แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาที่เตรียมพร้อมเพื่อความเป็นครูทั้งหลาย สิ่งแรกที่สุดที่จะพูดก็คือขอแสดงความยินดี อนุโมทนาด้วย ในการมาสู่สถานที่นี้ของท่านทั้งหลายและการกระทำ ที่ตั้งใจจะกระทำคือการเป็นครู และขอทำความเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ ที่เรามานั่งกันอยู่กลางดิน เดี๋ยวนี้เขาก็นั่งกันในอาคารราคาล้าน เดี๋ยวนี้เราก็มานั่งกลางดิน ขอให้ทำความเข้าใจว่ามีความหมาย กลางดินนี่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าให้พูดก็พูดว่าศักดิ์สิทธิ์ คือมีความศักดิ์สิทธิ์เพราะว่าแผ่นดินนี่เป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้า เป็นที่นั่งตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเป็นที่ประกาศพระศาสนา อบรมสั่งสอนทั่วไปของพระพุทธเจ้า แล้วในที่สุดก็เป็นที่นิพพานของพระพุทธเจ้า ถ้าพูดกันเป็นภาษาธรรมดาๆ ไม่รักษาราชาศัพท์อะไรก็ว่า เกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน ตายกลางดิน ใต้ต้นไม้ อย่างที่เรากำลังนั่งกันอยู่ที่นี่ใต้ต้นไม้
ขอให้ทุกคนทำในใจว่า เราได้นั่งลงอาศัยสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์หรือมีเกียรติยศสูงสุดในฐานะที่เป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ประกาศพระศาสนาและนิพพานของพระพุทธเจ้า ทุกครั้งก็ขอให้ได้คิดอย่างนี้ เอามือลูบดิน มีความรู้สึกอย่างนี้ แล้วก็จะได้ผลอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นมากมายทีเดียว มากกว่าที่จะนั่งพูดกันบนตึกราคาเป็นล้านๆ นี่ขอทำความเข้าใจกันก่อน ให้มันเป็นสภาพเดียวกันกับที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับพระพุทธเจ้าจนตลอดชนม์ชีพของพระองค์
ทีนี้ขอแสดงความยินดี ข้อต่อไปคือว่าท่านทั้งหลายมีความตั้งใจที่จะเป็นครู ศึกษาเพื่อความเป็นครู ความสำคัญนั้นมันอยู่ที่คำว่าความเป็นครู อาชีพครูนี้ไม่ใช่อาชีพเพื่อความร่ำรวยในทางวัตถุ แต่ว่ามันร่ำรวยในทางคุณธรรมหรืออุดมคติ คนโดยมากเขาคิดว่าอุดมคติกินไม่ได้ สู้เงินไม่ได้ นั้นมันก็พวกหนึ่ง เขาจะคิดอย่างนั้นจะพูดอย่างนั้นก็ตามใจเขา แต่เรื่องแท้จริงของความเป็นครูนั้นมันไม่ใช่อย่างนั้น มันหมายถึงมีอุดมคติสูง มีคุณค่าสูง มีประโยชน์สูง ซึ่งเราจะได้พูดกันต่อไปว่ามันเป็นอย่างไร
อาชีพครูไม่ใช่อาชีพเพื่อความร่ำรวย เหมือนอาชีพทั่วไปของคนธรรมดา มันเป็นอาชีพพิเศษของบุคคลประเภทปูชนียบุคคล ซึ่งไม่ถือเงินเป็นหลัก เขาถือคุณธรรม คุณค่าและบุญคุณเป็นหลัก ทำไมครูจึงจัดไว้เป็นอาชีพปูชนียบุคคล ก็เพราะว่าไอ้สิ่งที่ครูให้ไปนั้นมันมากกว่าสิ่งตอบแทนที่ได้รับ ถ้าเปรียบเทียบโดยคุณค่ากันแล้ว ไอ้เงินเดือนมันก็เหมือนกับดอกไม้ธูปเทียน หรืออาจจะกลายเป็นขยะมูลฝอยไปก็ได้ถ้าว่าครูมีจิตใจสูง ไม่ได้เห็นแก่สิ่งเหล่านี้ มีจิตใจสูงถึงขนาดมองเห็นค่าหรือเกียรติอันแท้จริงของครู ไม่มาบูชาเงิน ไม่มาเห็นแก่เงิน ซึ่งมันเป็นของเล็กน้อยมาก ถ้าว่าเปรียบกันกับไอ้สิ่งที่ครูให้ไปแก่มนุษย์ในโลก ต้องพูดถึงคำว่าครูกันบ้าง อย่าเพิ่งรำคาญ ว่ามันจู้จี้ พิรี้พิไร เก่าแก่ โบราณ คร่ำครึ
คำว่าครูนี่ เรามักจะสอนกันว่าผู้มีบุญคุณอันหนัก อยู่เหนือคนทุกคน หรือเหนือศีรษะของคนทุกคน ไอ้อย่างนั้นมันเป็นส่วนผลหรือเป็นส่วนสิทธิที่จะได้รับแล้ว มันต้องมองให้ลึกลงไปถึงส่วนที่เป็นหน้าที่ ที่ถ้าไม่รู้ว่าทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมครูจึงมีสิทธิที่จะอยู่บนหัวคนทุกคน ก็เพราะว่าครูได้ทำหน้าที่สูงสุด มีค่าที่สุด มีประโยชน์ที่สุดแก่คนทุกคนก่อนๆ หน้าที่นั้นก็คือเป็นผู้ให้แสงสว่างในทางวิญญาณ ซึ่งเรามักจะเรียกกันว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณ จะใช้คำนี้กันอยู่พักหนึ่ง ว่าครูคือ Spiritual guide เป็นผู้นำในทางวิญญาณให้ในโลกนี้มันเดินถูกทาง ต่อมาผู้ที่เชี่ยวชาญในทางศัพทศาสตร์เขามาพบว่า คำว่าครูนี่ root ของศัพท์นั่นมันแปลว่า ผู้เปิดประตู กิริยาที่เปิดประตูนั่นคือคำว่า ครู ความหมายก็คล้ายๆกันคือเปิดประตูคอก ให้สัตว์ที่อยู่ในคอกได้ออกมาเสียจากคอก คำว่าคอกมันก็มีความหมายที่รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นที่กักขัง แล้วส่วนมากมันก็สกปรก มันก็มืด มันก็เหม็น มันก็อบอ้าว มันก็ไม่น่าอยู่เลย การได้ออกมาเสียจากคอก คือสิ่งที่ประเสริฐ ได้แสงสว่าง ได้รู้ ได้เห็น ได้ทำอะไรอย่างอิสรเสรีอย่างนี้ ที่เรียกว่า ครุ หรือผู้เปิดประตูคอก แต่ถึงอย่างไรมันก็คือผู้นำในทางแสงสว่างนั่นแหละ ให้ประสบกับแสงสว่าง ดังนั้นถ้าเราจะทำหน้าที่ครูต่อไปก็ ขอให้ทำให้ถึงอุดมคตินี้ อย่าเป็นเพียงลูกจ้างหรือกรรมกรรับจ้างสอนหนังสือ หากินไปวันหนึ่งวันหนึ่ง โดยหวังว่าจะมีเงินมาใช้เล่นหัวสนุกสนาน เหมือนที่เป็นกันอยู่โดยมาก ถ้าอย่างนั้นมันไม่ถึงอุดมคติของคำว่าครู มันเป็นลูกจ้าง เป็นกรรมกรรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งวันหนึ่งเหมือนกับกรรมกรทั่วไป แต่ถ้าจะทำอย่างนั้นก็ได้ ไม่มีใครว่าผิด ไม่มีใครถือว่าผิด แต่ว่ามันไม่ถึงอุดมคติของครูซึ่งอยู่สูงกว่านั้น เพราะฉะนั้นขอให้เรามุ่งหมายที่จะทำหน้าที่ เหมือนกับเปิดประตูคอกให้สัตว์ออกมาจากคอก หรือว่าเหมือนกับผู้นำในทางวิญญาณ เพื่อให้วิญญาณของโลกเดินถูกทางและโลกนี้มันก็เป็นโลกที่ดี มีค่า น่าอยู่ น่าอาศัย จึงพูดได้ว่าครูนั่นแหละเป็นผู้สร้างโลก แน่นอนยิ่งกว่าอย่างอื่นหมด ใครจะว่าพระเจ้าสร้างโลกอะไรสร้างโลกก็สุดแท้ เรามองเห็นว่าครูนี่แหละคือผู้สร้างโลก เพราะว่าโลกนี้มันจะเป็นอย่างไร จะดีจะเลวจะบ้าจะบอ จะฉลาดหรืออะไรมันก็แล้วแต่พลเมือง แล้วแต่พลโลก ที่นี้พลโลกจะเป็นอย่างไรมันก็แล้วแต่ครูที่อบรมสั่งสอนเขาขึ้นไป แล้วต้องอบรมสั่งสอนให้เด็กนี่มีความรู้ มีความเฉลียวฉลาดในการปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง มันก็เป็นโลกที่มีความถูกต้อง มันก็สงบสุขสบายน่าอยู่ ครูจึงเป็นผู้สร้างโลกโดยผ่านทางเด็ก ทางยุวชน ครูสร้างโลกโดยผ่านทางยุวชน ทำให้ยุวชนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มนุษย์ที่สมบูรณ์จำนวนมากนี้เป็นพลโลก ดังนั้นโลกนี้ก็เป็นโลกที่ดี ที่ครบถ้วนไปด้วยคุณธรรม มีสันติภาพ
เดี๋ยวนี้เราก็เห็นๆกันอยู่ว่าในโลกมันยังมีคนอันธพาล เด็กก็อันธพาล ผู้ใหญ่ก็อันธพาล ก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง ทำให้โลกนี้ไม่น่าอยู่ ทำให้โลกนี้ไม่เป็นโลกของมนุษย์ที่สมบูรณ์ เพราะมันบกพร่องในการอบรมสั่งสอน เพราะฉะนั้นขอให้เรามุ่งที่ปัญหาอันนี้ แล้วก็ช่วยกันแก้ไขให้มันตกไป โดยเป็นครู ยกวิญญาณนี่แหละให้สนุก ทำงานนี้ให้สนุก เพราะเป็นการปฏิบัติธรรมะสูงสุดซึ่งควรจะพิจารณากันต่อไป
เดี๋ยวนี้ขอแต่ให้มองเห็นไอ้ข้อที่ว่าครูเป็นผู้สร้างโลก การสร้างโลกให้มีสันติภาพ มีสันติสุขนี้มันมีค่ามาก มีค่ามากกว่าเงินเดือนที่ได้รับ เงินเดือนมันจึงกลายเป็นเพียงดอกไม้ธูปเทียนเครื่องบูชา หรือถ้าว่าครูเขามีคุณสมบัติมากไปกว่านั้น ไอ้เงินเดือนมันก็กลายเป็นเศษขยะมูลฝอยไปก็ได้ แล้วแต่ว่าครูคนนั้นมันมีคุณค่ามากน้อยเท่าไหร่ ขอให้ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจว่าครูเป็นอาชีพปูชนียบุคคลนั้นหมายความว่าอย่างไร
ปูชนียบุคคลโดยมากเขามุ่งหมายถึงพระอริยสงฆ์ พระอรหันต์ ท่านเป็นปูชนียบุคคล ก็เพราะท่านให้สิ่งที่ประเสริฐเลิศ มากเกินกว่าค่าของปัจจัยที่ท่านได้รับ ปัจจัยสี่ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย หยูกยาแก้ไข้แก้โรคนี่ มันมีค่าจำกัด ส่วนประโยชน์ที่พระอริยเจ้าได้ให้แก่โลกนั้น มีค่าไม่อาจจะจำกัด คือตีค่ากันไม่ไหว ท่านจึงอยู่ในฐานะเหมือนกับว่าเป็นเจ้าหนี้ เป็นเจ้าหนี้โลกทั้งโลกเป็นลูกหนี้ ท่านเลยบริโภคปัจจัยนั้นอย่างกับเป็นเจ้าหนี้ ซึ่งลูกหนี้ไม่อาจจะใช้ให้หมดได้ ไม่อาจจะใช้หนี้นี้ให้หมดได้ เพราะว่าท่านมีบุญคุณเหลือประมาณจนไม่มีใครอาจจะใช้หนี้ให้หมดได้ ขอให้เรามองดูกันในแง่นี้ว่าปูชนียบุคคลนั้นเป็นอย่างไร ท่านมีอาชีพเป็นเจ้าหนี้ ไม่มีใครจะใช้หนี้ให้หมดได้นั้นเป็นอย่างไร ครูหรือหน้าที่บางอย่างก็มีน้อยมากที่มีลักษณะเช่นนี้ เพราะว่าเราให้มากเกินกว่าที่เขาจะตอบแทนไหว นี่ก็หมายถึงเป็นครูแท้จริงนะไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งวันหนึ่ง ขอให้ไปแยกออกให้ห่าง ให้ชัดเลยว่า ไอ้รับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งวันหนึ่งนั้นมันไม่ใช่ครู มันเป็นลูกจ้าง แต่ถ้าพยายามทำดวงจิตดวงวิญญาณของนักเรียนยุวชนทั้งหลายให้สว่างไสว ดำเนินชีวิตจิตใจถูกต้องได้ถึงที่สุด แล้วเป็นกันทั้งหมดทั้งโลกแล้ว นั่นแหละครูก็เป็นปูชนียบุคคล มีสิทธิอยู่เหนือศีรษะของคนทุกคน บริโภคปัจจัยได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นหนี้หรือไม่คุ้มค่า เพราะว่าได้ทำบุญคุณสูงสุดเหลือที่จะกล่าวได้เสียแล้ว นี่คือความหมายของคำว่าครู ในฐานะที่เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณโดยหน้าที่ แล้วก็เป็นผู้ที่เป็นปูชนียบุคคลโดยสิทธิของท่าน เราจงนึกถึงครูที่มีมาแล้วในอดีตและครูที่จะเป็นไปในอนาคต ซึ่งรวมทั้งเราด้วย เราจะอยู่ในพวกไหน เราจะอยู่ในพวกไหน จะอยู่ในพวกเป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งวันหนึ่งหรือว่าจะเป็นผู้เป็นปูชนียบุคคลของโลก
ทีนี้ก็มาถึงข้อที่ว่าอาตมายินดีที่ได้พบท่านทั้งหลายที่มีความมุ่งหมายที่จะเป็นครู หรือกำลังเป็นครูอยู่แล้วก็มี คำว่าครู ครูนี่มันมีพระพุทธเจ้าเป็นจอม เป็นโจก เป็นบุคคลสูงสุดของผู้ที่เป็นครู เขาจึงเรียกพระองค์ว่าพระบรมครู พระศาสดานั่นเป็นพระบรมครู นอกนั้นก็เป็นครูกันตามธรรมดา ฉะนั้นครูทุกคนทางจิตทางวิญญาณย่อมสังกัดขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า แม้ว่าทางโลกทางสมมตินี้สังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษา กินเงินเดือนของกระทรวงศึกษาก็ตามใจ นั้นมันเป็นเรื่องข้างนอก แต่ถ้าเป็นเรื่องชีวิตจิตใจแล้วมันขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า คือเป็นผู้ที่ทำแสงสว่างให้แก่คนทุกคน จนกระทั่งแสงสว่างสูงสุดคือบรรลุมรรคผลนิพพาน นี้เรียกว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าให้นั้นมีค่าสูงสุด ไม่มีวิชาความรู้ไหนจะสูงสุดไปยิ่งไปกว่าความรู้เรื่องมรรคผลนิพพาน เพราะว่ามันดับทุกข์ได้ ช่วยจำไว้ในข้อนี้ว่าเพราะมันดับทุกข์ได้ มันดีมันประเสริฐที่ตรงไหนก็ตรงที่ดับทุกข์ได้ มันถูกต้องที่ตรงไหนก็ตรงที่ดับทุกข์ได้ ในความรู้นอกนั้นมันยังไม่ดับทุกข์ได้ แม้ว่าเดี๋ยวนี้จะก้าวหน้ามากทางเทคโนโลยีทางอะไรก็ตาม จนไปเหยียบโลกพระจันทร์ได้ หรือแม้ว่ามันจะไปลูบคลำพระอาทิตย์เล่นได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไอ้เรื่องคอมพิวเตอร์ เรื่องอิเล็กทรอนิกส์ทุกๆแขนง แม้จะไปวิเศษกว่านี้กี่ร้อยเท่าพันเท่า มันก็ยังไม่ดับทุกข์ แต่ความรู้ของพระบรมครูคือพระพุทธเจ้านั้นมันดับทุกข์ คือมีความประพฤติ กระทำ เป็นอยู่ ที่ถูกต้องตามธรรมชาติ ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เราก็ไม่ต่อต้านกับธรรมชาติ ไม่เป็นข้าศึกกับธรรมชาติ เราก็อยู่กันเป็นผาสุก เป็นผาสุกนี่ ความรู้ที่ทำให้อยู่กันเป็นผาสุกนี่มันดับทุกข์ได้ มันจึงมีค่ามาก ฉะนั้นขอให้รู้ว่าไอ้วิชาความรู้เรื่องหนังสือนี่ก็ดี เรื่องอาชีพทั้งหลายนี่ก็ดี มันยังไม่ใช่ที่สุด ถ้ามันยังไม่ดับทุกข์ มันต้องใช้วิชาหนังสือเพื่อฉลาด เพื่อประกอบอาชีพดับทุกข์ทางร่างกายได้ และก็ศึกษาธรรมะที่ดับทุกข์ทางจิตใจได้ คนเรามันมีทั้งร่างกายและจิตใจ วิชาชีพที่เราเรียนมานี้มันแก้ปัญหาได้เฉพาะทางร่างกายแต่ทางจิตใจมันแก้ไม่ได้ ดังนั้นมันจึงมีคนปวดหัว มีคนเป็นโรคประสาท มีคนเป็นบ้า มีคนเป็นอันธพาล เป็นปัญหาหลายอย่างหลายประการเพราะมันขาดความรู้ที่สาม คือความรู้ที่จะดับทุกข์ในทางจิตใจได้ ขอให้เรานึกถึงส่วนนี้ไว้ด้วยในอนาคต ซึ่งเราควรจะต้องกระทำได้ มิฉะนั้นเราก็จะเป็นคนโรคประสาท เป็นคนบ้า เป็นคนอะไรไปเสียมากกว่า และแม้ว่าเราจะเป็นคนดีปกติ เป็นครูตามปกติ เราก็จะสอนลูกศิษย์ให้สามารถดำรงชีวิตในด้านจิตใจให้ถูกต้องด้วย อย่าให้เรียนจบแล้วไปเป็นคนโรคประสาทเป็นคนวิกลจริต นี่ความสูงสุดของไอ้ความรู้ที่ดับทุกข์ได้ของพระบรมครู ดังนั้นจึงขอให้ถือว่าโดยทางฝ่ายภายนอกฝ่ายร่างกายนี้เราขึ้นสังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาหรือรัฐบาล แต่ว่าในภายในโดยจิตใจแท้จริงนั้นเราขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า มีหน้าที่การงานที่จะทำให้ดับทุกข์ได้ ฉะนั้นถ้าเราจะสามารถสอนวิชาดับทุกข์ที่เรียกว่าศีลธรรม ศีลธรรมนี้ไปด้วยพลางๆตั้งแต่บัดนี้ไปด้วยก็ยิ่งดี ถ้าว่าครูก็ควรจะศึกษาเรื่องศีลธรรม แล้วก็จะสั่งสอนเรื่องศีลธรรมแก่นักเรียนนักศึกษาทุกคนให้มีความรู้ทางศีลธรรมเพื่อมีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องในทางจิตทางวิญญาณ แล้วจะต้องมีความถูกต้องทั้งสองประการ คือถูกต้องทางร่างกายคือเป็นอยู่ปกติทางฝ่ายวัตถุ และถูกต้องทางจิตใจคือมีจิตใจสมกับคำว่ามนุษย์ คือมีจิตใจสูง ไม่มีปัญหารบกวน ไม่มีความทุกข์รบกวน อยู่ด้วยความสงบเย็นเป็นปกติ นี่ก็เรียกว่าความถูกต้องทางจิตใจ เป็นเรื่องของศีลธรรมโดยตรง ครูทั้งหลายจงได้ศึกษาเรื่องของศีลธรรม แล้วก็สั่งสอนศีลธรรมพร้อมๆกันไปกับที่สอนหนังสือหรือสอนวิชาชีพ มนุษย์จะรอดตัวและเป็นสุขอยู่ไม่ได้เพียงเพื่อรู้หนังสือและวิชาชีพ มันต้องรู้เรื่องที่สามคือเรื่องเกี่ยวกับจิตใจจะดำรงกันไว้อย่างไร มันจึงจะเป็นปกติสุข
เดี๋ยวนี้สถิติคนเป็นโรคประสาทมากขึ้นเป็นแสนๆ หกเจ็ดแสน เป็นบ้า เป็นบ้ากันถึงหกเจ็ดแสน เป็นเพียงโรคประสาทนี่นับไม่ไหวนะ สถิติในโรงพยาบาลที่มีอยู่ในบัญชีมันถึงหกแสนคนที่เป็นบ้าในประเทศไทยห้าสิบล้านคน นี้มันไม่ควรจะมี มันไม่ควรจะมี ถ้ามันมีศีลธรรมอันถูกต้องมันก็ไม่มีหรอกคนชนิดนี้ นี่คือความขาดสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านให้หรือพร้อมที่จะให้ ท่านมีไว้ให้แล้วเราก็ไม่สนใจ โลกนิดเดียวในประเทศไทยห้าสิบล้านนี้คนเป็นบ้ากันตั้งหกแสนคน บ้ามาก บ้าน้อย สงเคราะห์เป็นบ้าตามสถิติที่มีอยู่แล้ว ที่นอกสถิติก็อาจจะมี
เอาละเป็นว่ามันไม่รอดตัวได้เพราะรู้หนังสือกับวิชาชีพ อย่าเพ่อ อย่าเพ่อคิดว่ามันพอแล้ว มันต้องมีวิชาธรรมะเพิ่มเข้าไปเป็นวิชาที่สาม นี่เราก็จะเป็นครูชนิดที่เป็นผู้นำในทางวิญญาณหรือเป็นผู้เปิดประตูแก่สัตว์โลกทั้งหลายในทางวิญญาณได้แท้จริง ถ้าจะเรียกว่าเป็นครูที่แท้จริง ไม่ใช่สักว่ามีชื่อว่าเป็นครู แล้วรับจ้างสอนหนังสือไปวันๆหนึ่ง นั้นนะมันไม่ใช่ครูที่แท้จริงตามความหมายของคำว่าครู ซึ่งเป็นภาษาอินเดียแต่โบราณเก่าแก่ที่สุด
ทีนี้ก็จะพูดถึงเรื่องที่สำคัญที่จะให้สำเร็จประโยชน์ นั้นก็คือว่าหน้าที่ หน้าที่ ครูมีหน้าที่เปิดประตูทางวิญญาณ เป็นผู้นำในทางวิญญาณ เมื่อทำหน้าที่แล้วมันจึงจะมีสิทธิที่จะรับค่าตอบแทนหรือแม้สิ่งบูชาคุณ แต่ที่จริงครูที่แท้จริงอย่างพระบรมครูนั้นท่านไม่ต้องการหรอก ไม่ได้เรียกร้องค่าอะไรเลย แม้แต่คำว่าขอบใจขอบคุณท่านก็ไม่ต้องการ ไม่เรียกร้องประโยชน์ตอบแทนใดๆ ท่านถือว่าเป็นหน้าที่ของท่าน เมื่อท่านทำหน้าที่ของท่าน ท่านจึงเป็นท่าน คือเป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็นพระอริยเจ้า เป็นอะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่นั้นแหละมันทำให้คนทุกคนเป็นอะไร ตามความหมายของหน้าที่ที่ตนประพฤติกระทำอยู่ เราจะเป็นเทวดาก็ต้องทำหน้าที่เทวดา จะเป็นมหาจักรพรรดิ ราชามหากษัตริย์ก็ต้องทำหน้าที่มหาจักรพรรดิ กษัตริย์ จะเป็นประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี เป็นข้าราชการ เป็นกรรมกร กระทั่งเป็นคนขอทานอยู่ก็เพราะทำหน้าที่ ดังนั้นเราจะเป็นครูก็เหมือนกัน เพราะเราทำหน้าที่ของครู เราจึงเป็นครู พอไม่ทำหน้าที่ของครูก็หมดความเป็นครูโดยไม่มีใครต้องถอด เดี๋ยวนี้เขามักจะถือว่าเฉพาะเมื่ออยู่ในโรงเรียนสวมเครื่องแบบครูจึงเป็นครู นอกนั้นเป็นอะไรได้ตามใจ นี่เรียกว่าคนมันไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ถ้ามันซื่อตรงต่อหน้าที่มันก็เป็นครูตลอดไปตลอดเวลา ทำหน้าที่ของครูแล้วก็พอใจในการได้ทำหน้าที่สูงสุดของปูชนียบุคคล ถ้าท่านทั้งหลายเข้าใจความข้อนี้แล้วก็จะรู้สึกเป็นสุขสนุกสนานในการทำหน้าที่ ไม่อิดหนาระอาใจ ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเบื่อหน่ายในการทำหน้าที่ แต่ถ้าไม่เข้าใจความหมายอันนี้ก็อาจจะเบื่อหน่าย อาจจะเบื่อหน่าย อาจจะหลีกเลี่ยง อาจจะเอาเปรียบ ในการทำหน้าที่ มาทำงานช้าแล้วก็กลับเร็วอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็รับผิดชอบเฉพาะเมื่อสวมเครื่องแบบครู เหมือนกับเรื่องเมื่อเร็วๆนี้ในหนังสือพิมพ์ว่าครูคนหนึ่งเขาเอานักเรียนไปหากินทางชั่ว พอถูกถามเขาก็บอกว่าเวลานั้นเขาไม่สวมเครื่องแบบครู เอากับเขาสิ เราจะไม่ถืออย่างนั้นหรอก ดวงจิตดวงวิญญาณของเราทั้งหมดมันเป็นครู แล้วเราก็เป็นครูตลอดเวลา นำวิญญาณของคนทุกคนให้เดินถูกทางอยู่ตลอดเวลา คำว่าธรรมะนั้นแปลว่าหน้าที่ หน้าที่ของครูคือธรรมะของครู ดูเหมือนท่านขอร้องให้พูดถึงเรื่องธรรมะของครู ธรรมะของครู
ธรรมะของครูคือหน้าที่ของครู หน้าที่ของครูเป็นอย่างไรนั่นแหละคือธรรมะของครู หน้าที่เปิดประตูทางวิญญาณ เป็นผู้นำทางวิญญาณ นั่นแหละคือธรรมะของครู ท่านต้องทำหน้าที่อันนั้น ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ถ้าไม่เคยได้ฟังมาก่อนก็ช่วยฟังเดี๋ยวนี้แหละ และก็ให้จดจำเดี๋ยวนี้แหละ อย่าได้เป็นครูหลับหูหลับตา เหมือนกับลูกเด็กๆ สอนนักเรียนว่าธรรมะแปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่ครูสอนเรามาว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ครูคนนั้นมันยังไม่รู้อะไร แล้วกลัวว่าเราจะไปสอนต่อๆไปว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราก็เป็นครูเด็กอมมือไปอีกคนหนึ่งแหละ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ คำว่าธรรมะคำนี้เกิดขึ้นในโลก มีใช้อยู่ในโลกก่อนพระพุทธเจ้าเกิด เมื่อคนพ้นจากความเป็นคนป่าคนดงโดยสมบูรณ์แล้ว ล่วงรู้อะไรขึ้นมาแล้ว มนุษย์ที่สมัยนั้น แม้จะยังเป็นสมัยก่อนนู้นสักเท่าไรก็ตามใจเถอะ เขาเริ่มมองเห็นสังเกตเห็นว่ามันมีสิ่งหนึ่ง คือหน้าที่ที่เราจะต้องกระทำ เมื่อก่อนนี้มนุษย์ก็ไม่สำนึกในข้อนี้ มันเป็นอยู่คล้ายๆกับสัตว์ พอมันเป็นคนมากขึ้น มันเริ่มสังเกตเห็นว่ามันมีสิ่งที่เป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ แล้วเขาก็เรียกสิ่งนั้นซึ่งเขารู้จักกันดีแล้วเหมือนอย่างที่เราเรียกกันในบัดนี้ว่าหน้าที่ หน้าที่ในภาษาไทย แต่ในที่นั้นในครั้งกระนั้นมันเป็นอินเดียโบราณ เขาเรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ที่เขาสังเกตเห็นอยู่ว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ ดังนั้นหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ มนุษย์รู้จักสิ่งนี้ รู้จักเรียกสิ่งนี้ รู้จักปฏิบัติสิ่งนี้ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดนู่น นี้ขอให้รู้ตัวว่าคำว่าธรรม ธรรมะมันมีใช้อยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดในฐานะเป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ แล้วก็สอนกันว่าหน้าที่อย่างไร หน้าที่อย่างไร พวกไหนสอนได้ดีกว่าก็มีคนนิยมนับถือกว่า แล้วก็มีมากขึ้นมากขึ้น จนกระทั่งพระพุทธเจ้าเกิดท่านก็สอนหน้าที่สูงขึ้นไป คือหน้าที่ดับทุกข์สิ้นเชิง ที่เรียกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งไม่เคยสอนมาก่อนเดี๋ยวนี้ท่านก็ได้สอนแล้ว หน้าที่ในระดับที่จะดับทุกข์สิ้นเชิงเรียกว่ามรรคผลนิพพาน ถูกแล้วธรรมะนั้นมันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ตัวธรรมะนั้นคือหน้าที่ แล้วต้องบอกนักเรียนของเราว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องหน้าที่ แล้วก็เรียกกันว่าธรรมะ คำสั่งสอนทั้งหมดก็จะสอนกันเรื่องหน้าที่เพราะมันสำคัญกว่าสิ่งใด เราจึงสรุปความได้ว่าธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตที่เขาจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้วมันไม่สำเร็จประโยชน์ มันเลิกกัน มันไม่มีประโยชน์อะไร หน้าที่นี้มันต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันจึงจะรอดชีวิตอยู่ได้ มันจึงจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปได้ คือหน้าที่ที่เป็นไปได้ ถ้ามันผิดของธรรมชาติมันก็สู้รบกับธรรมชาติ พักเดียวมันก็แพ้ธรรมชาติ แป๊บเดียวมันก็ตายไปเอง มันก็หยุดชะงักไม่มีความเจริญ ดังนั้นธรรมะแปลว่าหน้าที่ ช่วยจำไว้ให้ดี เพราะว่าจะช่วยให้มีความเป็นครูได้อย่างแท้จริง ครบถ้วน
ธรรมะคืออะไร ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดทุกระดับ ถ้าสิ่งมีชีวิตมันย่อมมีความรู้สึก มันต้องมีหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ชีวิตทุกระดับ เราจะเอามนุษย์เป็นหลักว่ามนุษย์นี่ มันมีหน้าที่อย่างมนุษย์ ทำหน้าที่แล้วจึงจะเป็นมนุษย์หรือเป็นคน ไม่ทำหน้าที่มันจะต้องตาย หรือมันจะชะงักงันเหมือนกับว่าตาย ทีนี้สัตว์เดรัจฉานมันก็มีหน้าที่ ดูสิสัตว์เดรัจฉานทำหน้าที่ ดูจะซื่อตรงต่อหน้าที่ยิ่งกว่าคนก็ได้ สัตว์เดรัจฉานจึงรอดตายหรือเจริญ วิวัฒนาการมาได้เพราะมันทำหน้าที่ ชีวิตต่ำลงไปอีกถึงต้นไม้ต้นไร่ ต้นไม้นี่ก็มีชีวิตและมีความรู้สึก มีจิตใจชนิดต่ำที่สุด จนบางพวกบางหมู่เขาไม่ถือว่าต้นไม้มีชีวิตจิตใจ ที่จริงมันไม่ถูก ต้นไม้มันมีชีวิตคือมันตายได้ และต้นไม้มันมีความรู้สึกต่ออะไรได้ รู้สึกต่อเป็นต่อตาย ต่อเจริญได้ ต่อเสื่อมก็ได้ มันจึงดิ้นรนเพื่อจะเจริญทั้งนั้นแหละ ฉะนั้นต้นไม้มันก็ต้องมีชีวิตและมีความรู้สึก มันก็มีหน้าที่ ถ้าศึกษาวิชาเกี่ยวกับชีววิทยาเป็นต้นมาแล้วมันก็รู้ได้ดีเพราะในแบบเรียนมันก็มีว่าต้นไม้มันทำอะไรบ้าง กลางวันมันทำอะไร ถ้ามีแสงแดดอย่างนี้ มันก็มีการใช้แสงแดดทำการปรุง เปลี่ยนแปลงทางเคมี ให้แร่ธาตุทั้งหลายกลายเป็นสิ่งที่เป็นสารอินทรีย์ บำรุงมันได้มันจึงเจริญเติบโตได้ตลอดเวลาที่มันมีแสงแดด ครั้นถึงเวลากลางคืนมันก็ทำงานอีกอย่างหนึ่ง มันจะดูดน้ำ ดูดแร่ธาตุ หรือว่าจะทำปฏิกิริยาอะไรกันจนเรากล่าวกันว่าต้นไม้นี้คายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดคืน ถ้ามันไม่ทำงานตลอดคืนมันจะเอาแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ไหนมาคายออกตลอดคืนเล่า ก็แปลว่ามันทำงานตลอดคืน กลางวันมันก็ทำงานตลอดวัน คนทำได้อย่างนั้น คนทำงานชนิดที่กระฟัดกระเฟียด มาก็สายกลับก็เร็ว แล้วบางทีก็เอาเปรียบแม้กำลังเป็นเวลางานนั่นแหละ เราน่าละอายต้นไม้ที่มันทำหน้าที่ของมันตลอดติดต่อกันทั้งวันทั้งคืน แม้แต่ไก่ก็รู้จักทำงานในหน้าที่ของมันมากกว่าคนด้วยซ้ำไป เพราะมันบิดพลิ้วไม่เป็น เราระวังให้ดี ถ้าไม่ทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ถูกต้องติดต่อกันไปแล้วมันจะไม่มีความหมายของคำว่าเป็นมนุษย์ หน้าที่ หน้าที่ก็แล้วกัน ถ้าเป็นเทวดาก็ทำหน้าที่ของเทวดา ถ้ามันมีพรหมมีอะไรก็ตามใจเถอะ มันต้องทำหน้าที่ของสภาพชีวิตชนิดนั้น เดี๋ยวนี้เราเป็นมนุษย์อะไรเป็นหน้าที่ของมนุษย์เราก็ต้องทำ แล้วเราก็มีหน้าที่เฉพาะๆเช่นว่าเป็นครูหรือว่าเป็นข้าราชการอย่างอื่น เป็นพ่อค้า เป็นประชาชน เป็นกรรมกร เป็นอะไรก็ตาม ก็ล้วนแต่มีหน้าที่ เมื่อใดทำหน้าที่เมื่อนั้นเรียกว่าประพฤติธรรม การทำหน้าที่คือการประพฤติธรรม การประพฤติธรรมคือการทำหน้าที่ ดังนั้นเราอย่าไปดูหมิ่นดูถูกใครว่าเขามีหน้าที่ไม่เหมือนเรา ไม่มีเกียรติเหมือนเรา ไม่ได้เงินเดือนเท่าเรา ก็อย่าไปดูหมิ่นดูถูกเขา เพราะว่ามันเป็นหน้าที่เท่ากัน เป็นธรรมะเท่ากัน เขาทำงานอย่างเราไม่ได้ เขาเป็นกรรมกร เขาแจวเรือจ้าง เขาถีบสามล้อ เขากวาดถนน เขาล้างท่อถนน เมื่อเขาทำหน้าที่ของเขาอยู่เขาก็ประพฤติธรรมะเต็มอัตราของเขา ก็มีธรรมะเท่ากัน แม้ที่สุดแต่ว่านั่งขอทานอยู่เป็นคนขอทาน เพราะสถานการณ์แวดล้อมมันบังคับให้เขาต้องทำอย่างนั้น เขาทำอย่างอื่นไม่ได้ เขาก็ต้องนั่งขอทานอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ เป็นขอทานเรื่อยๆไปจนกว่าจะดีขึ้น ดีขึ้น และพ้นสภาพคนขอทานไปทำอย่างอื่นๆ นั้นคนขอทานที่ทำหน้าที่ของคนขอทานอย่างถูกต้อง ก็มีธรรมะเต็มเหมือนกันแหละ เขานั่งขอทานอยู่นั่นแหละอย่างถูกต้อง ซื่อตรงตามหน้าที่ของคนขอทาน เขามีธรรมะมากกว่าพวกครูที่ทำคอร์รัปชั่น ขอพูดตรงๆอย่างนี้ คนขอทานนั่นมีธรรมะมากกว่าข้าราชการที่ทำคอร์รัปชั่น ไปเทียบกันดูเถอะ
นี่ความหมายของหน้าที่มันมีอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นขอให้เราเพ่งเล็งถึงหน้าที่ที่จะทำให้บริสุทธิ์ หน้าที่บริสุทธิ์คือธรรมะ บริสุทธิ์คือถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่คดโกงธรรมชาติ มันก็ช่วยได้ให้อยู่กันเป็นสุขทั้งโลกได้ เมื่อใดท่านทำหน้าที่แล้วก็รู้ตัวนั้นแหละคือปฏิบัติธรรมะ มีธรรมะ ได้เป็นครู ถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำในห้องเรียน นั้นคือปฏิบัติธรรม คือธรรมะของครู ด้วยการกระทำอย่างนั้นทำให้โลกดีขึ้นได้ ได้รู้สิ่งที่ควรรู้ สิ่งที่ควรทำ ทำให้มีผลเป็นสันติสุข เป็นสันติภาพ เราก็ควรจะพอใจ นี่คือคำอีกคำหนึ่งซึ่งสำคัญมาก แต่ไม่ค่อยสนใจกัน คือพอใจในหน้าที่อันถูกต้องของตน นั้นแหละคือสวรรค์ สวรรค์ที่ไม่หลอกลวง สวรรค์ที่แท้จริง จริงที่สุด จริงที่นี่และเดี๋ยวนี้ เมื่อมีความพอใจในหน้าที่ของตนเมื่อนั้นก็เป็นสวรรค์ ถ้ามากเข้า มากเข้าก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ เป็นสวรรค์สูงสุด แต่ถ้าครูชนิดลูกจ้างสอนหนังสือ หากินไปวันๆหนึ่ง ดูจะไม่ค่อยพอใจในหน้าที่ อยากให้สิ้นเวลาสอนเร็วๆ ไปเที่ยวอาบอบนวด ไปเที่ยวอะไรตามประสาคนที่หลงใหลในเรื่องทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง ถ้าเขาเป็นครูที่แท้จริง ทำหน้าที่ของครูที่แท้จริง ก็พอใจ มันก็เป็นสวรรค์อยู่ที่หน้ากระดานดำในห้องเรียนนั่นแหละ หรือว่ากลับถึงบ้านค่ำลง ค่ำลง ก็คิดทดสอบดูวันนี้ได้ทำอะไรบ้าง ได้ทำอะไรบ้าง ล้วนแต่พอใจ พอใจ พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ ก็เป็นสวรรค์ที่แท้จริง ถ้ามันได้สวรรค์ชนิดนี้แล้ว จะมีสวรรค์ชนิดไหนอีก ต่อตายแล้วหรือต่อเมื่อไรก็ตามย่อมได้ทั้งนั้นแหละ เพราะมันขึ้นอยู่กับสวรรค์ที่แท้จริงที่นี่และเดี๋ยวนี้ ที่เราได้ทำให้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง จนเราก็พอใจเห็นจริง ความพอใจนั่นแหละคือความสุข ก็ช่วยสังเกตด้วยและจดจำไว้ด้วยว่าความพอใจนั่นแหละคือความสุข ถ้าไม่มีความพอใจแล้วมันไม่มีความรู้สึกที่เป็นสุขได้ เรามีเงินบาทเดียว ถ้าเราพอใจมันก็เป็นความสุขได้ ถ้าเรามีเงินล้านๆแต่เราไม่พอใจมันก็ไม่ให้ความสุขอะไรเลย ความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่าเราพอใจ ในสิ่งที่ถูกต้องและควรพอใจ ถ้าพอใจในสิ่งที่คดโกงมันก็ให้ผลตรงกันข้าม เช่นวัยรุ่น อันธพาล เขาพอใจในการประกอบอาชญากรรม แล้วมันก็ไปได้กี่น้ำ มันก็ไปพอใจอยู่ในคุกในตะราง เป็นต้น ดังนั้นความพอใจที่เกิดมาจากหน้าที่อันถูกต้องนั่นแหละเรียกว่าเป็นสวรรค์อันแท้จริง นี้ในทางตรงกันข้าม ถ้ามันทำอะไรแล้วมันเกลียดน้ำหน้าตัวเอง นี่พวกคุณทั้งหลายทุกคนนี่ อาตมาขอร้องว่าลองคิดบัญชีตัวเองดู ว่ามีอะไรบ้างวันหนึ่ง วันหนึ่ง ที่พอใจ ที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วมีอะไรๆบ้างที่มันทำแล้วรู้สึกอิดหนาระอาใจ กินแหนงตัวเอง เกลียดชังตัวเอง นั่นแหละมันคือนรก นรกที่แท้จริง เดี๋ยวนี้ที่นี่ เมื่อดูตัวเองแล้วมีสิ่งน่าอิดหนาระอาใจนั่นนะมันคือนรก มันก็นรกที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตายไปแล้วมันก็ต้องตกนรกทุกชนิดแหละ ถ้านรกชนิดไหนมันก็ขึ้นอยู่กับนรกที่แท้จริง คือการกระทำที่ทำแล้วมันเกลียดชังตัวเอง นี่ขอให้พวกเรารู้จักธรรมะคือหน้าที่ ทำแล้วก็พอใจก็เป็นสวรรค์ ไม่ทำหน้าที่ นึกถึงตัวเองแล้วเกลียดชังตัวเองมันก็เป็นนรก ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นหรอก ไม่ต้องไปทำบุญทำทานอะไรที่ไหนก็ได้ บอกอย่างนี้เลย ไม่กลัวใครว่า แต่อย่าเข้าใจผิด ว่ามันต้องทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้นั่นนะคือสวรรค์ อย่าไปทำสิ่งที่จะเกลียดน้ำหน้าตัวเอง พอมองดูตัวเองแล้วมันก็ไหว้ตัวเองไม่ลง อย่างนี้มันก็เป็นนรก มันขึ้นอยู่กับหน้าที่ มันมาจากหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ปฏิบัติธรรมะแล้วก็พอใจตัวเอง คำว่าพอใจตัวเองนี่เป็นคำสูงสุด ทั้งในทางศาสนาและในทางธรรมดาสามัญทั่วไป
อยากจะเล่าเรื่องอะไรสักนิดหนึ่ง ซึ่งพวกคุณคงจะไม่เคยได้ยิน อายุน้อยๆอย่างนี้คงไม่ค่อยจะได้ยินแล้ว เมื่ออาตมาเด็กๆ เดี๋ยวนี้อายุจะ ๘๐ ปีอยู่แล้ว เมื่ออาตมาเด็กๆ พวกฝรั่งเขามาจากเมืองนอก เขาจะมาอวดเราด้วยวิชาความรู้ของเขา สรุปผลออกมาว่าเป็นความรู้จักตัวเอง เชื่อตัวเอง บังคับตัวเอง แล้วก็เคารพตัวเอง พอใจตัวเอง มีคำว่าเอง เอง เอง ทั้งนั้นแหละ แล้วก็ราวกับว่าเขาทำได้ ฝรั่งเขาสอนเรื่องรู้จักตัวเอง เชื่อตัวเอง บังคับตัวเอง พอใจตัวเอง นับถือตัวเอง วิเศษที่สุดเลย นั่นนะมันตรงกับพระคัมภีร์ของพุทธศาสนาเราทุกข้อ แต่เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งไม่มีอย่างนี้แล้ว พวกฝรั่งที่มาทันให้คุณเห็นได้คุยด้วย มันไม่มีฝรั่งคนไหนที่พูดเรื่องรู้จักตัวเอง เชื่อถือตัวเอง ไว้ใจตัวเอง บังคับตัวเอง เคารพตัวเอง พอใจตัวเองมันไม่มี เพราะว่าพอใจตัวเองมันคือสวรรค์ มันยกมือไหว้ตัวเองได้ มันต้องมาจากพอใจตัวเอง เพราะว่ามันบังคับตัวเองให้ทำในสิ่งที่ควรกระทำได้ มันบังคับตัวเองได้ ก็เพราะว่ามันรู้จักตัวเราเองอย่างถูกต้อง นี่มันมีความจริงของธรรมชาติอยู่อย่างนี้
ทีนี้ก็อยากจะพูดต่อไปเลยถึงคำอีกคำหนึ่ง คำว่า ศึกษา การศึกษา การศึกษา ซึ่งเป็นหน้าที่ของครูจะต้องสอนและเป็นหน้าที่ของนักเรียนจะต้องเรียนว่าการศึกษานั้นมันคืออะไร เดี๋ยวนี้เท่าที่รู้จักกันคือสิ่งที่กระทำในโรงเรียน สอบไล่ได้แล้วก็ไปทำงานเอาเงินเดือน มันก็มีเท่านั้น ถ้าว่าจะไปดูกันถึงรากศัพท์ให้ลึกลงไปเช่นเดียวกับคำว่าครู คือ ผู้เปิดประตูทางวิญญาณแล้ว คำว่าศึกษานี่จะมีความหมายพิเศษ น่าสนใจอย่างยิ่ง นี่เอาตามความรู้ที่เราจะมองเห็นได้ตามภาษาบาลีหรือสันสกฤตตามที่เราเรียนมา เอาในภาษาบาลีง่ายๆก็ได้ว่าสิกขา สิกขาซึ่งแปลว่าการศึกษา แต่การศึกษามันถอดรูปมาจากสันสกฤตที่เราเรียกว่า “ศิกขา” เขียนด้วย “ศ” แต่ก็คำเดียวกับคำว่าสิกขานี่ คำว่าสิกขานี่คืออะไร มันอาจจะถอดความ ถอดรูปได้มากมายหลายอย่าง แต่เท่าที่เราจะถอดได้ตามหลักภาษานี้ที่เราเรียนมา แล้วมันจะได้ความที่น่าอัศจรรย์ที่ว่า สะ แปลว่า เอง อิกขะ แปลว่าเห็น ดูแล้วเห็น มันต้องดูด้วยตนเอง ดูที่เรื่องของตนเอง ดูโดยการกระทำของตนเอง เพื่อประโยชน์แก่ตนเองในที่สุด อะไรๆมันก็แล้วแต่เองทั้งนั้นแหละ สิกขามันคือเห็นซึ่งตัวเอง ด้วยตนเอง โดยตนเอง เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง จนรู้จักตัวเองหมดครบถ้วนทุกแง่ทุกมุม แล้วก็ไม่มีทำอะไรผิดที่เกี่ยวกับตัวเอง มันก็ช่วยตัวเองได้ มันก็มีความถูกต้องหมดจนพ้นจากปัญหาทั้งปวง คำว่าศึกษามีใจความของตัวหนังสืออย่างนี้ เราได้ทำเป็นอย่างนี้กันหรือเปล่า เราจะมัวแต่ให้คนอื่นให้มาสอนเรา มาช่วยบอกเรา ไม่ได้ทำเอง อันนี้ไม่ตรงกับความหมายของคำว่าสิกขาหรอก จะต้องดูเข้าไปที่ตัวเอง เพราะว่าตัวเองนั่นคือตัวปัญหา ความทุกข์ความสุขอะไรมันอยู่ที่ตัวเอง ดังนั้นต้องดูเข้าไปที่ตัวเอง ไอ้ดูที่ตัวเองนั้นใครจะมาดูได้นอกจากตัวเอง เพราะว่าเรื่องมันอยู่ข้างในเป็นเรื่องจิตเรื่องใจใครจะมาดูให้ได้ เราก็ต้องดูที่ตัวเองด้วยตัวเอง จนกระทั่งรู้จักตัวเองว่ามันเป็นอย่างไร จิตใจเป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จึงเกิดความทุกข์ความสุขขึ้นอย่างไร แล้วก็ต้องช่วยตัวเอง ต้องทำด้วยตัวเอง ตั้งแต่ต้นจนปลาย ดับทุกข์ได้เป็นความสุข ความสุขของใคร ก็ความสุขของตัวเอง นี่อะไรๆมันก็เอง เอง เอง ทุกข้อ ทุกแง่ ทุกมุม ที่จะแยกแยะออกไปได้ นี่คือความหมายของคำว่าสิกขาหรือศึกษา ถ้ายังไม่ศึกษากันได้ถึงขนาดนี้ยังไม่ใช่การศึกษาที่สมบูรณ์ มันช่วยตัวเองก็ไม่ได้ มันหวังปัจจัยภายนอกให้คนอื่นช่วยอยู่เรื่อย ให้สิ่งอื่นช่วยอยู่เรื่อย มันไม่สามารถจะช่วยตัวเอง ครูทั้งหลายต้องมีการศึกษาที่สมบูรณ์เกี่ยวกับตัวเองอย่างที่ว่ามาแล้ว มันมองที่เรื่องของตัวเองด้วยตัวเอง รู้จักตัวเอง มีการกระทำของตัวเอง เพื่อเกิดผลแก่ตัวเอง นั่นแหละคือการศึกษาที่สมบูรณ์ บางคนอาจจะง่วงนอนแล้วก็ได้ บางคนอาจจะนั่งเบื่อ เกลียดน้ำหน้าอาตมาอยู่แล้วก็ได้ ที่พูดอะไรจู้จี้มากมายอย่างนี้ แต่ก็ไม่กลัวหรอก คุณจะคิดอย่างไรก็ได้ เพราะอาตมาเป็นครูคนหนึ่ง สังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ฉะนั้นไม่เกรงใจครูคนไหนหมดแหละ พูดตรงๆอย่างนี้แหละว่าไอ้การศึกษาของเรามันยังไม่ถูกต้องไม่สมบูรณ์ ไอ้ความเป็นครูของเรามันยังไม่ถูกต้องมันยังไม่สมบูรณ์ เดี๋ยวนี้คุณมาพูดถึงปัจฉิมนิเทศ คือจะปิดการงานชุดหนึ่งไปสู่การงานชุดอื่นนั่นน่ะปัจฉิมนิเทศ เราก็ต้องพูดถึงเรื่องสิ้นสุด สูงสุดของการงานชุดนี้ ชุดศึกษา ชุดที่เป็นครู และจะออกไปเป็นผู้ประกอบอาชีพ นี่ขอให้เข้าใจไว้เถอะว่าไอ้เรื่องต่างๆ ทุกเรื่องมันเป็นอย่างนี้ แล้วมันมาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะสิ้นสุด สิ้นสุดลงของอย่างหนึ่ง เพื่อขึ้นสู่ของอย่างใหม่ติดต่อกันไป ขอให้มีความเป็นครูที่ถูกต้อง มีการศึกษาที่ถูกต้อง แล้วก็ทำหน้าที่ที่ถูกต้องคือมีธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ อันนี้อย่าลืมเสียว่าเมื่อใดมีการทำหน้าที่ที่ถูกต้อง เมื่อนั้นมีธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมะ การปฏิบัติธรรมะคือการปฏิบัติหน้าที่ แล้วก็ชอบใจยกมือไหว้ตัวเอง เพราะว่ามันเต็มไปด้วยธรรมะ มันเต็มไปด้วยธรรมะ เราจึงสามารถยกมือไหว้ตัวเองได้อย่างถูกต้อง บริสุทธิ์ ยุติธรรม เพราะว่ามันมีอะไรที่น่าไหว้จริงๆ นี่ธรรมะของครู ธรรมะของครู อุดมคติของการศึกษา ซึ่งก็เป็นอุดมคติของครูพร้อมกันไปในตัว
การศึกษาทำให้แก้ปัญหาทั้งหมดของตัวเองได้ มีความรอดพ้นในทางวิญญาณ ถ้าเรารู้แล้ว มีการศึกษาแล้ว เราก็เป็นครูช่วยเหลือผู้อื่นให้เป็นอย่างนั้นด้วย มันเนื่องกันอยู่กับการศึกษาเป็นธรรมดา และต้องไปให้ถึงจุดสูงสุดของมัน คือว่าช่วยให้รอดพ้นจากปัญหาหรือความทุกข์ทั้งปวงได้ เหมือนกับว่าเป็นผู้เปิดประตูคอกให้สัตว์มีอิสรภาพออกมาเสียจากคอกแห่งความโง่ ความหลง ความร้าย สมรรถนะ อุปสรรค ปัญหาต่างๆนานา เหล่านี้เป็นเหมือนกับคอก แล้วครูก็เป็นผู้เปิดประตูได้ เปิดประตูให้สัตว์เหล่านั้นออกมาสู่อิสรภาพ เสรีภาพ แสงสว่าง ความสงบสุข มันก็เลยเป็นอาชีพของปูชนียบุคคล เป็นอาชีพเจ้าหนี้ เพราะว่าเราทำให้แก่โลกนั้นมันมากเกินกว่าสิ่งที่เรารับหรือที่โลกตอบแทนเรา เราจึงเป็นเจ้าหนี้อยู่เสมอ ท่านเลยเรียกว่าอาชีพของเจ้าหนี้ คืออาชีพของผู้ที่ให้มากกว่ารับ เราให้ไปมากกว่าที่เรารับเอามา ใครทำหน้าที่อย่างนี้แล้วก็เรียกว่ามีอาชีพเจ้าหนี้ พระอรหันต์เป็นอย่างนี้เพราะท่านสอนสิ่งที่มีค่าเหลือประมาณแล้วท่านรับการตอบแทนเพียงว่าอาหารวันละมื้อ ของเล็กๆน้อยๆ เพียงว่าพออยู่เป็นอยู่ได้ ท่านก็เลยเป็นผู้อาชีพอย่างเจ้าหนี้ ถ้าครูทำหน้าที่ของครูโดยสมบูรณ์ ก็จะมีอาชีพอย่างเจ้าหนี้ด้วยเหมือนกัน นี่แหละคือธรรมะของครู คุณเขียนอยู่ในอัญประกาศ หนังสือกำหนดการขอร้องให้อาตมาพูดถึงธรรมะของครู แล้วอาตมาก็พยายามดีที่สุด สุดความสามารถที่จะพูดเรื่องนี้ ถ้าท่านจะไม่ชอบใจก็แล้วแต่ท่าน แต่ความจริงมันจะมีอยู่อย่างนี้ บางคนอาจจะโกรธแล้วก็ได้ เมื่อพูดขัดคอกันเสียแล้ว หรือจะพูด จะนึกไปเองว่าพูดยืดเยื้อเสียเวลามากมาย ไม่คุ้มค่าอย่างนี้ก็ตามใจ แต่ความจริงมันมีอยู่อย่างนี้ สรุปย่อเป็นอย่างนี้ เท่านี้ ถ้าพูดให้พิสดารจะกินเวลาหลายชั่วโมง นี้ก็เกือบชั่วโมงเข้าไปแล้ว ฉะนั้นขอให้ฟังให้ได้ใจความสำคัญของคำว่าการศึกษาคืออะไร ครูคืออะไร อุดมคติของการศึกษาเป็นอย่างไร นำมาซึ่งผลอะไร อุดมคติของครูคืออะไร จะนำผลมาให้แก่โลกนี้อย่างไร จนกระทั่งมองเห็นว่าครูนี้คือผู้สร้างโลก แต่หลายคนสั่นหัวเพราะว่าถ้าทำตัวเป็นผู้สร้างโลกเสียแล้ว มันจะทำตัวหลุกหลิก โลเล เหลาะแหละ อย่างนี้ไม่ได้ มันจะเที่ยวสนุกสนานเพ้อเจ้อ สนุกสนานตามสถานเริงรมย์ไม่ได้ เพราะว่าทำตนเป็นผู้สร้างโลกเสียแล้ว นี่ครูทั้งหลายจึงไม่สมัครใจที่จะรับอุดมคติที่ว่าครูเป็นผู้สร้างโลก อุดมคติของครูคือผู้เปิดประตูทางวิญญาณ นี่วิญญาณของครูก็ยังไม่เปิด แล้วครูจะไปเปิดวิญญาณของผู้อื่นได้อย่างไร เรื่องมันจะต้องพูดกันมากหลายชั่วโมง แต่มันไม่มีโอกาสที่จะพูดกันหลายชั่วโมง ก็รวบรวมเอามาเป็นใจความเข้มข้นที่พูดได้ในเวลาอันสมควร
เอาละ, ขอทบทวนว่าครูนี้จะต้องมีสังกัดขึ้นอยู่กับพระบรมครูคือพระพุทธเจ้า เพราะอย่างไรท่านก็สืบสายโลหิตออกมาจากบิดามารดาที่เป็นพุทธบริษัทขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า แม้จะมาเป็นครูซึ่งสังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษา ก็ให้เป็นเรื่องภายนอก ส่วนเรื่องภายในหรือจิตใจนั้น คงขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้าต่อไปตามเดิม และเป็นอย่างนี้กันเรื่อยๆตลอดสายโลหิตของบรรพบุรุษที่จะสืบต่อกันไปได้นานสักเท่าไร ก็ขอให้เป็นอย่างนี้ แล้วขอให้ครูเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ แล้วขอให้ครูเป็นผู้สร้างโลก และในที่สุดก็ขอแสดงความยินดี อนุโมทนาอีกครั้งหนึ่งในการมาของท่านทั้งหลาย ได้มานั่งกันอยู่ในสถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ เพื่อประชุมกัน ปรึกษาหารือกัน ชำระสะสางปัญหาทั้งหลายอันเกี่ยวกับการศึกษาและความเป็นครูนี้ให้มันหมดไปให้มันสิ้นไป ให้ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยสะดวก อาตมาก็พอใจอย่างยิ่งเพราะว่าเป็นครูเหมือนกัน เป็นครูที่สังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า และก็อยากให้ทุกคนที่เป็นครู เป็นครูอีกส่วนหนึ่งซึ่งสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้าและเราก็เป็นเพื่อนครูด้วยกัน แล้วเราก็พูดกันอย่างตรงไปตรงมาได้ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะได้รวบรัดเอาข้อความเหล่านี้สรุปเป็นความรู้ในขั้นปัจฉิมนิเทศ แก่หน้าที่การงาน การศึกษา และอาชีพของท่านทั้งหลายได้ตามสมควรแก่เหตุการณ์หรือสถานะของตน ของตน และขอให้การปฏิบัติหน้าที่อันถูกต้องนั้นมีอำนาจดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายเจริญในหน้าที่การงาน มีความผาสุกอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ การบรรยายนี้มันสมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติไว้เพียงเท่านี้