แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ข้อแรกที่สุดขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะผู้เป็นครู ที่ว่ายินดี ยินดีที่ว่า มีการงานร่วมกัน แขกก็เป็นครูเจ้าของบ้านก็เป็นครู คือทำหน้าที่ครู พระศาสดาของทุกศาสนาก็เป็นพระบรมครูเป็นยอดครู ลูกศิษย์สาวกก็ทำหน้าที่ครูด้วยกันทุกศาสนามาแต่เดิม นี่เรียกว่าเรามีหน้าที่การงานร่วมกัน เมื่อได้พบกันก็ย่อมมีความยินดี จึงขอแสดงความยินดีในการที่ได้พบกัน เพราะมันคงจะเป็นประโยชน์ในการที่ได้ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อจะทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
นี่ข้อถัดมาก็อยากจะปรารภเรื่องว่าเรานั่งกันกลางดิน เดี๋ยวนี้นั่งกันอยู่กลางดิน วัดนี้ต้อนรับอาคันตุกะด้วยการนั่งกลางดิน เขาถือว่านั่งกลางดินนั้น เป็นที่นั่งที่นอนที่มีเกียรติที่สุด เพราะว่าพระศาสดาของเราทุกศาสนานี่ก็ใช้กลางดินทั้งนั้นเป็นOfficeน้อยครั้งที่จะใช้โบสถ์ ก็เป็นอยู่กลางดินเป็นปกติ คำสอนสำคัญๆของแต่ละศาสนาล้วนแต่พูดกันกลางดินคุณก็รู้กันอยู่แล้ว โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าแห่งพระพุทธศาสนานี่ท่านประสูติกลางดินเป็นลูกกษัตริย์ หรืออะไรก็ตามใจแต่เมื่อประสูติท่านประสูติกลางดินใต้โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง เมื่อตรัสรู้ท่านก็ตรัสรู้นั่งกลางดินการตรัสรู้ เมื่อท่านจะสอนส่วนมากที่สุดเรียกว่าสอนเมื่อนั่งกันกลางดินไม่มีอาคารราคาร้านเหมือนอย่างนี้ซึ่งเป็นเรื่องบ้าเกินไปจึงสอนไม่เหมือนกัน ท่านเป็นอยู่ก็เป็นอยู่กลางดินพระพุทธเจ้านี่อยู่กุฏิพื้นดิน ในที่สุดท่านนิพพานที่เรียกว่าตายนั่นแหละก็ตายกลางดินด้วย ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตของท่านมันเป็นชีวิตกลางดิน ถึงศาสดาของศาสนาอื่นก็ดูเถอะมันมีหลักส่วนใหญ่อยู่กลางดินกันเกือบทั้งนั้น นั้นเราจึงถือว่าแผ่นดินนี่ศักดิ์สิทธิ์เหมาะสมที่จะใช้นั่งนอนและพูดจาสิ่งที่สูงสุดเหมาะสมที่สุด และก็เป็นหลักธรรมะอยู่ในตัวเองอยู่ในตัวมันเอง คือเราไม่เห็นแก่ตัวเราไม่มักใหญ่ใฝ่สูงเรื่องกินเรื่องอยู่ แล้วก็มีชีวิตต่ำ มีชีวิตเป็นอยู่ที่ต่ำๆ ต่ำที่สุด ก็ยิ่งดีแล้วการกระทำมันก็จะสูง นี่เป็นหลักทั่วไปว่าเป็นอยู่อย่างต่ำแล้วก็จะมีโอกาสกระทำอย่างสูง ถ้ามันอยู่อย่างสูงอย่างทะเยอทะยานมันเป็นบ้าซะแล้ว มันไม่ทำสูงได้มันมีแต่ลงต่ำ เราจึงใช้พื้นดินนี่เป็นที่นั่งประชุม เป็นที่อบรมสั่งสอน มันง่ายกว่าที่จะไปนั่งกันบนสถานที่ก่อสร้างอาคารแพงๆบนเก้าอี้บนอะไรก็แล้วแต่ เราเห็นเป็นเรื่องไม่เข้ารูปไม่เหมาะสม แผ่นดินเป็นพื้นฐานของชีวิตทั้งหมด เช่นเดียวกับธรรมะหรือพระธรรมมันเป็นพื้นฐานแห่งจิตใจของจิตใจทุกชนิด นั้นเรามานั่งพื้นดินกันดีกว่า จึงได้ต้อนรับอาคันตุกะทั้งหลายด้วยการนั่งกลางดิน มันก็จะง่ายแก่การจะพูดกันเรื่องความเป็นครู
เรื่องที่จะพูดมันก็จะพูดเรื่องเกี่ยวกับความเป็นครู เจตนารมณ์หรืออุดมคติของความเป็นครูนี่เป็นเรื่องที่จะต้องพูดกันอยู่เสมอ เพื่อจะได้ดำรงตนอยู่ในขอบเขตอันถูกต้อง ตามความรู้สึกของอาตมาซึ่งใครๆก็จะพอมองเห็นได้ว่าความเป็นครูนั้นมันมีความสำคัญในการที่ช่วยกันสร้างโลก เพราะว่าโลกมันจะดีมันจะเลวก็แล้วแต่คนที่มันอยู่ในโลก คนที่มันอยู่ในโลกมันจะดีมันจะเลวมันก็แล้วแต่การศึกษาที่ครูเขามอบให้ ถ้าการศึกษาถูกต้องและครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยแล้วมันก็หมดปัญหา เดี๋ยวนี้การศึกษามันไม่ครบถ้วนมันไม่ถูกต้อง คนมันจึงเป็นมนุษย์ ที่ไม่ถูกต้องอยู่มาก การศึกษาในโลกทั้งโลกก็ว่าได้ที่รัฐบาลจัดน่ะ มันให้เรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพ เรียนแต่อักษรศาสตร์กับเทคโนโลยี เรียกว่าเรียนกันแต่หนังสือเพื่อทำให้ฉลาด แล้วก็ให้เรียนวิชาชีพดีที่สุดสูงที่สุดมากที่สุด ก็แล้วแต่ใครจะทำได้เท่าไร เป็นอันว่าเรียนกันเพียงสองอย่างคือเรียนหนังสือให้ฉลาดกับเรียนวิชาชีพเพื่อให้สามารถทำมาหากินหรือช่วยเศรษฐกิจของชาติ อย่างที่สามไม่ได้เรียนคือธรรมะ อย่างที่สามคือธรรมะไม่ได้เรียน คือไม่ได้เรียนในข้อที่ว่าเราจะเป็นมนุษย์กันได้อย่างไร หรือว่าจะใช้การศึกษาและวิชาชีพให้ถูกต้องกันอย่างไรไม่ได้เรียน มันยังขาดส่วนที่สามที่สำคัญที่สุด เราก็พูดล้อ ตะโกนอยู่เสมอว่าการศึกษาชนิดนี้เป็นการศึกษาเหมือนกับสุนัขหางด้วน มันไม่น่าดูการศึกษาที่ไม่มีธรรมะ แล้วก็เหมือนกับรพระเจดีย์ก็ได้ยอดด้วน แล้วอะไรที่มันมียอดแล้วยอดมันด้วนก็ไม่น่าดู ถ้ามันด้วนแล้วมันก็ไม่น่าดู ทีนี้การศึกษาในโลกนี่มันเหมือนกับ หางด้วนเพราะไม่มีสิ่งสุดท้ายที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ เดี๋ยวนี้เป็นกันแต่คนละโมบ โลภเล่า ด้วยกิเลสไม่เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสูงประกอบไปด้วยธรรมะ ภาษาไทยอธิบายได้ง่ายๆอย่างนี้ว่าคนเกิดมามันก็เป็นคน มีจิตใจตามสัญชาตญาณของสัตว์ต้องมาอบรม อบรม ปฏิบัติให้ดีถึงจะเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจสูงอยู่เหนือปัญหาเหนือกิเลสเหนือความทุกข์ การศึกษาหมาหางด้วนนั้นทำให้เป็นได้แต่เพียงคนไม่ให้เป็นมนุษย์ ทีนี้เราก็ต้องหาเอาเพิ่มเติม ตกมาเป็นภาระหน้าที่ของฝ่ายศาสนาที่ต้องคอยอำนวยในเรื่องนี้ นี้ผู้ใดรู้สึกว่ามันยังขาดอยู่ก็วิ่งไปหาศาสนาเอาเองเป็นเรื่องส่วนตัวไปรัฐบาลไม่จัดให้ อย่างนี้เป็นกันทั้งโลก ทางตะวันตกหรือพวกฝรั่งเขานำกันอย่างนี้ก่อน ประเทศไทยเล็กๆน้อยๆก็วิ่งต้อยตามก้นจัดการศึกษาแบบนั้นมันเลยเหมือนกันทั้งโลก ไม่มีการศึกษาที่สมบูรณ์ เรามามองเห็นความข้อนี้กันแล้วเราก็จะพอใจว่าเราจะเป็นผู้แก้ปัญหาเหล่านั้น คือเราจะช่วยทำให้การศึกษาสมบูรณ์ เรายังเปิดการศึกษาด้านศาสนาขึ้นประกอบพร้อมกันไปกับสามัญศึกษาให้การศึกษามันสมบูรณ์ นี่เรียกว่าสิ่งที่จำเป็นที่สุดที่มนุษย์จะต้องรับรู้และจะต้องทำ เจ้าหน้าที่ส่วนนี้ก็คือพวกครูนั่นเอง ก็แปลว่าพวกครู จะได้ช่วยกันทำให้การศึกษาสมบูรณ์ ถ้ามันสอนกันแต่หนังสือกับวิชาชีพมันไม่ใช่ครู ตามความหมายของครู ยังไม่ถูก มันเป็นเพียงคนรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆหนึ่ง เดี่ยวนี้เรามีแต่คนรับจ้างสอนหนังสือตามหลักสูตรหากินไปวันๆหนึ่ง แม้จะเรียกว่าครูก็ไม่ถูกตามอุดมคติของครู คำว่า “ครู” เป็นภาษาอินเดียนะคำว่าครู ว่าควรจะพึ่งพาตำรับตำราปทานุกรมภาษาอินเดียกันดูบ้าง ปทานุกรมธรรมดาๆ ในภาษาอินเดียคำว่าครูนี้แปลว่า “Spiritual guide” เป็นผู้นำในทางวิญญาณ ต้องทำหน้าที่ในการนำวิญญาณของมนุษย์ให้เดินถูกทางถึงจะเรียก ว่า “ครู” ไม่ใช่ผู้รับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ ก็มีเหมือนกันแหละครูที่สอนวิชาชีพในสมัยโบราณก็มีเหมือนกัน แต่คำว่าครูตามอุดมคตินั้นเขาหมายถึง “ผู้ที่นำให้วิญญาณเดินถูกทาง ” เมื่อเร็วๆนี้มีผู้ค้นทางสรรพศาสตร์หรืออักษรศาสตร์ เลยไปอีกขั้นหนึ่งว่า คำว่าครู ครูนี่แปลว่า “ผู้เปิดประตู” root หรือรากศัพท์ของครู นั้นคือเปิด เปิดประตู เปิดประตูให้สัตว์ออกจากคอก สัตว์ที่ถูกกักขังอยู่ในคอก มันได้รับการเปิดประตูให้ออกมา อาการเปิดประตูนั้นแหละคือรากศัพท์ของคำว่าครู สัตว์มันอยู่ในคอกทนทุกข์ทรมาน มืดเหม็นสกปรกทุกอย่างที่มันทนทรมาน ครูช่วยเปิดประตูให้สัตว์เหล่านั้นออกมาจากคอก เขาเลยคือกันเป็นรากศัพท์อันใหม่ว่า “ครุ” แปลว่าผู้เปิดประตูและก็เปิดประตูทางวิญญาณ สมกับเหตุการณ์ที่เป็นมาตั้งแต่ดึกดำบรรพโน้นจนกระทั่งถึง ทุกวันนี้เพราะมนุษย์เดินไม่ถูกทางทนทุกข์ทรมานอยู่ พอเกิดบุคคลประเภทครูขึ้นมา มันก็สอนให้รู้จักออกมาซะจากกองทุกข์เหมือนกับเปิดประตู นี่คำว่าครูนี่ก็เป็นบุคคลพิเศษ เป็นบุคคลพิเศษ จะเรียกว่าเขาอุตริหรือเขาแหวกแนวอะไรก็ตาม เขาไม่พอใจที่จะเป็นอยู่อย่างที่เป็นๆกันอยู่ เขามองเห็นความผิดพลาดของมนุษย์ที่อยู่กันด้วยความทนทุกข์ทรมาน เขาจึงไปศึกษาค้นคว้าจะในป่าในดงหรือที่ไหนก็ตามจนพบวิธีที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้น และถ่ายทอดกันมาเรื่อยๆ ถ่ายทอดกันมาเรื่อยๆ ไม่รู้กี่สิบชั่วกี่สิบร้อยชั่ว มันก็ดีขึ้น ดีขึ้น จนกระทั่งสามารถเปิดประตูทางวิญญาณได้ถึงที่สุด คือบุคคลชั้นระดับบรมครูได้แก่พระศาสดาทั้งหลายก็แปลว่าโลกเรามีผู้เปิดประตูในทางวิญญาณถึงที่สุด คือพระศาสดาทั้งหลาย แล้วสาวกก็เป็นผู้ทำตามทำงานอย่างเดียวกันคือเปิดประตู อย่างเดียวกันให้แพร่หลายออกไป บางคนอาจจะสงสัยว่ามันมีหลายศาสดาหลายศาสนาอันไหนผิดอันไหนถูก ข้อนี้ไม่ต้องถามอันไหนผิดอันไหนถูก ควรจะถามว่าอันไหนมันดับทุกข์ได้ถ้ามันดับทุกข์ได้ก็ใช้ได้ทั้งนั้นเลย แล้วก็ถามว่าอันไหน ศาสนาไหนมันเหมาะแก่ยุคไหนถิ่นไหนวัฒนธรรมไหน บางยุคบางสมัยในโลกนี้มันก็ไม่เหมือนกัน บางถิ่นบางประเทศมันก็ไม่เหมือนกัน ระบบการเป็นอยู่วัฒนธรรมของคนก็ไม่เหมือนกัน นั้นศาสนาหนึ่งๆย่อมเหมาะกับยุคหนึ่งถิ่นหนึ่งหรือวัฒนธรรมหนึ่งๆ มันจึงควรจะถามว่าระบบไหนเหมาะแก่พวกไหนมากกว่า ไม่ควรจะไปตั้งปัญหาว่าศาสนาไหนผิดศาสนาไหนถูกมันจะโง่เอง มันจะเล็งดูว่าอันไหนมันเหมาะ แก่ที่ไหนยุดไหน นานกันเป็นร้อยปี ร้อยๆปีพันๆปี อย่างศาสนาฮินดูในอินเดียมันตั้งหลายพันปีกว่าจะเกิด พุทธศาสนา ราวๆห้าร้อยปีจึงจะเกิดคริสต์ศาสนา เวลาห้าร้อยปีมันจึงเกิดศาสนาอิสลามเป็นต้นมันห่างกันขนาดนั้น เหตุปัจจัยทางธรรมชาติมันบังคับให้มีคำสอนระบบที่เหมาะสมแก่กาละแก่เทศะแก่บุคคลขึ้นมา นั้นเราจึงถือว่าถ้ามันดับทุกข์ได้ถูกทั้งนั้นดีทั้งนั้น ไม่ควรจะมีปัญหาเกี่ยวกับศาสนาที่ว่ามี Authority นี่มันเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งนั้น ต่างกันทำให้เกิดทะเลาะวิวาททุ่มเถียงกัน ถ้าถือว่าเป็นของธรรมชาติแท้ๆแล้วมันก็ไม่ต้องทะเลาะกัน ดับทุกข์ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้วมันก็ใช้ได้ แล้วก็ปรับปรุงให้เหมาะแก่สถานที่แก่เวลาแก่ยุคแก่อะไรต่างๆ นี่มันเป็นหน้าที่ของครู คำว่าครูมีอุดมคติอย่างนี้ มันจึงเป็นบุคคลอีกประเภทหนึ่งซึ่งไม่ใช่ธรรมดา จัดไว้เป็น “ปูชนียะบุคคล” คำนี้แปลว่าผู้ที่ทุกคนควรจะบูชา ควรจะบูชาเพราะเหตุใดเพราะว่าทำหน้าที่สูงสุดของมนุษย์คือปลดเปลื้องความทุกข์ทั้งหลายเสียได้ นี่ก็ควรบูชาและเขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ไอ้ครูยุคนั้นสมัยนั้นแท้ๆไม่มีเงินเดือนไม่มีอะไรหรอก เงินเดือนก็คือการบูชาของประชาชนนั่นเอง เขาก็ช่วยกันเลี้ยงดูให้อาหารให้รับประทานพออยู่ได้เท่านั้นแหละ ไม่ใช่มีเรื่องฟุ่มเฟือยเหมือนครูสมัยนี้ สอนโรงเรียนคดโกงเวลารีบปิดห้องเรียนไปอาบอบนวดนี้มันไม่มีความเป็นครูเหลือออยู่แล้ว มันไม่สนุกในการทำหน้าที่ของครู ไม่มีความสุข ก็เรียกว่าเรากำลังไม่มีครูชนิดที่เป็นปูชนียะบุคคล เรามีแต่ครูที่รับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่ง วันหนึ่ง แล้วเอาค่าจ้างนั้นไปหล่อเลี้ยงกิเลสจนไม่พอใช้ จนเงินเดือนไม่พอใช้เพราะไม่ได้เอาไปทำอะไรที่ควรทำเอาไปซื้อหาเหยื่อของกิเลสคือความเพลิดเพลินซึ่งรวมเรียกกันง่ายๆว่ากามารมณ์ทั้งหลายจนเงินเดือนไม่พอใช้ จนครูต้องคอรัปชั่นเหมือนกับพวกอื่น ถ้ามองกันอย่างนี้แล้วครูก็ไม่ผิดอะไรกับกรรมกรทั้งหลายแหละคือทำงานแลกแรงงานเอาเงินมาซื้อหาเหยื่อของกิเลสกันทั้งนั้น ไม่มีความเป็นปูชนียะบุคคล เหมือนความหมายเดิมเจตนารมณ์เดิม ครูมีหน้าที่ยกสถานะทางวิญญาณของคนในโลกให้สูงขึ้นที่เรียกว่าผู้นำทางวิญญาณ และเปิดประตูคือชี้หนทางให้เขาออกมาเสียจากปัญหาหรือจากสภาวะอันไม่พึงปารถนาทุกอย่างทุกประการ คุณลองคิดดูว่ามันต่างกันอย่างไร ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่ง วันหนึ่ง กับผู้ที่สนุกสนานในการยกสถานะทางวิญญาณของสัตว์ในโลกให้สูงขึ้นจนหมดปัญหา เทียบดูแล้วจะเห็นว่ามันจะต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับดินนะ ฟ้ากับดินใครๆก็ว่าต่างกันมากที่สุด ตรงกันข้ามอยู่แล้วนี่มันจะยิ่งกว่านั้น นั้นขอให้พวกที่เป็นครูจงรู้จักเจตนารมณ์อุดมคติของครู แล้วพอใจในความเป็นครูและเป็นครูที่ดีคือทำหน้าที่ยกสถานะทางวิญญาณอยู่ตลอดเวลา แม้จะสอนหนังสือสอนอาชีพมันก็เป็นเรื่องเบื้องต้น เพื่อจะไปทำไอ้ส่วนที่มันสูงกว่านั้น เพียงให้รู้หนังสือนี่มันเป็นการยกสถานะทางวิญญาณน้อย น้อยอยู่ ให้รู้จักอาชีพมันก็เป็นการยกสถานะทางวิญญาณน้อยอยู่ ถ้าสอนให้รู้จักทำจิตใจไม่ให้เป็นทุกข์เลยนั่นแหละอยู่เหนือความทุกข์ โดยประการทั้งปวงนั่นแหละคือเรียกว่ายกสถานะทางวิญญาณแท้จริงหรือทำให้ออกมาเสียจากคอกแห่งความทุกข์ทรมาน นี่ขอให้เราทั้งหลายเรียนส่วนนี้กันให้เพียงพอและจะได้สอนพร้อมๆกันไปกับวิชาสามัญ ไอ้วิชาสามัญคือเรียนหนังสือให้ฉลาดหรือเรียนวิชาชีพนั้นแหละมันอันตราย เพราะคนมันโง่พอมันฉลาดมันก็ใช้ความฉลาดในการเห็นแก่ตัวเอาเปรียบคนอื่น พอมันมีอาชีพมันมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจมันก็บีบคั้นคนอื่นสูบรีดคนอื่นเอามาเป็นของตัว นั่นแหละวิชาหนังสือกับวิชาชีพนั้นมันเป็นอันตราย ถ้าไม่มีวิชาธรรมะเข้าไปควบคุม ถ้ามีวิชาธรรมะหรือพระศาสนาเข้าไปควบคุมคนเขาก็ใช้ความฉลาดในทางที่ถูกต้องคือไม่เป็นอันตรายแก่ใคร แล้วเมื่อเขามั่งมีเขาก็จะช่วยผู้อื่นเขาจะไม่เห็นแก่ตัว หรือว่าเขาจะมั่งมีขึ้นมาโดยวิธีสุจริตไม่ขูดรีด ความมั่งมีของเขาก็ไม่เบียดเบียนใคร ความรู้ทางอาชีพหรือเศรษฐกิจของเขาก็ไม่เบียดเบียนใคร มีแต่จะพลอยรับประโยชน์พร้อมๆกันไปทั้งสองฝ่าย ครั้นเขาร่ำรวยแล้วเขาก็ช่วยผู้อื่น นี่เป็นความหมายของคำว่าผู้ร่ำรวยแท้จริง ในทุกวันนี้เราต้องรู้จักแบ่งแยก กันให้เด็ดขาดว่า พวกนายทุนทั้งหลายนั้นไม่ใช่เศรษฐี พวกเศรษฐีตามความหมายถูกต้องก็ไม่ใช่นายทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งพุทธกาลเขามีแต่เศรษฐี ถ้าจะมีไม่มีนายทุน มันต่างกันตรงที่ว่าเศรษฐีนั้นเขาเลี้ยงคนเลี้ยงกรรมกรลูกจ้างอย่างลูกอย่างหลานช่วยกันทำงานมีทรัพย์สมบัติแล้วกินใช้แล้วเหลือใช้แล้วเขาก็ตั้งโรงทานเพื่อสงเคราะห์สังคม นั้นคำว่าเศรษฐีมันก็คู่กันกับคำว่าโรงทาน แต่ถ้าพวกนายทุนเขาไม่ทำอย่างนั้น เขาเอาเปรียบทางแรงงานเพื่อให้เขาได้กำไรมากขึ้น เขายิ่งรวยเขาก็ยิ่งใช้เป็นกำลังบีบคั้นรวบรัดควบคุมเอาประโยชน์ทั้งหลายมาเป็นของตนมากขึ้น รวยเท่าไรเท่าไรก็ไม่เคยตั้งโรงทาน ถ้าว่าสรุปความแล้ว “ นายทุนก็เป็นพวกเอา เศรษฐีก็เป็นพวกให้ ” มันเกิดเป็นเศรษฐีให้กับเศรษฐีเอาขึ้นมา ถ้าเป็นเศรษฐีให้ก็พวกนายทุนทั้งหลาย พวกเศรษฐีเอาแหละคือนายทุนทั้งหลาย พวกเศรษฐีให้คือ เศรษฐีที่ถูกต้องตามอุดมคติมาแต่เดิม เดี๋ยวนี้การศึกษาหมาหางด้วนสอนแต่ให้ฉลาดกับรู้วิชาชีพมันก็เกิดแต่เศรษฐีเอา เศรษฐีขูดรีด เศรษฐีดูดทรัพย์เหมือนกระดาษซับเลย เพราะการศึกษาหมาหางด้วนในโลก ถ้าการศึกษามันสมบูรณ์สอนธรรมะด้วยมันก็เกิดเศรษฐีที่แท้จริงคือเศรษฐีให้ คำว่าเศรษฐีนี่เป็นภาษาบาลีภาษาสันสกฤตแปลว่า “ประเสริฐที่สุด” คำว่าเศรษฐี แปลว่าผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่ประชาชน ประเสริฐเพราะว่าเขาเลี้ยงคนอย่างลูกหลานเลี้ยงลูกจ้างกรรมกรอย่างลูกหลานเหมือนกับว่าเป็นเจ้าของร่วมกันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายร่วมกัน มีความรักกันและช่วยกันทำงานก็ได้ผลงานมากแล้วก็สนุกแล้วก็เหลือกินเหลือใช้ จากนั้นก็เปิดโรงทานสะสมทรัพย์ไว้เพื่อหล่อเลี้ยงโรงทานตลอดกาลอนาคต ทำไมจะไม่ประเสริฐละคิดดูใครมันประเสริฐกว่านี้ ถ้าเทียบกับคนมั่งมียุคนี้ที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่กิเลสของตัว ร่ำรวยเพื่อกิเลสของตัวมันก็ต่างกันยิ่งกว่าฟ้าและดิน ดังที่กล่าวแล้ว มันน่าหัวตรงที่ว่ามันไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบความแตกต่างอันนี้ จึงใช้คำพูดที่ว่าต่างกันยิ่งกว่าฟ้าและดิน นี่การศึกษาที่สมบูรณ์ต้องมี เรียนหนังสือเพื่อฉลาดต้องมีเรียนอาชีพเพื่อดำรงชีวิตอยู่ได้สะดวกสบายและต้องเรียนธรรมะเรียนศาสนาเพื่อให้มีความเป็นมนุษย์สูงสุดที่มนุษย์จะเป็นได้ ในภาษาพุทธศาสนาเรียกว่าเป็นอริยะบุคคล สูงสุดที่มนุษย์จะเป็นได้ ศาสนาอื่นเขาก็มีคำเรียกอย่างอื่นแต่ความหมายมันอย่างเดียวกันคือจุดสูงสุดที่มนุษย์มันจะเป็นไปได้ นี่คือศาสนา การศึกษาที่สามคือธรรมะเป็นอย่างนี้ ใช้คำรวมกันทางโลกทุกศาสนาก็ว่าให้มันถึงจุดสุดท้ายปลายทางของความเป็นมนุษย์ เดี๋ยวนี้มันปราศจากความรู้ข้อนี้ มันก็มีแต่ความเห็นแก่ตัว ยิ่งรู้มากยิ่งเห็นแก่ตัวมาก ยิ่งใช้ความฉลาดหรืออิทธิพลนั้นกอบโกย อย่างนี้ไม่เป็นมนุษย์เป็นได้แต่เพียงคน ถ้ายังเห็นแก่ตัวอยู่ไม่เห็นว่าคนอื่นเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายแล้วมันก็ยังเป็นเพียงแต่คนไม่ใช่เป็นมนุษย์ เดี๋ยวนี้มนุษย์เป็นมนุษย์กันน้อยอย่างมากเป็นแต่เพียงคน มนุษย์เป็นมนุษย์น้อยกว่าที่แมวมันเป็นแมว ความเป็นมนุษย์ของมนุษย์น้อยกว่าความที่แมวมันเป็นแมว แมวมันเป็นแมวร้อยเปอร์เซ็นต์แต่มนุษย์เป็นมนุษย์ไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์มันจะต่ำมากแหละ เพราะมันเป็นกันแต่เพียงคนที่เห็นแก่ตัว เราอยู่ในสถานะที่ต้องละอายแมวเพราะว่าการศึกษาไม่สมบูรณ์ นี่เป็นหน้าที่ที่ว่าครูจะช่วยแก้ปัญหาอันนี้ จะช่วยเพิ่มสิ่งที่มันยังบกพร่องอยู่ในโลกคือ ความที่โลกมันมีแต่คนไม่ค่อยมีมนุษย์สิ่งที่จะแก้ได้นั้นคือธรรมะ ธรรมะนั้นก็รู้กันอยู่แล้วว่ามันเป็นหลักในพระศาสนานั่นเอง เพราะเราพูดได้ว่าทุกศาสนาสอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ถ้าศาสนาไหนไม่ได้สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวแล้วเอาไปทิ้งทะเลได้ ปัดโยนไปได้ไม่ใช่ศาสนาหรอก ถ้าไม่สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวนะ ไปคุ้ยเขี่ยดูเถอะทุกศาสนาที่มันจะได้ชื่อว่าศาสนาแล้วมันต้องประกาศสงครามกับความเห็นแก่ตัวคือกิเลส กิเลสเป็นเหตุแห่งความเห็นแก่ตัว ประกาศกิเลสนี้เป็นข้าศึกแล้วก็ทำลายข้าศึกจึงเรียกว่าเป็นศาสนาแล้วก็เป็นที่พึ่งของมนุษย์ นั้นเราทุกคนจงมีธรรมะมีศาสนาอยู่ได้ความไม่เห็นแก่ตัว แต่ละคนๆอยู่ได้ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว นั้นโลกนี้ก็จะเป็นโลกที่ดีที่สุด จะเรียกว่าโลกของพระศาสดาอะไรก็สุดแท้ ในศาสนาพุทธนี้เขาเรียกกันว่าโลกของพระศรีอาริยะเมตรัย เรียกสั้นๆว่าโลกพระศรีอาริย์ พระศรีอาริยะเมตรัย เมื่อมนุษย์มีความเป็นมนุษย์ถึงที่สุดมันไม่เห็นแก่ตัว เป็นผลของศาสนาทุกศาสนาเลยที่สอนความไม่เห็นแก่ตัว เมื่อทุกคนปฏิบัติศาสนาแล้วก็มีความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวจะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวก่อนเถอะ ไอ้เรื่องให้รักผู้อื่นนั้นจะไม่ต้องสอนนักก็ได้เพราะถ้ามันไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันรักผู้อื่นเอง ที่ไม่รักผู้อื่นนี่สัตว์ก็ดีคนก็ดีที่ไม่รักผู้อื่นเพราะมันเห็นแก่ตัว พอมันหมดความเห็นแก่ตัวธรรมชาติมันก็บังคับให้รักผู้อื่นหรือมันผลักไสไปทางบังคับผู้อื่นเองโดยอัตโนมัติ นั้นศาสนาจึงมุ่งหมายทำลายความเห็นแก่ตัว เกี่ยวกับคริสต์เตียน อาตมาก็มีเพื่อนฝูงที่เป็นคริสต์เตียนบอกเขาว่าวางกางเขนที่คุณแขวนอยู่ที่คอนั้นแหละคือหัวใจพุทธศาสนา ไอ้เส้นตั้งเส้นใหญ่นั้นคือตัว I แปลว่าตัวข้าพเจ้าหรือตัวกู เส้นขวางคือตัดมันเสีย ตัดตัวกูตัดตัว I เสีย นี่คือหัวใจของพุทธศาสนาทำลายอัตตาหรือความเห็นแก่ตัว คุณเอาหัวใจของพุทธศาสนาไปแขวนไว้ ที่คอแล้วประกาศตัวว่าเป็นคริสต์เตียน เลยหัวเราะกันใหญ่ ไม่ตกลงกันได้ว่าอย่างไร ได้แต่หัวเราะกันใหญ่ ที่พูดนี่ก็เพื่อบอกให้รู้ว่าศาสนาทุกศาสนาจะต้องมุ่งหมายทำลายล้างความเห็นแก่ตัวและก็จะเป็นโลกที่ประเสริฐที่สุดที่มนุษย์จะมีได้ ศาสนาฮินดูเขาก็มีโลกข้างหน้าเป็นปางสุดท้ายของพระนารายณ์ กรรปยาวตาร(นาที่ที่ 30:52) ขี่ม้าขาวมากำจัดความเลวร้ายทั้งหลายเป็นโลกสงบสุข พุทธศาสนาก็ว่าจะมีพระศรีอริยะเมตรัยมาในอนาคต อย่างศาสนายิวหรือคริสต์เตียนก็มี เมกไซอะ หรือมีอะไรก็ตาม ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกันทั้งนั้นแหละ หวังว่าอันสุดท้ายมันจะดีที่สุด ดีที่สุดยังไง ดีที่สุดคือรักผู้อื่น อย่าถึงกับรักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว เราไม่พูดถึง ยิ่งกว่าตัวล่ะเอาพอเสมอตัวเท่าๆกับรักตัวดูมันก็มากพออยู่แล้ว ในคำบรรยาย คำบรรยายที่เขียนไว้ไม่ค่อยมี ใครเชื่อว่าในศาสนาอันจะมาใหม่ ศาสนาพระศรีอริยะเมตรัย มันมีแต่ความรักผู้อื่น จนถึงกับว่าทุกคนมันรักกันจนไม่มีผู้อื่นมันเหมือนกันไปหมด เมื่อไม่มีความขาดแคลนก็มีที่อำนวยประโยชน์ ใครต้องการอะไรก็ไปเอาได้ที่นั่นขอได้ที่นั่นทั้งสี่มุมเมืองไม่มีใครขาดแคลนหรือว่า พอคนลงจากบ้านเรือนของตนออกไปกลางถนนนี่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครเพราะดีเหมือนกันหมดจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร มีแต่มือชูขึ้นสลอนทั่วไปหมดว่าจะให้ช่วยอะไร จะให้ช่วยอะไร หันไปทางไหนก็มีแต่มือชูขึ้นมาให้ช่วยอะไร จะให้ช่วยอะไร ตาลายไปหมดไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พอกลับมาถึงบ้านเรือนแล้ว อ้าวนี่ภรรยาของเรา บุตรของเรา สามีของเรา อะไรของเรา ถ้าออกไปนอกถนนแล้วมันเหมือนกันไปซะหมดจนไม่รู้ นี่เขากล่าวไว้เป็นเครื่องวัดในความไม่เห็นแก่ตัวและความรักผู้อื่น แล้วคุณลองคิดดูเถอะว่ามันจะเป็นอย่างไร ถ้าทุกคนในโลกมีความพร้อมอยู่ทุกวินาทีที่จะช่วยผู้อื่นแล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร บ้านเมืองนั้นจะเป็นอย่างไร มีแต่ความรักผู้อื่นถึงขนาดว่าคอยชูมือช่วย แล้วปัญหาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร คอมมิวนิสต์เขาว่าเขาจะจัดโลกให้เป็นพระศรีอาริย์ จัดโลกให้เป็นพระศรีอริยะเมตรัยเหมือนกัน คอมมิวนิสต์เขาว่านะ เราว่าสิบคอมมิวนิสต์ก็จัดไม่ได้ ให้จัดที่ว่าหันไปทางไหนก็มีแต่มือชูสลอนพร้อมที่จะช่วยนี่สิบคอมมิวนิสต์ก็จัดไม่ได้ มันจะจัดได้ก็แต่พวกธรรมะอันแท้จริงในศาสนาของพระศาสดาที่พร่ำสอนความรักผู้อื่นอยู่เป็นประจำมีเท่านั้นแหละ นี้คำ คำนี้มันก็บอกอยู่แล้วในตัวว่าศรีอริยะเมตรัย เมตรัยยะแปลว่ามิตรภาพ คำว่า เมตรัย เมตรัย แปลว่ามิตรภาพ ความเกื้อกูลแห่งมิตรภาพ ศรีก็สง่างาม อริยะก็ประเสริฐที่สุด ว่า “มิตรภาพที่สมบูรณ์สง่างามถึงที่สุด” นั่นคือศรีอริยะเมตรัย มันไม่มีปัญหาอะไรที่มนุษย์จะอยู่กัน มันมีแต่ความรักผู้อื่นถึงขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ไอ้การเรียนการศึกษาในโลกนี้ยิ่งให้เรียนมันยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดก็ยิ่งใช้ทางกอบโกย ยิ่งร่ำรวยใช้เป็นเครื่องมือขูดรีดผู้อื่น ผูกขาดซะคนเดียวซึ่งเป็นการกระทำของนายทุน พวกนายทุนเกิดขึ้นแล้วคอมมิวนิสต์ก็เกิดขึ้นล้าง ก็ได้รบกันไม่มีที่สิ้นสุด จะไปโทษคอมมิวนิสต์ฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้าไม่เกิดนายทุนขึ้นมาในโลกคอมมิวนิสต์ก็ไม่เกิดแหละ นั้นถ้าความรักผู้อื่นเข้ามาคอมมิวนิสต์ก็ตายไปเอง ไม่ต้องฆ่าคอมมิวนิสต์ให้เสียเวลา เพราะคนทุกคนมันพร้อมแต่จะช่วยผู้อื่นอย่างคำกล่าวในเรื่องพระศรีอริยะเมตรัย ว่า หันหน้าไปทางไหนมันก็มีมือที่ชูขึ้นว่าให้ช่วยอย่างไร ให้ช่วยอย่างไร ทีนี้ศาสนายุคนี้รุ่นนี้ก็สมบูรณ์แต่วัตถุ เป็นยุคก่อนโน้นยุคพระพุทธเจ้ายุคพระเยซู นั้นวัตถุยังไม่สมบูรณ์ เรียกว่าเจริญแต่ด้านจิตใจ พอมาถึงยุคนี้วัตถุมันเจริญจนเฟ้อ วัตถุมันเจริญจนเฟ้อ สิ่งใดที่มันไม่เคยมีในครั้งโน้น เดี๋ยวนี้มันมีเฟ้อมีเกินมีรถไฟมีเรือบินมีอาหารการกินมีอะไรต่างๆ อย่างที่เปรียบกันไม่ได้นี่ เรียกว่าฝ่ายวัตถุมันเฟ้อแล้ว พอฝ่ายจิตใจเจริญขึ้นตามทันกันมันก็กลายเป็นโลกพระศรีอริยะเมตรัยขึ้นมาทันที เดี๋ยวนี้เราจะพูดว่าโลกของเมกไซอะ นั้นมันก็มาในส่วนวัตถุแล้วยังเหลือขาดแต่ฝ่ายจิตใจ แม้ว่าพระศาสดาจะสอนไว้อย่างไรพวกเราก็ไม่ทำตาม มันยังขาดอยู่ทางฝ่ายจิตใจ ถ้าทำตามพระศาสดาในด้านจิตใจให้มีจิตใจสูงสุด จนมนุษย์มีจิตใจสูงสุด แล้วมันเอามาบวกกันเข้ากับความเจริญทางวัตถุแห่งสมัยนี้นั่นแหละคือโลกพระศรีอริยะเมตรัย มันต่างกันอยู่แต่ว่าไอ้โลกพระศรีอริยะเมตรัยต้องสมบูรณ์ทั้งทางจิตและทางวัตถุ ที่แล้วมาทางจิตมันสมบูรณ์แต่ทางวัตถุมันยังไม่สมบูรณ์ มันเป็นอารยะธรรมทางจิตเลยส่วนเดียว ส่วนเดี๋ยวนี้มันก็ละทิ้งอารยะธรรมทางจิตมายึดถืออารยะธรรมทางวัตถุ มันก็เอาหัวกลับคือมันเลวลง มนุษย์อยู่ในสภาพที่เอาหัวกลับ มาลุ่มหลงแต่ในทางวัตถุละเลยในทางจิตใจ ถ้าเมื่อไรเราฟื้นฟูอารยะธรรมทางจิตใจกลับมามนุษย์ก็จะสมบูรณ์และโลกนี้ก็จะอยู่กันเป็นผาสุก ไม่มีใครสนใจที่จะทำอย่างนี้ มีแต่ว่าเพื่อตัวกูด้วยกันทั้งนั้น ที่จริงองค์การโลกเช่นองค์การสหประชาชาติถ้าเขาช่วยให้ศาสนากลับมา ศีลธรรมกลับมาแล้วโลกก็จะมีแต่สันติภาพ เดี๋ยวนี้องค์การสหประชาชาติดูไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรมากไปกว่าเป็นกรรมการห้ามมวยไม่รู้จักจบจักสิ้น เป็นกรรมการห้ามมวยเมื่อเขาทะเลาะวิวาทกันแล้วไม่รู้จักจบจักสิ้น นั่งจับปูใส่กระด้ง โลกมันก็ไม่มีสันติภาพสิ ถ้าใครทำให้องค์การสหประชาชาติเป็นเจ้ากี้เจ้าการดึงศาสนามาดึงศีลธรรมมา ให้มนุษย์มันรักใคร่กันปัญหามันก็หมด ถ้ามันทำไม่ได้ ทำไม่ได้ก็ยังไม่ยอมแพ้ เราทำกันเอง แต่ละคน ละคน กี่คนก็ตั้งหน้าตั้งตาทำให้เกิดความรักผู้อื่น ให้ศาสนากลับมาให้คนมันรักกัน เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ก็ทำไปอย่างช้าๆ นั้นโรงเรียนที่สอนธรรมะสอนศาสนาด้วย นั้นก็คือผู้ที่จะแก้ปัญหานี้ได้ แม้ว่ารัฐบาลเขาจะไม่ได้ร่วมมือไม่ได้วางกฎเกณฑ์อะไรให้ เราก็วางเอาเอง เราหาแนวร่วมกันเองในหมู่มนุษย์ว่าต้องทำอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นมันก็วินาศ จึง เป็นหน้าที่ของครูหรือว่าอยู่ในอำนาจของครูที่จะช่วยกันจัดโลกกันเสียใหม่ ขอให้ครูของครู ครูของครู ครูของครูขึ้นไปรู้จักความถูกต้องของความเป็นครู และจัดให้ครูได้สอนธรรมะหรือศีลธรรมหรือพระศาสนากันให้เต็มที่ อย่างโรงเรียนอนุบาลอย่างนี้ มันไม่ต้องไปสอนหนังสือหรอก สอนแต่ให้รู้ว่าแม่ของมันคืออะไรพ่อมันคืออะไร มันเกิดมาทำไม ให้เด็กๆอนุบาลมันตั้งต้นถูกทางแล้วมันโตขึ้นมันจะได้เป็นมนุษย์ที่ไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ไปสอนเด็กๆอนุบาลในวิชาอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้มันเห็นแก่ตัวไปตั้งแต่เด็ก จะดีกว่าคนอื่นไปตั้งแต่เด็ก มันจะได้เปรียบคนอื่นไปตั้งแต่เด็ก พอเรียนมากขึ้นมันก็เห็นแก่ตัวจัดไม่เหมาะที่จะเป็นสมาชิกของสังคมมนุษย์ที่จะสร้างสันติภาพ เราต้องทำให้เด็กๆเจริญ เจริญด้วยความไม่เห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นไปตั้งแต่ชั้นอนุบาล ชั้นประถมชั้นมัธยม ชั้นมหาวิทยาลัย เดี๋ยวนี้เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม บางทีไม่รู้ว่าพ่อแม่คืออะไรด้วยซ้ำ คือไม่ค่อยกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่ เพราะการศึกษามันไม่พอ เพราะครูมันไม่ได้สอน เพราะว่าครูมันจะเตรียมที่จะเป็นอย่างนั้นซะเอง มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอให้เราทั้งหลายที่เป็นพวกครูนี่ถือหลักให้มั่นลงไปว่าใครจะว่าอย่างไรไม่รู้ ฉันจะทำหน้าที่ของครูตามความหมายแห่งอริยะบุคคลให้ได้ ที่จะปลุกปั้นให้มนุษย์เป็นมนุษย์ให้มากที่สุด ไม่ให้แพ้ความที่แมวมันเป็นแมว แมวเป็นแมวร้อยเปอร์เซ็นต์แต่มนุษย์เป็นมนุษย์ไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ เทียบแล้วมันก็น่าละอายแมว เราก็ไม่ต้องเห็นแก่อะไรมาก ทำหน้าที่ของครู ทำหน้าที่ของครู การทำหน้าที่ของตนนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม ทุกศาสนาสอนเรื่องหน้าที่ว่ามนุษย์จะต้องทำอย่างไร คุณไม่ค่อยมองนี่ คุณมองทุกศาสนาเอาคัมภีร์ทุกศาสนามาพิจารณาใคร่ครวญดูทุกบรรทัดทุกอักษร จะพบว่าเขาสอนเรื่องหน้าที่ของมนุษย์ทั้งนั้น มนุษย์มีหน้าที่จะต้องทำอย่างไรนั่นแหละเขาสอนเขาบอก นี้เรามาทำหน้าที่นั้นแล้วมันก็เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นั้นธรรมะมันก็คือความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ นี่ถ้าหากว่าคุณจะให้นิยาม ให้บทนิยามคำว่าธรรมะ ในทางพุทธศาสนาก็จะนิยามว่าธรรมะคือ “การปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ”มีเท่านั้น ข้อปฏิบัติอันใดมันถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์เพื่อเป็นมนุษย์ให้เต็มนั่นแหละคือธรรมะ การปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตนทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการนี่มันเป็นบทประกอบ ถ้ามันมีความถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ แล้วมันก็ต้องถูกต้องทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการก็คือว่าเป็นเด็กเป็นวัยรุ่นเป็นหนุ่มสาวเป็นพ่อบ้านเป็นแม่เรือนเป็นคนเฒ่าคนแก่อย่างนี้เรียกว่าวิวัฒนาการทุกขั้นตอน ต้องถูกต้อง ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการทั้งแก่ฝ่ายตนเองและแก่ฝ่ายผู้อื่น มันก็สมบูรณ์โลกนี้มันก็เป็นโลกที่ไม่มีปัญหาเป็นโลกที่มีแต่สันติภาพเรื่องมันก็จบ สรุปให้สั้นที่สุดที่จะลืมไม่ได้ก็ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ถ้าคุณเป็นครูนะแล้วคุณสอนนักเรียนนะแล้วบอกนักเรียนว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของศาสนา นี่ป่วยการไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบอกเด็กว่าอย่างนั้น เพราะไม่รู้ว่าสอนอะไร เพราะไม่รู้ว่าสอนอะไร มันต้องบอกให้รู้ว่าธรรมะคือการปฏิบัติถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ สรุปแล้วเรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ บอกเด็กๆว่าคำว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ นั้นคนปฏิบัติธรรมะคือคนทำหน้าที่ ใครมีหน้าที่อย่างไรจงทำหน้าที่อย่างนั้นแหละ คนนั้นจะเรียกว่ามีธรรมะ ถ้ามันเป็นโจรเป็นขโมยมันทำหน้าที่โจรขโมยมันก็มีธรรมะของโจรมีธรรมะของขโมย ธรรมะอย่างนี้เราไม่เอาเราก็ไม่ต้องพูดก็ได้ เราต้องการแต่หน้าที่หรือธรรมะที่มีประโยชน์ เขาจึงพูดกันแต่ฝ่ายที่ถูกต้องและมีประโยชน์ ทุกๆชีวิตต้องมีหน้าที่ ต้องทำหน้าที่ไม่ทำมันก็ตาย คนก็ต้องทำหน้าที่ของคน มนุษย์ก็ต้องทำหน้าที่ของมนุษย์ถูกต้องและรอดชีวิตอยู่ได้ สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกันมันทำหน้าที่ ธรรมะของสัตว์เดรัจฉานมันก็รอดอยู่ได้ ต้นไม้ต้นไร่เหล่านี้ที่มันปกติงดงามอยู่นี่สดชื่นอยู่นี่เพราะมันทำหน้าที่ของต้นไม้ธรรมะของต้นไม้ตามหน้าที่ดูดน้ำดูดอาหารเอาแสงแดดมาปรับปรุงทางเคมีให้มันมีความเจริญเป็นต้นไม้อยู่ได้ก็เรียกว่ามันทำหน้าที่เหมือนกัน มนุษย์ก็ทำหน้าที่ สัตว์เดรัจฉานก็ทำหน้าที่ แม้แต่ต้นไม้ก็ทำหน้าที่ หน้าที่นั่นแหละคือธรรมะ ธรรมะของสิ่งนั้นๆ เมื่อทำหน้าที่นั้นคือมีธรรมะในศาสนา ถ้าเป็นชาวนาก็ทำนา ชาวสวนทำสวน พ่อค้าก็ทำการค้า ข้าราชการก็ทำราชการไป กรรมกรก็ทำหน้าที่กรรมกร แม้แต่จะเป็นขอทานก็ทำหน้าที่ของคนขอทานมีธรรมะของคนขอทาน ถ้าทุกคนทำหน้าที่อย่างนี้แล้วจะหมดปัญหา คือจะไม่มีคำว่ายากจน หรือต้องตาย ขอทานประพฤติธรรมะของคนขอทานคือขอทานให้ดีตามหน้าที่ของคนขอทาน ไม่เท่าไรก็จะพ้นจากสภาพคนขอทาน ถ้ามันขอทานไปกินเหล้าขอทานไปเล่นอบายมุข มันไม่ทำหน้าที่ที่ถูกต้องตามธรรมะคนขอทาน มันก็เป็นขอทานอยู่นั่นแหละ แล้วบางทีมันจะตายเลยก็ได้ ทำหน้าที่ให้บริสุทธิ์ ให้บริสุทธิ์ มันก็เจริญขึ้นตามลำดับตามหน้าที่นั้นๆ ทีนี้ความสำคัญมันอยู่ที่ว่าคนมันไม่ชอบทำหน้าที่ เห็นว่าหน้าที่นี่เป็นของน่ารังเกียจน่าเบื่อน่าระอา เพราะมันเหนื่อย ไม่ต้องทำอะไรมีเงินลอยมาให้ทำนองถูกลอตเตอรี่ก็ดีกว่า หรือถ้ามันไม่มีอย่างนั้นก็ไปจี้ไปปล้นเขาเอามาสดๆร้อนก็ดีกว่าคิดเสียอย่างนี้ มันเลยไม่ทำหน้าที่ คนไม่ได้ทำหน้าที่มันก็ไม่มีธรรมะมันก็มีปัญหา ทีนี้ถ้าเราเป็นครูก็ทำหน้าที่ของครูก็ต้องมีธรรมะของครู มีธรรมะเมื่อกำลังสอนอยู่ในห้องเรียนไม่ต้องไปวัดไม่ต้องไปโบสถ์ก็ได้พูดว่าอย่างนี้ดีกว่า เมื่อกำลังทำหน้าที่ นั่นแหละคือมีธรรมะแล้วแต่จะมีหน้าที่อะไร ธรรมะแปลว่าหน้าที่ จึงขอฝากไว้เป็นที่ระลึกแก่ทุกๆท่านว่าจงทำหน้าที่ ทำงานให้สนุกแล้วเป็นสุขเมื่อกำลังทำหน้าที่ เมื่อสอนอยู่ในห้องเรียนจงพอใจในความเป็นผู้ทำหน้าที่ มีคุณธรรมของความมีหน้าที่ พอใจถ้าพอใจก็เป็นสุข เป็นสุขก็อิ่มอยู่ด้วยความสุข ไม่ต้องรีบเลิกเรียนไปอาบอบนวดหรือไปทำกามารมณ์กันที่ไหน เพราะมันเป็นสุขเสียแล้วเมื่อกำลังทำหน้าที่ เงินเดือนก็ไม่ต้องใช้ก็เหลือเยอะแยะไปหมด จะไปช่วยใครก็ได้จะเก็บไว้ก็ได้ นี่ขอให้ทำงานในหน้าที่ให้สนุกและเป็นสุขเสียตั้งแต่เมื่อกำลังทำงาน ไม่ต้องเอาเงินไปซื้อสิ่งเพลิดเพลินหลอกลวง ว่าความสุขหลอกลวงเอามา หลอกตัวเองว่าความสุข ความเพลิดเพลินเหล่านั้นไม่ใช่ความสุขมันเป็นเพียงความเพลิดเพลิน ถ้าเป็นสุขมันเป็นสุขของกิเลสไม่ใช่ความสุขของมนุษย์ที่ถูกต้อง เมื่อเราเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องเราก็ต้องมีความสุขอย่างมนุษย์ที่ถูกต้องคือมันไม่เป็นกิเลสมันไม่หลอกลวง พอใจยินดีเมื่อกำลังทำหน้าที่อยู่แล้วก็เป็นความสุข มันอิ่มอยู่ด้วยความสุขแล้วไม่ต้องไปซื้อความหลอกลวงตามสถานกามารมณ์เป็นต้น นี่จะมีสุขภาพดี มีอนามัยดีมีเงินเหลือใช้มีสติปัญญาดี อยู่ในศีลในธรรมดี เป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะเป็นกันได้เรื่องมันก็จบ ทำงานให้สนุก ทำงานให้สนุก ช่วยจำของฝากอาตมาไปด้วยจะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจเถอะ ช่วยจำไว้ด้วยว่าอาตมาขอร้องว่าทำงานให้สนุก สนุกตามแบบของธรรมะไม่ใช่สนุกตามแบบของกิเลส ทำงานให้สนุกและเป็นสุขเสียเมื่อกำลังทำงานนั่นเอง เท่านั้นแหละแก้ปัญหาหมด เป็นหัวใจของศาสนาทั้งหมด ถ้าทำงานสนุกมันก็ทำได้มากสิเพราะมันสนุก ที่มันทำได้น้อยเพราะมันไม่สนุก ในการทำมันก็ทำได้น้อย ถ้าเรารู้ว่าไอ้การงานนี่คือธรรมะเป็นของมีเกียรติสูงสุดของมนุษย์ดีที่สุด มันก็ชอบจะทำมันก็ทำสนุกมันก็เลยทำงานสนุก เมื่อทำสนุกมันก็ทำได้มาก ทำได้มาก มากทั้งปริมาณมากทั้งเวลาที่ทำ คนอื่นเขาทำงานแปดชั่วโมงก็พอแล้ว พอแล้ว ไอ้เราทำงานสนุกเลยทำตั้งสิบแปดชั่วโมง คิดดูสิ ถ้าทำงานสนุกมันทำได้สิบแปดชั่วโมง ถ้ามันไม่สนุกแปดชั่วโมงพอแล้ว อัตราสากลพอแล้วเราไม่อยากเสียเปรียบคิดซะอย่างนี้ นี่อาตมาก็ถือหลักเกณฑ์อันนี้ ไม่ใช่เพียงแต่บอกท่านทั้งหลายให้ถือ ตัวเองก็เคยถือทำงานสนุกแล้วทำงานสิบแปดชั่วโมงทุกวัน แล้วก็เป็นสุขเมื่อนั้นเลยไม่ต้องไปหาความสุขที่ไหน ก็อยู่กับโต๊ะทำงานนั่นแหละเป็นสุข นี่เป็นหลักอีกอันหนึ่งว่าถ้ามันเป็นความสุขที่แท้จริงไม่ต้องเสียแม้แต่สตางค์เดียว มันยิ่งเสียสตางค์มากเท่าไรมันยิ่งเป็นความสุขหลอกลวงเท่านั้น สิ่งสูงสุดในพุทธศาสนาเรียกว่านิพพาน นิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสว่านิพพานนี้ให้เปล่าไม่คิดสตางค์ ถ้าคุณถือศาสนาอื่นคุณก็ไปคิดดูเอาเองว่าไอ้ของสูงสุดในศาสนานั้นๆเขาให้โดยคิดสตางค์หรือเปล่า แต่ในพุทธศาสนานี่ยืนยันเป็นคำของพระพุทธเจ้าว่านิพพานนี้ให้เปล่าไม่คิดสตางค์ จะต้องทำตัวเองให้พอใจในหน้าที่ของตัวเองจนกระทั่งยกมือไหว้ตัวเองได้ ช่วยจำคำนี้ไปด้วย เมื่อยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ จงทำงานให้เป็นที่พอใจของตนเองจนยกมือไหว้ตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ เมื่อใดไม่มีอะไรดีเกลียดน้ำหน้าตัวเองเมื่อนั้นเป็นนรก นรกที่นี่นรกเดี๋ยวนี้นรกในรูปร่างอย่างนี้ในเสื้อผ้าอย่างนี้ ตกอยู่ในนรกเมื่อมันเกลียดชังตัวเองที่ไหนเมื่อใดมันเป็นนรก เมื่อใดพอใจมันยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้นมันเป็นสวรรค์ ส่วนนรกสวรรค์เมื่อตายแล้วยังไม่ต้องพูดถึงก็ได้มันยังไม่มีมา ไอ้นรกสวรรค์เฉพาะหน้านี่จัดการให้เสร็จซะก่อนสิ ถ้าว่าทำงานจนยกมือไหว้ตัวเองได้เป็นสวรรค์ที่นี่แล้วตายแล้วก็ไม่ต้องสงสัยไปสวรรค์แน่ ถ้ามันตกนรกที่นี่เกลียดน้ำหน้าตัวเองไหว้ไม่ลงแล้วตายไปแล้วมันก็ไปตกนรกโดยสมบูรณ์อีกแหละ นั้นไอ้เรื่องตายแล้วเก็บไว้ก่อนก็ได้จัดการเรื่องปัจจุบันนี้เฉพาะหน้านี้ให้สมบูรณ์เสียก่อน ให้ทำอะไร อะไร ให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ทุกวัน ทุกวัน พอค่ำลงเย็นลงคิดบัญชีดู วันนี้ดีเยอะแยะยกมือไหว้ตัวเองที ไปสวรรค์ ทุกวัน ทุกวันเพราะว่าทำงานชนิดที่ยกมือไหว้ตัวเองได้นี่ก็อันหนึ่ง ขอให้ถือไว้เป็นหลักว่ายกมือไหว้ตัวเองได้เป็นสวรรค์ เกลียดชังตัวเองเป็นนรก จงทำงานให้สนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำงานนั้นก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ตลอดเวลา เรื่องของธรรมะมีอย่างนี้ สรุปความสั้นๆว่าธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ ชีวิตตัวไหนทำหน้าที่ของมันชื่อว่ามันมีธรรมะ แล้วมันควรจะทำสนุกควรจะพอใจแล้วมีความสุขเมื่อกำลังทำ มนุษย์ก็หมดปัญหา ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายช่วยกันสร้างมนุษย์ชนิดนี้ขึ้นมาในโลก และโลกนี้ก็จะเต็มไปด้วยมนุษย์ที่ไม่สร้างปัญหา โลกนี้ก็จะมีแต่สันติภาพอันถาวร นี่คือสิ่งที่อาตมาขอกล่าวให้ท่านทั้งหลายในฐานะเป็นอุดมคติหรือเจตนารมณ์ของความเป็นครู พวกครูนี่แหละช่วยกันสร้างโลกให้เป็นโลกที่น่าปารถนา คือ สั่งสอนอบรมเยาวชนของเราให้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องมีธรรมะของพระศาสนาคือทำหน้าที่ของตนเป็นสิ่งสูงสุด แล้วมันก็เหลือกินเหลือใช้ มันก็รักผู้อื่นได้โดยไม่ยากมันช่วยผู้อื่นได้โดยไม่ยาก หมดปัญหาทั้งส่วนตัวเราหมดปัญหาทั้งส่วนผู้อื่น ก็เรียกว่าหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง นี่แหละเรียกว่าได้เกิดมาทีหนึ่งก็ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และมีธรรมะและมีศาสนาตามความพอใจของตนแล้ว จะได้เป็นสุขอยู่ได้ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ อาตมาขอยุติการบรรยาย
มีอะไร ให้ถวายเสร็จแล้วลงไปถวายที่ตรงโน้น กุฏิข้างหน้า ข้างหน้า กุฏิข้างหน้า เขาจะให้หนังสือคุณด้วย เป็นที่ระลึกที่นี่ไม่มีอะไร ด้านหน้าของกุฏินั่นมีพระเขาอยู่ประจำ
ในนามของคณะครูและผู้ใกล้ชิดครูคือ พ่อแม่ สามีและลูกๆของครูที่มาด้วยนะคะ ขอบพระคุณ พระอาจารย์ที่ให้หลักธรรมที่พวกเราจะปฏิบัติเพื่อลูกหลานและศิษย์ เนื่องจากหลักธรรมะจะแก้ปัญหาอย่างแท้จริงทั้งในปัจจุบันและในอนาคตใช้ได้จริง ขอกราบอนุโมทนา ขอท่านพระอาจารย์จงมีสุขภาพอนามัยที่แข็งแรงเพื่อเป็นแสงสว่างแก่ปวงชนชาวไทยและผู้มุ่งแสวงธรรมให้นานเท่านาน
ในนี้มีหนังสือที่เป็นผลงานที่ทำมาอย่างทำงานสนุกเป็นสุขเมื่อกำลังทำงานทั้งหมดนั้นแหละเขียนคนเดียว คนเขาเข้าไปดู เขาบอกว่าไม่เชื่อว่าเขียนคนเดียว ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ เขียนคนเดียวทั้งหมดนั้น เพราะว่าทำงานสนุกเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน มีหลักฐานยืนยันอย่างนี้พิจารณากันดูด้วย ที่นั่นสอนธรรมะโดยรูปภาพ บรรดารูปภาพที่สอนธรรมะได้มา ประมวลมาเขียนที่นั่นไปดูเถอะ นี่จำไม่ได้แล้วหลายภาพ ถ้ามีเวลาอ้อมภูเขานี่ไปสุดทางโน้นเขาแจกตุ๊กตาที่มีความหมายพอเตือนใจได้บ้างโดยเฉพาะแก่เด็กๆ คุยธรรมะกันสนุกแล้วก็ทิ้ง ทิ้งเหล้าทิ้งบุหรี่ทิ้งหมากทิ้งอะไรที่ต้องทิ้งกันที่นั่น เมื่อมานี่อีกรอบ นี่ไปดูสิเถอะยังเหลือสามสิบนาทีไปดู ที่นี่ก็หมดแล้วเวลาเหลือสามสิบนาทีไปดูที่นี่ก็หมด มันอยู่มุมนี้สุดมุมนี้มันต้องอ้อมไปตามทางนี้ อาตมาคิดว่าไม่ทันถ้าไปดูที่นี่แล้ว แล้วก็หมดเวลา