แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ความ เวลานี้เห็นว่ามีเรื่องสำคัญที่สุดอยู่เรื่องหนึ่ง จะเป็นผู้ครองเรือนหรือไม่ครองเรือนก็ได้ คือ ให้เขารู้ว่า ธรรมะนั้นคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต คำนี้จะต้องจำให้ดี โดยเฉพาะพวกครูทุกคนว่า ธรรมะนั้นคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ครูมักจะสอนนักเรียนแต่ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มักจะบอกเด็กๆ ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่ได้บอกว่าสอนอย่างไร อย่างนี้มันไม่มีประโยชน์อะไร ที่จริงนั้น ธรรมะนั้นน่ะมีพูดมีสอนกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า ก่อนพระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นมาในโลก มนุษย์มีคำว่าธรรมะ ธรรมะพูดใช้กันอยู่แล้ว ก็หมายถึงหน้าที่ของมนุษย์คือ เมื่อมนุษย์มันพ้นจากความเป็นคนป่ามาพอสมควรแล้ว มันก็มองเห็นไอ้สิ่งๆ หนึ่งซึ่งสำคัญที่สุด ก็คือหน้าที่ พอมันศึกษาสังเกตเห็น มันมีไอ้สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ที่เราจะต้องทำ ก็เรียกสิ่งนั้นว่าธรรมะ ธรรมะซึ่งแปลว่าหน้าที่ แล้วก็สอนเรื่องหน้าที่ ทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้น หน้าที่สำหรับสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด ทำหน้าที่แล้วมันก็รอดชีวิต หน้าที่ที่หนึ่งคือรอดชีวิตอยู่ได้ หน้าที่ที่สองก็คือรอดชีวิตอยู่ได้แล้วก็ทำให้ดีขึ้นไป ดีขึ้นไปจนรอดจากความทุกข์ทั้งปวงเป็นพระอริยเจ้า หน้าที่ของมนุษย์เรามีสองขั้นตอนอย่างนี้ ขั้นที่หนึ่งให้มันมีกินมีใช้ มันรอดชีวิตอยู่ได้ เรียกว่ารอดครั้งแรก ขั้นที่สองก็รอดจากความทุกข์ รอดจากกิเลส จนเป็นพระอริยเจ้า นี่คือหน้าที่ของมนุษย์ แต่คำว่าหน้าที่ หน้าที่มันมีความหมายมากกว่านั้นมาก เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานก็ต้องมีหน้าที่ สัตว์เดรัจฉานมันก็หากิน มันก็บริหารร่างกาย มันก็หนีศัตรู มันก็สืบพันธุ์ มันก็ทำตามหน้าที่ของมัน มันจึงรอดชีวิตอยู่ได้ ต้นไม้ต้นไร่เหล่านี้ ดูเถอะมันทำหน้าที่ตามหน้าที่ของต้นไม้ ดูดน้ำกิน ดูดแร่ธาตุกิน เอาแสงแดดมาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แร่ธาตุกลายเป็นอาหารบำรุงต้นไม้ได้ ต้นไม้มันก็มีหน้าที่ ให้จำไว้ว่า หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตนั่นแหละคือธรรมะ มนุษย์พูดคำว่าธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่นี้ ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดเสียอีก พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นท่านก็สอนหน้าที่ที่มันสูง คือเอาชนะกิเลสได้ บรรลุมรรคผลนิพพาน นี่หน้าที่ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ถ้าบอกเด็กๆ ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็บอกเขาให้ตลอดเสียเลยว่า ท่านสอนให้ทำหน้าที่ จะครองเรือนก็ทำหน้าที่อย่างผู้ครองเรือน เป็นบรรพชิตก็ทำหน้าที่อย่างบรรพชิต ทุกคนมีหน้าที่ ใครปฏิบัติหน้าที่ก็เรียกว่าคนนั้นมีธรรมะ อย่างครองเรือนก็ได้ อย่างบรรพชิตก็ได้ เมื่อชาวนามันทำนา มันปฏิบัติธรรมะของชาวนา เมื่อชาวสวนมันทำสวน มันก็ปฏิบัติธรรมะของชาวสวน คือหน้าที่ของชาวนา หน้าที่ของชาวสวน ถ้ามันเป็นพ่อค้าแม่ค้า มันก็ทำหน้าที่ของพ่อค้าแม่ค้า ก็เรียกว่ามันปฏิบัติธรรมะของแม่ค้าพ่อค้า ถ้ามันทำราชการ ในหน้าที่ราชการ มันก็ปฏิบัติธรรมะของข้าราชการ ถ้ามันเป็นกรรมกร เป็นลูกจ้าง มันก็ปฏิบัติหน้าที่ของกรรมกร ถ้ามันถีบสามล้อ มันก็ปฏิบัติธรรมะในระดับชั้นถีบสามล้อ กวาดถนน ล้างท่อถนน แจวเรือจ้าง แล้วแต่ ก็เรียกมันทำหน้าที่ในระดับนั้นๆ ตามที่มันจะทำได้ เรียกว่ามันปฏิบัติธรรมะทั้งนั้น กระทั่งว่ามันนั่งขอทานอยู่ อย่างดีนะไม่ใช่ขอทานอันธพาล ปฏิบัติธรรมะของคนขอทาน คนขอทานก็มีธรรมะเหมือนกัน ถ้าเขาปฏิบัติธรรมะของคนขอทานไปเรื่อยๆ อย่างถูกต้อง ไม่เท่าไรเขาก็รอดแหละ รอดจากความเป็นขอทาน ไม่ต้องเป็นขอทาน ทำอะไรดีสูงขึ้นไปกว่าขอทาน ให้จำไว้สั้นๆว่า ธรรมะคือหน้าที่ที่ต้องทำ ที่ควรทำของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดทุกระดับ เป็นมนุษย์ก็ได้ เป็นคนก็ได้ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เป็นต้นไม้ต้นไร่ก็ได้ มันมีชีวิตแล้วมันต้องมีหน้าที่ ธรรมะหรือหน้าที่มันเป็นคู่ชีวิต เราจึงบอกให้รู้ว่า ธรรมะนั้นคือคู่ชีวิต ถ้าไม่มีธรรมะ ไม่ทำหน้าที่ มันตาย ชีวิตนั้นมันตาย คู่ชีวิตภาษาชาวบ้านคือคู่ผัวตัวเมียว่าคู่ชีวิตนี้มันไม่จริง มันพูดแต่ปาก เดี๋ยวมันก็ทะเลาะกัน เดี๋ยวมันกัดกัน เดี๋ยวมันหย่ากัน เดี๋ยวมันดีกัน จะคู่ชีวิตอะไร ธรรมะแท้ๆ ถ้ามันไม่มีธรรมะเมื่อไร มันจะตายเมื่อนั้น ไปดูให้ดีๆ ธรรมะคือหน้าที่ ถ้าไม่มีธรรมะ ไม่มีหน้าที่ มันก็ตายเท่านั้น ชีวิตนั้นมันก็ตาย เราจึงถือว่า ธรรมะนั้นแหละเป็นคู่ชีวิต คนที่เป็นสามีก็ต้องมีธรรมะ คนที่เป็นภรรยาต้องมีธรรมะ คนที่เป็นลูก หลาน เหลน ก็ต้องมีธรรมะ ลูกจ้างก็ต้องมีธรรมะ กรรมกรก็ต้องมีธรรมะ เพื่อนฝูงก็มีธรรมะ คือ ทุกคนมีธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง นั่นคือมีธรรมะ สามีปฏิบัติหน้าที่ของสามีให้ถูกต้อง เป็นธรรมะฝ่ายสามี ภรรยาปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายภรรยาให้ถูกต้อง เรียกว่ามีธรรมะฝ่ายภรรยา ลูกหลานก็เหมือนกัน ปฏิบัติหน้าที่ของมันให้ดีก็เรียกว่ามีธรรมะของลูกของหลาน ของทุกคน กระทั่งของเพื่อนฝูง ของชาวบ้าน เพื่อนบ้าน มันมีธรรมะต่อกันและกัน แล้วมันก็อยู่เป็นสุข
ถ้าธรรมะตัวนี้ ถ้าเอาตามตัวหนังสือมันแปลว่า ทรงไว้หรือชูไว้ อย่าให้พลัดตกลงไป ธรรมะมันทรงตัวเอง มันอยู่ได้ แล้วมันก็ทรงผู้ปฏิบัติธรรมะไว้ได้ด้วย ใครปฏิบัติธรรมะแล้ว ธรรมะนั้นจะทรงบุคคลนั้นไว้ไม่ให้ตกลงไป ไม่ให้ลงไปอยู่ในกองทุกข์ จึงเรียกว่าธรรมะนี่คือหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติ เพื่อทรงตัวเองไว้อย่าให้จมลงไปในกองทุกข์ คือตาย นี่เรียกว่าธรรมะคือหน้าที่ พวกที่เป็นครูก็ช่วยไปสอนเด็กๆ ให้รู้ว่า ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น คือท่านสอนเรื่องหน้าที่ ปทานุกรมของคนอินเดียชาวอินเดียเขาแปลธรรมะว่าหน้าที่ ทีนี้ปทานุกรมเมืองไทยอาจจะแปลธรรมะว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ได้ เราดูเถอะ มันไม่สมบูรณ์ เอาตามหลักของชาวอินเดียดีกว่า ชาวอินเดียเป็นแม่แบบของวัฒนธรรมที่คนไทยเรารับเอามาถือ แม้แต่คำว่าธรรมะ ธรรมะนี้มันก็เป็นภาษาของชาวอินเดีย เมื่อเขามีคำแปลว่าหน้าที่นั้นน่ะถูกแล้ว เราก็แปลธรรมะว่าหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่ของอะไร หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต มันทำอะไร มันทำให้มันรอดอยู่จากความตาย ให้รอดจากความทุกข์ ในที่สุดไม่มีความทุกข์ ระลึกนึกถึงคนโบราณที่ยังเป็นคนป่า พอมันเริ่มรู้จักหน้าที่ของมัน มันก็เรียกหน้าที่นั้นว่าธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่
เราเป็นครูก็ต้องทำหน้าที่ของครู คำว่าครูนี่ถ้าเอาตามภาษาอินเดียในปทานุกรมของชาวอินเดียเขาแปลว่า ผู้นำในทางวิญญาณ เขาแปลเป็นภาษาฝรั่งว่า spiritual guide, guide นั่นคือ guide นั่นแหละ guide ผู้นำเที่ยวนั่นแหละ spiritual นั่นคือทางวิญญาณหรือทางศีลธรรม มันมีทางกาย มีทางจิต มีทางวิญญาณ ทางกายคือธรรมดา ทางจิตคือเรื่องเกี่ยวกับจิตล้วนๆ ทางวิญญาณเกี่ยวกับวิชาปัญญา ความรู้ ทิฐิ ความคิด ความเห็น นี่เรียกว่าทางวิญญาณ ครูเป็นผู้นำในทางสติ ปัญญา ทางความคิด ความเห็น ถ้าเราทำหน้าที่ผู้นำในทางวิญญาณเราก็เป็นครูที่แท้จริงที่ว่ามีค่ามาก เป็นปูชนียบุคคล ฉะนั้นต้องปฏิบัติหน้าที่ของครูจึงจะเป็นครู คำว่าครู ปทานุกรมของชาวอินเดียแปลว่า ผู้นำทางวิญญาณ เขาเป็นเจ้าของภาษา เราต้องเชื่อเขาหน่อยเพราะเขาเป็นเจ้าของภาษา เรารับมาจากเขา นักศึกษาชาวอินเดียที่เขาค้นละเอียดลงไปอีก เขาพบว่า คำว่าครู ครูนี่รากศัพท์ รากของศัพท์ มูลรากของศัพท์ แปลว่า เปิดประตู คือเปิดประตูคอกให้สัตว์ออกมาเสียจากคอก สัตว์ทั้งหลายมันติดอยู่ในคอกของอวิชชา ของความโง่ ของกิเลส อยู่ในคอกนั้นเหม็น มืด สกปรก สัตว์ก็อยู่ในกองทุกข์ เพราะในคอกนั้นมันเหม็น มันมืด มันสกปรก สัตว์มันจมอยู่ในกองทุกข์ ที่มีคนๆ หนึ่งมาเปิดประตูให้สัตว์เหล่านั้นออกมาเสียจากคอกเหล่านั้น กิริยานั้นก็คือคำว่าครู นี่เขาว่าอย่างนี้ก็มี นักศึกษาฝ่ายศัพทศาสตร์ในอินเดียเขาอธิบายอย่างนี้ก็มี แต่มันก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ ผู้นำทางวิญญาณกับผู้เปิดประตูทางวิญญาณ มันก็คล้ายๆ กันแหละ ให้เขาออกมาเสียจากความโง่ ให้เขาออกมาเสียจากความทุกข์ อย่างนี้เป็นครู มีพระเดชพระคุณมากยกไว้เหนือเกล้าเหนือเศียรว่าเป็น ปูชนียบุคคล ครูนี่เป็นปูชนียบุคคล ถ้าว่ามันไม่ทำหน้าที่อย่างนั้น มันก็เป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ หนึ่ง ครูเดี๋ยวนี้มันจะเป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ หนึ่งเสียโดยมาก มันไม่ได้เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ หรือว่าไม่เป็นผู้นำในทางวิญญาณ ขอให้รู้ว่าครู ครูนั้นมีหน้าที่คือนำหรือเปิดประตูในทางวิญญาณให้สัตว์ทั้งหลายออกมาเสียจากความโง่เขลา มาปฏิบัติอย่างถูกต้อง เป็นอยู่อย่างถูกต้อง มีความสุขสบายดี นี่เรียกว่าหน้าที่ ธรรมะสำหรับครู เป็นธรรมะสำหรับครู ซึ่งครูจะต้องปฏิบัติเพราะว่ามันเป็นหน้าที่ ฉะนั้นขอให้ครูทั้งหลายเพ่งเล็งถึงเรื่องนี้ อย่าคิดว่าเรารับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่ง วันหนึ่ง ถ้าทำอย่างนั้นมันก็เป็นกรรมกรชนิดหนึ่ง เดี๋ยวนี้มันชักจะเป็นอย่างนั้นกันมากขึ้น ตั้งสหพันธ์ครูเพื่อเรียกร้องสิทธิหน้าที่เงินเดือน เงินอะไรกันต่างๆ มันมากเกินไป นี่มันเป็นครูที่มองเห็นแต่เรื่องเงินเสียแล้ว ไม่เห็นหน้าที่ของครู มันก็ไม่เป็นครูที่สูงสุด ไม่เป็นครูที่เป็นปูชนียบุคคล เราคิดว่าเป็นครูที่ถูกต้อง เป็น ปูชนียบุคคล
เอาพระพุทธเจ้าเป็นบรมครูกันดีกว่า พระพุทธเจ้าเป็นบรมครู คือ ท่านสอนให้สัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นจากความทุกข์ เราก็เป็นสาวกของท่าน เราก็ทำอย่างเดียวกัน ทำให้สัตว์ทั้งหลายออกมาเสียจากกองทุกข์ มองให้ดีแล้วครูนี่มีหน้าที่มากสูงสุดมาก คือ ทำให้คนในโลกมันดี แล้วโลกนี้มันก็ดี ถ้าครูสอนเด็กดี เด็กในโลกมันก็เป็นเด็กดี โลกก็เป็นโลกที่ดี ครูสอนเด็กไม่ดี คนในโลกมันก็ไม่ดี มันก็เป็นโลกชั่ว ครูคือผู้สร้างโลกโดยแท้จริง ให้เป็นโลกที่ดีก็ได้ เป็นโลกที่ชั่วก็ได้ แต่ไม่มีครูคนไหนกล้าคิดถึงอย่างนี้ เพราะดูมันจะดีเกินไป มันเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก แต่แท้ที่จริงมันเป็นอย่างนั้น คุณไปคิดดูเองเถอะ โลกนี้มันจะดีหรือเลวมันก็แล้วแต่มนุษย์ในโลก มนุษย์ในโลกคนในโลกมันจะดีหรือเลวมันแล้วแต่มีการศึกษามาอย่างไร ถ้าครูสอนมาถูกต้อง มันเป็นคนดีในโลกนี้ก็เป็นโลกที่ดี ครูก็สร้างโลกที่ดี เกียรติยศของครูจึงสูงมาก เพระว่ามันเป็นผู้สร้างมนุษย์ให้ดี และก็เป็นการสร้างโลกที่ดี ขอให้เรารู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ เราต้องทำหน้าที่กันทุกคน คนแต่ละคนมันต้องทำหน้าที่ให้ครบ หน้าที่ที่เป็นบิดาก็ทำให้ถูกต้อง หน้าที่ที่เป็นสามีก็ทำให้ถูกต้อง หน้าที่ที่เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นลุง เป็นอา เป็นอะไรก็ตามก็ทำให้ถูกต้อง เป็นบุตรก็เป็นบุตรที่ดี เป็นบิดาก็เป็นบิดาที่ดี เรียกว่ามันถูกต้องในหน้าที่แล้วก็นั่นละใช้ได้ นั่นคือมีธรรมะ จะเห็นได้ว่าธรรมะนี่จำเป็นสำหรับชีวิต จนเป็นคู่ของชีวิต พอขาดธรรมะมันก็ตาย ตายทางร่างกายไปเลยก็ได้ ตายในทางจิตใจ มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายแล้วอย่างนี้ก็ได้ถ้ามันขาดธรรมะ ฉะนั้นอย่าให้มันขาดธรรมะ ธรรมะก็คือหน้าที่ มันเหลืออยู่ที่ตรงนี้ ธรรมะคือหน้าที่ เป็นฆราวาสก็ทำหน้าที่ฆราวาสให้ดี เป็นบรรพชิตก็เป็นบรรพชิตให้ดี อย่าบกพร่องในหน้าที่ เป็นชาวนา เป็นชาวสวน เป็นพ่อค้า เป็นกรรมกร เป็นข้าราชการ กระทั่งเป็นคนขอทาน ทำหน้าที่ให้ถูกต้องเถอะแล้วก็จะรอดทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวนี้คนมันไม่รู้สึกว่าไอ้หน้าที่นั้นน่ะเป็นของสูงสุด สิ่งที่ประเสริฐที่สุดก็คือหน้าที่ สิ่งที่มีเกียรติที่สุดก็คือหน้าที่ มันก็ได้แก่การงานนั่นเอง ถ้าผู้ใดมันได้ศึกษามาจนรู้ว่า ธรรมะคือหน้าที่ มันก็ชอบทำหน้าที่ มันก็ทำสนุก คนที่ไม่ชอบหน้าที่ ไม่ชอบการงาน มันก็ฝืนทำ มันก็ไม่สนุก เดี๋ยวมันก็ทิ้ง ไปขโมย ไปอะไรดีกว่า เหมือนกับพวกอันธพาลทั้งหลายมาทำงานให้มันเหนื่อยทำไม ไปปล้นไปจี้ไปขโมยดีกว่า มันก็ไปซิ แต่ถ้าคนที่เป็นผู้รู้ ไม่เป็นอันธพาล มันก็รู้ว่า หน้าที่นั่นแหละคือความเป็นมนุษย์ของเรา เราก็พอใจ เราก็บูชาหน้าที่ ก็ทำงานสนุกๆ ด้วยใจจริง มันจะเกิดความสนุก เพราะรู้ว่านี่มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ หน้าที่ก็ดี ธรรมะก็ดี การงานก็ดี แล้วแต่จะเรียกคำไหนก็ได้ มันเป็นของประเสริฐที่สุด คือ ช่วยให้มนุษย์รอดชีวิตอยู่ได้ มันเป็นของมีเกียรติที่สุด คือ ให้มันเป็นมนุษย์อยู่ได้ ก็ชอบธรรมะชอบหน้าที่ ก็เลยทำงานสนุก อย่างสมมติว่าเป็นครู ก็ทำงานในหน้าที่ครูสนุก อยู่ในห้องเรียนห้องสอนนั่นแหละ แล้วมันก็เป็นสุขอยู่แล้วที่นั่นแหละ เพราะว่าความสุขนี้มันเกิดมาจากความพอใจ ถ้าไม่พอใจไม่มีความสุขหรอก ไปคิดดูเถอะ ไม่ว่าชนิดไหน ถ้าจะมีความสุขก็ต้องมาจากความพอใจ ถ้าว่าความพอใจมันคดโกง มันเป็นพอใจของกิเลส พอใจของความชั่ว มันก็เป็นความสุขชั่ว ซึ่งไม่เรียกว่าความสุข ความพอใจต้องถูกต้อง ต้องบริสุทธิ์ ตรงหลักของธรรมะ แล้วความสุขนั้นมันก็ถูกต้อง หรือเป็นสุขที่แท้จริง เราก็ได้ความสุขที่แท้จริง ก็พอใจในหน้าที่ที่เราทำอยู่ประจำ เป็นประจำทุกวัน ทุกวัน เป็นครูก็ทำหน้าที่ครูอยู่ในห้องเรียน ก็เป็นสุขเพราะพอใจในการทำหน้าที่ เป็นสุขอยู่ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ เมื่อเป็นสุขแล้วมันก็นับว่าดีที่สุดแล้ว มันก็ไม่ต้องเอาเงินเดือนไปสถานเริงรมย์ ไม่ต้องเอาเงินเดือนไปใช้ในทางสถานกามารมณ์ ไปอาบอบนวด ไปอะไรทำนองนั้น สิ่งนั้นมันไม่ใช่ความสุข มันเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ความสุขที่บริสุทธิ์ที่แท้จริงมีแล้วตั้งแต่เมื่อทำหน้าที่ เมื่อกำลังทำหน้าที่ ควรจะพอใจ ความสุขชนิดนี้ไม่ต้องใช้เงินแม้แต่สตางค์เดียว มันเกิดมาจากความพอใจเมื่อเรากำลังทำหน้าที่ ข้อนี้มันเข้ากันได้กับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นิพพานน่ะให้เปล่า พระนิพพานให้เปล่าไม่คิดสตางค์ คือให้ฟรี ความสุขที่แท้จริงให้ฟรี ให้เปล่าๆไม่คิดสตางค์ เทียบดูอย่างนี้เมื่อเราทำหน้าที่ครูอยู่ในห้องเรียน แล้วก็พอใจว่าได้ประพฤติหน้าที่คือธรรมะ เป็นสิ่งประเสริฐของมนุษย์ แล้วก็พอใจแล้วก็มีความสุข ความสุขนี้ไม่หลอกลวง ความสุขนี้แท้จริง แล้วก็ไม่ต้องเสียเงินจริงๆ ด้วยเหมือนกัน เกิดมาจากความพอใจในการทำหน้าที่ที่ถูกต้อง ทีนี้ครูบางคนมันไม่รู้เรื่องนี้ มันว่าไม่ใช่ความสุข มันก็เอาเงินเดือนไปซื้อหาไอ้ความสุขปลอมๆ ความเพลิดเพลินที่หลอกลวง จนเงินเดือนไม่พอใช้ จนต้องคอร์รัปชั่นหรือต้องกู้เขา เป็นหนี้เป็นสินรุงรังไปหมด เพราะมันไม่รู้จักความสุขที่แท้จริง ว่าไม่ต้องใช้เงินแม้แต่สตางค์เดียว มันเลยไปหลงซื้อไอ้ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงจนเงินเดือนไม่พอใช้ ระวังให้ดีครูทั้งหลาย ถ้าอย่างนี้แล้วไม่ใช่ครูแล้ว เป็นอะไรที่ไม่ใช่ครูแล้ว ไม่ใช่แม่แบบที่ดี ไม่ใช่แม่พิมพ์ที่ดี ไม่เป็น ปูชนียบุคคลแล้ว มันเป็นความทุกข์เสียเหลือประมาณ เป็นหนี้เป็นสิน เป็นอะไรต่างๆ ไม่มีอะไรเหลืออยู่สำหรับที่จะเป็นครูแล้ว ทำจิตใจเสียใหม่ว่า หน้าที่การงานนั่นแหละประเสริฐที่สุดของมนุษย์ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดของมนุษย์คือหน้าที่การงาน เรียกเป็นภาษาบาลีว่าธรรม ธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ประเสริฐที่สุด จำเป็นที่สุด เป็นเกียรติยศที่สุดที่ได้ทำหน้าที่ จงรักหน้าที่ แล้วก็ทำหน้าที่ แล้วก็พอใจ พอใจ พอใจจนยกมือไหว้ตัวเองได้ คำนี้แปลกไหม ใครยกมือไหว้ตัวเองได้กี่คน พอดูนึกถึงตัวเองแล้วมันเกลียด มันไม่มีอะไรที่น่าไหว้ มันไหว้ไม่ลง แต่ขอให้รู้ไว้เถิดว่า เมื่อใดยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ สวรรค์อยู่ที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ นรกอยู่ที่เกลียดน้ำหน้าตัวเอง เมื่อไรมันเกลียดน้ำหน้าตัวเอง เมื่อนั้นมันเป็นนรกหมกไหม้อยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ เมื่อไรมันพอใจความดีของตัว ยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อนั้นมันเป็นสวรรค์อยู่ที่นี่และเดี่ยวนี้แหละ นี่คือนรกจริง นี่คือสวรรค์จริง ส่วนนรกสวรรค์ตอนตายแล้วนั้นไม่เป็นไร ขออย่าตกนรกอย่างนี้ ที่นี้ แล้วมันไม่ตกนรกตอนตายแล้ว ขอให้ได้สวรรค์อย่างนี้ ที่นี่ มันก็ได้สวรรค์ตอนตายแล้วทุกชนิดเลย ขอให้ใครทำความดีในหน้าที่จนยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้น เป็นสวรรค์ ได้สวรรค์ อย่างนี้ ที่นี่แล้ว ตายแล้วไม่ต้องกลัว ตายแล้วไม่ต้องกลัวจะได้สวรรค์ทุกชนิดที่ว่ามันจะมี อยู่ในโลกนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เป็นฆราวาสนี่มีสวรรค์ได้ ในเมื่อได้ทำหน้าที่ของตนถูกต้อง จนพอใจ ชื่นใจตัวเอง พอใจตัวเอง เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ ก็เรียกว่าเป็นสวรรค์ ขอให้ทำหน้าที่ของตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่องจนยกมือไหว้ตัวเองได้ พอค่ำลงจะนอนก่อนจะนอนก็คิดบัญชีดู วันนี้ได้ทำอะไรที่ดี ที่มีความถูกต้อง พอที่จะยกมือไหว้ตัวเองได้และก็ไหว้ตัวเองเสียด้วยจึงค่อยนอน นอนด้วยความพอใจในความดีของตัวอย่างนี้จะนอนหลับสนิท จะนอนหลับสบาย ไม่ถูกรบกวนด้วยความฝันยุ่งยากรบกวนอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีฝันร้าย ไม่มีสะดุ้ง ไม่มีผวา ไม่มีอะไร เพราะมันแน่ใจในความดีของตนเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้นี่ ขอให้ฟังไว้ดีๆ เขาสอนกันว่าคืนหนึ่ง วันหนึ่งไหว้ ๕ ครั้ง ไหว้พระพุทธ ไหว้พระธรรม ไหว้พระสงฆ์ นี่ ๓ ครั้งแล้ว แล้วไหว้คุณบิดามารดาอีกครั้งหนึ่ง ไหว้ครูบาอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง เป็น ๔ เป็น ๕ ครั้ง ขึ้นมา ขอแถมอีกสักครั้งหนึ่ง ๖ คือ ให้ไหว้ตัวเองได้ มีความดีเป็นที่พอใจตัวเอง นับถือตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้ ก็เป็นสวรรค์ มีอยู่ตลอดวันตลอดคืน อย่ากล้าไปทำสิ่งที่ทำให้เกลียดชังตัวเอง นั่นมันเป็นนรก เมื่อเรานึกถึงตัวเองว่ามีความชั่วไม่ถูกต้อง เราก็ไม่สบายใจ มันก็กัดกินหัวใจ มันก็เป็นนรก ไม่เท่าไรมันจะเป็นโรคประสาท ไม่เท่าไรมันจะเป็นโรคจิต มันจะบ้า แล้วมันจะตาย เพราะมันอยู่ด้วยนรก อย่าให้มีอย่างนั้น ให้อยู่ด้วยสวรรค์ พอใจตัวเอง เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา จะไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บใดๆ ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นโรคจิต หรือไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บใดๆ เพราะมันอิ่มอกอิ่มใจอยู่เสมอ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์อยู่เสมอ ไม่พลั้งไม่พลาด มันก็ไม่เกิดเรื่องเกิดราวที่ทำให้เจ็บปวดหรือเจ็บไข้ เรียกว่าร่างกายก็ดี จิตใจก็ดี วิญญาณหรือสติปัญญาก็ดี ก็เรียกว่ามีสุขภาพดีทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทั้งทางวิญญาณ มนุษย์มันก็ได้สมบูรณ์ มีสุขภาพดี มีความสุขทั้งทางกายทั้งทางจิตทางวิญญาณ นี่เรียกว่า ธรรมะคือหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นครูบาอาจารย์ก็มีหน้าที่ จงทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ เป็นสุขอยู่ในห้องเรียน มันกำลังทำงานอยู่ในห้องเรียน ถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำก็ได้ มีความพอใจจนรู้สึกเคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองอยู่พลาง ทำงานไปพลาง อย่างนี้เรียกว่าทำงานสนุก ทำงานนั่นน่ะสนุก แล้วก็ทำได้มาก ไม่อยากจะเลิกเรียน ไม่อยากจะรีบปิดห้องเรียนไปแสวงหาความเพลิดเพลิน ก็ทำงานได้มาก ถ้าเป็นชาวนาก็ทำนาได้มาก เป็นชาวสวนก็ทำสวนได้มาก เป็นค้าขายก็ทำงานได้มาก นี่อาตมาเคยใช้มาแล้ว ไม่ใช่ดีแต่ชักชวนคนอื่นให้ทำ ตัวเองก็ได้ทำมาแล้ว ทำงานสนุก ทำงานสนุก ทำงานสนุก จนทำงานได้มากกว่าธรรมดา ผลงานที่ทำมามันมากกว่าธรรมดา มันแสดงอยู่ในตึกหลังแดงนั่น ไปดูเถอะ หลายคนจะไม่เชื่อว่านี่คนเดียวทำ เพราะมันมากเกินไป แต่ยืนยันว่านั่นน่ะคนเดียวทำ เพราะมันมีหลักอย่างนี้ ทำงานสนุก เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน คนอื่นเขาทำงานวันละ ๘ ชั่วโมง เราทำงานวันละ ๑๘ ชั่วโมง ยังสนุก ยังไม่เหนื่อย มันก็เลยได้งานมาก ถ้าทำงานสนุกมันก็ได้ผลงานมาก และมันเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน ไม่ต้องไปหาความสุขบ้าๆ บอๆ ที่ไหนอีก มันเป็นความสุขหลอกลวงทั้งนั้น ความสุขที่แท้จริงมันมีอยู่ในการงานเมื่อกำลังทำการงานอย่างถูกต้อง ขอให้ทุกคนทำการงานให้สนุก ทำงานให้สนุก แล้วมีความสุขเสียเมื่อกำลังทำงานนั่นเอง ไม่ต้องไปหาความเพลิดเพลินที่หลอกลวงที่ไหนแล้วว่าเป็นความสุข เสียเงินมาก ไปทางอบายมุขแล้วฉิบหายเลย ไปหาความสุขด้วยการเล่นไพ่ ด้วยการอบายมุขต่างๆ ไม่เท่าไรมันก็ฉิบหายเลย มันจะมีความสุขไปไม่ได้ ให้ทำงานให้สนุก แล้วเป็นสุขแท้จริงเสียเมื่อกำลังทำงาน เรื่องมันก็จบแหละ เงินมันจะเหลือ เพราะมันเป็นสุขเสียแล้วไม่เอาไปซื้อความหลอกลวง มันก็เหลือกินเหลือใช้แล้วก็เก็บไว้เป็นหลักทรัพย์เพื่อความปลอดภัยในยามแก่ยามเฒ่า หรือว่าช่วยเหลือผู้อื่น เป็นบุญเป็นกุศลต่อไปอีก คนนี้ก็หมดปัญหา คนนี้เรียกว่าเกิดมาทีไม่เสียชาติที่เกิดมา เพราะเขาได้ทำสิ่งต่างๆถูกต้องและครบถ้วนไม่มีปัญหาใดเหลืออยู่ เรียกว่าธรรมชาติลงทุนให้เกิดมาเป็นมนุษย์ครั้งหนึ่งนี้เราทำถูกต้องครบถ้วนบริบูรณ์เป็นกำไรทั้งนั้นเลย จนกว่าร่างกายมันจะแก่เฒ่าตายไป ก็ตายไป ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรมันเป็นอย่างนั้นเอง แต่ถ้ายังไม่ตายก็ทำหน้าที่การงานอยู่เรื่อยไป อยู่เรื่อยไป ให้มีความสุขในการงาน มีความสนุกในการทำงาน ก็เลยมีความสุขอยู่ตลอดวันตลอดคืน นอกจากเหนื่อยก็ไปพักผ่อน หายเหนื่อยก็ทำงานอีก เป็นสุขอยู่ในการทำงานอย่างนี้ตลอดเวลา เรียกว่าเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้รับประโยชน์เต็มเปี่ยมตามที่มนุษย์ควรจะได้รับในการเกิดมา ก็เรียกอย่างที่เราเรียกๆกันว่า ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา หวังว่าท่านทั้งหลายจะเข้าใจเรื่องนี้ดีว่า ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต เราก็เป็นสิ่งที่มีชีวิตก็ต้องทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตให้สมบูรณ์ คือทำงานสนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำงานนั่นเอง ก็อยู่ด้วยความสุขทุกทิพาราตรี นี่ขอฝากประโยคสั้นๆนี้ไว้ว่า จงทำงานให้สนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน งานนั่นแหละคือธรรมะ ธรรมะนั่นแหละคือการงาน จงทำงานให้สนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน เรื่องมันก็จะจบไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่ นี่มันก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว ก็อวยพรปีใหม่เสียเลยว่า ขอให้ทุกคน ทุกคนนี่จงทำงานให้สนุก จงได้ทำงานให้สนุก และก็มีความสุขเมื่อกำลังทำงาน มีความสุขบริสุทธิ์ถูกต้องแท้จริงตลอดเวลาอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ