แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ ในฐานะผู้ที่เรียกตัวเองว่า “ครู” ข้อนี้เราจะต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบรมครูของครูทั้งหมด คือท่านเป็นครูของโลก สาวกของพระพุทธเจ้าก็ทำหน้าที่เดียวกัน ตามพระพุทธประสงค์ซึ่งตรัสไว้ชัดเจนว่า ให้ช่วยกันทำให้มีธรรมวินัยอยู่ในโลกนี้เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ทุกเรื่องท่านจะย้ำเรื่องประโยชน์ของเทวดาและ มนุษย์ หมายความว่าไม่ยกเว้นอะไรที่เราจะเกี่ยวข้องได้ทั้งหมดก็มี ๒ พวกคือ เทวดาและมนุษย์ เทวดาคือผู้ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากิน คือรวยแล้ว มีบุญแล้ว อะไรแล้วอย่างนั้น มนุษย์ก็ยังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังต้องเหน็ดเหนื่อยและทำมาหากิน จะพูดให้สั้นอีกทีหนึ่งก็ว่า เทวดาคือผู้ไม่รู้จักเหงื่อ มนุษย์คือผู้ที่ยังต้องอาบเหงื่อ แต่ว่าทั้งผู้ที่อาบเหงื่อและไม่ต้องอาบเหงื่อ มันก็ยังมีปัญหาอันหนึ่งร่วมกันอยู่คือความทุกข์ เกี่ยวกับกิเลส โดยเฉพาะก็เกี่ยวกับความโง่ของตน ๆ ยังมีปัญหานานาชนิดรบกวนจิตใจเกี่ยวกับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ดังนั้น การสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจึงมีการสั่งสอนเพื่อประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้โลกเขาแบ่งเป็นนายทุนกับกรรมกร ๒ พวก มันจะต่างกันอย่างไรในส่วนไหน แต่มันยังเหมือนกัน โดยที่ว่ามันโง่ต่อการที่จะแก้ปัญหาทางจิตใจ ฉะนั้นธรรมะจึงต้องมีทั้งแก่พวกนายทุนและพวกกรรมกร เพื่อจะแก้ปัญหาส่วนลึกของจิตใจ เดี๋ยวนี้มันกำลังโง่ รบกัน ฆ่าฟันกันด้วยปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง ซึ่งไม่ใช่ปัญหาสำคัญอะไรนัก ปัญหาสำคัญแท้จริง บีบคั้นจิตใจจริง ๆ คือปัญหาเกี่ยวกับกิเลส ดังนั้น พระพุทธศาสนาหรือพระศาสดา จึงมีการสั่งสอนเรื่องดับทุกข์ในชั้นนี้โดยตรง นี่เราก็ จะโดยตรงก็ตาม โดยอ้อมก็ตาม เป็นผู้ที่นับเนื่องหรือสังกัดอยู่ในพระบรมครู คือพระพุทธเจ้า ถ้าครูทุกคนคิดอย่างนี้ จะไม่มีปัญหาอะไรเลย เดี๋ยวนี้ครูส่วนมากไม่คิดอย่างนี้ ทำตนเป็นเหมือนกับกรรมกรรับจ้างสอนหนังสือ หากินไปวันหนึ่ง ๆ อย่างนี้มันไม่เข้าไปในขอบเขตของคำว่า “ครู’” ตามความหมายเดิม เพราะคำว่า “ครู” นั้นไม่ใช่กรรมกรรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่ง ๆ ดังนั้น เราจึงจะต้องพูดกันถึงเรื่องครู ๆ ศิษย์ ๆ นี้กันบ้าง มาตั้งแต่ต้นเดิม คือเราจะต้องนึกถึงข้อที่ว่า เพราะโลกนี้ มันเป็นโลก มันเป็นโลกที่มีมนุษย์ มีมนุษย์อยู่กันขึ้นเป็นอันมาก มีการเป็นอยู่ รอดชีวิตอยู่ได้แล้ว มันก็เกิดปัญหาทางจิตใจ คือไม่ว่าจะรวยอย่างไร มีกินแล้ว มีกิน มีใช้ มีวัว มีควาย ไร่นาอย่างไรแล้ว มันก็ยังมีปัญหาทางจิตใจ รบกวนจิตใจอยู่เสมอ นี่คนยุคดึกดำบรรพ์โน้น มันมีสภาวะอย่างนี้อยู่ แล้วก็มีคนบางคน ด้วยความคิดของเขาเอง อย่างไรก็ไม่แน่ แต่ว่าเขาได้หลีกออกไปนั่งคิด นอนคิดอยู่ในป่า ถึงข้อที่ว่าจะทำอย่างไร จึงจะพ้นจากปัญหาเหล่านี้ ซึ่งมนุษย์ทั่วไปในโลกนี่ประสบอยู่ นี่คนเหล่านั้นจึงคิดออก เรื่องทางจิตใจขึ้นมาเป็นพวกแรก รู้จักทำจิตใจให้พ้นจากการบีบคั้นของกิเลสและความทุกข์ตามสมควร เขาก็พอใจ พอใจแล้วก็บอกกล่าวให้ผู้อื่นทราบ จึงเกิดมีผู้พอใจตาม นี่คือลูกศิษย์ แต่ครูเป็นผู้พูดให้ฟังถึงเรื่องที่ยังไม่เคยฟัง ลูกศิษย์คือผู้ฟังแล้วก็ปฏิบัติตาม เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ก็ไม่ได้มีลักษณะอย่างนี้ คือไม่ได้คิดจะดับทุกข์ ลูกศิษย์เด็ก ๆ ของเราคิดแต่เรียนหนังสือให้เก่ง แล้วก็ได้งานที่แพง ๆ มีเงินมาก แล้วสนุกสนาน เอร็ดอร่อยกันเท่านั้นเอง ไม่ได้มีปัญหาที่จะดับทุกข์เหมือนกับคนชั้นแรกโน้น ที่เขาเป็นลูกศิษย์เพื่อจะตัดปัญหาในทางจิตใจ ดับทุกข์ในทางจิตใจ มันต่างกันอยู่ แต่อย่างไรก็ดี เราก็มีความหมายส่วนใหญ่คล้ายกันอยู่ คือว่าครูเป็นผู้พูด ศิษย์เป็นผู้ฟังและทำตาม ถ้ามันเป็นอย่างนี้จริง เดี๋ยวมันก็จะหมดปัญหา เดี๋ยวนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ครูก็ไม่มีเจตนารมณ์แห่งความเป็นครู อย่างที่พูดแล้วว่า รับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่ง ๆ มีโอกาสจะโกงได้ก็โกง เดี๋ยวนี้ครูโกงนี่ มันหนาหูขึ้น ในหนังสือพิมพ์หรือในอะไรต่าง ๆ แล้วศิษย์มันก็ไม่ใช่ผู้ฟังและไม่ใช่ผู้เชื่อฟังตามความหมายเดิม มันเปลี่ยนวัฒนธรรม ศิษย์กลายเป็นผู้ต่อต้านครูกันมากขึ้น ๆ มันก็ไม่ได้ผลมุ่ง มุ่งสมตามความมุ่งหมายเดิม นี่คำว่าศิษย์กับคำว่าครูมันเปลี่ยนไปอย่างนี้ ถ้าว่าเราจะทำการแก้ปัญหานี้ได้ ให้ครูเป็นผู้พูดอย่างดีที่สุดด้วยความเมตตากรุณา แล้วก็ศิษย์ก็ฟังดีที่สุด แล้วก็ปฏิบัติตามด้วยความเคารพ เรื่องก็จะหมดปัญหา นี่เรื่องครู ๆ ศิษย์ ๆ มันเกิดขึ้นในโลก ในยุคแรกอย่างนี้ แล้วก็มีเรื่อยมาในลักษณะอย่างนี้ ต่อมามันก็มีคำอื่น ๆ เกิดขึ้น ประกอบอีกหลายคำ เช่น ครู อาจารย์ อุปัชฌาย์ อะไรก็ตาม แต่ความหมายมันอยู่ที่คำว่าครู ในภาษาบาลีสันสกฤต จะพบว่า คำว่า “ครู” นี่ ผู้ชักนำในทางวิญญาณ คำว่าอุปัชฌาย์เสียอีกเป็นอาจารย์สอนวิชาชีพ แต่เดี๋ยวนี้เราก็มีการบัญญัติเฉพาะสมัยนี้แล้ว ครูคือผู้สั่งสอนเรื่องที่ควรจะรู้ แต่ก็ไม่เป็นอิสระเหมือนครูสมัยที่อยู่ในป่า ในดงอย่างโน้น เพราะเดี๋ยวนี้ครูเป็นลูกจ้างสอนหนังสือก็ต้องทำตามคำสั่งของนายจ้าง ถ้านายจ้างเขาวางระเบียบมาดี มีหลักสูตรดี ก็ทำได้ดี แต่ถ้าผู้มีอำนาจนั้น เขาวางหลักสูตรไม่ดี มันก็มีการบกพร่อง จนกระทั่งว่าเดี๋ยวนี้การศึกษามีลักษณะเป็นหมาหางด้วน คือสอนแต่หนังสือกับสอนแต่วิชาชีพ และที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่ง เป็นอย่างที่สาม มันไม่สอน นั่นคือ ศีลธรรม สอนแต่หนังสือกับวิชาชีพ ไม่ให้ความสำคัญแก่ศีลธรรม มันก็ขาดศีลธรรม มันมีเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ของสังคมศึกษา ซึ่งเด็กก็จดไว้ในสมุดนิดหน่อยเท่านั้นเอง ก็แปลว่าการศึกษาส่วนใหญ่ ทั้งโลกก็ว่าได้ มันเป็นลักษณะหมาหางด้วนด้วยกันทั้งนั้นแหละ ไทยเราประเทศเล็ก ๆ ไปตามก้นประเทศใหญ่ ๆ มันก็รับเอาระบบของประเทศใหญ่ ๆ เหล่านั้นมา มันก็พลอยหางด้วน เมื่อก่อนนี้การศึกษาในประเทศไทยเราหางไม่ด้วน เพราะคำว่าการศึกษาในประเทศไทยในสมัยโบราณนั้นมันเป็นเรียนธรรมะ เรียนจริยธรรมเป็นหลัก แม้แต่กระทรวงที่มีหน้าที่อันนี้ ก็เรียกว่ากระทรวงธรรมการ มันเพ่งไปที่ธรรมะเป็นใหญ่ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นศึกษาธิการ มันก็เรียนกันแต่หนังสือ หนังสือนั้นยิ่ง ยิ่งเรียนก็ยิ่งฉลาด ยิ่งฉลาดก็รู้จักโกงให้ลึกซึ้ง คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวของรัชกาลที่ ๕ ที่ท่านกล่าวว่า ต่อไปนี้มันจะโกงกันพิสดาร เมื่อแรกท่านจัดการศึกษาแบบใหม่นี่ ท่านปรารภกับน้องชายของท่านคือ กรมพระยาวชิรญาณวโรรสว่า ต่อไปนี้มันจะโกงกันพิสดาร เพราะมันฉลาดอย่างไรเล่า เราจึงเรียกว่า ไอ้รู้หนังสือนั่นมันไม่ได้หมายความว่าจะแก้ปัญหาได้ ถ้าว่ามันไม่ตรง ถ้าว่ามันคด มันไม่มีศีลธรรม ยิ่งรู้ ยิ่งฉลาด ยิ่งฉลาด ยิ่งโกงลึก โกงจนควบคุมยาก ทีนี้วิชาชีพก็เหมือนกัน ยิ่งมีวิชาชีพ ไม่ใช่จะยิ่งทำให้มีศีลธรรม มันยิ่งอยากรวย มันยิ่งเห็นแก่ตัว มันก็ยิ่งโกงเหมือนกัน มันก็ใช้วิชาชีพนั้นเอาเปรียบผู้อื่น เป็นอันว่าการรู้หนังสือก็ดี รู้วิชาชีพก็ดี ๒ อย่างนี้รวมกันแล้ว แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมันช่วยให้คนอยากโกงมากขึ้น เราก็ต้องเอาวิชาศีลธรรมมาเป็นเครื่องช่วยกำกับไว้ อย่าให้เกิดการโกงเพราะความฉลาด เกี่ยวกับรู้หนังสือหรือรู้ รู้วิชาชีพ นี่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องหางด้วน มันไม่มีผลเป็นความสงบสุขในสังคม ยิ่งเรียนมาก ยิ่งฉลาดในการโกง ยิ่งมีอาชีพดี ยิ่งมีโอกาสมากในการที่จะโกง มันก็ล้วนแต่เป็นไปเพื่อการโกง โลกนี้ก็ไม่มีความสงบสุข ทีนี้ครูก็มัวสอนได้แต่หนังสือกับวิชาชีพตามที่นายจ้าง ต้องใช้คำว่านายจ้างดีกว่า หรือผู้จัดการศึกษา หรือกระทรวงศึกษาธิการ ก็วางหลักสูตรไว้อย่างนั้น เป็นการดูถูกพระพุทธเจ้าอย่างยิ่งที่กันเอาไอ้ธรรมะออกไปจากการศึกษา ซึ่งสมัยก่อนประเทศไทยเราก็ไม่เคยทำ มาอยู่วัดนั่นก็เรียกการศึกษา มาเรียน ๆ ๆ ธรรมะ หรือปฏิบัติธรรมะ หรืออบรมธรรมะอยู่เป็นประจำมากกว่าเรียนหนังสือ หรือเรียนวิชาชีพ วัดสมัยโบราณเขาก็เรียนหนังสือและเรียนวิชาชีพกันบ้างเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ที่มันได้รับ มันเป็นเรื่องจริยธรรม เห็นอยู่ เห็นตัวอย่างอยู่ ปฏิบัติอยู่ ถูกควบคุมให้ปฏิบัติอยู่ทั้งวันทั้งคืนในเรื่องของศีลธรรม ฉะนั้นคนที่เคยอยู่วัด บวชเรียนในสมัยก่อนนั้น มันจึงรู้ครบ การศึกษาของเขาหางไม่ด้วนนะ หนังสือก็รู้ วิชาชีพก็รู้ มีศีลธรรมด้วย นี่ปัญหาเกี่ยวกับการศึกษา หรือครู หรือหน้าที่ของครู กำลังมีอยู่อย่างนี้ อาตมามาพูดให้ฟังในฐานะที่ว่าเป็นเรื่องที่มันเกี่ยวกับครู เรื่องอะไรบ้างก็เท่าที่จะนึกได้ ตามที่จะนึกได้ หรือตามที่เคยสนใจมาตลอดเวลา ฉะนั้นเรามารู้ว่าปัญหามันกำลังมีอยู่อย่างไร นี่มันมีอยู่อย่างนี้แหละ คือว่าการศึกษามันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถป้องกันหรือกำจัดความเห็นแก่ตัว ทีนี้โลกมันก็เจริญขึ้น เจริญขึ้นในทางส่งเสริมกิเลส แล้วก้าวหน้าในการผลิตวัตถุส่งเสริมกิเลสที่เรียกกันว่าความเจริญ ล้วนแต่เป็นเรื่องส่งเสริมกิเลสทั้งนั้น มันก็เกิดปัญหายากลำบากในการที่จะควบคุมไอ้คนในโลกให้มีศีลธรรม เพราะมันผลิตกันแต่เครื่องส่งเสริมไม่ให้มีศีลธรรม วัตถุปัจจัยแห่งกามารมณ์ ความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังนี่ มันผลิตมากจนเป็นอุตสาหกรรม เป็นมหาเศรษฐี เพราะผลิตเหล่านี้ขาย ผลิตสิ่งเหล่านี้ขาย คุณก็เห็น ๆ กันอยู่แล้ว นี่เป็นปัญหาทางศีลธรรมเกิดขึ้นว่าไอ้โลกมันเจริญรุ่งเรืองแต่ส่งเสริมกิเลส ทีนี้อีกทางหนึ่งแม้จะไม่สำคัญมาก มันก็สำคัญเหมือนกันก็คือว่าไอ้พลโลกนี้มันเพิ่มมาก เพิ่มเร็ว จนควบคุมกันไม่ค่อยจะทัน ไม่เหมือนแต่ก่อน ซึ่งมันมีน้อย ก็พอจะควบคุมกันได้ ปัญหาเรื่องพลโลกมันเพิ่มเร็ว และการศึกษาเป็นหมาหางด้วน รวมกัน ๒ อย่างนี้แล้วก็ทำให้เกิดปัญหาแก่บุคคลที่เป็นครู เพื่อที่จะสอนเด็กให้เป็นไปตามความประสงค์ของไอ้การศึกษานั้น มันไม่ได้ การศึกษานี้อย่างน้อยมันก็ต้องเพื่อควบคุมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ คนทั่วไปเกิดมาก็มีสัญชาตญาณอย่างสัตว์ ถ้าไม่ควบคุมมันก็เจริญไปเป็นคนพาล เป็นอันธพาล ฉะนั้นการศึกษาจะต้องช่วยควบคุมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ เลยเป็นหน้าที่ของครูที่จะควบคุมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ของคนในโลก ปัญหามันก็เกิดอย่างนี้ ทีนี้เราก็มาพูดกันถึงเรื่องความหมาย หรือเจตนารมณ์ หรืออุดมคติของครูกันสักหน่อย ว่าครู ครูนี้ที่แท้จริง มันควรจะมีเจตนารมณ์อยู่ที่ตรงไหน อาตมาเคยพูดมาหลายสิบครั้งแล้ว ว่ามันอยู่ที่นำในทางวิญญาณอย่างหนึ่ง แล้วก็มีหน้าที่สร้างโลกให้ดีขึ้น แต่มันก็เนื่องกันแหละ ไอ้ที่นำทางวิญญาณนั้น ก็คือนำในทางสร้างโลกให้มันดีขึ้น ครูเป็นผู้สอน สอนอะไร สอนธรรมะ ก็คือเรื่องที่จะให้คนเอาชนะกิเลสนั่นแหละ เรียกว่าธรรมะ ไอ้ธรรมะคำนี้ ความหมายที่ดีที่สุดที่เขาตกลงกันสมัยนี้ก็คือว่าการปฏิบัติเป็นระบบ ๆ ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ทุก ๆ ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา มนุษย์มีขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการเรื่อยไป การกระทำใด ๆ ที่มันเป็นความเจริญทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ อันนั้นก็เรียกว่าธรรมะ เดี๋ยวนี้ ครูสอนเด็กในโรงเรียนว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็มักจะตายด้านอยู่เพียงแค่นั้น เพราะไม่รู้ว่าสอนอะไร ถ้าให้มันตลอดไป ก็ว่าสอนธรรมะคือ คือความรู้ที่ถูกต้อง หรือจำเป็นแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ข้อแรกคือให้รอดชีวิตอยู่ได้ ข้อสองเพื่อให้รอดชีวิตแล้วให้ดี ๆ ๆ ๆ ยิ่งขึ้นไปจนถึงที่สุด นั้นแหละคือ ฉะนั้นความเจริญของความเป็นมนุษย์หรือเจตนารมณ์ของธรรมะจะช่วยให้เขารอดอยู่ได้ ครั้นรอดอยู่ได้แล้วให้เขาได้ดีที่สุด ครูก็สอนธรรมะ ฉะนั้นครูก็เป็นผู้นำทางเหมือนมัคคุเทศก์ ฉะนั้นปทานานุกรมในประเทศอินเดียจึงเป็นที่มาของคำ ๆ คำเหล่านี้ ซึ่งเป็นคำอินเดียทั้งนั้นแหละ เขาให้คำแปลของคำว่าธรรมะไว้อย่างนี้ แล้วก็ให้คำแปลของคำว่าครู ครู ไว้ว่าเป็นผู้นำทางวิญญาณ แล้วคำว่าครูนี้ใช้ตั้งแต่ระดับสูงสุดลงมาจนถึงระดับต่ำสุด ระดับสูงสุดก็ใช้กับพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินก็มีครู เขาเรียกว่าครูก็มี เรียกว่าอื่น ๆ คำอื่น เช่น คำว่าปุโรหิต อะไรก็ตามนี่ มันมีความหมายเป็นครูทั้งนั้น เป็นครูของรัฐไปเสียก็มี อภิรัฐ มหาคุรุโน้น เป็นครูของประเทศไปเลย นั่นคือคำว่าครู ก็แปลว่า spiritual guide มัคคุเทศก์ฝ่ายวิญญาณ แล้วก็มีนักศึกษาอักษรศาสตร์บางคนยืนยันเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า คำว่าครู คุรุ ครูนี่ root รากของศัพท์นั้น แปลว่าเปิดประตู คำว่าคุรุ แปลว่าเปิดประตู ให้สัตว์ที่ถูกขังอยู่ในคอกออกมาได้ สัตว์ที่ถูกขังอยู่ในคอก มันมืด มันสกปรก มันลำบากยากเข็ญเหมือนถูกขังคอก แล้วเปิดประตูคอกให้มันออกมาได้ นี่ครูแปลว่าผู้เปิดประตู เป็นการเปิดประตูทางวิญญาณให้ ให้จิตใจออกมาเสียได้จากอวิชชา ความโง่เขลาและความทุกข์ แม้ครูคนแรกที่ออกไปจากเรือนแล้วไปอยู่ในป่า นั่งคิด นั่งคด ค้นพบนี่ เป็นการเปิดประตูเหมือนกัน เขาออกไปได้จากคอกก่อนเป็นคนแรก แล้วไปนั่งคิดนั่งค้น จนพบวิธีเปิดประตูให้ทุกคนออกมา ๆ ตามเขา ก็เลย ครูคือผู้เปิดประตูทางวิญญาณ จงไปสังเกต ศึกษาดูจากคอกเป็ด คอกหมู คอกไก่ คอกอะไรก็ตามเถิด ที่เขาปิดคอกไว้ทั้งเหม็น ทั้งมืด ทั้งสกปรกนี่ ทั้งอัดแอนั้น มันอยู่กันอย่างไร ทีนี้พอเปิดประตู มันก็ออกมาได้นี่ สบาย คนมนุษย์นี่ มันอยู่ในคอกแห่งอวิชชา ความโง่ของมันเอง กิเลสของมันเอง ความทุกข์ของมันเอง คอกของมนุษย์จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ จะเรียกวัฏฏสงสารหรืออะไรก็ตาม มันเป็นคอกที่มืดคือมันมีอวิชชา มีความโง่ แล้วมันก็เดือดร้อนคือความทุกข์ มันเน่า มันเหม็น อยู่ด้วยกิเลส มันอยู่ในคอกนั้น เปิดประตูคอกนั้น แล้วคุณก็ออกมาเสียได้ นี่คือหน้าที่หรือเจตนารมณ์อันแท้จริงของคำว่าครู เปิดประตูทางวิญญาณให้สัตว์ออกมาเสียจากคอก แม้ว่าสอนหนังสือ สอนเลข สอน ก. ข. ก. กา ก็มีความหมายอันนี้ เพราะว่าเด็กมันโง่อยู่ในคอกของความไม่รู้ ไอ้เด็กทารก ชั้นอนุบาลก็ตาม มันโง่อยู่ในคอกของความไม่รู้ เราก็เปิดประตูคอกให้มันออกมาเสียได้จากคอกนั้น ก็ความหมายเดียวกัน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลขึ้นไปถึงชั้นมหาวิทยาลัย หรืออะไรก็ตามถ้ามันจะมีมากกว่านั้น มันก็เรียกว่าเปิดประตูให้ออกมาเสียได้จากคอกที่กักขังดวงวิญญาณ ด้วยความโง่ ด้วยความไม่รู้ ด้วยกิเลส ด้วยความทุกข์ นี่เป็นความหมายต้นที่สุดของคำว่าครู เจตนารมณ์ของคำว่าครู อุดมคติของคำว่าครู เป็นผู้ช่วยเปิดประตูให้สัตว์โลกออกมาเสียได้ในทางปัญญา ทีนี้ความหมายเลื่อนมาเป็นความหมายที่สอง ซึ่งอาตมาอยากจะพูดว่าครูเป็นผู้ช่วยสร้างโลก หรือครูเป็นผู้สร้างโลกก็ได้ นี่ขอให้มองไปในแง่ว่าไอ้โลกนี่ มันจะเป็นไปตามที่ทุกคนในโลกเป็นอย่างไร ไอ้โลกนี้ มันจะดีหรือชั่วหรืออะไรก็ตาม มันจะต้องเป็นไปตามที่ว่า ทุกคนในโลกมันเป็นอย่างไร ทีนี้ทุกคนในโลกมันจะเป็นอย่างไร มันก็เป็นไปตามที่การ มันได้รับการศึกษา มันเป็นไปตามการศึกษาที่มันได้รับอย่างไร ที่มันได้รับ ทีนี้ครูเป็นผู้ให้การศึกษา ฉะนั้นครูให้การศึกษาแล้วให้คนเป็นอย่างไร ให้คนแต่ละคนเป็นอย่างไร โลกมันก็เป็นโลกแห่งคนอย่างนั้น นี้ไม่ต้องไปดูอะไรที่ไหน มันดูไปที่ความจริง ไม่ต้องคำนวณด้วยปรัชญาบ้าบออะไร มันเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไอ้โลก มันก็ต้องเป็นไปตามคนที่มีอยู่ในโลก คนที่มีอยู่ในโลกมันก็เป็นไปตามที่เขาได้รับการศึกษามาอย่างไร ฉะนั้นครูให้การศึกษาไปอย่างไร มันก็มีคนอย่างนั้นรวมกันเป็นโลก ฉะนั้นครูก็คือผู้สร้างโลกที่แท้จริง ยิ่งกว่าใครหมด ขอให้ดูให้ดีเถิด ครูให้การศึกษา ทำให้คนในโลกเป็นอย่างไร โลกนั้นมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าการศึกษามันเลว โลกมันก็เลว ถ้าการศึกษามันดี ไอ้โลกมันก็ดี นี่เรียกว่าไม่มองกันจุดนี้ แล้วไม่ปรับปรุงการศึกษาหรือครูให้ดี ให้ตรงตามที่เราต้องการที่จะให้โลกนี้เป็นอย่างไร โลกนี้จะมีสันติภาพอันถาวร หรือมิฉะนั้นก็มีวิกฤติการณ์อันถาวร มันจะมีความสงบสุขอย่างถาวร หรือมันจะมีความเดือดร้อนกระวนกระวายอย่างถาวร เดี๋ยวนี้เราเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าโลกนี้กำลังมีวิกฤติการณ์อย่างถาวร เดือดร้อนอันแรกก็ด้วยเรื่องสงครามระหว่างชาติ อาฆาตมาดร้ายไม่มีที่สิ้นสุด เกิดผลสะท้อนออกมาจากสงครามไปทั่วโลก แล้วเดือดร้อนกันไม่มีที่สุด มันทำให้อะไรปั่นป่วนไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางศีลธรรม ศีลธรรมล้มละลาย ไอ้คนก็เป็นอันธพาล ก็เดือดร้อนกันไปหมด แม้การเกิดอันธพาล ในป่าหรือในท้องถนน ในกรุงก็ตาม มันมีมูลมาจากมีความขาดแคลน ความไม่ถูกต้องทางเศรษฐกิจและทางศีลธรรม หรืออื่น ๆ ที่มันเนื่องกับศีลธรรม ทีนี้ก็เลยเดือดร้อนเพราะความไม่มีศีลธรรม แสดงออกมาเป็นสงคราม แล้วก็สร้างปัญหาทางศีลธรรม ทางการปกครอง ทางไอ้ ทุกอย่างเลย มาจากความไม่มีศีลธรรม ซึ่งมีผลมาจากสงคราม สงครามมันทำให้ถือศีลธรรมอยู่ไม่ได้ เพราะเขาอยากจะชนะท่าเดียว แล้วเขารู้สึกว่าถ้ามาถือศีลธรรมอยู่ เราก็เสียเปรียบผู้อื่น ผู้อื่นมันก็ได้เปรียบ เดี๋ยวนี้เป็นปัญหาอันหนึ่งที่กำลังครอบงำโลกนี้อยู่ อาตมาอยู่ที่นี่ก็ยังรู้ เพราะว่ามีคนมาถามมากเหลือเกิน เขามาถามว่าผมค้าขาย แล้วร้าน ร้านเพื่อนการค้าด้วยกัน เขาโกง เขาขายได้มากเพราะเขาขายอย่างโกง เขาคดโกง เขาอะไรโกง โกงมาตั้งแต่ว่าไม่รักษากติกาโดยเฉพาะไอ้สินค้าควบคุม เขาโกงแล้วเขาก็ขายได้ ทีนี่ผมถือศีลธรรม โกงไม่ได้ พูดเท็จไม่ได้ อะไรไม่ได้ เลยสู้เขาไม่ได้ กำลังจะล้มละลายอยู่แล้วนี่ เขาบอกอย่างนี้เลย ยุคที่ควบคุมน้ำตาล ควบคุมข้าวสาร ควบคุมอะไรเหล่านั้น มีคนมาถามปัญหาอย่างนี้มาก ว่าจะให้ผมทำอย่างไร เมื่อเพื่อนร้านค้าเขาโกง เขาก็ขายได้ดีและเขาก็อยู่ได้ ผมไม่โกงเกือบจะอยู่ไม่ได้อยู่แล้ว จะทำอย่างไร คุณคิดดูเถิดว่าไอ้ความไม่มีศีลธรรมนี่มันสร้างปัญหากระทั่งอย่างนี้ ทำให้ทำอะไรในหน้าที่อย่างถูกต้องของแต่ละพวกไปไม่ได้ จึงคิดว่าศีลธรรมต้องกลับมา เราทำให้โลกนี้มีศีลธรรม ก็ไม่มีการโกง ไม่มีการเอาเปรียบ ไม่มีการเบียดเบียน ไม่มีสิ่งเลวร้ายใด ๆ ทำไมจะสร้างโลกอย่างนี้ขึ้นมาได้ มันก็อยู่ที่การศึกษาหรือครู บางทีมันก็สรุปลงได้ง่าย ๆ ในคำ ๆ เดียวว่า ถ้าการศึกษามันมีศีลธรรม แล้วก็มันจะสำเร็จหมด อย่างน้อยว่ามีศีลธรรมแล้วมันก็รักผู้อื่นแหละ ไม่มีศีลธรรม มันก็ไม่รักใคร มันเห็นแก่ตัวท่าเดียว ถ้ามันมีศีลธรรมมันก็รักผู้อื่น พอรักผู้อื่นมันก็หมดปัญหาแหละ ไม่มีใครฆ่าใครเพราะมีศีลธรรม ไม่มีใครขโมยของใคร เพราะมีศีลธรรม ไม่มีใครล่วงละเมิดกาเมของใคร เพราะมันมีศีลธรรม ไม่มีใครโกหกใคร เพราะมันมีศีลธรรม ไม่มีใครกินเหล้าแม้แต่ให้ผู้อื่นเหม็นรำคาญ นี่เรียกว่าถือศีลข้อเดียวพอ รักผู้อื่น แล้วความเลวร้ายทั้งหลายจะหายไป ความดีความงามมันก็จะเข้ามา เขาเรียกว่าเป็นโลกของพระศรีอริยเมตไตรย เราสร้างโลกพระศรีอริยเมตไตรยได้ด้วยการกระทำเพียงแต่ว่าให้ทุกคนรักผู้อื่น เดี๋ยวนี้การศึกษาหมาหางด้วน มันไม่มุ่งหมายอย่างนี้ การศึกษาหมาหางด้วนของประเทศไหนก็ตาม มันไม่มุ่งหมายที่ให้ใครรักใคร มันชวนกันแข่งขันว่าเราจะเอาให้มาก เราจะได้เปรียบอยู่เสมอไป มันก็ไม่มีใครรักใครได้ ก่อนนี้ประชาชนคนไทยนี่รักเพื่อนบ้านจนไว้ใจกันได้ ไปไหนฝากบ้านฝากเรือนฝากอะไรกันได้ เดี๋ยวนี้มันไม่ได้เพราะมันไม่มีใครรักใคร สมัยหนึ่งเขาก็ไม่ต้องปิดประตูเรือน เพียงแต่งับไม่ ไม่ต้องใส่กุญแจ เพียงแต่ร้องสั่งเพื่อนบ้านว่าฝากเรือนด้วย ฉันจะไปนาไปป่าอะไร มันก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องใส่กุญแจ บางทีก็ไม่ต้องงับประตูเรือนด้วยซ้ำ เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ เพราะมันไม่มีใครรักใคร นี่ถ้าการศึกษามันทำให้ใครรักใคร หรือครูอบรมให้เด็ก ๆ รักผู้อื่น ปัญหามันก็จะหมด นี่ครูสร้างโลกได้โดยทำให้คนรักผู้อื่น ถ้าทุกคนรักผู้อื่น มันก็เกิดโลกพระศรีอริยเมตไตรยขึ้นมา โลกธรรมดา โลกปัจจุบันก็ได้แต่มันมีความสงบสุขก็แล้วกัน นี้ครูเป็นผู้สร้างโลก เพราะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดอย่างนี้ มันจึงเกิดผลอื่น ๆ ตามมา เช่นว่า ครูเป็นปูชนียบุคคล ครูเป็นผู้มีพระคุณแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงนี้ มันก็ตามมา หลังจากที่ครูได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องแล้ว เช่น เปิดประตูทางวิญญาณ เป็นต้น กระทั่งสร้างโลกนี่ดีที่สุด สร้างโลกที่มีแต่ความสงบสุข มันก็เลยเป็นปูชนียบุคคล เดี๋ยวนี้เรามีแต่ครูรับจ้างสอนหนังสือ หากินไปวันหนึ่ง ๆ เราไม่มีครูที่น้ำใจแท้ ๆ นั้นต้องการจะสร้างโลก หรือว่าจะเปิดประตูทางวิญญาณ ครูส่วนมากยังเอาเปรียบเวลาราชการ มาช้ากลับเร็วอย่างนี้ก็มี แล้วก็ทำงานไม่สนุก เพราะจิตใจไม่ได้เสียสละแท้จริง นี้ครูก็จะมีอุดมคติไม่ได้ถ้าเพียงแต่ว่าจะเป็นกรรมกรสอนหนังสือไปวันหนึ่ง ๆ เอาละ, สรุปความว่าครูคือผู้เปิดประตูทางวิญญาณให้กับโลก เป็นโลกที่มีความสะอาด สว่าง สงบ แล้วครูก็คือผู้สร้างโลกที่มีความสะอาด สว่าง สงบ เรื่องมันก็จบกัน ทำไมทำไม่ได้ ก็มีปัญหาอย่างที่ว่ามาแล้วว่าไอ้ตัวโลกปัจจุบันนี่ คนปัจจุบันนี่ มันกำลังเป็น เป็นทาสของกิเลสมากขึ้น คือไปหลงความเอร็ดอร่อยสวยงาม สนุกสนาน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่เขาเรียกกันว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี่ครูเองก็ไปหลงเสียอย่างนั้น แล้วจะเป็นผู้นำได้อย่างไร ครู ครูผู้หญิงบางคนแต่งตัวเหมือนจะไปประกวดนางงามอย่างนั้นเลย ถึงครูผู้ชายก็เถอะ มันแต่งตัวเหมือนกับว่าจะไปประกวดอะไรกันสักอย่างหนึ่ง นี้เรียกว่าเขาหลงเป็นทาสของความรู้สึกทางอายตนะ นี่ถ้าพูดในวัดก็พูดอย่างนี้ ก็ฟังยาก เป็นทาสของอายตนะ คือเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รวมทั้งเป็นทาสของความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนัง เหมือนกับคนทั่วไป เหมือนกับคนทั่วไปไม่ต่างอะไรกัน ชาวบ้านเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอย่างไร ไอ้ครูทั้งหลายก็ยังเป็นชาวบ้านที่หลงใหลในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอย่างนั้น ดังนั้นจึงทำหน้าที่ของครูไม่ได้ ไม่นำในทางวิญญาณ ไม่เปิดประตูทางวิญญาณ ไม่ช่วยกันสร้างโลกที่ดี อาตมารู้สึกอย่างนี้ก็พูดอย่างนี้ ผู้ที่เป็นครูจะโกรธก็โกรธ ก็เชิญตามสบายใจ ไม่กลัว มันจะต้องพูดเพื่อประโยชน์ พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นความจริงด้วย แล้วทีนี้กล้าว่า นี่เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ข้อสุดท้ายนี้เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร มันก็ตอบได้อย่างกำปั้นทุบดินว่า มันเป็นครูที่แท้จริงสิ ขอให้ครูเป็นครูตามอุดมคติของครูที่แท้จริง ปัญหามันก็แก้ได้ เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เป็นผู้สร้างโลกที่แท้จริง แล้วบูชาหน้าที่ของตน เคารพตนเองว่าจะทำหน้าที่สูงสุด แล้วยกมือไหว้ตัวเองได้ ครูทุกคนทำหน้าที่ของตน ๆ เต็มที่ พอใจตนเอง ยกมือไหว้ตนเองได้ นี้เป็นหลักทั่วไป ซื่อตรงต่อตนเอง แล้วก็บังคับตนเองให้ทำให้ถูกต้อง เสร็จแล้วก็พอใจในตนเอง แล้วก็เคารพตนเอง ความสุขมันอยู่ตรงที่พอใจในตนเอง ถ้าเราทำอะไรพอใจในตนเองไม่ได้ ไม่มีความสุขหรอก นี่เราทำหน้าที่ของเราถูกต้องแล้วก็มีความพอใจในตนเอง คือพอใจในหน้าที่ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ คำว่าธรรมะถ้าสรุปความ สรุปใจความแล้ว ให้หมดสิ้นแล้ว คำว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ที่เขาจะต้องปฏิบัติ ธรรมะในปทานานุกรมอินเดียก็แปลว่าหน้าที่ หน้าที่ให้รอดชีวิตอยู่ได้ นี่เป็นหน้าที่แรก ให้รอดชีวิตอยู่ได้แล้ว มีหน้าที่ทำให้สูงขึ้นไปจนถึงที่สุด นี้คือหน้าที่ ทุกคนต้องทำหน้าที่ เมื่อทำหน้าที่แล้วเรียกว่ามีธรรมะ เพราะธรรมะแปลว่าหน้าที่ แต่คนเขาก็ต้องทำหน้าที่คน จึงจะเป็นคน สัตว์เดรัจฉานมันก็ต้องทำหน้าที่ของสัตว์เดรัจฉาน มันก็มีธรรมะของสัตว์เดรัจฉาน แล้วมันก็ได้เป็นสัตว์เดรัจฉานคือรอดชีวิตอยู่ได้ มิฉะนั้นมันต้องตาย ลองสัตว์เดรัจฉานไม่ทำหน้าที่ของสัตว์เดรัจฉาน มันต้องตายทั้งนั้นแหละ ต้นไม้ต้นไร่นี้ก็มีชีวิต มันก็ต้องทำหน้าที่ ไอ้ต้นไม้เหล่านี้จึงไม่ตาย เพราะมันทำหน้าที่ของมันอยู่ตลอดเวลา ดูดน้ำบ้าง ดูดแร่ธาตุบ้าง ได้ แสงแดดแล้วปรุงอาหารบ้าง ทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลา ต้นไม้เหล่านี้จึงไม่ตาย มันก็มีธรรมะของต้นไม้ในระดับต่ำสุด ธรรมะของต้นไม้ ธรรมะของสัตว์เดรัจฉาน ธรรมะของคน ธรรมะของมนุษย์ คือคนที่ดี ธรรมะของเทวดา ธรรมะของอะไร สูงขึ้นไปจนกว่าจะสูงสุด คือเป็นพระอรหันต์แหละ นี่เราจะต้องรู้ว่าเรามีธรรมะเป็นหน้าที่ มีหน้าที่เป็นธรรมะ เมื่อได้ทำหน้าที่ก็ภาคภูมิใจ ว่าได้ปฏิบัติธรรมะ เป็นครูสอนหนังสืออยู่ สมมุติว่าถือชอล์กยืนอยู่หน้ากระดานดำทำไป นั่นคือปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติธรรมะในความหมายที่ถูกต้อง ไม่ใช่มาสวดมนต์ภาวนาอยู่ที่วัดแล้วจะปฏิบัติธรรมะอย่างถูกต้อง มันไม่ใช่หรอก มันต้องเพ่งเล็งไปข้อที่ว่า มันมีหน้าที่อะไร มันมีความจำเป็นอย่างไร มีหน้าที่อย่างไร ทำหน้าที่นั้นให้ลุล่วงไป นั่นคือมีธรรมะ ถ้าเดี๋ยวนี้เรามีความทุกข์ ก็ขจัดความทุกข์ออกไปนั่นคือธรรมะ เดี๋ยวนี้ถ้าว่าเด็ก ๆ เขามีความทุกข์เพราะไม่รู้หนังสือ ก็ช่วยทำให้เขาได้รู้หนังสือก็เป็นหน้าที่ของเด็ก ๆ ที่เขาจะต้องเรียนหนังสือ ฉะนั้นเด็ก ๆ เรียนหนังสือนั่นคือธรรมะของเด็ก เด็กจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ดี แล้วครูมีหน้าที่สอน การสอนนั่นเป็นธรรมะของครู ซึ่งครูจะต้องทำให้ดี ฉะนั้นเมื่อครูรู้ว่าหน้าที่สอนคือธรรมะของครู ครูก็ทำหน้าที่สอนอย่างดีก็มีธรรมะของครู แล้วก็พอใจว่าได้มีธรรมะ ได้ประพฤติธรรมะ ได้อยู่กับธรรมะ ได้ปฏิบัติธรรมะอย่างดีที่สุด อยู่หน้ากระดานดำ ถ้าสมมุติว่าเป็นครูสอนในห้องเรียน แล้วก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ อันนี้มีคำพูดที่สรุปไว้ จำกันง่าย ๆ ว่าทำงานให้สนุก คุณช่วยจำไปเถิด ทำงานให้สนุก แล้วก็เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน เมื่อกำลังทำงานนะ เขียนให้ชัดลงไปว่าเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน ไม่ใช่เป็นสุขเมื่อรีบปิดห้องเรียน แล้วไปอาบอบนวด หรือไปตามอารมณ์คอฟฟี่ช็อปอะไร นั้นมันไม่ใช่เรื่องความสุข นั้นมันเรื่องความเพลิดเพลิน แล้วก็เพื่อกิเลส มันก็ต้องแยกออกเป็น ๒ ฝ่าย สนุกของกิเลส หรือสนุกของธรรมะเล่า ถ้าสนุกของกิเลส ก็ไปหาเหยื่อให้กิเลสในสถานเริงรมย์ ถ้าสนุกของธรรมะ ก็เป็นสุขอยู่ที่หน้าที่ เมื่อทำหน้าที่ แม้ว่าอยู่ในห้องเรียน อยู่หน้ากระดานดำ นั่นแหละเป็นสุขตรงนั้นแหละ เป็นสุขทุกอิริยาบถ ทุกลมหายใจเข้าออกว่าได้ปฏิบัติธรรมะสุดความสามารถของเรา อยู่ในห้องเรียน เป็นสุขตลอดเวลา มันพอเสียแล้ว ไม่ต้องไปสถานเริงรมย์ที่ไหนอีก เพราะว่ามันเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน พอเสียแล้ว นี่คือความสุขแท้จริง เพราะได้ปฏิบัติธรรมะแท้จริง และตาม ตรงตามความหมายของธรรมะคือหน้าที่ของมนุษย์ แล้วเราก็เป็นสุข ฉะนั้นพอเลิกเรียน ก็ไม่ต้องโกงเวลาสอน เลิกตามเวลา แล้วก็ไม่ต้องไปหาความสุขอะไรที่ไหนอีก เพราะมันเป็นสุขจริงเสียแล้ว ถ้าไปสถานเริงรมย์ มันก็ไปหาความเพลิดเพลินซึ่งไม่ใช่ความสุข ถ้าคุณเรียกว่าความเพลิดเพลินที่สถานเริงรมย์เป็นความสุก คุณต้องเขียนตัว ก สะกด อย่าเอาเป็น ข สะกด ความสุขชนิด ก สะกด นั้นคือความเพลิดเพลินตามสถานเริงรมย์ ถ้าความสุขแท้จริง ข สะกด มันอยู่เมื่อกำลังทำหน้าที่การงาน ในหน้าที่ของตน นี่ความสุข ก็ได้ความสุขแท้จริงด้วย ยกมือไหว้ตัวเองได้ มีความสุขชนิดนี้ทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้ามีความสุขชนิด ก สะกด มันเกลียดน้ำหน้าตัวเอง มันขยะแขยงตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองไม่ลง มันเป็นเรื่องความเพลิดเพลินของกิเลสเท่านั้น ความสุก ก สะกด ทำให้ยกมือไหว้ตัวเองไม่ได้ ความสุข ข สะกดเท่านั้นที่จะยกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วก็มีแต่เฉพาะเมื่อทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง เราได้ความสุข ๒ ชนิด ความสุขจริงกับความสุขหลอก คือไม่ใช่ความสุข ความสุขจริงไม่ต้องใช้เงินซื้อ เพราะว่าหาได้เมื่อกำลังทำงาน แล้วมันกลับให้เงินเสียอีก แล้วทำให้เงินเหลือเสียอีก เพราะมันเป็นสุขที่แท้จริงเมื่อกำลังทำงาน แต่ถ้าความสุขหลอกที่ไปซื้อหาแพง ๆ ตามสถานเริงรมย์นั่น มันความสุขหลอก มันยิ่งต้องใช้เงิน ดังนั้นเราพูดได้เลยว่าความสุขแท้จริงไม่ต้องใช้เงิน ความสุขหลอก ๆ ยิ่งต้องใช้เงิน จนเงินเดือนไม่พอใช้ จนต้องทำคอร์รัปชั่น ถ้าคอร์รัปชั่นไม่ทัน มันก็ต้องไปโกง ไปจี้ ไปปล้น ไปข่มขืน ไปอะไรไปตามเรื่องของมัน นี่ความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงิน ความสุขหลอกต้องใช้เงิน ความสุขที่แท้จริงได้ขึ้นมาทันทีเมื่อทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด จึงสรุปความว่า ทำงานให้สนุก เพราะรู้เรื่องนี้ แล้วเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน ทีนี้คนโง่บางคน คนขี้เกียจบางคน มันไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าเป็นสุขได้เมื่อกำลังทำงาน นี่อาตมาขอยืนยันว่ามันเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ มันเป็นสิ่งที่ประยุกต์ได้ คือปฏิบัติได้ว่าเราทำงานให้สนุกนี่ เป็นสิ่งที่ทำได้และเป็นสุขเมื่อกำลังทำการงานก็ปฏิบัติได้ ขอแต่ว่าให้มีความรู้ที่ถูกต้อง หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็ว่าช่วย ต้องเปลี่ยนจิตใจกันเสียบ้าง ปรับปรุงจิตใจกันเสียสักหน่อย มันจึงจะทำได้ คนโง่ คนหลง คนอันธพาล ทำไม่ได้แน่ คนที่เป็นคนโง่ เป็นปุถุชนดิบเกินไปนี่ ทำไม่ได้แน่ ทำงานให้สนุกมันทำไม่ได้แน่ เว้นไว้แต่คนที่มีความรู้ธรรมะว่านี้หน้าที่ นี้ถูกต้องแล้ว นี้เหมาะสมแก่สถานะของเราแล้ว เราเกิดมาโง่ เราไปเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ เป็นนายก็อำเภอไม่ได้ เราเป็นคนแจวเรือจ้างได้ เรากวาดถนนได้ เราล้างท่อถนนได้ แล้วเราพอใจเท่าที่สถานะทางกาย ทางใจของเรามันมีอยู่อย่างนี้ ก็พอใจ เพราะฉะนั้นเขาก็แจวเรือจ้างสนุกเพราะพอใจชีวิตว่ามันมีระดับอย่างนี้ ถีบสามล้อก็สนุก กวาดถนนก็สนุก ล้างท่อถนนก็สนุก เพราะเขาพอใจว่าเขามีสถานะแห่งชีวิตอย่างนี้ หรือว่ากรรมสร้างมาอย่างนี้ ถ้าถือพระเจ้า เขาก็ถือว่าพระเจ้าสร้างมาอย่างนี้ เขาก็พอใจในหน้าที่ ถ้าเป็นหน้าที่แล้วเป็นธรรมะเสมอกันหมด แม้ว่าจะเป็นคนขอทาน ขอทานมีหน้าที่ขอทาน ทำหน้าที่ขอทาน ก็เรียกว่าประพฤติธรรมะของคนขอทาน ถ้าเป็นกรรมกร ทำหน้าที่ของกรรมกร ก็เรียกว่าประพฤติธรรมะของกรรมกร มีความหมายเท่ากัน แม้ว่าเขาจะเป็นประธานาธิบดี ก็เป็นธรรมะเท่ากันคือทำหน้าที่ หน้าที่ ๆ ๆ คำเดียวเท่านั้นแหละ แล้วก็เรียกว่า ธรรมะ ๆ ๆ เสมอกัน นี่ถ้าเรานึกได้อย่างนี้นะ เราจะทำงานสนุก เพราะว่ามันเป็นธรรมะหรือเป็นหน้าที่เสมอกัน ถ้าว่าทำสนุกเพราะมองเห็นอย่างนี้ มันก็เป็นสุขอยู่ที่นั่น มันเป็นสิ่งที่ทำได้ แล้วก็ทำงานสนุกเพลิดเพลิน ๆ จนไม่รู้จักเหนื่อย เหนื่อยเหลือเกินจึงจะพักผ่อนบ้าง แล้วก็ทำได้มากไม่น่าเชื่อ ทำงานได้มากไม่น่าเชื่อ เพราะมันทำสนุก ตรงนี้มันบอกอยู่ในตัวแล้ว เพราะมันทำสนุก มันจึงทำได้มาก เพราะความสนุกและเป็นสุขเมื่อทำงาน ทำให้ทำได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ อาตมาขอยืนยันเป็นพยานสักคนหนึ่งว่าได้ทำมาแล้ว ได้ประพฤติมาแล้ว แล้วก็บอกท่านทั้งหลายว่านี้เป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่หลอกลวง ได้เคยทำมาแล้ว สมัยที่กำลังทำงานมาก ๆ นั่น มันก็ทำได้มากเพราะว่าทำงานวันละ ๑๘ ชั่วโมง เมื่อคนอื่นเขาทำงานกันวันละ ๘ ชั่วโมง อาตมาเคยทำงานวันละ ๑๘ ชั่วโมง เหลือพักผ่อนหลับอะไรบ้างเพียง ๖ ชั่วโมงต่อวัน ทำงานวันละ ๑๘ ชั่วโมง มันก็ต้องทำได้มากสิ เพราะว่าสนุกและเป็นสุขเมื่อทำ มันจึงทำได้มาก ดังนั้นเปลี่ยนจิตใจเสียหน่อยสิ ให้มันเข้ารูปกันกับธรรมะ แล้วจะทำงานสนุก แล้วจะเป็นสุขเมื่อทำการงาน พยานหลักฐานทางวัตถุปรากฏอยู่ในตึกนี่ ตึกหลังแดงนี้ ถ้ามีเวลาเข้าไปดูเถิด หนังสือทั้งหมดนั้นทำคนเดียว มีคนมาเห็น อ๊ะ, ไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าทำคนเดียว ไม่เชื่อว่า... (ฟังไม่ออก 00:47:20) แต่ว่าหนังสือทั้งหมดนั้นยังทำคนเดียว แล้วยังมีงานอย่างอื่นอีกที่ไม่ได้เอามาแสดงไว้ในตึกหลังนี้ เพราะฉะนั้นไปดูไอ้ ๆ ผลงานในตึกหลังนี้ แล้วว่าทำคนเดียวมันทำได้อย่างไร มันไม่น่าเชื่อ แต่แล้วมันก็มีความจริงที่ว่า มันได้ถือหลักอันนี้ว่า ทำงานสนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน ฉะนั้นขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายไปทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน เมื่อถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำ นั่นแหละเมื่อนั้นอยู่กับนิพพาน เพราะว่าทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง ไม่มีบกพร่อง มีธรรมะร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะทำด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าทำอย่างนี้ มันก็ทำได้มาก หรือจะมีหน้าที่อย่างอื่น ทำงานอย่างอื่นก็ทำด้วยความสนุกเป็นสุขเมื่อทำการงาน มันก็ทำได้มาก มันไม่ต้องคอร์รัปชั่น เพราะมันเป็นสุขอยู่แล้ว มันไม่ต้องใช้เงินไปซื้อความเพลิดเพลิน ก็ปลอดภัย เป็นสุขขึ้นไปตามลำดับ ๆ เพราะทำงานได้มาก พิสูจน์ผลงานได้มากนี้ มันก็ต้องได้เลื่อน เป็นลาภ เป็นยศ เป็นสักการะ เป็นสรรเสริญ เป็นความเจริญ ไปตามลำดับ เดี๋ยวนี้ดูจะไม่ถือหลักอย่างนี้ มันทำงานอย่างกระฟัดกระเฟียด เสียไม่ได้ ก็ตกนรกทั้งเป็น อยู่ในห้องเรียนนั่นแหละ ใครที่ไม่พอใจ ไม่บูชาการงานก็คือ คนที่ตกนรกทั้งเป็นอยู่ในขณะที่ทำงาน ส่วนเราเป็นคนทำงานสนุกและมีความสุขเมื่อกำลังทำงาน มันต่างกันลิบ เอาแล้ว ขอสรุปความว่าหากคุณครูทั้งหลายรู้จักอุดมคติของครู แล้วทำให้มันตรงตามอุดมคติของครู ผู้เปิดประตูทางวิญญาณและผู้สร้างโลก มีความรู้สึกอย่างนี้อยู่ในใจแล้วก็ทำงานสนุก แล้วก็เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน ปัญหาทั้งหลายก็จะหมดไป อย่างน้อยของเราจะหมดไป ของคนอื่นนั่นเขาไม่เอาด้วย เขาไม่เชื่อด้วย ก็ช่างหัวเขา แต่เราเอาอย่างนี้ แล้วเราก็แก้ปัญหาของเราได้ เราไม่ต้องเป็นโรคประสาทเพราะเงินเดือนไม่พอใช้ แล้วไปคอร์รัปชั่น มันมีแต่ความเสื่อม ทรมานใจ มันก็ต้องเป็นโรคประสาท เป็นบ้าไปเลย ในที่สุดก็ตาย เดี๋ยวนี้เราจะยิ่งเป็นสุข ยิ่งทำงานสนุก ยิ่งเป็นสุข ยิ่งทำงานสนุก ยิ่งเป็นสุข มีร่างกายบริบูรณ์ดี มีจิตใจบริบูรณ์ดี เพราะร่างกายมันเป็นสุข จิตใจมันก็เป็นสุข เพราะจิตใจมันเป็นสุข ร่างกายมันก็เป็นสุข มันหล่อเลี้ยงกันอย่างนี้ เป็นอันว่าหมดปัญหาที่เกิดมาทีหนึ่ง มันหมดปัญหาที่เกิดมาทีหนึ่ง ชาติหนึ่งมันหมดปัญหา เพราะว่าได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะทำคือหน้าที่ แล้วก็ได้รับผลที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือมีความสุข พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา นั่นความสุข เรียกว่าที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือความพอใจในความเป็นของตนเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา ก็หมดปัญหาที่ว่าเกิดมาชาติหนึ่งจะต้องทำอย่างไรบ้าง ดีที่สุดในชาตินี้แล้ว ไม่ต้องห่วงชาติหน้า ต้องดีตาม ตั้งใจทำชาตินี้ให้ดีที่สุด ให้ดีที่สุดอยู่ตลอดเวลา สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบกับพุทธศาสนา การบรรยายนี้สมควรแก่เวลาแล้ว อาตมาขอยุติด้วยความหวังว่าท่านทั้งหลายที่เป็นครูนี้จะเป็นปูชนียบุคคลของโลก เปิดประตูให้แก่โลก สร้างโลกกันเสียใหม่ให้ดี แล้วตัวเองก็มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีเทอญ
(คุณว่าจะรีบไปไหนกันไม่ใช่หรือ เชิญสิ ๆ ปิดประชุมแล้ว อย่าลืมคืนลูกกุญแจ เวลาออกไปช่วยคืนกุญแจด้วย ก็ได้ แต่วางไว้ที่นั่นก็ได้ คาประตูไว้ก็ได้ คากุญแจไว้ก็ได้ หรือว่ามาส่งที่ ที่ผู้จัดการนี้ก็ได้)