่า
๑. ให้ได้เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา คือเกิดมาสำหรับพ่อแม่ชื่นใจ
๒. ให้เป็นครู เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ คือครูบาอาจารย์นำไปได้ เดี๋ยวนี้มันนำไปไม่ค่อยได้
ข้อที่ ๓. เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน มันไม่ต้องมีชกต่อยกัน ไม่มียกพวกกัดกันระหว่างโรงเรียน
และข้อที่ ๔. ให้มันเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการมาก แต่เดี๋ยวนี้มันก็ยังไม่รู้ว่าชาตินั้นคืออะไร อยู่ที่ตรงไหนด้วยซ้ำไป มันยังเปะปะๆ อยู่ในเรื่องๆนี้ ต้องเรียนต้องสอนต้องอบรมกันอีกมาก
ข้อที่ ๕. ก็ให้เป็นสาวกที่ดีของศาสนาของตน เพื่อให้ไม่ ให้ศาสนาไม่เป็นหมัน ให้เป็นผู้ที่พระศาสดานำไปได้สู่จุดหมายปลายทาง เป็นสาวกที่ดีของศาสนา
และข้อที่ ๖. ให้เป็นมนุษย์ที่เต็ม
ถ้าทั้งโลกมันมีอุดมคติมุ่งหมายการศึกษาอย่างนี้แล้วจะไม่มีปัญหาใดเหลืออยู่ในโลกเลย เดี๋ยวนี้ท่านครูทั้งหลายนี่ก็รู้ว่าจะหาบุตรที่ซื่อสัตย์กตัญญูต่อบิดามารดาแท้ๆ มันก็ยิ่งยากขึ้นทุกที หาศิษย์ที่เคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์มันก็หายากเข้าทุกที หาเด็กที่มันเป็นเพื่อนกันอย่างเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็หายากขึ้นทุกที นี่มันเป็นปัญหาเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นขอให้ไปทำเสียใหม่ให้การศึกษามันมีจุดหมาย อย่าให้มันเคว้งคว้างเหมือนที่อยู่เดี๋ยวนี้ ไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร แล้วมันค่อยๆกลายเป็น เป็นทาสรับใช้ไอ้การเมือง หรือรับใช้ประโยชน์ที่ดุร้ายไปไม่ทันรู้ตัวก็ได้ อาตมาก็ต้องขออภัยจะพูดว่าการศึกษามันยังเคว้งคว้าง ไม่รู้ว่าอุดมคติจะไปที่ไหน จึงขอเสนออุดมคติ ๖ ประการอย่างที่กล่าวมาหยกๆนี้นะว่า ให้มันได้ผลชัดเจนขึ้นมาว่า เรามีเยาวชนน่ะ ของชาติน่ะ เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ เป็นสาวกที่ดีของศาสนา และข้อสุดท้ายเป็นมนุษย์ที่เต็ม เต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ดังที่จะไม่เคยนึกถึงกันเลย เรื่องความเต็มนี่มันเป็นเรื่องทางศาสนามากไป แล้วอีกอย่างหนึ่งมันก็ไม่ใช่เต็มๆอย่างที่ ที่พูดกันอยู่ในภาษาพื้นบ้าน เช่นว่า คนนี้เต็มบาท คนนี้หย่อนบาท คนนี้เกินบาท อย่างนี้ ไอ้คำว่าเต็มอย่างนี้มีความหมายต่างหาก เต็มในทางภาษาธรรมก็คือว่ามีความรู้ในเรื่องของความเป็นมนุษย์ แล้วก็เป็นมนุษย์กันอย่างถูกต้องเต็มตามความหมายของคำว่ามนุษย์ ถ้าการศึกษามันมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนชัดเจนลงไปอย่างนี้แล้ว มันก็จะ จะลดปัญหาลงได้มาก แล้วจะได้ผลคุ้มค่า ได้ผลคุ้มค่า ซึ่งจัดการศึกษานี้ก็ว่าแพงมาก เพราะฉะนั้นอาตมาขอเสนอความเห็นอย่างนี้แก่ท่านอาคันตุกะทั้งหลายว่า ถ้าอย่างไรเราจงจัดการศึกษาให้เกิดผล ๖ ประการอย่างที่ว่ามานี้
ทีนี้เหลืออีกเรื่องหนึ่งก็คือการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อตะกี้ได้มีการพูดเรื่องการปฏิบัติหน้าที่อะไร ให้ช่วยพูด ข้อนี้ก็มีความสำคัญมาก จึงขอโอกาสพูดเสียในคราวเดียวกัน มันเนื่องมาจากไอ้พวกเรานี่แหละรู้จักความหมายของคำว่าธรรมะ ธรรมะ พระธรรมน่ะ ธรรมะหรือพระธรรมน่ะน้อยเกินไป เอาอะไรๆก็จะอ้างปทานุกรมอินเดีย ปทานุกรมของลูกเด็กๆในโรงเรียนนี่ คำว่าธรรมะน่ะ ธรรมะนั้นเขาแปลว่าหน้าที่ ธรรมะ ขีด Duty ในเมืองไทยดูจะไม่ได้แปลธรรมะว่าหน้าที่ ปทานุกรมเมืองไทยจะแปลคำว่าธรรมะเป็นอย่างอื่น ก็แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ได้บอกว่าสั่งสอนอย่างไรด้วยซ้ำไป คือว่าท่านสอนเรื่องหน้าที่ แล้วคำว่าธรรมะๆนี้มันเกิดขึ้นครั้งแรกในโลกน่ะก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ก่อนศาสนาไหนๆเกิดนะ ทีนี้พอสักว่ามนุษย์มีความเจริญพอสมควร สังเกตเห็นสิ่งที่จำเป็น สิ่งที่มีค่ามากอะไรขึ้นมา คือหน้าที่น่ะ ก็เรียกว่าหน้าที่ขึ้นมา แต่มันเรียกตามภาษาโบราณในอินเดียครั้งกระนู้นนู่น ก็คือคำว่าธรรมะนั่นเอง
ธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ผู้ใดรู้เรื่องหน้าที่มากก็สอนผู้อื่น ก็พากันประพฤติตาม ค่อยเข้มข้นเข้า เข้มข้นเข้า จนเกิดเป็นลัทธิประจำหมู่ ประจำคณะ ประจำพวก จนเกิดเป็นศาสนาขึ้นมา ศาสนาก็เอาคำว่าธรรมะมาใช้คือแปลว่าหน้าที่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ธรรมะคำนั้นก็ยังคงเล็งถึงหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน หน้าที่คือต้องทำเพื่อดับทุกข์ทั้งปวง นั่นคือธรรมะ เพราะฉะนั้นเป็นอันว่าธรรมะที่เป็นภาษาสากลน่ะ ใช้ทั้งทางศาสนาและไม่ศาสนานั้นมันแปลว่าหน้าที่ เดี๋ยวนี้เราไม่รู้นี่ว่าไอ้ธรรมะคือหน้าที่ เราจึงไม่ค่อยพอใจในหน้าที่ เราหลบหลีกหน้าที่ เราเอาเปรียบหน้าที่ เอาเปรียบการงาน เอาเปรียบเวลา เอาเปรียบอะไรต่างๆ ไม่ได้พออกพอใจว่า โอ้, เมื่อทำหน้าที่นั้นน่ะนั่นคือปฏิบัติธรรมะ เมื่อครูอยู่หน้ากระดานดำน่ะ เป็นเวลาที่ปฏิบัติธรรมะของครู คือทำหน้าที่ยกดวงวิญญาณของยุวชนให้สูงขึ้น หรือทำหน้าที่เปิดประตูให้ออกมาเสียจากคอกแห่งความโง่เขลา ความทนทุกข์ทรมานต่างๆนานา ขอให้คิดจนมองเห็นว่าธรรมะคือหน้าที่ เมื่อใดปฏิบัติหน้าที่เมื่อนั้นปฏิบัติธรรมะ เมื่อใดปฏิบัติธรรมะก็คือเมื่อปฏิบัติหน้าที่นั่นเอง ที่ใดไม่มีทำ ไม่มีการทำหน้าที่ ที่นั้นไม่มีธรรมะ นี่ช่วยๆๆจำไปหน่อยเถอะว่า ที่ใดไม่มีการทำหน้าที่ ที่นั้นไม่มีธรรมะ ต่อให้ในโบสถ์ ต่อให้ในโบสถ์เลย ในโบสถ์นั่นแหละ มันมีแต่สั่นเซียมซีกับอ้อนวอนอะไรก็ไม่รู้ ในโบสถ์นั้นมันไม่มีธรรมะ ที่กลางนาที่ไถนาอยู่โครมๆนั่นน่ะมีธรรมะ ชาวนาที่ไถนาอยู่โครมๆนั่นน่ะ มันมีธรรมะของชาวนา คือมันมีการทำหน้าที่ของชาวนา เพราะฉะนั้นที่ไหนมีการทำหน้าที่ ที่นั้นมีธรรมะ และจะต้องมีกันตั้งแต่พวกเทวดาบนสวรรค์ก็ต้องทำหน้าที่ ไม่ฉะนั้นมันตาย จะเป็นราชามหากษัตริย์ก็ต้องทำหน้าที่ จะเป็นพระราชาธรรมดาหรือจะเป็นจักรพรรดิก็ตาม ต้องทำหน้าที่ ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีต้องทำหน้าที่ ทีนี้พลเมือง กรรมกร ชาวนา ชาวสวน ค้าขายต้องทำหน้าที่ ไม่ทำหน้าที่มันตาย ก็เรียกว่าธรรมะของคนเหล่านั้น ชาวนาทำนา ก็เรียกว่าธรรมะของชาวนา พ่อค้าค้าขายอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ก็เรียกว่ามีธรรมะของคนค้าขาย กรรมกรมีหน้าที่กรรมกร กรรมกรจะแจวเรือจ้าง จะถีบสามล้อ จะล้างท่อถนน จะกวาดถนนอะไรก็ตาม มันก็มีธรรมะของกรรมกร แม้แต่ว่ามันพิการ มันนั่งขอทานอยู่ มันก็มีธรรมะของคนขอทาน นี่ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่ต้องมี
ความสำคัญก็มีอยู่ว่า ถ้าทำหน้าที่แล้วมันจะรอดตัว หน้าที่ที่ทำเพื่อรอดตาย แล้วก็รอดจากความทุกข์ทั้งปวง ไม่ทำหน้าที่มันตาย ไม่ทำหน้าที่กินอาหาร ไม่ทำหน้าที่บริหารร่างกาย มันตายทั้งนั้นแหละ คนก็ตาย สัตว์ก็ตาย ต้นไม้ต้นไร่ก็ต้องตาย ถ้าไม่ทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นหน้าที่ก็คือพระเจ้าสูงสุดที่ช่วยให้คนรอด พระเจ้าไม่ช่วยคนที่ไม่ทำหน้าที่ ทีนี้ถ้าว่าทำหน้าที่ ทำหน้าที่แล้ว มันก็รอดเองโดยพระเจ้าไม่ต้องช่วยก็ได้ เพราะว่าหน้าที่มันเป็นพระเจ้าเสียเองอย่างนี้ เพราะฉะนั้นขอให้มองเห็นว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เพราะฉะนั้นเมื่อได้ทำหน้าที่อะไรสักนิดก็ขอให้พอใจๆ อิ่มอกอิ่มใจและมีความสุข เดี๋ยวนี้ไม่รู้นี่ว่าที่ทำหน้าที่อยู่นั่นคือธรรมะ ถ้ารู้มันจะพอใจ เป็นสุขเมื่อกำลังทำหน้าที่ เมื่อถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำ หรือเมื่อทำอะไรอยู่ที่ไหนก็สุดแท้แต่ ก็ทำหน้าที่นั่นน่ะ นั่นน่ะคือมีธรรมะ แล้วก็พอใจ พอใจ เคารพตัวเองได้ ก็ชื่นใจตัวเอง ก็มีความสุข เพราะว่ามีธรรมะคือสิ่งสูงสุด
เดี๋ยวนี้มันก็ทำไปอย่างที่เรียกว่าไม่ได้คำนึงถึงธรรมะ ไม่ได้คำนึงถึงหน้าที่ ถ้าหน้าที่ก็เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำเพื่อรับเงินเดือนไปวันหนึ่งๆ มันไม่ได้หน้าที่ตามอุดมคติเลย นี่มันแตกต่างกันมาก ถ้าเรารู้สึกว่าเป็นธรรมะ เราชื่นใจ ถ้าเราจะรู้สึกว่าเป็นไอ้ค่าของเงินเดือน มันก็ทำไปด้วยความจำเป็นบังคับ และก็อยากจะเอาเปรียบด้วย ถ้าการทำหน้าที่ที่ทำเพื่อเงินเดือน มันก็พร้อมที่จะเอาเปรียบ อยากจะเอาเปรียบขึ้นมา แต่การทำหน้าที่นี้เพื่อธรรมะ เพื่อพระธรรม มันก็ไม่คิดจะเอาเปรียบ มันคิดจะทำให้มากให้ดีเกินความสามารถไปเสียอีก เพราะฉะนั้นจึงมีความสุขแท้จริงเมื่อทำหน้าที่ ต้องมีสติสัมปชัญญะทำหน้าที่ และก็รู้ว่าหน้าที่นั้นคือธรรมะ เมื่อเป็นธรรมะก็รู้สึกเป็นของสูงสุด เป็นของมีเกียรติ เป็นของประเสริฐ และก็พอใจ พอพอใจมันก็เป็นสุขเท่านั้นน่ะ นี่เป็นกฎธรรมชาติ ความสุขทั้งหลายเกิดมาจากความพอใจ ถ้าพอใจเลวก็เป็นสุขอย่างเลว พอใจคดโกงก็เป็นความสุขคดโกง ถ้าพอใจบริสุทธิ์ก็ความสุขก็บริสุทธิ์และถูกต้อง พอใจมากก็เป็นสุขมาก ความสุขที่แท้จริงเกิดมาจากความพอใจในหน้าที่ที่ถูกต้อง ไอ้คนอันธพาลเขาจะคิดว่าเขามีหน้าที่ปล้นจี้ขโมย เป็นหน้าที่ของเขา ก็เอาสิ ก็เป็นธรรมะของอันธพาล หน้าที่นั้นเป็นธรรมะทั้งนั้น ถ้าคนอันธพาลปล้นจี้เอาก็เป็นหน้าที่ของอันธพาล มันก็เป็นธรรมะของคนอันธพาล เราไม่ต้องการ เราไม่เอา เราเอาแต่ธรรมะที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นขอให้สนใจคำว่าหน้าที่ หน้าที่ เป็นสิ่งสูงสุด ไม่ทำหน้าที่จะต้องตาย ถ้าไม่ตายจะอยู่อย่างเป็นทุกข์ทรมาน ไม่บริหารร่างกายให้ถูกต้อง ก็มันก็ต้องตาย แม้จะไม่ตายมันก็ยังอยู่ด้วยความทนทุกข์ทรมาน หน้าที่สำหรับรอดตายนั้นมีอยู่อย่างหนึ่ง หน้าที่สำหรับรอดจากกิเลสจากความทุกข์ก็มีอีกอย่างหนึ่ง ต้องรอดทั้งสองรอดคือรอดทั้งทางกายและรอดทั้งทางใจนี่ นั่นเรียกว่ารอด หน้าที่คือเครื่องช่วยให้รอด เทวดาก็ต้องทำ มนุษย์ก็ต้องทำ สัตว์เดรัจฉานก็ต้องทำ ต้นไม้ต้นไร่ก็ต้องทำ ทำแล้วก็เรียกว่าเป็นธรรมะของไอ้บุคคลนั้นๆ ของสัตว์นั้นๆ ถ้าครูทำหน้าที่ก็เป็นธรรมะของครู ถ้าชาวนาทำหน้าที่ก็เป็นธรรมะของชาวนา ถ้ากรรมกรทำหน้าที่ก็เป็นธรรมะของกรรมกร ถ้าขอทานทำหน้าที่ก็เป็นธรรมะของขอทาน ล้วนแต่ช่วยให้รอดทั้งนั้น ธรรมะของใครชนิดไหนก็ตาม ล้วนแต่จะช่วยบุคคลนั้นให้รอดทั้งนั้น ถ้ากรรมกรมีธรรมะของกรรมกรจริงๆ ไม่เท่าไรมันก็รอด เดี๋ยวนี้มันเป็นกรรมโกงนี่ มันโกงตัวเอง มันบูชาอบายมุข บูชากามารมณ์ แล้วอะไรจะช่วยได้ ถ้าเห็นว่าธรรมะคือหน้าที่เป็นของสูงสุด บูชาหน้าที่มันก็ไม่ไปทำอบายมุข ไม่ไปทำไอ้สิ่งที่เป็นความชั่วความบาปเหล่านั้น มันก็รอด มันก็รอดในเวลาอันสั้น
ขอให้สรุปความว่า หน้าที่ หน้าที่นั้นน่ะคือสิ่งที่ต้องรู้สึก รู้จักว่าเป็นธรรมะ พอจะทำหน้าที่อะไรก็ขอให้มีสติสัมปชัญญะ ทำให้ดีแล้วก็พอใจว่าได้ทำหน้าที่ แล้วก็เป็นสุข ขอเวลาจาระไนสักนิดหนึ่งว่า แม้แต่ว่าพอตื่นนอนขึ้นมา หน้าที่อะไรล่ะ ล้างหน้า ก็มีสติสัมปชัญญะเสียก่อนที่จะล้างหน้าน่ะ ว่ามันเป็นการทำหน้าที่ที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เป็นการปฏิบัติธรรมะในการล้างหน้านั่นเอง และก็พอใจยินดีในการล้างหน้า ล้างหน้าอย่างเป็นสุขจนตลอดเวลาล้างหน้า มันก็เลยได้รับความสุขแท้จริงตลอดเวลาที่ล้างหน้า เดี๋ยวนี้คนมันไม่มีสติไม่มีจิตใจอยู่กับเรื่องล้างหน้า จิตใจมันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันก็ล้างหน้าลกๆๆๆ พอให้เสร็จๆ โดยเวลาที่รีบร้อน ไม่มีการพิจารณาจนเกิดความพอใจในการล้างหน้า มันก็ไม่ได้รับประโยชน์อันนี้ ทีนี้ถ้าว่ามันอาบน้ำ มันก็ทำในใจเสียว่ามันเป็นหน้าที่ที่ว่าจะต้องบริหารกาย เป็นธรรมะอย่างหนึ่งด้วย เป็นธรรมะอย่างหนึ่งด้วย แม้การอาบน้ำมันก็ทำด้วยความพอใจ ทำด้วยความเคารพ แล้วก็เป็นสุข อย่าลืมคำว่าเป็นสุขๆ พอรู้สึกว่าได้ทำธรรมะ มีธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ มันก็เป็นสุข
จะขอพูดเพื่อประโยชน์ เพื่อยึดความจำกันง่ายๆว่าแม้แต่จะถ่ายอุจจาระ จะถ่ายปัสสาวะ ก็ขอให้รู้เสียเถิดว่าเป็นการปฏิบัติธรรมะ ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะนั้นเป็นการปฏิบัติธรรมะ คือหน้าที่ หน้าที่โดยแท้จริง หน้าที่โดยตรง ทำด้วยสติสัมปชัญญะ ทำให้ดีที่สุด อย่าทำเลิกๆลักๆ ทำอย่างไม่ๆๆอยากจะทำ ไม่เต็มใจทำ จิตใจไม่อยากจะทำ อย่างนั้นน่ะมันไม่ได้ ไม่ได้ประโยชน์อะไร บางทีทำเลวเกินไปจนเกิดโรคก็ได้ ถ้าถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะด้วยความคิดว่าเป็นหน้าที่ คือเป็นธรรมะที่มนุษย์จะต้องทำ ก็ทำอย่างดี มันก็มีความสุขมีความพอใจตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะนั่นเอง แม้จะไปอาบน้ำก็อาบอย่างดีที่สุด จะไปแต่งตัวก็แต่งตัวอย่างรู้ว่าเป็นหน้าที่ ทำดีที่สุด จะไปรับประทานอาหารก็ทำอย่างดีที่สุด จะลงบันไดไปทำงานก็ทุกก้าวย่างมีแต่ความอิ่มใจ พอใจว่าได้ปฏิบัติธรรมะ เมื่อปฏิบัติหน้าที่อยู่ในห้องปฏิบัติงานก็พอใจอิ่มใจและเป็นสุขจนกว่าจะเลิกงานกว่าจะกลับบ้าน ทำอย่างเดียวกันทุกอย่างกว่าจะถึงเวลานอน ก่อนจะหลับคิดบัญชีเสียทีว่าวันนี้ได้ทำอะไรบ้าง มันก็เต็มไปด้วยความถูกต้อง มีหน้าที่ที่ถูกต้อง เป็นหน้าที่ที่ถูกต้อง แล้วก็พอใจๆ ทุกเรื่องมาๆจนบัดนี้ เคารพตัวเองว่ามีแต่ธรรมะ ก็ยกมือไหว้ตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองคง คงจะเป็นคำแปลก เพราะไม่เคยทำกัน แต่เป็นคำสอนที่ท่านสอนกันมาแต่ดึกดำบรรพ์ ถ้ามันดีจนน่าเคารพและมันก็เคารพได้ อะไรที่เป็นประโยชน์ที่เป็นสิ่งมีค่าเราก็เคารพทั้งนั้น แล้วทำไมไม่เคารพหน้าที่ล่ะ หน้าที่ที่ทำมาดีตลอด ๒๔ ชั่วโมงนี่ แม้แต่นอนหลับก็หลับให้ดี แม้จะตื่นก็ตื่นให้ดี ให้ติดต่อกันอยู่ด้วยการปฏิบัติหน้าที่คือธรรมะ ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไร ก็เป็นสวรรค์เมื่อนั้น สวรรค์ที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว ไอ้สวรรค์ที่รอต่อตายแล้วนั้นมันไม่แน่ มันยังไม่แน่ เดี๋ยวนี้มันแน่แล้ว นี่มันชื่นอกชื่นใจ ในขณะที่ยกมือไหว้ตัวเองได้มันเป็นสวรรค์ที่แท้จริง
ทีนี้ในทางตรงกันข้าม ถ้าใคร่ครวญดูแล้ว โอ้, มีแต่เหลวไหลทั้งนั้น ทั้งวันๆอบายมุข มันก็เกลียดน้ำหน้าตัวเองมันเป็นนรกทันที ผู้ที่มองดูตัวเองแล้วเกลียดน้ำหน้าตัวเองนั่นคือตกนรกที่นี่และทันที นรกจริงกว่านรก นรกจริงกว่านรกไหนๆหมด นรกที่ตายแล้วก็ไม่สำคัญเท่านรกที่นี่เพราะว่าเกลียดตัวเอง ไม่อาจจะเคารพตัวเอง ติเตียนตัวเอง นี่ก็เป็นนรก นี่หน้าที่ ขอให้ทำหน้าที่ตลอดเวลาและเคารพในหน้าที่ บูชาหน้าที่ เข้าไปในห้องทำงานพนมมือไหว้ห้องทำงานเสียทีก็ได้ ก็ยังดี มันจะได้เคารพในการงานที่จะทำในห้องทำงานนั้น ถ้าชาวนาเอาวัว เอาควาย เอาไถนาไปถึงนาแล้ว พนมมือให้ควายให้ไถเสียสักทีก็ยังดี จะได้ทำนาด้วยจิตใจที่ประกอบไปด้วยธรรมะ แล้วก็พอใจ แล้วก็เป็นสุข เป็นสุขเมื่อทำหน้าที่
ทีนี้ก็เหลือแต่ว่ามันเป็นสุขที่แท้จริง ดูเถิดมันเป็นสุขที่แท้จริง ไม่กัดเจ้าของ ไอ้ความเพลิดเพลินที่เอาเงินเดือนไปซื้อจนเงินเดือนจะไม่พอใช้นั่นเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวงแล้วมันกัดเจ้าของ มันกัดเจ้าของให้เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น เพราะไปบูชาไอ้ความเพลิดเพลิน สวยงาม เอร็ดอร่อย สนุกสนานที่หลอกลวง นี่เปรียบเทียบว่าถ้ามันเป็นความสุขแท้จริง ไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียวหรือสตางค์เดียว ถ้าเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง มันก็ใช้เงินมากจน จนเงินเดือนไม่พอใช้ จนทำหนี้สิน จนถึงกับต้องคดโกง ความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินเพราะมันอิ่มอยู่ด้วยความถูกต้อง นับถือตัวเอง อิ่มอยู่ตลอดเวลา แล้วมันจะต้องไปหาความเพลิดเพลินที่หลอกลวงที่ไหนเล่า เมื่อมันมีความพอใจยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา มันไม่ต้องไปอาบอบนวดให้โง่ เพราะมันไม่ต้องใช้เงินเลย ความถูกต้องที่แท้จริง ถ้ามันเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวงมันก็ใช้เงินไม่รู้จักพอ นี่ขอให้เรารู้จักคำว่าความสุขที่แท้จริงกับความเพลิดเพลินที่หลอกลวง อย่าเอามาปนกัน อย่าเอาความเพลิดเพลินที่หลอกลวงมาเป็นความสุข ซึ่งเป็นปัญหาคาราคาซังอยู่ในปัจจุบันนี้ เรื่องคนเงินเดือนไม่พอใช้ เท่าไรก็ไม่พอใช้ มันไปทำอบายมุขหมด จนเงินไม่พอใช้ จนเดือดร้อน
เอาแล้วสรุปความว่าหน้าที่ๆนั้นคือธรรมะ เมื่อใดปฏิบัติธรรมะ เมื่อนั้นคือปฏิบัติหน้าที่ เมื่อใดปฏิบัติหน้าที่เมื่อนั้นได้มีธรรมะของมนุษย์ ซึ่งมีมากมากพอแล้วทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วก็ไม่ต้องใช้เงินซื้อความสุขที่แท้จริง มีตำเงิน ทำให้เงินเหลือ ทำให้เงินเหลือ มันอิ่มไปด้วยความสุข มันไม่รู้จะเอาเงินไปใช้ซื้อหาความเพลิดเพลินที่หลอกลวงที่ไหน เงินมันก็เหลือเพราะความสุขที่แท้จริง เรื่องเงินมันก็ไม่พอใช้เพราะความเพลิดเพลินที่หลอกลวง นี่ขอให้เราแยกออกมาให้ชัดว่าไอ้ความสุขที่แท้จริงได้มาจากการทำหน้าที่ มีธรรมะในการทำหน้าที่จนยกมือไหว้ตัวเองได้
เป็นอันว่าอาตมาได้ต้อนรับท่านทั้งหลายด้วยธรรมปฏิสันถาร ๒ เรื่อง คือเรื่องการศึกษาที่แท้จริงที่ครูจะบันดาลให้ได้ คือให้เยาวชนของเราเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ เป็นสาวกที่ดีของศาสนา และก็เป็นมนุษย์ที่เต็ม ทีนี้ทั้งหมดนี้สำเร็จอยู่ที่หน้าที่ ถ้าครูทำหน้าที่ บิดามารดาผู้ปกครองทำหน้าที่ เยาวชนเด็กเล็กทั้งหลายทำหน้าที่ ความหวังอันนี้ก็จะสำเร็จประโยชน์ และขอให้รู้จักค่าของการทำหน้าที่ว่ามันๆๆเป็นเหมือนกับพระเจ้าที่จะช่วยให้เราให้รอด หน้าที่เหมือนกับพระเจ้าช่วยให้เราให้รอด พระเจ้าอื่นไม่จริง การทำหน้าที่นี่จริงยิ่งกว่าพระเจ้าชนิดไหนหมด พระเจ้าคือหน้าที่ หน้าที่คือพระเจ้า แล้วก็ช่วยได้จริง
หวังว่าเราจะได้คิดพิจารณาเรื่องนี้กันให้ดีๆ แล้วอาจจะแก้ปัญหาคาราคาซัง การศึกษาที่มีอุดมคติเคว้งคว้างนั้นน่ะกันเสียใหม่ให้ถูกต้อง ให้มันตรงจุดที่ควรจะประพฤติ ควรจะกระทำ เพราะว่าเราได้ทำหน้าที่ แล้วก็ระลึกว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ มีธรรมะของครูอยู่ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง ก็จะเป็นการประเสริฐที่สุด ไม่ตกเป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ แต่ว่าได้ปฏิบัติในการเปิดประตูทางวิญญาณหรือว่ายกสถานะทางวิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย ถ้าทำอย่างนี้มันเป็นทำอย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านทำ เพราะฉะนั้นครูทั้งหลายไม่ได้ ไม่ได้สังกัดอยู่กับกระทรวงการศึกษาหรืออะไรทำนองนั้น แต่ครูทั้งหลายในโลกสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้าผู้ต้องการจะช่วยโลก ช่วยสัตว์โลก เพราะฉะนั้นเราจงนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าสังกัด เป็นต้นสังกัดของพวกครู เป็นบรมครูที่จะสอนเรื่องหน้าที่ให้สัตว์ทั้งหลายเอาตัวรอด เดี๋ยวนี้อาตมาก็ไม่มีอะไรจะต้อนรับท่านทั้งหลายที่เป็นวัตถุสิ่งของ ก็ทำอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าคือต้อนรับด้วยธรรมปฏิสันถาร พูดเรื่องธรรมะให้ฟังให้สำเร็จประโยชน์ แล้วยังเป็นการดีที่ว่าเราได้มานั่งกลางดิน ขอได้โปรดจำ เป็นที่ระลึกติดไปด้วยว่าได้มานั่งกลางดิน ที่นี่ได้นั่งกลางดิน พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็กลางดิน พระพุทธเจ้าสอนก็กลางดิน พระพุทธเจ้าอยู่ก็กลางดิน กุฏิพื้นดิน พระพุทธเจ้านิพพานคือตายก็กลางดินนั้น ฉะนั้นอย่ารังเกียจดิน นั่งลงที่ดิน เอามือลูบดินด้วยความเคารพ แล้วก็จะได้บุญเปล่าๆโดยไม่ต้องลงทุนอะไร เป็นพุทธานุสติอย่างยิ่ง ด้วยการนั่งลงไปกลางดินซึ่งเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ สั่งสอนและอยู่ในนิพพานของพระพุทธเจ้า ดินนี่เป็นที่รองรับสิ่งทั้งปวงเหมือนกับธรรมะเป็นที่รองรับสิ่งทั้งปวง แผ่นดินเป็นสัญลักษณ์ของธรรมะเป็นที่รองรับชีวิตทั้งปวงแต่ฝ่ายวัตถุ ธรรมะเป็นที่รองรับชีวิตทั้งปวงแต่ฝ่ายจิตใจ ขอให้มีแผ่นดินเป็นที่ตั้งที่อาศัยอย่างดีที่สุดทั้งทางฝ่ายร่างกายและจิตใจ ก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา
อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง ว่าเรามีอุดมคติร่วมกันในการเป็นครู อาตมาก็เป็นครู ขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า ทำงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง เราได้พบกันในฐานะที่มีอาชีพร่วมกัน แล้วก็ขอให้เป็นอาชีพที่เป็นเจ้าหนี้ คือมีประโยชน์ที่ให้ไปเหนือกว่าประโยชน์ที่ได้รับ แล้วก็จะยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วจงมีความสุขสวัสดีงอกงามก้าวหน้าในหน้าที่อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย.