แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คือว่าเรื่องเกี่ยวกับครูนั้นก็มีมาก หลายเรื่องด้วยกัน พูดกันแต่เฉพาะเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ เรื่องแรกก็ดูว่าครูไม่ได้เป็นครู ด้วย ด้วยพอใจในอุดมคติของครู มันเลยกลายเป็นอาชีพชนิดหนึ่งไป ถ้ามาตั้งแต่สมัยโบราณ พูดกันมาแต่สมัยโบราณ ครูนั้นมันเป็นอาชีพแบบปูชนียบุคคล ถ้าเป็นอาชีพแบบรับจ้างสอนหรือทำงานนี่มันเป็นอาชีพอย่างธรรมดา ฉะนั้นคำว่าสาชีพหรืออาชีพของพวกหนึ่งพวกใดนั้น มันก็มีอยู่เฉพาะแหละ ฉะนั้นครูสมัยโบราณแท้ ๆ มันก็เป็นครูที่อยากจะเป็น เป็นครูจริงๆ ไม่ค่อยคิดถึงเรื่องอาชีพอะไรนัก จึงทำงานได้ผลมาก ยิ่งพระบรมครูคือพระพุทธเจ้าโดยแท้ยิ่งเป็นอาชีพปูชนียบุคคลโดยสมบูรณ์ เดี๋ยวนี้ครูเรายังไม่ ไม่สำนึกในข้อที่ว่าครูเป็นอาชีพปูชนียบุคคล ได้ยินว่าทุกหนทุกแห่งแหละครูยังชวนนักเรียนกินเหล้า ไม่ใช่ว่าจะแกล้งพูดให้กระทบกระเทือนไม่ใช่ มันยังมีครูที่ชวนนักเรียนกินเหล้าเสียเอง แล้วครูบางคนเข้ามาใกล้นะเหม็นเหล้ายิ่งกว่าคนธรรมดาอีก วันครูน่ะเป็นวันที่ครูกินเหล้ามากที่สุดกว่าใครๆ นี่แสดงว่าความเป็นครูนั้นมันยังไม่เป็นอุดมคติ ถ้าเขาเป็นครูอย่างอุดมคติมันก็ไม่มีไอ้เรื่องอย่างนี้ ปัญหามันจะแก้ได้โดยเร็วและโดยสิ้นเชิงก็คือว่าครูเป็นปูชนียบุคคลกันเสียเท่านั้น อุทิศชีวิตเพื่อความเป็นครูโดยแท้จริง จนเคารพความเป็นครูของตัวได้ ไม่อาจจะทำอะไรลดลงมาให้เด็กๆ เขาวิพากษ์วิจารณ์ได้ ปัญหาที่มีอยู่จริงคืออย่างนี้ อาตมาสนใจเรื่องนี้และก็เขียนเรื่องนี้มามากมายเรื่องการศึกษากับเรื่องความเป็นครู หนังสือทั้งหมดที่เขียนนั้นเกี่ยวกับการศึกษาและเรื่องครูเสียเกิน ๗๐% เรื่องธรรมะล้วนๆ นั้นมีสัก ๓๐% นี่เป็นปัญหา ฉะนั้นขอให้สละเพื่อความเป็นครู ตามอุดมคติของครู ปัญหาก็จะหมด ไอ้เรื่องเงินเดือนไม่ไปไหนเสีย จะเป็นครูแบบปูชนียบุคคลหรือแบบลูกจ้าง เงินเดือนมันก็คงเท่านั้นแหละ แต่ว่าไอ้ความเคารพนับถือมันจะต่างกันมาก และว่าการทำประโยชน์ในหน้าที่ของครูมันจะมากกว่ากันมาก คำว่าครู ถ้าเราเปิดดู ปทานุกรมของชาวอินเดีย ปทานุกรมของชาวอินเดียที่เขาใช้กันอยู่ทั่วๆไป คำว่าครูมันมีความหมายเป็น spiritual guide คือเป็นผู้นำในทางวิญญาณ ส่วนปทานุกรมไทยดูจะไม่มีอย่างนั้น จะมีแต่ผู้สอนหนังสือ มันต่างกันมาก คำว่าครูในปทานุกรมอินเดียมันมีเกียรติสูงสุด ที่สุดเลยเพราะมันเป็นผู้นำทางวิญญาณไม่ใช่ผู้สอนหนังสือกลางบ้าน เดี๋ยวนี้มีผู้ค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ลึกๆ ในทางศัพทศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ของคำพูดลึกลงไป ลึกลงไป จนเขาพบว่าทีแรกทีเดียว คำว่า คุรุ นี่ รากศัพท์มันแปลว่า เปิดประตู นี่ไกลออกไปจากที่ว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณเสียอีก เป็นผู้เปิดประตู ก็คิดไปคิดมา ก็ทบทวนก็รู้ อ้อ, มันหมายถึงว่า ครูนี่ทำหน้าที่เหมือนกับเปิดประตู ปล่อยสัตว์เลี้ยงให้ออกจากคอก สัตว์น่ะมันติดอยู่ในคอกที่มีความทุกข์ สกปรก เน่าเหม็น มืด ตื้อ นี่ครูคือผู้เปิดประตูให้สัตว์ออกมาเสียจากคอก และความหมายที่ว่า spiritual guide นี่มาทีหลังอีก แต่เขาก็ยังถือกันอย่างนั้น และเขยิบมาเป็นครูของพระเจ้าแผ่นดิน ครูประจำราชสำนัก คำว่าอุปัชฌาย์เสียอีก ลดลงมาอยู่แค่ครู ผู้ฝึกสอนอาชีพ ข้อนี้ขอให้รู้กันว่า แม้ว่าภาษาไทยจะออกมาจากภาษาอินเดีย แต่ความหมายเปลี่ยน เปลี่ยนน้อยก็มี เปลี่ยนมากก็มี หรือเปลี่ยนตรงกันข้ามเลยก็มี ยกตัวอย่างสักคำเช่นว่าคำว่า วิภพ น่ะ พิภพในภาษาอินเดียแปลว่าไม่มีภพ แต่ในภาษาไทย พิภพจบแดนน่ะมันแปลว่า เป็นภพนะ ภพต่างๆไปเสีย หรือภพชั้นดีชั้นเลิศไปเสียอย่างนี้ คำว่าครูก็ดี คำว่าอุปัชฌาย์ก็ดี มันก็เปลี่ยนความหมายไปตามเหตุการณ์ นี่เราก็อยากจะให้นึกถึงความหมายเดิมๆ แหละดี คำว่าครูต้องเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ให้สัตว์เขาออกมาจากคอก คือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ขอให้นึกถึงหน้าที่นำในทางวิญญาณหรือเปิดประตูทางวิญญาณแล้วทำงานทำหน้าที่ นี่ปัญหาที่เกี่ยวกันอยู่กับครูก็จะหมดไป เดี๋ยวนี้ปัญหาเกี่ยวกับครูยังมีมาก เพราะว่าครูไม่สามารถจะเปิดประตูหรือนำทางวิญญาณอย่างที่เห็นกันอยู่ อาตมาเคยเขียนลงไปตรงๆ ในบทความที่กระทรวงเขาขอให้เขียนในวันครูปีหนึ่ง เขียนลงไปอย่างนี้ว่าในวันครูปีไหนก็ตาม ครูของเราเป็นผู้ที่กินเหล้ามากกว่าใครๆ และเป็นวันที่ครูเองก็กินเหล้ามากกว่าวันไหนๆ น่ะวันครู หนังสือเล่มนั้นเขาก็พิมพ์ เขามีใจป้ำพอที่จะพิมพ์ลงไปตามนี้ เข้าใจว่าครูบางคนคงจะได้เห็นน่ะหนังสือที่ระลึกวันครูปี เกือบ ๒ ปี ๓ ปี มาแล้ว แล้วกระทรวงศึกษาธิการก็มองเห็นว่า ต้องปรับปรุง เจตนารมณ์ความเป็นครูที่มีอยู่ปัจจุบันนี้ให้ถูกต้องตามความหมายเดิม
ทีนี้เรื่องที่สองที่เห็นว่ามันเนื่องกันนะ ที่อยากจะให้คุณครูทั้งหลาย รู้จัก รู้สึก หรือว่ารู้ เออ, ความหมายอันแท้จริง ไปสอนกันให้มันตรงตามไอ้ความหมายของเรื่อง ก็คือคำว่า ธรรม คำว่า ธรรม ธรรมะ พระธรรมนี่ ธรรมเฉยๆ ธรรมะ ออกเสียงว่าธรรมเฉยๆก็ได้ เรามักจะสอนเด็กๆ ว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่ขอให้ช่วยนึกถึงเรื่องจริงว่าได้สอนอย่างนั้นจริงหรือเปล่า ธรรมะหรือพระธรรมคืออะไร ก็คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่จะต้องเรียกว่าไม่ถูก ถ้าให้พูดได้ตรงๆ ก็หลับตาสอน เช่นคำว่า นิพพาน แปลว่าตายสำหรับพระอรหันต์ เป็นเรื่องหลับตาสอนแท้ๆเลยในโรงเรียน หลับตาสอน นิพพานแปลว่าตายใช้สำหรับพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า หรือสวรรคตแปลว่าตายใช้สำหรับพระเจ้าแผ่นดิน นั่นน่ะถูก แต่ว่านิพพานไม่ได้แปลว่าตาย เพราะว่านิพพาน นิพพานแท้จริงไม่ต้องตาย การรู้ถึงนิพพานมีได้โดยไม่ต้องตาย ยังเป็นๆอยู่และก็ได้รับประโยชน์จากนิพพาน คือความสุขสงบเย็นไปจนตลอดชีวิต นี่ตัวอย่างเท่านั้นแหละ ตัวอย่างบางคำ ที่ว่าสอนกันอยู่ผิดๆในโรงเรียน ที่ว่านิพพานแปลว่าตายสำหรับพระอรหันต์ ถ้าจะให้แปลว่าตาย มันก็ตายแห่งกิเลสแหละ กิเลสตายหมดไม่มีเหลือนั่นแหละคือนิพพาน แต่คนน่ะไม่ต้องตายหรอก พระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องตาย บรรลุนิพพานแล้ว นี่เรื่องธรรม ธรรมนี่ก็เหมือนกันแหละ ถ้าสอนว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็ เออ, มันไม่ถูกกับความจริง เพราะว่าคำว่าธรรม ธรรมะนี่ มีพูด มีใช้กันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ถ้าสามารถศึกษาประวัติศาสตร์ของคำพูด โดยเฉพาะคำพูดทางธรรมะแล้วจะพบว่าอย่างนั้น เมื่อมนุษย์มันเริ่มรู้จักสิ่งที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ แล้วมันก็เรียกหน้าที่นั้นด้วยภาษาของชาวอินเดียสมัยนั้น แล้วเรายืมต่อมานี่ว่าธรรม ธรรมแปลว่าหน้าที่ หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต มันก็เลยรู้จักไปถึงชีวิตของสัตว์เดรัจฉาน ชีวิตของต้นไม้นี่ มันต้องมีหน้าที่ทั้งนั้น ถ้ามันมีชีวิตแล้วมันต้องมีหน้าที่ทั้งนั้น หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตเพื่อรอดนั่นแหละคือธรรมหรือธรรมะ แล้วมาสอนดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น จนมาถึงยุคพระพุทธเจ้า ท่านก็สอนธรรมะเหมือนกัน จริงเหมือนกัน แต่สอนดีที่สุด จนไม่มีใครจะสอนให้ดีไปกว่านั้นได้ ดังนั้นธรรมะในระดับไหนก็สำหรับสิ่งที่มีชีวิตจะรอดด้วยกันทั้งนั้น รอดที่หนึ่ง คนเรามันมีรอดที่หนึ่งตามหลักของศาสนาน่ะมันรอดชีวิต รอดตาย รอดจากความยากจน คือรอดทางกายหรือทางวัตถุ ทีนี้มันก็รอดชั้นที่ ๒ คือรอดจากความทุกข์ เมื่อไม่ตายแล้วยังต้องรอดอีกครั้งหนึ่ง รอดจากปัญหา รอดจากความทุกข์ ไม่มีความทุกข์เลย นี่เรียกว่ารอดจากความทุกข์เป็น ๒ รอด ทุกศาสนาจะใช้คำนี้ตรงกันหมด เพื่อความรอดทั้งนั้น มันต่างกันเพียงวิธีที่จะทำให้รอดน่ะไม่เหมือนกัน ฉะนั้นจึงเรียกว่า ธรรม ธรรม ธรรมะ นี่ มันจึงเกิดมีเป็นหลายแขนง เป็นของศาสนานั้น ศาสนานี้ ศาสนาโน้น วิธีทำให้รอดนั้นต่างกัน แต่ว่ามุ่งหมายความรอดด้วยกัน เพราะฉะนั้นธรรมะ ธรรมะ นี่แปลว่า หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติกระทำ นี่เป็นความหมายที่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องสอนให้สำเร็จประโยชน์ ที่จริงถ้าเอาตามภาษาบาลีหรือสันสฤตเป็นหลักแล้ว คำว่าธรรมะมันมีความหมายหลายความหมาย เอากันแต่ที่เป็นหลักๆ ก็สัก ๔ ความหมาย ธรรมชาติทั้งปวงเขาเรียกว่าธรรมเหมือนกัน ในความหมายว่าธรรมดา ทีนี้ธรรมชาติทั้งปวงมันมีกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรม ธรรมะในฐานะที่เป็นกฎหรือเป็นสัจจะ ทีนี้มันมีกฎอย่างนี้แล้วมันก็มีหน้าที่ที่ประพฤติตามกฎ มันก็เลยมีธรรมะ คือหน้าที่ ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ ถ้าเกิดผลเป็นอย่างไรขึ้นมาจากหน้าที่นั้น ก็ยังคงเรียกว่าธรรมะอีก เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมะมันกินความหมดทุกอย่าง แปลว่าสิ่งที่มันมีอยู่ตามธรรมดาทรงตัวมันเองอยู่ได้ ไอ้คำว่าธรรมะ ธรรมะ นี่มันแปลว่าทรง ทรง ชูไว้ ทรงไว้ ไม่ให้ตกลงไป ผู้ใดประพฤติธรรมะผู้นั้นก็จะได้รับการทรง การชูจากธรรมะไม่ให้ตกลงไป เหมือนกับว่าให้มันรอดจากความทุกข์ทั้งปวง ถ้ามีธรรมะ ธรรมะจะทรงไว้ ไม่ให้ตกลงไปสู่ความทุกข์ แต่ว่าเขาต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเราควรจะบอกนักเรียนของเราทุกคนว่าธรรมะ ธรรมะนั้นมันไม่ใช่จำกัดความว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า มันมีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า ยังไม่ถึงขนาดพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าธรรมะแล้ว เป็นธรรมะต่ำๆ ออกไป ธรรมะของคนก็ประพฤติอย่างเป็นคนธรรมดา ธรรมะ ธรรมะอย่างมนุษย์ก็เป็นมนุษย์สูงกว่าคนธรรมดา ธรรมะสำหรับเป็นพระอริยเจ้า ก็สูงขึ้นไปอีกจนกว่าจะสูงสุด คือธรรมะสูงสุด เพื่อธรรมกันแล้ว มันอยู่ได้และมันรอดได้ก็แล้วกัน นี่สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน ต้องมีธรรมะสำหรับสัตว์เดรัจฉาน ตามกฎธรรมชาติที่มันบังคับสัตว์เดรัจฉานอยู่ ดังนั้นสัตว์เดรัจฉานจึงต้องทำหน้าที่ของสัตว์เดรัจฉานจึงจะรอด เช่นว่าหากิน ต่อสู้ แล้วสืบพันธุ์ หรืออะไรก็ตาม ทุกอย่างนั่นเป็นธรรมะของสัตว์เดรัจฉาน แม้ไก่มันเขี่ยดินกินอาหารอยู่นั่นน่ะคือธรรมะของไก่ คำว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต หมายความอย่างนี้ ถ้าต่ำลงไปถึงต้นไม้ ต้นไม้นี่เราจะเห็นว่ามันอยู่นิ่งๆ แต่ที่แท้มันทำหน้าที่ของมันอยู่ตลอดเวลา มันประพฤติธรรมะของต้นไม้อยู่ตลอดเวลา มันจะดูดน้ำ ดูดแร่ธาตุ ไหนจะต้องดูดอากาศ คาร์บอนไดออกไซด์เป็นต้น แล้วมันก็เปลี่ยนด้วยแสงแดดจนเป็นต้นไม้รอดชีวิตอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าทำงานตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืนก็ว่าได้ มนุษย์ยังทำงานน้อยกว่า ขี้เกียจกว่าต้นไม้หลายสิบเท่า นี่ธรรมะสำหรับสิ่งที่มีชีวิต เราไม่ต้องพูดหรอกเรื่องสัตว์หรือเรื่องต้นไม้ พูดเรื่องคนกันดีกว่า เมื่อใครปฏิบัติหน้าที่ของตน คนนั้นมีธรรมะนะ เมื่อใครปฏิบัติหน้าที่ของตน คนนั้นมีธรรมะ เพราะธรรมะแปลว่าหน้าที่ ทุกอย่างแหละจะทำหน้าที่หากิน จะทำนาทำสวน เอ้า, แล้วมันก็มีหน้าที่จะต้องกิน หน้าที่จะต้องถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ จะต้องอาบน้ำ จะต้องถูบ้านถูเรือนให้มันอยู่ได้ นี่มันเป็นหน้าที่ทั้งหมด มันก็เลยเป็นธรรมะน้อยๆๆๆๆ ไปทุกหน้าที่ ถ้าเราสอนให้เด็กรู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมะ เขาก็จะพอใจในการทำหน้าที่ เพราะรู้สึกว่ามันมีเกียรติ คือมันเป็นธรรมะ เด็กๆจะสมัครทำหน้าที่ในโรงเรียนจนไม่ต้อง ไม่ต้องมีภารโรงก็ได้ ถ้าครูมันสอนให้เด็กพอใจและบูชาหน้าที่ในฐานะเป็นธรรมะ เด็กๆมันจะสนุกสนานในการทำหน้าที่ในโรงเรียน ปฏิบัติโรงเรียน หน้าที่ภารโรงทั้งหลาย เด็กๆทำกันได้ อย่างสมัยโบราณไม่มีภารโรง มันมีเด็กๆ ทำหน้าที่ทั้งนั้น แล้วเด็กเหล่านั้นก็รู้สึกว่ามันได้บุญ คือมันเป็นหน้าที่ เป็นธรรมะ แต่ยังไม่เคยใช้คำว่าธรรมะพูดกัน แต่ว่าได้บุญเพราะฉะนั้นเด็กบางคนจึงมาก่อนเวลาโรงเรียนเปิด มาทำหน้าที่ที่โรงเรียนเอาบุญกว่าจะถึงเวลาเรียน ขอให้ช่วยกันสอนให้เด็กนักเรียนที่จะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า ให้รู้ว่าหน้าที่ทั้งหลายคือธรรมะ แม้กระทั่งหน้าที่ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ เป็นธรรมะที่จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ดีที่สุด ทีนี้เราก็ทำหน้าที่เหมือนกันไม่ได้ บางคนมันทำหน้าที่เป็นจักรพรรดิ เป็นประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นอะไรเรื่อยๆลงมานี่ กระทั่งว่าบางคนต้องเป็นชาวนาต้องทำนา เป็นชาวสวนต้องทำสวน เป็นพ่อค้าต้องค้าขาย เป็นกรรมกรทุกชนิด ก็ต้องทำกรรมกร หน้าที่กรรมกรทุกชนิดเป็นธรรมะของกรรมกร ถีบสามล้อ แจวเรือจ้าง ล้างท่อถนน มันก็เป็นธรรมะในภาษาบาลี ธรรมในภาษาบาลีเป็นอย่างนั้น กระทั่งนั่งขอทานอยู่แท้ๆ คือมีธรรมะของคนขอทาน ถ้าเขามีธรรมะของคนขอทาน ไม่เท่าไหร่มันก็พ้น พ้นจากความเป็นคนขอทาน ไม่ต้องขอทาน ไปทำอะไรต่อไป แต่ว่าเมื่ออยู่ในสถานะอย่างไรขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด อย่าให้มีความทุกข์เลย ให้พอใจว่าหน้าที่นี้คือธรรมะเป็นของสูงสุด เป็นของมีเกียรติ เราได้กระทำแล้ว แล้วเราก็พอใจตัวเอง ที่เรียกความเคารพนับถือตัวเองมันก็เกิดขึ้น ถ้ามีความเคารพนับถือตัวเองแล้วมันจะเป็นสุขที่สุด คนเรานี่ขอ ขอเตือนให้สังเกต ให้พยายามสังเกตว่า ถ้าเรารู้สึกพอใจตัวเอง เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง เชื่อตัวเองแล้ว มีความสุขที่สุด
เมื่อพวกฝรั่งมันแรกๆ มาในเมืองไทย มันเอาสิ่งเหล่านี้แหละมาอวด ว่า self confidence เชื่อตัวเอง self respect เคารพตัวเอง self contentment พอใจตัวเอง มันเก่งมากแหละ แต่เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งมันไม่เคยพูดคำเหล่านี้ซึ่งพวกฝรั่งรุ่นก่อนเคยพูดเคยสอน แต่มันเป็นหลักในพุทธศาสนานะ ต้องทำให้ดีให้ถูกจนพอใจตัวเอง ถ้าพอใจตัวเองแล้วไม่ต้องสงสัยแล้วมันเป็นสุขแหละ เพราะความสุขทุกชนิดมันต้องมาจากความพอใจ ถ้าความพอใจหลอกลวงคดโกง ความสุขก็หลอกลวงคดโกง ดังนั้นพวกอันธพาลวัยรุ่นมันจะอ้างว่ามันมีหน้าที่ลักขโมยเป็นหน้าที่ของมันก็ได้ มันก็เป็นหน้าที่ของโจร มันก็เป็นธรรมะของโจร เราไม่เอานี่ เราไม่ต้องการธรรมะของโจร เราต้องการธรรมะของมนุษย์ที่ถูกต้อง พวกอันธพาลเขาว่าหน้าที่เขามีอย่างนั้นก็เป็นธรรมะของเขาไป เป็นธรรมะของคนพาล เรียกโจรธรรม พาลธรรม เอามาเป็นหลักเป็นประมาณไม่ได้ ถ้าสอนเด็กๆ ของเราให้รู้ว่าเรามันต้องการจะเป็นคนที่ถูกต้อง เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เป็นอริยบุคคลขึ้นไปตามลำดับต้องทำหน้าที่ถูกต้อง หน้าที่อะไรของนักเรียนขอให้ทำเถอะ มีการเรียนเป็นเบื้องหน้า และมีการช่วยทำงานของโรงเรียน ของบ้าน ของบิดามารดา ของอะไรทุกอย่าง ทำให้ถูกต้องเรียกว่าประพฤติธรรมะเสมอกันหมด เรียกว่าประพฤติธรรมจนพอใจ จนยกมือไหว้ตัวเองได้ ครูอาจจะไม่กล้าสอนเพราะครูก็ยังไม่ยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้าเมื่อไหร่ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ สวรรค์ที่แท้จริง ถ้ามันมีสวรรค์ที่นี่ เดี๋ยวนี้อย่างยกมือตัวเองได้แล้ว ตายแล้วมันก็ได้สวรรค์ทุกชนิดแหละถ้ามันจะมี เมื่อไหร่มันเกลียดตัวเอง ไม่มีอะไรที่น่าพอใจนั่นล่ะเป็นนรก ทรมานใจเป็นนรกที่นี่ เดี๋ยวนี้ ตายแล้วมันต้องตกนรกทุกชนิดแหละ มันเป็นความผิดความชั่วที่ทำไว้จนเกลียดชังตัวเอง นี่เราช่วยกันทำหน้าที่ของครูผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ให้รู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ ประโยคสั้นๆก็มีว่าการปฏิบัติหน้าที่นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติหน้าที่นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม ถ้าไม่มีการปฏิบัติหน้าที่เพื่อความรอดอันถูกต้องแล้วไม่มี ไม่มีธรรมะหรอก กล้าพูดได้เลยว่ากลางนาที่ชาวนาขุดดินทำนาอยู่นั่นนะเป็นธรรมะของชาวนา นี่ถ้าว่าในโบสถ์ในโบสถ์นะมันมีแต่เซียมซี กับนั่งอ้อนวอนขอโชคขอลางนะ ในโบสถ์นั่นแหละไม่มีธรรม ไม่มีธรรมะ ก็มีแต่สั่นเซียมซี อ้อนวอนบวงสรวง มันไปมีอยู่กลางนาที่ชาวนาขุดดินอยู่เหงื่อไหลกลางแดด ไปมีอยู่ในกลางสวนที่ชาวสวนขุดดินเหงื่อไหลอยู่ กระทั่งไปมีที่คนแจวเรือจ้างเหงื่อไหลท่วมตัวอยู่ กวาดถนนอยู่ หรือไม่ก็นั่งขอทานอย่างถูกต้องน่ะมันก็เป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจว่าที่ไหนมีการทำหน้าที่ ที่นั่นน่ะมีธรรมะ เมื่อมีธรรมะแล้ว ควรจะพอใจยกมือไหว้ตัวเอง แล้วก็เป็นสุข พอค่ำลงคิดบัญชีดู แม้มันเต็มไปด้วยเรื่องพอใจทั้งนั้นนา พอใจแล้วจึงยกมือไหว้ตัวเองแล้วก็เป็นสวรรค์แล้วก็นอน ตื่นขึ้นมาก็คิดแต่ว่าวันนี้จะทำอะไรชนิดนั้นอีก ก็ทำไปทุกวัน ทุกวัน มีแต่ทำสิ่งที่ทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่อาตมาขอร้อง ให้ช่วยพิจารณาเรื่องนี้แล้วปฏิบัติตามที่จะปฏิบัติได้ ไอ้ธรรมะคำเดียวพยางค์เดียว ธรรม ธรรม ธรรม พยางค์เดียวนี่ แก้ปัญหาได้หมด แก้ปัญหาทุกอย่างในโลก แม้ว่าจะไม่มีสงครามชะโลกก็เพราะด้วยมีธรรมะ แต่มันวินาศฉิบหายก็เพราะมันไม่มีธรรมะ เพราะฉะนั้นธรรมะนี่ เออ, ปรากฏว่าเดี๋ยวนี้นะ หลายสิบปีมาแล้วปรากฏว่าไม่อาจจะแปลเป็นภาษาอื่น เคยถามพวกฝรั่ง ทุกคนน่ะงงหมดแหละ แปลไม่ได้ว่าธรรมะมันมีความหมายอย่างนี้ จะแปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร ก็แปลไม่ได้ เลยต้องใช้คำว่าธรรมไปตามเดิม เพราะฉะนั้นคำธรรมมะก็ดี Dharma ก็ดี Dharmist (นาทีที่ 27:27) ก็ดี คือมันเกี่ยวกับธรรมนี่ มันไปอยู่ในดิกชันนารีภาษาอังกฤษสมัยใหม่ รุ่นใหม่ หลังๆ จะมีคำเหล่านี้อยู่ ในดิกชันนารีอังกฤษ มันแปลไม่ได้ ขอให้เราที่เป็นคนไทย เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนามาแต่เดิมควรรู้จักธรรมะให้ถูกต้อง ว่าที่จริงแล้วทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนา มันมีสิ่งนี้ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ที่เป็นหน้าที่ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันยังมีเลย ถ้ามีธรรมะอย่างเดียวมันก็รอด เพราะมันมีการทำหน้าที่ ทำหน้าที่จนพอใจจนยกมือไหว้ตัวเองได้แล้วก็เป็นสุข เป็นสุขจริงไม่ต้องใช้เงินสักสตางค์หนึ่งเพราะมันทำหน้าที่จนพอใจไหว้ตัวเองได้แล้วเป็นสุข สุขจริงไม่สุขหลอก แล้วไม่ต้องใช้เงินสักสตางค์หนึ่ง สุขที่รีบทิ้งหน้าที่ไปอาบอบนวดนั่นน่ะมันสุขหลอก มันไม่ใช่ความสุข มันเป็นความเพลิดเพลิน แล้วมันกินเงินมากจนเงินไม่พอใช้ พวกครูคอร์รัปชั่นก็เพราะเหตุนี้ เพราะต้องการจะไปหาความเพลิดเพลินที่หลอกลวงที่ไม่ใช่ความสุข มันน่านึกนะถ้าว่าเป็นครูแท้ๆ มันเปิดเผยเป็นคนคอร์รัปชั่นขึ้นมาในหน้าที่อย่างนี้ก็แย่มาก ถ้าเป็นคนธรรมดาเป็นชาวบ้านธรรมดาค่อยยังชั่ว แต่ถ้าครูเป็นเสียเองแล้วก็หมด เพราะฉะนั้นเมื่อตะกี้มีคนมาขอร้องว่าให้ช่วยให้พร อาตมาบอกนี่แหละคือพร ทำหน้าที่ของคุณนั่นแหละคือพร พรแปลว่าดี ประเสริฐ ไอ้ที่ดี ประเสริฐ ก็คือการทำหน้าที่ การไม่ทำหน้าที่หรือไม่ทำให้ถูกต้องนั่นคือเลวที่สุด เพราะฉะนั้นเมื่ออยากจะมีพร ก็ขอให้ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง แล้วก็พอใจจนยกมือไหว้ตัวเองเป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
ขอจบคำปราศรัย ขอแสดงความยินดีในการที่ได้แวะมาเยี่ยม และขอตอบสนองด้วยสิ่งที่รู้สึกว่าดีที่สุดที่จะให้กันได้ คือความรู้เรื่องหน้าที่หรือเรื่องธรรมนั่นแหละ อาตมาขอยุติการบรรยาย ถ้าศึกษารูปภาพที่ตึกนั้นอย่างเพียงพอยังมีธรรมะอีกแยะนะ ชั้นสูงสุด