แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านครูบาอาจารย์ ผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่สมมติให้ว่าเป็นวันครู บางทีท่านทั้งหลายก็ทราบได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว อาตมาก็ได้รับการขอร้องให้พูดเนื่องในวันครู ไม่เห็นว่าเรื่องอะไรจะดีไปกว่าเรื่องที่เกี่ยวกับครู นั้นก็เลยพูดเรื่องที่เกี่ยวกับครู วันครูวันนี้เผอิญเรามาติดอยู่ในป่า เราก็จะทำตามแบบป่า พูดอย่างครูป่า แอบพูดกันในป่า คุยเรื่องที่คนทั่วไปไม่ต้องได้ยินก็ได้ ไม่ให้รัฐบาลได้ยิน ไม่ให้มหาชนได้ยิน เพราะว่ามันจะเกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น เราพูดกันแต่ในป่า เรียกว่าพูดกันในซ่องของครู หรือเป็นแก๊งของครู นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะว่าแก๊งหรือซ่องนั้นน่ะที่ทำเพื่อดีก็มี ที่ทำเพื่อแก้ไขไอ้สิ่งที่ชั่วร้ายนั้นก็มี เราถือโอกาสพูดกันในลักษณะนี้ ก็จะได้ผลสมกับที่ติดอยู่ในป่า หรือว่าได้ผลเต็มที่ที่จะพูดกันในป่า ทีนี้ลักษณะของการพูด ไม่ได้พูดอย่างแบบนักศึกษาวิชาครู หรือที่เขาไปศึกษากันถึงเมืองนอกเมืองนา พูดกันในลักษณะของ ...(นาทีที่ 08.05) academic study เหล่านี้ อาตมาทำไม่ได้หรือทำไม่เป็น พูดอย่างที่ชาวบ้านพูด ที่ชาวบ้านเขาจะพูดกันตามภาษาชาวบ้าน พูดกันด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ก็เพื่อประโยชน์อย่างที่เขาหวังจะได้ ขอให้ทำในใจถึงข้อเท็จจริงอันนี้ ว่าเมื่อชาวบ้านเขาจะประชุมกัน หรือจะเรียกว่าสุมหัวกันก็สุดแท้ ก็จะพูดเรื่องอะไรเรื่องหนึ่งนั้น เขาก็จะพูดกันตามภาษาชาวบ้าน ตามแบบชาวบ้านด้วยเรื่องของชาวบ้าน ที่คนแต่ละคนหรือสังคมหรือว่าคนทั้งโลกก็ได้ที่มันต้องการ ที่มันควรจะต้องการ อย่างนี้มีอยู่ทั่วไป มีอยู่ทั่วโลกนะ ขอให้สังเกตดูให้ดี ไม่สังเกตก็จะรู้สึกว่าไม่มี ถ้าสังเกตดูให้ดีจะรู้สึกว่ามันเต็มไปหมดล่ะ ชาวบ้านเขาอยากจะพูดกันเรื่องอะไร เขาก็พูดกันตามสบาย ตามแบบชาวบ้าน ตามวิธีพูดของชาวบ้าน เพื่อผลประโยชน์ตามที่จำนงหวังว่าจะได้อะไร พูดเรื่องบุคคลก็ได้ พูดเรื่องสังคมก็ได้ พูดเรื่องโลกทั้งโลกก็ได้ ภาษาเยอรมันคำหนึ่งติดเข้าไปในปทานุกรมอังกฤษ ใช้เรียกอาการอย่างนี้เป็นคำธรรมดา เป็นคำธรรมดาไปแล้วออกเสียงถูกหรือไม่ถูกก็ไม่แน่ใจ มันเป็นเสียงเยอรมัน ...(นาทีที่ 10.25) ภาษาเยอรมัน เราจะพูดอย่าง ...(นาทีที่ 10.33) ที่คนธรรมดาตาสีตาสาชาวไร่ชาวนาทั่วไป พูดตามแบบของชาวบ้านพูดเพื่อประโยชน์ที่ชาวบ้านต้องการ แต่วันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องครู ว่าครูเขาถูกมองอย่างไร หรือว่าชาวบ้านคนทั่วไปเขามองครูอย่างไร เมื่อไรจุดประสงค์จะมาพบกัน มันเป็นเรื่องที่มนุษย์ควรจะพูดเพื่อมนุษย์เอง นี่แหละเรียกว่าพูดกันอย่างชาวบ้าน ไม่เอาตามที่เขาบัญญัติไว้ในตำรา ตำราชั้นดี เลิกกัน ที่เขาไปเรียนกันที่เมืองนอกเมืองนานั้น อาตมาไม่รู้เรื่องเลย แล้วเขาจะให้ความหมายของคำว่า “ครู” อย่างไร การศึกษาอย่างไรในตามแบบสูงสุดของเขานั้น แล้วส่วนมากมันก็คงใช้ปฏิบัติอะไรไม่ได้ เพราะว่าเขาพูดกันอย่างนั้นมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ก็ไม่เห็นโลกนี้มันดีขึ้น แม้ในแง่ของการศึกษา ที่กล้าพูดว่าไอ้โลกนี้มันไม่ดีขึ้น ก็เพราะว่ามันยังเต็มไปด้วยอันธพาลทั้งนั้นแหละ มีประเภทมหาอำนาจที่เป็นผู้นำทางการศึกษา มันก็เต็มไปด้วยอันธพาลเต็มไปด้วยเหตุการณ์ร้าย ที่ไม่มีศีลธรรมหรือป่าเถื่อนมากเหมือนกัน นี้แสดงว่าการศึกษานั้นมันยังไม่ได้พ้น เพราะอะไรไม่ทราบได้ แต่อยากจะพูดว่า เพราะมันดีเกินไป มันคิดอย่างกับว่าเทวดาคิดหรือว่าจะเป็นเรื่องของเทวดาไปเสียมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของมนุษย์ เต็มไปด้วยคำพูดมากมายที่เป็น จนจำกันไม่ไหว จนทำความเข้าใจกันไม่หวาดไหว เราจึงยังไม่ได้รับผลของการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังไม่ได้รับผลของการที่ว่าในโลกนี้มีครูกี่ล้านคน มันไปคำนวณดูเอง ว่าครูในโลกนี้มันมีกี่ล้านๆ หรือกี่สิบล้านคน แล้วมันทำให้โลกดีขึ้นอย่างที่น่าพอใจอย่างไรบ้าง นี่คุณลองคิดดูด้วยจิตใจที่อิสระ ถ้าจิตใจไม่อิสระมันโน้มเอียงไปเป็นทาสทางปัญญาของเขาเสียแล้วมันก็ไม่มีทางที่จะมองเห็นอะไร นี่เรามาพูดกันอย่างในแก็งหรือในซ่อง เหมือนกับที่เขาพูดความลับกัน แต่ว่าเป็นความลับที่จะแก้ไขโลก อาตมาก็จะได้พูดไปตามลำดับทุกเรื่องที่เกี่ยวกับครู บางเรื่องที่เกี่ยวกับครู จะใช้คำว่าทุกเรื่อง บางเรื่องของทุกเรื่อง ทุกเรื่องของบางเรื่องที่มันเกี่ยวกับครู แล้วแต่จะนึกออก นี่ก็เป็นปกติวิสัยอย่างหนึ่งเหมือนกันที่มันช่วยไม่ได้ ที่จะพูดอะไรเท่าที่จะนึกออก หรือเข้าใจ หรือสิ่งไรที่มันไม่ตรงกับความรู้สึกหรือความต้องการมันไม่เป็นที่พอใจ ก็ยกเลิกเสียก็แล้วกัน ถ้าอะไรมันตรงกับประโยชน์ที่ต้องการ หรือพอจะเอาไปคิดนึกศึกษาทำให้เป็นประโยชน์ได้ ก็ขอให้ช่วยนำไปพินิจพิจารณา แล้วก็พยายามที่จะทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นมา เพราะว่าพวกเราล้วนแต่เรียกตัวเองว่า “ครู” โดยตรงหรืออย่างน้อยก็โดยอ้อม เรียกตัวเองกันว่าครู อาตมาเคยบอกว่า พระพุทธเจ้าเป็นบรมครู พระเณรทั้งหลายก็เป็นครูกันโดยอ้อม เพียงแต่ไม่ได้ขึ้นกับกระทรวงศึกษาธิการ มันก็มีลักษณะเป็นครู ผู้ปฏิบัติตามความต้องการหรือคำแนะนำของพระพุทธเจ้า ผู้ส่งสาวกออกไปประกาศพระศาสนาให้ทุกมุมโลก เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ มีทั้งคนมั่งมีและคนยากจน อาตมาคิดว่าเรื่องแรกที่จะพิจารณากันก่อน ก็คือเรื่องวรรณะ ๔ พอเอ่ยถึงวรรณะ ๔ บางคนก็เข้าใจดีอยู่แล้วว่าได้แก่อะไร บางคนก็ยังคลับคล้ายคลับคลา วรรณะ ๔ ที่พูดกันติดปากว่า กษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ ศูทร ภาษาไทยใช้เรียกวรรณะ ๔ พวกกษัตริย์ พวกพราหมณ์ พวกแพทย์ พวกศูทร มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน จะรู้กันแล้วหรือไม่ เข้าใจตรงกันหรือไม่ นี่คอยดูต่อไป ไอ้วรรณะ ๔ นี้ ขอให้มองเห็นว่ามันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ที่ไปบัญญัติชื่อ บัญญัติอะไรนี้ทีหลัง ตัวจริงของจริง มันได้เกิดขึ้นแล้วในโลกตามที่ธรรมชาติมันบังคับให้เป็นไป คือเมื่อมนุษย์ นี่กล่าวตามเรื่องราวในบาลี คือเมื่อมนุษย์ได้เกิดขึ้นในโลกในครั้งแรกๆ ยุคแรกๆ ยุคป่าเถื่อน ยุคยังเป็นคนป่า แล้วก็ค่อยๆ เป็นหลักเป็นแหล่ง เป็นไอ้มนุษย์ หมู่มนุษย์ เป็นสังคมมนุษย์ขึ้นมา มันก็เกิดมีการทำหน้าที่กันตามถนัด ตามที่ธรรมชาติมันจะจัดให้ทำ จะเป็นอย่างสังคมคนป่าสมัยโน้น แต่ละหมู่ แต่ละหมู่ต้องมีหัวหน้า มีผู้ถืออาวุธคุ้มครองหมู่ นั้นน่ะหัวหน้าหมู่ คนป่า ที่อยู่กันเป็นสังคมใหญ่ นั่นแหละคือ เกิดหน้าที่ผู้คุ้มครอง ผู้ปกครองให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นในหมู่ในคณะ ต่อมาพวกนี้ก็ได้ถูกรับสมมติบัญญัติว่าเป็นพวกกษัตริย์ พวกพราหมณ์ เป็นพวกกษัตริย์ พวกกษัตริย์หมายถึง ผู้ที่คุ้มครองที่ดิน คุ้มครองแผ่นดิน คุ้มครองสังคมนั้นๆ พวกนี้มีอาวุธ ถืออาวุธ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยอาวุธ เกิดเป็นชนกลุ่มหนึ่งขึ้นมาในสังคมใหญ่ ต่อมามีคนบางคนออกไปสู่ที่สงบสงัด คิดนึกพิจารณา ...(นาทีที่ 20.03) ในภายในไม่ใช่ข้างนอก ไม่ใช่สังคมด้านนอก แต่ว่าในส่วนลึกในจิตใจภายใน ก็รู้เรื่องในภายใน รู้เรื่องกิเลส รู้เรื่องความทุกข์ รู้เรื่องอะไรต่างๆ รู้มากขึ้นจนถึงว่ามันเกี่ยวกับภายนอกอย่างไร เรื่องภายในจิตใจน่ะมันเกี่ยวกับการประพฤติกระทำในภายนอกนี้อย่างไร แล้วก็บอกกล่าวให้ผู้อื่นทราบ ได้รับความนิยมยกย่องว่าเป็นผู้มีความรู้ ก็เลยเรียกคนมีหน้าที่ส่วนนี้ว่าเป็นวรรณะพราหมณ์ เป็นพราหมณ์ ทีนี้ก็พวกที่ประกอบกิจกรรมหรือธุรกิจทั่วไป พาณิชยกรรม เกษตรกรรมอะไรก็ตาม เป็นเจ้าของทุน ก็เรียกว่าวรรณะแพทย์ ไวศยะหรือแพศยะ เรียกว่า วรรณะแพทย์ ได้แก่ พลเรือนที่เป็นนักธุรกิจเล็กใหญ่ทั่วไป นี่เรียกว่า วรรณะแพทย์ ทีนี้ก็ยังเหลืออีกพวกหนึ่งคือ พวกที่ไม่ค่อยมีวิชาความรู้อะไร มีปมด้อยมาก ต้องรับจ้างหรือรับใช้วรรณะอื่น ทำงานอย่างต่ำที่สุด พวกนี้ก็มีอยู่กลุ่มหนึ่งเรียกว่า วรรณะศูทร สูดทะระ ก็เลยได้เป็น ๔ พวก เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพทย์ เป็นศูทร ธรรมชาติน่ะมันจัดให้คนต้องทำหน้าที่ต่างๆ กันเป็น ๔ ชนิดหรือ ๔ ความหมาย ทีหลังพวกที่มีฐานะดีเป็นที่เคารพนับถือ บัญญัติให้มันเป็นพวกไปเสียเลย เกิดเป็นวรรณะโดยการสมมติขึ้นมา เป็นวรรณะกษัตริย์ก็จะคบค้ากันแต่วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ก็จะคบค้ากันแต่วรรณะพราหมณ์ ไม่ยอมมาสังคมกับวรรณะที่ต่ำลงมาอีกสอง วรรณะไวศยะหรือแพศยะก็เป็นคนทั่วไป บางทีก็มีการสมสู่กับวรรณะที่สูงกว่าหรือต่ำกว่า ส่วนวรรณะศูทรนี้เป็นที่รังเกียจ เป็นที่รังเกียจหนักเข้าๆ จนตอนหลังนี่มีการบัญญัติขึ้นคล้ายๆ กับว่าเป็นคนที่ไม่ถึงขีดที่จะเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำไปนี่ ไม่มีสิทธิเสรีภาพอะไร ถูกจับไว้เหมือนกับว่าสัตว์ชนิดหนึ่งนี่ ถ้าวรรณะอย่างนี้มันเป็นวรรณะที่มนุษย์โง่ๆ มันบัญญัติแต่งตั้งกันขึ้นมาเอง แต่ถ้าเป็นไปตามธรรมชาติ ธรรมชาติมันก็แบ่งให้มนุษย์มีหน้าที่การงานกันตามที่ควรจะมี อย่างจำเป็นที่สุด ถูกต้องที่สุด ให้มีพวกนักรบ ให้มีพวกครูบาอาจารย์ ให้มีพวกประชาชนพื้นฐาน ให้มีชนชั้นกรรมกร คนรับใช้ ทีนี้ต่อมาแล้วก็พวกพราหมณ์ ที่เป็นพวกครูบาอาจารย์นี่ บัญญัติขึ้นมาอย่างนี้ ให้ถือวรรณะเครียดจนไม่สังคมกันระหว่างวรรณะ แล้วบัญญัติผูกขาดอย่างน่าหัวเราะ ไปสนทนากับพระพุทธเจ้านะ พวกพราหมณ์นี่เขาไปทูลพระพุทธเจ้าว่า ฝ่ายพราหมณ์นี่บัญญัติธนู คันธนู และลูกศรว่าเป็นสมบัติของวรรณะกษัตริย์ บัญญัติการรับทักษิณาทาน รับทักษิณาทานการภิกษาจารอะไรทำนองนี้ ว่าเป็นทรัพย์สมบัติของวรรณะพราหมณ์ สิทธิที่จะได้รับทาน รับทักษิณาทาน รับของพวกพราหมณ์ แล้วก็วัว ควาย ไร่ นา แผ่นดิน อะไรต่างๆ นี่เป็นทรัพย์สมบัติของวรรณะแพทย์ ส่วนไม้คานกับเคียวนี้ เป็นทรัพย์สมบัติของวรรณะศูทร ศูทรมีสมบัติประจำวรรณะคือ เคียวเกี่ยวข้าวเกี่ยวหญ้าและไม้คานหาบหาม นี่ว่าพวกพราหมณ์เขาบัญญัติวรรณะ ๔ อย่างนี้ มีสมบัติประจำวรรณะอย่างนี้ พระองค์บัญญัติอย่างไรในพุทธศาสนานี้ พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า เราบัญญัติโลกุตตระธรรม ว่าเป็นทรัพย์สมบัติของคนทั้ง ๔ จำพวก นี่เอากับพระพุทธเจ้า บัญญัติโลกุตตระธรรมว่าเป็นทรัพย์สมบัติสำหรับทั้ง ๔ วรรณะ พูดกันไปพูดกันมา มันก็ยอมรับไม่ได้เพราะพวกพราหมณ์เขาบัญญัติเอาตามใจชอบ เพื่อประโยชน์ของเขา ส่วนพระพุทธเจ้านี้เพิกถอนไอ้บัญญัติชนิดนั้น ไอ้วรรณะทั้ง ๔ แต่ละคนๆ ในวรรณะทั้ง ๔ สามารถจะบรรลุโลกุตตระธรรมได้โดยเท่ากันนี้ นี่รู้เรื่องวรรณะเสียอย่างนี้ ชื่อว่าวรรณะโดยบัญญัติ โดยบัญญัติจนรังเกียจกันนั้นจนเหมือนกับว่าถูกพระพุทธเจ้าเพิกถอน เมื่อเปลี่ยนแปลงไปถึงพุทธศาสนามันก็เลิกบัญญัติวรรณะ เลิกวรรณะโดยการบัญญัติ แต่ว่าวรรณะโดยแท้จริง โดยธรรมชาตินั้นเลิกไม่ได้ พระพุทธเจ้าเลิกไม่ได้ เป็นใครก็เลิกไม่ได้ จนกระทั่งบัดนี้มันก็ยังต้องมีหมู่คนพวกหนึ่งที่ทำหน้าที่ถืออาวุธปกครองบ้านเมือง หมู่คนพวกหนึ่งทำหน้าที่ครูบาอาจารย์สั่งสอน แล้วพวกหนึ่งประกอบอาชีพการงานทั่วไป พวกหนึ่งเป็นคนรับใช้ เป็นกรรมกรอยู่ข้างล่างนี้เป็น ๔ วรรณะ ยังคงมีอยู่จนบัดนี้ ใครเลิกได้ คิดดูใครจะเลิกได้ มันก็เรื่องของธรรมชาติบางครั้งมันเป็นอย่างนี้ แล้วทีนี้ก็ดูสักนิดหนึ่งที่ว่า พวกครูบาอาจารย์ทั้งหลายมันอยู่ในวรรณะไหน ใครๆ ก็ตอบได้ทันทีว่าอยู่ในวรรณะพราหมณ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายอยู่ในวรรณะที่ ๒ คือวรรณะพราหมณ์ ซึ่งเป็นผู้อบรมและสั่งสอน นี่ครูทั้งหลายรู้จักตัวเองว่า โดยธรรมชาติมิใช่บัญญัติน่ะ กูก็เป็นวรรณะพราหมณ์นี้ ถ้าได้มีการบัญญัติอย่างพวกพราหมณ์บัญญัติ ก็ต้องบัญญัติพวกครูว่าเป็นวรรณะพราหมณ์ คือวรรณะที่มีหน้าที่อบรมสั่งสอน ทีนี้วรรณะโดยการบัญญัติผูกขาดนี่เลิกแล้ว มันเลิกกันแล้ว มนุษย์สมัยปัจจุบันไม่โง่พอที่จะถือบัญญัติอย่างนั้น เช่นกษัตริย์จะแต่งงานกันแต่กษัตริย์ พราหมณ์จะแต่งงานกันแต่พราหมณ์นี่ ศูทรนี้ไม่มีสิทธิที่จะเดินกันตามถนนของ หรือจะใช้บ่อน้ำของไอ้พวกวรรณะอื่นอย่างนี้ เป็นต้น พวกศูทรไม่มีสิทธิจะเข้าไปในโบสถ์ของวรรณะใดนี้ เลิกแล้วแต่ว่าโดยหน้าที่การงานน่ะมันไม่เลิก มันยังไม่เลิก วรรณะกษัตริย์ ได้แก่ กิจกรรมทหารมันยังก็มีอยู่ วรรณะพราหมณ์ครูบาอาจารย์ก็มีอยู่ วรรณะแพศยะประชาชนทั้งหลายก็ต้องทำมาหากินกันตามกำลัง พื้นฐานของบ้านเมืองก็ยังมีอยู่ ลูกจ้างกรรมกรก็ยังมีอยู่ และพอตกมาถึงสมัยนี้ ไอ้วรรณะลูกจ้างกรรมกรนั้นแหละกำลังจะครองโลก เห็นไหมล่ะ คือเรียกว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์ ลูกจ้างกรรมกรที่เป็นชนกรรมาชีพ ที่ตั้งตนเป็นปึกแผ่นขึ้นมา ก้าวหน้าจนถึงกับจะแย่งครองโลกจากวรรณะแพทย์ วรรณะที่ร่ำรวยนี่ นี้เรามาดูว่า ครูทั้งหลายอยู่ในวรรณะพราหมณ์ คือครูบาอาจารย์ เป็นวรรณะสูง จัดเป็นวรรณะสูง ในสองวรรณะคือกษัตริย์กับพราหมณ์ วรรณะแพทย์นี่ธรรมดา วรรณะศูทรนี่ต่ำ พราหมณ์นี้ ครูนี้ถูกบัญญัติไว้หรือสมมติไว้ในวรรณะชั้นสูง ก็น่าจะนึกถึงความสูงของตนไว้บ้าง คือทำตนให้มันสูงสมกับการสมมติ มันก็มีแต่ผลดี ไม่มีผลร้าย ถ้าสำนึกว่าถูกบัญญัติไว้ในวรรณะสูง ก็ทำหน้าที่ไปให้ลุล่วงไปด้วยดี มันก็มีแต่ผลดีไม่มีผลร้ายอะไร ทีนี้ว่าสูงๆ นี่ไม่ใช่สูงแต่เฉพาะการบัญญัติ ไม่ใช่เฉพาะสมมติหรือบัญญัติ กิจกรรมที่เป็นหน้าที่การงาน มันก็สูงจริงๆ อย่างที่เคยพูดกันมาแล้ว กี่ครั้งหรือกี่สิบครั้ง ว่าคำว่า “ครู” แปลว่า ผู้เปิดประตูทางวิญญาณ อะไรมันจะสูงกว่านี้ คำว่า “ครู” เดี๋ยวนี้ก็แปลว่า ผู้ที่เป็นที่ตั้งแห่งความเคารพ เป็นที่น่าเคารพ เป็นที่เคารพ ก็เป็นที่น่าสนใจของคนทั้งหลาย แต่ตัวหนังสือมันบอกถึงหน้าที่การงาน ไอ้ที่เป็นที่น่าเคารพนั้นน่ะ เพราะว่าทำหน้าที่เปิดประตูทางวิญญาณ เราเคยให้คำแปลของคำว่า “ครู” นี้ว่า ผู้นำทางวิญญาณกันมาพักหนึ่งแม้ในอินเดีย ต่อมานักศึกษาอักษรศาสตร์ค้นพบลึกเข้าไปจนถึงกับยืนยันว่า คำว่า “ครู” นี่ รากศัพท์แปลว่า เปิดประตู เปิดประตู ก็คือเปิดประตูทางวิญญาณ เปิดประตูแห่งอวิชชา ...(นาทีที่ 32.30) ออกมาเสียได้จากความโง่ นี่ครูถูกสมมติบัญญัติไว้ในวรรณะพราหมณ์ ซึ่งเป็นวรรณะสูง จนกษัตริย์ก็เคารพพราหมณ์ พวกกษัตริย์ทั้งหลายก็มีพวกพราหมณ์เป็นครูบาอาจารย์ ดังนั้น ใน ๔ วรรณะนั้น วรรณะพราหมณ์ไม่ใช่เล่น พวกครูนี้ถูกบัญญัติไว้ในฐานะเป็นวรรณะที่สูง เป็นที่เคารพของวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์เอง วรรณะศูทร วรรณะไวศยะ เราก็รู้จักความสูง รู้จักความสูงแห่งวรรณะของตน ถ้าไม่สมมติ ถ้าไม่เล็งถึงการสมมติด้วยเกียรติ ก็เล็งถึงหน้าที่การงาน คือเป็นผู้สอนให้เว้นจากผิดถูกชั่วดี สอนให้พ้นจากความทุกข์ มันก็สูงสุดจริงๆ นี้ครูจึงเป็นผู้ที่ถูกจัดไว้โดยสมมติ หรือว่าได้เป็นไปเองตามที่ธรรมชาติมันกำหนดให้อยู่ในวรรณะสูง สูงกว่าวรรณะทั้งหลาย เพราะวรรณะกษัตริย์ก็ยังเคารพวรรณะพราหมณ์ วรรณะที่เป็นครูบาอาจารย์ เอาล่ะ ขอให้ครูทั้งหลายจัดตัวเองไว้ให้ถูกต้องตามที่นั่ง ตามเก้าอี้ที่นั่งที่เขาจัดไว้อย่างไรในเรื่องที่เกี่ยวกับวรรณะทั้ง ๔ นี่จะได้ทำหน้าที่ของครูนี้ให้มันสมกัน มีวรรณะอยู่ ๔ วรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ ศูทร พราหมณ์ได้รับความเคารพนับถือจากทั้ง ๓ วรรณะ พวกครูอาจารย์ถูกสมมติหรือบัญญัติ หรือธรรมชาติกำหนดให้อยู่ในวรรณะสูงสุดคือวรรณะพราหมณ์ สูงสุดตรงที่ทำหน้าที่สูงสุดคือเปิดประตูทางวิญญาณของมนุษย์ นี่พอพูดอย่างนี้ ครูบางคนจะรู้สึกอย่างไร อาตมาก็ไม่ทราบ แต่สังเกตดูครูเราไม่ชอบได้รับมอบหมายหน้าที่หรือเกียรติยศอันสูงสุดอย่างนี้ เพราะเขายังอยากจะไปเที่ยวกินเหล้าบ้าง เที่ยงสำมะเรเฮฮาอย่างไรบ้างอยู่ เลยไม่กล้ายอมรับนี่ เกียรติยศอันสูงสุด เพราะว่ามันอยู่ในระดับสูงสุดแห่งวรรณะทั้งหลาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพูดกันต่อไป พูดกันให้จบเรื่องนี้ ทีนี้ก็จะพูดถึงคำว่า "บรมครู" บรมครูคือ พระพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา โดยกำเนิดท่านก็เป็นวรรณะกษัตริย์อย่างที่รู้กันอยู่ทั่วๆ ไป เกิดในวรรณะกษัตริย์ แล้วก็ออกไปเป็นผู้สั่งสอนสูงสุด เป็นบรมครู เป็นพราหมณ์ยิ่งกว่าพราหมณ์ เป็นพราหมณ์ ยิ่งกว่าพราหมณ์ หมายความว่าเป็นผู้หมดบาป พราหมณ์ในที่นี้มีความหมายว่า รู้จักทำให้บาปหมดไป พระอรหันต์ทั้งหลายได้ถูกเรียกชื่อว่าพราหมณ์ทั้งนั้นแหละ พระพุทธเจ้าก็เป็นยอดของพระอรหันต์เป็นยอดของพราหมณ์ เหนือพราหมณ์ธรรมดา มาพูดกันถึงพระบรมครูสักที บุคคลที่เป็นพุทธะ พุทธบุคคลนี้มีอยู่ ๔ คือว่าได้ศึกษาเล่าเรียนก็เป็นพุทธะ เรียกว่า สุตพุทธะ ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตาม ได้ชื่อว่า พุทธะ อนุพุทธะ พุทธะ แล้วก็ปัจเจกพุทธะ รู้ในวงจำกัด ไม่แก่กล้าสามารถในด้านเจโต เขาเรียกว่าจิตหรือเจโต จะรู้ มีความรู้พอที่จะทำกิเลสให้หมดสิ้นได้ นี้พวกสุดท้ายเป็นสัมมาสัมพุทธะ รู้สมบูรณ์ทั้งสองด้านทั้งด้านจิตและด้านวิชชา ความรู้ เรียกว่า ทั้งเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นบรมครูนั้น มีความรู้ถึงที่สุดทั้งทางฝ่ายเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ คือเรื่องฝ่ายจิตก็ขึ้นถึงระดับสูงสุด เรื่องฝ่ายสติปัญญาก็ขึ้นถึงระดับสูงสุด นี้เรียกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก็เรียกกันเดี๋ยวนี้ว่า พระบรมครู ก็ตรงเผงน่ะ คือเป็นครูในฐานะเปิดประตูทางวิญญาณ พระพุทธเจ้าเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณให้สัตว์โลกออกมาเสียได้จากกองทุกข์ หรือจากไอ้ที่มืดที่หุ้มห่อเป็นกรงหรือเป็นคอกที่มืดคืออวิชชา ทรงปล่อยสัตว์ออกมาจากคอกจำนวนมากมายมหาศาลหรือเรียกว่าสำหรับโลก แม้ว่าทุกคนในโลกไม่ออก แต่ว่าคนที่ออกมาได้จำนวนมากเหลือเกิน จึงเรียกว่าเป็นบรมครู และก็ไม่มีการกระทำอย่างไหนที่จะมีค่าสูงสุดเท่ากับการกระทำอย่างนี้ จึงเรียกว่าบรมครู เป็นบรมครู นี้ไม่เกี่ยวกับกระทรวงศึกษาธิการ แต่ว่าเกี่ยวกับทุกคนที่รู้เรื่องมนุษย์ รู้เรื่องความติดความอยู่ในกองทุกข์ของมนุษย์ แล้วก็ได้รู้เรื่องความหลุดออกไปเสียได้จากความทุกข์นี่ ก็จะรู้จักครูผู้นี้ว่าเป็นบรมครู คงไม่มีใครค้านนะ ไม่มีใครค้านในการที่จะเรียกพระพุทธเจ้าว่าเป็นบรมครู แม้ว่าตัวเองไม่สมัครจะเอาไม่สมัครจะทำ แต่ก็ไม่ค้าน หรือค้านไม่ไหว ค้านไม่ได้ ไอ้การที่จะให้เรียกพระพุทธเจ้าว่าเป็นบรมครู จึงเรียกพระองค์ว่าเป็นบรมครูเสมอกันหมด ทั้งผู้ที่ปฏิบัติได้และปฏิบัติไม่ได้ ครูมีสังกัดทางจิตใจ ทางจิตทางวิญญาณน่ะขึ้นอยู่กับพระบรมครู แม้ว่าทางสติในทางหน้าที่การงานทางกายทางนี้ มันจะสังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการก็ตามใจ แต่โดยจิตโดยวิญญาณหรือโดยธรรมชาติแล้วมันก็สังกัดอยู่กับพระบรมครู ที่จริงการที่มนุษย์ไปเอาวิชาความรู้ของพระพุทธเจ้า มาใช้เป็นหลักสำหรับปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ เรียกกิจการอันนี้ในยุคสั้นๆ ว่า กระทรวงธรรมการ ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าคนในกระทรวงธรรมการขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ต่อมาเลือกเรื่องที่สำคัญออกไปๆ เหลือแต่เรื่องสอนหนังสือ สอนวิชาชีพ เลยต้องเปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงศึกษาธิการ นี่ขอให้มันสมกัน แต่ถึงอย่างนั้น ครูก็ยังมีส่วนที่จะนึกถึงพุทธเจ้าว่าเป็นบรมครู มีการมอบจิตใจยอมรับพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระบรมครู แม้ว่าเดี๋ยวนี้เราจะสอนกันแต่เพียงหนังสือและวิชาชีพ ไม่ใช่สอนเรื่องดับทุกข์ในด้านจิตใจ นี่กำลังจะทำหลักสูตรจริยธรรมที่เป็นเรื่องทางด้านจิตใจ แต่มันก็เป็นเพียงกำลังจะทำหรือกำลังทำ มันยังไม่รู้ว่าจะไปรอดหรือไปไม่รอด แต่ก็น่าจะนึกถึงข้อที่ว่ามันอยู่ในขอบรัศมีของพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูอยู่นั่นเอง ครูในส่วนหนึ่งก็ทำหน้าที่ครูตามหน้าที่การงาน แต่ว่าในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งแล้ว เขาจะต้องทำหน้าที่สาวกที่ดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะดับทุกข์ของเขา ดังนั้นในด้านจิตใจของครู จึงแยกออกไปสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู แม้ว่าร่างกายหรือชีวิตภายนอกมันจะสังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการก็ตามใจ แต่ข้อที่ว่าโดยแท้จริงนั้นน่ะ มันมีส่วนที่สังกัดอยู่กับพระบรมครู จงต้องนึกถึงเรื่องนี้ เราจะต้องยอมรับ ก็คือรับผิดชอบตัวเราเอง ว่าเราเป็นครูชนิดนั้นหรือไม่ หรือว่าแม้แต่เราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เราก็ไม่หลุดรอดออกไปจากการต้องปฏิบัติตามธรรมะของพระบรมครู ในฐานะเป็นคนๆ หนึ่งเท่านั้น ก็ยังต้องศึกษาและปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์ก็ออกมาเสียจากกองทุกข์ มันก็ยังสังกัดอยู่ในพระบรมครูอยู่นั่นเอง ดังนั้น จึงยอมเสียสละเหนื่อยยากลำบากอะไรก็ตาม เพื่อรักษาอุดมคติอันนี้ไว้ให้ได้ คืออุดมคติที่ว่าขึ้นสังกัดอยู่กับพระบรมครู อาตมาจึงอยากจะกล่าวว่าครูบาอาจารย์คนไหนก็ตาม ถ้ายังนึกถึงข้อที่ว่าจะต้องอาศัยธรรมะของพระพุทธองค์เป็นเครื่องดำเนินชีวิตแล้ว ก็ยอมรับนับถือเสียด้วยชีวิตจิตใจว่าเราสังกัดอยู่ในพระบรมครู ทางด้านจิตด้านวิญญาณเรามีสังกัดอยู่ในพระบรมครู จึงทำทุกอย่างบัดนี้เวลานี้แหละ เพื่อรักษาอุดมคติอันนี้ไว้ให้ได้ อย่างน้อยก็ระลึกนึกถึงคำว่า “มนุษย์ มนุษย์ มนุษย์” มีจิตใจสูง มันสูงไปไม่ได้หรอกถ้าละทิ้งธรรมะของพระบรมครูเสียแล้ว จิตใจมันก็สูงไปไม่ได้ ที่จะสูงขึ้นไปได้เดี๋ยวนี้เพราะว่ายึดถือธรรมะของพระบรมครู คือลดกิเลสและความทุกข์ลงไป ลดกิเลสลงไป ลดความทุกข์ลงไป และก็มีจิตใจสูงขึ้นมานี้คือความเป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องอาศัยคำสอนของพระบรมครู จึงเป็นมนุษย์ได้ นั้นก็เลยสรุปความได้ว่า มนุษย์ทุกคนสังกัดขึ้นอยู่กับพระบรมครู ไม่ต้องพูดถึงมนุษย์ที่เป็นครูบาอาจารย์ ยิ่งมนุษย์ที่เป็นครูบาอาจารย์ทำหน้าที่อย่างเดียวกันแล้ว มันก็ยิ่งขึ้นสังกัดอยู่ในพระบรมครู คือจะช่วยเหลือมนุษย์ ช่วยเหลือเด็กๆ ลูกเด็กๆ ขึ้นไป จนถึงคนโตๆ จนถึงคนทั่วไป ให้มันเดินถูกทางของการดับทุกข์ได้ ทีนี้ถ้าครูทำหน้าที่ของครูอยู่ในลักษณะอย่างนี้ คือช่วยให้เด็กๆ ทุกคนปลอดภัยจากความเสื่อมเสีย ครูก็มีฐานะเป็นผู้สร้างคนเหล่านี้โดยที่ไม่ต้องมีใครแต่งตั้ง โดยหน้าที่การงานนั้นแหละมันจะแต่งตั้ง เช่นหน้าที่การงานที่เราทำอยู่ เพื่อให้เด็กๆ ทุกคนปลอดภัยจากความเสื่อมเสีย มีความถูกต้องเจริญก้าวหน้า อาตมาจึงขอเสนอคำขึ้นมาอีกคำหนึ่งว่า ครูคือผู้สร้างโลก ครูคือผู้สร้างโลก พูดถึงคำนี้มาหลายครั้งหลายสิบครั้งแล้ว แต่รู้สึกว่าได้รับความสนใจน้อยมาก เพราะครูยังไม่อยากจะเป็นผู้สร้างโลก ยังจะเป็นผู้ถูกสร้างอยู่เรื่อย ไม่คิดถึงจะเป็นผู้สร้างโลก ครูเป็นผู้สร้างโลกอยู่โดยธรรมชาติ ใครคัดค้านข้อนี้ช่วยคัดค้านกันที เมื่อดูตามที่มันเป็นจริง มันเป็นอยู่จริงๆ ครูทำเด็กทุกคนให้ดี แล้วเด็กทุกคนมันก็ประกอบกันขึ้นเป็นโลกที่ดี เราจะมาพูดว่าครูเป็นผู้สร้างโลกอย่างนี้ ใครคัดค้าน ใครคัดค้าน อยากจะพบกับคนคัดค้านหน่อย ใครเป็นผู้คัดค้านข้อเท็จจริงอันนี้ ทั้งครูคนที่ไม่อยากอยากยอมรับเกียรติอันนี้ ก็ไม่คัดค้านก็ไม่ได้คัดค้าน ทั้งที่เขาไม่ยอมรับเกียรติอันนี้เขาก็ยังไม่อาจจะคัดค้าน นี้ขอให้ครูพิจารณาดูให้ดี ในข้อที่ตัวเองตั้งอยู่ในฐานะเป็นบุคคลที่สร้างโลก มันเป็นข้อเท็จจริงที่มันเป็นอยู่ในตัวการงานนี่ ไม่ใช่ใครมาตั้งให้ว่าเป็นผู้สร้างโลก แต่เมื่อทำหน้าที่ทำให้เด็กทุกคนมันดี เด็กทุกคนประกอบขึ้นเป็นโลก ครูเป็นผู้สร้างโลกโดยที่ไม่มีทางจะหลีกเลี่ยง ไม่มีทางที่จะปฏิเสธ จะอุปโลกน์ตัวเอง หรือไม่ยอมอุปโลกน์ตัวเองก็ตามเถิด ครูเป็นผู้สร้างโลกอยู่นั่นแหละ มันมีเกียรติเท่ากับพระเจ้า มีเกียรติเท่ากับพระเจ้า การจะยกย่องครูในฐานะเป็นพระเจ้านั้น ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล ครูอยู่ในฐานะเทียบเท่ากับพระเจ้า เพราะเป็นผู้สร้างมนุษย์ที่พึงปรารถนา ไม่ใช่สร้างแผ่นดิน ไม่ใช่สร้างมนุษย์อย่างคนๆ แต่ว่าสร้างคนที่เป็นมนุษย์ ให้มันเป็นส่วนประกอบที่ดีอยู่ในโลกนี้ นี่ก็เรียกว่าสร้างโลกนี้ให้ดี นี่ครูโดยหน้าที่ ที่กระทำอยู่นั้นน่ะเป็นผู้สร้างโลก แล้วครูส่วนมากเห็นว่าดีเกินไป ผูกมัดเกินไปจนไปเที่ยวเมาเหล้าไม่ได้ นี้ก็เลยไม่ยอมรับ ข้าพเจ้าไม่ยอมรับเกียรติยศอันนี้ นี่คือปมด้อยของครู น่าจะพิจารณากันเสียใหม่ รับผิดชอบในหน้าที่อันนี้ด้วยความสมัครใจ และทำให้ดีที่สุดในการที่จะสั่งสอนอบรมเด็กเยาวชนให้ดีที่สุด แล้วมันก็หมดหน้าที่ของครู ไอ้เด็กยุวชนที่ได้รับการอบรมดีแล้วไปสร้างโลกของมันเอง พูดให้ชัดหน่อยก็ว่า ครูสร้างโลกโดยผ่านทางเด็กๆ หรือยุวชน ครูเป็นผู้สร้างโลกทั้งโลก แต่ว่าผ่านทางเด็กๆ หรือทางยุวชน เราสร้างเด็กๆ หรือสร้างยุวชนให้ดีแล้วก็ประกอบกันขึ้นเป็นโลกที่ดี ทีนี้โดยข้อเท็จจริงมันยังเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าครูที่ขึ้นสังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการนั้น มันก็ทำงานไปตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ โดยบทบัญญัติหรือหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ มันยังไม่ได้สั่งสอนอบรมเด็กให้ดี เพียงแต่ให้มีความรู้สำหรับเอาตัวรอด อย่างโลกๆ นี่ ให้รู้หนังสือ ให้มีวิชาชีพ ไอ้เพียงเท่านี้มันยังไม่พอ คนที่รู้เพียงหนังสือและวิชาชีพนั้น ยังเป็นอันธพาลได้โดยง่าย ยังพร้อมที่จะเป็นอันธพาลอยู่ เพราะไม่มีคุณธรรมที่ดี ถ้าต่อเมื่อไรในหลักสูตรมันมีเรื่องของศีลธรรม จริยธรรมที่ดี ก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง น่าจะเต็มตามความหมาย ที่ว่าครูจะเป็นผู้สร้างเด็กสร้างยุวชนให้ดี เสร็จแล้วก็เป็นผู้สร้างโลกให้ดี เดี๋ยวนี้โดยข้อเท็จจริงมันยังทำไม่ได้ เพราะเขาขีดวงหน้าที่การงานของครูไว้จำกัดมาก เพียงแต่สอนหนังสือกับวิชาชีพเท่านั้นเอง ทีนี้เราจะสมัครใจสมัครใจของเราอุทิศว่าในโอกาสนี้เราจะสั่งสอนจริยธรรมศีลธรรม เป็นเรื่องพิเศษของเราเอง เราจะสอนหนังสือวิชาชีพชนิดที่ผนวกกันเข้าไว้กับศีลธรรมและจริยธรรม อบรมให้ดี ให้เด็กมีจริยธรรมและศีลธรรมพร้อมกันไป นี่มันจึงจะสำเร็จประโยชน์ในข้อที่ว่าสร้างโลก แต่ถ้ายังทำไม่ได้ โดยเหตุที่มีอะไรมาขวางอยู่ มีบงการที่ทรงอำนาจมาขวางอยู่ยังทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรมันก็ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะมันทำไม่ได้ แต่แล้วในส่วนที่ทำได้ ในส่วนที่อาจจะทำได้เท่าไรก็ตามนี่ คิดว่าควรจะต้องทำ อย่าแก้ตัวหรืออย่าสลัดไอ้หน้าที่อันสูงสุดนี้ออกไปเสียจากตัว มันก็จะดีหมด จะถูกต้องหมด จะดีหมดในความหมายของทุกๆ คำ คำว่า “ครู” ก็ดี คำว่า “การศึกษา” ก็ดี คำว่า “ผู้เปิดประตูทางวิญญาณ” ก็ดี “ผู้ช่วยโลก” ก็ดี มันจะมีความหมายเต็มที่ขึ้นมา เหลืออยู่แต่ว่าเรามองเห็นชัดในข้อเท็จจริงอันนี้ แล้วอธิษฐานจิตอุทิศชีวิตจิตใจกำลังกายกำลังใจทั้งหมด เพื่อทำหน้าที่อันนี้ อย่างที่เรียกว่า อุทิศชีวิตแก่พระผู้เป็นเจ้า อุทิศชีวิตเพื่อหน้าที่การงานอันสูงสุดนี้ ให้สมกับความหมายของคำว่า “ผู้เปิดประตูทางวิญญาณ” ตามอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ข้อเท็จจริงในปัจจุบันยังทำได้ยาก เพราะว่าหลักสูตรหรือระเบียบไม่อำนวย แล้วมันพิสูจน์ความไม่พอหรือความบกพร่องให้เห็น เช่น ข่าวหนังสือพิมพ์ครูยังจับเด็กมาตีเป็นร้อยๆ คนแล้วให้ตากแดด ไม่ใช่รายเดียว สองสามราย หนังสือพิมพ์ระหว่างนี้แปลกประหลาดที่ว่าครูตีเด็กอย่างทารุณโหดร้าย ไม่ใช่รายเดียว นี่ครูเป็นอย่างไร ถ้าครูยังทำอย่างนี้ได้ ครูเป็นอย่างไร ว่าเอาเงินของครูน้อย ครูผู้หญิงคนหนึ่งมันหายไป แล้วก็ครูผู้ปกครองจับเด็กร้อยๆ มาตี ผลัดกันสารภาพ ตีแล้วยังให้ยืนกลางแดดอยู่เป็นนาน นี่ดูๆ ดูจิตใจของครู ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่หนังสือพิมพ์มันลงข่าวนี้ แล้วก็มีอีกสองสามรายตีเด็ก อย่างจนพ่อแม่ต้องจับไป ต้องพาตำรวจมาจับไปฟ้องศาลอยู่เหมือนกัน นี่ข้อเท็จจริงที่ว่าครูกำลังเป็นอย่างไร ดังนั้น ครูผู้สร้างโลก มันยังไกลๆ กันนัก ไอ้การที่จะทำอย่างนี้ ต่อเมื่อเราอุทิศชีวิตจิตใจสมัครทำงาน เป็นผู้สร้างโลกตามรอยพระยุคลบาทของพระบรมศาสดาแล้วก็คงจะหมดปัญหา หมดปัญหาไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่ แล้วจะไม่บันดาลโทสะ โมหะมากเหมือนอย่างนั้น ทีนี้อาตมาก็อยากจะพูดต่อไปอีกถึงข้อที่ว่า เราควรจะปรับความรู้สึกหรือปรับความเข้าใจกันเสียใหม่เกี่ยวกับความเป็นครู เท่าที่เราจะทำได้เพื่อให้มองเห็นความจริงข้อนี้ แล้วรู้สึกว่าเป็นโชคดีที่สุดที่ได้เกิดมาเป็นครู หรือมีครอบครัวเป็นครู เพราะว่าได้ประกอบอาชีพปูชนียะบุคคล อยู่เหนือเกล้าเหนือเศียรของบุคคล เงินเดือนก็ยังได้ตามธรรมดาสามัญทั่วไป แล้วก็ยังทำหน้าที่สูงสุดคือสร้างโลก สร้างจิตสร้างวิญญาณของมนุษย์ มันสูงสุดถึงขนาดนี้ เป็นอาชีพสูงสุดคือเป็นปูชนียะบุคคล เป็นเจ้าหนี้เหนือมนุษย์ แล้วก็ทำหน้าที่สร้างโลกนั่นเอง และเงินเดือนที่เป็นผลของงานอาชีพธรรมดาก็ยังคงได้ แล้วทำไมจึงไม่ถือว่ามันเป็นโชคดีที่สุดที่ได้มามีอาชีพเป็นครู เมื่อเป็นครูที่ถูกต้องตามอุดมคติของครูแล้ว มันก็ได้รับผลอันนี้ทั้งหมดแหละ มีอาชีพรอดอยู่ได้ด้วยเงินเดือน แล้วก็เป็นปูชนียะบุคคลทางจิตใจและทางกิจกรรมนั้นก็เป็นผู้สร้างโลก ซึ่งเป็นงานอันสูงสุดไม่มีงานอะไรจะเหนือไปกว่า ควรจะมีความรู้สึกว่าโชคดีแล้วที่ได้มามีอาชีพเป็นครู หรือว่ามีครอบครัวเป็นครูกันทั้งครอบครัว มันก็ยิ่งดีมันยิ่งกว่าวรรณะพราหมณ์ เหนือกว่าวรรณะพราหมณ์ วรรณะพราหมณ์แห่งวรรณะพราหมณ์ คือวรรณะผู้สั่งสอน ผู้อบรมสั่งสอน ผู้เปิดประตูทางวิญญาณ และเมื่อนึกได้อย่างนี้นะ ก็ควรจะมีความสุขที่สุดแล้ว ครูที่นึกได้อย่างนี้ก็มีความพอใจในอาชีพของตน มันก็เลยเป็นผู้มีความสุขชนิดที่อย่างยิ่งน่ะ มีความสุขอย่างยิ่ง ไอ้ความสุขนี่มาจากความพอใจ ไม่มีความสุขชนิดไหนที่ไม่มาจากความพอใจ ความสุขอย่างเลวอย่างคดโกงมันก็มาจากความพอใจอย่างเลวอย่างคดโกง เดี๋ยวนี้ความพอใจบริสุทธิ์และถูกต้อง มันก็เป็นความสุขอย่างบริสุทธิ์ พอใจว่าได้ทำหน้าที่สูงสุดและทำได้ หน้าที่สูงสุดหน้าที่เดียวกับของพระพุทธเจ้านั้นเราทำได้ แล้วก็พอใจ พอใจก็เป็นสุขทันทีที่พอใจ แล้วก็เป็นครูไปพลาง เป็นสุขอย่างบริสุทธิ์ไปพลางตลอดเวลาทุกอิริยาบถ ถ้ามองเห็น ถ้านึกเห็นและมองเห็นมันจะเป็นอย่างนี้ ถ้ามองไม่เห็นมันก็ไม่มีหรอก มันก็เป็นไปไม่ได้ ถ้ามองไม่เห็น แต่ถ้ามันมองเห็นแล้วมันจะพอใจเป็นสุขอยู่ทุกๆ วินาทีที่ปฏิบัติหน้าที่ของครู ไม่ว่าหน้าที่อะไร หน้าที่ทุกหน้าที่ที่ครูจะต้องกระทำนั้น มันก็พอใจและก็เป็นสุข ปรับความรู้สึกให้ถูกต้องและปรับจิตใจให้มีความรู้สึกเป็นสุขอันบริสุทธิ์ สะอาดอยู่ตลอดเวลา เอาล่ะ เป็นอันว่าเราพูดถึงครูหรือเรื่องของครูในชั้นลึกแล้ว ในชั้นจิตใจที่ปรับปรุงได้และควรจะปรับปรุงให้รู้สึกพอใจและเป็นสุขพอใจ ถูกต้องแล้วและเป็นสุข มีลักษณะเป็นธรรมะชีวี ธรรมะชีวีที่สูงสุด ตามหลักธรรมะชีวีที่ได้บรรยายไปแล้ววันก่อนๆ นั้น และครั้งนี้ขอเตือนท่านผู้ฟังทั้งหลายว่าช่วยจำไว้เสมอ ธรรมะชีวีๆ มีธรรมะเป็นชีวิต มีชีวิตเป็นธรรมะนี้เป็นคำสำคัญที่จะต้องอยู่กับเนื้อกับตัว เราจะช่วยกันตั้งสังคมธรรมะชีวี คือเมื่อบุคคลที่มีชีวิตเป็นธรรมะ ธรรมะเป็นชีวิต ครูทำได้ง่ายที่สุด ทำได้ทุกๆ เวลา และมีความสุขเมื่อกระทำนั่นเอง ทีนี้ที่จะต้องพูดต่อออกไปอีกตามลำดับก็คือ วันครู คือเรื่องวันครู วันนี้เป็นวันครู เป็นวันที่สมมติบัญญัติให้เป็นวันครู เรียกว่า วันครู ทำอะไรต่างๆ กันทั่วทั้งประเทศ ในฐานะเป็นวันครู อาตมาอยากจะพูดถึงเรื่องน่าหัวกันเสียก่อนเกี่ยวกับวันครูนี้ มีคนตั้งข้อสังเกตและพูดขึ้นดังๆ ว่า วันครูเป็นวันที่ครูเมาเหล้ามากที่สุด เพราะครูกินเหล้ามากกว่าวันอื่นๆ เพราะวันอื่นๆ ไม่ได้จัดเหล้าให้กินกันให้มากๆ เหมือนกับวันครู วันครูนี้มีวิธีการเรี่ยไร รับเรี่ยไร แจ้งเรี่ยไร ชักชวนกันน่ะและก็เมามายกันที่สุดที่จะเมามายได้ วันครูคือวันที่ครูเมาเหล้าที่สุดกว่าวันอื่นๆ ในรอบปี แล้วก็วันเด็กน่ะ คือวันที่เด็กเป็นลิงทโมนมากกว่าวันอื่นๆ ในรอบปี พอถึงวันเด็กก็ปล่อยให้เด็กทำอะไรตามชอบใจ ส่งเสริมให้เด็กตามชอบใจ จะโห่ร้องสรวลเสเฮฮากันอย่างไร ที่ไหนก็เปิดให้เด็กสรวลเสเฮฮากัน นี้เด็กส่วนใหญ่มันยังมีลักษณะเป็นลิงทโมน นี้วันเด็กเป็นวันที่เด็กเป็นลิงทโมนมากกว่าวันใดในรอบปี วันครูเป็นวันที่ครูเมาเหล้ายิ่งกว่าวันใดในรอบปีนี้ มันมีผู้ตั้งข้อสังเกตอย่างนี้ มีส่วนจริงกี่เปอร์เซ็นต์ไปคำนวณดูเองท่านครูทั้งหลาย ไปคำนวณดูเองว่าคำพูดนี้มีส่วนจริงอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ นี้วันครูมันยังอยู่ในลักษณะที่น่าสงสาร วันเด็กก็ยังอยู่ในลักษณะที่น่าสงสาร ที่จริงวันครูนี้ผู้มีอำนาจนี่ ควรจะจัดให้เด็กให้รู้จักครู รู้จักคุณของครูจนน้ำตาไหล ด้วยการพูดจา ด้วยการแสดง ด้วยการพิสูจน์อะไรก็ตาม เอามาพูด เอามาประชุมกันพูดชี้แจงชักจูง จนเด็กน้ำตาไหลด้วยรู้สึกในพระคุณของครู อย่างนี้ดีกว่าปล่อยให้เด็กไปเป็นลิงทโมนตลอดวันเด็ก วันครูทำให้เด็กรู้จักครูจนน้ำตาไหล นี่ส่วนเด็ก แล้ววันครูทำให้ครูรู้จักตัวเองจนน้ำตาไหล ฟังออกไม่ออกสุดแท้ วันครูจะต้องจัดให้ครูรู้จักตัวเองจนน้ำตาไหล น้ำตาไหลอย่างไรก็สุดแท้อีกเหมือนกัน น้ำตาไหลเพราะสงสารตัวเองหรือว่าน้ำตาไหลเพราะรู้สึกถึงความประเสริฐ คุณค่าอันสูงสุดของความเป็นครู แล้วสะดุ้งขึ้นมาน้ำตาไหล นี่วันเด็ก ก็เป็นวันที่จะต้องจัดให้เด็กรู้จักพระคุณของครูจนน้ำตาไหล ดีกว่าให้เขาไปเป็นลิงทโมน วันครูก็จัดให้ครูได้รู้จักความเป็นครูของตัวเองจนน้ำตาไหล รู้จักความเป็นปูชนียะบุคคล รู้จักหน้าที่อันสูงสุด รู้จักว่าโชคดีที่สุดที่ได้มีอาชีพเป็นครู แล้วครูก็น้ำตาไหล อย่างนี้อาตมาคิดว่าถูกที่สุด นั้นวันครูที่จะร้องเพลงกันใหญ่หรือว่าจะเลี้ยงกันใหญ่ หรือว่าจะทำอะไรกันที่มันเป็นเรื่องสรวลเสเฮฮากันใหญ่นั้น น่ากลัวจะไม่ส่งเสริมไอ้ความเป็นครูนั้น ลงรกลงรากอย่างถูกต้องเข้มแข็งมั่นคง นี้คำว่า “วันครู” พูดกันสักนิดหนึ่งก็พอ ทีนี้เรื่องต่อไปจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่จะพูด การปรับปรุงแก้ไขสิ่งบกพร่องเหล่านี้ควรจะทำกันอย่างไร ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เด็กและแก่มหาชนให้ยิ่งขึ้นไป คำว่า “ตัวอย่าง” นี้มีค่ามากกว่าคำสั่งสอน สอนด้วยปากเขาไม่เชื่อเขาไม่ไว้ใจ แต่ถ้าทำให้ดู ดูด้วยการกระทำแล้วเขาไว้ใจ เขาเคารพ เขาไว้ใจ เขาสนิทใจ ถ้าเรามัวพูดกันแต่ปากแล้วมันหลอกก็ได้ หลอกก็ได้ มันดีแต่ปาก มันพูดแต่ปากอย่างนี้ มันไม่สำเร็จประโยชน์ นี้ต้องแสดงตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กและมหาชนทั้งหลาย นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำได้นะ ไอ้การที่จะแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายให้ดีขึ้นมา นั้นน่ะพร้อมใจกันแปลบเดียวทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีที่ถูกต้องทั้งแก่เด็กและแก่มหาชน แล้วจะต้องมีการทำสังคายนา สังคายนาครูและการกระทำของครู คำว่า “สังคายนา” สังคายนา คือตรวจสอบหาข้อผิดพลาดและแก้ไขเสียใหม่ให้ดีให้ถูกต้อง นี่เขาเรียกทำสังคายนา เป็นคำที่ใช้ในทางศาสนา ทำสังคายนา ธรรมวินัย พระคัมภีร์ที่เขียนไว้มันวิปริตคลาดเคลื่อนอย่างไร ตรวจสอบเสียใหม่แก้ไขให้ดีนี่เรียกทำสังคายนา หรือว่าปรับปรุงการประพฤติการกระทำของหมู่คนที่ไม่ถูกต้อง ไม่ดีให้ดีให้ถูกต้องเรียกว่า ทำสังคายนา แต่ส่วนใหญ่ก็ใช้ทำแก่คำสั่งสอน ตัวหนังสือที่เป็นคำสั่งสอน สังคายนานี้แปลว่าแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว เอามาสวดพร้อมๆ กัน เป็นการรับรองและจำไว้ คายนาแปลว่า ร้อง ขับร้อง สวดแบบนี้แปลว่า ถูกต้องแล้ว ยุติแล้ว สวดร้องพร้อมๆ กันเพื่อจำไว้ๆ รักษาไว้ สังคายนาครูก็ดูว่ามันมีอะไรที่ผิดพลาด สังคายนาการกระทำของครู และสังคายนาครู เมื่อพบอะไรเป็นความผิดพลาดแล้วก็ช่วยกันแก้ไขเสีย แก้ไขของตัวเองโดยไม่ต้องมีใครมาแก้ไขนั้นแหละเป็นการดี ต่อเมื่อมันทำไม่ได้มันจึงจะใช้กำลังบังคับ แต่มันก็อยู่ในขอบเขตเพราะว่าสมัยนี้มันเป็นสมัยประชาธิปไตย ถึงอย่างนั้นก็ยังทำได้ด้วยอำนาจของประชาธิปไตยในการที่จะสังคายนาครู หรือสังคายนาการกระทำของครู เราจะต้องอาศัยการกระทำอีกอย่างหนึ่ง คือการทำให้ครูรู้จักตัวเองยิ่งขึ้น พูดกันแล้วพูดกันอีก อบรมกันแล้วอบรมกันอีก หรือทำอะไรก็ตามให้ครูรู้จักตัวเองมากขึ้นว่าครูคืออะไร นี่ทำอะไรข้อนี้ให้มากขึ้นๆ แล้วก็ที่อาตมาคิดว่าความบกพร่องข้อใหญ่นี้ เราทำการศึกษาเป็นเรื่องทางวัตถุมากเกินไป นั้นขอให้จัดทำให้การศึกษาเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณมากขึ้น ที่กระทรวงจะจัดจะควบคุมเป็นเรื่องของประเทศทั้งประเทศนี่ จะต้องจัดต้องกระทำให้การศึกษานี้เป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณมากขึ้น อย่าให้เป็นเรื่องแต่ทางวัตถุหรือทางกายอย่างเดียว เหมือนกับที่กำลังจะทำอยู่ เดี๋ยวนี้เรื่องทางจิตทางวิญญาณมันมีแต่ชื่อมีแต่ปาก มันไม่ได้มีการกระทำที่แท้จริง เพราะเหตุอะไรก็หลายๆ เหตุ หลายเหตุผล เพราะไม่สามารถกระทำเพราะไม่รู้ เพราะว่าบังคับมันไม่ได้อะไรก็แล้วแต่ มันจึงมีน้อยเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณน้อย เป็นเรื่องทางกายทางวัตถุเสียเป็นส่วนมาก นี่เราทำอย่างนี้ แล้วก็ควรจะมี ควรจะมีพิธีๆ มอบกายถวายชีวิตแก่พระบรมครูกันขึ้น หลายคนอย่าคิดว่าบ้า หลายคนจะคัดค้านว่าเป็นเรื่องบ้า ถ้าจะวางระเบียบปฏิบัติให้ทำพิธีครู มอบกายถวายชีวิตแก่พระบรมครูเป็นกิจจะลักษณะ เหมือนกับสมาทานศีล สมาทานธรรม สมาทานอะไรต่างๆ สมาทานว่าจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรนี้ ก็จัดพิธีที่หรูหราที่สุด ให้ครูที่สมัครใจมาทำพิธีมอบกายถวายชีวิตแก่พระบรมครูมากขึ้น ว่าต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะเดินตามรอยพระบรมครูทุกอย่างทุกประการ เขาคงไม่ทำแต่ปากน่ะ เพราะว่าก่อนแต่เขาจะเข้ามาเขาก็จะต้องคิดนึกพอสมควรแล้ว เขาเข้ามาทำด้วยจิตใจนี้มันช่วยได้นะคนเรา เป็นเครื่องกระชับกระชับให้มันแน่นแฟ้นเข้ามาโดยทางการอธิษฐานจิตก็ทำ ทางวาจานี้ก็ทำ ทางกายก็กระทำ ทางกายก็กระทำ ทางวาจาก็กระทำ ทางจิตก็กระทำ ทำในลักษณะที่เป็นการมอบกายถวายชีวิตแก่พระบรมครู ถ้าเสนอแก่กระทรวง กระทรวงคงจะว่าบ้า อาตมาก็ไม่เคยคิดที่จะเสนอความคิดอันนี้แก่สังคมหรือแก่กระทรวงไหน แต่นึกอยู่ในใจว่าถ้าทำได้อย่างนี้ ครูก็จะมีความเป็นครูที่แท้จริงมากขึ้นโดยเร็ว จนกระทั่งครูสามารถสงวนสถานะของตนที่เป็นปูชนียะบุคคลและตั้งอยู่ในวรรณะอันสูงสุด คือวรรณะผู้อบรมสั่งสอน เดี๋ยวนี้ดูเขาจะไม่ยอมรับกันเสียก็ได้ว่า ครูทุกคนมีสังกัดขึ้นตรงต่อพระบรมครูคือพระพุทธเจ้าต้องยอมรับ แล้วเรามาชวนให้เขามอบกายถวายชีวิตแก่พระบรมครูอย่างเป็นกิจจะลักษณะเป็นการอธิษฐานเป็นการสมาทาน นี้เขาไม่ค่อยคงจะไม่เอานี่ ทำเป็นระเบียบขึ้นมามันก็ยังดีมันก็ยังมีคนเอาครึ่งหนึ่งหรือเอาทั้งหมดก็แล้วแต่ แต่มันคงจะมีมากขึ้นกว่าที่จะปล่อยไว้ตามบุญตามกรรม นี่ครูจะสามารถเคารพตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองในฐานะที่เป็นครู เป็นถูกต้องและมีความสุขอยู่ในจิตใจตลอดเวลาที่รู้สึกเช่นนั้น รู้สึกว่ามีความถูกต้องอยู่ในตนแล้วก็พอใจนี่แหละ แล้วก็เป็นสุข เป็นสุข ความสุขมาจากความพอใจ พอใจว่าถูกต้อง แล้วมันมีความถูกต้องจริง ความสุขนั้นก็บริสุทธิ์ หวังว่าท่านครูทั้งหลายคงจะได้เอาไปคิดนึกศึกษากันให้ดีๆ แล้วก็อย่าโมโหว่าอาตมาพูดจารุนแรง เมื่อขอให้พูด มันพูดอย่างอื่นไม่เป็นนี่ พูดอย่างนี้แหละ มันพูดอย่างอื่นไม่เป็น มาขอให้พูดมันก็พูดอย่างนี้ ดังนั้น อย่าโมโหว่าได้พูดอะไรรุนแรง พูดอะไรเป็นเชิงกระทบกระทั่ง ไม่มีเจตนาจะกระทบกระทั่ง มีแต่เจตนาที่จะแก้ไขหรือหมุนที่มันไม่ถูกให้มันไปสู่กระแสแห่งความถูก เอ้า! จบว่ามันยังอยู่ในระยะวันปีใหม่ วันปีใหม่อยู่หยกๆ นี่มันยังอยู่ในระยะวันปีใหม่ ขอให้วันครูนี้ทำให้เป็นครู ทำครูให้เป็นครูมากกว่าปีเก่า เป็นครูคนใหม่ที่มีความเป็นครูมากกว่าปีเก่า มันอยู่ในระยะปีใหม่อยู่หยกๆ นี้ จงเป็นครูให้ถูกต้องตามความหมายของคำว่า “เป็นครู” ให้มันมากกว่าปีเก่า เช่นเดียวกับที่เรากระทำแก่วันปีใหม่ แล้วก็มีความแน่ใจมีความพอใจในการกระทำนี้ พอพอใจตัวเองอีกล่ะก็ยกมือไหว้ตัวเองได้อีกล่ะ เรื่องจบ เรื่องจบแล้ว เรื่องจบแล้ว ครู วันครู วิญญาณของครู มีอยู่อย่างไรถึงได้เอามาพูดกันถึงที่สุดแล้ว แล้วพูดวันนี้เหมือนกับแอบพูดในซ่องหรือในแก๊ง ที่คนเขาไม่ค่อยจะได้ยินได้ฟัง และเขาไม่ค่อยอยากจะได้ยินได้ฟัง แต่เรามีเจตนาดีที่จะปรึกษาหารือกัน เหมือนกับว่าเป็นภายในนี้ แต่ว่าเขายังไม่ยินดีจะเข้าใจด้วยหรือร่วมมือด้วย เราก็ทำกันไปก่อนในลักษณะเป็นภายใน ตั้งแก๊งครูขึ้นในชั่วโมงนี้ พูดจากันเรื่องหน้าที่ที่จะต้องแก้ไขอย่างไรต่อไป นี่ขอให้ครูทุกท่านมีความสุขสวัสดี เพราะเป็นครูมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ก้าวหน้าอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย