แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับจริยธรรมทั้งหลาย ก่อนอื่นทั้งหมด อาตมาก็ขอแสดงความยินดี ในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือ ในลักษณะศึกษาหารือ เพื่อจะดำเนินกิจการเกี่ยวกับจริยธรรม เดี๋ยวนี้ คงจะแปลกตาบ้างที่ว่าเรามานั่งต่างดิน เข้าใจว่าไม่ค่อยมีที่ไหนที่แห่งที่ว่าผู้ฟังจะนั่งกลางดิน แต่เราถือเป็นลักษณะ หรือเป็นสัญลักษณ์พิเศษอย่างหนึ่งในการที่นั่งกลางดินอาจเพราะว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้ก็นั่งกลางดิน สอนก็นั่งกลางดิน อยู่ก็อยู่กลางดินนิพพานก็นิพพานกลางดิน ดินมีความหมายมากอย่างนี้ สำหรับพุทธบริษัท ถ้าเราจะเกี่ยวข้องกับดิน กันให้ถูกวิธีก็คงจะมีประโยชน์มาก อย่างน้อยที่สุดมันก็มีว่าเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ มันก็ง่ายที่จะรู้เรื่องของธรรมชาติ ธรรมะทั้งหลายเป็นเรื่องของธรรมชาติ แล้วก็เกี่ยวข้องกับแผ่นดินซึ่งเป็นธรรมชาตินี่ ให้มากมันก็ง่ายที่จะรู้ธรรมะ ถ้ามีจิตใจ ละเอียดลึกซึ้งแล้วจะรู้สึกได้เองว่ามีผลดีกว่าจะพูดกันในตึก บนตึกราคาล้าน ๆ อย่างที่เขาทำกันโดยมาก เดี๋ยวนี้เรามานั่งกลางดิน เพราะถึงที่สุดแห่งธรรมชาติ แม้จะว่าอยู่ต่ำ อยู่ต่ำ มันก็ต่ำอย่างมีความหมาย คือเป็นพื้นฐานรองรับสิ่งทั้งปวง ถ้าเราไม่มีแผ่นดินมันก็ไม่มีอะไรจะตั้งอยู่ได้ พระธรรมนี้ก็เปรียบเสมือนแผ่นดิน เป็นที่รองรับชีวิตคือสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เราเรียกว่า แผ่นดินศธรรม(นาทีที่ 0:08:05.6)ก็ได้เป็นคู่กับแผ่นดินธรรมชาติธรรมดาอย่างนี้ ถ้าเล็งเอาความหมายนี้ มันก็ช่วยได้มาก ที่ว่าจะพยายามให้สำเร็จประโยชน์ในการใช้ธรรมะให้เป็นรากฐานให้เป็นพื้นฐานเป็นที่ตั้งแห่งสิ่งทั้งปวงเหมือนกับแผ่นดิน เราต้องการความเจริญแต่ก็ไม่รู้ความเจริญนั่นมันตั้งรากฐานอยู่บนอะไร แต่ความเจริญก็กลายเป็นความวินาศ อย่างที่ทั่วๆ ไปในโลกเวลานี้ มีการศึกษาชนิดแบบที่ทำให้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวตนของตน ตัวกูของกู หนักเข้ามันก็นำไปสู่ความวินาศ ในการแข่งขันแย่งชิง นั่นแหละ ทำลายล้างกันในที่สุด เพราะว่าการศึกษาไม่ถูกหลักพื้นฐานของธรรมะ เป็นการศึกษาที่ทำให้เห็นแก่ตัวยิ่งศึกษามากยิ่งเห็นแก่ตัวมาก เรียนแต่หนังสือ เรียนแต่วิชาชีพ และก็ไม่ได้เรียนธรรมะ ที่ว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร มันก็รู้แต่หนังสือกับวิชาชีพ ส่วนที่จะเป็นมนุษย์เป็นอย่างไรให้ถูกต้องและมันก็ไม่มี และจึงมีแต่คนที่แก่กล้าสามารถในเรื่องหนังสือในเรื่องวิชาชีพ ในเรื่องเทคโนโลยีเรื่องไรก็ตาม แต่มันไม่เป็นเรื่องเป็นธรรมะที่บอกว่าเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร ทำไมเพื่อประโยชน์อะไร ในที่สุดมันก็ใช้วิชาความรู้ความสามารถนั้น สนองกิเลส สนองความต้องการของกิเลส ให้ชีวิตทั้งหมดก็เป็นไปตามความต้องการของกิเลสมันก็นำไปสู่การเบียดเบียนกันในที่สุด ก็มีแต่ความเจริญ ความเบียดเบียน เบียดเบียนตนเองให้มากกว่าเดิม เบียดเบียนผู้อื่นให้มากกว่า เบียดเบียนโลกทั้งโลกให้มากกว่าเดิม มีปัญหายุ่งยากมากกว่าเดิม เผชิญทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างนี้เรียกว่ามนุษย์ประสบความล้มเหลวในการศึกษาเพราะไม่ทำโลกนี้มีสันติภาพได้ ยามสงครามก็เดือดร้อนเหลือแสน ยามที่เรียกกันว่าสงบมันก็อยู่กันด้วยความหวาดกลัวและความระแวง ด้วยการเตรียมสงครามอีกนั่นเอง นั่นการศึกษานี่มันไม่ถูกต้องตามเหตุผลของธรรมชาติ ซึ่งต้องการให้อยู่กันอย่างสงบ ซึ่งถ้าเราพูดว่าธรรมชาติ ๆ ไปดูเถอะ ไปดูที่ไหนก็เถอะถ้ามันยังอยู่ตามธรรมชาติมันก็สงบสุขๆ ทั้งนั่นเลย พอมนุษย์ ไปเกี่ยวข้องเข้ามันก็สูญเสียความสงบสุข เปลี่ยนไปในทางความวุ่นวาย ที่เรียกว่าวัฒนะ พัฒนา เจริญ มันสร้างความวุ่นวายที่ไม่เคยมี ขึ้นมาให้ ถ้ามันไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันก็สร้างไปในทางที่ยุ่งยากลำบากเปล่าๆ ถ้ามันรู้ว่าเกิดมาทำไมมันก็ใช้วิชาการ วิทยาการที่มีอยู่ทำเพื่อให้เกิดความสงบสุข เดี๋ยวนี้มันทำเพื่อสนองกิเลสตัณหาที่เรียกว่าความเจริญนั่นแหละ ไปดูเอาเองก็แล้วกัน เจริญด้วยถนนหนทางนั่น เจริญด้วยไฟฟ้านั่น เกี่ยวกับไฟฟ้า เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์เทคโนโลยีอะไรต่าง ๆ แต่มันก็ไม่รู้ไปตามทางทิศไหน มันก็ปล่อยตามความพอใจของกิเลส มันก็มีแต่สร้างเรื่องความยุ่ง ไม่ได้เป็นไปเพื่อความสงบสุข นี่ก็ผิดกันแล้วสวนทางกันเสียแล้ว กับคำว่าจริยธรรม จริยะ แปลว่าควรประพฤติ พึงประพฤติหรือต้องประพฤติ จริยธรรมควรประพฤติหรือประพฤติให้เกิดความสงบสุข ถ้ามันไม่เกิดความสงบสุขมันก็ไม่ใช่จริยธรรม มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่เรามันมีอวิชชา มีความโง่ มีความหลง มันก็ไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วก็เหมือนๆ กันทั้งโลก เพราะว่าทุกคนมันมีกิเลส ใครก้าวหน้าทางกิเลส ไอ้คนที่เหลือจากนั้นก็เดิมตาม เพราะว่ามีกิเลสด้วยเหมือนกัน กิเลสเป็นลูกแพร้ว (นาทีที่ 0:13:34.1)พ่วงเวลาพ่วงหางไป ไอ้ที่มันมีความเจริญก้าวหน้านั่น นั่นมันก็ทำตัวเป็นผู้นำ ไอ้ที่ยังด้อยพัฒนาก็ทำตัวเป็นผู้ตาม แต่แล้วมันก็ไม่ผิดแปลกแตกต่างกัน คือมันนำไปสู่ความวุ่นวาย เช่นว่า ยิ่งเจริญยิ่งวุ่นวาย ยิ่งเจริญยิ่งวุ่นวาย น่าเสียดายเรี่ยวแรงเงินทองข้าวของเวลาอะไรต่าง ๆ ที่เสียสละไปนี่ มันกลายเป็นเพื่อเสียสละเพื่อได้มาซึ่งความวุ่นวาย ขอให้สนใจมองถึงส่วนลึกอย่างนี่ จึงจะเรียกว่ามองเห็นรากฐาน เห็นแผ่นดิน ที่เป็นที่ตั้งแห่งสิ่งทั้งปวง ธรรมะเป็นเหมือนแผ่นดิน เป็นที่ตั้งของสิ่งทั้งปวง ธรรมะจึงเป็นเสมือนพื้นฐานเป็นรากฐานของสิ่งทั้งปวงที่จะต้องรู้จัก ที่จะต้องทำให้ถูกต้องถ้ามันผิดในส่วนนี้แล้วมันก็ผิดหมด ผิดจนมันไม่เป็นรากฐาน เมื่อไม่เป็นรากฐานก็เท่ากับว่าไม่มีแผ่นดินอยู่ เราคิดดูว่าไม่มีแผ่นดินจะเหยียบจะยืนจะนั่งจะนอนจะเป็นอย่างไร จึงควรจะสนใจ ในถึงสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ในฐานะที่เป็นรากฐาน เป็นรากฐานตรงที่มีมันมีความถูกต้อง ถ้าเป็นธรรมะจริงมันก็มีความถูกต้อง สำหรับจะเป็นไปเพื่อไม่มีความทุกข์ ปราศจากธรรมะ ก็คือปราศจากความถูกต้อง นั่นมีเท่านั่นเอง ขอให้ถือ บทนิยามท่องคำว่าธรรมะไว้เป็นหลักในชั้นแรกก่อน ธรรมะ คืออะไร ตอบ ธรรมะ คือระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ไม่ว่าในทางส่วนตัวหรือในทางสังคม ช่วยจำให้หมดนี้แหละ ธรรมะคือระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ทั้งในส่วนตนเองและในส่วนสังคมเอามาทำ คำธรรมะมีความหมายอย่างนี่ โดยพยัญชนะมันมีความหมายอย่างนี่โดยตัวหนังสือ ที่ว่าโดยการปฏิบัติมันหมายถึงการทำหน้าที่ให้ประสบผลอย่างนั้น คือการทำหน้าที่ให้ประสบผลอย่างนั้นน่ะคือธรรมะในส่วนที่เป็นตัวการปฏิบัติ ในเมื่อมีการปฏิบัติเพื่อความถูกต้อง แก่ความเป็นมนุษย์ของเราทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อสังคม เมื่อผลธรรมะ ธรรมะที่เป็นผลมันก็จะเกิดขึ้น คือความสงบสุข มีธรรมะเป็นรากฐานเป็นพื้นฐานงอกงามออกมาเป็นความสงบสุข สมกับที่เป็นมนุษย์ ไม่ต้องละอายสัตว์เดรัจฉาน เดี๋ยวนี้มนุษย์มันอยู่ในสภาพที่น่าละอายสัตว์เดรัจฉานมากนัก คือมนุษย์ทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำมากเกินไป สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องทำอะไรที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ มันจึงไม่มีความยุ่งยากลำบาก มันจึงไม่ปวดหัว นอนไม่หลับ มันจึงไม่เป็นโรคประสาท เป็นบ้าเหมือนกับมนุษย์ ที่เหลือจะประมาณได้ว่า โรคประสาท เป็นโรคจิต เป็นโรควิกลจริตกันมากมายอันตรายทำไมสัตว์เดรัจฉานมันไม่มี ทางทนทุกข์อย่างนี้ไม่มีในสัตว์เดรัจฉาน แต่มีในหมู่มนุษย์ ท่านคอยสังเกตดูเถอะ แม้ว่าสุนัข วัวควายช้าง ม้าอะไรมันไม่มีปัญหาเรื่องปวดหัว หรือโรคเป็นประสาท โรคเส้นประสาท ผิดระบบยุ่งยากจนเป็นบ้า มนุษย์นี่ไม่ทันไรโรงพยาบาลบ้าจะไม่มีใส่ จนต้องสร้างโรงพยาบาลบ้าเพิ่มขึ้นๆ ตามสถิติที่เขารายงานมันก็เป็นอย่างนั่นอยู่แล้วในทุกวันนี้ นี่เรียกว่ามันอยู่ในสภาพที่น่าละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน นึกเสียว่ามนุษย์มันคิดได้ และมนุษย์มันสอนกันได้และมนุษย์มันก้าวหน้าเร็ว แต่มันก้าวหน้าผิดโดยไม่มีธรรมะ ไม่มีจริยธรรมนั่นเอง ถ้ามันมีจริยธรรม คือธรรมที่ควรประพฤติละก็มันไม่เป็นอย่างนั่นมันจะดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน มันจะเยาะเย้ยสัตว์เดรัจฉานได้ว่าต่ำกว่า เลวกว่า และด้วยประการทั้งปวง เดี๋ยวนี้มนุษย์ต้องเป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตให้สัตว์เดรัจฉานดูมากขึ้น ๆ มันก็ควรจะนึกบ้างแล้วก็ดำเนินสายงานการศึกษาให้มันถูกต้อง ให้มันมีผลเป็นความสงบสุข สมกับคำว่ามนุษย์คือ สัตว์ที่มีจิตใจสูง พูดไปแล้วมันก็จะว่าหยาบคาย คือมนุษย์มีความคิดนึกจะคดโกงจะคอรัปชั่นจะอะไรต่างๆพิเศษ มากมายซึ่งสัตว์เดรัจฉานคิดไม่เป็น นี่จึงดูเรื่องอาชญากรรม อาชญากรอะไรต่างๆ มันมีอยู่ในบ้านเมืองเวลานี้ มันเป็นความคิดที่เก่งมาก ที่จะไปก่ออาชญากรรมนั้น ๆ ความคิดอย่างนั้น สัตว์คิดไม่เป็น คิดไม่ได้ มันสมองมันน้อย เรียนกันไม่ได้ มันถ่ายทอดกันไม่ได้ แต่แล้วมันก็ยังอยู่ด้วยความปกติสุข เหมือนเหมือนกับที่หลายพันปีมาแล้ว หรือหลายหมื่นปีมาแล้ว สัตว์เดรัจฉานไม่ก้าวหน้าในทางนี้ มนุษย์ก้าวหน้าในทางนี้ เพิ่มโรงพยาบาลประสาท เพิ่มคุก เพิ่มเรือนจำ เพิ่มปัญหาที่น่าทุเรศเต็มไปหมดนะ ในกรุงเทพดูมันมีปัญหาน่าทุเรศอะไรบ้าง มันมีอะไรดีที่อยู่ในสภาพที่น่าเวทนา สงสารไม่เหมาะสมเลย มันมีอะไรบ้างก็ลองคิดดู นี่คือผลการศึกษามันเดินไปผิดทาง ไม่ได้เป็นไปเพื่อความถูกต้องธรรมะ ถูกต้องแก่วิวัฒนาการของมนุษย์ทุกขั้นทุกตอน แก้ปัญหาทั้งหมดทั้งหลายได้สิ้น และก็อยู่กันเป็นผาสุก การศึกษาประเทศไทย ก็เดินตามก้นการศึกษาของพวกฝรั่งที่ก้าวหน้า แล้วก็ดูพวกฝรั่งเองที่มันก้าวหน้า ที่มันนำหน้ามันได้รับผลอย่างไร เป็นความสงบสุขสมกับความหมายของคำว่ามนุษย์หรือไม่ ก็ลองสังเกตดูให้ดีๆ อย่าให้เป็นอะไร เป็นขี้ข้าทางสติปัญญา เป็นทาสทางสติปัญญากับพวกฝรั่งมากเกินไป อะไรๆ ก็ขอให้มันถูกต้องไม่ใช่ว่าจะต้องทำตามฝรั่ง หรือไปตามชาติที่พัฒนาก้าวหน้ากว่า ถ้าทำตามนั้นมันก็จะได้อย่างนั้น ได้อย่างนั้นก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น มันก็ยังเต็มไปด้วยคุกตะราง หรือโรงพยาบาลบ้า โรงพยาบาลประสาทมากอยู่เหมือนกัน นี่มันไม่มีจริยธรรม ขอย้ำคำว่าจริยธรรม จริยะ แปลว่าพึงประพฤติ ควรประพฤติ ต้องประพฤติ จริยธรรมคือธรรมที่ต้องประพฤติหรือควรประพฤติหมายความว่าประพฤติแล้วนำมาซึ่งความสงบสุข สมกับคำว่าเป็นมนุษย์เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสูง เป็นเทือกเขาเหล่ากอของคนที่มีจิตใจสูง เรามาพิจารณากันถึงคำว่า จริยธรรม คือธรรมะที่ควรประพฤติ พิจารณากันถึงคำว่าธรรมก่อน มันเป็นคำยืน เป็นคำหลากธรรม(นาทีที่ 0:23:17.9) จริยธรรมแปลว่าธรรมที่ควรประพฤติ คำว่าธรรม ธรรมะนี้ ข้าเชื่อว่าครูบาอาจารย์น้อยคนนักที่จะได้ยินได้ฟังว่า คำคำนี้ ภาษาอินเดียโบราณ คำนี้ ธรรมนี่แปลว่าหน้าที่ คำว่าธรรม ธรรมะนี่แปลว่าหน้าที่ มนุษย์ป่าเถื่อน สมัยนู้นก่อนที่จะเป็นมนุษย์ ยังไม่เป็นมนุษย์หรือเริ่มเป็นมนุษย์พอเป็นมนุษย์พอสมควร พอได้สังเกตเห็นสิ่ง ๆ หนึ่งคือสิ่งที่เป็นหน้าที่ และเค้ามองเห็นว่าเป็นหน้าที่และยังเชื่อว่าธรรม ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ แล้วแต่ ปะทะอินเดียแบบไหน(นาทีที่ 0:24:04) ที่เป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ เรียกว่าในภาษาไทยเราก็ว่าหน้าที่ ในภาษาอินเดียโบรงโบราณว่าธรรม ธรรมะ แปลว่าหน้าที่เราก็สอนธรรมะนี้กันเรื่อย ๆ มา สอนหน้าที่ดีขึ้น สอนหน้าที่ดีขึ้นกว้างขวางขึ้น กระทั่งสอนหน้าที่สูงสุด บรรลุมรรคผลนิพพาน อย่างพุทธศาสนา นี่ มันหน้าที่ชั้นสูงสุด หน้าที่ชั้นทั่วไปก็รวมอยู่ในคำเดียวกัน อะไรเป็นหน้าที่ละก็เรียกว่าธรรมะหมด หน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด คำว่ารอดเป็นคำสำคัญคู่กันมากับความคิดนึกของมนุษย์แต่ยุคดึกดำบรรพ์มันเพื่อความรอดมันต้องการความรอด รอดอยู่สองชั้น คือชั้นแรกก็คือรอดตาย นี่แหละ ต้องทำทุกอย่างเพื่อรอดตาย ชั้นที่สอง ต้องรอดจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา คือ ความทุกข์ หน้าที่จึงมีเพื่อรอดตาย และเพื่อดับทุกข์ นั้นคือหน้าที่ ถ้าไม่ทำหน้าที่มันก็ต้องตาย ต้นไม้ ต้นไร่เหล่านี้ลองไม่ทำหน้าที่ตามที่ควรทำ มันก็ตาย มันก็ยืนต้นตาย มันไม่กินอาหารมันไม่ปรุงอาหารมันไม่ถ่ายเทอากาศ มันไม่ทำหน้าที่มันก็ต้องตายสัตว์เดรัจฉานไม่ทำหน้าที่มันก็ต้องตาย มนุษย์ไม่ทำหน้าที่มันก็ต้องตาย ต่อให้เทวดาถ้าไม่ทำหน้าที่เทวดามันก็ต้องตาย ฉะนั้นหน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด ครั้นรอดอยู่แล้วก็ช่วยให้พ้นจากความทุกข์ที่ไม่พึงปรารถนา และถ้าหมดทุกข์โดยประการทั้งปวง เราเรียกว่าภาวะของพระนิพพาน นี่ หน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด หน้าที่คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต เมื่อสิ่งที่มีชีวิตทำหน้าที่แล้วมันรอด นี่มันเห็นกันชัดๆ มันเห็นยิ่งกว่าเห็น หน้าที่มันช่วยให้รอด ในชั้นแรกคือรอดตาย ในชั้นที่สองคือรอดจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาได้แก่ความทุกข์ คือปัญหาใดๆ ก็ตามที่ไม่พึงปรารถนา ถ้าทำหน้าที่แล้วมันรอดจากปัญหาเหล่านั้น จงรักหน้าที่ จงบูชาหน้าที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้รอด ในความหมายเดียวกันกับคำว่าธรรมะ ธรรมะ แปลว่าผู้ที่ แปลว่าสิ่งที่จะส่งผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกอยู่ในกองทุกข์ ในความชั่ว ในความผิด ก็คือหน้าที่นั่นเอง ลองไม่ทำหน้าที่ดูเถอะ ใครจะช่วยได้ ลองไม่ทำหน้าที่ไม่มีพระเจ้าไหนจะช่วยได้ ให้พระเจ้าทั้งหมด ในสากลจักรวาลมาช่วยระดมมาช่วยมันช่วยไม่ได้ ช่วยคนที่ไม่ทำหน้าที่มันช่วยไม่ได้ถ้าหากว่าเค้าทำหน้าที่หน้าที่มันก็ช่วยให้เค้ารอดได้ ฉะนั้น หน้าที่ หน้าที่คือสิ่งสูงสุดของสิ่งที่มีชีวิต เราจึงจะต้องสนใจ ในสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ นี่คือคำว่าธรรมะ แปลว่าหน้าที่ ที่นี่คำว่าจริยะ จริยะ แปลว่าควรประพฤติ หรือพึงประพฤติ เพื่อให้มันชัดลงไป ต่อความหมายของคำว่าธรรมะหน้าที่ที่จะควรประพฤติที่ต้องประพฤติก็เลยสมบูรณ์ เรียนเรื่องจริยธรรมก็คือเรียนเรื่องหน้าที่ ที่จะต้องประพฤติโดยสมบูรณ์ คำว่า สมบูรณ์ไม่ได้แปลว่ามาก ไม่ได้แปลว่ามาก จนต้องใช้คำอื่น ต้องใช้คำว่าถูกต้อง ที่มันถูกต้อง ถ้ามันถูกต้องจริงก็เรียกว่าสมบูรณ์ ถ้ามันมากเสียเปล่าๆ มากจนล้นเหลือ เราก็ไม่เรียกว่าสมบูรณ์ เพราะมันใช้อะไรไม่ได้ คำว่าถูกต้อง คำว่าสมบูรณ์ มีความหมายจำกัด มันถูกต้องตามจุดประสงค์ แล้วครบถ้วน ไม่ขาดแคลน นี่ถ้ามนุษย์มีธรรมะคือหน้าที่ ครบถ้วน ถูกต้อง สมบูรณ์ ปัญหามันก็จะหมดไป เดี่ยวนี้ มันมีอธรรม อธรรมคือไม่ใช่ธรรมะมันเข้ามาแทรกแซง แต่คนส่วนหนึ่งก็หลงใหลบูชาอธรรมคือสิ่งที่ไม่ช่วยแต่มันเป็นความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เพลิดเพลินสนองกิเลสอย่างยิ่ง นั้นแหละคืออธรรม คือไม่ถูกต้อง คนตกเป็นเหยื่อของอธรรม เป็นทาสของอธรรม พอใจในอธรรมหรือในทุจริต คือ อจริยธรรม แล้วก็มีเพิ่มมากขึ้น ๆ เอาแต่ว่ากิเลสต้องการอย่างไร ขอให้ได้อย่างนั้น ขยายตัวไปในทางส่งเสริมกิเลส นี่โลกมันเลยตกเป็นบ่าว เป็นทาส เป็นขี้ข้า ของอธรรมนี่ มากขึ้นทุกที มากขึ้นทุกที ขอให้ดูด้วยจิตใจที่เที่ยงตรง ดูไปทั่วโลกได้ยิ่งดี ว่า ให้โลกนี่มันกำลังหมุนไปหาอธรรม สิ่งที่จะไม่ช่วย สิ่งที่จะทำร้ายล้างเรามากขึ้นทุกที มากขึ้นทุกที มีรูปร่างชัดเจนอย่างยิ่ง อยู่ที่สิ่งที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันมีความเห็นแก่ตัวกันไปเสียทั้งหมด แต่ละก็คนเห็นแก่ตัวของตน แต่ละพรรคแต่พวกก็เห็นแก่พรรคแก่พวก แต่ละประเทศก็เห็นแก่ประเทศของตน ไม่ต้องเห็นแก่ใคร หรือแต่ว่าทั้งโลกนี่มันเห็นแก่โลกนี่ มันเหมือนกับโลกอื่นมันไม่รู้สึกหวังดีต่อโลกอื่น นี่ ความเห็นแก่ตัว ศัตรูอันร้ายกาจของมนุษย์ก็คือความเห็นแก่ตัว ถ้ามันคลอดกิเลส และคลอดความทุกข์ออกมา เห็นแก่ตัว เป็นคำที่ประหลาดที่สุด สั้น ๆ ที่สุด มันก็รักตัวแต่มันเห็นแก่ตัว มันรักตัวผิด ๆ ถ้ามันรักตัวอย่างถูกต้อง มันจะไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันรักตัวอย่างผิดๆ มันก็เห็นแก่ตัว แล้วก็ทำตามกิเลสของตัว เมื่อมีอะไรมาถูกใจ น่ารัก น่าพอใจ มันก็เกิดความโลภ เกิดราคะ ความกำหนัด ยินดี เมื่ออะไรไม่ถูกใจเข้ามามันก็เกิดโทสะ โกรธ ประทุษร้าย เมื่ออะไรเข้ามายังไม่แน่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็เกิดความหลงใหล สนใจ พัวพันอยู่ นี่ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันมีมูลเหตุมาจากความเห็นแก่ตัว มันก็เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง และท่านทั้งหลายก็รู้ได้เอง อาตมาคงไม่ต้องอธิบายว่ามันจะเป็นอย่างไร ฉะนั้นแล้วผลของความโลภ ความโกรธ ความเหลง มันก็ร้อนเหมือนกับนอนอยู่ในกองไฟ ไม่มีใครมาทำอะไรมันก็ร้อนอยู่คนเดียวได้ ถ้ากิเลสมันเกิดมากเกินไปอย่างนี้ เราจงรู้ว่า เราตกอยู่ในหลุมลึก ที่ไม่ใช่ธรรมะที่ไม่ใช่จริยธรรม คือความเห็นแก่ตัว ที่ไปดูเถิด จริยธรรมไหนก็ตามเถอะ มันไม่มีความเห็นแก่ตัว จริยธรรมตามหลักสากลทั่วๆ ไป มันก็ เรียกว่า มีความรักสากล ที่หนึ่ง มีความสงบสุข ที่สอง มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ ที่สาม มีการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่มิใช่ตัวกู(นาทีที่ 32.43) ที่สี่ก็มีความรักสากล ล้วนเขียนไว้ว่า Universal Love ความรักเป็นUniversal นี่ เป็นหลักเดียวกันในพระพุทธศาสนาที่เรียกว่าพรหมวิหารมีเมตตา นั่นแหละคือหลักเกณฑ์ทางสากลมันสำคัญอยู่ตรงที่ว่ามันไม่เห็นแก่ตน ถ้าเห็นแก่ตนมันก็ทำเพื่อตน ไม่ได้มันก็คดโกง ปล้นจี้ เอาเปรียบ อย่างที่อันธพาลเขาทำเพราะมันเห็นแก่ตน เห็นแก่ตน(นาทีที่33.14)ของความผิดผลของกิเลสมันก็เลยได้ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ที่ไม่ใช่จริยธรรมมันก็เกิดผลขึ้นมาตามแบบนั้น เดือดร้อนกันไปหมด เดี๋ยวนี้เรามาพูดกันถึงว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไรดี เมื่อปัญหามันมีอยู่อย่างนี้เราจะแก้ไขกันอย่างไร มันก็ต้องทบทวนไปแต่ต้นว่ามันมาจากความไม่มีจริยธรรมมันขาดจริยธรรม มันได้เปรียบข้างฝ่ายกิเลส มันไม่ได้เปรียบข้างฝ่ายสติปัญญาของมนุษย์ธรรมดา กิเลสได้เปรียบมันก็จูงลูก จูงโลกนี่ไปในทางของกิเลส ก็คือ ความเห็นแก่ตัว ความเบียดเบียน ความอยู่ด้วยความเร่าร้อนเดือดร้อนทั่วกันไปหมด นี่ว่าจะเสนอข้อความนี้ในที่ประชุมโลก ก็คงจะไม่ไหวเพราะสมาชิกทุกคนมันยังเป็นคนเห็นแก่ตัว คือยังเห็นแก่กิเลส ยังบูชากิเลส ยังต้องการสนองกิเลส จะไปเสนอเรื่องที่ควบคุมกิเลสก็ไม่มีใครรับ อย่างนี้ก็เท่ากับว่าปฏิบัติไม่ได้เหนือวิสัย ไม่เอา ไอ้วงการที่มีอำนาจสูงสุดของโลกมันก็ไม่เอา ในการที่จะควบคุมกิเลส แม้ว่ามันยังกลัวเกินไปว่าเรามามัวถูกต้องในเรื่องธรรมะ ธรรมอยู่มันก็เสียเปรียบคู่ปรปักษ์ซึ่งเขาไม่ถือธรรมะ นี่พูดอย่างนี่คงจะทายออกว่าหมายถึงใคร คือคู่ปรปักษ์ใหญ่ในโลกนี้มันจะไม่กล้า ไม่ยอมให้เสียเปรียบซึ่งกันและกัน แม้ว่าจะเข้ามาสู่ความถูกต้อง แต่ถ้าความถูกต้องนั่นมันทำให้เกิดความเสียเปรียบแก่คู่ปรปักษ์มันก็ไม่เอา มันเลยเป็นหมันหมด ในธรรมะคำสอนในศาสนาของแต่ละศาสนาก็เป็นหมันหมด เพราะไม่มีใครกล้าเอา เอาไปแล้วกลัวเสียเปรียบคู่ปรปักษ์มันจะทำลายล้าง วอดวายไปหมด เป็นอย่างนี้(นาทีที่ 35.43) ทำอย่างไร ถ้าโลกมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นโลกที่พิลึกถึงขนาดนี้ งั้นก็ไม่ต้องหันไปถือตามเขาหรอก ไม่ต้องหันไปถือที่เป็นที่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นอธรรม คงจะต้องรักษาความถูกต้อง หรือธรรมะไว้ แล้วก็ให้ศึกษากันให้เพียงพอที่จะไม่ต้องเป็นอย่างนั้น สำหรับเรา แต่ถ้ามันอยู่ร่วมโลกกัน โลกมันเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย คุยโตกันหน่อยว่าธรรมะในพุทธศาสนานั้น ถ้าศึกษากันถึงที่สุดแล้วมันทำให้จิตใจ นี่อยู่เหนืออะไรหมด เหนือความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความทุกข์ ความอะไรทุกๆอย่างหมด ดังนั้นระเบิดนิวเคลียร์ปรมาณูมันจะลงมากี่ลูก ๆ ก็ช่างหัวมัน เราไม่กลัวและไม่เป็นทุกข์ก็พอแล้ว นี่มันมีทางออกทางนี่ถ้าว่ามันแก้ที่ให้โลกเป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้ มันต้องการมันจะต้องเป็นไปอย่างที่มันเป็น ไอ้เราอยู่ในโลกมันก็พลอยติดไปด้วย แต่เราก็ไม่เป็นทุกข์ ก็หัวเราะเยาะเอ่อก็ถูกแหละ ถูกของมึงแหละ ที่ว่าประสงค์อย่างนี้มันก็ได้อย่างนี้ ไม่เป็นทุกข์กันในข้อนี้ดีที่สุด นี่คือธรรมะที่ช่วยได้ ช่วยได้จนแหมระเบิดนิวเคลียร์จะลงมาเต็มโลก ไอ้คนนี้ก็ไม่เป็นทุกข์ คนนี้ยังยิ้มเฉยอยู่ไม่เป็นทุกข์ ช่วยได้ถึงขนาดนี้คิดดู ที่นี่มันต้องเตรียมเพื่อความเป็นอย่างนั้นตามหน้าที่ของจริยธรรม คือสั่งสอนอบรมให้ลูกเด็กๆ ของเรานี่ให้ตั้งต้นถูกต้อง เพราะว่าๆโลกนี้มันประกอบขึ้นด้วยลูกเด็กๆ ที่จะโตขึ้นทุกวัน ไอ้โลกลูกเด็กๆ นั่นแหละมันคือคนสร้างโลก อย่ามองข้ามเด็กๆ ไปเสีย เด็กๆ คือคนที่จะสร้างโลกในอนาคต เด็กๆ เป็นอย่างไรโลกในอนาคตก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราช่วยกันสร้างเด็กๆ ให้ดีได้มันก็เป็นโลกที่ดี ถ้าสร้างไม่ได้มันก็เป็นโลกที่เลว ต้องสนใจที่จะสร้างเด็กๆ ที่กำลังเกิดมาเติบโตขึ้นมานี่ให้มันอยู่ในความถูกต้อง คือมีธรรมะ มีจริยธรรม จริยะ จริยธรรม แล้วมันก็จะเอาตัวรอดได้ คือจะไม่ต้องตายแหมถ้าจะต้องตายก็หัวเราะตาย ไม่ต้องเป็นทุกข์ตาย เพราะมันรู้มันรู้ เพราะว่ามันอย่างนี้เอง ที่นี่จริยธรรม จริยธรรมนี่ คือหน้าที่ที่จะต้องประพฤติ ต้องปฏิบัติจะแบ่งออกให้มันเป็นพวก ๆ พอสะดวกแก่การศึกษาก็ถ้าว่าเอาบุคคล เอาบุคคลเป็นเกณฑ์แบ่งมันก็ได้ เอาการกระทำเป็นเกณฑ์แบ่งก็ได้ จริยธรรมนี่ ถ้าเอาบุคคลเป็นเกณฑ์แบ่ง เราก็จะสร้างคน ๖ ประเภท คือ บุตรที่ดี ศิษย์ที่ดี เพื่อนที่ดี สาวกที่ดี เป็นมนุษย์พลเมืองดีๆ สาวกดีๆ และเป็นมนุษย์ที่เต็ม เอาบุคคลแบ่ง ๆ เป็น ๖ จำพวก เอาการปฏิบัติแบ่ง มันก็ยังคงแบ่งได้ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพาน นี่เป็นจริยธรรม เมื่อเอาการกระทำมาเป็นเครื่องแบ่ง ที่นี่เราพูดในเรื่องเอาบุคคลเป็นเครื่องแบ่งกันก่อน ว่าเดี๋ยวนี้เรามีปัญหา เห็นอยู่ชัด ๆ นี่เราไม่มีบุตรที่ดี ยังมีแต่บุตรที่ทำอันตรายบิดามารดาทำให้บิดามารดาต้องน้ำตาไหล ทำบิดามารดาให้เดือดร้อนหลอกลวงบิดามารดา เป็นเด็กอันธพาลเป็นฝูง ๆ อยู่ในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยด้วย ถ้าว่ามันไปทำให้บิดามารดาไม่สบายใจแหมแต่หน่อยหนึ่งก็เรียกว่ามันเป็นบุตรที่เลว เป็นบุตรที่เลวของบิดามารดา บุตรที่ดีของบิดามารดาคือทำให้บิดามารดามีแต่ความสบายใจ เอาไปสำรวจดูครอบครัวไหนครอบครัวของตนเองของใครก็ตามว่า ครอบครัวไหนกี่ครอบครัวที่มันมีบุตรที่ดีทำให้บิดามารดาชื่นอกชื่นใจอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละใช้ได้ มันพบแต่บุตรที่ทำให้บิดามารดา คับอกคับใจ เดือดร้อนกระวนกระวายอยู่ นี่คือเป็นบุตรที่ไม่เชื่อฟัง เค้าเรียกว่าเป็นบุตรที่เลว เดี๋ยวนี้การศึกษามันไม่พอใช่หรือไม่ มันจึงมีนักเรียนที่เลว จำนวนมากพอที่จะยกขึ้นเป็นสถิติได้ เป็นนักเรียนที่เลวเป็นบุตรที่เลว ทำให้บิดามารดาต้องเดือดร้อน นี่เราจะต้องมีการศึกษาชนิดที่ให้เกิดบุตรที่ดี ไม่เคยทำให้บิดามารดาร้อนใจ นี่อย่าไปหลงว่าให้มันเล่าเรียน เรียนหนังสือ เรียนอาชีพ เรียนเทคโนโลยี เรียนสูงสุดแล้วมันจะเป็นบุตรที่ดี มันยังทำให้บิดามารดาร้อนใจได้ มันต้องเรียนจริยธรรม คือธรรมที่มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัติเป็นอันสุดท้าย แล้วมันก็จะเป็นบุตรที่ดี การศึกษานั้นก็สมบูรณ์ เรียนแต่หนังสือ กับเรียนแต่อาชีพนี่เป็นการศึกษาหมาหางด้วน ที่อาตมาเคยบอกกันมานานแล้ว ก็มีคนเอาไปวิพากษ์วิจารณ์อยู่ ว่าการศึกษาที่ให้แต่หนังสือ กับอาชีพนั้นเป็นการศึกษาชนิดหมาหางด้วนไม่เต็ม ต้องให้อย่างที่สามเข้าไปด้วย คือ จริยธรรม ให้รู้ว่าเป็นคนนี่จะต้องประพฤติอะไร ต้องประพฤติให้ถูกต้อง เขาจะได้เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดีเป็นมนุษย์ที่เต็ม จุดตั้งต้นมันอยู่ที่บุตรที่ดี ถ้าบุตรได้รับการอบรมเป็นบุตรที่ดี มันก็จะดีต่อไปเองแหละ เดี๋ยวนี้มันยังทำไม่ได้หรือมันยังไม่ได้เคยคิดจะทำ โรงเรียนอนุบาลบางแห่งสอนภาษาต่างประเทศ สอนวิชาเรื่องต่างประเทศ แต่พ่อแม่คืออะไรเด็กเหล่านั้นยังไม่รู้เลย ถ้าถามว่าพ่อแม่คืออะไร เด็กๆ เหล่านั้นยังไม่รู้เลย แต่เขาไปเรียนภาษาต่างประเทศแล้วเป็นต้น ข้อนี้ก็สำคัญมากนะไปเรียนจบมหาวิทยาลัยมาจากต่างประเทศแล้วกลับมาบ้านยังไม่รู้ว่าพ่อแม่คืออะไรนี่ มีอยู่บ่อยๆ ไป พ่อแม่ต้องน้ำตาไหลเพราะเรียนมาจบมาจากต่างประเทศนั้นก็ยังมี นี่คือความไม่สมบูรณ์การศึกษา มันต้องมีจุดตั้งต้นที่ว่าให้เขาเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ไม่เคยทำให้บิดามารดา ร้อนอกร้อนใจทำให้บิดาชื่นใจ ตั้งแต่เขาเกิดมา บิดามารดาได้มีบุตรสมใจชื่นอกชื่นใจ มีแต่การกระทำที่ถูกต้องแต่ว่าความรับผิดชอบอันนี้มันก็อยู่ที่บิดามารดาเองด้วย ให้บิดามารดานั่นแหละ ที่เป็นคนทำให้บุตรให้เด็กทารกเดินผิดทาง ประคบประหงมเกินไปให้เดินผิดทางให้หลงใหลในเรื่องสนุกสนานเอร็ดอร่อยอย่างนี้บิดามารดามันโง่เอง ให้บิดามารดาอย่างนี้ในพระบาลีเรียกว่านั่นแหละผู้ฆ่า เป็นศัตรูแก่บุตรเป็นไพรีเวรีแก่บุตร บิดามารดาผู้อบรมลูกผิดนั่นแหละคือผู้ฆ่าบุตร ผู้ทำลายบุตร มันก็เป็นเรื่องที่บิดามารดาจะต้องมีความรู้พอที่จะฝึกให้การศึกษาแก่บุตรให้มันพอให้มันถูกต้อง เจริญเติบโตขึ้นมาชนิดที่เรียกว่าเป็นที่พอใจ แก่บิดามารดา นี่ขั้นที่สองเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์นี่ขึ้นมาเป็นเด็กเข้าโรงเรียนแล้ว ก็ยังหายากนะเด็กที่เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ มีแต่ศิษย์ที่(นาทีที่45.35) โกรธขึ้นมาเห็นครูบาอาจารย์เป็นข้าศึกทั้งนั้น มันก็ยังด่าลับหลังบ้างแช่งลับหลังบ้าง มีอะไรต่าง ๆ ตามแบบของอันธพาล นี่มันไม่เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์อย่างนี้ เฮ้อมันก็ใครจะรับผิดชอบก็บิดามารดาครูบาอาจารย์นี่รับผิดชอบ แต่ถ้าเราทำกันถูกต้องมีจริยธรรมในข้อนี้เพียงพอแล้ว เขาก็เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ศิษย์ที่ดีหมายความว่าศิษย์ที่ครูบาอาจารย์นำไปได้ ศิษย์ที่เลวคือศิษย์ที่ครูบาอาจารย์นำไปไม่ได้ มันก็มีศิษย์ชนิดที่ครูบาอาจารย์นำไปได้ แล้วก็ศิษย์ที่ดีแห่งครูบาอาจารย์ ก็ไม่ต้องมีอะไรเลวร้ายในโรงเรียนอย่างที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ เห็นแก่ตัวมากขึ้น นักเรียนที่ศึกษามาผิดจะมีความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ๆ นี่ข้อที่สามเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน คือเด็กๆ เหล่านั้นจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและกันเพื่อนก็คือเพื่อนคำว่าเพื่อน เพื่อนนี่ก็มีความหมายว่าช่วยเหลือกันได้ ช่วยเหลือกันได้และช่วยเหลือกัน มีเมตตากรุณามีความหมายว่า มิตร ทำอะไรด้วยกัน ทุกข์สุขด้วยกันนี่เรียกว่า สหาย ทำอะไรสม่ำเสมอกันดีเรียกว่าสัมมะ แปลว่าสหาย แปลว่าเพื่อน มีความหมายว่ามันเข้ากันได้ มันรวมกันได้ มันร่วมมือกันได้ นี่ก็เรียกว่าเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เดี๋ยวนี้ เรายังมีแต่เพื่อน ชนิดที่ทำร้ายกัน เอาเปรียบกันทั้งที่เป็นเรียกว่าเพื่อน ทั้งที่เรียกว่าเพื่อน ข้อที่สี่ จะต้องเป็นพลเมืองที่ดีแห่งของประเทศชาติ ข้อนี้อาตมาไม่ต้องพูดก็ได้ เพราะเชื่อว่าคงจะเป็นที่เข้าใจกันเหลือกันเต็มที่แล้วพลเมืองที่ดี นี่เป็นสาวกที่ดี ข้อห้าสาวกที่ดีของ
พระศาสดา ทุกคนถือศาสนาใด ศาสนาหนึ่งเสมอ ดังนั้น จึงมีศาสดา ด้วยกันทุกคน ก็จะเป็นสาวกที่ดีของศาสดา ที่ได้รับประโยชน์ตรงตามที่พระศาสดามุ่งหมายจะให้ได้รับ นี่ เขาเรียกเป็นสาวกที่ดี เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่เชื่อฟังและก็เป็นผู้ปฏิบัติตาม และเขาก็ได้รับผลการปฏิบัติ ก็เลยได้รับผลที่ศาสดาหวังว่าเขาจะได้ เขาควรจะได้อย่างนี้ก็เป็นสาวกที่ดีไม่เป็นหมั้น ปล่าวข้อสุดท้ายเป็นมนุษย์ที่เต็ม มีเต็ม แห่งความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ คำว่าเต็มในที่ดีหมายถึงความถูกต้อง มีความถูกต้องสมบูรณ์ไปด้วยความถูกต้อง มีความเป็นมนุษย์เต็มเปี่ยมของความหมาย เดี๋ยวนี้เรามีแต่มนุษย์ที่ว่าไม่ถึงบาทบ้าง เกินบาทบ้างมีแต่คนเกินบาท มีแต่คนขาดบาท ไม่ถึงบาท เป็นปัญหาอยู่ทั่วไปหมด อย่างนี้ไม่อาจจะเรียกว่ามนุษย์ที่เต็ม เค้าจะต้องเดินมาตามลำดับที่เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี เสร็จแล้วจึงจะมาเป็นมนุษย์ที่เต็ม เต็มด้วยความหมายแห่งความเป็นมนุษย์ คำนี้ในหนังสือจริยธรรมก็มีพูดถึง ไม่ใช่เป็นคำใหม่ที่อาตมาเอามาพูดเองคนเดียว มันมีอยู่ในหนังสือพวก จริยธรรมนั่นแหละ ใช้คำว่า The man perfaceted หรือ perfaceness (นาทีที่ 49.55-49.59)มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ นี่มันหมดปัญหาด้วยประการทั้งปวง มันไม่มีปัญหาให้เหลืออยู่สักนิดเดียว มันมีความเต็มแหงความเป็นมนุษย์ ถ้าเราได้ความเต็มจากความเป็นมนุษย์ก็ดี ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และแถมได้รับพระพุทธศาสนาด้วย นี่ถ้าเราจะแบ่ง เรื่องจริยธรรมตามบุคคล เอาบุคคลเป็นหลัก เราก็จะได้เป็นหกจำพวก อย่างนี้แหละ หากขอให้ช่วยสนไรช่วยสนใจจำไปด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะมาพูดกัน เพราะว่าให้จุดมุ่งหมายให้เราได้มีบุตร ศิษย์ที่ดี เพื่อนที่ดี พลเมืองที่ดี สาวกที่ดี และมนุษย์ที่เต็ม ถ้าได้อย่างนี้มันจบ มันจบเรื่องจริยธรรม สร้างโลกที่เป็นโลกพระศรีอาย เมตตรัยได้จริง ไม่ใช่โลกพระศรีอายเมตรัยอย่างที่พวกคอมมิวนิสต์เขาว่า เรามีโลกพระศรีอายเมตตรัยแท้จริงได้ก็มีพลเมืองเป็นอย่างนี้ คือเป็นมนุษย์ที่เต็ม นอกจากนี้ยังมีเหลืออยู่แต่ว่า ถ้าจะเอาการกระทำเป็นหลักมาแบ่งกฎเกณฑ์ทางจริยธรรม คือ ธรรมที่ควรประพฤติ ที่ต้องประพฤติ นี่ ก็อยากจะพูดว่า แล้วจะแบ่งเป็นระดับศีลระดับสมาธิ ระดับปัญญา ระดับมรรคผล ระดับนิพพาน ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผล นิพพาน ฟังดูขึ้นหน่อย แต่อย่าเผลอเห็นว่าขึ้น จะจำเอาไปด้วย มันมีความหมายอย่างนั้นจริง มันเป็นคำพูดอย่างอื่นไม่ได้ แต่โดยเหตุที่ว่าคนแก่ ๆ เขาพูดกัน เด็กๆ ฟังไม่เข้าใจ มักจะหาว่าเป็นคำที่ ครึคระ(นาทีที่ 52.13-52.15) ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผล แล้วก็นิพพาน ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผล นิพพาน ห้าถ้าอยากให้เป็นหก ก็แยกมรรคผล ออกกลายเป็นสอง ก็จะได้หกเหมือนกัน แต่ที่จริงพูดตามที่สะดวกที่ใช้พูดกันอยู่ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผล นิพพาน ข้อที่หนึ่งศีล คือความถูกต้อง ทางกายและวาจา นี่ตามหลักธรรมะ ถือเอาเรื่อง กาย วาจา เป็นหลักพื้นฐาน จึงมาเป็นข้อแรก ว่า ศีล คือความปกติ หรือถูกต้องของกายและวาจา สอง ความถูกต้องของจิต หรือสภาวะของจิต นี่เรียกว่าสมาธิ นี่สาม ถูกต้องพร้อมสติปัญญา ความคิด ความเห็น ความเชื่อ อะไรต่าง ๆ นี่เรียกว่าปัญญา ปัญญา ความถูกต้องระดับปัญญา ที่นี่ก็เดินไปในรูปของมรรคผล ทำให้ศีล สมาธิปัญญาและชีวิต มันเคลื่อนไหวไปตามหลักเกณฑ์ของมรรคและผล คือการตัดกิเลส ให้มรรค คือการตัดกิเลส ตัดความชั่วให้พ้น นั่นคือผลที่ได้รับ เพราะการตัดกิเลสหรือตัดความชั่ว ถ้าเราจะตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา และจะมีการตัดกิเลส หรือตัดความชั่วอยู่เป็นเรื่องไป เป็นเรื่องๆไป เป็นขั้นเป็นตอน มันมีอยู่หลายขั้นตอน แต่เรียกว่ามรรคผลด้วยกันทั้งนั้น ความรู้หรือสติปัญญาที่ทำลายความชั่วหรือความทุกข์ได้ในขั้นต้นก็มี ขั้นกลางก็มี ขั้นสูงก็มี แต่ถ้าทำลายได้หมดเลย จะเรียกว่านิพพาน ถ้ายังอยู่ในการต่อสู้เป็นคู่ปรับกันอยู่ สติปัญญาอันนี้ ทำลายความชั่วอันนี้ สติปัญญาอันนี้ ทำลายความชั่วอันนี้ บ้างที่ก็เรียกว่าญาณ ๆ ญาณคือความรู้อันนี้ ทำลายกิเลสอันนี้ รู้อันนี้ทำลายกิเลสอันนี้ ต้องแบ่งเป็นไว้ แบ่งไว้ ๔ ระดับ ตามที่เรียกว่า โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ นี่แหละมี ๔ ระดับ มันมี ๔ คู่ ของการตัด ตัดขั้นนั้นเป็นโสดา ตัดขั้นนั้นเป็นสกิทาคา ตัดขั้นนั้นเป็นอนาคา ตัดขั้นนั้นเป็นอรหันต์ ตัดเป็นได้เป็น ๔ ระดับ นี่เรียกว่า มรรคผล นี่เลยถ้าเลยนั้นไปแล้ว เลยพระอรหันต์ไปแล้ว เรียกว่า นิพพาน สูงสุดในชั้นสูงสุด คำว่านิพพาน ดับทุกข์สิ้นเชิง ดับเหตุแห่งทุกข์สิ้นเชิง ไม่มีความทุกข์เหลืออยู่เลย นี่เรียกว่าถ้าเราเอาการปฏิบัติหรือวิธีปฏิบัติมาเป็นหลัก เราก็จะแบ่ง ๆ ได้เป็น ๕ ชั้น ๕ ขั้นอย่างนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผล นิพพาน แต่ขอบอกเป็นพิเศษโดยเหตุที่ว่าที่นิพพาน มันอยู่เป็นจุดสุดท้าย เป็นจุดหมายปลายทาง เราควรจะทำอะไรชนิดที่มีนิพพานเป็นจุดหมายเท่านั่นแหละ ไม่ได้รักษาศีลก็มีนิพพานเป็นจุดหมาย ทำสมาธิก็มีนิพพานเป็นจุดหมาย ทำวิปัสสนา ปัญญาก็มีนิพพานเป็นจุดหมาย บรรลุมรรคผลว่านิพพานเป็นจุดหมายละก็ บรรลุนิพพาน รู้จักเอาความหมายของนิพพาน มาใช้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นการล่วงหน้าเป็นการชินล่วงหน้า ตัวอย่าง ก่อนก็ได้ คือเมื่อไม่มีกิเลส เมื่อใดไม่มีกิเลส เมื่อนั้นว่างเย็นเป็นนิพพาน เราก็มีบ้างเหมือนกัน บางระยะเป็นเวลาสั้น ๆ เราไม่มีกิเลส เยือกเย็น สบายดี นี่ก็มีความหมายแห่งนิพพาน แต่ยังไม่สมบูรณ์ ไม่ใช่นิพพานตัวจริง ตัวสมบูรณ์ เป็นนิพพานล่วงหน้า นิพพานตัวอย่าง นิพพานชิมลอง ขอให้สนใจไว้ คือความเย็นอกเย็นใจ ไม่มีความทุกข์ ความร้อน ทุกอย่างเป็นความเย็น นี่ก็นิพพาน นิพพานแปลว่าเย็น นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย ครูเขาสอนผิด ๆ ในโรงเรียนสอนกันผิดๆ ว่านิพพานแปลว่าตาย เขาสอนว่าพระพุทธเจ้านิพพานบ้าง นี่ผิดถนัดเลยพระพุทธเจ้าตายไม่ได้ พระพุทธเจ้านิพพานไม่ได้ พระพุทธเจ้านี่ยังอยู่กับเราทั่วตลอดไป นิพพานไม่ได้แปลว่าตายแต่แปลว่า เย็น ถ้าไฟลุกขึ้นมาดับลงไปก็เรียกว่าไฟนิพพาน ของร้อน ๆ อยู่พอเย็นลงๆ ก็เรียกว่ามันนิพพาน พอเย็นก็ใช้ประโยชน์ได้ อาหารยังร้อนอยู่กินไม่ได้ ต้องรอจนมันนิพพานแล้วกินได้ นี่คำนี้ไม่ใช่เป็นคำพูดเล่น เป็นคำที่ใช้อยู่ในประเทศอินเดียในสมัยนั่น อะไรที่ร้อน ๆ เย็นลง เรียกว่ามันนิพพาน ถ่านไฟแดง ๆ คีบออกมาดำลง ก็เรียกว่ามันนิพพาน สัตว์เดรัจฉานที่เราฝึกดีแล้ว ฝึกหมา ฝึกแมว ฝึกช้าง ฝึกม้าฝึกดีแล้วไม่มีอันตรายเลยเชื่องเป็นว่าเล่น อันนี้ก็เรียกว่ามันนิพพานเป็นเหมือนกัน คือกิเลสของมันหมดแล้ว นิพพานคือเย็น นิพพานคือเย็นอย่างนี้ เราจงหวังที่จะเป็นผู้เย็น เย็นได้ทั้งหญิง ทั้งชาย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ตามสมควรแก่อัตภาพ อย่าให้ไฟลุกขึ้นมาอย่าให้โลภะ โทสะ โมหะลุกขึ้นมาเป็นของร้อน มันก็ของร้อนไฟลุก มันดับไปสิ้นไปมันคือเป็นนิพพานเย็นลงแต่มันชั่วคราว เดี๋ยวมันมาอีก ถ้านิพพานโดยแท้จริงไม่มาอีก หลังจากบรรลุมรรคผลแล้วมันคือนิพพานแล้วมันไม่กลับมาอีก เดี่ยวนี้มันเป็นเพียงชั่วคราว ตัวอย่าง หรือชิมลองกันไปก่อน แต่ก็ขอให้สนใจ แน่ใจว่ามุ่งหมายนิพพาน การมุ่งหมายนิพพานเป็นจุดหมายปลายทาง อย่าเห็นเป็นของครึคระ(นาทีที่ 0:58:46.6) พ้นสมัย ถึงคนในโลกนี้มันจะโง่เง่าสักเท่าไหร่มันก็ต้องการให้ความดับทุกข์ เป็นจุดหมายทั้งนั่นแหละ แต่มันไม่รู้จักทุกข์ มันไม่รู้จักดับทุกข์ มันก็ดับไม่ได้ ถึงแม้พวกที่ทำโลกให้วุ่นวายอยู่นี่ มันก็ต้องการความดับทุกข์ แต่มันไม่รู้เรื่องความทุกข์ ความดับทุกข์โดยแท้จริง มันก็ทำไม่ได้เราเป็นพุทธบริษัท หรือเป็นศาสนาไหนก็ตามที่มีศาสนา จงรู้เรื่องความรอด ความรอด รอดจากความทุกข์ โดยประการทั้งปวง ประโยชน์ของศาสนา อยู่ที่ความรอด รอดตาย เป็นข้อแรก แล้วรอดจากความทุกข์เป็นข้อที่สอง แล้วก็หมด เรื่องมันจบเท่านั้นเอง นี่การทำให้รอดคือหน้าที่ หน้าที่ คือจริยธรรม เมื่อเราพูดกันถึงเรื่องจริยธรรม เราต้องรู้ว่าเราพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ เมื่อใดมีการทำหน้าที่เมื่อนั้นมีการปฏิบัติธรรม เมื่อใดมีการทำหน้าที่ หน้าที่ที่ถูกต้อง เมื่อนั้นมีการปฏิบัติธรรม หน้าที่น้อย ๆ ก็ เป็นธรรมะน้อย ๆ หน้าที่ใหญ่ ๆ ก็ธรรมะใหญ่ ๆ หน้าที่สูง ๆ ก็ธรรมะสูง แต่ขึ้นชื่อว่าหน้าที่แล้วเป็นธรรมะทั้งนั้นแม้ว่าเราจะต้องกินอาหาร จะต้องอาบน้ำ จะต้องถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ก็เป็นหน้าที่ขอให้ทำให้ดีที่สุด และจะเป็นปฏิบัติธรรมะอยู่ที่นั่น เดี๋ยวนี้เราไม่สนใจนี่ กินข้าวอาบน้ำไม่ได้สนใจที่จะทำให้ดีที่สุด ทำไปตามกิเลสทั้งนั้นแหละ ไม่ได้อาบน้ำก็ไม่ได้มุ่งหมายจะให้มันสะอาด เยือกเย็นเกลี้ยงเกลา อย่างนั้นอย่างนี้ มันอาบ อาบ อาบ ไปตามที่เคยชินทั้งนั้น ว่าเราทำสิ่งเหล่านี้อยู่ตามความเคยชิน ไม่มีสติ เรานึกว่านี่เป็นหน้าที่ นี่เป็นธรรมะ ขอร้องว่าต่อไปนี้ ถ้าทำอะไรขอให้มีสติทำ เช่น กินข้าวนี่ขอให้มีสติกินข้าว รู้ว่าเป็นหน้าที่ที่ถูกต้อง และเพื่อประโยชน์อย่างนั้น เพื่อประโยชน์อย่างนั้น ขอให้ได้รับประโยชน์อย่างนั้นจริง ๆ แม้จะถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะก็ขอให้มีสติทำ ระลึกถึงว่าทำเป็นหน้าที่ หน้าที่เป็นธรรมะ ธรรมะเป็นหน้าที่แม้จะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ จะต้องทำให้ดีที่สุด นั่นมันก็จะเป็นประโยชน์แก่ผู้นั้น นี่มันทำอย่างจำเป็นจะต้องทำ ทำอย่างเสียไม่ได้ ทำอย่างใจลอย กินข้าวใจลอย อาบน้ำใจลอย นุ่งผ้าก็ใจลอย อะไรก็ล้วนแต่เป็นใจลอยไปตามกิเลสทั้งนั้น นี่มันไม่ถูกต้องตามจริยธรรม ถ้าเป็นว่าเป็นหน้าที่ หน้าที่แล้วก็พอใจเถอะ มันเป็นธรรมะเหมือนกัน บางทีจะต้องช่วยล้างจานก็ได้ ล้างจานไปพลางนั่นแหละ แล้วก็มีจานที่ล้างแหละเป็นสมาธิ เป็นอารมณ์ของสมาธิ ล้างให้ดีที่สุด เราก็รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ คือเป็นธรรมะ เป็นจริยธรรม จะช่วยถูบ้านกวาดบ้าน จะช่วยล้างจาน จะช่วยทำความสะอาดส้วมอะไรก็ตาม จงทำด้วยสติสัมปชัญญะ เพราะว่ามันเป็นการปฏิบัติธรรมะ นี่แล้วมันจะช่วยให้รอด ธรรมะเป็นหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่ช่วยให้รอด เพราะนั้นเราจึงต้องบูชาหน้าที่ เคารพหน้าที่มีหน้าที่อย่างไรเคารพบูชาหน้าที่อย่างนั้น อย่าทำเล่นเป็นอันขาด แม้แต่อุปกรณ์ของการทำหน้าที่ ก็จงเคารพเท่ากับหน้าที่ ตัวหน้าที่ หน้าที่ครู เคารพแต่ถ้าว่ากระดานดำ ห้องเรียน อะไรที่มันเป็นอุปกรณ์ก็เคารพด้วย ถ้าธรรมะมันสูงสุดจริงมันคงพนมมือให้แก่กระดานดำบ้าง พนมมือให้แก่ห้องเรียนบ้าง ด้วยจิตใจที่เลื่อมใสในหน้าที่ หรือว่าเป็นชาวนาอย่างนี้ พอเอาวัวกับไถไปถึงนา แล้ววางลงแล้วก็พนมมือไหว้วัว ไหว้ควาย ไหว้ไถสักนิดหนึ่ง เพื่อความสมบูรณ์แห่งสติสัมปชัญญะว่านี่เป็นหน้าที่ เป็นจริยธรรม เขาจะมีจิตใจชนิดหนึ่งซึ่งดีซึ่งเหมาะสมที่จะทำหน้าที่และเป็นสุขตลอดเวลา เป็นสุขตลอดเวลาที่รู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ทำหน้าที่ไปพลาง คือปฏิบัติธรรมะไปพลาง เขาก็พอใจ เขาก็เคารพในหน้าที่มีความสุข นี่ที่ไหนมีการทำหน้าที่ที่นั่นมีธรรมะ ที่ไหนไม่มีการทำหน้าที่ ที่นั่นไม่มีธรรมะ หน้าที่นี่คือหน้าที่อันถูกต้องของวิญญูชน ไม่ใช่ของอันธพาล อันธพาลเขาก็จะพูดว่าเขามีหน้าที่จี้ปล้นลักขโมยนั่นไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่หน้าที่ในความหมายนี้ เพราะมันไม่ช่วยให้รอดได้ หน้าที่ในความหมายนี้คือมันช่วยให้รอดได้ พ้นจากความยากจน พ้นจากความอดอยาก พ้นจากความตาย พ้นจากปัญหานานาชนิด เป็นหน้าที่ ที่ไหนมีการทำหน้าที่ ที่นั้นแหละมีธรรมะ อยากจะเปรียบว่าในโบสถ์ ในโบสถ์อันสวยงามไม่มี ไม่มีธรรมะก็ได้ถ้าไม่มีการทำหน้าที่ มันมีแต่ทำพิธี มีแต่ทำเซียมซีขออะไรก็ไม่รู้ ในโบสถ์บางแห่งมีแต่นั่งสั่นเซียมซี อย่างนี้ไม่มีธรรมะ ที่กลางทุ่งนาไถนาอยู่โครม ๆ นั่นนะมีธรรมะ เพราะว่าทำหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือ ธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ต้องเฉียบขาดกันอย่างนี้ ต้องทำหน้าที่ ทุกชีวิต เป็นเทวดาก็ต้องทำหน้าที่ เทวดา เป็นมหาจักรพรรดิก็ทำหน้าที่จักรพรรดิ เป็นชาวไร่ชาวนาก็ทำหน้าที่ชาวไร่ชาวนา คนค้าขาย ข้าราชการ กรรมกร คนขอทานเป็นที่สุด คนขอทานก็ทำหน้าที่ของคนขอทาน การนั่งขอทานที่ถูกต้องเป็นการปฏิบัติธรรมะ หรือจริยธรรมของคนขอทาน ไม่เท่าไหร่เขาก็รอดเหมือนกัน มันไม่ได้ทำหน้าที่อยู่แล้วก็ให้นึกถึงเป็นธรรมะ แล้วมันจะไม่เหนื่อย จะแจวเรือจ้างก็ได้ จะกวาดถนนก็ได้ ล้างท่อถนนก็ได้ ถ้ารู้สึกว่านี่คือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะอย่างนี้ แล้วจะไม่เหนื่อย จะพอใจ จะรู้สึกเป็นสุข ในการทำหน้าที่ในขณะที่ทำหน้าที่นั่นเอง เลยมีความสุขตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ นี่เพราะเขารู้จักคิด รู้จักมอง สังเกตเห็นความถูกต้องว่าหน้าที่นั่นคือธรรมะ ธรรมะนั่นคือหน้าที่ นั่นเขาทำหน้าที่ที่ไหนเมื่อไหร่เขาก็มีความสุข มีความพอใจ เคารพตัวเอง บูชาตัวเองได้ที่นั่นเมื่อนั่น เลยเป็นคนมีความสุขโดยไม่ต้องไปอาบอบนวดให้เสียสตางค์ ทำเพลิดเพลินอย่างนั้นมันเป็นสิ่งหลอกลวง ไม่ใช่ความสุข สถานเริงรมย์ทั้งหลายเป็นเรื่องความเพลิดเพลินที่หลอกลวงไม่ใช่ความสุข ยิ่งใช้สตางค์มากก็ยิ่งไม่ใช่ความสุขเป็นเพียงความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ไอ้ความสุขใจ(นาทีที่ 1.0624) ก็ไม่ต้องใช้สตางค์ พอใจในการที่ทำหน้าที่ ชื่นใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเอง เป็นความสุขแท้จริง อย่างนี้ไม่ต้องใช่สักบาทเดียว แล้วถ้ายิ่งประพฤติธรรมะแล้วเงินยิ่งเหลือ เพราะมันมีความสุขเสียเมื่อปฏิบัติธรรมะแล้วมันไม่รู้จะเอาเงินไปใช้อะไรเงินมันจะเหลือ ถ้าว่ามีการปฏิบัติธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะเป็นสุขเสียแท้จริงเมื่อทำหน้าทีแล้ว ไม่รู้จะเอาเงินไปใช้อะไร เงินมันก็เหลือเยอะ แต่ที่นี่มันเป็นคนโง่ เกินกว่าที่จะโง่มันไปบูชาความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ไปซื้อหาสิ่งเอร็ดอร่อยสวยงาม เพลิดเพลินทางอายตนะ ใช้เงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ ข้าราชการต้องคอรัปชั่นเพราะไปหลงอย่างนี้ ทั้งนั้นไปดูเถอะ ไปหลงบูชาความเพลิดเพลิน ที่หลอกลวงเงินมันก็ไม่พอ มันก็ต้องคดโกง คดโกงนั่น โกงนี่จนกระทั่งคอรัปชั่นครั้งใหญ่ถูกไล่ออกเรื่องก็จบกัน เขาให้ทำชนิดที่ว่ายกมือไหว้ตัวเองได้ ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกเวลาทุกนาทีที่ทำหน้าที่ ขึ้นมา นี่ก็ถูกแล้วพอใจและเป็นสุข กลับไปก็เหอะพอใจและเป็นสุข ทำอะไรอยู่นิดหนึ่งก็พอใจและเป็นสุข แม้การพักผ่อน การพักผ่อนก็ถือว่าการทำหน้าที่เหมือนกัน เพราะการพักผ่อนก็เป็นหน้าที่ที่ต้องพักผ่อน นั่นเมื่อนั่งพักผ่อนบ้างก็ถือเป็นหน้าที่แล้ว ถูกแล้ว ถูกแล้วที่ต้องพักผ่อน พอหายเหนื่อยแล้วก็ทำต่อไปอีก เราจะมีความสุขตลอดเวลา ทั้งหลับและทั้งตื่น เมื่อตื่นอยู่มีแต่ความพอใจในการทำหน้าที่หรือปฏิบัติธรรมะ เมื่อหลับลงมันทำผิดอะไรไม่ได้มันถูกต้องอยู่ในตัวมันก็เป็นความสุข สิ่งที่ควรจะพอใจจึงเรียกว่าเป็นผู้ที่มีความถูกต้องอยู่ทั้งหลับทั้งตื่น มองดูตัวเองทีไร เมื่อไร ยกมือไหว้ตัวเองได้ อย่างนี้เป็นสวรรค์อันแท้จริงที่นี่และเดี่ยวนี้ นี่คือสวรรค์ที่แท้จริง สวรรค์ตอนตายแล้ว มันขั้นอยู่กับสวรรค์นี่ ถ้าไม่มีสวรรค์อย่างนี่ตายแล้วไม่มีหรอกไม่มีหวัง ถ้ามีสวรรค์ชนิดยกมือไหว้ตัวเองอยู่ได้เสมอ ๆ ไปแหละสวรรค์ ตอนตายแล้วก็แน่นอนต้องได้แน่ เพราะมันเต็มไปด้วยความดีที่ทำอยู่ตลอดวันตลอดคืน นี่บางคนมันตรงกันข้าม มองดูตัวเองแล้วมันเกลียดตัวเอง ไหว้ตัวเองไม่ลง เกลียดน้ำหน้าตัวเอง อย่างนี้เป็นนรก เป็นนรก ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องสงสัยตายแล้วก็ไปนรก ตายแล้วก็ต้องไปนรก ไม่ต้องสงสัย นรกข้างหน้า หรือสวรรค์ชาติหน้า มันขึ้นอยู่กับนรกชาตินี่ สวรรค์ชาตินี่ มันต้องทำอย่าให้มีนรกขึ้นมาที่นี่ ให้มีแต่สวรรค์ แล้วเลื่อน ให้มันเลื่อน สูงๆ สูงขึ้นไปจนเนื้อสวรรค์ มันก็จะเป็นเรื่องของนิพพาน ไม่มีตัวเรา จบตัวเราทันที ถ้ายังมีตัวเราอยู่ ขอให้เป็นสวรรค์ ที่แท้จริง ที่นี่และเดี๋ยวนี้ พอใจจนยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่เสมอ แล้วเป็นสวรรค์ที่นี่แล้วเดี๋ยวนี้ นี่คือผลของการมีจริยธรรมอย่างครบถ้วนถูกต้อง เหมือนว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะได้นำเอาไปคิดนึกพิจารณาใคร่ครวญดูให้ดี ถือเอาให้เป็นประโยชน์ได้ตามสมควรแก่หน้าที่การงานของตน มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานนั้นๆ อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ