แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านครูบาอาจารย์และท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งในการมาของท่านทั้งหลาย สู่สถานที่นี้ซึ่งมีความมุ่งหมายในการเผยแผ่ธรรมะโดยตรง เรื่องที่จะปรารภก็คือ เดี๋ยวนี้โลกมันอยู่ในสถานะที่เต็มไปด้วยปัญหาเพราะไม่มีธรรมะ จะเป็นของศาสนาไหนก็ได้ ถ้าขึ้นชื่อว่าหัวใจของศาสนาแล้ว มันก็เป็นธรรมะทั้งนั้น โดยเฉพาะก็คือการสอนให้รักผู้อื่น โดยวิธีสอนที่ต่างกันด้วยเหตุผลที่ต่างกันแต่มุ่งหมายให้เรารักผู้อื่น ทีนี้การศึกษาแยกออกจากศาสนาก็ไม่ค่อยได้สอนธรรมะ เมื่อปล่อยให้เป็นหน้าที่ของปัจเจกชนแต่ละคน ถ้าอยากรู้ธรรมะก็แสวงหาเอาเองไม่รวมอยู่ในหลักสูตรการศึกษาที่บังคับ ดูจะเป็นอย่างนี้กันทั้งโลก เพราะฉะนั้นโอกาสที่ธรรมะหรือศาสนาจะเข้ามาสู่เยาวชนมันก็น้อยลงไป ก็เลยทำให้เหินห่างจากธรรมะ ประเทศเราก็อยู่ในสภาพอย่างนั้น ปัญหามันก็เหมือนๆกันทั้งโลก คือเกิดสิ่งเลวร้ายขึ้นในโลกมากขึ้นเพราะจิตใจของมนุษย์เห็นแก่ตัว เรียนให้ฉลาดล้นฟ้าก็ได้ แต่ก็ใช้ความฉลาดนั้นเพื่อประโยชน์ของตัวเพื่อเห็นแก่ตัว ดังนั้นจึงมีแต่การตระเตรียมเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามและก็เพื่อประโยชน์ของตัวทั้งโลก มีปัญหาอย่างนี้ ภายในประเทศเราก็มีปัญหาอย่างนี้คืออันธพาลเพิ่มขึ้น จนกระทั่งว่าอยู่ในห้องของตัวก็ยังจะไม่ค่อยปลอดภัยเสียแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอยู่ท้องถนน ตามท้องถนน อันธพาลเพิ่ม อันธพาลเพิ่มขึ้นเป็นเหตุต้องเพิ่มตำรวจ ต้องเพิ่มเรือนจำ ต้องเพิ่มศาล แล้วคนไม่มีธรรมะก็เป็นโรคทางจิตทางวิญญาณเพิ่มขึ้น เช่นโรคประสาท เป็นต้น ก็ต้องเพิ่มโรงพยาบาลประสาท เพิ่มหมอ นี่คือปัญหาของการที่ว่าเราขาดสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ นี่ก็จะขอพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ตามสมควรแก่เวลา สิ่งที่จะต้องสังเกตสำหรับประเทศไทยเราก็คือไม่ได้บอก ไม่ได้ชี้ ไม่ได้สอน เกี่ยวกับคำว่าธรรมะ ตรงตามความหมายเดิม ในประเทศอินเดีย ปทานุกรมตามธรรมดานี่ คำว่าธรรมะเขาแปลว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ถ้าเป็นปทานุกรมย่นย่อ ธรรมะก็แปลว่า duty คำเดียวเท่านั้นแหละ ถ้าว่าเป็นปทานุกรมมีคำขยายความบ้างก็ว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต เรียกว่าธรรมะ ที่ในประเทศไทยเรา ธรรมะปทานุกรมแปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่มันต่างกันถึงขนาดนี้ แล้วก็ไม่บอกเสียด้วย พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่างไร ถ้าจะบอกก็ต้องบอกว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตด้วยเหมือนกัน เพราะดูคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ทั้งพระไตรปิฎกก็ได้ จะสอนหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต เราอ่านหมดแล้วเราก็แบ่งกันได้เองว่า หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตนั้น แบ่งได้เป็น ๒ ขั้นตอน ขั้นตอนแรกก็คือหน้าที่เพื่อรอดชีวิตอยู่ได้อย่างผาสุก นี่ตอนแรก ต้องทำให้รอดชีวิตอยู่ได้อย่างผาสุก ถ้าหน้าที่ตอนแรกเสร็จแล้วก็ถึงหน้าที่ตอนที่สองก็คือว่าให้รอดจากปัญหาที่สูงขึ้นไปคือรอดจากความทุกข์ทั้งปวง บรรลุมรรคผลนิพพาน หรือจะเรียกว่าไปอยู่สวรรค์ พระเจ้าอะไรก็สุดแท้แต่ นี่เป็นขั้นที่สองเป็นความรอดขั้นที่สอง ความรอดทั้งสองขั้นเป็นหน้าที่และต้องทำหน้าที่ทั้ง ๒ ขั้น ขั้นแรกโดยพื้นฐาน หน้าที่รอดชีวิตอยู่ได้ ประโยชน์มันต่างกันที่จะบอกว่าธรรมะคือหน้าที่ กับธรรมะคือเพียงคำสั่งสอนของพระศาสดา ต้องเล็งลึกลงไปถึงบรรดาชีวิตทุกชนิด ทุกระดับ นับตั้งแต่ต้นไม้พฤกษาชาติขึ้นมาถึงสัตว์เดรัจฉาน ถึงมนุษย์นี่มันมีชีวิตทั้งนั้น อะไรที่จะเป็นเหตุให้มีชีวิตอยู่ได้ก็ต้องทำสิ่งนั้น ถือเป็นหน้าที่ ฉะนั้นการทำหน้าที่ให้ชีวิตรอด ทุกชนิดนั่นแหละคือธรรมะ ถ้าคนไหนเห็นชัดอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้เขาก็รู้สึกว่า เมื่อเขาทำหน้าที่ให้ชีวิตรอดนั่นคือเขาปฏิบัติธรรมะ เขาก็เลยพอใจ สนุก และเป็นสุข เพราะว่าได้ทำสิ่งสูงสุดคือธรรมะ ดังนั้นชาวนาก็พอใจและเป็นสุขอยู่เมื่อทำนาเพราะว่าการทำนานั้นเป็นธรรมะ คือทำหน้าที่รอดชีวิต ชาวสวนก็เป็นสุขเมื่อทำสวน พ่อค้าแม่ค้า ค้าขายเล็กใหญ่อย่างไรก็เป็นสุขและพอใจเมื่อทำการค้าเพราะว่าทำหน้าที่คือธรรมะ ข้าราชการก็พอใจเมื่อทำหน้าที่ ว่าเป็นธรรมะ กรรมกรก็พอใจในการทำหน้าที่ของกรรมกร ว่าเป็นธรรมะ แม้แต่คนขอทาน มันก็พอใจเป็นสุขในการขอทาน ขอทานอย่างถูกต้องไม่ขโมยก็มีธรรมะ แม้ว่าจะต้องทำงานชนิดที่เรียกกันว่าต่ำ แจวเรือจ้าง ถีบสามล้อ ล้างท่อถนน มันก็เห็นเป็นธรรมะไปหมด มันก็สนุกในการทำงาน แม้เหงื่อออกมา มันก็ไม่รังเกียจเพราะว่ามันก็เป็นการปฏิบัติธรรมะ สรุปความว่าเขาทำงานสนุกและเขามีความสุขเมื่อกำลังทำงาน มันจึงแก้ปัญหาได้หมด ไม่มีใครอดอยากเพราะเมื่อทำงานนั้นมันยิ่งเป็นสุข เพราะเขารู้กันถึงข้อนี้ว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เมื่อทำหน้าที่คือปฏิบัติธรรมะ ผู้ที่ไม่ได้รับคำสั่งสอนอย่างนี้ มันก็ไม่ให้ความเคารพแก่ธรรมะ แต่พอไปทำหน้าที่เข้ามันเหนื่อย มันเหงื่อออก มันเหนื่อย มันก็ว่าไปขโมยดีกว่า วัยรุ่นของเราว่าไปขโมยดีกว่า เพราะไม่รู้ว่าทำงานให้ถูกต้องกับหน้าที่ของตนนั่นคือธรรมะ คือสิ่งสูงสุด แต่โบราณบรรพบุรุษของเราท่านรู้ข้อนี้ ท่านจึงทำงานอย่างเป็นสุข พอใจที่สุด ว่าการทำงานนั้นคือสิ่งประเสริฐสุด เป็นธรรมะ จึงไถนาได้จนสายอย่างเหงื่อท่วมตัว ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ก็ยังเป็นสุข เรียกว่าทำงานสนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน คำว่าความสุข ความสุขนี้ย่อมมาจากความพอใจ ขอให้คิดดูเถอะว่าไม่ว่าความสุขชนิดไหนต้องมาจากความพอใจ ถ้าความพอใจหลอกลวง ความพอใจของกิเลส มันก็เป็นสุขหลอกลวง ถ้าความพอใจถูกต้องของธรรมะ มันก็เป็นความสุขจริง เราจึงมีความสุขได้เมื่อเราพอใจ ถ้าพอใจในธรรมะเพราะว่าเป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์กับความสุขนั้นก็แท้จริง ฉะนั้นจึงเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน เป็นสุขเมื่อกำลังทำงานนี่ บางคนไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับเพราะเสียตรงที่ว่า ไม่รู้ว่าธรรมะคือหน้าที่นั่นเอง ถ้าเมื่อใดได้สอนกันจนรู้ความหมายของคำว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ เขาก็พอใจ ก็เป็นธรรมะ หน้าที่กลายเป็นธรรมะ ก็ทำได้สนุก ทำงานสนุกเพราะ ว่าสิ่งที่ทำนั้นคือธรรมะ คำว่าสนุกก็เหมือนกัน ขอให้แยกออกเป็น ๒ อย่าง ถ้าสนุกของกิเลสนั้นทำให้ไม่ไหว สนุกของโพธิปัญญาของธรรมะก็สนุกเพราะเห็นว่าไอ้ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เลยทำหน้าที่สนุก อาตมาก็ใช้หลักอย่างนี้มาตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะพูดอวดหรืออะไรทำนองนี้ ขอให้เป็นพยานหลักฐานว่าตั้งแต่แรกทำงานมา มีสวนโมกข์เมื่อ ๕๐ ปี พร้อมกับเปลี่ยนการปกครองปีเดียวกัน อาตมาก็ถือหลักอย่างนี้มาตลอด ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เลยทำงานสนุก บางวันทำงานตั้ง ๑๘ ชั่วโมง ทำงานหนังสือเพราะว่ามันสนุก เพราะว่ามันเป็นสุขในการงาน ตัวเองเคยผ่านมาแล้วอย่างนี้ เชื่อว่าทำได้ไม่เหลือวิสัย จึงอยากบอกให้ทราบทั่วกันว่าไอ้ทำงานให้สนุกเป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะ motive สูงสุดมันอยู่ที่ตรงนี้ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ความรู้สึกอันนี้มันเป็นเครื่องกระตุ้นให้ทำงานอย่างสนุกสนาน ไม่น่าเชื่อว่าเขาทำกัน ๘ ชั่วโมง เราทำ ๑๘ ชั่วโมงก็ได้ในบางวัน ก็อย่างนี้เรื่อยมา จนบัดนี้ซึ่งมันชราลงแล้วมันก็ต้องลดลงบ้าง หนังสือทั้งหลายที่อยู่ในตึกแดงนี้มีเป็นพยานหลักฐาน ถ้ามีเวลาเดี๋ยวก็เชิญเข้าไปดูว่า ทั้งหมดนั้นอาตมาเขียนคนเดียว ถ้าไม่มีหลักอย่างนี้ทำไม่ได้ ถ้าไม่มีหลักอย่างนี้ทำไม่ได้ เดี๋ยวก็เข้าไปดู หลายคนเขาเข้าไปบอกว่าไม่เชื่อว่าทำคนเดียว ไม่เชื่อ ก็ไม่เชื่อสิ ความจริงมันเป็นอย่างนั้น แล้วทำไมจึงทำได้มากอย่างนี้ ก็บอกว่าถือหลักอย่างนี้ไงล่ะทำงานให้สนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน เดี๋ยวนี้มันก็ยังทำได้ทั้งที่อ่อนเพลีย ชรา เดี๋ยวนี้มันก็ยังทำได้มากกว่าธรรมดา เพราะความรู้สึกอันนี้มันกระตุ้น ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ทำงานสนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน ข้อนี้สำคัญมากขอให้เอาไปด้วยเถอะ ทุกๆท่านเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน มันจะรู้สึกได้ก็เฉพาะเมื่อรู้ว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เมื่อเรากำลังทำหน้าที่อยู่ เป็นครูก็มาอยู่หน้ากระดานดำ ระบุอย่างนี้ดีกว่า นั่นจะเป็นสุขเมื่อถือชอล์กเพราะว่ามันเป็นการทำหน้าที่ เมื่อถีบสามล้อก็มีความสุขเมื่อนั้น เมื่อแจวเรือจ้างก็มีความสุขเมื่อนั้น คนโบราณเขามีความรู้สึกอย่างนี้ไม่ทราบว่าใครสอนเขาหรือเขาได้มาจากไหน ฉะนั้นเขาจึงทำงานพลาง ร้องเพลงพลาง ครั้งหนึ่งอาตมาไปกรุงเทพฯเมื่อก่อนบวช คนแจวเรือจ้าง เขาแจวเรือจากบางกอกน้อยมาถึงแถวปทุมคงคา ทวนน้ำด้วย เขาเอา ๒ บาทเท่านั้น ทั้งลำเอา ๒ บาท เขาแจวเรือพลางแกว่งเท้าพลาง ร้องเพลงพลาง เดี๋ยวนี้มันไม่อย่างนั้นสิ คนขับแท็กซี่มันก็ด่าใครไม่รู้ตลอดเวลา ทั้งที่มันไม่ได้แจวเรือจ้างเลย มันด่าใครตลอดเวลา แม้ว่าอาชีพมันถึงขนาดว่าเบา ขับรถแท็กซี่มันก็ยังด่าตลอดเวลาด่าโชค ด่าชะตา ด่าผีสาง มันไม่มีความสุขเลย ไม่เหมือนกับคนแจวเรือจ้างคนนั้น เขามีความสุขเมื่อกำลังทำงาน ขอร้องให้ไปปรับปรุงจิตใจเสียใหม่โดยการเห็นชัดว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ แล้วก็ทำงานสนุก เพราะได้ปฏิบัติธรรมะตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็เป็นความสุขที่แท้จริงเพราะเกิดมาจากความพอใจในการทำงาน นี่ขอแยกออกมาเป็นความสุขที่แท้จริง ส่วนความสุขที่เขาพูดๆกันโดยมาก เอาเงินไปซื้อเหล้า ไปอาบอบนวด ไปสถานเริงรมย์ต่างๆนั้นไม่ใช่ความสุข เป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวงและก็แพงมาก เงินเดือนไม่พอใช้ ที่ต้องคอร์รัปชันกันบ่อยก็เพราะว่าไปหลงความเพลิดเพลินว่าเป็นความสุข ขอให้ถือเป็นหลักว่า ความสุขถ้าแท้จริงไม่ต้องใช้เงิน แม้แต่บาทเดียว ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงเอามาเป็นความสุขแล้วยิ่งต้องใช้เงินมากจนเงินเดือนไม่พอใช้ อบายมุขทั้งหลายไม่ใช่ความสุข ฉะนั้นความเพลิดเพลินที่หลอกลวงและทำให้เงินเดือนไม่พอใช้ ต้องคอร์รัปชันต้องเดือดร้อนแสนสาหัส ขอให้รู้จักความสุขที่แท้จริงว่าไม่ต้องใช้เงิน ความสุขที่หลอกลวงคือไม่ใช่ความสุขเป็นเพียงความเพลิดเพลินที่ต้องใช้เงินจนเงินไม่พอ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่านิพพานให้เปล่า บทสวดเจริญพระพุทธมนต์เย็นตามบ้านเรือน มันมีอยู่คำหนึ่งในบทที่พระสวดเราฟังไม่ออกเอง พอถึงบท บทที่ว่า “ลทฺธา มุธา นิพฺพุตึ ภุญฺชมานา” คำนั้นแปลว่านิพพานให้เปล่า นิพพานเป็นสิ่งให้เปล่า ได้มาบริโภคอยู่เปล่าๆ เจริญพระพุทธมนต์เย็นตามบ้าน คำลึกๆสูงๆอย่างนี้ ก็มีอยู่เราฟังไม่ออกเอง จะทำอย่างไร ถ้าความสุขแท้จริง แม้แต่นิพพานก็ให้เปล่า ที่เขาลงทุนกันมากๆทอดกฐิน ทอดอะไรก็ตามใจ มันคนละเรื่องกัน ถ้าเป็นเรื่องของการได้นิพพานอาจจะไม่ต้องลงทุนเป็นเงินเป็นทอง เพราะทำความพอใจในธรรมะขึ้นมาเมื่อใดก็มีความสุขที่แท้จริงเมื่อนั้น ขอให้พยายามทำความพอใจในหน้าที่การงานนั่นแหละ อย่างสูงสุดก็ได้ความสุขจากความพอใจว่า นี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง นี้เป็นสิ่งที่สูงสุด เราได้ทำสิ่งสูงสุดมีเกียรติที่สุดของมนุษย์ จนถึงกับว่ายกมือไหว้ตัวเองได้ พูดอย่างนี้ก็ ใครฟังดูคล้ายกับพูดเล่นแต่ไม่ใช่พูดเล่น เมื่อเรายกมือไหว้ตัวเองได้เพราะความดีหรือหน้าที่ที่เรากระทำ เมื่อนั้นเรียกว่าสวรรค์ เมื่อไรยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้นเรียกว่าสวรรค์ เมื่อไรเราเกลียดชังตัวเอง รังเกียจตัวเอง เมื่อนั้นเราเป็นนรก ตกนรก ไอ้คำว่า ความเคารพตัวเอง ความเคารพตัวเองเป็นคำสากลหรือศีลธรรมสากล ความเคารพตัวเองนั่นแหละมีความหมายมากแม้ในทางพระพุทธศาสนาเราก็ให้ความหมายมาก เมื่อไรเราเคารพตัวเองได้ เมื่อนั้นเราชื่นอกชื่นใจเป็นสวรรค์ สมัยก่อนนั้นฝรั่งเขามาพูดมากเรื่องเคารพตัวเอง self respect ฝรั่งเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยพูดกันแล้ว ฝรั่งสมัยโน้นกับฝรั่งสมัยนี้พูดต่างกันแล้ว บังคับตัวเอง เคารพตัวเอง เชื่อตัวเอง ฝรั่งสมัยก่อนแรกๆมา เขาพูดอย่างนี้มา เราเคารพเขา แต่ฝรั่งเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยพูดเรื่องนี้แล้ว เขาพูดเรื่องได้ เรื่องค่าเงิน อะไรเสียหมด ขอให้นึกถึงไอ้คำพูดมันเป็นศีลธรรมสากลแต่กาลก่อน ถึงมันจะตรงๆกันทุก ชาติ ศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เคารพตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้คือสวรรค์ พอเกลียดชังตัวเองเมื่อใดเป็นนรกเมื่อนั้น ขอให้เราทำชนิดที่พอใจตัวเองยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่เสมอ พอค่ำลงจะนอน ถ้าปฏิบัติตามสิ่งที่เป็นธรรมเนียมประเพณีที่ดีแล้วก็ไหว้ พระพุทธเจ้าทีหนึ่ง ไหว้พระธรรมทีหนึ่ง ไหว้พระสงฆ์ทีหนึ่ง ไหว้คุณบิดามารดาทีหนึ่ง ไหว้คุณครูบาอาจารย์ทีหนึ่ง ๕ ครั้งแล้ว อาตมาขอเติมอีกสักครั้งว่า ไหว้ตัวเอง เคารพตัวเองที่ว่าวันนี้ได้ทำอะไรดีจนยกมือไหว้ตัวเองได้นี่คือสวรรค์ ฉะนั้นในวันหนึ่งวันหนึ่งเราจะต้องทำอะไร ชนิดที่ทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้เสมอไป พอค่ำลงจะได้ยกมือไหว้ตัวเองและเป็นสวรรค์ พอตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องนึกทีเดียว วันนี้จะทำอะไรที่จะทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้บ้างนึกทีเดียว ตื่นนอนขึ้นมา พอนึกออกก็ไปทำ ทำ ทำ จนพอใจตัวเองอีก พอค่ำลงจะได้ไหว้ตัวเองอีก ไหว้ตัวเองได้ เป็นสวรรค์ เกลียดตัวเองเป็นนรก นี่ขอให้ทำให้ได้อย่างนี้ ที่นี่ได้สวรรค์ที่นี่อย่างนี้แล้วไม่ต้องกลัว ตายแล้วต้องได้สวรรค์อย่างที่เขาพูดถึงกัน ไม่ขาดไม่หายไปไหน ถ้าตกนรกอย่างนี้ที่นี่แล้ว ตายไปก็ต้องตกนรกอย่างที่เขาว่าว่ากัน โดยไม่ต้องสงสัย อาตมาไม่ได้เลิกนรกหรือสวรรค์ ชนิดที่เขาพูดๆกัน แต่พูดอย่างนี้ไม่ได้ยกเลิกอย่างนั้น แต่ว่ามันขึ้นอยู่กับอย่างนี้ ถ้าเรามีสวรรค์ที่นี่ไม่ตกนรกที่นี่ ตายแล้วก็มีสวรรค์ แล้วก็ไม่ตกนรก สวรรค์ใต้ดิน เอ๊ย, นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เขาพูดกันอยู่ก่อนพุทธกาลโน่น ก่อนพระพุทธเจ้า ถึงสมัยพระพุทธเจ้าท่านไม่ไปยกเลิกของเขา ถ้าท่านจำเป็นต้องพูดท่านก็ว่าทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้สิก็จะได้ไปสวรรค์ ทำอย่างนี้สิจะไม่ตกนรก ท่านก็พูดเหมือนกัน แต่ที่ท่านพูดของท่านเองมีปรากฏในพระบาลีว่า นรกหรือสวรรค์มันอยู่ที่อายตนะของคนเรา คือที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของคนเรา ทำผิดเกี่ยวกับเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็เป็นนรกทันที ทำถูกเกี่ยวกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็เป็นสวรรค์ทันที ท่านเรียกว่า นรกที่อายตนะ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เป็นเรื่องเดียวกันถ้าเราทำถูกต้องทาง อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ไหว้ตัวเองได้แล้วก็ไม่เดือดร้อน เป็นสุขเหลือประมาณ เรียกว่าความเย็นเป็นนิพพาน พอทำผิดมันก็ร้อนเหมือนกับตกนรก จึงขอให้พยายามอย่างดีที่สุดที่จะไม่ตกนรก ด้วยการทำชนิดที่เกลียดชังตัวเอง ขอให้ได้เป็นสวรรค์เพราะการกระทำที่ทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ จะสอนลูกเด็กๆ อย่างนี้ก็ไม่เสียหายอะไร จะเป็นการตั้งต้นที่ดี เราสอนลูกเด็กๆของเราให้รู้ว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ให้ลูกเด็กๆเขาได้ทำหน้าที่อะไร ตามหน้าที่ของลูกเด็กๆแล้วก็บอกให้เขารู้ว่านี่คือ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ถ้าจะแปล ถ้าจะขยายความหมายออกไป ก็ว่าธรรมะคือความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนของวิวัฒนาการ คำนิยามนี้รับรองกันมาก ว่าธรรมะคือการกระทำที่ถูกต้อง แก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ สรุปความแล้วมันก็คือหน้าที่นั่นเอง เรามีหน้าที่ที่จะทำให้ถูกต้องต่อความเป็นมนุษย์ของเรา ถ้าสัตว์เดรัจฉานก็ต้องทำหน้าที่ถูกต้องแก่ความเป็นสัตว์เดรัจฉานมันก็รอดอยู่ได้ ต้นไม้ต้นไร่นี้ก็เหมือนกัน ถ้ามันทำหน้าที่ของมันถูกต้องแก่ความความเป็นต้นไม้มันก็รอดอยู่ได้ นั่นคือธรรมะ ถ้าจะพูดเป็นวิทยาศาสตร์ทางภาษา มันก็พูดได้อีกมากว่า ธรรมะ คือธรรมชาติทั่วไปทั้งหมดทั้งสิ้น ธรรมะคือกฎของธรรมชาติที่มีอยู่ในธรรมชาตินั้นๆ แล้วธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ อันสุดท้ายว่าธรรมะคือผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ ความหมายสำคัญมันก็อยู่กับความหมายที่ว่าธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เพราะธรรมชาติมันไม่ยกเว้น ถ้ามีชีวิตมันต้องมีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นเราจึงหลีกไม่ได้ ต้องทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มิฉะนั้นเราจะต้องตายหรืออยู่อย่างเจียนตาย นี่คนนี้ไม่ได้ทำหน้าที่แม้ในขั้นต้นจึงยากจนบ้าง จึงเจ็บป่วยบ้าง จึงมีปัญหาอะไรสารพัดอย่าง ไม่เป็นสุข เขาจะต้องผ่านหน้าที่อันนี้ขึ้นไปให้ได้ อยู่อย่างสบายผาสุก ตามที่มนุษย์จะอยู่ได้อย่างไร แล้วก็ทำหน้าที่ขั้น ๒ ต่อไปคือ ละกิเลส ละความทุกข์ บรรลุมรรคผลนิพพาน นั่นอีกเรื่องหนึ่ง คือรู้ รู้ รู้เรื่องธรรมชาติตามที่เป็นจริงอีกแหละ จนไม่หลง เอาอะไรมายึดถือว่าเป็นตัวตน ว่าเป็นของตนโดยถือว่ามันเป็นตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติที่เรียกว่า กฎปฏิจจสมุปบาท หรือ อิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา อาตมาขอร้องให้ทุกๆท่านสนใจศึกษาเรื่องนี้บางทีก็เรียกว่า อิทัปปัจจยตาเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี คือพูดว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุเป็นไปตามปัจจัย ถ้าใช้แก่ทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไรก็เรียกว่าอิทัปปัจจยตา ถ้าใช้เฉพาะสิ่งที่มีชีวิตที่รู้สึกสุขทุกข์ได้ก็เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทมันเรื่องเดียวกันเรื่องที่ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย พูกกว้างๆก็เรียกว่า อิทัปปัจจยตา พูดแคบเฉพาะมนุษย์ก็เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ขอให้ศึกษาเถิดถ้าจะศึกษาพุทธศาสนาถ้าจะรู้พุทธศาสนาก็ขอให้ศึกษา ปฏิจจสมุปบาท มีพระบาลีว่าผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรมะ ถ้าผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมะ ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทคือกฎของธรรมชาติที่ว่าสิ่งมีชีวิตมันจะต้องเป็นไปอย่างไร เห็นธรรมนี้ก็เรียกว่าเห็นธรรมะชนิดที่จะเห็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เห็นเนื้อเห็นตัวท่าน แม้เราจะเกิดเดี๋ยวนี้ไม่มีพระพุทธไม่มีองค์พระพุทธเจ้าแล้วแต่เราก็ยังเห็นองค์ท่านได้คือธรรมะเป็นองค์พระพุทธเจ้า เป็นองค์จริงแม้ในครั้งพระพุทธกาลโน้น องค์จริงของพระพุทธเจ้าก็อยู่ที่ธรรมะ เห็นธรรมะจึงเห็นองค์จริงของพระพุทธเจ้า ความจริงของธรรมชาตินั่นคือธรรมะ มันน่าหัวที่น่าหัวว่า คำนั้นมาสรุปรวมอยู่ในคำว่า “ตถตา” ตถตาเป็นเช่นนั้นเอง คือเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันเอง หัวใจพระพุทธศาสนาแปลว่าสิ่งทั้งปวงเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันเอง ดับเหตุมันก็ดับตัวนั้น ดับเหตุมันก็ดับผลเรียกว่า “ตถตา” แปลว่าเช่นนั้นเอง ฟังดูคล้ายพูดเล่นแต่ความจริงเป็นความจริงสูงสุดใครถึงเช่นนั้นเอง คนนั้นถึงธรรมะ ถึงตถา เป็นตถาคตไปเลย เป็นพระตถาคตองค์หนึ่งไปเลย เราต้องเห็นเช่นนั้นเอง อย่าไปหลงรักที่มันหลอก ที่มันยั่วให้รัก อย่าไปหลงโกรธที่มันยั่วให้โกรธ อย่าไปหลงกลัวที่มันยั่วให้กลัว อย่าไปหลงเกลียดที่มันยั่วให้เกลียด อย่าต้องไปอาลัยอาวรณ์วิตกกังวลให้เป็นบ้า เพราะเห็นเช่นนั้นเองคือธรรมะขั้นสูงสุด หน้าที่ที่จะต้องให้ทำให้เห็นเช่นนั้นเอง จนไม่มีอะไรทำให้เราเป็นทุกข์ได้ มีธรรมะนี้แล้วก็รอดจากความทุกข์ทั้งปวง เป็นความรอดครั้งที่ ๒ รอดครั้งที่ ๑ รอดชีวิต ครั้งที่ ๒ รอดทางวิญญาณ ทางจิต ทางสติปัญญา ขอให้เราเข้าถึงธรรมะกันในลักษณะเช่นนี้คือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต แล้วเราศึกษาหนังสือ ศึกษาวิชาชีพก็เพื่อรอดแรก รอดอันแรกคือรอดชีวิต ถึงจะเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัยที่ไหนก็ตาม มันเพียงรู้หนังสือกับรู้วิชาชีพมันก็รอดชีวิต ที่เราต้องเรียนต่อไปให้รอดจากความทุกข์ ทางจิต ทางวิญญาณ ถ้าในมหาวิทยาลัยไม่มีสอนก็ตั้งชมรมกันเองเป็นที่น่ายินดี ที่ว่ามหาวิทยาลัยหลายๆแห่งตั้งชมรมศึกษาพุทธศาสนาเอาเอง เขามาที่นี่กันเกือบทุกปี มาขอศึกษาส่วนที่ในมหาวิทยาลัยไม่ได้จัดให้ เขาต้องจัดเอาเองอย่างที่พูดแล้วว่าหลักการศึกษามันปล่อยไว้ให้เป็นส่วนบุคคลจัดหาเอาเองนั่นจะได้เต็ม การศึกษาที่ ๓ คือธรรมะที่ทำให้รู้ว่าเราจะเป็นคนเป็นมนุษย์กันอย่างไร เป็นคนมันง่ายเกิดมาแล้วก็เป็นคน แต่ถ้าเป็นมนุษย์จะลำบากสักหน่อยเพราะต้องรู้ธรรมะ จนจิตใจรอดจากความทุกข์จึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ ฉะนั้นขอให้สนใจในเรื่องธรรมะ จนกระทั่งว่าธรรมะกลับมา ธรรมะกลับมา มาเป็นคู่ชีวิตของเรา ในด้านจิต ด้านวิญญาณ คู่ชีวิตทางด้านเนื้อหนังนั้นไม่แปลก มันเป็นไปได้ง่ายที่สุด แต่คู่ชีวิตทางจิต ทางวิญญาณ ถ้าไม่รู้ธรรมะพอแล้วมันไม่มี เป็นชีวิตที่ว้าเหว่ ไม่มีที่พึ่งไม่มีหลักที่จะอาศัย ฉะนั้นขอให้สนใจ มีธรรมะ สำหรับเป็นเครื่องดำเนินชีวิตด้านจิตด้านวิญญาณแล้วก็รอดตัว อาตมาจึงขอแสดงความยินดีอีกครั้งหนึ่งในการมาที่นี่ของท่านทั้งหลาย อาตมายินดีในข้อที่ว่าเราจะได้ช่วยกันทำให้ธรรมะกลับมา มีคนสนใจธรรมะมากขึ้น ก็รู้ธรรมะ ก็ปฏิบัติธรรมะ ก็มีธรรมะใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ทีนี้ปัญหามันมีอยู่อย่างน่าหัวเราะ โปรดสังเกตให้ดี ว่ามันเรียนธรรมะกันแต่ไม่รู้ธรรมะ ต่อให้ที่กรุงเทพฯมันเรียนธรรมะกันแต่ไม่รู้ธรรมะ มีอยู่คือมันเรียนชนิดไหนกันก็ไม่ทราบ ไม่รู้ธรรมะที่แท้จริง ทีนี้รู้ธรรมะ รู้ธรรมะพูดเก่งแต่ไม่มีธรรมะ ไอ้พวกที่รู้ธรรมะแต่ไม่มีธรรมะ ระวังให้ดีมีมาก รู้ธรรมะจนพูดจ้อแต่ว่าตัวธรรมะมันไม่มี อีกพวกหนึ่งมีธรรมะแต่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ธรรมะที่ไม่เอามาใช้แก้โจทย์แก้ปัญหาให้เป็นประโยชน์ได้ นี่มันก็มีรู้ธรรมะชนิดไหนกันก็ไม่ทราบ มันรู้ไม่ตรงจุดไม่ถูกฝาถูกตัวใช้แก้ปัญหาไม่ได้ ระวังให้ดี เรียนธรรมะแล้วไม่รู้ธรรมะ รู้ธรรมะแล้วไม่มีธรรมะ มีธรรมะแล้วใช้แก้ปัญหาไม่ได้ ยังมีอยู่ในประเทศไทยเราอย่างน่าละอาย ที่เขายกย่องให้เป็นประเทศผู้นำในทางพุทธศาสนา ก็ยังมีปัญหาอย่างนี้อยู่ เรียนธรรมะไม่รู้ธรรมะ รู้ธรรมะไม่มีธรรมะ มีธรรมะแล้วใช้แก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าแก้ปัญหาได้มันก็จะไม่มีปัญหาที่ว่าทำไมอันธพาลเต็มบ้านเต็มเมือง ทำไมต้องเพิ่มตำรวจ ทำไมต้องเพิ่มศาล เพิ่มเรือนจำ เพิ่มสถานี ไอ้ที่ร้ายที่สุดก็ ทำไมจึงต้องเพิ่มโรงพยาบาลประสาท อาตมาอยากจะพูดว่าถ้ายังเป็นโรคประสาท ยังไม่ใช่พุทธบริษัท จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแท้แต่ ถ้ายังเป็นโรคประสาทอยู่ไม่ใช่พุทธบริษัท พุทธบริษัทจะมีธรรมะชนิดที่ไม่ทำให้เป็นโรคประสาท เพราะฉะนั้นจงระวังด้วยเกียรติของตัวว่า อย่าต้องสูญเสียความเป็นพุทธบริษัทเพราะเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว ละอายแมว แมวไม่เคยเป็นโรคประสาท คนเป็นโรคประสาทเต็มบ้านเต็มเมืองมากขึ้นทุกที เอาล่ะ, ขอแสดงความยินดีว่า ในการที่สนใจธรรมะกันมากอย่างนี้ เป็นที่น่าชื่นใจและขออนุโมทนาที่ว่าจัดทอดกฐิน ขอให้มุ่งหมายให้ธรรมะกลับมา ทำการทอดกฐินขอให้มีจุดมุ่งหมายตรงที่ว่าให้ธรรมะกลับมา คือธรรมะจะกลับมาโดยมีผู้บวชจริง มีผู้เรียนจริง มีผู้ปฏิบัติจริง ได้รับผลของการปฏิบัติจริงและเผยแผ่กันไปจริงๆ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็คือศาสนาหมด จำไว้ด้วย ถ้าไม่มีผู้บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนไปจริงแล้วก็คือศาสนาหมดแล้ว ศาสนาไม่มีเหลืออยู่แล้ว ถ้ามีผู้บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริงได้ผลจริง สอนจริงนั่นคือ ตัวศาสนายังอยู่ ฉะนั้นการทำบุญเช่นทอดกฐินของเราก็ขอให้เป็นอย่างนี้เถิดคือช่วยสนับสนุนให้มันอยู่ได้ ให้วัดมันอยู่ได้ เพื่อมีการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง แล้วสอนต่อๆกันไปจริง ทำอย่างนี้ได้ผล ทั้งโลกเพราะศาสนามีอยู่ในโลก คนทั้งโลกได้รับผล เขาจะรู้จักหรือไม่รู้จักเราการกระทำของเราก็ไม่เป็นไร ถ้าเรือมันไม่ล่มแล้วก็ทุกคนที่อยู่ในเรือมันปลอดภัยทั้งนั้น เขาจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็สุดแท้ เราอย่าให้โลกมันล่มจมด้วยการมีศาสนาเป็นเครื่องค้ำจุนโลกแล้วได้บุญสูงสุด อาจไปถึงเทวโลก โลกไหนก็ได้ ไอสไตน์เขาต้องการ Cosmic Religion อาตมาคิดว่านี่ คือทำอย่างนี้ให้มันทั้ง cosmos มันได้รับประโยชน์จากความมีศาสนาคือมีสันติสุข ขอแสดงความยินดีที่จะมีการทอดกฐินแต่ขอให้มุ่งหมายไปในทางธรรมะกลับมาเพื่อประโยชน์แก่โลกทั้งโลก การที่จะมีสวรรค์วิมานไปนอนอยู่คนเดียวเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวป่วยการ มันเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวส่วนบุคคลเกินไป ขอให้มีเพื่อทั้งโลกมีสันติภาพ มีความสงบสุข ไม่มีใครรับผิดชอบในโลก เดี๋ยวนี้ไม่มีใครทำตนเป็นผู้รับผิดชอบเหตุการณ์ในโลก แต่แล้วธรรมชาติมันไม่ยอม ทุกคนที่อยู่ในโลกก็ต้องรับผิดชอบ จะไปโทษใครมันก็ต้องจัดการให้โลกนี้มันอยู่ในสภาพที่ถูกต้องและมีความสงบสุข อาตมาฟังดูแล้วรู้สึกชอบกลไม่ใช่นินทา ไม่ใช่ว่าร้ายนินทาว่าองค์การสหประชาชาตินั้นดูจะเป็นเพียงนักห้ามมวยเท่านั้นแหละ เป็นผู้ห้ามมวยบนเวทีไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่ทำโลกให้มีสันติภาพได้ ถ้าเมื่อใดองค์การสหประชาชาติเขาจับเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องสำคัญคือดึงเอาศาสนากลับมาสู่หมู่มนุษย์อีก เมื่อนั้นก็จะทำโลกให้มีสันติภาพได้ ไม่ต้องเป็นท้าวมาลีวราช จับปูใส่กระด้ง เดี๋ยวนี้มันไม่มีผลหรอก นี่เราทุกคนเราทุกคนจงกล้าพูดว่าเราเป็นผู้รับผิดชอบโลกนี้ตามสัดส่วนของเรา เราจะไม่ปล่อยให้มันไปตามบุญตามกรรม เราจะทำหน้าที่ในฐานะเป็นพลโลกคนหนึ่งได้ดีที่สุดให้โลกนี้มันมีธรรมะคือความถูกต้องของมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา
อาตมาขอแสดงความยินดีอีกครั้งหนึ่งที่ท่านมากันในลักษณะอย่างนี้ แล้วต้อนรับท่านด้วยที่นั่งอย่างนี้ ถ้าโกรธก็ขออภัย แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิสูงสุดเลย เป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ไปอ่านดูพุทธประวัติเอาเอง ท่านตรัสรู้ก็ตรัสรู้มานั่งอยู่กลางดินใต้โคนต้นไม้ ไม่ได้ตรัสรู้ในมหาวิทยาลัย บนตึกมหาวิทยาลัยหรืออาศรมไหนๆหมด คนเดียว กลางดิน โคนต้นไม้ ดูเหมือนจะศาสดาทุกศาสนาเป็นอย่างนี้ ไม่มีเคยมีศาสดาองค์ไหนตรัสรู้กันในมหาวิทยาลัย ขอให้ให้เกียรติแก่แผ่นดินว่าเป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้าเป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นที่สอน สั่งสอนหรืออยู่ กุฏิพระพุทธเจ้าพื้นดินหรือโรงธรรมพื้นดินไปดูได้ที่อินเดียในที่สุดท่านก็นิพพานกลางดินที่โคนต้นไม้เหมือนกัน สวนโมกข์จึงใช้แผ่นดินเป็นที่ต้อนรับอาคันตุกะโดยถือว่าเป็นเสนาสนะสูงสุดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ขอให้ลูบคลำแผ่นดินแล้วก็จำไปติดไปในจิตใจว่า มาที่สวนโมกข์นี้ได้นั่งที่นั่งสูงสุดคือที่นั่ง ที่นอน ที่นิพพานของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ เป็นเครื่องช่วยให้เราเดินตามพระพุทธเจ้าได้โดยง่าย ดำรงชีวิตไป เนื้อหนังร่างกายต่ำที่สุด จะดำเนินชีวิตฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณให้สูงที่สุด จนเหนือโลก เหนืออิทธิพลในโลก โลกนี้ไม่มีอิทธิพลเหนือเรา ขอแสดงความยินดีอีกครั้งหนึ่งและขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะสามารถไม่ตกนรกที่นี่แล้วก็ได้สวรรค์ที่นี่ด้วยการกระทำที่ยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีความเจริญงอกงามในทางธรรมของพระพุทธศาสนาอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย