แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย สิ่งแรกที่สุดที่จะพูดก็คือ ขอแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสพบกับท่านทั้งหลาย ยินดีในฐานะที่ว่ามีการงานร่วมกัน อาชีพเดียวกันก็กล่าวได้ เป็นอาชีพชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อาชีพของปูชนียะบุคคล พระสงฆ์ทั้งหลายเมื่อเรียนเสร็จแล้วก็ทำหน้าที่เป็นครู แล้วก็มีพระพุทธเจ้าเป็นบรมครู พระสงฆ์ทั้งหลายก็เป็นครู จึงมีความยินดีที่ได้พบครู เพื่อว่าเราอาจจะมีทางประสานงานด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อให้หน้าที่ของครูนั้นเป็นไปด้วยดีโดยสะดวกดาย และถึงที่สุด จึงถือว่าเป็นการมาที่น่ายินดี
ทีนี้หัวข้อที่กำหนดให้ว่า ครูกับการรอดของประเทศชาติ กับความรอดของชาติ นี่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาในส่วนที่ว่ามันเป็นอย่างไร เข้าใจว่าครูทั้งหลายทุกคนนั้นรู้ดีว่า ครูนั้นทำหน้าที่แล้วก็เพื่อความรอดของประเทศชาติ แต่เดี๋ยวนี้ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่นั้น นั่นมันเป็นหน้าที่ของธรรมชาติ เมื่อเป็นครูทำหน้าที่ครูอย่างถูกต้องแล้วมันก็รอดแน่นอน ปัญหามันมาอยู่ที่ว่า ไม่มีครูที่ทำหน้าที่อย่างถูกต้องนั้นเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่ามันพลั้งเผลอ หรือผิดพลาด หรืออะไรมาก็ยากที่จะกล่าว แล้วก็ไม่อาจจะกล่าวว่าเป็นความผิดของใคร ผลมันออกมา คือ ครูไม่ได้ทำหน้าที่ของครูอย่างถูกต้องตามอุดมคติของครู ครูเป็นเพียงลูกจ้างสอนหนังสือ หากินไปวันหนึ่ง วันหนึ่ง เสียเป็นส่วนมาก ยังปรากฏว่าครูกินเหล้ามากกว่าประชาชน วันพิเศษของครู ครูกินเหล้ามากกว่าประชาชนหลายเท่า การประชุมที่ค่ายลูกเสือนี้ พอกลับไปแล้วก็มีขวดเหล้าทิ้งอยู่รอบๆบริเวณ ชาวบ้านเก็บไปขายได้เงินเยอะ นี่เพราะว่ามีแต่ครูที่รับจ้างสอนหนังสือไปวันหนึ่งๆ แล้วเอาเงินเดือนนั้นไปหาความเพลิดเพลิน มันหลอกลวงอย่างนี้แล้วมันก็ไม่มีครู ปัญหามันอยู่ที่มันไม่มีครูที่ถูกต้อง ชาติมันจึงไม่รอด ถ้ามีครูที่ถูกต้องแล้ว ชาติก็จะต้องรอดเป็นธรรมดา ปัญหาที่จะพูดกันมันอยู่ที่ว่าจะเป็นครูกันอย่างไร มากกว่าที่จะไปพูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าครูกับความรอดของชาติ แล้วเราจะพูดกันด้วยก็ได้ว่าครูกับความรอดของชาติ เมื่อพูดขึ้นมาอย่างนี้ขอบอกหน่อยว่า เป็นความคิดที่แคบและเห็นแก่ตัว ไม่รู้จักความเป็นครูอย่างแท้จริง ถ้ามันมีความเป็นครูอย่างแท้จริง มันเป็นความรอดของมนุษยชาติ คือ มนุษย์ทั้งหมด ไม่เฉพาะประเทศไทย นี่ก็มองแคบๆอย่างเห็นแก่ประเทศของตัว เอาละ ต่อรองกันได้ว่า คำว่า ชาติ ในที่นี้หมายถึง ทุกชาติ ก็ได้ แล้วมันก็จะรวมเป็นมนุษยชาติเอง คือ ทั้งโลก ครู คือ ความรอดของมนุษยชาติ ครูคนไหนมีความรู้สึกอย่างนี้ คิดนึกอย่างนี้ ตั้งใจอย่างนี้ ก็ตรวจสอบตัวเองดูเอาเอง อาตมานี้อยากจะให้ทุกคนรู้จักครูในสถานะสถาบันของโลก หรือของธรรมชาติ เกิดบุคคลประเภทครูขึ้นมาในโลกอย่างไร? เพื่อประโยชน์อะไร? โดยวิธีใด?นี้ มันต้องรู้แจ้งและพยายามทำให้เป็นอย่างนั้น
ทีนี้ ครูคืออะไร ถือเอาตามตัวหนังสือในภาษาโบราณของอินเดียเขาก็พบกันว่า ผู้เปิดประตูทางวิญญาณ หมายความว่า โดยทางหน้าที่คือเหตุ สาเหตุนี่ ครูทำหน้าที่ทางวิญญาณ เมื่อกล่าวโดยสิทธิหรือผล ครูก็คือผู้ที่มีบุญคุณอยู่เหนือศีรษะคนทุกคน ตามคำว่า “ครุ ครุ” ซึ่งแปลว่า หนัก หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าทุกคนต้องหนักในพระคุณของครู แล้วก็ไม่มีทางใช้หนี้หมด ฉะนั้นก็ยังคงหนักอยู่บนศีรษะของคนทุกคนอยู่นั่นแหละ ถ้าว่าเขาเป็นคนกตัญญู ไม่เนรคุณครู เขาก็จะรู้สึกว่าครูมีบุญคุณอยู่จนกระทั่งตาย นี้คือครูเป็นผู้..โดยหน้าที่ เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ทำให้สัตว์ทั้งหลายออกมาเสียจากคอกมันกักขัง เมื่อครั้นออกมาแล้ว ครูก็เป็นผู้นำในทางวิญญาณ คือ มันเดินออกมาจากคอกแล้วมันก็ไปสู่ทิศทางที่ควรจะไปนี้ เรียกว่า ผู้นำทางวิญญาณ ปทานานุกรมธรรมดาๆชั้นดีในประเทศอินเดีย คำว่า ครู แปลว่า Spiritual Guide ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ นี่ดูแต่ปทานานุกรมเถิด มันก็ยังต่างกันไปแล้ว ในเมืองไทย ธรรมะ แปลว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ปทานานุกรมอินเดีย ธรรมะ คือ Duty และคำว่า ”ครู ครู” นี้คือ Spiritual Guide ซึ่งไม่มีในปทานานุกรมไทย เชื่อว่าอย่างนั้น กล้าสบประมาทอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราเป็นครูให้ถูกตามความหมายของครู คือ เปิดประตูแล้วก็นำไปให้ถูกทาง เสร็จแล้วมันก็เกิดสิทธิที่จะเป็นปูชนียะบุคคล มีค่ามีคุณอะไรที่ทุกคนจะต้องหนักจะต้องนับ รับรู้ แล้วก็ใส่ไว้เหนือเกล้า เหนือเศียรนั้น คำว่า ครู แปลว่า หนัก เดี๋ยวนี้มันดูแล้วก็ยากมาก ที่จะทำให้ครูทุกคนทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องและสมบูรณ์ เพราะว่าการศึกษาเบื้องต้นมันไม่ถูก มันไม่พอ มันไม่ได้ให้บุคคลที่จะไปเรียนครูรู้ว่าครูคืออะไร รู้สึกแต่ว่าเป็นวิชาชีพที่ง่ายชนิดหนึ่ง เรียนง่าย อะไรง่าย ไม่รู้จะเรียนอะไรแล้วก็ไปเรียนครู ครูก็... เรื่องของครูกลายเป็นเรื่องของอาชีพไป ไม่ใช่เรื่องของธรรมะ หรือเรื่องของปูชนียบุคคล เมื่อถามว่าครูจะรอด...ครูกับความรอดของประเทศชาตินี้ มันตอบอยู่ในตัว ถ้าครูเป็นครูกันโดยแท้จริง คนทุกคนในโลก ในประเทศนี้ มันก็เดินถูกทางกันหมด มันก็ไม่มีปัญหา เมื่อทุกคนทำหน้าที่ ก็คือมีธรรมะกันหมด แค่เพียงแต่ทุกคน ทุกคน ทำหน้าที่ของตนของตนเท่านั้นแหละ โลกมันหมดปัญหา เพราะว่าเขาพากันประพฤติธรรม ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ หน้าที่ แปลว่า ธรรมะ ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ ทุกคนทำหน้าที่ก็ไม่มีใครที่จะตกอยู่เป็นภาระหนักแก่ใคร ทุกคนช่วยตัวเอง ทุกคนมีกำลังล้นเหลือที่จะช่วยผู้อื่น ถ้าหากว่ามันช่วยตัวเองไม่ได้ พูดแล้วมันก็ไม่น่าเชื่อว่า เพียงแต่ทุกคนทำหน้าที่เท่านั้นประเทศชาติก็จะรอด เพราะฉะนั้นครูก็ต้องสอนให้ทุกคนรู้จักทำหน้าที่ เดี๋ยวนี้ทุกคนไม่ทำหน้าที่ก็มีอยู่มาก คนที่ไม่ทำหน้าที่นั้นมีอยู่มาก ไม่ทำหน้าที่เพราะทำไม่ถูก ทำไม่เป็น ก็เรียกว่า ไม่ทำหน้าที่เหมือนกัน เพราะไม่ได้รับการศึกษาว่าจะทำหน้าที่อย่างไร? ทีนี้ถ้าได้รับการศึกษาแล้วว่าทำหน้าที่ทำได้อย่างไร ก็ใช้เป็นโอกาสที่จะเอาเปรียบ คือ ทำหน้าที่ที่จะทำงานน้อยๆแล้วก็จะเอาเงินเดือนให้มาก เรียนรู้มากเป็นปริญญาก็ยังไม่พ้นที่จะเอาเปรียบหน้าที่ เอาเปรียบการงาน เอาเปรียบเวลา นี่ก็คือคนที่ไม่อยากทำหน้าที่ คือไม่มีศรัทธาในอุดมคติ ต้องใช้เงินบังคับ ทีนี้เงินก็บังคับไม่ได้โดยครบถ้วนหรอก เพราะมันมีทางหลีก ดังนั้น การทำหน้าที่มันก็ยังไม่สมบูรณ์ ควรจะทำหน้าที่ได้มากมาย ก็กลายเป็นทำนิดเดียว อ้างนั่น อ้างนี่ ที่แท้ก็คือขี้เกียจ หรือไม่อยากทำหน้าที่ เรื่องอย่างนี้ก็มีมากในพวกครู ประชาชนทั่วไปก็เหมือนกัน บิดพลิ้วในการทำหน้าที่ ไม่อยากทำหน้าที่ จนถึงกับว่าเป็นขโมยปล้นจี้ดีกว่า คอร์รัปชั่นดีกว่า อย่างนั้นก็ได้ แล้วมันก็ได้ผลสมกัน มันไม่ได้ทำหน้าที่ที่ถูกต้อง หน้าที่อย่างของอันธพาลนั้นไม่เรียกว่าหน้าที่ ถ้าเรียกว่าหน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่ของอันธพาล ดังนั้นเมื่ออาตมากล่าวถึงคำว่าหน้าที่ หน้าที่นั้น อาตมาหมายถึงความถูกต้อง หน้าที่ที่มีความถูกต้อง
คำว่า ความถูกต้อง นี้ก็ไม่ต้องอธิบายกันให้ยุ่งยากลำบาก อย่างแบบปรัชญาเพ้อเจ้อไม่รู้จะจบกันลงที่ตรงไหน เหตุผลทาง Logic เป็นอย่างนั้น เหตุผลทาง Philosophy เป็นอย่างโน้น เหตุผลทางPsychology เป็นอย่างนี้ มีแต่เถียงกันไปไม่รู้จักจบ เลิก เอาอย่างธรรมะในพระพุทธศาสนาดีกว่า หน้าที่คือความถูกต้อง ความถูกต้องของหน้าที่ คำว่าถูกต้องนั้นคือไม่เป็นอันตรายแก่ใคร แล้วก็มีประโยชน์แก่ทุกฝ่าย มีใจความสำคัญอยู่ที่ว่า ถูกต้องหรือดี คือ ไม่ทำอันตรายใคร แล้วก็มีประโยชน์แก่ทุกฝ่ายที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าทำหน้าที่ให้ถูกต้องกันแล้ว ประเทศชาติก็หมดปัญหา ทีนี้ใครจะทำให้ประชาชนทุกคนทำหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง ในชั้นแรกมันก็คงจะต้องนึกถึงครู คำว่าครูนี้ขอให้มีสัก 3 ชั้นเถอะ
ถ้าครูทั้งสามครูนี่มีการกระทำที่ถูกต้องแล้วเด็กๆจะเป็นอย่างไร ก็คือหมดปัญหา เด็กๆมีความรู้ถึงที่สุด ว่าธรรมะคือหน้าที่ แล้วก็หน้าที่คือธรรมะ แล้วก็ทำหน้าที่สนุกไปเลย บูชาหน้าที่แทนที่จะบูชาเงิน หรือความเพลิดเพลินทางอายตนะ ความสวยงาม เอร็ดอร่อย สนุกสนานทางอายตนะนี้ เป็นที่บูชาของคน โดยเฉพาะวัยรุ่น คนหนุ่มสาวมักจะทำอะไรก็เพื่อสิ่งเหล่านี้ ก็จะเอาเงินไปซื้อหาสิ่งเหล่านี้ แล้วก็บูชาสิ่งเหล่านี้ แล้วจิตใจจะเป็นอย่างไร? จะนำเยาวชนไปในทางที่ถูกได้อย่างไร? เยาวชนออกมาก็เลยไม่บูชาหน้าที่ บูชาความได้เปรียบ วิธีลัด คือ โกง พร้อมที่จะโกง นี่เรียกว่าไม่ได้ผล มีแต่สร้างความเห็นแก่ตัวมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งฉลาดก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัวก็ยิ่งเอาเปรียบ ความเอาเปรียบมากมายจนยุ่งกันไปหมด คือมันโกงไปตั้งแต่จุดตั้งต้น เอาแปรียบกันตั้งแต่จุดตั้งต้น แล้วแต่จะมองดูที่เรื่องอะไร ซึ่งล้วนแต่มีจุดตั้งต้น
ทีนี้ขอย้ำตรงที่ว่า ถ้าทุกคนทำหน้าที่มันก็มีความรอด หน้าที่นี้มันคู่กับความรอด แม้จะรอดชีวิตในโลกนี่ก็ต้องทำหน้าที่ แล้วก็จะรอดชีวิต คือ ไม่ตาย แล้วก็จะเดินอยู่ได้ รอดในทางธรรมะทางศาสนา คือ มรรคผลนิพพาน ก็ต้องทำหน้าที่อยู่นั่นเอง หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เพื่อความรอด ทั้งรอดในโลกนี้ และรอดชนิดเหนือโลก ดังนั้น คำว่าหน้าที่นั้นมันเป็นสิ่งสูงสุด เหมือนกับพระเป็นเจ้า เราไม่มีพระเป็นเจ้าที่คอยช่วยเหมือนในลัทธิศาสนาอื่น แต่เราก็มีพระเจ้า พระเป็นเจ้าในเนื้อในตัวของเรา คือ หน้าที่ คอยช่วยอยู่ทุกเวลา ทำหน้าที่ให้ถูกต้องก็ได้รับผลดี เป็นมนุษย์ที่ดี เป็นคนที่ดี คือ มีความถูกต้อง แล้วครอบครัวนั้นก็ดี ทุกครอบครัวดีหมู่บ้านนั้นก็ดี หมู่บ้านนั้นดีบ้านเมืองก็ดี บ้านเมืองดีประเทศชาติก็ดี ประเทศชาติดีทั้งโลกมันก็ดี นี่ต้องเรียกว่ามองกันอย่างเพียงพอ มองกันอย่างกว้างขวางและเพียงพอ ครูเป็นสถาบันอันหนึ่งที่ธรรมชาติกำหนดมาสำหรับทำความปลอดภัยให้แก่โลก โดยทำให้ทุกคนมีการประพฤติเป็นอยู่อย่างถูกต้อง นี่คือธรรมะ ข้อธรรมะนี้เก่าก่อนพุทธศาสนา เมื่อยังไม่มีพุทธศาสนา คำว่าธรรมะ ธรรมะนี้ใช้พูดกันอยู่แล้วในประเทศอินเดีย ในฐานะเรื่องที่จะต้องรู้ จะต้องทำ เขาเรียกธรรมะทั้งนั้น เข้าใจว่าตั้งแต่มนุษย์คนแรกที่ยังเป็นป่าเถื่อนอยู่มาก เข้ามาตั้งบ้านตั้งเรือนเป็นมนุษย์ ตั้งมีถิ่นฐาน แล้วก็เริ่มเห็นสิ่งๆหนึ่ง และว่า โอ้ ! มันมีอยู่และจำเป็น เขาก็เรียกสิ่งๆนั้นว่าธรรมะ มีความหมายเท่ากับว่าหน้าที่ หน้าที่ แล้วก็บอกเพื่อนฝูงให้รู้กันว่า มันมีสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่คืออย่างนั้น อย่างนั้น ฉันจะบอก หน้าที่คืออย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น ต่อมามีคนรู้จักหน้าที่ รู้เรื่องหน้าที่นี้หลายคนเข้า ก็เลยบอกได้หลายอย่างต่างๆกัน เป็นสำนักๆไป จึงมีการสอนเรื่องหน้าที่ สอนธรรมะ คือ สอนหน้าที่ ตัวธรรมะที่เป็นความรู้นั่นอย่างหนึ่ง ตัวธรรมะที่เป็นตัวจริงนั้นคือหน้าที่ ธรรมะสำหรับพูดเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นบันทึกเรื่องหน้าที่ แต่ธรรมะที่แท้จริงนั้น คือ ตัวหน้าที่โดยตรง มีการปฏิบัติกันลงไปตรงๆ เหมือนกับคำว่า ศีล สมาธิ ปัญญานั้น ไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่ตัวหนังสือ ไม่ได้เป็นพิธีรีตอง แต่เป็นการปฏิบัติลงไปตรงๆ ตามหลักของศีล ของสมาธิ ของปัญญา การกระทำลงไปจริงๆนั้น เรียกว่า ธรรมะในที่นี้ ไม่ใช่เป็นเขียนบันทึกเรื่องราวไว้เป็นตัวหนังสือหรือคำพูด จนกระทั่งถึงยุคพระพุทธเจ้า คำนี้ก็ยังใช้อยู่ว่าธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ มันจึงเกิดเป็นกลุ่มๆไป ประชาชนในประเทศอินเดียก็ใช้คำนี้ ในฐานะเป็นเครื่องหมายของกลุ่ม ของศาสดา เขาจึงทักถามกันว่า ท่านชอบใจธรรมะของใคร? ไม่ได้ถามว่าถือศาสนาอะไร? เพราะมันไม่มีวิธีพูดอย่างนั้น ไม่มีคำอย่างนั้น มันมีคำพูดตรงๆว่า ท่านชอบใจธรรมะของใคร? แล้วเพื่อนฝูงก็ตอบตามความพอใจของตนว่า ข้าพเจ้าชอบใจธรรมะของ พระสมณะโคดม ข้าพเจ้าชอบใจธรรมะของ พระนิครนถนาฏบุตร ข้าพเจ้าชอบใจธรรมะของ พระสญชัยเวลัฏฐบุตร ๕-๖ ลัทธิที่มีอยู่อย่างมีชื่อเสียงในเวลานั้น นี่คำว่า ธรรมะ ก็ยังใช้อยู่ ใช้มาถึงยุคพุทธกาล คือ ถ้าพูดว่าชอบใจธรรมะของ พระสมณโคดม ก็หมายความว่า ข้าพเจ้าชอบใจหน้าที่ หน้าที่ ที่แนะนำไว้โดย พระสมณโคดม ข้าพเจ้าชอบใจหน้าที่ที่แนะนำไว้โดย นิครนถนาฏบุตร ธรรมะยังคงหมายถึงหน้าที่ ไม่ได้หมายถึง บันทึกเรื่องหน้าที่อย่างเดี๋ยวนี้ มันจะมีแต่บันทึกเรื่องหน้าที่ ไม่ได้มีการกระทำหน้าที่ มันก็ไม่มีธรรมะ ผลร้ายมันก็เกิดขึ้น
เดี๋ยวนี้เรามาจำกัดวงแคบเข้า ธรรมะ คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แสดงว่าไม่รู้กี่มากน้อย ไม่รู้กี่มากน้อย ธรรมะของศาสดาอื่นก็มี เขาก็เรียกธรรมะกันทั้งนั้น และคำว่าธรรมะ ธรรมะก็พูดกันมาก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ตั้งแต่มนุษย์คนแรกเริ่มรู้จักสิ่งที่เรียกว่า หน้าที่ คำว่าหน้าที่ หน้าที่ นี่จึงคู่กันมากับมนุษย์ คู่กันมากับวิวัฒนาการของมนุษย์ วิวัฒนาการมาด้วยกัน ถ้ามองกันให้ละเอียดกว่านั้น หน้าที่คู่กันมากับชีวิต ชีวิตคู่กับหน้าที่ เพราะถ้าชีวิตไหนไม่ทำหน้าที่มันตายทันที มันเป็นอย่างนั้น ชีวิตไหนชนิดไหนไม่ทำหน้าที่มันก็ตายทันที เมื่อยังทำหน้าที่อยู่มันก็รอด ฝ่ายกายก็รอด ฝ่ายจิตก็รอด ธรรมะคู่กับชีวิตอย่างนี้ ถ้ามองให้ละเอียดกว่านั้นก็ต้องมองว่า เป็นสิ่งเดียวกัน ธรรมะกับชีวิตมันเป็นสิ่งเดียวกัน ถ้าไม่มีธรรมะก็ไม่มีชีวิต ถ้ามีชีวิตก็ต้องมีธรรมะ มันเลยกลายเป็นสิ่งเดียวกัน ทีนี้ครูจะสอนอย่างไร จะอบรมอย่างไรให้เด็กๆเขามีความรู้สึกอย่างนี้ ให้พอใจ ให้สนุกสนานในการทำหน้าที่ บูชาหน้าที่สูงสุด สมกับที่ว่าพุทธศาสนานี้ มีกฎของธรรมชาติเป็นสิ่งสูงสุด ศาสนาอื่นๆนั้นเขามีพระเจ้า เทพเจ้าในชั้นพิเศษนั้นเป็นสิ่งสูงสุด อะไรๆขึ้นอยู่กับพระเป็นเจ้า ขอจากพระเป็นเจ้า อ้อนวอนจากพระเป็นเจ้า เขามีวิธี ประเพณีอ้อนวอนเยอะแยะไปหมด กระทั่งการบูชายัญ เป็นต้น ส่วนพุทธศาสนานี้ไม่มีอย่างนั้น ไม่มีพระเจ้าอย่างนั้น แต่มีกฏของธรรมชาติที่ต้องเชื่อฟังนี้เป็นพระเจ้า ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นับตั้งแต่เกิดออกมา ต้องกิน ต้องอยู่ ต้องอาบ ต้องถ่าย ต้องอะไรทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็อยู่ได้ เมื่อเราดำรงกายวาจาใจถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้วก็ไม่เป็นทุกข์ แล้วก็อยู่สบาย นี่เรามีสิ่งสูงสุดอยู่ที่กฎของธรรมชาติ ซึ่งบ่งไว้ว่ามีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ในธรรมะ ๔ ความหมายจำกันง่ายๆ
ถ้าครบ ๔ ความหมายก็เรียกว่าสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นเรามีธรรมะในความหมายที่ ๓ หมายถึงหน้าที่ ตามกฎของธรรมชาติมันเป็นสิ่งที่คู่กันมากับชีวิต แล้วมีสิ่งสูงสุดที่ต้องกลัว ต้องเคารพ ต้องยำเกรง ก็คือ กฎของธรรมชาติ เช่นกฎอิทัปปัจจยตา โดยเฉพาะ มันก็ช่วยให้รอดได้ นี่เราจะต้องรู้จักสอนเด็กๆของเราให้รู้ว่าพุทธศาสนานั้นเป็นอย่างไร? มีจุดยืนอย่างไร? อะไรเป็นเรื่องที่จะต้องรู้และสำคัญที่สุดที่จะต้องปฏิบัติ? มันก็มาเหลือแต่หน้าที่ หน้าที่ ฟังดูแล้วก็เหมือนกับพูดเล่น แต่จริงๆเป็นความจริงเสียยิ่งกว่าจริง ธรรมะเป็นหน้าที่ หน้าที่ก็คือสิ่งสูงสุด เพราะมันช่วยให้รอดทั้งใน ๒ ความหมาย ในความรอดส่วนบุคคล รอดทางกายก็ได้ รอดทางจิตก็ได้ หน้าที่ช่วยให้รอด ถ้ารอดของสังคมมันก็พัวพันกันยุ่งยากลำบากหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็รอดเพราะหน้าที่ เพราะสังคมนั้นทำหน้าที่อย่างถูกต้อง อาตมาจึงพูดว่า ถ้าทุกคนทำหน้าที่เท่านั้นแหละประเทศชาติก็ไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่เลย ช่วยเน้นในเรื่องหน้าที่ให้นักเรียนรู้จักเหมือนกับรู้จักพระเจ้า ที่จะช่วยให้รอด แล้วก็พอใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ แล้วก็ทำหน้าที่ให้สนุกๆไปเลย แล้วก็ทำได้มาก แล้วเป็นสุขอยู่เมื่อทำหน้าที่ ไม่ต้องเอาเงินที่เป็นผลของการทำหน้าที่ไปซื้อหาความเพลิดเพลินที่หลอกลวง เดี๋ยวนี้ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในโลกทั้งโลก เทคโนโลยีสมัยใหม่ทั้งหลาย มันมาเพื่อผลิตปัจจัยแห่งความเพลิดเพลินนั้น มันหลอกลวง เขาบูชากันนัก บูชากันอย่างยิ่ง หลับหูหลับตาบูชาเทคโนโลยี ซึ่งไม่ได้ใช้ประโยขน์อะไรเลย นอกจากใช้เพื่อสามารถสร้างปัจจัยแห่งกิเลส ที่จะให้เกิดความสวยงามสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังยิ่งๆขึ้นไป เทคโนโลยีเป็นอย่างนี้ ทีนี้ อีกทางหนึ่งก็เพื่อสงคราม เพื่อสงครามมันคู่กันไป ใช้เทคโนโลยีสร้างปัจจัยของสงคราม ให้มีอำนาจ ให้ชนะได้ แล้วก็จะได้ยึดครองให้ทั้งหมดเป็นของเรา แล้วเราก็จะได้มีปัจจัยแห่งกิเลสหมดทั้งโลก เมื่อไปบูชาเทคโนโลยีแล้วก็จะมีผลอย่างนี้ ไอ้ที่ขนาดจะอยู่กันอย่างเป็นสุข ผาสุกนี้ ไม่ต้องถึงขนาดต้องเทคโนโลยีอย่างนั้น เท่าที่มีหลักปฏิบัติในพุทธศาสนาก็เพียงพอแล้ว หรืออาจจะกล่าวว่าทุกคนทำหน้าที่ให้ถูกต้องเท่านั้นเอง มันก็หมดปัญหา
ขอให้มองดูหน้าที่แล้วก็ปฏิบัติต่อสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ให้ถูกต้อง ให้ลูกเด็กๆรู้จักสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่หรือธรรมะ แล้วก็พอใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติธรรมะ แล้วก็เป็นสุข เป็นสุข เสียเมื่อกำลังทำหน้าที่ ไม่ต้องเอาเงินที่เป็นผลได้นั้น ไปซื้อหาความเพลิดเพลินอันหลอกลวง เดี๋ยวนี้เด็กนักเรียนมีปัญหามาก ที่เงินใช้มากเพื่อความเพลิดเพลินอันหลอกลวง แล้วบอกพ่อแม่ว่าเอาไปใช้ในทางเล่าเรียน ถึงครูในรุ่นหนุ่มสาวนี่ก็เหมือนกัน ทำงานเพื่อแสวงหาปัจจัยแห่งความเพลิดเพลินอันหลอกลวง มากกว่าที่จะทำหน้าที่อันสงบสุขโดยแท้จริง บางทีก็เลยเถิดไปถึงกับว่าทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เป็นนักเรียนวิทยาลัยแล้วก็ยังยกพวกตีกัน นักเรียนวิทยาลัย มหาวิทยาลัยก็ทำพิธีรับน้องใหม่อย่างภูตผีปีศาจ นี่มันเกิน เกิน มันถอยกลับเกินไป เป็นสัญชาตญาณอย่างสัตว์นะ ช่วยดูให้ดี ไปบอกเขาให้รู้ว่าการับน้องใหม่อย่างที่ทำกันอยู่นั้น เป็นสัญชาตญาณอย่างสัตว์เดรัจฉาน ตามปรกติสัตว์เดรัจฉานอยู่กันเป็นกลุ่มๆ เป็นหมู่ๆ พอตัวไหนมันพลัดเข้ามาสู่หมู่นี้ มาตัวเดียวอย่างนี้ ทั้งหมู่มันจะต้องรุม บังคับให้ยอมแพ้ แล้วก็ต่อสู้กัน ถ้าชนะก็ดีไป ถ้าไม่ชนะก็ตาย สัญชาตญาณแห่งการที่จะบังคับผู้มาใหม่ให้ยอมแพ้นั้น เป็นสัญชาตญาณอย่างสัตว์เดรัจฉาน เดี๋ยวนี้มาใช้อยู่ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย เพราะอะไร เพราะว่าการศึกษามันไม่ถูกต้อง การศึกษามันไม่พอ การศึกษามันไม่ถูกต้อง การยกพวกตีกันก็เหมือนกัน เป็นเรื่องของสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่เรื่องของมนุษย์ที่มีจิตใจสูงแล้ว ทีนี้การศึกษามันไม่พอ นักเรียนยังพอใจ ยังยินดีที่จะหาเกียรติ ด้วยการยกพวกตีกัน การศึกษามันไม่พอ โทษใคร โทษครู หรือโทษกระทรวงศึกษาธิการ หรือโทษประเทศไทย หรือผู้มีอำนาจในประเทศก็ลองไปคิดดู ที่แท้จริงมันก็อยู่ตรงที่ว่า การศึกษามันไม่ถูกต้องและเพียงพอ ไม่สนุกในการทำหน้าที่ แต่สนุกในการที่จะใช้สัญชาตญาณอย่างสัตว์เดรัจฉาน คือหลงใหลในกามารมณ์ และทำทุกอย่างเพื่อได้มาตามที่ตนต้องการ โดยไม่ต้องรับผิดชอบว่าผิด ถูก อย่างไร เรียกว่าไม่ถือเอาหน้าที่หรือคำว่าธรรมะอย่างถูกต้อง เพราะว่าเกิดกิเลสครอบงำจิตใจเสียแล้ว ก็ถือเอาตามกิเลส ตามที่กิเลสจะต้องการ มันจึงเป็นอย่างนี้ นี่คือปัญหาที่ประเทศชาติมันไม่รอด เพราะสมาชิกของประเทศชาติแต่ละคนมันไม่รู้ว่าหน้าที่คืออะไร อย่าว่าแต่จะรู้ว่าหน้าที่คือธรรมะเลย ไม่รู้ถึงนั่นหรอก แค่หน้าที่คือสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องทำ นี่มันก็ยังไม่รู้ มันบิดพริ้วต่อหน้าที่อยู่เสมอ บิดพริ้วไปหาวิธีลัดชนิดที่ไม่ต้องทำแต่ได้เงินมากๆ ก็เกิดหน้าที่คดโกง ปล้นจี้ อะไรขึ้นมา
เพราะฉะนั้น ทุกคน ประเทศชาติทั้งประเทศ ทุกคนจะต้องรู้จักธรรมะ รู้จักหน้าที่ แล้วบูชาธรรมะ บูชาหน้าที่ ทำหน้าที่ให้สนุก มีความสุขเสียเมื่อกำลังทำงาน ขอให้ช่วยจำไอ้ประโยคสั้นๆที่ว่า เมื่อทุกคนทำหน้าที่ประเทศชาติรอดนี้ไว้ด้วย เมื่อทุกคนทำหน้าที่ สนุกในการทำหน้าที่ด้วยกันทุกตน ประเทศชาติจะไม่มีปัญหาอะไร จะไม่เสียดุลย์การค้า จะไม่อะไรทุกอย่างแหละ และจะไม่เกิดปัญหายุ่งยากในภายใน เรื่องความยากจนหรือเรื่องอะไรต่างๆเหล่านี้มันก็ไม่มี เพราะมันทำหน้าที่ถูกต้องเสียหมด มันเกิดปัญหาเหล่านั้นไม่ได้ ขอให้บุคคลสูงสุดทำหน้าที่เต็มที่ รองลงมาทำหน้าที่เต็มที่ รองลงมาทำหน้าที่เต็มที่ กระทั่งพวกกรรมกรทั้งหลายก็ทำหน้าที่เต็มที่ ไม่เท่าไรพ้นจากความเป็นกรรมกร พวกขอทานก็ทำหน้าที่ถูกต้องตามวิธี ไม่เท่าไรก็พ้นจากความเป็นคนขอทาน นี่หน้าที่มันช่วยให้รอด ทีนี้ขอต่อเติมลงไปถึงสัตว์เดรัจฉานด้วย สัตว์เดรัจฉานพวกที่มีหน้าที่ใช้งานก็ทำหน้าที่ให้ดี วัว ควาย ช้าง ม้าทำหน้าที่ให้ดี สัตว์เดรัจฉานพวกพิทักษ์รักษา เช่นแมวไว้เฝ้าหนู คุ้มครองภัยจากหนู สุนัขคุ้มครองภัยจากโจรขโมย สัตว์เดรัจฉานพวกพิทักษ์รักษานั้นก็ทำให้ดี แม้ที่สุดแต่สัตว์เดรัจฉานที่คอยบอกเวลาสัญญา เช่น ไก่ก็ขันตามเวลา นกกระปูดจะร้องตามเวลา ก็ขอให้ช่วยทำหน้าที่ให้ดี กระทั่งสัตว์เดรัจฉานที่มันมีหน้าที่ให้เนื้อกินก็ต้องทำให้ดี แม้แต่สุดแต่ลิงที่เอามาขึ้นมะพร้าวก็ขอให้ขึ้น ทำหน้าที่ให้ดี ถ้ามันทำที่ดี ลิงขึ้นมะพร้าวตัวหนึ่งวันหนึ่งได้ตั้ง 600 ผล ถ้ามันเป็นลิงขี้เกียจมันก็ทำไม่ได้กี่ผล มันไม่ทำหน้าที่ เพราะฉะนั้น ขอให้ทำหน้าที่ถูกต้องลงไปถึงสัตว์เดรัจฉานทุกชนิดทุกระดับ แล้วก็รอด ประเทศชาตินี้ก็จะรอด คนทุกคนทำหน้าที่ สัตว์เดรัจฉานทุกตัวทำหน้าที่ ต้นไม้ต้นไร่ก็ทำหน้าที่ให้งอกงาม ทำหน้าที่แสวงหาน้ำ หาอาหาร หาแสงแดด เป็นต้นไม้ที่งอกงาม มีผลสมบูรณ์ แล้วประเทศชาติก็อุดมสมบูรณ์อย่างนี้ นี่หน้าที่ตั้งแต่ของต้นไม้ขึ้นมา จนถึงสัตว์เดรัจฉาน ถึงมนุษย์ เลยไปถึงเทวดา พวกเทวดาก็ต้องทำหน้าที่ พอไม่ทำหน้าที่มันก็ตาย อย่าอวดดีว่าเทวดา พอไม่ทำหน้าที่ถูกต้อง อย่างเทวดามันก็จุติ คือ ตาย แม้จะเป็นพวกพรหมสูงขึ้นไปอีก สูงขึ้นไปอีก สูงขึ้นไปสุดแล้วมันก็ยังต้องทำหน้าที่อย่างพรหม มันจึงจะรอดอยู่ได้ นี่เรียกว่าโดยหน้าที่ทั้งนั้น สัตว์ต่ำสุดจนถึงสัตว์สูงสุดก็ล้วนแต่ต้องทำหน้าที่ ที่ยังไม่ถึงสัตว์ แม้แต่เป็นพืชพฤกษาชาติทั้งหลายก็ยังต้องทำหน้าที่ มันเป็นกฎของธรรมชาติ มีอยู่ประจำอยู่ในทุกสิ่ง ทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร ถ้าผู้ใดรู้เรื่องนี้ก็จะยินดีทำหน้าที่ มีความพอใจเมื่อได้ทำหน้าที่ แล้วก็มีความสุขเมื่อได้ทำหน้าที่ เรื่องมันก็จบกัน แล้วมันมีแปลกอยู่ที่ว่า ไอ้ความสุขอย่างนี้นั้น มันเป็นความสุขแท้จริงไม่หลอกลวง และไม่อาจจะซื้อได้ด้วยเงิน เงินซื้อความสุขชนิดนี้ไม่ได้ เงินนั้นซื้อได้แต่ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงเท่านั้นแหละ แต่ความสุขที่ชื่นอกชื่นใจเย็นฉ่ำเป็นชีวิตเย็นนั้น มันมาจากการพอใจ มาจากความพอใจในการที่ได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องของมนุษย์ ความพอใจก็ทำให้เป็นสุข แล้วผลของการกระทำที่ถูกต้องมันก็ทำให้ใจเป็นสุข เพราะฉะนั้น ความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงิน ถ้าลูกเด็กๆนักเรียนทั้งหลายได้รู้เรื่องนี้มาเสียตั้งแต่แรกก็จะดีมาก คือจะไม่ได้เอาเงินไปซื้อหาความเพลิดเพลินอันหลอกลวง เดี๋ยวนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับติดต่อกัน ลงติดต่อกันด้วยปัญหาเรื่องนักเรียนไปมั่วสุมในสถานอบายมุข สถานเริงรมย์ สถานอะไรที่ให้เกิดโรค ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ให้เกิดความเสียหายทางจิตทางใจต่างๆนานา จนวันสองวันนี้ก็เรื่องลานสเก็ต เรื่องอะไรนี่เป็นต้น คิดดูเถอะมันไม่มีที่สิ้นสุด เรื่องความเพลิดเพลินอันหลอกลวง
ถ้าเด็กเขารู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ทำแล้วพอใจ ทำแล้วสบายใจ เขาก็มีความสุขซึ่งไม่ต้องเติมอะไรกันอีกแล้ว มันเป็นความสุขที่เพียงพอเสียแล้วตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ ถ้าไปหามาอีกก็เป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวงไม่ใช่ความสุข ความสุขแท้จริงมีอยู่เต็มที่เมื่อพอใจในการได้ทำหน้าที่ เด็กๆของเราชาวพุทธนี้ควรจะได้รู้จักหน้าที่ พอใจ และเคารพนับถือสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ เหมือนที่เด็กในศาสนาอื่นเขาเคารพพระเจ้า ไปศึกษาดูเถิด ในศาสนาอื่นเขาให้เด็กๆเคารพพระเจ้ากันเท่าไร สูงสุดเท่าไร จริงจังเท่าไร เราไม่ค่อยจะให้เด็กเคารพหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือพระธรรม แล้วเคารพพระธรรมนั่นเอง เคารพหน้าที่คือเคารพพระธรรมนั่นเอง สอนให้เขารู้จักหน้าที่ ว่าเป็นอย่างนี้ คือเป็นสิ่งสูงสุด เป็นสิ่งที่จะช่วยให้รอด เป็นกฎของธรรมชาติอันตายตัว ไม่มีทางจะต่อสู้อุธรณ์อะไรได้ มีแต่จะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องถึงที่สุดร้อยเปอร์เซนต์เท่านั้น แล้วเด็กนั้นก็ระมัดระวังในการที่จะทำหน้าที่ สอนกันตั้งแต่ชั้นอนุบาลได้ก็ยิ่งดี ว่าธรรมะคือหน้าที่ คือสิ่งสูงสุดของมนุษย์ มนุษย์จะต้องประพฤติกระทำให้บริบูรณ์ ให้ร้องออกมาหรือว่าร้องอยู่ในใจก็ได้ถ้าไม่ออกมาว่า “ถูกต้องแล้ว พอใจแล้ว เป็นสุขแล้ว” เอากันตั้งแต่ตอนไหนดี ตอนตื่นนอนขึ้นมาเช้า ตอนเช้าตื่นนอน ควรจะต้องรู้สึกว่าทุกอย่างได้ทำถูกต้องแล้ว ปลอดภัยแล้ว นอนมาหนึ่งคืนปลอดภัยแล้ว ถูกต้องแล้ว พอใจ เป็นสุข ทีนี้ก็จะไปล้างหน้า ก็หน้าที่อันถูกต้องที่จะต้องล้างหน้า ล้างให้ดีที่สุดทุกอิริยาบถ เมื่อตั้งแต่จะหยิบขัน ตั้งแต่จะเปิดก๊อก ทุกระยะแห่งการล้างหน้า ทำอย่างดีที่สุดในฐานะเป็นหน้าที่คือธรรมะ แล้วก็พอใจ พอใจ แล้วก็เป็นสุข เป็นสุข นี่มันมีความสุขเสียเมื่อทำหน้าที่อย่างนี้ มันไม่ต้องเติมความสุขอะไรที่ไหนกันอีก ทีนี้ไปถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มันก็เป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ก็เป็นธรรมะ การถ่ายอุจจาระ การถ่ายปัสสาวะก็คือธรรมะ เป็นหน้าที่ที่ไม่ทำแล้วมันตาย ก็เลยมีความสุขได้แม้ในขณะที่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ คือพอใจ และถูกต้องแล้วก็พอใจ ทีนี้จะทำอะไรล่ะ จะไปห้องน้ำ จะไปอาบน้ำ ก็ทำอย่างถูกต้องและพอใจตลอดเวลาในห้องน้ำ จะไปห้องแต่งตัวก็ทำด้วยสติสัมปชัญญะ ถูกต้องและพอใจทุกๆระยะของการแต่งตัว ไปห้องอาหารไปรับประทานอาหารก็มีขั้นตอนมาก ก็ต้องทำให้ถูกต้องทุกขั้นตอน ทุกขั้นตอน ถูกต้องและพอใจ จากนั้นก็จะไปทำงาน ลงบันไดเรือนไปทุกขั้น ทุกขั้นบันไดถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจ ขึ้นรถถูกต้องและพอใจ ไปถึงที่ทำงานก็ถูกต้องและพอใจ ถ้าไปออกที่ที่ทำงาน หมายความว่าเป็นหน้าที่การงานที่ใหญ่หลวง ทำในใจดีที่สุด ในงานที่จะต้องทำที่ออก Shift (นาทีที่45.22) ควรจะมีสติยั้งคิดว่านี่คือหน้าที่ หน้าที่ชิ้นใหญ่ หน้าที่สมบูรณ์ ซึ่งมันช่วย แล้วก็พนมมือ พนมมือสักนิดหนึ่งให้ห้องทำงาน ห้องทำงานธรรมดานี่แหละ เมื่อจะก้าวเข้าประตูไปก็พนมมือให้สักหน่อย สักครั้งหนึ่งว่ารู้จัก และเคารพค่าของการงาน ของห้องทำงาน แล้วก็ตั้งใจทำดีตลอดเวลา ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาทีที่ทำงาน ถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจ เมื่อจะหยุดพักผ่อนบ้างก็ถูกต้องและพอใจ เพราะมันต้องหยุดพักผ่อน ไม่อย่างนั้นมันไม่มีแรงจะทำงาน เมื่อพักผ่อนอยู่ก็ถูกต้องและพอใจ เมื่อทำงานอยู่ก็ถูกต้องและพอใจ จนกว่าจะเลิกงาน ก็เลิกงานด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ กลับมาบ้านก็เหมือนกันอีก เข้ารูปเดิมอีก ไปกินข้าว อาบน้ำถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะอะไร พอถึงเวลาจะนอน สิ้นวันจะนอนแล้วก็ถูกต้องและพอใจรวบยอด คำนึงคำนวณหมดทั้งวันด้วยทำดีถูกต้องและพอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองเสียครั้งหนึ่งก่อนนอน ถ้าใครถือปฏิบัติไหว้พระพุทธ ไหว้พระธรรม ไหว้พระสงฆ์ ไหว้ครูบาอาจารย์ ไหว้อะไรก็ไหว้ ไหว้สามครั้ง ไหว้สี่ครั้ง ห้าครั้ง ก็สุดแท้ ขอเติมไปอีกสักครั้งหนึ่ง ไหว้สูงสุด คือ ไหว้ตัวเองที่มีแต่ความถูกต้องและพอใจ นี่ต้องยกมือไหว้ตัวเองที่มีแต่ความถูกต้องและพอใจ การไหว้ตัวเองได้นั้นเป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์ เมื่อพอใจตัวเองจนไหว้ตัวเองได้ นั้นจิตใจเป็นสวรรค์ เสวยสุขอย่างที่เรียกว่าสวรรค์อันสะอาดนั้น ไม่ใช่สวรรค์สกปรกเหมือนที่เขาปรารถนากันนัก เมื่อสวรรค์อันสะอาด คือความรู้สึกถูกต้อง และพอใจจนยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่สวรรค์แท้จริง สวรรค์ที่เป็น สันทิฏฐิโก รู้จักด้วยตนเอง อะกาลิโก ไม่จำกัดเวลา นี้เป็นต้น นี่ควรจะเรียกกันมาดู ท้าทายว่ามาดู มาดูฉันมีอย่างนี้ ฉันมีอย่างนี้ เอหิปัสสิโก ถ้าหากว่าเกลียดตัวเองเมื่อไร มันก็เป็นนรกเมื่อนั้น นี่ไม่ต้องอธิบาย
เอาละ เป็นอันว่าเราจะทำให้เด็กๆของเรารู้ว่าธรรมะนั้นคืออะไร? แล้วกระทั่งรู้ว่าธรรมะนั้นคือชีวิต ชีวิตคือตัวธรรมะ ธรรมะคือชีวิต หรือเป็นอันเดียวกันเลย เด็กมันก็รู้ได้เองว่า โอ้, เกิดมานี้เพื่อมีธรรมะ เพื่อประพฤติถูกต้องตามธรรมะ แล้วก็ไม่มีความทุกข์เลย การเกิดมานี้เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือสภาพที่มีแต่ความสุขอันแท้จริงไม่มีทุกข์เลย สำเร็จได้เพราะการทำหน้าที่ไม่มีบกพร่อง ให้ได้สนุกสนาน พอใจในการทำหน้าที่แม้ตามแบบของเด็กๆ อยากจะขอให้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเด็กๆตามสัญชาตญาณกันบ้าง มันก็มีอยู่หลายประการที่มันสร้างมาดี แล้วคนไม่ได้ส่งเสริม มันก็หายไปหมด สัญชาตญาณแห่งการที่จะทำให้ดี ให้ถูกใจผู้อื่นนั้นมันมี เด็กทารกตัวเล็กๆนั้น พอบอกว่าดี พอใจ มันก็เต้นแร้งเต้นกาพอใจ เพราะได้รู้สึกว่าเขาว่าเราดี เขาว่าเรามีการกระทำที่ดี สัญชาตญาณอันนี้ต้องส่งเสริมให้มีมาเรื่อยไปๆจนใหญ่จนโตจนแก่จนเฒ่าโน่น อย่าให้มันหมดเสียกลางครัน มีจิตใจอ่อนโยนเป็นมุทุปสันนามาตั้งแต่เด็ก เป็นเด็กโต เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาว ก็มีคุณธรรมอันนี้ยังอยู่ สัญชาตญาณที่อยากจะทำ อยากจะทำ หนูทำเอง หนูทำเองนี้ พอมีอะไรจะทำสักนิดหนึ่งก็เข้ามาแย่งทำ แม้แต่ว่าจะกวาดบ้านหรือจะทำอะไรบ้างนี้ ไอ้ตัวเล็กๆก็มาขอทำเอง ขอทำเอง หนูทำเอง นี่สัญชาตญาณอันนี้ควรจะส่งเสริม รักษาไว้ให้ดีที่สุดจนกระทั่งสิ้นชีวิต เขาก็จะมีนิสัยสมัครทำสิ่งซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ไม่ต้องเข็นกันเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ ที่เข็นๆกันยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา จะให้คนชั่วมันทำดี จะให้คนที่หมดธรรมะ ไม่มีธรรมะนี้มาทำดี มันก็ทำไม่ได้ มันยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ก็ตะโกนโหวกๆๆกันอยู่อย่างนั้น แม้มีอำนาจมันก็บังคับไม่ได้เห็นไหม แล้วก็ไม่กล้าใช้อำนาจเพราะมันจะเกิดเรื่องอย่างอื่น จึงเต็มไปด้วยอันธพาลเต็มบ้านเต็มเมือง นี่เพราะบังคับไม่ได้ เพราะมันโตเสียแล้ว เพราะฉะนั้นลูกเด็กๆในชั้นอนุบาลนั้นควรจะต้องสอนให้ดี ให้รู้จักว่าอะไรเป็นอะไร ตัวเองคืออะไร? เกิดมาทำไม? สิ่งสูงสุดคืออะไร? ไม่ต้องบอกให้เชื่อผีสางเทวดาหรอก มันจะเป็นไสยศาสตร์ไปเสีย บอกสิ่งสูงสุดคือหน้าที่ คือหน้าที่ ครั้งแรกก็คงจะไม่เข้าใจ แต่ก็อธิบายเรื่อย อธิบายไปว่าหน้าที่อย่างไร? หน้าที่เป็นสิ่งสูงสุดอย่างไร? ทำแล้วพอใจตัวเองอย่างไร? ความสุขแท้จริงอยู่ที่ไหน? ความเพลิดเพลินอันหลอกลวงอยู่ที่ไหน? ถ้าทำได้อย่างนี้ลูกดอกนั้นก็มันก็ถูกต้อง ครูได้เปิดประตูทางวิญญาณให้ลูกทารกนั้นแล้ว ลูกทารกนั้นเดินทางถูกต้องแล้ว ออกมาจากคอกแล้ว เดินทางถูกต้องแล้ว แม้แต่ครูขั้นต้นคือครูที่บ้านคือบิดามารดาผู้ให้กำเนิดมาทารกยังเล็กๆอยู่ นี่ต่อมาถึงครูที่โรงเรียนก็ส่งเสริมให้ดี ให้ติดต่อกันให้ดี ให้เขาเดินต่อไป เมื่อมาถึงวัดวา อาราม พระเจ้า พระสงฆ์ซึ่งเป็นครูอันสุดท้าย นี่ก็พยายามส่งต่อให้ดีถึงให้มันไปให้ถึงที่สุดให้จนได้ เรื่องมันก็จบ มนุษย์ได้เกิดมา แล้วก็ได้ก้าวหน้าไปจนถึงที่สุดแห่งความเป็นมนุษย์ แล้วเรื่องมันก็จบ
นี่เราก็ได้บอกแล้วว่าครูคือความรอดของชาติอย่างไร? ไม่ต้องตอบปัญหานี้โดยตรง ตอบปัญหานี้โดยธรรมบรรยายทั้งหมด ว่าครูเป็นความรอดของประเทศชาติได้อย่างไร? แล้วก็ได้เรียกร้องมากกว่านั่น ส่วนของมนุษยชาติทั้งโลก ทั้งจักรวาล ทั้งเทวดาและมนุษย์รอดได้เพราะอะไร? เพราะการทำอย่างไร? มันก็น่าหัว น่าหัวให้ฟันหักในคำตอบ เพราะทำหน้าที่ เพราะทำหน้าที่ เท่านั้นเอง แล้วก็คอยอธิบายว่า หน้าที่คือธรรมะ คือสิ่งสูงสุด หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มาจากกฎของธรรมชาติ เพราะว่าธรรมชาติทั้งปวงมีกฎแห่งธรรมชาติสิงสถิตย์อยู่ ไม่มีทางจะหลบหลีก เรื่องนี้ก็น่าหัว พูดเป็นเรื่องชวนหัวเพิ่มเติมบ้างก็ได้ ที่เขาพูดกันว่าพระเจ้าคอยดูแลมนุษย์อยู่ในที่ทุกหน ทุกแห่ง ทุกหัวระแหงนั้น ทีนี้ พระเจ้าที่เป็นเทวดาเป็นอะไรอยู่เมืองสวรรค์นั้น อยู่เมืองพระเจ้าจะไปควบคุมทุกแห่งอย่างไร? พระเจ้านี้ยุ่งแต่บนสวรรค์ของท่านเองก็ไม่รู้จักสิ้นจักสุด แล้วจะมาอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งอย่างไร? เข้าไปอยู่ในกองขี้หมาก็ไม่ได้ แล้วมันก็ควบคุมปรมาณูในกองขี้หมาก็ไม่ได้ แต่ถ้ากฎธรรมชาติ กฎของธรรมชาตินี้ มันไปอยู่ในทุกๆปรมาณูของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลก อย่าว่าแต่ในกองขี้หมาเลย ในทุกๆปรมาณูของอะไรก็ตามนั้น กฎของธรรมชาติเข้าไปสิงสถิตควบคุมอยู่ทั้งนั้น พระเจ้าคือกฎของธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งมองเห็นได้จริง มีเหตุผลอยู่ในตัวเป็นสันทิฏฐิโก เป็น อกาลิโก เป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพ นี่ก็เป็นเรื่องที่ว่าไม่ใช่จะพูดจาลบหลู่พวกอื่น การกระทำอย่างนั้นเลวมากใช้ไม่ได้ อย่ามีเจตนาจะลบหลู่ผู้อื่น มีเจตนาแต่เพียงว่าจะสอนให้ลูกเด็กๆของเรา ที่เรามีภาระที่จะสอนให้มันถูกต้อง ว่ามีพระเจ้าอยู่แท้จริง คอยคุ้มครองได้จริง อย่าสอนให้ผิดๆ ไปถือไสยศาสตร์ มันไม่ใช่พุทธศาสนา ไสยศาสตร์ แปลว่า ศาสตร์ของคนหลับ ไสยะ แปลว่า หลับ ไสยศาสตร์ แปลว่า ศาสตร์ของคนหลับ แต่ให้เขาถือพุทธศาสตร์ คือ ศาสตร์ของคนตื่น ลืมตาอยู่ทำอะไรผิดไม่ได้ ถ้าไปสอนให้เชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มองไม่เห็นตัว ได้แต่บวงสรวงอ้อนวอน แล้วก็กลายเป็นไสยศาสตร์ ถ้าจะให้ลูกเด็กๆเขาแขวนพระเครื่องที่คอบ้าง ก็อธิบายให้ดีนะ ว่าแขวนทำไม? เพื่อเหตุผลอย่างไร? ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นไสยศาสตร์ สอนว่าพระพุทธเจ้าดับทุกข์ได้ นี่สัญญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า เป็นเครื่องให้ระลึกถึง เราชอบใจความรู้หรือคำสอนของพระพุทธเจ้าเอามาแขวนกันลืม ถ้าอย่างนี้ก็เป็นพุทธศาสตร์ แต่ถ้าเอามาแขวนให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองบวงสรวงอ้อนวอนแล้ว มันก็เป็นไสยศาสตร์ แล้วมันก็ไม่มีผล ดูได้ที่ว่าโจรผู้ร้ายถูกยิงตายนอนอยู่ก็มีพระเครื่องแขวนคออยู่เต็มคอนี้ คนที่ถูกตำรวจยิงตายหรือตายนั้นก็มีพระเครื่องแขวนคออยู่เต็มคอทั้งนั้นเลย ทำไมช่วยไม่ได้ เพราะมันใช้ผิดเรื่อง ถ้าใช้ถูกเรื่องจะไม่มีใครยิงไม่มีใครฆ่าเลย ใช้ให้ถูกเรื่อง เพราะฉะนั้น ระวังอย่าทำให้เด็กๆเขาไปหลงยึดถือไสยศาสตร์ คือสิ่งนอกตัว ไปพึ่งสิ่งอื่นนอกไปจากตัวเป็นไสยศาสตร์ พึ่งสิ่งที่อธิบายไม่ได้ งมงาย ไร้เหตุผลก็เป็นไสยศาสตร์ เป็นเรื่องที่จะต้องเห็นชัดลงไปในหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ที่ต้องกระทำ แล้วก็กระทำ กระทำถูกต้องตามกฎของหน้าที่ ตามกฎของธรรมชาติ เป็นวิทยาศาสตร์ นี่ครูทุกคนช่วยบอกนักเรียนว่า พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์อย่างนี้ จึงเป็นไสยศาสตร์ไม่ได้ พุทธศาสตร์กับวิทยาศาสตร์นั้นเป็นสิ่งเดียวกัน คือ มีเหตุผลเฉพาะหน้า ประพฤติ ปฏิบัติไปอย่างถูกต้อง จึงเกิดผลตามที่ต้องการได้แท้จริง แล้วจะเป็นอย่างไร เด็กๆของเราจะเป็นอย่างไร เด็กๆของเราทุกคนนี้ก็จะเดินถูกทาง ถ้ามีผู้นำทางวิญญาณที่ดี มีผู้เปิดประตูคอกทางวิญญาณให้ออกมาได้ แล้วก็มีการเดินไปถูกต้อง สมตามความหมายของคำว่า ครู ครู ผู้เปิดประตู
ส่วนข้อที่จะต้องบูชาครู ทดแทนครูนั้น มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นสิทธิไม่ใช่เรื่องของหน้าที่ ครูมีสิทธิตามธรรมชาติ ที่เป็นที่ตั้งแห่งความเคารพนับถือ มีความสักการะ เคารพ นับถือ บูชา เลี้ยงดู นั่นก็เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง คือ ฝ่ายผล หรือฝ่ายสิทธิ แต่ถ้าฝ่ายหน้าที่ หรือฝ่ายเหตุแล้ว ครูมีแต่จะเปิดประตูทางวิญญาณ แล้วก็นำคนทั้งหลายให้เดินถูกทาง เรื่องจบ ถ้าทุกคนเดินถูกทางนี้ ทุกคนทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ปัญหามันก็หมด ไม่มีใครที่จะยากจน ทุกข์ยาก ลำบากให้ผู้อื่นต้องมาเป็นภาระ แล้วก็ไม่หลงความเพลิดเพลินหลอกลวง ก็ไม่ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย รัฐบาลก็ไม่ต้องเสียดุลการค้าอย่างนี้ เป็นต้น ไปใคร่ครวญลองดูซิ รัฐบาลเสียดุลการค้านั้น มาจากสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นส่วนใหญ่ มันไม่รู้จักว่าฟุ่มเฟือยเพียงไหน มันกลายเป็นไม่ฟุ่มเฟือยไปเสียหมด สำหรับคนพวกนั้น มีรถยนต์คันหนึ่งไม่ฟุ่มเฟือย เอ้า, ๒ คัน ๒ คันก็ไม่ฟุ่มเฟือย ๓ คัน ๔ คันมันก็ไม่ฟุ่มเฟือย บ้านหนึ่งมีรถยนต์ตั้งหลายคันมันก็ยังไม่ฟุ่มเฟือย นี่การกำหนดไว้ผิด ตั้งกฎไว้ผิด มีบ้านหลังหนึ่งก็ไม่ฟุ่มเฟือย มีบ้าน ๓ หลัง ๕ หลังก็ยังไม่ฟุ่มเฟือย มีบ้านราคาแสนยังไม่ฟุ่มเฟือย มีบ้านราคาล้าน หลายสิบล้านก็ไม่ฟุ่มเฟือย แล้วในที่สุดมันก็ไปหลงอยู่กับความฟุ่มเฟือย เงินมันก็รั่วไหลไปต่างประเทศ แล้วก็ขาดดุลย์การค้า เพียงแต่มีธรรมะกันเสียเท่านั้นแหละ ประเทศชาติจะหลุดพ้น ปัจเจกชนแต่ละคนก็หลุดพ้นจากปัญหา ประเทศชาติส่วนรวมก็หลุดพ้นจากปัญหา นี่คือ ครู คือ หนทางรอดของประเทศชาติ
หวังว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายคงจะได้นำไปพินิจพิจารณา แล้วก็หาวิธีที่จะทำให้ลูกเด็กๆเขาเดินถูกทาง ออกมาจากคอก แล้วเดินถูกทาง สมกับที่ว่า ครูเป็นสถาบันของผู้นำในทางวิญญาณของโลกของสากลจักรวาลเหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหน
ในที่สุดนี้ การบรรยายก็สมควรแก่เวลาแล้ว อาตมาขอแสดงความยินดีอีกครั้งหนึ่ง ในการที่ได้พบกับท่านทั้งหลายที่เป็นครู เพราะว่ามีอาชีพอย่างเดียวกัน มีหน้าที่อย่างเดียวกันอย่างที่กล่าวมาแล้วแต่ต้น ถ้าจะเรียกว่ารับผิดชอบก็รับผิดชอบร่วมกัน รับผิดชอบความเป็นความตายของมนุษยชาติทั้งโลกเลย มอบให้ครูในโลก สถาบันครูของโลกเป็นผู้รับผิดชอบ แล้วก็ขอให้ถือว่าเราพูดกันนี้ ไม่ใช่พูดกันอย่างพูดกันตามธรรมดา พูดกันในฐานะผู้รับผิดชอบ พูดกันในฐานะผู้รับผิดชอบ ทุกคนจะต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตน ซึ่งมีต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์ ต่อตัวเอง มีความรับผิดชอบถึงขนาดนั้น ดังนั้น สิ่งที่พูดกันนี้มันก็ต้องเอาไปนึก ไปคิด ไปกระทำ ไปปฏิบัติ ให้สำเร็จประโยชน์ เต็มตามหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ หวังว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะได้ทำงานสนุก ทำหน้าที่ของตนสนุก ให้มีความสุขเมื่อทำหน้าที่ เจริญงอกงามทั้งทางกายและทางจิตใจ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพุทธศาสนา ให้อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ