แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อบรมคณะครูจากชมรมครูศีลธรรมแห่งประเทศไทย ณ ลานหินโค้งสวนโมกข์ไชยา วันที่ 6 เมษายน ปีพุทธศักราช 2548 ท่านผู้ทำหน้าที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายมาสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือในลักษณะที่เป็นการปรึกษาหารือ ในกิจการอันเป็นหน้าที่ของครู ให้สมตามความมุ่งหมายของความเป็นครู ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อะไรเรื่อยไป เต็มที่เท่าที่จะเป็นไปได้ สิ่งแรกที่จะสำนึกก็คือว่า พระพุทธเจ้านั้นเป็นบรมครู พระพุทธเจ้าเป็นบรมครู ถ้าใครไม่ยอมรับก็ไม่จำเป็นต้องมาฟังหรือมาสนใจอบรมอะไร แล้วที่นี้ก็ดูพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูว่าท่านได้ทำอะไร อย่างไร ท่านอยู่ในสถานะอย่างไร ท่านจึงทำหน้าที่ของท่านได้ดีถึงที่สุด นับตั้งแต่เรื่องที่เราควรจะพูดถึง เรื่องแรกที่สุดก็คือว่า พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน พระพุทธเจ้าสอนกลางดิน พระพุทธเจ้าก็อยู่กุฏิพื้นดิน และในที่สุดก็นิพพานกลางดิน ล้วนแต่กลางดินไปเสียทั้งนั้น ตั้งแต่คราวที่มีชีวิตอยู่ก็พื้นดินนั่นแหละเป็นเหตุให้ได้ทำหน้าที่อันสูงสุดของผู้ที่เราเรียกกันว่าบรมครู ท่านเป็นอยู่อย่างต่ำคืออยู่กลางดิน และก็ทำอย่างสูงสุด มันตรงกันข้ามกันหรือเปล่ากับพวกเรา ที่ต้องการจะเป็นอยู่อย่างสูง ๆ อย่างฟุ่มเฟือย และก็ทำงานต่ำ ๆ ที่สุด ก็คือเป็นครูชนิดที่เรียกว่ารับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่ง ๆ ถ้าจะเป็นเรื่องอนุโลมคำตอบเรื่องของพระบรมครูมันก็ต้องเป็นเรื่อง ของการยกสถานะทางวิญญาณของมนุษย์ให้สูงขึ้น ไม่ใช่อาชีพสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่ง ๆ เพราะบางทีก็หลอกลวงนักเรียนเพื่อประโยชน์ของครูก็มี ยังได้เห็นครูเมาเหล้าในวันครูมากกว่าใคร ๆ ยังมีอะไรที่ไม่ตรงกันอยู่อีกหลายอย่าง ดังนั้นในกิจกรรมของครูมันจึงยังชะงักอยู่ ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็นคือความหมายของคำว่าครู ครูผู้เปิดประตูในทางวิญญาณ คำว่าครูนั่นแปลได้หลายอย่าง แปลว่าหนัก ครุแปลว่าหนักก็ได้ ก็มีคุณอันหนักมีคุณค่าอันหนัก มีพระเดชพระคุณอันหนัก แม้จะหนักอยู่บนศีรษะให้คนทั่วไป มันก็ยังเป็นผลดีคือทำให้คนทั่วไปนั้นมีคุณ มีคุณที่รักษาไว้ได้ เอ่อ, คำว่าครูมีหน้าที่เป็นผู้นำในทางวิญญาณนี่ก็ถือความหมายนี้กันมาพักหนึ่ง ทั้งในบ้านเราและต่างประเทศ ว่าครูเป็นผู้นำในทางวิญญาณ ในที่สุดปรากฏว่ามีผู้ที่เป็นนักศัพทศาสตร์ เรื่องศัพท์ เรื่องธรรม เรื่องภาษา คนเขาว่ากันว่าคำว่าครูนี่แปลว่าเปิดประตู หมายถึงเปิดประตูทางวิญญาณอย่างนั้นแหละ ให้สัตว์ที่อยู่ในกรงในคอกออกมาจะได้จากคอก ความหมายก็ความหมายคล้าย ๆ กันกับว่าเปิดประตูทางวิญญาณกับนำในทางวิญญาณมีผลให้วิญญาณมันสูงขึ้นก็แล้วกัน นี่เรารู้ความหมายของคำพูดคำนี้ แล้วก็จะมองเห็นได้ทันทีว่าอาชีพครูนั้นไม่ใช่อาชีพสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่ง ๆ เพราะบางทีก็หลอกลวงนักเรียนด้วย เอาเปรียบนักเรียนด้วย เอาเปรียบราชการก็มี ไม่มีอะไรที่ทำให้ประชาชนไม่เลื่อมใสครูอย่างนี้มันก็ยังมี มันก็เลยชะงักงันไปหมดในทางสูง เหลืออยู่แต่หากินไปวันหนึ่ง ๆ และก็ยังเป็นผู้นำในทางฟุ่มเฟือย เสีย ๆ ก็ยังมีเพราะยังมีครูบางคนแต่งตัวเหมือนละคร เหมือนนางละคร และก็มีกิริยาท่าทางอย่างนั้น อย่างนี้มันก็สูญเสียความเคารพนับถือ มันก็เป็นไปไม่ได้ในการที่ใครจะเชื่อฟัง เพราะฉะนั้นก็จะคิดกันเสียใหม่ให้เด็ดขาดลงไปว่า เมื่อจะเป็นครูก็ขอให้เป็นครูโดยแท้จริง เสียสละ ทุกอย่างที่ควรเสียสละ เพื่อให้ได้เป็นครูที่แท้จริง แสดงอาการออกมาเป็นครูโดยแท้จริง ก็คือเป็นผู้นำในทุกทาง ทางการประพฤติ ทางกาย วาจา ใจ เป็นผู้นำในทางคิด นึก ค้นคว้า เพื่อความเจริญก้าวหน้าในทางจิตใจ จนเป็นแบบอย่างได้ในทุกกรณี นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องเจตนาร้าย จะ จะกล่าวประณามครูคนไหน หรือครูที่ไหนก็หามิได้ เดี๋ยวนี้มันก็เหมือน ๆ กันไปทั้งโลก มีแต่บางแห่งมันมากเกินไปเท่านั้นแหละบางแห่งมันไม่สู้มาก แต่มันก็เหมือน ๆ กันไปทั้งโลกคือเป็นอาชีพหากินไปวันหนึ่ง ๆ ซึ่งกิริยาที่จะยกสถานะทางวิญญาณนั้นมันไม่มี มันจะโทษครูข้างเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่าฝ่ายยุวชนมันก็เต็มที ๆ เอามาก ๆ ถ้ามีการอบรมมาไม่ดีตั้งแต่แรกเกิด ตั้งเป็นเด็กทารก เป็นเด็กโต เป็นเด็กนักศึกษา มันก็ปล่อยไปตามอำนาจแห่งความพอใจของตัว แล้วก็อบรมให้เห็นแก่ตัวโดยไม่รู้สึกตัว อบรมให้เด็ก ๆ นั้นโง่หลงใหลในทางความสวยความงามฝ่ายภายนอก อยากกินของแพง อยากเล่นของแพง อยากมีอะไรที่เป็นของสำหรับจะอวดผู้อื่นว่าเรามีดีกว่าใคร เรื่องอย่างนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ทำให้เด็ก ๆ เขามีวิญญาณเดินไปทางกรรม คือเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวในทุกแง่ทุกมุม ถ้าประชาชนเป็นอย่างนี้มันก็มีแต่ประชาชนผู้มีความเห็นแก่ตัว ไม่ได้เห็นแก่ประเทศชาติ หรืออะไรที่มากไปกว่านั้น นี้จะเป็นความผิดของใครมันก็พูดยาก แต่มันก็ได้มีอยู่จริง และมันก็ได้ค่อย ๆ เป็นมา ค่อย ๆ เป็นมา เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วอย่างน้อยก็ห้าสิบหกสิบปีที่ความตกต่ำในภาพของครูได้มีเข้ามา ไม่ใช่ว่านับตั้งแต่เปลี่ยนการศึกษาเป็นรูปแบบแผนใหม่แล้วมันจะดีขึ้น แผนใหม่ก็ไปเอาของต่างประเทศมา ก็ดูที่เจ้าของเดิมมันเป็นอย่างไร มันมีศีลธรรมอย่างไรในประเทศเหล่านั้น แล้วเราเอามาทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร มันก็ล้วนแต่เอามาได้เฉพาะเรื่องที่ทำให้เห็นแก่ตัว คือเรื่องที่ให้ยกหูชูหางดีกว่าใคร แล้วก็ฟุ้งซ่าน แล้วก็มีลักษณะว่าผู้ประกอบอาชีพของครูมากยิ่งขึ้น ๆ ไม่ใช่ทำอาชีพปูชนียบุคคลเหมือนแต่กาลก่อน ครูนั้นเป็นปูชนียบุคคล เพราะทำประโยชน์ให้มากกว่าสิ่งของที่ได้รับเป็นการบูชาคุณ คือครูจึงมีส่วนเป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลเจ้าหนี้ อยู่เหนือศีรษะคนทุกคนที่มันได้ดิบได้ดีขึ้นมาเป็นบุคคล ก็เพราะการนำของพวกครูบาอาจารย์ นี่ขอให้นึกดูให้ดีว่า แต่ก่อนนั้นมันเคยมีลักษณะเป็นปูชนียบุคคล ไม่ได้พูดกันถึงเรื่องเงินเดือนเป็นใหญ่ แต่มาเดี๋ยวนี้มัน ๆ มันเพ่งเล็งถึงเรื่องเงินหรือประโยชน์ที่จะได้รับเป็นใหญ่ แล้วก็เตลิดเปิดเปิงจนลดไม่ลง จนต่ำไม่ลง จนอะไรไม่ได้ ก็เลยมุ่งหมายแต่เพื่อจะได้ประโยชน์เป็นวัตถุสิ่งของเงินทอง หรือเป็นปัจจัยแก่เงินทองไปเสียหมด นั่นก็หมายความว่าถ้าสร้างยุคใหม่ สร้างยุคใหม่ขึ้นมาให้คนมันมีลักษณะเห็นแก่ตัว ตัวใครตัวมันตัวใครตัวมันยิ่ง ๆ ขึ้นกว่าแต่ก่อน และยิ่งมีลักษณะประชาธิปไตย ใครชอบทำอย่างไรก็จะทำได้อย่างนั้นเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย แล้วมันก็เลยเปลี่ยนแปลงไปเปะ ๆ ปะ ๆ มนุษย์ในโลกจึงมีสภาพทางจิตต่ำลงคือเห็นแก่ตัว ๆ เห็นแก่ตัวเห็นตัวเป็นสรณะ เห็นตัวเป็นพระเจ้าสูงสุด เห็นตัวเป็นอะไรทั้งหมด อย่างนี้มันก็พูดกันไม่ลง พูดกันไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะการเจรจาเพื่อสันติภาพในโลกนี้มันทำไปไม่ได้ เพราะว่ามันทำไปในหมู่คนผู้มีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวนี้มีความหมายหลายอย่าง เรื่องสวยเรื่องงามจะอวดจะโอ้อย่างนี้ก็มีอยู่ เห็นแก่ตัวในการที่จะบีบคั้นเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัวอย่างนี้ก็มีอยู่ มีกระทั่งว่าจะเป็นผู้นำในการคิดทำลายพวกอื่นหรือชนเหล่าอื่นมันก็ยังทำได้ นี่เราจึงได้ผลคือได้อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ที่นี้อย่างจะพูดถึงคำว่า โลกที่มีศีลธรรมหายไป และศีลธรรมของโลกที่หายไป มันหายไปไหนมันหายไปในความเห็นแก่ตัว คนเดี๋ยวนี้ไม่มีความรู้สึกว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าเป็นคนสมัยสักห้าสิบหกสิบปีมาแล้ว มันก็ยังมีพูดถึงคำนี้กัน สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นไม่เบียดเบียนกัน มีความสุขบริหารตนอยู่ด้วยกัน นี่พูดกันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครพูดเลยไม่ได้ยิน ไม่ได้ยินใครพูด ถ้าใครพูดก็กลายเป็นคนแปลกประหลาด และคนบางคนจะหาว่าเป็นคนบ้าไปแล้วก็ได้ที่จะคิดว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เพราะคนเหล่านั้นหากถูกอบรมมาในลัทธิที่ว่าตัวใครตัวมัน ก็เห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น ๆ จนถึงระดับสูงสุดที่จะเห็นแก่ตัวได้สักเท่าไร นี่เราก็มีโลกแห่งบุคคลผู้เห็นแก่ตัว ภายในประเทศเรามันก็เพิ่มอาชญากรรมจนเป็นที่เดือดร้อนกันไปทั่วทุกหัวระแหงหรือทุกอย่าง อาชญากรรมเหล่านี้เป็นของผู้เห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ ภายในประเทศก็เดือดร้อนอยู่ในความเห็นแก่ตัว ระหว่างประเทศในโลกออกไปมันก็กำลังเป็นปัญหาหนักเพราะความเห็นแก่ตัว ซึ่งมีแต่จะสร้างวิกฤตการณ์ในทางทุกทางที่จะทำได้ ในทางเศรษฐกิจมันก็มุ่งจะเอาเปรียบให้มากที่สุดจนได้เปรียบ ในทางการเมืองมันก็มุ่งที่จะเอาเปรียบให้มากที่สุดจนได้เปรียบ ทางการทหารทางการอะไรต่าง ๆ ก็ใช้เพื่อให้ได้ความได้เปรียบ มันก็อยู่กันในระหว่างคนที่เอาเปรียบกับถูกเอาเปรียบ มันก็เป็นโลกที่ประหลาดที่สุด ที่คนพวกหนึ่งก็มั่งมีเป็นอยู่เหมือนกับแข่งกับเทวดา แต่อีกมุมหนึ่งทางหนึ่งก็อดตายอยู่ทุกวัน ไม่มีอะไรจะกินจนอดตายอยู่ทุกวัน ซึ่งมันไม่น่าเชื่อแต่มันก็มีข่าวเช่นนั้นจริง ๆ มันเป็นข่าวที่ไม่น่าเชื่อว่าในโลกสมัยนี้จะมีคนอดตาย มันก็เป็นเรื่องของการที่เห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละอย่างน้อยก็เห็นแก่ตัวจนปล่อยผู้อื่นอดตาย เขาคำนวณกันแล้วก็น่าใจหายว่าเงินที่ใช้ในการทำสงครามเพียงวันเดียวนี่เอาไปช่วยคนให้ไม่ต้องอดอาหารตายได้เป็นแสนเป็นล้าน แต่ก็ไม่มีใครทำหรอกเพราะว่าเราต้องการจะครองโลก นี่เราพูดเรื่องโลกกันมาถึงที่สุดแล้วว่าโลกกำลังไร้ศีลธรรม กำลังอยู่ในสภาพที่ไร้ศีลธรรมแล้วทำอย่างไรมันจึงจะกลับมาหรือกลับไปก็ได้ กลับไปสู่ความมีศีลธรรมให้เหมือนที่มันเคยมีมาแต่ในกาลก่อน ทำอย่างไรคำว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายนี่มันจะกลับมาก้องอยู่ในสังคม เหมือนแต่ในสมัยก่อนอีกลองคิดดูอย่างนี้คิดดูไม่มีทาง เพราะว่าเราก็กำลังทำให้ทุกคนเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น อยากจะพูดพอเป็นตัวอย่างหรือแนวทางสำหรับนึกได้ เพราะว่าคนเราสมัยนี้รวมทั้งท่านทั้งหลายด้วยพอเด็ก ๆ คลอดออกมาก็ต้องการให้มันกินดีที่สุด อยู่ดีที่สุด ประคบประงมที่สุด ๆ ที่จะทำได้ เหล่านี้เป็นเรื่องช่วยให้เด็กเห็นแก่ตัวทั้งนั้น และเมื่อเด็ก ๆ ก็อยากจะได้อะไรก็อุตส่าห์ซื้อหาให้ทั้งที่เป็นของแพง ทั้งที่เป็นของไม่ควร มันก็จะทำให้เด็กมีความรู้สึกเห็นแก่ตัว คือเพิ่มความเห็นแก่ตัวลงไปในสันดานของเด็ก ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ห้ามหรอก ลูกเล็ก ๆ ตาดำ ๆ นั่นอย่าให้มันเห็นแก่ตัว ไปในทางที่ว่าเอาดีเอาเด่นเอาสวยเอางามเอาอร่อยเอาอะไรมากเกินไป มีแต่จะตามใจให้ได้เล่นของเล่นที่มันแพงที่สุด บางทีพ่อหรือแม่นั่นแหละเป็นผู้โง่ ว่าจะซื้อของที่แพงที่สุดมาให้ลูกเล่นแล้วแกก็จะได้อวดเพื่อนบ้านว่าลูกของฉันเล่นของเล่นที่แพงที่สุดชิ้นนี้ ราคาเป็นร้อย ๆ อย่างนี้เป็นต้น นี่คือทำเด็กให้กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวโดยไม่รู้สึกตัว พ่อแม่คนไหนบ้างที่จะบอกให้เด็กรู้ว่านั่นมันแพง มันเป็นของที่เขาทำไว้สำหรับให้เราโง่ ของแพง ๆ อันนั้นสวย ๆ อันนั้นเขาทำไว้สำหรับให้เราโง่ คือไปซื้อเอามาอย่างแพง ๆ เอามากินมาใช้ ประเดี๋ยวประด๋าวก็หมดไปนี่ ตุ๊กตาตัวสวยนั่น เครื่องเล่นชิ้นแพงนั่น เสื้อผ้าชิ้นแพงนั่น เขาทำกันขึ้นมาสำหรับให้เรากลายเป็นคนโง่ คือเป็นเหยื่อของเขาแล้วลูกเด็ก ๆ นั้นก็เริ่มจะเห็นด้วยที่ว่าไม่ต้องเอาแพง ไม่ต้องเอาดีกันอีกต่อไป เดี๋ยวนี้ก็มีแต่ยุยงส่งเสริมช่วยสนับสนุนจนเป็นเด็กวัยรุ่น เป็นเด็กรุ่นหนุ่มรุ่นสาวก็ยังได้รับการช่วยเหลือแวดล้อมไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ให้ได้มีอะไรที่ดีที่เด่นที่ดังที่อ่า, จะอวดคนอื่นได้ เพื่อว่าเราจะมีหน้ามีตา เป็นครอบครัวที่มีหน้ามีตา ส่วนที่จิตใจมันเสื่อมเสียลงไปนั่นไม่นึกถึง และเด็กที่ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์อย่างนี้ คือเด็กที่จะประกอบอาชญากรรม อยู่ที่ไหนมันก็หลอกลวงพ่อแม่ที่เรียกกันว่าต้มตุ๋นพ่อแม่ ไปเรียนอยู่กรุงเทพก็หลอกลวงพ่อแม่ใช้เงินมัน เหมือนกับว่ามัน ๆ พิมพ์ธนบัตรได้เอง พ่อแม่ก็กลายเป็นเหยื่อของลูกที่ตนอบรมมาอย่างคดโกง ไม่มีศีลธรรมใด ๆ อยู่ในสันดานแห่งจิตใจ ทำกับพ่อแม่ได้ลงคอ หลอกลวงพ่อแม่ได้ลงคอ เอาเงินไปบำเรอชู้หนุ่ม ชู้หนุ่มชู้สาว ไปบอกพ่อแม่ว่าไปเสียค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียน อย่างนี้มันก็มีอยู่มากเหลือมาก มันก็เป็นสิ่งที่เรียกว่ายากแก่การแก้ไขโรคร้ายห้าสิบปีหกสิบปี โรคร้ายที่มันเป็นมาห้าสิบหกสิบปีนี้มันก็ยากเกินที่จะแก้ไข เหลืออยู่ก็แต่ในอนาคตที่ว่าใครจะเป็นคนแก้ไข ถ้าว่าบิดามารดายังมีความโง่ความหลง หลงใหลในความเด่นความดังของลูกต้องการให้ลูกชนะในเรื่องดีเรื่องเด่นเรื่องดัง โดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องผิดถูกมันก็ต้องไปแบบนี้ต่อไปอีกนาน ที่นี้หันมาทางโรงเรียนก็มีลักษณะเป็นการค้ามากขึ้น โรงเรียนมีลักษณะเป็นการค้ามากขึ้น ต้องการให้เจริญ ต้องการให้มีกำไร มีแต่โรงเรียนเพื่อว่าให้ศีลธรรมกลับมา อาตมาพูดอย่างนี้แรงไปหรือไม่ขอให้ช่วยคิด เพราะไม่มีโรงเรียนไหนจัดงานจัดแผนงานของการดำเนินการโรงเรียนเพื่อให้ศีลธรรมกลับมา ล้วนแต่จัดเพื่อว่าให้โรงเรียนมีกำไร ให้โรงเรียนได้แสดงความใหญ่โต ความเหนือโรงเรียนอื่น และถ้าเป็นช่องโอกาสที่จะขูดรีดมันก็ขูดรีด ขูดรีดได้อย่างมากทีเดียว ขูดรีดในการเก็บค่านั่นค่านี่ ค่าธรรนเนียม ค่าอะไรต่าง ๆ นานา จนเดือดร้อนถึงพ่อแม่ ซึ่งจะต้องไปหาโดยวิธีไม่ซื่อไม่ตรงมาป้อนให้อีกต่อไป ผลมันคาบเกี่ยวกันอย่างนี้ แล้วเราจะหาใครที่จะเป็นผู้เสียสละเพื่อว่าเอาศีลธรรมกลับมา จะหวังทางโรงเรียนก็จัดเพื่อการค้า จะหวังทางบิดามารดาก็ไม่รู้เท่าทันลูก จะหวังที่ลูกก็มันเป็นโรคร้ายสิงในสันดาน เพราะทำผิดกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก นั่นความเสื่อมเสียทางศีลธรรมจึงมีในโรงเรียนมากขึ้น ๆ มากขึ้นชนิดที่ไม่เคยมีมาแต่กาลก่อน เช่นการยกพวกตีกันอย่างนี้เมื่อไม่กี่สิบปีนี้มันไม่มี ถ้าตีกันก็ถูกจัดว่ามันเป็นไม่ใช่โรงเรียนแล้ว ความเสื่อมศีลธรรมทางเพศระหว่างนักเรียนหญิงนักเรียนชายก็มีมาก ๆ จนไม่น่าเชื่อ มากเกินไปจนไม่น่าเชื่อ แล้วมันก็เป็นความจริง ท่านทั้งหลายคงจะทราบเรื่องเหล่านี้ได้จากทิศทางอื่นซึ่งอาตมาไม่ต้องเอามาพูด ลูกความจะเถียงว่าความเสื่อมศีลธรรมนั่นแหละมันกำลังกลืนโรงเรียนเข้าไปแล้ว แล้วใครจะเป็นผู้ต่อต้านต่อสู้เพื่อศีลธรรมกลับมา ใครจะเสียสละถึงขนาดนั้น ซึ่งทำได้ยากที่สุดในการที่จะต่อสู้ในยุคที่บูชาเงินกันอย่างนี้ให้กลับไปสู่ความถูกต้อง มันต้องเป็นระดับพระโพธิสัตว์เท่านั้นแหละ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์เท่านั้นแหละมาจัดโรงเรียนตามอุดมการณ์ของโพธิสัตว์บริสุทธิ์ถูกต้อง แล้วก็เพื่อประโยชน์ทางจิตใจโดยแท้จริง เดี๋ยวนี้ดูจะยังหาไม่ได้เพราะว่าเจ้าของโรงเรียนไหนมันมีลักษณะเป็นโพธิสัตว์ อย่างดีก็มันทำงานตามระเบียบตามคำสั่งเหมือนเครื่องจักรให้เท่านั้น อย่างดีมันมีได้มากแค่นั้น มันไม่สามารถที่จะมีความถูกต้องถึงขนาดที่จะแก้ไขมนุษย์ได้จริง ทีนี้เราก็มาดูกันเพราะว่าถ้าจะมีโพธิสัตย์มาแก้ปัญหาเรื่องนี้ เขาจะต้องทำอย่างไร อาตมาก็เคยนึกเหมือนกันว่ามันเป็นงานที่ยาก เมื่อจุดมุ่งหมายในการศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้บรรลุมุ่งหมายอะไรชัดเจน เป็นแนวอย่างที่แน่นอน มันก็ให้เรียนกระปริดกระปรอยทุกอย่างแล้วก็สอบไล่แล้วก็ได้ อาตมาเลยเสนอแนะมาเรื่อย ๆ มาเรื่อย ๆ ไม่ใช่ปีสองปีหลายปีทีเดียว เสนอแนะว่าขอให้จัดการศึกษาในลักษณะที่ให้มุ่ง มุ่งหวังได้ว่าเราจะได้ผลคือ ให้ได้รับได้มีเด็กดีซึ่งเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เคารพบิดามารดาเป็นสิ่งสูงสุดเชื่อฟังบิดามารดา รักบิดามารดาชนิดที่ตายแทนบิดามารดาได้ ไม่มีจิตอำมหิตตั้งแต่หลอกลวงบิดามารดาเอาเงินเอาทองไปใช้บำรุงกิเลสของตัวอยู่ทางโน้น ทางนี้บิดามารดาต้องจำนำที่นาต้องขายที่ดิน มัน มันไม่ต้องมี มันต้องมีบุตรที่ดีของบิดามารดา รักบูชากตัญญูบิดามารดายิ่งกว่าสิ่งใด แล้วก็อดออมให้ทุกอย่างกะเม็ดกะแหม่ให้ทุกอย่าง (นาทีที่ 31.55) ที่จะไม่ต้องให้บิดาไม่ให้บิดาต้องใช้เงินมาก และเป็นคนทำให้บิดามารดาได้รับความพอใจอยู่เสมอในฐานะที่เป็นบุตรที่ดี เพราะคำว่าบุตรที่ดีคือบุตรที่ทำให้บิดามารดาได้รับความพอใจไม่ใช่ได้รับ ไม่ใช่ได้รับความร้อนใจเหมือนกับตกนรก หนึ่งต้องการให้เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา บุตรที่ดีคือให้บิดามารดาได้รับความพอใจ สองให้มันเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์โดยเป็นศิษย์ที่ดี ศิษย์ที่ดีคือครูบาอาจารย์นำไปได้ตามที่ต้องการ ทีนี้ให้เด็กนั้นเขาเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนแก่กันและกัน และเพื่อนที่ดีก็คือว่าให้ช่วยเหลือกันและกันได้จริงและในทางที่ถูกต้อง ไม่ช่วยเหลือกันในทางที่ผิด ไม่ชักชวนกันไปในทางที่ผิด ให้เขาเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ซึ่งก็รู้กันอยู่แล้วว่าพลเมืองที่ดีของประเทศชาติจะต้องเป็นอย่างไร ทีนี้ให้เป็นสาวกที่ดีของศาสนา แล้วแต่ว่าเขาจะถือศาสนาอะไรเป็นสาวกที่ดีที่สุดแห่งศาสนาของตน นี่ห้าอย่างแล้ว เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ เป็นสาวกที่ดีของศาสนาแล้ว ห้าอย่างแล้วนี่ หก อันที่หกอันสุดท้ายก็คือว่าให้เขาได้เป็นมนุษย์ที่เต็ม เป็นมนุษย์ที่มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ที่จริงมันก็บอกหรือแสดงอยู่ในตัวแล้วว่า ถ้าเขาเป็นอะไรดี ๆ ดี ๆ ห้าอย่างมา และแน่นอนเขาต้องเป็นมนุษย์ที่เต็มแห่งความเป็นมนุษย์ เราจะไม่ต้องพูดมนุษย์ มนุษย์ที่ดีอีกแล้วเพราะว่ามนุษย์มันมีความหมายดีอยู่แล้วเอาแต่ว่าให้เต็ม เต็มระดับเต็มอัตราแห่งความเป็นมนุษย์ มนุษย์เต็มอาจจะเป็นคำแปลกใหม่ แต่ไม่ใช่เป็นคำของอาตมาเอง ไม่ใช่คำที่เราคิดขึ้นใหม่ เป็นคำที่มีอยู่แล้วในระบบเกี่ยวกับจริยธรรมศีลธรรมของสากล เพราะว่ามนุษย์ที่เต็มมีอยู่ในเรื่องจริยธรรมสากลหาดูได้ง่าย ๆ ตาม ... ( 34:52 ) ฉบับใหญ่ ๆ หน่อยก็จะมีพบคำว่ามนุษย์ที่เต็ม เดี๋ยวนี้มันเต็มหรือไม่เต็ม แม้แต่พ่อแม่เองตัวพ่อแม่เองก็จะต้องทดสอบดูตัวเองว่าเป็นมนุษย์ที่เต็มหรือไม่เต็ม คำว่าเต็มนี่มันกำกวม เอาอย่างที่กลางตลาดพูดกันก่อน คำพูดกลางตลาดว่าไอ้คนนี้มันไม่เต็มบาท มันบ้า ๆบอ ๆ มันไม่เต็มบาท และไอ้คนนี้มันเกินบาทมันก็บ้า ๆ บอ ๆ อีกเหมือนกัน ไอ้คนนี้พอดีบาทนั่นแหละก็จะเรียกว่าใช้ได้ แต่ถ้าเราต้องการมากกว่านั้น ต้องการคนที่มีมนุษยธรรมเป็นถึงที่สุดถึงระดับสูงสุด เป็นความหมายอีกความหมายหนึ่งว่าเป็นมนุษย์ที่เต็ม เต็มด้วยมนุษยธรรมเป็นมนุษย์ที่เต็มด้วยความเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่เต็ม ถ้าในโลกนี้มันมีมนุษย์ที่เต็มนั่นก็หมดปัญหาแน่ ทีนี้มันจะกลายเป็นว่าหามนุษย์ที่เต็มมาทำยาหยอดตาสักนิดนึงก็ไม่ได้ หามนุษย์ที่เต็มมาจากไหนมาดูสักคนหนึ่งก็ยังหายาก เพราะว่ามันจะต้องเป็นอย่างที่ว่ามาแล้วตั้งแต่ต้นว่า เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของศาสนา ห้าดีนี้รวมกันหมดแล้วจึงขึ้นมาถึงในระดับเป็นมนุษย์ที่เต็มที่จะหาดูได้ที่ไหนก็ลองคิดกันดู บางทีพอน้อมมาในตัวเรานึกถึงตัวเราก็ชักจะสงสัยเสียแล้ว หรือบางทีก็เห็นชัด ๆ ทีเดียวแม้ตัว แม้เราก็ยังไม่ได้เป็นมนุษย์ที่เต็ม เรายังพร่องอยู่ด้วยกิเลสตันหา มีกิเลสตันหาคือเป็นลด เป็นฝ่ายลดทำให้พร่องจากความเป็นมนุษย์ที่เต็ม มันไม่ต้องมีความพร่องด้วยกิเลสตันหา มันเต็มอยู่ด้วยบุญกุศล มันเต็มอยู่ด้วยความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ เต็มอยู่ด้วยคุณธรรมของมนุษย์ นี่เรียกว่าเป็นมนุษย์ที่เต็ม และทีนี้ก็เหลือบตาไปดูทั่ว ๆ โลกว่าที่มุมโลกไหนบ้างที่เขาจัดการศึกษาเพื่อให้มนุษย์ได้เต็มได้เป็นมนุษย์ที่เต็ม ประเทศไหนกำลังจัดการศึกษาให้พลเมืองเป็นมนุษย์ที่เต็ม มันก็จะหาน้ำยาหยอดตาไม่ได้อีกนั่นแหละ แต่ละประเทศเขาให้การศึกษา เพื่อให้การศึกษานั้นรับใช้เศรษฐกิจ ให้การศึกษานั้นรับใช้การเมือง ให้การศึกษานั้นรับใช้ประชาธิปไตย หรือว่าให้การศึกษานั้นรับใช้การป้องกันประเทศ มันมุ่งเฉพาะอย่างเฉพาะอย่างอยู่อย่างเต็มที่ ไม่ได้จัดการศึกษาเพื่อให้พลเมืองเป็นมนุษย์ที่เต็ม เดี๋ยวนี้ก็จะเห็นว่ามันไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่กล้าแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะว่าถ้าไปยึดถือหลักธรรมะและศาสนามากเกินไปแล้วมันเสียเปรียบคนอื่น เสียเปรียบพวกอื่น เสียเปรียบข้าศึกศัตรูที่จ่อหน้ากันอยู่ มุ่งหมายจะประหัตประหารกันอยู่ ถ้าใครประเทศไหนหันเหไปหาศีลธรรมมันก็จะเกิดการเสียเปรียบขึ้นในประเทศนั้นและไปได้เปรียบกับประเทศที่มันไม่ยึดหลักศีลธรรม มันก็เลยไม่มีใครกล้าหันมายึดหลักศีลธรรมนี่บาปหนักอยู่ที่ตรงนี้คือความเลวร้ายในโลกมันอยู่ที่ตรงนี้ โลกมันจึงเทไปเหไปหันไปในทางที่จะแตกทำลายคือความไร้ศีลธรรมจนถึงขนาดที่ว่ามันจะฆ่ากันอย่างล้างโลกก็ได้สักวันหนึ่ง เดี๋ยวนี้ก็เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นเข้าไปทีละนิด ๆ พอถึงจุดสูงสุดแล้วมันก็จะฆ่ากันอย่างที่เรียกว่าทำลายโลก ไม่มีอะไรเหลือซากเป็นความดี เป็นศีลธรรม หรือว่าเป็นวัฒนธรรม หรือเป็นจริยธรรม มันถูกทำลายหมด ไม่ว่าจะเหลืออยู่สักครึ่งโลกหรือเสี้ยวโลกมันก็เหลือ เหลือกำลังที่จะบูรณะแก้ไขโลก มันก็เลยปล่อยไปตามยถากรรมนี่มันจะเป็นอย่างไร เรื่องในพระคัมภีร์ก็มีเหมือนกันไม่ใช่ไม่มี โลกจะมีกิเลสหนาขึ้น มีกิเลสหนาขึ้น มีกิเลสหนาขึ้น แล้วก็จะรบราฆ่าฟันกันมากขึ้น ๆ จนถึงยุคที่เรียกว่ามิคสัญญี ฆ่ากันเหมือนกับอย่างเป็นเนื้อเป็นปลาเพราะต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว แล้วฆ่ากันเป็นที่สนุกสนานทีนี้เหลือไม่กี่คนมันหนีไปอยู่ในป่าในซอกเขาในที่ไหน หนีไปเสียให้พ้น ถ้าพวกนี้ฆ่ากันเสร็จแล้วไอ้ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนก็กลับมาพิจารณาแล้วก็สังเวชใจ แล้วก็ตกลงกันได้ว่าเราจะตั้งต้นกันใหม่คือทำลายกิเลส ทำลายกิเลสในภายใน การที่จะช่วยโลกในภายนอกกลายเป็นต้องทำลายกิเลสในภายในให้กิเลสในภายในมันลดลง คนมีศีลธรรมมากขึ้น บางคนก็เป็นสุขสบายขึ้น มีความคิดถูกต้อง มีความต้องการที่ถูกต้องแล้วก็ค่อย ๆ ดีขึ้น ค่อย ๆ เจริญขึ้นมาอีกกลายเป็นยุคใหม่ หรือเหมือนกับเป็นโลกใหม่ ข้อความอย่างนี้ก็มีกล่าวอยู่ในคัมภีร์มันจะเป็นไปได้อย่างนี้หรือไม่ก็สุดแท้ แต่ว่าที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เห็นได้ว่าเป็นไปได้ยาก เพราะว่าไอ้สิ่งที่ทำลายล้างมันมีฤทธิ์เดชมากเหลือเกิน คือสามารถที่จะทำให้โลกนี้เป็นขี้เถ้าไปภายในพริบตาเดียวทั้งโลกก็ได้ เรามนุษย์นี่จะทำอย่างไรก็มาพิจารณาดูกันถึงหมู่คนที่เรียกตนเองว่าครู ครู กันอีกสักทีหนึ่ง มันก็จะต้องย้อนไปศึกษามันตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ คือตั้งแต่พอมีมนุษย์ขึ้นมาในโลก ยังไม่มีครูพอมีมนุษย์ขึ้นมาในโลกก็เหมือนกับมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานไม่มากนักเต็มไปหมดอย่างนี้ แล้วสัตว์เหล่านี้ก็ค่อย ๆ เจริญขึ้นในรูปแบบของมนุษย์จนกระทั่งว่ามนุษย์นี้มันมีหลาย หลายลักษณะ หลายชนิด หลายระดับ ในระดับที่มีสติปัญญามันก็รีบออกไปจากหมู่จากสังคมไปศึกษาไปค้นคว้าในที่สงบสงัด แล้วก็รู้จักหรือได้พบกับหลักการใหม่ ๆ ที่ดี ที่ว่าจะจัดสังคมให้ดีได้อย่างไร แม้แต่เรื่องดีเป็นส่วน ๆ ส่วน ๆ เป็นส่วนน้อย ๆ จะดีได้อย่างไร เมื่อคนเหล่านี้เสนอความคิดเห็นออกมาเป็นที่ยอมรับของสังคม บุคคลประเภทที่เรียกว่าครู ๆ มันก็ได้เกิดขึ้น นี่ จนต่อมาก็กลายเป็นวรรณะใหญ่วรรณะสำหรับสั่งสอนให้ประชาชน คำว่าครู ๆ นี่มันก็รวมอยู่ในวรรณะที่เรียกว่าวรรณะพราหมณ์ ใครทำหน้าที่ปกครองบ้านเมืองก็อยู่ในวรรณะกษัตริย์ ใครทำหน้าที่สั่งสอนอบรมประชาชนก็อยู่ในวรรณะพราหมณ์ ใครทำมาหากินกับกิจกรรมพาณิชยกรรมก็วรรณะแพศย์ ใครเป็นลูกจ้างกรรมกรก็อยู่ในวรรณะศูทร ที่ครูได้เกิดขึ้นในโลกนมนานมาแล้วจนกระทั่งเป็นวรรณะปึกแผ่น เป็นวรรณะพราหมณ์มีหน้าที่บอกกล่าวความถูกต้องในการประพฤติกระทำในทางดีที่สูงขึ้นไปกระทั่งในทางจิตใจซึ่งมองไม่เห็นตัว นี่จึงเกิดวรรณะครูขึ้นมาในโลกและมนุษย์ก็ยังไม่เคยมีครู พอได้มีครูที่จดจ้องขึ้นมาอย่างนี้ก็พอใจ ยินดี รับเอาความคิดนึกการศึกษาพยายามกันเต็มความสามารถ มนุษย์จึงได้ดีพุ่งออกไปโดยเร็วมีความดีความงามพุ่งออกไปโดยเร็ว จนเป็นโลกมนุษย์ที่น่าดูนี่ เพราะการศึกษาโดยน้ำมือของมนุษย์ประเภทวรรณะครู แต่ปัญหามันไม่เหมือนกับเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มันเป็นปัญหาประหลาดเป็นปัญหาที่เกิดจากการสุกงอม ครั้งกระโน้นมันเป็นปัญหาที่ยังไม่สุกยังอ่อน ยังอ่อน ยังอ่อนอยู่ ยังกำลังจะเจริญอยู่ ยังไม่ถึงกับเป็นแก่ จนเดี๋ยวนี้ปัญหามันมากลายเป็นปัญหาสุกงอม คือวิชาความรู้ก้าวหน้าทั้งหลายเป็นไปถึงขีดสุดทุกแขนง และเอาความรู้ทุกแขนงมาใช้เพื่อจะทำลายล้างกัน ซึ่งเราจะเห็นได้ง่าย ๆ ว่าไอ้ความก้าวหน้าทางปรมาณูก็ดี ความก้าวหน้าทางอวกาศก็ดี ความก้าวหน้าเทคโนโลยีเทคนิคอะไรทั้งหลายก็ดีถูกเอามาใช้เพื่อล้างผลาญผู้อื่นทั้งนั้นแหละ ไปดูให้ดีสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาใช้เพื่อส่งเสริมศีลธรรม แม้แต่เราซื้อวิทยุมาฟังกันนี่ก็เพื่อมาฟังเรื่องส่งเสริมกิเลส ไม่ได้มาฟังเรื่องที่จะส่งเสริมศีลธรรม จะซื้อทีวีซื้ออะไรมาก็มาเพื่อส่งเสริมกิเลส ความสนุกสนาน สะดวกสบายอะไรเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ซื้อมาเพื่อส่งเสริมศีลธรรม เพื่อแก้ไขทางศีลธรรม ศีลธรรมมันก็ดีกันมาไม่ได้ ศีลธรรมก็ยิ่งเสื่อมเลวหายไปเลยตั้งแต่ความเจริญทางวัตถุ ความก้าวหน้าทางวัตถุมันยิ่งมากเท่าไรคนก็ตกเป็นเหยื่อ เพราะความหลอกลวงของวัตถุแล้วก็เลยดำรงตนในลักษณะที่จะให้กิเลสครองโลกเร็วขึ้น ๆ ให้กิเลสครองโลกเร็วขึ้น ๆ นี่เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ว่ามีอยู่จริง เอาละที่นี้อาตมาก็พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกันต่อไป เพราะการที่พูดนี้ การพูดอย่างนี้ การยกตัวอย่าง ๆ นี้ไม่ใช่เพื่อให้ท่านทั้งหลายหมดหวังหมดกำลังใจให้หมดความพยายามในการที่จะเป็นครูที่ดี ถ้าเราจะต้องยึด ยึดถือหลักของพระบรมครูจะต้องมอบชีวิตจิตใจไว้กับความดี ความงาม ความถูกต้อง เรายินดีที่จะสละชีวิตได้เพื่อความถูกต้องกลับมา เราจะไม่ยอมแพ้ให้ความชั่ว เราจะยึดถือไว้ซึ่งความดี รักษาไว้ซึ่งความดีสงวนความดีเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อดึงความดีกลับมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เพื่อทำให้เกิดศีลธรรมขึ้นมาใหม่ในสังคมมนุษย์ พูดก็เป็นอันว่าชีวิตที่เหลืออีกไม่กี่ปีจะตายแล้วขอมอบหมายให้ความดี ความงาม ความจริง ความยุติธรรมของมนุษย์ มอบหมายเป็นเครื่องบูชาคุณพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ถ้าเรามอบชีวิตของเราเท่าที่เหลืออยู่ไม่กี่ปีนี้แก่พระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ก็คือ เอามาใช้ในทางที่ทำให้ศีลธรรมกลับมา ทุกอย่างทุกประการไม่ว่าอย่างไร เมื่อศีลธรรมกลับมามันก็จะมีกำลังมากพอที่จะต่อต้านคนวัยกลาง ไม่ให้โลกนี้ไปถึงจุดวินาศและพอที่จะกลับลำได้ทัน นี่เป็นเรื่องช่วยโลก ถ้าทุกคนที่เหลืออยู่มีความรู้สึกอย่างถูกต้องต่อสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม มุ่งหมายความกลับมาแห่งศีลธรรมจริง ๆ มันก็ยังมีเวลาที่จะทำได้ จะต้องเป็นอย่างที่ว่าคือบูชาคุณความดีด้วยชีวิตในลักษณะเป็นพระโพธิสัตว์กันทุกคน อุทิศตนชีวิตของตนเพื่อประโยชน์แก่ความสุขสวัสดีของมนุษยชาติ นั่นแหละมันมีทาง มันมีทางนั้น สำหรับยุคนี้ สำหรับปัญหาอันนี้ที่ได้ขึ้นมาได้แรงร้ายมาถึงระดับนี้ มันจะแก้ได้ด้วยในการที่ทุกคนอุทิศตนหรือชีวิตเท่าที่เหลืออยู่ข้างหน้า หรือเพื่อแก้ไขความเลวร้ายของโลกด้วยการมอบกายถวายชีวิตว่าเรายอมสละชีวิตเพื่อการแก้ไขให้ศีลธรรมกลับมา ทำไปตามหลักเกณฑ์ที่มีอยู่คือพยายามทุกอย่างทุกทางให้เกิดมีความเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ความเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและกัน ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ความเป็นสาวกที่ดีของพระศาสนา และก็เป็นมนุษย์ที่เต็ม ๆ เต็มเปี่ยมด้วยความเป็นมนุษย์ นั่นแหละมันมีทางอย่างนั้น ใครจะยอม ใครจะเอา มันก็แล้วแต่ ใคร ๆ ก็มีเสรีภาพ ใคร ๆ ก็ยอมอุทิศชีวิตเพื่ออุดมคติตามแบบของพระพุทธเจ้า ซึ่งอุทิศชีวิตช่วยโลกจนตลอดชีวิต หรืออุดมคติของพระโพธิสัตว์ซึ่งอธิษฐานจิตว่าถ้ายังมีความทุกข์มีคนที่เป็นทุกข์เหลืออยู่ในโลกนี้แม้แต่คนเดียวข้าพเจ้าจะยังไม่นิพพาน จะไม่ จะยังไม่ทำตนเพื่อนิพพาน คือจะไม่ ไม่จบชีวิต นี่ขอให้ลองคิดดูว่าเด็ก ๆ ของเราอยู่ในสภาพอย่างไร ทั้งโลกอยู่ในสภาพอย่างไร การศึกษากำลังตกไปเป็นทาสรับใช้การเมือง การเศรษฐกิจ การอะไรไปเสียหมด ไม่รับใช้ความมีศีลธรรมอยู่ในโลกเลยและก็เป็นกันทั้งโลก และก็อาฆาตจองเวรกันหนักขึ้น ๆ จนเหลือที่จะพูดกันเข้าใจ ยังเหลืออยู่แต่ว่าเวลาไรเหรอประหัตประหารกันด้วยอาวุธเท่าที่มีอยู่ ก็ทำให้โลกเป็นขี้เถ้าภายในพริบตาเดียว เมื่อมันยังไม่ถึงขนาดนั้นเราจะแก้ไขกันได้อย่างไร อาตมาคิดว่าทำด้วยการทุกคนอุทิศชีวิตเพื่อการแก้ไข คิดว่าชีวิตที่เหลืออยู่ข้างหน้าอีกไม่เท่าไรนี้มันคงไม่มีค่า มีค่ามากมายอะไรนัก นอกจากจะไปใช้ในสิ่งที่มันแพงที่สุด คำว่าแพงที่สุด อาตมาคิดว่าช่วยโลก อุทิศต่อการช่วยโลกแล้วมันก็จะมีราคาแพงที่สุดสูงค่า และก็ชักชวนกันจริง ๆ ทำความเข้าใจกันจริง ๆ ปรึกษาหารือกันแต่ในเรื่องเอาศีลธรรมกลับมา ไม่ใช่เผลอเข้าก็ไปเล่นไพ่ เผลอเข้าก็ไปเที่ยวเสเพล เฮฮากันไปตามแบบของไอ้ที่เขาจัดการท่องเที่ยวสมัยนี้ นี่อาตมาก็ได้พูดมาสมควรแก่เวลาแล้ว ขอแสดงความหวังว่าในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท เรายังมีโอกาสที่จะใช้ชีวิตนี้ให้ดีที่สุด แก้ปัญหาอย่างที่กล่าวมาแล้ว อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้กล่าวหลักธรรมะใด ๆ ไว้แล้วเป็นความถูกต้องทั้งนั้น ที่กล่าวว่าเป็นไปเพื่อทุกข์ก็จะเป็นทุกข์จริง ที่กล่าวว่าเป็นไปเพื่อดับทุกข์ก็จะดับทุกข์ได้จริง เดี๋ยวนี้ส่วนที่ดับทุกข์ได้จริงเราก็จะปรึกษาหารือได้ศึกษากันมากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น ถ้าได้ทำไปถูกต้องในวิถีทางนี้แล้วก็พอ พอจะทัน ในชีวิตนี้ให้หวังว่าจะอบรมจิตใจ ให้เห็นแก่ความจริง ความถูกต้อง ความยุติธรรม เห็นเพื่อนมนุษย์เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันโดยแท้จริง อุทิศชีวิตเพื่อความรอดของโลกทั้งปวง หากถึงแม้ว่าจะไม่สำเร็จเราก็ได้รับผลดีที่สุดส่วนตัวเรา ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาหาว่าทำสิ่งที่ไม่น่าจะทำได้ ในนิทานชาดกเขาก็มีว่า หากกระแตตัวหนึ่งลูกเขาตกน้ำ มันก็วิดหนองน้ำด้วยเอาหางไปจุ่มน้ำแล้วขึ้นมาสลัดบนบก วิดอยู่อย่างนั้นทั้งวัน ๆ แล้วก็มีเทวดามาถามทำไม ทำทำไม ก็บอกว่าจะวิดน้ำให้แห้งจะเอาลูกที่ตกน้ำขึ้นมา เทวดาก็บอกบ้าทำแบบนี้จะได้ที่ไหน บ้าหรือไม่บ้าก็ไม่รู้ถ้าว่ายังไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้แล้วก็จะไม่หยุด ไอ้เรื่องอย่างมันก็ยังมีแล้วมันจะไม่สำเร็จหรือแม้มันจะตายลงไปมันก็กล่าวได้ว่ามันได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะทำแล้วไม่ต้องเสียดายอะไร คือถ้าเราจะทำความเข้าใจกันทั้งโลก พร้อมใจกันช่วยโลกที่มันหวุดหวิดจะวินาศนี้ได้ก็จะเป็นการดี ทั้งช่วยกันปรึกษาหารือช่วยกันพูดจา ให้มันมีเพื่อนที่มีความคิดเห็นตรงกันนี้มากขึ้น ๆ มันก็อาจจะหมุนโลกกลับไปในทางตรงกันข้าม คือมีศีลธรรมกลับมา และก็จะถึงความผาสุกสวัสดีได้สักวันหนึ่งเป็นแน่นอน ให้หวังว่าท่านที่เป็นครูบาอาจารย์โดยวิญญาณแท้จริง ไม่ใช่ลูกจ้างรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่ง ๆ นั้น หากว่าไปคิดดูอย่างดีที่สุดว่าเราจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มากนักนี้ในลักษณะอย่างไร ถ้าสมควรจะแลกเอาศีลธรรมกลับมาในโลกนี้แล้วก็น่าจะทำ และก็ปรึกษาหารือกันเพื่อจะประพฤติกระทำต่อไป อาตมานี้ขอแสดงความตั้งใจว่าปวารณาว่ายินดีเสมอที่จะคิดจะนึกในเรื่องนี้จะปรึกษาหารือกันในเรื่องนี้ เหลือแต่ว่าไม่มีใครจะทำ การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว อย่างน้อยถ้าหากว่าจะเป็นการกระทำให้เกิดความเข้มแข็ง เชื่อมั่นในทางจิตใจ เพื่อจะได้ลุล่วงไปในการแก้ไขแล้วก็นับว่าเป็นการได้ที่ดี อย่างน้อยก็จะทำให้เกิดความมั่นใจในการที่ได้ทำความดีด้วยชีวิตที่เหลืออยู่แค่เพียงเล็กน้อยนี้อยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย