แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย ให้ถึง อ่า, สถานที่นี้ ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเป็นเจ้าของสถานที่ แต่มีความยินดีในการที่เราได้พบปะกัน เป็นการพบปะกันของผู้ที่ควรจะพบปะกัน คือครูทั้งหลายซึ่งรับผิดชอบในหน้าที่ของตน จะได้มีการพบปะกันเพื่อเป็นประโยชน์แก่การทำหน้าที่ของตน คำว่า ครูทั้งหลาย จะต้องหมายถึงครูทุกชนิดดีกว่า ครูสอนหนังสือ ครูสอนวิชาชีพ ครูสอนเรื่องทางจิตใจ ทั้งหมดก็เรียกว่าครู และเรามีบรมครูร่วมกันคือ พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเราเรียกว่าเป็นบรมครู นี่ครูทั้งหลาย แม้ในภายนอกหรือส่วนเบื้องล่างจะสังกัดอยู่กับอะไรที่ไหน แต่ว่าในส่วนเบื้องบนแล้ว ทุกคนสังกัดอยู่กับพระบรมครู คือพระพุทธเจ้า และหมายความว่า เรามีหน้าที่สนองพระพุทธประสงค์ เป็นครูสอนหนังสือตามธรรมดานี้ อย่าเข้าใจว่าไม่เกี่ยวกับพระบรมครู เพราะคำว่าครู คือผู้ช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจ สำหรับชีวิตวิญญาณจะดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง การรู้หนังสือมันก็เป็นตอนหนึ่งหรือระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นความสว่างไสวในทางวิญญาณ ต่อมาก็รู้อาชีพ มีความสว่างไสวในการประกอบอาชีพไม่ผิดพลาด สบายใจ และต่อมาก็ถึงด้านจิตใจโดยตรง คือครูก็มีหน้าที่สอนให้เกิดความรู้ เข้าใจแจ่มแจ้งสว่างไสวว่า เราจะเป็นคนกันอย่างไร นี่เรียกว่าเรียนเรื่องชีวิตจิตใจว่าเราจะเป็นคนกันอย่างไร จึงจะหมดปัญหา ถ้ายังไม่อาจจะพบความสงบสุขของชีวิตทั้งส่วนตัวเองและส่วนรวม ก็ยังชื่อ ยังไม่ชื่อว่าประสบความสำเร็จของความเป็นมนุษย์
เดี๋ยวนี้โลกมีการศึกษา หรือนิยมการศึกษากันแต่เพียง ๒ อย่างข้างต้น คือเรียนหนังสือ กับเรียนวิชาชีพ ส่วนที่ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรให้ถูกต้องนั้น ไม่ค่อยมีใครสนใจ เป็นกันอย่างนี้ทั้งโลก มันก็เลยเหมือนๆ กันหมด ไม่มีใครโทษใคร เป็นมนุษย์กันไม่ถูกต้อง คือ ทำความเข้าใจกันไม่ได้ แล้วก็รบราฆ่าฟันกัน อย่างในโลกปัจจุบันนี่ มีการรบราฆ่าฟันกันทั่วโลกก็ว่าได้ ที่นั่นนิด ที่นี่หน่อย ที่ปรากฏให้เห็น แต่สงครามที่ทำอยู่ใต้ดิน ที่ในจิตใจ และในแผนการต่างๆ ที่ไม่แสดงออกมานั้นมีมาก หรือเต็มไปทั้งโลกก็ว่าได้ เรียกว่าโลกนี้ยังเต็มไปด้วยการมุ่งหมายทำลายล้างซึ่งกันและกัน อย่างน้อยที่สุดก็เป็นการเอาเปรียบกัน เอาเปรียบกัน คิดดูให้ดี การเอาเปรียบกันนั้นไม่มีทางที่จะอยู่กันอย่างสงบสุข นี่ ความจริงหรือข้อเท็จจริงของมนุษย์เรา ที่เป็นอยู่อย่างไม่เป็นที่น่าพอใจ หรือสมกับความหมายของคำว่า เป็นมนุษย์
เราจะได้พบปะกันเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ คือให้ครูทุกคนได้เป็นครูทุกระดับ ครูสอนหนังสือระดับแรก ครูสอนวิชาชีพระดับสอง ครูสอนธรรมะ พระธรรมว่าเราจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร นี่เป็นระดับสาม ถ้าครูคนใดทำหน้าที่ครบถ้วนทั้งสามระดับนี้แล้ว ก็จะได้ชื่อว่าเป็นครูที่แท้จริง เดี๋ยวนี้ปัญหามันก็เหลืออยู่ให้เห็นว่ามันไม่บริบูรณ์ มันไม่ครบถ้วนถูกต้องอย่างบริบูรณ์ เรารู้หนังสือกันมากกว่าแต่ก่อน แต่ความสงบสุขก็ไม่เกิดขึ้น สมกับที่รู้หนังสือมาก เรามีอาชีพเจริญก้าวหน้ามาก มีการผลิตทางวัตถุเจริญก้าวหน้ามากในโลก แต่แล้วโลกกลับมีสันติภาพน้อยลง ยิ่งเจริญ ยิ่งวินาศ โลกกำลังยิ่งเจริญในทางวัตถุ แต่ก็ยิ่งวินาศในทางจิตใจ คือจิตใจมันต่ำทราม เพราะความก้าวหน้าทางวัตถุนั่นเอง
นี่ขอให้ครูบาอาจารย์ของเรารู้ไว้ว่า โลกกำลังเจริญทางวัตถุอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็กำลังวินาศทางจิตใจอย่างไม่น่าเชื่อด้วยเหมือนกัน คือไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง มีแต่มนุษย์ที่เห็นแก่ตัว มนุษย์สมัยคนป่าที่จะไม่นุ่งผ้าเสียอีก ยังเห็นแก่ตัวน้อยกว่ามนุษย์สมัยนี้ที่มีการแต่งเนื้อแต่งตัวสวยงาม เป็นอยู่อย่างที่เรียกว่าเจริญที่สุด ยิ่งเจริญที่สุด ยิ่งไม่มีความเป็นมนุษย์ เพราะมันไปบูชาเนื้อหนังกันหมด ไม่บูชาธรรมะ หรือสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าเฝ้าบูชา พระพุทธเจ้าก็บูชาสิ่ง ๆ หนึ่งเป็นสิ่งสูงสุดเหมือนกับพระเจ้า สิ่งนั้นก็คือธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้ เป็นความจริงของธรรมชาติที่แสดงให้เห็นว่า ความทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร ความทุกข์ดับลงไปอย่างไร ความจริงอันนี้คือธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ ครั้นตรัสรู้แล้วก็บูชาธรรมะนี้เป็นสิ่งสูงสุด แต่ว่าเราเสียอีก กลับจะไม่ค่อยเคารพบูชาสิ่งสูงสุดอันนี้ที่พระพุทธเจ้าทรงเคารพบูชา ดังนั้นเราจึงมีความเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ เป็นเรื่องที่จะขอปรึกษาหารือครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
เดี๋ยวนี้มาประชุมกันที่นี่ ก็ขอแสดงความยินดีพอใจที่ได้มาประชุมกันที่นี่ เรียกว่าปีละครั้ง ที่จริงถ้าพบกันบ่อยกว่านี้ก็จะยิ่งเป็นการดี ครูทั้งหลายพบกันบ่อยกว่านี้ เพื่อปรึกษาหารือกันในหน้าที่ของครูบาอาจารย์ ก็จะยิ่งเป็นการดีกว่าที่จะพบกันเพียงปีละครั้ง เป็นต้น เพราะว่าครูคือผู้รับผิดชอบ ครูคือ คือผู้รับผิดชอบต่อโลก ของโลก ทั้งปัจจุบันและอนาคต คือครู คือผู้รับผิดชอบต่อโลก โดยความจริง โดยธรรมชาติ หรือโดยที่ว่าความเป็นธรรม ความยุติธรรมอะ ครูต้องรับผิดชอบต่อโลก ความดี ความเลวในโลกนั้นน่ะ ครูรับผิดชอบ เพราะครูเป็นผู้อบรม สั่งสอน สร้างสรรค์ ฉะนั้นเราควรจะประชุมกันมากกว่านี้ เพราะว่าเราเป็นผู้รับผิดชอบต่อโลก หน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบนั้นยังบกพร่องอยู่ ถ้าเราประชุมกันมากกว่านี้ บ่อยกว่านี้ มันก็จะแก้ปัญหาได้มากกว่านี้ ในฐานะที่เราเป็นผู้รับผิดชอบ
บางคนจะปฏิเสธว่าข้าพเจ้าไม่ได้รับผิดชอบ ข้าพเจ้าไม่มีหน้าที่รับผิดชอบ นั่นก็เพราะไม่รู้ว่าไอ้ความเป็นครูนั้นคืออะไร ทำไมโลกเขาจึงมีบุคคลประเภทครู ทำไมโลกจึงต้องมีบุคคลประเภทครูเพื่อทำอะไร ก็เพื่อว่าจะได้รับผิดชอบด้านจิต ด้านวิญญาณของมนุษย์ ให้มนุษย์ในโลกมีความเป็นมนุษย์เต็มที่ มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของครู ถ้าไม่มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของครูจะมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของใคร ชาวประมงก็จับปลา ชาวนาก็ทำนา ชาวสวนก็ทำสวน เขาจะมามีเวลาไหนรับผิดชอบเรื่องอย่างนี้ มันก็ตกเป็นภาระของบุคคลที่เรียกว่าครู ซึ่งจะต้องรับผิดชอบ เราจะปฏิเสธหรือไม่ปฏิเสธ เรื่องมันก็อย่างเดียวกันน่ะ คือปัดความรับผิดชอบไปไม่ได้ ทั้งโลกเขาอุปโลกน์ให้ครูมีหน้าที่อย่างนี้ ก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธ และโดยข้อเท็จจริงหรือความยุติธรรมมันก็เป็นอย่างนี้ โดยไม่ต้องปฏิเสธ และไม่มีทางที่จะปฏิเสธ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องขวนขวายหาทางทำหน้าที่ของเราให้ลุล่วงไป
เดี๋ยวนี้ก็ดูกันต่อไป ถึงข้อที่ว่าครูมีหน้าที่รับผิดชอบต่อโลกหรือของโลก ก็ดูว่าโลกปัจจุบันเป็นอย่างไร มีอะไรที่ไม่น่าปรารถนา ไม่พึงปรารถนา อย่างไร นั่นแหละมันจะค่อยพบความรับผิดชอบของบุคคลที่เป็นครู จะในแง่ของความบกพร่องก็ตาม จะในแง่ของความสมบูรณ์ก็ตาม เดี๋ยวนี้เด็กๆ ไม่รู้ว่าแม่คืออะไร ไม่รู้ว่าพ่อแม่คืออะไร ไม่เคารพพ่อแม่ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น นี่ก็เป็นปัญหาที่จะหยิบมาดูว่ามันเป็นเพราะอะไร ถ้าครูปฏิบัติหน้าที่สมบูรณ์ ก็จะต้องรู้ว่าพ่อแม่คืออะไร ตัวเองคืออะไร บ้านเมืองคืออะไร ล้วนแต่รู้จักไปเสียทั้งนั้น เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ที่ไม่เคารพพ่อแม่ ดื้อดึงพ่อแม่ กระทำให้พ่อแม่ร้อนใจเป็นตกนรกมากขึ้น มีมากขึ้น มีโฆษณาทางวิทยุที่น่าอับอายที่สุด ก็คือโฆษณาที่ว่า เด็กหญิงชื่อนั้นน่ะกลับบ้านได้ พ่อแม่ให้อภัยหมดแล้ว ดูสิพ่อแม่เป็นผู้ออกโฆษณาให้สถานีวิทยุ นี่เราได้ยินทุกคืน โฆษณาว่าเด็กหญิงชื่อนั้นที่หายไปจากบ้านน่ะ กลับบ้านได้ พ่อแม่ให้อภัยหมดแล้ว นี่ มันบ้าๆ บอๆ กันหมด ทั้งลูกทั้งพ่อแม่ ลูกสามารถที่จะบีบบังคับพ่อแม่ ไม่ให้เคารพพ่อแม่ เล่นตัว จองหองกับพ่อแม่ ถึงขนาดอย่างนี้ ขนาดออกไปอย่างไม่มีความหมายอะไร แล้วพ่อแม่ต้องงอนง้อว่าเดี๋ยวนี้ทางบ้านให้อภัยหมดแล้ว นี่คือความบ้าที่สุดของมนุษย์ ซึ่งไม่ควรจะมีในหมู่พุทธบริษัทเรา มันก็มี ทำไมเด็กๆ จึงเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ว่าพ่อแม่คืออะไร เด็กๆ นักเรียน ยังทะเลาะวิวาท ยังยกพวกตีกัน
เรื่องนักเรียนยกพวกตีกันนี้ เป็นเรื่องที่น่าอับอายที่สุด เพราะว่าเด็กนักเรียนโตๆ ทั้งนั้น เล่าเรียนมาพอสมควรทั้งนั้น แล้วยังยกพวกตีกัน ซึ่งมันมีความหมายเท่ากับสัตว์เดรัจฉานกัดกัน สัตว์เดรัจฉานเป็นฝูงๆ กัดกัน ก็มีความหมายอย่างเดียวกับที่นักเรียนเขายกพวกตีกัน นักเรียนสไตร์คอย่างนั้นอย่างนี้ บีบบังคับอย่างนั้นอย่างนี้ เวลานี้ก็มีที่นักเรียนสไตร์คบังคับโรงเรียนให้ผ่อนผันอย่างนั้นอย่างนี้ แม้กระทั่งว่าให้มีผมยาวได้ นี้มันจะเอาไปทำไม เด็กพวกนั้นมันโง่หรือฉลาดสักเท่าไรต้องการเพียงผมยาว แล้วก็ถึงกับทำลายโรงเรียน ทุบสิ่งของ พังสิ่งของในโรงเรียน แล้วก็จุดไฟเผาโรงเรียน นี่ในโรงเรียนอาชีวะซึ่งเป็นเด็กโตแล้วก็กลางใจกลางพระนคร ซึ่งเป็นศูนย์ของความเจริญ นี่ ทำไมเด็กถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมประชาชนของเราจึงยังไม่รู้จักว่าประชาธิปไตยคืออะไร ยังเลือกผู้แทนโกง ยังสุมหัวกันกระทำสิ่งที่คดโกงในระบอบประชาธิปไตย และทำไมโดยทั่วๆ ไป ประชาชนกับรัฐบาลตั้งอยู่ในฐานะเป็นปรปักษ์ต่อกัน
ขอให้ทุกคนฟังดูเรื่องนี้ให้ดีๆ มันยังมีคำพูดว่าหลวง หลวงมันจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ กูไม่มีจะให้อย่างนั้นอย่างนี้ คำว่า หลวง ก็คือรัฐบาล หรือว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ทีนี้ประชาชนก็คือชาวบ้านนี่ เขามีความรู้สึกอย่างว่ารัฐบาลน่ะ ก็คือฝ่ายหนึ่ง ประชาชนก็คือฝ่ายหนึ่ง มีประโยชน์ขัดกันตลอดเวลา มีความรู้สึกเป็นปรปักษ์ต่อกัน นี่ฝ่ายประชาชนเขารู้สึกอย่างนี้ ทำไมประชาชนจึงไม่รู้สึกว่าประเทศชาติเป็นของประชาชน รัฐบาลเป็นเพียงผู้จัดการ หรือคณะผู้จัดการที่ประชาชนเขามอบหมายให้จัด จัดให้เรา ไม่ใช่รัฐบาลเป็นฝ่ายหนึ่ง ประชาชนเป็นฝ่ายหนึ่ง แล้วก็เอาเปรียบกัน ทะเลาะวิวาทกัน เบียดเบียนกัน จนกระทั่งรู้สึกว่าเบียดเบียนกัน ประชาชนบางพวกบางคนน่ะรู้สึกว่ารัฐบาลนั่นล่ะคือศัตรู นี่ทำไมเขาจึงรู้สึกอย่างนี้ ทำไม การศึกษามันเป็นอย่างไร เราสอนเขาอย่างไร ในที่สุดประชาชนเขารู้สึกอย่างนี้ นี่ เดี๋ยวนี้เด็กๆ เขากำลังเป็นอย่างไร นักเรียนน่ะ เขากำลังเป็นอย่างไร เขาก็ถือเป็นเขาเป็นเรา เราก็เป็นเรา โรงเรียนก็เป็นข้าศึกของเราน่ะ ยิ่งเป็นโรงเรียนราษฎร์ด้วยแล้ว เด็กๆ จะรู้สึกว่าโรงเรียนกับเรานั้นเป็นข้าศึก แม้โรงเรียนรัฐบาลก็ยังคิดว่าโรงเรียนนั่นแหละเป็นข้าศึกของเรา เราจะต้องต่อสู้ เราจะต้องเอาชนะให้ได้ เราจะไม่ยอมเชื่อฟังกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัยของโรงเรียน เราจะเอาตามที่เราต้องการ
ที่แท้นั้นก็คือ กิเลสของเราต้องการ เช่น จะไว้ผมยาวนี่ กิเลสมันต้องการ เขาก็แข็งข้อ ตึงเครียด กับระบบโรงเรียนอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะออกไป เรียนอย่างเลวที่สุด ไม่เคารพครูบาอาจารย์ ไม่สงสารพ่อแม่ที่อาบเหงื่อต่างน้ำอยู่ข้างหลังที่ต้องส่งเงินไปให้ นี่เด็กๆ ของเราเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุไร ความไม่ถูกต้องเหล่านี้มันเกิดจากการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ถูกต้อง การศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ถูกต้องนี่ มันเป็นหน้าที่ของใคร เป็น ข้อแรกก็ต้องคิดว่าเป็นหน้าที่ของครู หรือว่าระบบ การศึกษาที่กระทรวงศึกษาเขาจัดขึ้น ที่จริงมันไม่ควรจะโยนกันไปโยนกันมาระหว่างกระทรวงศึกษากับครู ถ้าครูเป็นครูที่แท้จริงเขาปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ที่จะให้นักเรียนมีความรู้ถูกต้องและสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าจะไม่อยู่ใน จะไม่มีอยู่ในหลักสูตรของกระทรวงศึกษา แต่โดยที่แท้จริงแล้วกระทรวงศึกษาก็ได้บัญญัติไว้อย่างกว้างๆ เป็นคำที่มีความหมายกว้าง ที่ให้ครูสามารถจะถือเอาเป็นหลักปฏิบัติ ขยายการกระทำที่ปลีกย่อยออกไปจนสมตามความมุ่งหมายของการศึกษาได้ ไม่จำเป็นจะต้องเขียนไว้ทุกตัวอักษร ว่าทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้นทุกตัวอักษร เขียนไว้แต่หัวข้อที่มีความมุ่งหมายเพียงพอ แล้วครูก็ทำได้ จึงไม่มีทางที่ครูจะแก้ตัวหรือจะปฏิเสธว่ามันไม่มีระบุอยู่อย่างชัดเจนในระเบียบที่กระทรวงศึกษาออกมา
เดี๋ยวนี้เรามาถือเอาความเป็นครูของเราเป็นสำคัญจะดีกว่า อะไรที่จะทำให้เด็กๆ พ้นจากปัญหาเหล่านี้ เราทำทันที และทำอย่างยิ่ง โดยถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรง เด็กๆ จะต้องรู้ว่าพ่อแม่คืออะไร ตัวเองคืออะไร และจะประพฤติต่อกันอย่างถูกต้องที่สุด ไม่มีเด็กยกพวกตีกัน ไม่มีเด็กสไตร์ค ไม่มีเด็กชนิดที่เห็นตัวเองเป็นเทวดาไปเลย ประชาชนกับรัฐบาลจะต้องไม่ ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นปรปักษ์ต่อกัน รัฐบาลเป็นผู้จัดการประเทศของประชาชน แต่ครูก็ยังไม่สอนให้ประชาชนมีความรู้สึกอย่างนี้ได้ อีก ๑๐ ปี ประมาณนะ ถ้าเด็กเหล่านี้ออกมาเป็นเด็กว่างงานอยู่ในประเทศ เด็กจำนวนแสนๆ คน หรือล้านคนปัจจุบันนี้ออกมา เรียนเสร็จแล้วออกมาเป็นคนว่างงานอยู่ในประเทศเรา แล้วประเทศจะเป็นอย่างไร ลองคำนวณดูอะไรจะเกิดขึ้น จะมีอันธพาลเต็มไปหมด จนคุณครูเองน่ะจะไม่มีที่อยู่ เด็กอันธพาลเหล่านั้นจะเล่นงานครูนั่นเอง จนครูเองก็ไม่มีที่อยู่ ถ้าเด็กเหล่านี้ในลักษณะอย่างนี้เขาจบการศึกษาออกมา ประมาณว่า ๑๐ ปีข้างหน้ามันเรียนจบ แล้วมันก็ออกมา มันก็ไม่มีงานทำ มันก็ต้องเป็นอันธพาล แล้วมันก็จะเล่นงานครูจนไม่มีที่อยู่ คอยดูเถอะ ขอให้ครูเตรียม เตรียมตัวรับสถานการณ์อันนี้
เด็กพวกนี้จะทำลายทุกอย่าง จะทำลายวัดวาอาราม ยิ่งกว่าที่คอมมิวนิสต์มันจะทำ คอมมิวนิสต์ทำลายวัดวาอารามที่ไหนบ้าง ใครเคยเห็น เห็นแต่คำขู่ของคนฝ่ายหนึ่ง แต่ระวังให้ดีเถอะ เด็กๆ ในปัจจุบันนี้ที่กำลังเป็นอันธพาลอยู่ในโรงเรียนนี่ พอมันจบออกมาแล้ว มันจะเป็นอันธพาลทำลายศาสนาวัดวาอารามยิ่งกว่าพวกคอมมิวนิสต์เสียอีก ทำไมจะไม่นึกกันบ้าง และนี่เป็นผลของการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ ที่พวกเราที่เป็นครูนี่ ยังไม่ได้ทำหน้าที่ถึงขีดสุดให้มันสมบูรณ์ เพราะเหตุไรก็เป็นสิ่งที่จะต้องนึกกันต่อไป แต่ถ้าตอบอย่างกำปั้นทุบดินก็ว่าเพราะครูไม่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์ คือไม่ได้ยึดจิตวิญญาณของไอ้เยาวชน ของเด็กๆ ไว้ได้ และจูงไป พาไปถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เรียกว่าครูยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตนสมบูรณ์ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
ครูที่แท้จริงจะยังไม่มี มีแต่คนรับจ้างสอนหนังสือหากินเสียมากกว่า กรุณาอย่าฟังว่านี้เป็นคำด่า คำกระทบกระเทียบอะไร ดูที่ความจริงกันก็แล้วกันว่าผู้ที่รับจ้างสอนหนังสือ หากินอย่างกรรมกรชนิดหนึ่งก็มี ผู้ที่เป็นครูโดยจิตโดยวิญญาณ ไม่ได้หวังประโยชน์จากการสอนหนังสือนั้นก็มี เทียบกันได้ง่ายอย่างครูสมัยโบราณ ยิ่งโบราณเท่าไรยิ่งเป็นครูชนิดปูชนียบุคคล อยู่บนเศียรเกล้าของประชาชน เขาเรียกว่าครูเป็นปูชนียบุคคล ต่อมารุ่นหลัง รุ่นหลัง มันก็เปลี่ยนเป็นอาชีพไป ต่อมารุ่นหลัง ปัจจุบันนี้เขาจัดเป็นอาชีพชนิดหนึ่งนะ มันผิดกับหลักอุดมคติของครูที่เขาไม่ได้ถือว่าไอ้การเป็นครูนี้เป็นอาชีพอย่างอาชีพทั่วๆ ไป แต่มันเป็นอาชีพของพระอริยเจ้า หรือของ อ่า, ปูชนียบุคคล ท่านมีหน้าที่ยกจิตยกวิญญาณของประชาชน แล้วท่านก็อิ่มอยู่ด้วยการยกจิตวิญญาณของประชาชน ไม่ต้องกินข้าวก็ได้ พูดแล้วมันจะไม่มีใครเชื่อว่าครูนี้มันอิ่มอยู่ได้ เลี้ยงชีวิตอยู่ได้ ด้วยความอิ่มใจว่าตนได้ยกสถานะทางวิญญาณของคนให้สูงขึ้น แล้วก็พอใจอยู่อย่างนั้นน่ะ จะ จะ จะ จะมีเงินใช้ จะไม่มีเงินใช้ เรื่องอันนี้ไม่ค่อยได้นึกถึง เพราะมันอิ่มเสียแล้วด้วยความเป็นปูชนียบุคคล นี่ สมัยหนึ่งมันมีได้อย่างนี้
ครั้นมาสมัยต่อมา มันมีไม่ได้ ยิ่งสมัยปัจจุบันนี้ด้วยแล้วมันก็ยิ่งมีไม่ได้ เป็นอันว่าต้องฝากเอาไว้เป็นเรื่องเดียวกัน มีการรับจ้างสอน แล้วก็มีการยกชีวิตวิญญาณของเด็กๆ ให้สูงขึ้นพร้อมกันไปในตัวในการรับจ้างสอนนั่นแหละ ทีนี้เราก็สอนให้สำเร็จประโยชน์ ในการที่ว่าชีวิตวิญญาณ อ่า,ของประชา อ่า, ประชาชนมันจะสูงขึ้น โดยเด็กๆ มันดีขึ้น เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่มันก็ดีขึ้น บ้านเมืองมันก็เต็มไปด้วยคนที่ดี นี่เราคำนึงถึงไอ้ความข้อนี้กันให้มาก คำว่าครูนี่ มาพูดจนเขารำคาญไม่อยากฟังกันเสียแล้ว ว่าผู้ยกสถานะทางวิญญาณให้สูงขึ้น
ในประเทศอินเดียเขามีคำว่าครู ใช้มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ก่อนพระพุทธเจ้า ก่อนอะไรที่จะมีในประวัติศาสตร์ คือมันก่อนประวัติศาสตร์ และเขาค้นพบในปัจจุบันนี้ว่า คำๆ นี้ ศัพท์คำนี้ คำว่า ครุ เมื่อเป็นคำกริยาเนี่ย รากของศัพท์มันแปลว่า เปิดประตู เปิดประตู มันคงจะเอามาจากเปิดประตูคอกให้วัว ให้ควาย ให้หมู ให้ออกไปจากคอก คำว่า ครุ คือแปล คือ คือกริยาเปิดประตู ครูก็คือผู้เปิดประตู แต่ว่าเปิดประตูทางจิต ทางวิญญาณ ให้สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในคอกอันมืด อันเหม็น อันสกปรก อันทนทุกข์ทรมานนั้นน่ะ ได้ออกมาเสียจากคอก นี้เลยครูเป็นอย่างนี้ ครูแปลว่าผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ที่จะแปลว่าผู้นำทางวิญญาณก็ได้เหมือนกัน แต่เป็นความหมายที่รองลงมาอีก ความหมายแท้ เดิมแท้นั้นคือ เปิดประตู เปิดประตูทางวิญญาณ สัตว์ออกมา ออกมาเสียจากคอกแห่งความทุกข์ทรมาน นี่คือ ครู
เราไม่พูดถึงว่าใครจะมาสัญญามาผูกมัดอะไร เราพูดอย่างเป็นอิสระว่าเราจะเป็นครูของเราเอง ทำหน้าที่ให้ยุวชน ลูกเด็กๆ นี่ ออกมาเสียจากคอกแห่งความทุกข์ทรมาน คือความไม่รู้ ความเลวทราม ความเป็นอยู่อย่างทำตนเองให้เป็นทุกข์ ทำผู้อื่นให้เป็นทุกข์ นี่เรียกว่าคอกแห่งความทรมาน จะเปิดประตูให้สัตว์ทั้งหลายออกมาเสียจากคอกแห่งความทรมาน นี้ก็คือความเป็นครู เราจะเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณให้แก่โลก นี่ครูกับโลกผูกพันกันอย่างนี้ ครูเป็นผู้รับผิดชอบต่อโลก เหมือนที่ได้พูดแล้วตั้งแต่ต้นว่าครูเป็นผู้รับผิดชอบต่อโลก รับผิดชอบต่อโลก ก็คือให้โลกออกมาเสียจากกองทุกข์ ความผิดพลาด ความทุกข์ทรมานในชีวิต ออกมาเสียได้ คนอื่นทำไม่ได้ นอกจากครูจำพวกเดียวที่จะรู้เรื่องนี้ และสอนเรื่องนี้ ให้คนมันออกมาเสียได้
นี่ครูเป็นผู้รับผิดชอบต่อโลก ในการที่จะเปิดประตูทางจิต ทางวิญญาณให้ทุกคนออกมาเสียจากปัญหานานาประการ คือความทุกข์ทรมานอย่างยิ่งนั่นเอง ครูจะต้องรับผิดชอบ คือปฏิเสธไม่ได้แหละ ที่จะไม่รับผิดชอบ ปฏิเสธไม่ได้ และหน้าที่ก็ปฏิเสธไม่ได้ คือทำให้เป็นผู้ทำตนให้เป็นผู้เปิดประตูให้คนออกมาเสียจากปัญหา คือความทุกข์ทั้งปวง ทีนี้ก็มาทำกันกับเด็กๆ ที่ต้อง ต้อง ที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปก็ครู อยู่ในระยะที่ต้องทำกับเด็กๆ เพราะเด็กๆ มันเป็นจุดตั้งต้นของมนุษย์ เราจึงต้องทำกับเด็กๆ กันก่อน เด็กๆ อยู่ในวัยที่พอจะอบรมสั่งสอน ชักจูงไปได้ ระบบการศึกษาจึงวางไว้สำหรับเด็กๆ ไม่ไปวางไว้สำหรับคนแก่ มันทำไม่ได้ ครูจึงมีหน้าที่ที่จะต้องทำกับเด็กโดยตรง
ทีนี้เราก็ต้องเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าเด็กให้ดีๆ ได้ยินใครพูดกันเกร่อไปเลยว่าเด็ก ๆ คือทรัพยากรของโลก เด็กคือทรัพยากรของโลก เราฟังแล้วรู้สึกว่ามันบ้าๆ บอๆ อย่างไรก็ไม่รู้ ไอ้ทรัพยากรน่ะที่จะเอาไปใช้เป็นส่วนประกอบ สำหรับทรัพย์นั้นน่ะ มันความหมายหนึ่ง เด็กอาจจะถูกใช้เป็นอย่างนั้นก็ได้ เป็นส่วนประกอบของโลกในอนาคต แต่เรายังมองเห็นเด็กในลักษณะที่ลึกซึ้งกว่านั้นว่า เด็กนั้นคือผู้สร้างโลก เด็กๆ นั่นแหละคือผู้สร้างโลกเหมือนกับพระเจ้าสร้างโลก พระเจ้าจะสร้างโลกให้เป็นอย่างไรก็ได้ ก็เพราะว่าเป็นพระเจ้า ทีนี้เด็กๆ มันก็จะสร้างโลกได้ทำนองพระเจ้าตามที่เด็กๆ มันเป็น ถ้าเด็กๆ ทุกคนมันเลว ไอ้โลกนี้มันก็เป็นโลกที่เลวขึ้นมาทันที ถ้าเด็กๆ มันดี มันถูกต้อง ไอ้โลกนี้มันก็ดีขึ้นมาทันที มันแล้วแต่เด็กทุกคนที่มีอยู่ในโลก ถ้าเด็กดีโลกก็ดี ถ้าเด็กเลวโลกก็เลว เพราะฉะนั้นเด็กน่ะคือผู้สร้างโลก จะมองในแง่ทรัพยากรก็ได้ แต่ว่ามันไม่ ไม่ตรง ตรง ความ ความหมาย มันเป็นผู้สร้างโลกมากกว่าที่จะเป็นทรัพยากรของโลก ครูสร้างโลกโดยผ่านทางเด็กอีกทีหนึ่ง เด็กวันนี้ในอนาคตมันเป็นผู้สร้างโลก คือประกอบกันขึ้นแล้วเป็นโลก
ทีนี้เด็กจะเป็นอย่างไร มันก็แล้วแต่ครูในปัจจุบันนี้ที่จะสอนเด็กอย่างไร ครูก็คือผู้สร้างโลกอยู่หลังฉาก เด็กมันสร้างโลกโดยตรงอะ ทีนี้ครูอยู่หลังฉาก คือสร้างเด็กให้เป็นอย่างไร เด็กเป็นอย่างไร โลกก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นครูก็คือผู้ร่วมมือกันกับเด็ก ในการที่จะสร้างโลกในอนาคตนั่นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เพราะฉะนั้นครูเราควรจะรับผิดชอบถึงขนาดนี้ รับผิดชอบต่อโลก รับผิดชอบถึงขนาดที่ว่าจะสร้างโลกที่ดี หรือสร้างโลกที่เลวขึ้นมา ถ้าเราสร้างเด็กของเราดีก็เท่ากับเราสร้างโลกที่ดี ถ้าเราสร้างเด็กของเราเลว เราก็เท่ากับว่าเราช่วยกันสร้างโลกที่เลว นี่ครูคือผู้ที่ทำได้อย่างนี้ สามารถทำได้ถึงอย่างนี้ ถ้าครูทราบเรื่องนี้ ครูก็จะรู้จักตัวเองทันทีว่าครูนี้คืออะไร ทีนี้ก็ดูกันถึงไอ้ครูแต่โบราณ เขาไม่ค่อยได้สอนหนังสือกันนักอะ เพราะโบราณไม่มีหนังสือใช้ โบราณก่อนพระพุทธเจ้ายิ่งไม่มีหนังสือใช้ โบราณในยุคพระพุทธเจ้าก็มีหนังสือใช้น้อยมาก แล้วก็ไม่ค่อยใช้ เป็นอย่างนี้กัน กันทั้งโลกอะ เพราะว่าเขาไม่นิยมใช้ขีดเขียนจดเป็นตัวหนังสือ เพราะตัวหนังสือมันก็ยังไม่ค่อยจะมี แต่เขาใช้ความจำ ดังนั้นเรียนอะไรก็ต้องจำ จำ จำ จำ อยู่ใน อย่างเดี๋ยวนี้ก็เรียกว่ามันอยู่ในพุง ไอ้ที่จะใช้เป็นหนังสือหนังหาตำรับตำรานั้นมันไม่มี เพราะฉะนั้นครูจึงไม่ค่อยได้มีเรื่องสอนหนังสือ แต่มันจะสอนความรู้ แล้วทุกคนก็จำไว้ในพุง มีคำพูดล้อๆ ว่า ครูบาอาจารย์ชั้นดีเลิศ จะต้องเอาเหล็กพืดมาตีเป็นเข็มขัดรัดพุงไว้ อย่าให้พุงมันแตกเพราะความรู้มันมาก ไอ้คำพูดล้อๆ อย่างนี้ก็เพื่อเป็นเครื่องคำนวณดูว่าเขาเก็บความรู้ไว้ในพุงกันทั้งนั้น
ยุคต่อมายังค่อยรู้จักใช้หนังสือ ครั้งพุทธกาลก็ไม่รู้จักใช้หนังสือ พระไตรปิฎก ๘๔,000 ธรรมขันธ์ ก็ใช้ความจำไว้ในใจ ท่องด้วยปากจำไว้ด้วยใจ ไม่ใช้หนังสือ ตั้ง ๕00-๖00 ปี ต่อมาจึงใช้หนังสือ จึงเขียนลงเป็นตัวหนังสือ ครูสมัยโบราณไม่ค่อยได้สอนหนังสือ แต่สอนธรรมะ คือความเป็นมนุษย์ ถ้าใครเคยอ่านหนังสือสังข์ อ่า, สังข์ทองตอนท้าวสามลนะ ที่เทวดาส่งหนังสือมาบอกท้าวสามลให้ตีคลีกันนั้นน่ะ ใช้คำว่ามาส่งสาสน์ มาแสดงสาสน์ แต่ไม่มีหนังสือสักตัวหนึ่ง ไอ้เทวดาตัวนั้นต้องมาถีบประตูให้พัง แล้วไปยืนตะ ตะโกนใส่หัวว่านายของฉันสั่งมาอย่างนี้ สั่งมาอย่างนี้ นั่นน่ะคือสาสน์ ไม่มีหนังสือสักตัวหนึ่ง แต่เขาก็เรียกว่า ส่งสาสน์ เหมือนกัน คือข่าว คือสาสน์ที่ส่งมา แต่ไม่ได้เขียนหนังสือ เพราะมันไม่มีหนังสือใช้ ดังนั้นคำว่าสาสน์ ก็คือข่าวที่เอามาบอก นี่ลักษณะอย่างนี้สืบกันมาแต่โบรมโบราณ พระเจ้าแผ่นดินส่งสาสน์ไปยังพระเจ้าแผ่นดินอีกพระ เมืองหนึ่ง ก็คือว่าใช้คนไปบอก ต้องต้อนรับอย่างดี แล้วคนนั้นก็ประกาศว่า นายของข้าพเจ้าสั่งมาว่าอย่างไรเลย
เรื่องหนังสือนี่ มันเป็นเรื่องทีหลัง แต่แล้วมันก็ดี มีประโยชน์ เพราะว่าจะบันทึกสิ่งต่างๆ ไว้ได้มาก แล้วมันก็อยู่เป็นหลักฐานดี เอาเป็นว่าเดี๋ยวนี้เราก็มีหนังสือใช้กันแล้ว จำเป็นอย่างยิ่ง เราจึงต้องสอนหนังสือ ต้องเรียนหนังสือ ต้องสอนหนังสือ ต้องเรียนหนังสือ ให้สำเร็จประโยชน์อย่างเต็มที่ นี่เป็นหน้าที่ของครู แต่แล้วก็จะต้องรู้ว่าหนังสือนี่มันเรื่องอะไร สอนว่าอย่างไร จะต้องทำอย่างไร และก็ต้องทำให้ได้ตามนั้น มันไม่ใช่เพียงแต่สอนให้รู้หนังสือ แต่สอนให้มีความรู้ มีการประพฤติปฏิบัติ กระทำตามข้อความในหนังสือ นี่คือส่วนศีลธรรมหรือจริยธรรมที่ครูจะต้องเชี่ยวชาญ และก็สอนให้เด็ก ให้เด็กๆ เขาใช้ประโยชน์ได้ จนเด็กของเรารู้หนังสือ รู้วิชาชีพ รู้ความเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร
ครูเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณให้พ้นจากอุปสรรคของความไม่รู้ ทุกๆ ประการ นี่วันครูมาถึงกันแล้ว เป็นที่ระลึกในวันนี้ เราก็มาระลึกกันถึงข้อนี้ คือเรามีหน้าที่สร้างโลกโดยที่ใครก็ไม่รู้มอบให้ โดยที่ความเป็นธรรม หรือความยุติธรรมที่เรียกกันว่าสัญญาประชาคม ทุกคนในโลกแบ่งหน้าที่กันตามความเหมาะสมแล้ว ต่างคนก็ยอมรับหน้าที่นั้นๆ ไปประพฤติปฏิบัติ เป็นส่วนของตน ของตน เป็นพวกๆ ไป ชาวนา ชาวสวน ข้าราชการ ทุกๆ แขนงงานในโลกนี่ มันเป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องรับเอาอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหน้าที่ของตน นั่นน่ะ คือธรรมะ
ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ นี่เป็น อ่า, เป็นของแปลก ของใหม่ เพราะไม่ค่อยจะได้พูดกัน ไม่ค่อยจะได้พูดกันว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ เรายังโง่ต่อคำๆ นี้ ซึ่งเป็นภาษาอินเดีย ปทานุกรมอินเดียคำว่า คำว่าธรรมะ ก็แปลว่าหน้าที่ ทุกคนมีหน้าที่ นก หนู ปู ปลา ก็มีหน้าที่ เด็ก ผู้ใหญ่ อะไรก็มีหน้าที่ ถ้าได้ประพฤติหน้าที่ของตนแล้ว ก็ชื่อว่าประพฤติธรรมะ คือมีธรรมะ ครูก็มีหน้าที่ของครู เป็นธรรมะของครู คือเปิดประตูทางวิญญาณให้คนออกมาเสียจากความโง่ เป็นอันว่าเรา ได้รับมอบหมาย หรือถูกเกณฑ์ก็ได้ ให้ทำหน้าที่สูงสุดคือ เปิดประตูทางวิญญาณ จะเรียกว่าถูกเกณฑ์ก็ได้ จะเรียก อ่า, จะเรียกว่าถูกเชื้อเชิญ อ้อนวอน ขอร้องก็ได้ แต่เราไม่รู้ทั้งสองอย่างอะ เรามาเป็นครูกันโดยมาก รู้แต่เพียงว่าจะได้เงินเดือนเลี้ยงชีวิต มันจึงตกอยู่ในฐานะเป็นกรรมกรสอนหนังสือเสียมากกว่า เดี๋ยวนี้เรารู้แล้ว เราก็เลื่อน เลื่อน เลื่อนจากความเป็นกรรมกรสอนหนังสือเลี้ยงชีวิต มาเป็นครูผู้เปิดประตูทางวิญญาณของมนุษย์ และความเป็นครูก็จะสมบูรณ์ คือศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิม แปลว่ามีฐานะอยู่เหนือเกล้า เหนือเศียร เหนือศีรษะของคนทุกคน เป็นที่เคารพของคนทุกคน เพราะทุกคนต้องอยู่อย่างมีที่เคารพ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ยกเว้น
ครูนั่นแหละเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป เพราะว่าสามารถจะสอนธรรมะ ครูสามารถจะสอนหน้าที่ คือธรรมะให้คนทุกคนรู้จักหน้าที่ของตน นี่เด็กๆ ก็มีหน้าที่จะต้องเล่าเรียน จะต้องประกอบอาชีพ จะต้องทำตนให้เป็นมนุษย์ที่ดี ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ได้รับสั่งสอนแนะนำชี้แจงมาจากครู ดังนั้นครูจึงอยู่ในฐานะผู้มีพระคุณ เหนือเกล้า เหนือเศียรของคนทุกคนในโลก แต่ก่อนนี้ได้ อ่า, ได้รับความรับรองอย่างนี้กันทั้งนั้น เพราะว่าถ้าเราไปศึกษาในแง่ของโบราณคดี ดูทั่วทุกชาติ ทุกประเทศในโลกนี้ จะพบตรงกันหมด ครูเคยเป็นปูชนียบุคคลสูงสุดตรงกันหมดของทุกชาติ ทุกประเทศในโลกนี้ และต่อมามันมีความเปลี่ยนแปลง ก็ไปหลงใหลในวัตถุ ก็เลยเฉออกนอกทางกันหมด ทั้งประชาชน และทั้งครู และทั้งผู้มีอำนาจในบ้านในเมือง ทำให้ครูรวนเร สถาบันของครูรวนเร จนกระทั่งครูลดฐานะลงมาเป็นกรรมกรรับจ้างสอนหนังสือไปวันหนึ่งๆ นี่เรียกว่าความแตกสลายของไอ้วิญญาณของครู แต่เราไม่ยอมอะ ข้อนี้ เรายังจะต้องต่อสู้ต่อไป จะรักษาสถานะของความเป็นครูไว้ให้ได้ โดยถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นจุดศูนย์รวม เป็นบรมครู จะสอนคนทุกคนให้อยู่เหนือความทุกข์ให้ได้ เราก็เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า จะทำงานในลักษณะนั้น แม้สอนหนังสือก็สอนเพื่อให้เขารู้จักความดับทุกข์ และสอนอาชีพก็สอนให้เขารู้จักความดับทุกข์ด้วยการมีอาชีพ และสอนให้เขารู้จักบังคับจิตใจ กาย วาจา ให้ถูกต้อง ก็เพื่อมีความสุขอันแท้จริงที่มนุษย์จะมีได้ มันก็เป็นหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นในการพบกับท่านทั้งหลายที่เป็นครู ซึ่งอาตมาก็เป็นครู ก็เป็นครูเหมือนกัน ว่าเราจงช่วยกันทำหน้าที่ของครูเถิด ไม่เพียงแต่สอนหนังสือ หรือสอนอาชีพ แต่จะต้องสอนธรรมะด้วย ธรรมะคือความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง สอนให้เขามีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องให้ได้ นั่นก็คือหน้าที่ของเขา เขาจะต้องเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง นั่นคือหน้าที่ของเขา เราสอนให้เขาสามารถทำหน้าที่ของเขาให้ได้ ก็เรียกว่าไม่บกพร่องในหน้าที่ จึงหวังว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะได้พิจารณาด้วยดี ซึ่งความเห็นอันนี้ ซึ่งเสนอแก่ท่านทั้งหลายในฐานะที่ว่าเป็นครูด้วยกัน อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่ามีความยินดีในวันนี้ ในการที่ได้พบครูซึ่งเป็นสหายทางธรรมะด้วยกัน เป็นผู้ร่วม ร่วมกันทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ในโลกนี้ นี่ขอให้วันชนิดนี้คือวันครูนี้เป็นวันที่มีความสว่างไสวรุ่งเรือง แจ่มแจ้งยิ่งๆ ขึ้นไปทุกๆ ปี และการมาประชุมกันของเราที่นี่ก็จะมีความหมาย มีค่าถึงที่สุด และขอให้เราได้พบกันมากกว่าหนึ่งครั้งต่อปี ก็จะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป
เอาละ การบรรยายถึงเรื่องวันครูปีนี้ ก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว มันเหลือเป็นใจความสั้นๆ ว่า โลกเรากำลังขาดมนุษย์ที่ถูกต้อง ทั้งโลกมันขาดมนุษย์ที่ถูกต้อง มันจะกลับมีมา ก็เพราะว่าการเป็นครูนี่ ได้รับการปรับปรุงดีขึ้น ดีขึ้น ทำหน้าที่ของครูได้ดีขึ้น มีการสอนที่ถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วนยิ่งขึ้น จนเด็กๆ ของเราเป็นเด็กดี พอเด็กๆ ดี โตขึ้นมาในโลก มันก็เป็นโลกที่ดี ครูก็มีความภูมิใจตัวเองที่ว่าได้ช่วยกันสร้างโลกที่ดี จะพูดแถมท้ายว่า ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา หรือศาสนาไหนก็ได้ ถ้าครูบางคนจะถือศาสนาอื่น มันก็มีความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน ตรงตามความมุ่งหมายของศาสนานั้นๆ คือช่วยกันทำโลกให้ดี การบรรยายนี้สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติลงด้วยความหวังว่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะมีความคิดที่ถูกต้องแน่วแน่ มั่นคง เฉียบขาดยิ่งขึ้น เพื่อปฏิบัติหน้าที่ครูของตน ให้ถูกต้องสมบูรณ์แล้วมีความพอใจในการกระทำของตน อันจะนำมาซึ่งความสุขทุกทิพาราตรีกาลเป็นแน่นอน ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้