แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
“การศึกษานอกโรงเรียนเขามีหลักการยังไง อาตมายังไม่ทราบ แล้วจะให้พูดเรื่องอะไร ก็ไม่ได้บอกเลย... (เป็นเสียงคนตอบอธิบายถึงการศึกษานอกโรงเรียนจนถึง ๔ นาที ๓๘ วินาที.... เบามาก ฟังไม่ออก) ...
อาตมามีความคิดของตนเองอยู่มาก คงจะไม่ตรงกันบางอย่าง ปรากฏว่าเป็นอย่างนั้นจริง คือว่าเรา จะเรียกว่าเราวางหลักการศึกษาไม่ถูกต้องก็ได้ คือเราให้เรียนกันแต่หนังสือและวิชาชีพ ให้เรียนกันแต่วิชาหนังสือกับวิชาชีพ ที่วิชาศีลธรรมที่ว่าจะเป็นมนุษย์ที่ดีอย่างไรนั้น ไม่ได้ให้เรียนเลยๆ ทีนี้คนที่รู้หนังสือมากยิ่งฉลาดมากยิ่งโกงเก่ง มันยิ่งมีอาชีพดีมันยิ่งมีโอกาสที่จะโกงเก่ง หนังสือกับวิชาชีพรวมกันเข้าแล้วทำให้คิดโกงและโกงเก่ง เพราะไม่มีอะไรมาป้องกันไม่ให้โกง เพราะไม่มีศีลธรรม ขอพูดคำหยาบหน่อย ต่อให้มันเป็นปริญญาจากเมืองนอกกันทุกคน มันก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้ เพราะความเห็นแก่ตัวยังอยู่ ยิ่งรู้เท่าไรมันก็จะยิ่งโกงเก่ง ยิ่งเอาเปรียบเก่ง ยิ่งคอรัปชั่นเก่ง เท่านั้นแหละ
มันจะแก้ได้ก็ต่อเมื่อการศึกษาทางศีลธรรมเข้ามาเป็นเรื่องที่สาม เรื่องที่หนึ่ง หนังสือ เรื่องที่สอง วิชาชีพ และเรื่องที่สาม ศีลธรรม คือเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง คือไม่โกง เดี๋ยวนี้แม้แต่เรียนหนังสือ เรียนเรื่องวิชาชีพ ก็ยังไม่สมบูรณ์ ส่วนเรื่องศีลธรรมนั้นยังไม่มี มีแต่จดไว้สองสามตัวในสมุดให้เด็กท่อง ไม่มีประโยชน์อะไร คือไม่มาควบคุมจิตใจของคนเหล่านั้นได้
ถ้าเขามีศีลธรรม ไม่โกง ใครมีศีลธรรม ไม่โกง ชาวนาก็ไม่โกง ชาวสวนก็ไม่โกง พ่อค้าก็ไม่โกง ข้าราชการก็ไม่โกง ใครๆก็ไม่โกง แล้วมันจะมีปัญหาอะไร แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีศีลธรรม มันจึงพร้อมที่จะโกงกันหมด แม้จะเรียนจบมหาวิทยาลัยมาทุกคนจากเมืองนอก มันก็ยังโกง ยังคอรัปชั่น เพราะว่าตัวที่จะบังคับจิตไม่ให้โกง มันไม่มี มันมีแต่ตัวที่กระตุ้นว่าเป็นโอกาสดีเป็นโอกาสดี คอรัปชั่น โกง มันจึงเต็มไปด้วยการโกง เรื่องเศรษฐกิจก็โกง เรื่องสหกรณ์ก็โกง จึงเป็นเหตุให้มันปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ
ถ้าว่าไม่มีการโกงอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ปัญหาก็หมด คือมีศีลธรรม ใช้คำว่ามีศีลธรรมกันอย่างเดียวเท่านั้นปัญหาจะหมด เดี๋ยวนี้เรามีปัญหามาก อย่างเช่นว่ายากจน ว่าไม่รู้หนังสือ ว่าเจ็บไข้ ว่าสุขภาพเลว และคอรัปชั่น ที่เลวร้ายก็คืออันธพาล อันธพาลทางเพศนี่ อ่านหนังสือพิมพ์เห็นว่ามันยิ่งเลวร้ายมากขึ้นจนเอามาพูดไม่ไหว ที่มันลงข่าวอยู่ในหนังสือพิมพ์ จะเอามาเล่าซ้ำไม่ไหว มันสกปรกปากเกินไป ไปหาอ่านดูเองเถอะพวกอาชญากรรมทางเพศที่มันเกิดขึ้นวันนี้วานนี้อ่านดูเถอะหนังสือพิมพ์วานนี้ เลวมากที่สุดสกปรกที่สุด จะขจัดไปได้อย่างไร
ปัญหาเหล่านี้จะขจัดไปได้อย่างไรถ้าศีลธรรมไม่มี อันธพาลเหล่านั้นบางทีก็เรียนหนังสือมาแล้ว อย่างน้อยก็ประถมบริบูรณ์หรือมัธยมต้น แล้วมาเป็นอันธพาลเลวร้ายอย่างนั้น ทำอาชญากรรมทางเพศที่เลวร้ายที่สุด นี่เราก็ไม่สามารถจะทำให้รู้หนังสือได้ทุกคน รู้หนังสือดีได้ทุกคน แม้รู้หนังสือดีได้ทุกคนมันก็ไม่มีอะไรจะมาห้ามกันว่าอย่าเป็นเป็นอันธพาล ถ้ามันรู้หนังสือบ้าง มันก็ฉลาดที่จะเป็นอันธพาล ที่จะทำหน้าที่อันธพาล ที่จะปลดชิงวิ่งราว ปล้นธนาคารหรือโกงอะไร มันก็เก่งขึ้น
เมื่อในหลวงรัชกาลที่ ๕ จะจัดการศึกษาแผนใหม่ ก่อนนี้เป็นการศึกษาศาลาวัดแผนเก่า มาจัดการศึกษาแผนใหม่เป็นแบบโรงเรียนนี้ ท่านปรึกษาการจัดนี้กับน้องชายของท่าน กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่เป็นพระให้ช่วยจัดการศึกษาแผนใหม่ ที่จะทำให้รู้หนังสือดีขึ้น แต่แล้วมีประโยคๆหนึ่งที่ท่านกล่าวกับกรมพระยาฯ ว่าต่อไปนี้มันจะโกงกันอย่างวิตถาร
ประโยคนี้อาตมาจำแม่น ไม่ลืมเลย เมื่อเราจัดการศึกษาครบถ้วนถูกต้องแล้ว คนรู้หนังสือมากขึ้นแล้ว ต่อไปมันจะโกงกันอย่างวิตถาร เมื่อก่อนมันไม่ค่อยฉลาดมันไม่โกงกันอย่างวิตถาร พอมันรู้หนังสือดีขึ้นถึงขนาดฉลาด มันจะโกงกันอย่างวิตถาร มันจะปราบยากทำอะไรยาก ท่านก็รู้แล้ว แต่ท่านก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเหมือนกัน ท่านรู้แต่เพียงว่าต่อไปนี้มันจะโกงกันอย่างวิตถาร แล้วก็ดูสิ เดี๋ยวนี้รู้หนังสือกันไม่ใช่น้อยนะ แต่ทำไมอันธพาลเลวร้ายหรือการโกงกันอย่างวิตถารหรือคอรัปชั่นหรืออะไรก็ดี มันจึงมากขึ้น เท่ากับที่รู้หนังสือ เท่ากับจำนวนคนที่รู้หนังสือหรือรู้หนังสือมากขึ้น มันก็เป็นว่ายิ่งรู้หนังสือ มันก็ยิ่งฉลาด ยิ่งรู้อาชีพมันก็ยิ่งมีอำนาจที่จะกอบโกย มันก็รวมกันแล้วมันก็โกง
ไปทำสถิติดูว่าเดี๋ยวนี้มีปัญหาอย่างไร เกี่ยวกับการคดโกง กับอันธพาล เกี่ยวกับคอรัปชั่น ทั้งหมดนั่นแหละมันมีมากเท่าไร แล้วอะไรเป็นต้นเหตุ ก็คือความไม่มีศีลธรรม เดี๋ยวนี้ มันก็ไม่นึกถึงศีลธรรม
ในการศึกษาของประเทศทุกประเทศในโลกไม่มีศีลธรรม ถ้าแต่ก่อนโน้นสมัยโน้นมันมีศีลธรรม ก็ลองไปเอาหนังสือแบบสอนอ่านที่ใช้อยู่ในประเทศอังกฤษเมื่อสักหกสิบหรือห้าสิบปีมาแล้ว หนังสือชุดรีดเดอร์ ชุดรอยัลรีดเดอร์ เอามาเปิดดู มันจะมีเป็นบทๆ ทุกบทจะไปจบด้วยเรื่องพระเจ้า เรื่องความโปรดปรานของพระเจ้า เรื่องอะไรต่ออะไร ทุกบทของหนังสือสอนอ่านจะไปจบด้วยการให้ผู้อ่านรักพระเจ้า ชอบพระเจ้า นี่ก็หกสิบปีมาแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มีเลย หนังสือสอนอ่านภาษาอังกฤษทำมาจากเมืองนอก มันมีอย่างนี้หรือเปล่า มันก็ไม่มี ที่ทำในเมืองไทยก็ไม่มี ก็แปลว่าไม่มีกันหมดทุกประเทศในโลก ประเทศไทยนี่ไม่ต้องพูดเพราะเป็นประเทศตามก้น เป็นประเทศตามก้นฝรั่ง ฝรั่งว่ายังไงก็ว่าดีตามนั้น ทำตามฝรั่ง ดังนั้นเมื่อฝรั่งเขาจัดระบบการศึกษา เอาธรรมะเอาศาสนาออกเสียจากการศึกษา ประเทศไทยก็จัดตาม เอาการศึกษาทางศาสนาออกเสียไปจากการศึกษาสามัญ มันก็เลยเหลือแต่เรียนหนังสือกับเรียนวิชาชีพ ไม่มีการศึกษาที่สามคือศีลธรรม ซึ่งอาตมาก็โวยอยู่หลายครั้งหลายหน ตะโกนอยู่เรื่อยๆว่าเป็นการศึกษาหมาหางด้วน เป็นการศึกษาที่เปรียบเหมือนสุนัขหางด้วน การศึกษาที่มีแต่หนังสือ กับวิชาชีพ ไม่มีศีลธรรม มันเรียนแล้วฉลาดแล้วก็บังคับตัวเองไม่ได้ว่าอย่าโกง แล้วมันก็โกง
นี่ผลของการตามก้นฝรั่ง เอาธรรมะเอาศาสนาออกจากการศึกษา ระบบที่เรียกว่าจัดให้มันเป็นของฆราวาสล้วนๆนี่ ระบบ Secularization มันเพิ่งมี มันเพิ่งมีไม่กี่ปี แต่ก่อนนี้พระจัดทั้งนั้นแหละ พระจัดการศึกษา มหาวิทยาลัยออกซฝอร์ด เคมบริดจ์นี่พระจัดทั้งนั้นแหละ และควบคุมมาโดยพระ มีการศึกษาทางศาสนาแน่นแฟ้น เมื่อกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ท่านไปเรียน ท่านกลับมา มาเล่าให้ฟัง มันก็ครึ่งวัดดีๆนี่ล่ะในเคมบริดจ์ มันต้องสวดมนต์ก่อนกินข้าว สวดมนต์ก่อนนอน สวดมนต์หน้าชั้น และพระทั้งนั้นควบคุม ซึ่งต่อมาเขาเห็นว่าไม่ได้ เรื่องศาสนาอย่าเอาเข้ามาในการศึกษา มันทำให้ช้า ทำให้เสียเวลา หรือมันจะทำให้เสียเปรียบชาติอื่น ก็ยกเลิก จัดระบบการศึกษาใหม่ว่าเป็นเรื่องฆราวาสล้วนๆ เป็นเรื่องบ้านเรื่องเมืองล้วน secularize จึงเป็นการศึกษาอย่างหมาหางด้วนขึ้นในประเทศที่เป็นผู้นำทางการศึกษา คือประเทศอังกฤษ เป็นต้น
นี่เราประเทศไทยก็ไปตามก้นเขา ที่เคยมีอยู่เอาออกไป เดี๋ยวนี้หายาก รังเกียจที่สุดที่จะให้มีวิชาศีลธรรมเข้ามา ถูกโวยต่อว่ากันนักหากจะเพิ่มหลักสูตรวิชาศีลธรรม ก็เพิ่มแต่ปากแต่ทำไม่ได้ ครูทั้งหลายเกลียดที่สุดวิชาศีลธรรม พอครูคนไหนเผอิญมันหนีไม่พ้น มันถูกระบุให้เป็นคนสอนวิชาศีลธรรม มันพูดว่าโชคร้ายฉิบหายเลย ที่ได้รับมอบให้สอนวิชาศีลธรรมกลายเป็นเรื่องโชคร้ายฉิบหายเลย แสดงว่าครูทั้งหลายก็ไม่ชอบที่จะสอนศีลธรรม ไม่ชอบจะเรียนศีลธรรมและสอนศีลธรรม ก็เป็นอันว่าการศึกษาของเยาวชนของเราก็มีแต่หนังสือกับวิชาชีพ ไม่มีศีลธรรม
ทีนี้จะจัดการศึกษาแบบนี้ให้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย ทุกคนรู้หนังสืออย่างน้อยก็ประถมบริบูรณ์อย่างนี้ ก็ไม่ได้ล่ะ ก็ยังมีรู้แต่หนังสือกับวิชาชีพ มันก็ยังโกงหรืออันธพาลแบบนี้ตลอดไป อาตมาจึงกล้าพูดคำหยาบว่าให้มันจบมหาวิทยาลัยมาจากเมืองนอกทุกคน มันก็ยังโกงยังคอรัปชั่นอยู่นั่นแหละ เพราะไม่มีอะไรควบคุมกิเลศ ยิ่งรู้มากยิ่งมีความรู้มากยิ่งฉลาดมาก มันยิ่งมีทางที่จะคดโกงมาก มันจึงแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ถ้ามาดูตัวอย่างพวกฝรั่งเองที่เขาเรียนกันแล้ว มันก็ยังมีการโกง ไม่ใช่ว่าจบมหาวิทยาลัยแล้วมันจะประกันการโกงได้ เพราะว่ามหาวิทยาลัยมันไม่ได้สอนศีลธรรม มันไม่ได้สอนเรื่องอย่าโกงนี่ มันปล่อยไว้เฉยๆ กว้างๆ ในส่วนนี้ ให้เรียนแต่หนังสือ ให้เรียนแต่วิชาชีพ พอเรามีความรู้เรื่องนี้มาก เราก็สามารถที่จะโกงอย่างไรก็ได้ และโอกาสที่จะโกงก็มีมากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นจึงมีการโกง เพราะว่าระบบการศึกษาเป็นเหมือนสุนัขหางด้วน ดังนั้นขอให้เพิ่มศึกษาที่สามเข้าไปให้หายหางด้วน คือศีลธรรมนั่นแหละ
อาตมายังคิดว่าระบบการศึกษานอกโรงเรียนนี่ไม่ต้องสอนหนังสือ ป่วยการ สอนให้มีศีลธรรมกันดีกว่าแล้วมันจะไม่โกง แต่นี่มันจัดการศึกษาดีเกินไป โรงเรียนอนุบาลโรงเรียนเด็กๆเล็กๆมันเรียนภาษาอังกฤษ แล้วมันก็ไม่รู้ว่าแม่ของมันคืออะไร แม่ของมันมีบุญคุณอย่างไร เด็กๆเหล่านั้นไม่รู้ แต่เด็กๆเหล่านั้นพูดฝรั่งได้แล้ว ดูที่มันกระโดดไปคล้ายคอมมิวนิสต์ มันกระโดดไกล เด็กๆพูดภาษาฝรั่งได้ แล้วไม่รู้ว่าแม่มันมีบุญคุณอย่างไร พอโตขึ้นมาก็เนรคุณพ่อแม่รบกวนพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่เดือดร้อนมากขึ้น
ไม่เหมือนสมัยก่อนที่มันไม่ทันจะรู้หนังสือ แต่มันรู้ว่าแม่คืออะไร แม่มีบุญคุณอย่างไร เด็กทุกคนรักแม่เหมือนจะขาดใจ ทำให้แม่น้ำตาตกไม่ได้ เดี๋ยวนี้ไม่ได้สอนกันเรื่องนี้ เด็กมันก็โดยเจตนาบ้าง โดยไม่เจตนาบ้างทำให้แม่น้ำตาตก มันตกนรกแล้ว นี่เรียกว่าโรงเรียนอนุบาลแท้ๆก็เป็นบ้าสอนหนังสือกระทั่งไปวิชาชีพ ในที่สุดไม่มีศีลธรรม
ถ้าตั้งรากศีลธรรมไปตั้งแต่ชั้นอนุบาล จะดีมาก แล้วเขาก็จะรู้จักรักพ่อแม่เป็นพื้นฐานที่สุด ให้รู้ว่าพ่อแม่คืออะไร คือผู้ให้กำเนิด ให้ชีวิต ให้วิญญาณ ให้ทุกอย่าง ถ้าเราไม่มีพ่อแม่ เราก็ไม่ได้เกิดมา ถ้าเราเกิดมาแล้วไม่มีพ่อแม่ เราก็เดินไม่ถูกไม่รู้จะไปทางไหน แม่เป็นผู้ที่สำคัญมากที่จะนำวิญญาณของลูกเด็กๆ เพราะพ่อเขาอยู่ไกล เพราะเกิดมาก็อยู่กับอกแม่ แล้วก็ทุกอย่างแหละ แม่แวดล้อม แวดล้อม ใส่ลงไป ใส่ลงไป นิสัยที่สุภาพ พูดจาสุภาพ กริยาสุภาพ แม่ก็คอยตักเตือนอยู่ทุกวัน นิสัยประหยัดมัธยัสถ์ แม่ก็คอยตักเตือนอยู่ทุกวัน นิสัยรักเพื่อนบ้าน แม่ตักเตือนอยู่ ทุกข้อล่ะที่แม่เขาใส่ลงไปทีแรก ซึ่งพ่อยังไม่ได้ทำอะไรกี่มากน้อย แม่ได้ใส่วิญญาณที่ดีๆลงไปในลูก
อย่างอาตมานี่หล่ะเป็นพยานแก่ตัวเองได้ว่าได้รับถ่ายทอดอะไรจากแม่ เช่นว่ามันจะต้องประหยัดทุกอย่าง น้ำล้างเท้าก็ดี น้ำอาบก็ดี ไม้ฟืนก็ดี มันต้องประหยัด แม้แต่ว่าเชือกผูกของ กระดาษห่อของ มันต้องเก็บทั้งนั้น มันทิ้งไม่ได้ แล้วมันก็คอยถูกตักเตือน ให้ล้างจานให้สะอาด ถ้าล้างไม่สะอาดก็ถูกบังคับให้ล้างใหม่ให้สะอาดแล้วไปวางให้เรียบร้อย ทุกอย่างมันต้องสะอาดเรียบร้อย ที่นอนหรืออะไรก็ตาม เท้านี่มันก็ต้องล้างเวลาจะนอน ตั้งสิบรายการที่แม่ใส่ให้แล้วยังเหลือมาอยู่จนกระทั่งวันนี้
ขอบพระคุณอย่างยิ่งเพราะลักษณะเหล่านี้ทำให้รอดตัวอยู่ได้เวลานี้ รอดตัวอยู่ได้ในเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องเรียนหนังสือในโรงเรียน ประถมมัธยมหาอะไรมิได้ นั่นมันเรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพ ส่วนนิสัยที่ดี อุปนิสัยที่ดี อะไรที่ดีนั่นแม่เป็นคนใส่ให้ พ่อมักไม่ค่อยมีโอกาส พ่อเขาเลี้ยงวงนอก แม่เขาเลี้ยงวงในใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา
ดูที่ภาษาบาลี ภาษาศาสนา ภาษาบาลี มันมีคำว่ามาตา ปิตา มาตา ปิตา แม่แหละพ่อ แม่พ่อ มาตาปิตา ไม่ใช่ปิตามาตาเหมือนภาษาไทย ภาษาไทยเราเรียกพ่อแม่ มีพ่อแม่ แต่ภาษาบาลีภาษาศาสนาว่าแม่พ่อ แม่พ่อ มีคำว่าแม่มาก่อนพ่อ เพราะว่าแม่มาก่อนพ่อจริงๆ เวลาลูกคลอดออกมา มันถึงกับแม่ มันอยู่แต่กับแม่ มันถูกแม่ปั้นขึ้นมาทุกอย่างทุกประการ ส่วนทางร่างกายก็กินเลือดทางอกแม่ คือน้ำนมอย่างนี้ เป็นต้น
เราไม่ได้สนใจเรื่องที่จะเป็นแม่ให้ถูกต้อง เป็นลูกให้ถูกต้อง เดี๋ยวนี้ไม่เห็นลูกกินนม ให้ลูกกินนมวัว แม่กลัวจะเสียทรวดทรงอันสวยงามเลยให้กินนมวัว แล้วมันจะมีโอกาสที่ไหนได้อยู่ในอกแม่ อยู่อย่างที่เรียกว่าอยู่ใกล้แม่ตลอดเวลา มันค่อยเหินห่างไปในวิญญาณของแม่ มันไม่ได้กอดอยู่กับอกเหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนลูกจะถูกอุ้มไปด้วย บางชาติ บางชนบางชาติมันก็ตะพายหลังไปด้วยเวลาไปทำการทำงาน ไม่ได้ทิ้งให้คนอื่นเลี้ยง ไม่ได้ฝากคนอื่นเลี้ยง ไม่ได้จ้างคนอื่นเลี้ยง มันจึงผิดกัน
เรียกว่ามีศีลธรรมรากฐาน มีความรักพ่อแม่เหมือนชีวิตจิตใจ ก็เลยมีศีลธรรมต่อมาๆในขั้นดี แล้วมันก็ถูกทำให้กลัวบาป กลัวบาป อาตมาตั้งแต่เล็ก หึ หึ ความกลัวบาปเป็นรากฐานสำคัญที่สุดที่ทำให้มนุษย์เราไม่เบียดเบียนใคร ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เดี๋ยวนี้มันก็ไม่มี คือมันหายไป หายไป วัฒนธรรมนี้หายไป หายไป
แม่ก็ไม่อยากเลี้ยงลูก ยิ่งสมัยใหม่นี้ก็มีข้อแก้ตัวว่ารายได้ไม่พอ แม่ต้องไปทำงานอีกแรงหนึ่งนอกบ้าน ให้ลูกอยู่กับคนใช้หรือคนที่จ้างเลี้ยง มันก็ไม่มีวิญญาณอย่างมนุษย์ มันมีวิญญาณอย่างสัตว์ชนิดหนึ่ง ไม่ออกชื่อล่ะ แต่ว่าเด็กที่ไปจ้างเขาเลี้ยง เขาทำคอกขังไว้อย่างสัตว์ อย่างขังสัตว์ แล้วหลอกให้มันกินเหล้าจนนอนเมาสลบไศล ลูกเล็กๆถูกหลอกให้กินเหล้าจนนอนเมาสลบไศลอยู่ในคอก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป แล้วก็คิดค่าเลี้ยงเดือนละ ๖๐๐ บาท นี่มีตัวจริง มันทำถึงอย่างนี้ จะเป็นแม่เป็นลูกอะไรได้ล่ะ มันถูกตัดให้เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งไปแล้ว
ฉะนั้นระบบที่จะให้แม่ไปทำงานหาเงินหารายได้อีกทางหนึ่งนั้นเป็นระบบที่หลับตา ให้พูดตรงๆก็จะพูดว่ามันโง่ที่สุด ส่วนที่เสียมันไม่คุ้มได้ แม่หารายได้มาช่วยบ้าง แต่มันไม่คุ้มกับที่ลูกเสียไปทางจิตวิญญาณ ฉะนั้นอย่าเอาเลยที่ให้แม่ทิ้งลูกไปหารายได้นอกบ้าน ไปเที่ยวเพลิดเพลินเสียมากกว่า ถ้าว่าแม่จะต้องช่วยหารายได้จุนเจือครอบครัวก็หางานมาทำที่บ้าน ที่เลี้ยงลูกไปพลางทำงานไปพลางก็มีถมไป งานฝีมืองานอะไรทำอยู่กับบ้าน เลี้ยงลูกไปพลางทำงานไปพลางมันก็ยังมี อย่าไปหายลิบทิ้งลูกไปอย่างที่ว่า นี่วัฒนธรรมใหม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย จนพ่อหาคนเดียวไม่พอจ่าย แม่ต้องไปหามาเพื่อให้พอกับความฟุ่มเฟือย การกินอยู่อย่างฟุ่มเฟือย มันก็เลยถูกลงโทษอย่างหนัก เด็กของเราจะไม่เป็นลูกมนุษย์กันแล้ว เป็นลูกอะไรไม่ทราบ
ขอให้มองเห็นถึงว่าศีลธรรมนั้นแหละสำคัญ ถ้าเข้ามาเมื่อไรปัญหาหมด ปัญหาเลวร้ายกี่อย่างกี่อย่าง ในกลางถนนในกลางกรุงนี้ที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์มันจะหายไป เพราะปัญหาชนิดนี้มันไม่มีเมื่อคนยังไม่ค่อยรู้หนังสือ
เมื่อหกสิบมาแล้ว อาตมาเป็นฆราวาสไปค้าขายกรุงเทพฯ ไปเที่ยวทุกหนแห่งคนเดียว ก็ประหลาดใจ ต้นไม้ในกรุงเทพฯนี่มันวิเศษอย่างนี้ มันปลอดภัยอย่างนี้ นี่บ้านเราแย่ ที่บ้านนอกเรานี่แย่ ในกรุงเทพฯปลอดภัยอย่างนี้ ดึกๆดื่นๆนั่งรถเจ๊กไปกับเจ็กคนเดียวไปสถานีไปไหนก็ไม่มีอันตรายอะไร ที่ไหนก็ไม่ได้ข่าวว่ามีอันตรายอะไร
นี่มันหกสิบปีมาแล้วที่กรุงเทพฯ เมื่อคนยังรู้หนังสือน้อยก็ได้ เดี๋ยวนี้การเจริญทางหนังสือมากเต็มไปด้วยความเลวร้าย อาชญากรรมทุกหย่อมหญ้า เห็นไหมล่ะ จนมีอาชญากรรมทางเพศชนิดที่เอามาเล่าไม่ได้ สกปรกปาก เยอะแยะไปหมด เดี๋ยวนี้กับหกสิบปีมาแล้วเมื่อคนไม่สู้รู้หนังสือมันเป็นอย่างนั้น
เมื่อคนป่าสมัยโน้น คนป่าสมัยหมื่นปียังไม่รู้หนังสือ ปัญหาอย่างนี้ก็ยิ่งไม่มี มีสันติภาพในหมู่คนป่าเหล่านั้นมากกว่าคนสมัยนี้มากนัก ทั้งที่คนป่าเหล่านั้นไม่มีหนังสือไม่รู้หนังสือเพราะไม่มีใช้หนังสือ
อย่า อย่าไปหลงหนังสือนักสิ หนังสือทำให้ฉลาด แต่ฉลาดสำหรับตามใจกิเลศไม่บังคับตัว นี่การศึกษาหมาหางด้วน ทุกโรงเรียนทุกประเทศ ให้เรียนหนังสือโดยไม่ต้องมีศีลธรรม กิเลศมันก็ได้โอกาสสิ มันใช้โอกาสความฉลาดที่เล่าเรียนนั่นแหละทำหน้าที่กิเลศ โกง เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว กระทั่งว่าทำอันธพาลเลวร้ายเหมือนพวกอันธพาลวัยรุ่นทั้งหลาย อันธพาลวัยรุ่นที่เลวร้ายเหล่านั้นคงรู้หนังสือบ้าง อย่างน้อยก็คงประถมบริบูรณ์ ยังเลวร้ายขนาดนี้ อันธพาลสมัยที่ยังไม่รู้หนังสือยังไม่เลวร้ายขนาดนี้ นี่แหละขอให้ไปคิดดู
ฉะนั้นการศึกษานอกโรงเรียนเป็นระบบหนึ่งที่เพื่อเอาศีลธรรมมาดีกว่า ทั้งระบบการศึกษาของการศึกษานอกโรงเรียนเอาศีลธรรมเข้ามาหาคน มันจะรู้หนังสือไม่รู้หนังสือช่างหัวมัน แต่ขอให้มันมีศีลธรรม เมื่อถามอย่างนี้คุณจะเลือกเอาฝ่ายไหน คนที่รู้หนังสือแต่ไม่มีศีลธรรมกับคนที่มีศีลธรรมแม้ไม่รู้หนังสือ คุณจะจ้างคนไหนมาเป็นคนใช้ในเรือนในบ้าน เอาว่าอย่างนี้ดีกว่า คนหนึ่งมันไม่รู้หนังสือแต่มันมีศีลธรรม หึหึ อีกคนหนึ่งมันรู้หนังสือมากอาจจะเรียนมาหลายชั้น แต่ไม่มีศีลธรรมเลย แล้วคุณจะไว้ใจคนไหนที่จะจ้างมาเป็นคนใช้ในบ้าน เทียบคู่ดูอย่างนี้สิ
อย่าไปหลงหนังสือนักสิ ไปหลงในสิ่งที่ยังขาดอยู่คือศีลธรรม ถ้ามีศีลธรรมแล้วปัญหามันก็หมด ปัญหาทุกปัญหาแหละ อาตมาว่าทุกปัญหา จะหมดไป เดี๋ยวนี้เมื่อประชาชนไม่มีศีลธรรม มันก็เลือกผู้แทนโกง เลือกตั้งหยกๆนี่มันก็เลือกผู้แทนโกง เพราะมันไม่มีศีลธรรม มันเห็นแก่สินจ้าง สุดแท้แหละ มันก็เลือกผู้แทนชนิดที่คดโกง มันก็ได้ผู้แทนโกงเข้าไปเป็นสภาโกง ถ้าเอาคนเหล่านี้ไปตั้งเป็นรัฐบาล มันก็เป็นรัฐบาลโกงแหล่ะ แล้วมันก็โกงพร้อมกันทั้งรัฐสภาทั้งรัฐบาลถ้าพื้นฐานมันไม่มีศีลธรรม แต่ถ้ามันมีศีลธรรมมันก็ไม่เลือกคนโกง ไม่ต้องมีผู้แทนโกง เมื่อไปตั้งรัฐบาลก็ไม่เป็นรัฐบาลโกง
ผู้แทนโกง โกงร้อยเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่แรก มันสมัครผู้แทน มันบอกว่าจะไปควบคุมรัฐบาล ผู้แทนทุกคนมันพูดอย่างนั้น บอกว่าผู้แทนนี่จะไปทำหน้าที่ควบคุมรัฐบาลทั้งนั้นแหละ แต่พอได้เป็นผู้แทนมันไปเข้ากับรัฐบาลเลย เป็นรัฐบาลเสียเลยนี่ มันโกหกกี่ร้อยเปอร์เซ็นต์คิดดูเถิด มันบอกว่าจะไปเป็นผู้ควบคุมรัฐบาลให้ถูกต้องให้เรียบร้อย แต่พอเป็นผู้แทนมันก็ไปเข้าเป็นรัฐบาล แล้วมันก็ไปตั้งเป็นพรรคยื้อแย่งตำแหน่งในรัฐบาลออกมาจนได้ นี่มันมีศีลธรรมอย่างนี้ มันจะเรียบร้อยได้อย่างไร
เดี๋ยวนี้ไม่มีศีลธรรมแล้ว ชาวนาก็โกง ชาวสวนก็โกง พ่อค้าก็โกง ข้าราชการก็โกง ตำรวจก็โกง ครูบาอาจารย์ก็โกง ผู้พิพากษาก็โกง เดี๋ยวนี้หาได้มากขึ้นแล้ว ตุลาการผู้พิพากษาที่โกงหาได้มากขึ้นแล้ว เพราะอะไรล่ะ เพราะมันเริ่มไม่มีศีลธรรมมากขึ้นๆ ตัวเดียวกันนั่นแหละ พอศีลธรรมกลับมา ไม่มีใครโกง สบาย ไม่มีใครโกง การเศรษฐกิจก็ดี การสหกรณ์ก็ดี เมื่อไม่มีใครโกงใครแล้วมันก็ทำได้ เดี๋ยวนี้สหกรณ์ทำไม่ได้เพราะมีแต่คนโกง การเศรษฐกิจก็มันโกงเรื่องคนปลูก คนปลูก คนขาย คนกลาง คนซื้อ คนขนส่ง คนส่งออก มันโกงทั้งนั้นเลย มันก็วุ่นวายไปหมด ถ้าอย่ามีการโกงกันเลยแล้วมันก็ไม่มีปัญหา
ขอให้ดูเพียงอย่างเดียวว่าความไม่มีศีลธรรมนั่นแหละเป็นปัญหา หรือสร้างปัญหา ปัญหามันเกิดมาจากความไม่ศีลธรรม ปัญหาเกิดมาจากความไม่มีศีลธรรม ทางจะแก้ได้มีทางเดียวคือมีศีลธรรมกลับมาเท่านั้นแหละ ที่นี่ไม่มีศีลธรรมจะแก้ก็จนใจ เช่นเศรษฐกิจมันโกงแล้วจะเอาเศรษฐกิจมาแก้ปัญหา เพราะปัญหามันคือเศรษฐกิจที่โกง ปัญหาเกิดจากการโกงทางเศรษฐกิจ มีทางเดียวคือเอาศีลธรรมมาแก้ปัญหาการโกงทางเศรษฐกิจ เอาเศรษฐกิจโกงมาแก้เศรษฐกิจโกง เอาน้ำโคลนมาล้างโคลน ล้างเท่าไรมันก็ไม่หายเปื้อนโคลน ไม่เอาศีลธรรมมาแก้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นมาทุกปัญหาเพราะความไม่มีศีลธรรม
ถ้าว่าการศึกษานอกโรงเรียนจะมีผลดี น่าชื่นใจแล้ว ควรมีหลักการที่ดึงศีลธรรมกลับมาสู่ประชาชน นักเรียนที่มันเรียนแล้ว อะฮา มันเคยเรียนมาแล้วก็ดึงให้มันมีศีลธรรม ประชาชนที่เคยเข้าโรงเรียนแล้ว ไม่เคยเข้าโรงเรียน ดึงให้มันมีศีลธรรม ให้มันมีศีลธรรมเป็นรากฐานเหมือนสมัยโบราณกาล ช่วยศึกษากันหน่อยเถอะ ถ้าจะเรียนโบราณคดีกันบ้างก็เรียนมันในแง่นี้ว่าสมัยโบราณเขามีศีลธรรมกันอย่างไร
อย่างว่ากรุงศรีวิชัยอยู่ที่ไหนก็ตามใจล่ะ ซึ่งเดี๋ยวนี้เราก็เถียงกันว่าอยู่แถวนี้ พวกอาหรับเขามาเที่ยวกรุงศรีวิชัย เขาเขียนบันทึกหลายๆอย่างไว้ในบันทึกของเขา บันทึกอันหนึ่งมีว่าพลเมืองในกรุงศรีวิชัยนั้นมีศีลธรรมดีมาก ไม่เอาแม้แต่ของตก ของที่ตกอยู่กลางถนนก็ไม่เอา พลเมืองที่นั่น อาหรับคนนั้นเขาก็ไม่ค่อยเชื่อ เขาทดลองโดยเขาทิ้งทองคำไว้กลางถนนแท่งหนึ่ง เขาไปเสียหลายปีไปธุระ กลับมาตรวจดู มันยังอยู่ที่ตรงนั้น เพียงแต่มันลึกลงไปบ้างเพราะถูกเหยียบ มันลึกลงไปบ้าง มันจมลึกลงไปบ้าง ก็เชื่อว่าพลเมืองกรุงศรีวิชัยนี้มีศีลธรรมดีจริง ไม่เอาแม้แต่ของตก อะไรๆก็ล้วนแต่ว่ามีศีลธรรมทั้งนั้น ไม่มีโจรไม่มีขโมย ไม่ต้องปิดประตูเรือนไม่ต้องใส่กุญแจเรือน นี่มันยังเหลือให้เห็นอยู่แม้เมื่อไม่นานมานี้ สักร้อยปีมานี้มันยังมีให้เห็นอยู่ว่าคนเราไม่ต้องใส่กุญแจเรือน ไปไหนก็ฝากเพื่อนบ้านเรือนเคียง ฝากบ้านไว้ บอกว่าฉันจะไปนาฉันจะไปป่า มันก็ยังพอมีอยู่ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มี ถ้าใส่กุญแจ มันก็หักกุญแจ คิดดูสิ
โอ้มันมีมากพูดกันจนค่ำก็ไม่จบ ถ้าว่าเรื่องรายละเอียดของความมีศีลธรรมของยุคสมัยที่แล้วมา มันมีศีลธรรมมันจึงเป็นอย่างนั้น ไม่มีศีลธรรมมันจึงเป็นอย่างนี้ ที่ถ้าบางแห่ง ถ้ำทางอำเภอท่าชนะบางแห่งเขาเคยเล่าให้ฟัง ที่อื่นก็มีอีกหลายแห่ง ในถ้ำนั้นเป็นที่เก็บของใช้ส่วนกลางของหมู่บ้าน ถ้วยโถโอจานถาดหม้อไหอะไรก็ตาม เขาเก็บรวมไว้ในถ้ำนั้น บ้านไหนมีงานมีธุระต้องใช้ก็ไปเอามาจากในถ้ำ เอามาใช้ๆ เสร็จแล้วก็ล้างเอาไปเก็บไว้ที่เดิม อย่างนี้ก็ทำได้ เดี๋ยวนี้มันไม่มีทางจะทำได้ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีร่องรอย ที่บางแห่งก็ยังมีร่องรอย เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้ ทำที่ไหนก็ไม่ได้ อยู่บนเรือนมันยังเข้าไปขโมย มันดุร้ายจนถึงกับว่ามันตัดเศียรพระพุทธรูป เมื่อก่อนไม่มีใครกล้าทำหรอก เดี๋ยวนี้มันเป็นของเล่นไปแล้ว การตัดเศียรพระพุทธรูปนี่ ไอ้ความไม่มีศีลธรรมมันขึ้นสูงถึงขนาดนี้แล้ว เรียกว่าในจิตใจของมันไม่มีความรู้สึกดีชั่วผิดถูกอะไรแล้ว มันไม่มีความรักผู้อื่นแม้แต่นิดเดียว มันไม่รักของส่วนรวมแม้แต่นิดเดียว แล้วมันก็ถือว่ากูได้ก็แล้วกัน มันถือศาสนาว่ากูได้ก็แล้วกัน มึงทำก็ทำไปสิ พอมันออกลูก กูก็ขโมยเสีย เพื่อนจะทำสวนทำอะไร พืชผลอะไรพอออกลูกมามันก็ขโมย เลี้ยงวัวเลี้ยงควายมันก็ขโมย ปลูกกล้วยปลูกอ้อยมันก็ขโมย แล้วมันก็ทำไปได้ ความไม่มีศีลธรรมมันไปถึงขนาดนี้ ถ้ามีศีลธรรมมันก็จะสบาย ทุกคนก็จะปลูกฝังกันขึ้นมา เจริญรุ่งเรืองดี เดี๋ยวนี้สวนทุเรียนตรงนี้เจ้าของได้ประมาณสักครึ่งหนึ่ง นอกนั้นถูกขโมยหมด บางทีไม่ทันสุกด้วยซ้ำมันก็ขโมยไปแล้ว เจ้าของได้ไม่เกินครึ่ง คิดดูสิ มันน่าน้อยใจ ความไม่มีศีลธรรม
มันโง่ที่สุดที่จะไปหวังพึ่งวิชาหนังสือ เพราะมันไม่ช่วยให้คนมีศีลธรรม มันต้องมีวิชาศีลธรรมโดยตรงที่ทำให้คนมีศีลธรรม ไม่รู้หนังสือก็ได้ ไม่รู้หนังสือก็ได้นะ ถ้ามีศีลธรรมแล้วจะอยู่เป็นสุข เป็นสุขกว่าเดี๋ยวนี้ กว่าที่รู้หนังสือกันมากๆนี่ มีศีลธรรมอย่างเดียวเท่านั้นแหละ อาตมาจึงไม่มีความคิดเห็นอะไรที่จะเสนอสนองท่านทั้งหลายที่ตั้งใจมาฟังนอกจากว่า ไอ้โครงการศึกษานอกโรงเรียนนั้นอย่าทำอะไรเลย ทำเพียงอย่างเดียวคือเอาศีลธรรมกลับมาให้แก่นักเรียนนอกโรงเรียน ให้แก่ประชาชนนอกโรงเรียน พอมันมีศีลธรรมแล้วปัญหาหมด คือจะไม่มีส่วนเลวร้าย คือขโมย ปล้น จี้ ไม่มีส่วนเลวร้าย มีแต่ส่วนดีที่ว่ามันขยันทำงาน เพราะว่าการทำงานนั้นก็เป็นศีลธรรมข้อหนึ่ง ซึ่งครูไม่สอน โรงเรียนไม่สอน หลักสูตรไม่สอน มันบรมโง่ การทำหน้าที่ของตนนั่นแหละคือยอดของศีลธรรม
ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ครูก็ไปมัวแต่สอนว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่รู้ว่าสอนอะไร ในเมืองไทยยังโง่ต่อคำว่าธรรมะ ไม่บอกว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ ถ้าในประเทศอินเดีย คำว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ ทุกคนรู้ว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ ปทานุกรมเด็กๆก็บอกว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ ดังนั้นใครทำหน้าที่ของตนคนนั้นปฏิบัติธรรม เมื่อชาวนาไถนาอยู่กลางนาเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ นั่นคือเขาปฏิบัติธรรม เมื่อชาวสวนขุดดินอยู่ เขาก็ปฏิบัติธรรม พ่อค้าค้าขายอยู่คือปฏิบัติธรรม คนยากจนแจวเรือจ้างอยู่ก็เขาปฏิบัติธรรม เขาทำหน้าที่ เขากวาดถนน เขาล้างถนน เขาทำหน้าที่ เขาปฏิบัติธรรม แม้คนขอทานมันขอทานอยู่มันก็คือปฏิบัติธรรม มันเป็นหน้าที่ของคนขอทานที่จะต้องขอ มันก็ต้องทำหน้าที่ของมันให้ดีที่สุด ขอให้ดีที่สุด มันเป็นการปฏิบัติธรรมของคนขอทาน
ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ดังนั้นพอได้ทำหน้าที่ก็ชื่นใจได้ว่าเราได้ปฏิบัติธรรมะ แล้วจะทำสนุก สนุก สนุก ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ไถนาจนเหงื่อไหลไคลย้อย แดดร้อน ไม่ได้กินข้าวสักที ก็ยังพอใจอยู่นั่นแหละ เพราะรู้สึกว่าไถนาคือปฏิบัติธรรม เดี๋ยวนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะโรงเรียนไม่สอนว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เด็กมันก็ไม่ต้องรู้ว่านี่คือปฏิบัติธรรมดีอย่างไร ทีนี้พอไถนาเหนื่อยเข้า โอ๊ย ป่วยการไปขโมยดีกว่า เป็นชาวนาป่วยการ เหน็ดเหนื่อยเปล่าๆ ไปขโมยดีกว่า ไปปล้นไปจี้ดีกว่า มันก็เลิกจากชาวนาไปปล้นไปจี้ดีกว่า ดังนั้นเราจึงเต็มไปด้วยนักปล้นจี้ตลอดทางหลวง ทุกสายมันมีเต็มไปหมดนักปล้นจี้ หาเรื่องปล้นจี้กันจนได้ แต่ถ้ามารู้ว่าไถนาอยู่นั่นแหละคือปฏิบัติธรรม ทำสวนอยู่นั่นล่ะคือปฏิบัติธรรม ถีบสามล้ออยู่นั่นล่ะคือปฏิบัติธรรม
ก็ยอมรับสภาพว่าเรามันบุญกรรมมันสร้างมาอย่างนี้ หรือว่าไม่ใช่บุญกรรมก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้เรามีสภาพอย่างนี้ เราทำอะไรมากไม่ได้กว่าถีบสามล้อก็ถีบไปก่อนสิ แล้วก็ทำให้สนุกสิ ถ้าทำได้สนุกก็ทำได้มาก แล้วก็มันเป็นสุขเมื่อทำ เมื่อถีบสามล้อเป็นสุข ไม่ต้องเอาเงินไปกินเหล้า ไม่ต้องไปทำอบายมุข เพราะมันเป็นสุขแล้วที่จิตใจที่มันตั้งไว้ถูกต้องว่านี่คือปฏิบัติธรรม นี่คือธรรมะ มันเลยได้ความสุขที่ไม่ต้องเสียเงินสักสตางค์หนึ่ง
แล้วทำอย่างนี้เดี๋ยวเงินก็ค่อยเหลือ ค่อยเหลือ ค่อยเหลือ เพราะมันไม่ได้เอาเงินไปซื้อเหล้ากิน มันเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในการทำงาน แล้วพอใจแล้วเคารพตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ว่าเราปฏิบัติธรรม เดี๋ยวเงินก็เหลือแหละ ไปซื้อรถตุ๊กตุ๊กขับได้ ทำอย่างนี้อีกเดี๋ยวเงินก็เหลือไปซื้อรถยนต์ขับได้ ทำอย่างนี้ต่อไปอีกก็เหลือเงินซื้อบ้านซื้อช่อง ขายของอะไรก็ได้ พ้นขึ้นไปได้จากความยากจน นั่นคือศีลธรรม เพราะมันรู้ว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ แล้วมันบูชาการทำงาน การทำงานก็สนุก เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน
เหมือนกับเป็นครูนี่ เวลาทำงานอยู่หน้าชั้นกับชอล์คกับกระดานดำ ทำให้สนุกก็เป็นสุขเมื่อนั้น อย่ารีบปิดห้องเรียนไปอาบอบนวด ไปกามารมณ์ สถานบันเทิงเลย นั่นมันเรื่องบ้าเรื่องหลอก ไม่ใช่ความสุข มันเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง มันกินเงินมาก ไอ้ความเพลิดเพลินแบบนั้นมันกินเงินมาก จนเงินเดือนไม่พอใช้ ถ้าความสุขที่แท้จริงมันพอใจในการทำงานอยู่ที่หน้าห้องเรียนนั่นแหละ มันก็เป็นสุขอย่างสะอาด เป็นสุขอย่างบริสุทธิ์ มันอิ่มด้วยความสุขแล้ว กลับไปบ้านก็นอนได้ไม่ต้องไปอาบอบนวด นี้เงินมันก็เหลือ ครูคนนั้นก็ไม่ต้องคอรัปชั่น มันจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างนี้แหละ
เลยมีศีลธรรมข้อแรกที่สุดว่าการงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม การงานคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ การทำการงานคือการปฏิบัติธรรมะ สบายใจตลอดเวลา เหงื่อออกมาก็เย็นเป็นน้ำมนต์ ถ้าเขามีจิตอย่างนี้นะ ทำงานกลางแดดเหงื่อออกมากลายเป็นน้ำมนต์เยือกเย็น ไม่ใช่ร้อนเหมือนกับตกนรกแล้ว แล้วไปขโมยดีกว่า ไม่ต้องมาทำงานให้เหนื่อยให้ร้อนอย่างนี้
ทำไมจึงไม่สอนกันอย่างนี้ ไม่สอนเด็กๆให้รู้อย่างนี้ว่า ทำงานนั่นแหละคือธรรมะ งานคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ การทำการงานคือการปฏิบัติธรรม จะไม่มีใครยากจน จะไม่มีบ้านไหนยากจน จะไม่มีบ้านไหนไม่มีอาหารกิน เดือดร้อน สุขภาพอนามัยก็จะดี จะรู้หนังสือก็ได้ไม่รู้หนังสือก็ได้ มันไม่มีปัญหาหรอก
นี่มันโง่ไปทุ่มเทแต่เรื่องหนังสือ ไม่ทุ่มเทเรื่องศีลธรรมกันเสียเลย มันก็ได้แต่คนไม่มีศีลธรรม เรียนจบมาแล้ว จบประถม มัธยม อุดมศึกษา มันก็ไม่มีศีลธรรม มันพร้อมที่จะเป็นผู้สร้างปัญหา เป็นผู้ที่ทำให้เกิดปัญหา เป็นคนคดโกง เป็นคนคอรัปชั่น เป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุด ยิ่งเรียนรู้มากยิ่งเห็นแก่ตัวมาก ข้อนี้ไปคิดดูเองเถอะ เพราะมันฉลาดมากมันยิ่งเห็นแก่ตัวมาก ถ้ามันไม่มีศีลธรรม ถ้ามันมีศีลธรรมมันจะไม่เห็นแก่ตัว ถ้ามันมีศีลธรรมมันจะไม่เห็นแก่ตัวหรอก เพราะว่าศีลธรรมมันมีลักษณะอย่างนั้น เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ความดีความงาม รักผู้อื่นได้ว่าเขาเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ดังนั้นศีลธรรมข้อแรกคือว่า การงานคือธรรมะ ธรรมะคือการงานคือหน้าที่คือธรรมะ เรามีหน้าที่อย่างไรทำให้สนุก แล้วมีสุขเมื่อกำลังทำหน้าที่ รู้สึกเป็นสุขเมื่อกำลังทำหน้าที่ เสร็จการงานแล้วไม่ต้องไปกามารมณ์ที่ไหน เงินก็เหลืออยู่ ไม่เท่าไรเงินก็เหลือมากจนเลื่อนฐานะของตัวขึ้นไปสู่การงานที่เหนื่อยน้อย
เดี๋ยวนี้โรงเรียนไม่ได้สอนให้คนบูชาการงาน ไม่ได้ให้สนุกกับการงาน ไม่เห็นว่าเหงื่อนั่นแหละคือความหมายของมนุษย์ที่ถูกต้อง ถ้าเป็นเทวดาไม่ต้องมีเหงื่อ แต่นี่เรายังไม่ได้เป็นเทวดา ยังเป็นมนุษย์ เราต้องพอใจเหงื่อ ต้องพอใจการออกเหงื่อและการมีเหงื่อ ซึ่งมันจะออกมาเมื่อทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ถูกต้อง ปฏิบัติธรรมะ ถ้าเด็กมันพอใจเหงื่อว่าเหงื่อกลายเป็นน้ำมนตร์ เด็กมันก็ไม่ไปขโมย วัยรุ่นของเราพร้อมที่จะทิ้งงาน ทิ้งการงานที่บ้านไปขโมยไปจี้ไปปล้นไปทำอะไรตามแบบของเขา เพราะเขาหลงใหลบูชากามารมณ์ เงินที่หามาได้ขโมยมาได้ปล้นจี้มาได้ก็ไปใช้เพื่อกามารมณ์ทั้งนั้น นี่ใครรับผิดชอบ
การศึกษาในประเทศเราไม่มีใครรับผิดชอบ ไม่มีใครรับผิดชอบประเทศ มีแต่คนหลับตา ไม่เอาใจใส่ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ บ้านเมืองมันเป็นอย่างนี้ ที่จริงมันก็(อาจจะต้องพูดว่ากระทรวงศึกษา แต่กระทรวงศึกษาก็ไม่มีอำนาจ ถ้าส่วนกลางเขาไม่เอาด้วย ก็ไม่มีอำนาจจะทำอะไรได้ มันก็ต้องไปมองไปยังผู้มีอำนาจเหนือผู้มีอำนาจสูงสุดเขาหลับหูหลับตาว่าบ้านเมืองมันวินาศเพราะไม่มีศีลธรรม แล้วก็ไม่จัดให้มีศีลธรรมขึ้นมา ถ้าเขาจะจัดให้การศึกษานอกโรงเรียนมีหน้าที่ดึงศีลธรรมกลับมาแล้วจะวิเศษที่สุด ประเสริฐที่สุด จะเป็นการงานหน้าที่ที่มีบุญมีกุศลที่สุด ช่วยแก้ปัญหาทั้งประเทศได้ เพราะทำให้คนมีศีลธรรม สนุกในการทำงาน หยุดเหตุการณ์เลวร้ายอันธพาลทั้งหมดเสียได้
นี่อาตมาพูดอย่างนี้ เราจะต้องมีศีลธรรมขั้นรากฐาน คิดกันเสียใหม่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ สอนเด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี ที่กำลังอันธพาลอยู่ก็ดีที่ไม่อันธพาลอยู่ก็ดี ว่าไอ้ธรรมะมันอยู่ที่การงาน ขอให้บูชาการงานแล้วจะมีธรรมะ แล้วจะช่วยได้หมด ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องคอยหลบตำรวจ ไม่ต้องคอยหลบคนที่เขาจะมาจับไปเก็บ เด็กๆก็จะไม่ตายโหงตั้งแต่เล็ก เดี๋ยวนี้เด็กๆตายโหงตั้งแต่เล็กมากขึ้น ถูกเก็บแม้แต่เด็กๆ เพราะความเลวของเด็กๆ เด็กๆถูกเขาเก็บมากขึ้น เรียกว่าตายโหงตั้งแต่เล็ก ถึงแม้ไม่ถูกเก็บมันก็ฆ่ากันเอง เด็กๆมันฆ่ากันเองก็มากขึ้น แถวนี้ก็มี เด็กๆ มันฆ่ากันเอง มันเลยตายโหงตั้งแต่เล็ก นี่ความสูญเปล่าของการศึกษา ที่เรากำลังจัดอยู่มีผลเป็นการสูญเสีย ไม่ได้ประโยชน์
อาตมาก็ไม่มีอะไรจะพูด เมื่อขอให้พูดก็พูดว่า กรมการศึกษานอกโรงเรียนนี่อย่าทำอย่างอื่นเลย ทำแต่ดึงศีลธรรมกลับมา นำเอาศีลธรรมกลับมา พอแล้ว ช่วยกู้ประเทศทั้งประเทศ ถ้าต่างประเทศเขาเอาอย่าง เราเป็นผู้นำเลย ผู้นำในการเอาศีลธรรมกลับสู่ประเทศกลับมาสู่โลก ให้โลกกลับมีศีลธรรมมีศาสนา เป็นโลกพระศรีอารยะเมตไตรย์กันทันเห็นนี่หล่ะ
คุณคงจะงงนะว่าเราจะสร้างโลกพระศรีอารยะเมตไตรย์กันทันเห็นนี่ ถ้าทุกคนเปลี่ยนกลับไปรักผู้อื่น ถ้าทุกคนในแผ่นดินนี้มันเปลี่ยนกลับเป็นรักผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่นไม่ได้ทุกคน โลกนี้ก็เป็นโลกพระศรีอารยะเมตไตรย์ทันทีทันควันเลย โลกพระศรีอารยะเมตไตรย์ก็คือมิตรภาพสูงสุด เมตไตรยแปลว่ามิตรภาพ มีมิตรภาพ ประกอบอยู่ด้วยมิตรภาพ ศรีแปลว่าชั้นเลิศ อารยะแปลว่าชั้นประเสริฐ มิตรภาพชั้นเลิศชั้นประเสริฐ คือทุกคนรักผู้อื่น พร้อมจะช่วยผู้อื่น ตามที่เขาบรรยายไว้ในพระคัมภีร์เรื่องศาสนานี้ว่า พอลงจากบ้านแล้วก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เหมือนกันหมด มีแต่มือยื่นมาสลอนว่าให้ช่วยอะไรให้ช่วยอะไร เดินไปทางไหนก็มือยื่นออกมาให้ช่วยอะไรๆ ก็เลยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าใครเป็นญาติ เพื่อนก็ไม่รู้ แต่กลับมาบ้านแล้วขึ้นบนเรือนแล้วจึงรู้ว่า อ้าว นี่แม่ของเรา นี่พ่อของเรา นี่สามีของเรา นี่ภรรยาของเรา ถ้าออกไปนอกถนนแล้วมันเหมือนกันไปเสียทั้งหมด ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร มีแต่คนพร้อมที่จะช่วย มีต้นกัลปพฤกษ์ทั่วไปทุกมุมเมืองต้องการอะไรก็ไปเอาได้ทันที เพราะคนมันถือหลักอย่างนี้ มันทำงานสนุก มันเหลือกินเหลือใช้ เต็มไปหมดที่จะช่วยผู้อื่นได้ทันที จึงมีแต่มือที่ยื่นออกมา นี่ล่ะความรักผู้อื่น การเบียดเบียนกันสักนิดหนึ่งก็ไม่มี คือโลกพระศรีอารยะเมตไตรย์ พอมีความรักผู้อื่นเข้ามาก็เกิดโลกพระศรีอารยะเมตไตรย์ขึ้นมาเท่านั้น เราหวังอย่างนี้สิ ถึงเราจะทำได้ไม่เต็มที่เพราะไม่มีอำนาจ ก็หวังเท่าที่จะทำได้สิ ไปโวยรัฐบาลสิ อย่ามัวหลับตาแก้ปัญหาด้วยความไม่มีศีลธรรม ปัญหาเกิดจากความไม่มีศีลธรรม แล้วจะแก้ได้ด้วยความไม่มีศีลธรรม นี่เป็นไปไม่ได้ ปัญหาทุกปัญหาทุกชนิดทุกแง่มุม ไม่ว่าปัญหาอะไร การบ้านการเมือง การปกครองการทหารการเศรษฐกิจทุกอย่างทุกประการมันเกิดขึ้นเพราะความไม่มีศีลธรรม ต้องแก้ด้วยความมีศีลธรรมซึ่งตรงกันข้าม แล้วมันก็แก้ได้
อาตมาไม่มีอะไรจะพูดแล้วนอกจากยืนยันตั้งแต่ต้นว่าอาตมาขอเสนอให้มีหน้าที่นำศีลธรรมกลับมาเป็นการงานของการศึกษานอกโรงเรียน ไม่มีอำนาจจะทำก็พยายามกันไปตามเรื่อง
ขอแสดงความยินดีที่อุตส่าห์มาที่นี่ มาเยี่ยมสถานที่นี้ อาตมาก็ไม่มีเรื่องอะไร ที่ทำอยู่ทุกวันนี้มีแต่ศีลธรรมกลับมา พูดทางวิทยุห้าสิบหกสิบครั้งแล้วเรื่องเอาศีลธรรมกลับมา ให้อยู่อย่างง่ายๆ อย่างที่ไม่มีค่าใช้จ่ายมากมาย ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน บางคนคิดว่าทำไม่ได้ทำไม่ได้ เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน มันเหนื่อยจะตาย เพราะมันไม่มีศีลธรรม มันจึงเหนื่อยจะตาย พอเหงื่อออกมามันไปขโมยดีกว่า ถ้าเรามีความรู้เรื่องธรรมะคือหน้าที่แล้ว ยิ่งเหงื่อออกก็ยิ่งพอใจว่าเราได้ทำหน้าที่มากแล้ว เหงื่อออกยิ่งพอใจว่าเราทำหน้าที่มากแล้ว ทำสนุก ทำเพลิน
อาตมาถือหลักอย่างนี้มาแล้ว ประสบความสำเร็จมาแล้ว ขอยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ ไม่ใช่สิ่งมีไว้สำหรับพูดอย่างเดียว มันเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ เคยทำมาแล้ว ทำงานวันละ ๑๘ ชั่วโมง ถือหลักอย่างนี้ คนอื่นเขาทำงานวันละ ๘ ชั่วโมงก็ตามใจ เราทำวันละ ๑๘ ชั่วโมง ทำงานในหน้าที่ สนุก สนุก สนุก เป็นเวลาวันละ ไปชโงกดูหนังสือทั้งหมดในตึกนั้นอาตมาทำคนเดียว ทั้งหมดนั้นน่ะทำคนเดียว ถ้าไม่ถือหลักอย่างนี้ทำไม่ได้ ทำไม่ได้ไม่เกิดขึ้นในโลก แต่เพราะถือหลักอย่างนี้มันจึงเกิดหนังสือเหล่านั้นขึ้นเท่านั้น และไม่มีใครเชื่อว่าทำคนเดียว แต่ยืนยันว่าทำคนเดียว ไปเปิดดู จึงยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ อาตมาหวังว่าท่านทั้งหลายจะเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ คือทำงานให้สนุก และเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน ทำเพื่อพระพุทธเจ้าผู้หวังจะช่วยโลกให้รอด เราก็ทำเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ไม่ได้ทำเพื่อเงินเดือนเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ทำเพื่อช่วยโลกให้รอด
เดี๋ยวนี้นั่งกลางดิน ดินนี่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะดินนี่เป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้า เป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นที่นั่งสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้า เป็นที่ตายของพระพุทธเจ้า ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สั่งสอนกลางดิน ปรินิพพานกลางดิน นั่งกลางดินแล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า นี่มัวแต่นั่งกันอยู่บนตึกราคาล้าน ตึกราคาเป็นล้านๆ แล้วไปพูดเรื่องไร้สาระทั้งนั้น จึงไม่นำมาซึ่งศีลธรรม มานั่งกลางดินตรงนี้กันดีกว่า ที่ของพระพุทธเจ้า นั่งแล้วต้องพูดเรื่องของพระพุทธเจ้า คือเรื่องศีลธรรม อาตมาจึงพูดเรื่องศีลธรรม และยินดีที่ท่านทั้งหลายได้มาที่นี่เพื่อให้เราพูดเรื่องศีลธรรม อาตมาขอแสดงความยินดีอนุโมทนา และหวังว่าคงจะกลับไปด้วยความรู้สึกอะไรบ้างว่าเรามีหน้าที่อย่างไร
ขอให้ทุกคนจงทำงานให้สนุก มีความสุขเมื่อกำลังทำงานนั้นเอง มีความเจริญงอกงามในธรรมะนี้อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
(ใครอยากจะถามอะไรท่านบ้าง มีเวลาอยู่นิดหน่อย.... ก็มากันหลายภาคครับที่มา)
จะหาว่าด่าก็ได้ พูดอย่างนี้แหละ พูดอย่างอื่นไม่เป็น ก็จำติดไปแล้วกันว่าด่ายังไง หึหึหึ จะว่าปรึกษาหารือก็ได้ ก็จำไปว่าปรึกษาหารืออย่างไร มันไม่มีทางอื่นนอกจากศีลธรรมกลับมา
(......ฟังไม่ออก....)
เอ้า ทำไมต้องพูดถึงพระพยอมล่ะ ก็ต้องถือว่าเขาได้ทำหน้าที่ดีที่สุด ส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด คือเขาทำให้เด็กอันธพาลหรือเด็กๆทั่วไปที่ไม่สนใจธรรมะสนใจธรรมะ และทำให้คนขับแท็กซี่ที่ไม่สนใจธรรมะเปิดเทปท่านพยอมฟังเมื่อขับแท็กซี่ ซึ่งก่อนนี้มันไม่มีนะ รถบัสรถอะไรที่วิ่งไปมาเดี๋ยวนี้มันเปิดเทปพระพยอมนะ แต่ก่อนนี้มันไม่เคยเปิดนา มันเปิดเทปบ้าๆอะไรของมันก็ไม่รู้ฟังอยู่ตลอดเวลา เราต้องถือว่าพระพยอมทำให้คนจำนวนหนึ่งซึ่งไม่น้อยเลยที่ไม่สนใจธรรมะ ไม่ชอบธรรมะ กลับมาสนใจธรรมะและชอบธรรมะ ตรงนี้ต้องยกให้เป็นความดีความงามของแก ส่วนที่พูดตลกอะไรไปบ้างอะไรไปบ้างไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย จำเป็นต้องใช้วิธีนี้คนจึงจะสนใจธรรมะ อาตมามองว่าไม่มีอะไรเสียหาย
(การสอนในเรื่องศีลธรรมนั้นเรื่องอะไรก่อนที่จะสอนประชาชน)
มันมีมาก มันมีมาก ศีลธรรมน่ะมันมีมาก เรื่องอะไรที่ทำให้เกิดปกติสุขก็เป็นศีลธรรมทั้งนั้น หลักสำคัญที่สุดก็คือว่า ตัวเองจะต้องทำงานในฐานะเป็นหน้าที่ มันจึงจะเป็นมนุษย์ ต้องทำหน้าที่มนุษย์ มันจะเป็นมนุษย์ หน้าที่ของมนุษย์คืออะไร หน้าที่ของมนุษย์อันแรกคือทำให้รอดชีวิตอยู่ได้ เราจึงต้องทำนาทำสวนทำไร่ให้มันรอดรอดชีวิตอยู่ได้ นี่หน้าที่แรก
หน้าที่ที่สองต่อมาคือเมื่อรอดชีวิตอยู่ได้แล้ว ต้องทำให้ดีถึงที่สุด นั่นหน้าที่ ทำให้ดีต่อไป อย่าเพียงแต่ว่ารอดชีวิตอยู่ได้ ให้มันบรรลุมรรคผลนิพพานไปได้เลยยิ่งดี นั่นแหละคือหน้าที่ มนุษย์ต้องทำหน้าที่อย่างมนุษย์ เราเป็นมนุษย์ต้องทำหน้าที่อย่างมนุษย์ ปฏิบัติธรรมะของมนุษย์เพื่อความเป็นมนุษย์ นั้นคือหน้าที่ เป็นศีลธรรมข้อแรกคือทำหน้าที่ของตนของตน ยอมรับสภาพที่เรียกว่าบุญทำกรรมแต่งหรือพระเจ้าก็ตามแล้วแต่ เขาจัดให้เรามีความคิดอย่างนี้ ร่างกายอย่างนี้ สติปัญญาเท่านี้ สมรรถนะเท่านี้ เราก็ทำงานที่มันพอดีกับสถานะของเรา เราต้องทำได้ จะให้เราไปเป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี เราก็ทำไม่ได้ เราเป็นชาวนาชาวสวนเราก็ทำได้ และเราก็ทำหน้าที่ของมนุษย์ เราก็ได้เป็นมนุษย์ สุนัขก็ต้องทำหน้าที่ของสุนัขถึงจะเป็นสุนัข แมวก็เหมือนกัน ไก่ก็เหมือนกัน ไก่ก็เขี่ยทั้งวัน ปฏิบัติธรรมทำหน้าที่ของไก่ มันจึงเป็นไก่ มันต้องทำหน้าที่ของชีวิตชนิดนั้น ต้นไม้ก็ต้องทำหน้าที่ของต้นไม้ ต้องดูดน้ำ ต้องดูดอาหาร ต้องปรุงอาหารด้วยแดด ต้องเลี้ยงต้น ถ้ามันไม่ทำหน้าที่มันก็ต้องตาย ต้นไม้นั้นก็ตายนะ มันต้องทำหน้าที่ของต้นไม้จึงจะอยู่รอด
งั้นขอให้สำนึกตัวว่าเราเป็นอะไรแล้วทำหน้าที่ เราเป็นมนุษย์ก็ทำหน้าที่ของมนุษย์ เป็นพ่อทำหน้าที่พ่อ เป็นแม่ทำหน้าที่แม่ เป็นลูกทำหน้าที่ลูก เป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้อยู่ใต้การบังคับบัญชา มีหน้าที่อย่างไรทำอย่างนั้น นั่นแหละศีลธรรม ศีลธรรมแปลว่าทำปกติเพราะทำตามหน้าที่ มีความปกติเพราะได้ทำหน้าที่ ทีนี้ศีลธรรมอื่นเป็นศีลธรรมแฝง เช่นว่าที่เรารอดชีวิตอยู่ได้ เราทำหน้าที่ เราต้องคิดว่าเราอยู่คนเดียวไม่ได้ ดังนั้นเราจะต้องรักผู้อื่น ตามคนให้มาว่ารักผู้อื่น เพราะว่าเราอยู่คนเดียวไม่ได้ สมมติว่าเขายกให้เราทั้งโลกทั้งจักรวาล แต่ให้เราอยู่คนเดียวนี่เราอยู่ไม่ได้ มันอยู่ไม่ได้เหมือนกัน
ดังนั้นเราก็ต้องอยู่อย่างมีเพื่อน สุนัขนี่ เพื่อนมันช่วงกัดหมัดที่อยู่บนคอบนหลัง มันกัดเองไม่ได้ แต่สัญชาติของสุนัขด้วยกัน มันช่วยกัน ลองคิดดู การมีชีวิตอยู่มันต้องสัมพันธ์กัน ไก่น่ะมันมีไก่ตัวอื่นช่วยจิกเห็บตามหน้าตามหงอนตามนี่ให้ ลูกไก่ก็ช่วยจิก ไม่รู้ใครสอน ลูกไก่ตัวเล็กๆรู้จักจิกหมัดจากไก่ตัวใหญ่ที่หน้าที่ตา ไม่รู้ใครสอน ลิงก็ช่วยหาเหาหาหมัดให้กัน มันไม่ได้เห็นแก่ตัว การมีชีวิตอยู่ต้องอยู่เพื่อผู้อื่น เราจึงรักผู้อื่น คือศีลข้อเดียวพอ รักผู้อื่น ศีลปาณาฯ ศีลอทินนาฯ ศีลกาเมฯ ศีลมุสาฯไม่มีล่ะ มันไม่ขาดถือศีลข้อเดียว รักผู้อื่น ไม่ฆ่าใคร ไม่ขโมยใคร ไม่ละเมิดกาเมใคร ไม่หลอกลวงใคร ไม่กินเหล้าให้คนอื่นเหม็น มันมีศีลครบหมดเลย เพราะว่าถือศีลข้อเดียวคือรักผู้อื่น ถ้าถือศีลข้อนี้ก็เป็นศาสนาพระศรีอารย์ขึ้นมาทันที คือรักผู้อื่น คำว่าศรีอารยเมตไตรย์แปลว่ารักผู้อื่น นี่คือศีลธรรม แล้วยังทำไม่ได้ ยังทำไม่ได้ไม่พูดแล้ว สามข้อทำไม่ได้พูดทำไมให้มันเหนื่อย หึหีหึ สามข้อก็ทำไม่ได้ ทำงานให้สนุกแล้วก็รักผู้อื่น
(....)
เมื่อเวลาหมดก็เชิญไปตามโปรแกรม
(.......)
ไปช่วยโวยวายเจ้าหน้าที่ชั้นสูงว่าหน้าที่ของการศึกษานอกโรงเรียนคือดึงศีลธรรมกลับมา จะแก้ปัญหาหมดทั้งประเทศ เขาคงจะค่อยๆผ่อนผันให้ มีหลักการเป็นนำศีลธรรมกลับมาสำหรับการศึกษานอกโรงเรียน การศึกษาในโรงเรียนนั้นเฟ้อแล้ว ยิ่งเรียนมากยิ่งโกงเก่ง
(......)
ถ้าทำบุญช่วยไปทำที่ตรงโน้นเขาจะให้หนังสือ ทำบุญไปทำที่ตรงโน้น เขาจะให้หนังสือ เชิญ เชิญ เชิญ อย่ารวมซองเขาให้หนังสือลำบาก แยกเป็นคนๆ เขาให้สะดวก ช่วยไปส่งที่พระที่อยู่ที่กุฏิ เขาจะให้หนังสือ ส่งแล้วรับหนังสือมาด้วย อย่าหันหลัง
มันลำบาก...... สิงห์ทองอยู่หรือ.......เอ้า ปิด ไปดูสิงห์ทองอยู่ไม่อยู่