แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอ่อ,ท่านที่เป็นหัวหน้าจะให้พูดเรื่องอะไร ยัง ยังไม่ได้ตกลงกันเลย
.....(นาทีที่ 0.00.35 – 0.00.45)
หาเฉพาะอะไร
.....(นาทีที่ 0.01.12 – 0.01.24)
ก็แล้วแต่นะ
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดี เอ่อ,ในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะเช่นนี้ เอ่อ,ท่านทั้งหลายทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ เอ่อ,เรียกว่า เป็นหน้าที่เอ่อ,สำคัญอย่างหนึ่งของโลกที่จำเป็นแก่โลก โลกนี้ถ้าว่าคนทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตนถูกต้องเต็มที่แล้ว เอ่อ,ก็เป็นโลกที่สมบูรณ์ คือมีความถูกต้อง เอ่อ,มีความเป็นอยู่ผาสุกเต็มที่ที่มนุษย์เราจะเป็นกันได้ ทีนี้เราก็มานึกถึงการที่เราผู้เรียกตัวเองว่าครูบาอาจารย์จะต้องรับหน้าที่เอ่อ,ของครูบาอาจารย์เอ่อ,สำหรับโลกที่ยังมีอยู่ในโลกไม่ให้บกพร่องในหน้าที่ของตน เราอย่าคิดกันแต่เพียงว่าแต่ละคนทำหน้าที่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องประกอบการงานเอาเงินมาเลี้ยงชีวิต ถ้าคิดกันอย่างนี้แล้วก็คือไม่มีใครรับผิดชอบหรือจะเป็นเจ้าของโลก ต่างคนต่างเพียงแต่อาศัยโลกหากินไปวันวันหนึ่ง เผลอเข้าก็เอาเปรียบมันก็เจริญไปไม่ได้ ขอให้เราคิดอย่างกว้างขวางอย่างถูกต้องและอย่างเป็นธรรม ยุติธรรม ตัวโลกจะต้องประกอบด้วยบุคคลสักกี่จำพวกก็พอจะมองเห็นกันอยู่ เอาแต่ที่สำคัญๆว่า เอ่อ,พวกหนึ่งทำให้เกิดอาหารขึ้นมาคือ ชาวนา ชาวสวน ชาวประมง อะไรก็ตาม เป็นพวกที่ทำให้เกิดอาหารขึ้นมา พวกหนึ่งก็เป็นพวกขนส่งสื่อ เอ่อ, เอ่อ,สื่อการงานให้ถึงกันเช่นพ่อค้าพวกอะไรต่างๆ พวกข้าราชการก็บริหารเอ่อ,ความสงบสุขของสังคม พวกนักกฎหมายก็ทำหน้าที่ให้สังคมนี้ประกอบอยู่ด้วยความยุติธรรม ทีนี้มาถึงครูบาอาจารย์เรามีหน้าที่อะไร คงไม่ใช่มีหน้าที่สอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ ถ้าอย่างนั้นละมันก็เป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้ามาก ครูบาอาจารย์มีหน้าที่สำหรับเปิดประตูทางวิญญาณ คือให้เกิดแสงสว่างแก่ทุกคน ให้ทุกคนเดินไปถูกทางของตน ของตน เป็นบุคคลที่ถูกต้องเอ่อ,ทำหน้าที่ของตนถูกต้องด้วยกันทุกคน ยังมีความถูกต้องเอ่อ,ทางจิตใจ ทางประ การประพฤติกระทำ ให้สังคมนั้นอยู่เย็นเป็นสุขที่เราเรียกกันว่าศีลธรรม ครูก็สอนหนังสือด้วย เอ่อ,สอนวิชาชีพด้วย สอนความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องด้วยอย่างน้องถึง ๓ ประการ รวมกันแล้วเรียกว่าเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ให้สัตว์ออกมาเสียจากคอกแห่งความทุกข์ทรมานด้วยความโง่ ความเขลา ความหลงต่างๆ มันจึงทำเหมือน เอ่อ,คนแต่ละพวกจะทำเหมือนกันไม่ได้ ชาวนาชาวสวน ก็ทำนาทำสวน ชาวประมงก็ทำประมง พ่อค้าข้าราชการก็ทำไปตามหน้าที่ของตน แต่ครูเรานี่มีหน้าที่นำในทางวิญญาณให้เกิดความเหมาะสมแก่ความเป็นมนุษย์ แก่ทุกคนเอ่อ,ที่เกิดขึ้นมาในโลกนับตั้งแต่เด็กทารก จึงเป็น กว่าจะเป็นเด็กโตเป็นเอ่อ, คนผู้ ผู้ใหญ่เต็มที่ กว่าจะเป็นผู้ใหญ่เต็มที่อยู่ภายใต้การนำของบุคคลประเภทครู คือถ้าครูเหล่านี้ไม่บกพร่องในหน้าที่ของตน เราก็จะมีพลเมืองที่ดี ถ้าครูไม่มีหรือไม่ทำหน้าที่ของตน เด็กๆไม่ได้รับการฝึกฝนที่ถูกต้องก็เป็นอันธพาล เราก็ได้พลเมืองเลว เพราะฉะนั้นเราจะได้ชาวนาชาวสวนที่เลว พ่อค้าข้าราชการที่เลว อะไรที่เลวเลวไปหมด ถ้าว่าพวกครูบกพร่องในหน้าที่ของตน ที่จะทำให้คนแต่ละคนนี่มีจุดตั้งต้นที่ถูกต้องไปตั้งแต่เด็ก อาตมาเห็นว่าครูต้องรับภาระสูง ในระดับสูง เอ่อ,คือยกจิตยกวิญญาณของประชาชนในโลก อย่างนี้ก็ได้ หรือถึงกับเปิดประตูคอกให้คนในโลก ให้สัตว์โลกนี่ออกมาจากคอกแห่งความโง่เขลา เหมือนกับให้สัตว์มันออกมาเสียจากคอกที่มืด เอ่อ,ที่สกปรก ที่เหม็น ที่ร้อนระอุ พอเปิดประตูมันก็แย่งกันออกมาสู่ที่โล่งที่แจ้ง ที่เยือกเย็นเป็นสุข ขอให้ครูได้ทำหน้าที่อย่างนั้น คือได้เปิดประตูให้สัตว์ที่ทนทรมานอยู่ในกองทุกข์ได้ออกมาเสียจากคอกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ครูจึงได้รับการยกย่องเป็นปูชนียบุคคล ถ้าเรียกว่าอาชีพก็เป็นอาชีพของปูชนียบุคคล ที่เรียกว่าอยู่เหนือเกล้าเหนือเศียรของคนทุกคน เอ่อ,แล้วก็ครูมีหลายระดับตั้งแต่ระดับต่ำสุดจนถึงสูงสุดเป็นบรมครูเป็นพระศาสดา นับตั้งแต่ครูสอน กอ ขอ กอ กา สอนวิชาชีพ สอนศีลธรรม และสอนเรื่องทางจิตทางวิญญาณให้คนมันมีจิตใจสูง เพราะฉะนั้นครูเขาจึงจัดเป็นปูชนียบุคคล แม้ว่าจะทำหน้าที่ส่วนหนึ่งแผนกหนึ่งในหลายๆ แผนกในโลกนี้ เขาก็จัดเป็นปูชนียบุคคล ชาวนาชาวสวน เขาไม่จัด ไม่ได้รับการจัดเป็นปูชนียบุคคล แม้แต่ข้าราชการเอ่อ,ก็ไม่ได้รับการจัดเป็นปูชนียบุคคลเทียบเท่ากับครู นี่ขอให้นึกดูเถอะว่ามีมาแล้วแต่โบราณกาลในโลก ยกครูขึ้นไว้ในฐานะเป็นปูชนียบุคคลเรื่อยๆมา และครูก็ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องสมกับการเป็นปูชนียบุคคลเรื่อยๆมา โลกจึงตั้งอยู่ได้เจริญงอกงามรุ่งเรืองอยู่ได้ นี่ขอให้สำนึกตัวว่าอย่างนี้ ว่าผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะต้องสำนึกตัวว่าเรานั้นถูกจัดไว้ในเอ่อ,ประเภทปูชนียบุคคลที่ทุกคนจะต้องเคารพนับถือบูชา เอ่อ,เรียกว่าอยู่เหนือศรีษะคนทุกคนไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ ถ้าคิดเพียงเท่านั้นแล้วก็น่าทุเรศ ไปลดค่าของความเป็นครูลงเสียเกือบหมดเกือบจะไม่มีอะไรเหลือ แต่บางคนก็ไม่กล้า ไม่กล้ารับว่าตัวจะเป็นปูชนียบุคคล ไม่กล้าเอ่อ,เพราะว่าไม่อยากจะทำงานมากๆ ไม่อยากจะทำงานหนักๆ เอ่อ,ทำเพียงเท่าที่จำเป็น เอ่อ,สอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ จนกิจการโรงเรียนกลายเป็นการค้าไปเสียก็มี นี่ ถ้าอย่างนี้ละมันก็ใกล้ความล่มจมโลกนี้ อาตมาอยากจะสรุปความให้เห็นยึดถือกันไว้เป็นหลักว่าครูนั่นแหละเป็นผู้สร้างโลก เราเอา เอากันใกล้ๆครูนั่นแหละเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก ถ้าครูสอนเด็กดี เป็นเด็กดีในโลก โลกนี้ก็ดี ถ้าครูสอนไม่ดีมีแต่เด็กเลวโลกนี้ก็เลว เอ่อ,เพราะว่าโลกนี้มันประกอบกันขึ้นด้วยทุกคนที่อยู่ในโลก เอ่อ,ถ้าคนที่อยู่ในโลกมันเลวมันก็เป็นโลกเลว โลกอันธพาล โลกเลวร้าย หาความสงบสุขไม่ได้ เอ่อ,ถ้าคนในโลกมันดีโลกนี้ก็เป็นโลกที่ดีเหมือนโลกพระศรีอารย์ อาริยเมตไตรย หรือยิ่งกว่าโลกพระศรีอาริยเมตไตรยไปก็ได้ถ้าทุกคนมันดี หรือจะเรียกว่าดีที่สุดเพียงแค่โลกพระศรีอาริยเมตไตรยก็ได้ แต่ขอให้คนทุกคนในโลกมันดี ทีนี้คนทุกคนในโลกมันจะดีได้อย่างไร มันก็อยู่ที่ว่าเด็กน่ะมันดีหรือไม่ดี โตขึ้นก็เป็นคนดีหรือไม่ดี เด็กจะดีหรือไม่ดีมันก็แล้วแต่ว่าครูสอนเขามาอย่างไร ปั้นเขามาอย่างไร นี่พูด..(นาทีที่ 12.21) เอ่อ,คำพูด ภาพพจน์ว่าครูมันปั้นเด็กขึ้นมาอย่างไร เป็นเด็กดีหรือเป็นเด็กเลว เพราะฉะนั้นครูจึงมีอุปมาเหมือนกับว่าผู้สร้างโลก อยู่ตามธรรมชาติ โดยโดยธรรมชาติ ถ้าทำได้ในลักษณะดี ใฝ่ดี ครูก็เป็นปูชนียบุคคลอยู่เหนือเกล้าเหนือเศียรของคนทุกคนจริงๆด้วยเหมือนกัน ฉะนั้น เพราะฉะนั้นถ้าครูทั้งหลายมองเห็นข้อนี้และยอมรับภาระอันนี้หน้าที่อันนี้ นั่นแหละปูชนียบุคคลโดยไม่ต้องมีใครมาแต่งตั้ง ธรรมะมันแต่งตั้ง ความยุติธรรมมันแต่งตั้ง อย่าได้ถือว่าครูนี้มีอาชีพสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ ครูจะเรียกว่ามีอาชีพก็ต้องเป็นอาชีพอีกชนิดหนึ่งคืออาชีพของปูชนียบุคคล นอกนั้นจะเป็นอาชีพธรรมดาๆ เป็นชาวสวนชาวนา ค้าขายก็เป็นอาชีพธรรมดา แต่ถ้าครูจะเรียกว่าเป็นอาชีพก็มีอาชีพปูชนียบุคคล พระเจ้า พระสงฆ์ นักบวชทั้งหลายก็มีอาชีพเป็นปูชนียบุคคลเพราะทำหน้าที่เหมือนกัน พระเจ้าพระสงฆ์ทำหน้าที่ครูเหมือนกัน หากแต่ว่ามันสูงขึ้นไปในระดับจิตระดับวิญญาณ ในระดับสูง คำว่าครูโดยทั่วไปหมายลงมาตั้งแต่ต่ำสุดระดับต่ำสุดแต่ในฝ่ายสูง เอ่อ,คืออย่างปูชนียบุคคลไม่ใช่อย่างต่ำไปสอนหนังสือเอ่อ,มันก็ยังมีความสูงกว่า ไอ้สอนอย่างอื่นหรือทำงานอย่างอื่น นับตั้งแต่สอนหนังสือขึ้นไปถึงสอนวิชาชีพ นี่ก็สอนธรรมคือสอนความเป็นมนุษย์ให้เขาเป็นมนุษย์ให้ถูกต้องนี่ เป็นหน้าที่และเป็นอาชีพเอ่อ,ของปูชนียบุคคล อาตมาพูดมานานแล้วหลายปีแล้วว่า เอ่อ,การศึกษาในโลกยังมีลักษณะเหมือนกับสุนัขหางด้วน สอนกันแต่หนังสือกับอาชีพเท่านั้นน่ะ สอนแต่หนังสือกับอาชีพเท่านั้นน่ะ ไม่ได้สอนส่วนธรรมะหรือศีลธรรมที่ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร เดี๋ยวนี้ทั้งโลกจะเป็นอย่างนี้ คือเอาศาสนาออกไปหาว่ามันไม่จำเป็น หาว่ามันทำให้ล่าช้าเฉื่อยชา ในการที่จะสร้างวัตถุ เอาศาสนาออกไปเสียจากการศึกษาเหลือแต่วิชาสอนหนังสือกับวิชาชีพ วิชาชีพนี่ทำมาก มากอย่างยิ่งเป็นขนาดเอ่อ,ระดับเทคโนโลยีไปหมดไม่ว่าอะไร มันก็ไม่ได้สอนความเป็นคน คนก็ไม่มีความเป็นคนคือเห็นแก่ตัว เอ่อ,ความร่ำ ร่ำรวยด้วยอาชีพนั้นยิ่งมีมากยิ่งเห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีศีลธรรมเข้ามาควบคุมแล้ว ความร่ำรวยนั่นน่ะจะทำให้เห็นแก่ตัว มีสติปัญญาก็เห็นแก่ตัวยิ่งเห็นแก่ตัวมากยิ่งโกงเก่ง เอ่อ,คนมีปัญญาโกงเก่งกว่าคนโง่ คนมีปัญญาไม่มีศีลธรรมและอันตรายมากกว่าคนโง่เพราะว่าเขาจะโกงเก่ง เอ่อ,คนร่ำรวยก็เหมือนกันถ้าว่าเขาคิดจะโกงมันก็โกงได้มากเพราะมันมีอำนาจ มันจึงต้องมีศีลธรรมเข้ามากำกับความฉลาด มากำกับเอ่อ,ความร่ำรวย เป็นต้น เราจึงมีการสอนศีลธรรมหรือธรรมะ หรือวิชาสำหรับความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องนี่เป็นวิชาที่สาม วิชาที่หนึ่งคือ หนังสือ วิชาที่สองคืออาชีพ วิชาที่สามคือธรรมะเอ่อ,สำหรับความเป็นมนุษย์ให้ถูกต้องกันอย่างไร ก่อนนี้มันมีสมบูรณ์ทั้งสามวิชา พอมาถึงยุคที่โลกมันเจริญด้วยวัตถุมันลุ่มหลงความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุ ก็หันมาบูชาวัตถุ มันก็เลยเกลียดชังธรรมะเอ่อ,ซึ่งไม่ตามใจคนให้ใช้กิเลส มีแต่จะคอยห้ามกันไม่ให้คนกระทำไปตามกิเลส คือไม่ให้เป็นสุขสนุกสนานทางกามารมณ์ทางวัตถุมากมายอย่างไม่มีขอบเขต เพราะว่านั่นมันเป็นกิเลสมันเลวร้าย เอ่อ,ทำให้คนเห็นแก่ตัวและก็ไปเบียดเบียนผู้อื่น ขอให้สังเกตดูเถอะว่าอาชญากรรมเลวร้ายทั้งหลายนี่มันมาจากความไม่มีศีลธรรม ไม่ใช่เศรษฐกิจ เอ่อ, เป็น เป็นต้นเหตุแต่ว่าความไม่มีศีลธรรมเป็นต้นเหตุ อาชญากรรมเลวร้ายในกลางกรุงนั่นแหละทุกอย่างแหละ กระทั่งการข่มขืนแล้วฆ่าๆแล้วข่มขืนอะไรก็ตาม มันไม่ได้มาจากเศรษฐกิจแต่มันมาจากความไม่มีศีลธรรม เมื่อคืนที่แล้วมานี่ได้ ได้ฟังวิทยุว่าเค้าปาระเบิดเข้าไปในกลุ่มคนที่นั่งดูไอ้ เอ่อ, การแสดงดนตรีและเพลง เจ็บและตายกันเป็นสิบๆ คน มันทำความเลวร้ายนี้ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจเป็นต้นเหตุ แต่ความไม่มีศีลธรรมเป็นต้นเหตุ นักเรียนยกพวกตีกันมันไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ มันเป็นเรื่องความไม่มีศีลธรรม นักเรียนต่อต้านถึงกับว่าจะเผาโรงเรียนเมื่อสองสามวันนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ เอ่อ,ไม่มีศีลธรรมไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ มัวแต่มองว่าต้นเหตุอยู่ที่เศรษฐกิจ ถ้าจะแก้แต่ที่เศรษฐกิจมันก็แก้ไม่ได้ เพราะมันไม่ถูกจุดของมัน ถ้าเราแก้ทางศีลธรรม เอ่อ,คนมีศีลธรรมแล้วเหตุร้ายเหล่านี้ก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้นศีลธรรมมันควบคุมความเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ทุกประการ โดยเฉพาะก็คือไม่มีความเห็นแก่ตัว คนเราถ้าเลวจนถึงขนาดเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว มันฆ่าเขาก็ได้เอ่อ,เพราะความเห็นแก่ตัว มันขโมยปล้นจี้เข้าก็ได้ มันล่วงละเมิดของรักของพอใจของผู้อื่นก็ได้ มันโกหกเขาก็ได้ มันดื่มน้ำเมาให้คนอื่นรำคาญก็ได้ นี่ความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัวก็รักผู้อื่น ถ้ารักผู้อื่นก็ฆ่าใครไม่ได้ ขโมยใครไม่ได้ ล่วงละเมิดของรักของเขาไม่ได้ พูดเท็จไม่ได้ ดื่มน้ำเมาให้เขารำคาญก็ไม่ได้ ความมีศีลธรรมมันจะเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าไม่มีศีลธรรมมันก็ทำไปตามกิเลสคือเห็นแก่ตัว แล้วก็คุมพวกกันเป็นพวกๆ เอ่อ,เพื่อจะทำให้มันได้มากๆ ฉะนั้นความฉิบหายมันก็มีมากเพราะเขาคุมกันเป็นพวก จนกระทั่งเป็นสงคราม รวมกันเป็นฝ่าย ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้แล้วก็จะทำสงครามชิงกันครองโลก แล้วมันเดือดร้อนเท่าไร นี่ขอให้คิดดูอย่างนี้ เมื่อไม่ เมื่อไม่มีศีลธรรม มันก็มีแต่ความเดือดร้อนกระวนกระวาย และ เอ่อ,ไปหมดไม่มีความสงบสุข ยิ่งมีความเจริญยิ่งต้องมีศีลธรรม นี่ขอให้ช่วยฟังให้ดีช่วยจดจำกันไว้ทุกคนว่ายิ่งมีความเจริญเท่าไรยิ่งต้องมีศีลธรรม ถ้ามิฉะนั้นแล้วไอ้ความเจริญจะกลายเป็นความวินาศ เราเจริญด้วยเรื่องวัตถุสิ่งของบ้านเมือง เรื่องใช้ถนนหนทางอย่างที่เรียกว่าความเจริญในปัจจุบันนี่แล้วทำไมโลกไม่ ไม่สงบสุขล่ะ เพราะมันไม่มีศีลธรรม อะไรๆที่ว่าความเจริญน่ะมันก็ใช้ไปทางทำลายผู้อื่นทั้งนั้น เรามีอะไรล่ะ มี นับตั้งแต่เรามีรถยนต์ มีรถไฟ มีเรือบิน มียานอวกาศ มีอะไรวิเศษๆ มีคอมพิวเตอร์ มีอะไรทุกอย่างที่มันวิเศษๆ แต่เราใช้เพื่อทำลายผู้อื่น เพื่อเอาเปรียบผู้อื่น มีของวิเศษเหล่านั้นมันก็ทำลายผู้อื่นได้มาก โลกนี้มันก็เป็นโลกที่เลวร้าย เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ ถ้าว่าทุกอย่างมันใช้ไปเอ่อ,ในทางเอ่อ,ธรรมะอันส่งเสริมผู้อื่น รัก รักใคร่ผู้อื่นส่งเสริมเอ่อ,สันติสุขในโลก โลกนี้ก็จะมีสันติสุขและสันติภาพ ถ้าเครื่องมือวิเศษๆทั้งหมดที่เรามีอยู่นี่ใช้ไปเพื่อส่งเสริมสันติภาพ โลกนี้ก็มีความสุข แต่นี้เราใช้เครื่องมือวิเศษๆเหล่านั้นเพื่อส่งเสริมกิเลสของเราเอง แล้วก็เพื่อทำลายผู้อื่น เพื่อเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัว ท่านลองคิดดูให้ดีว่าในโลกนี้กำลังเป็นอย่างนี้เพราะมันขาดศีลธรรม มันรู้หนังสือมาก มันรู้วิชาชีพเทคนิคมาก มันก็มีอะไรมากแต่แล้วมันก็ใช้เพื่อทำลายกัน ไม่มีใครอยู่เป็นสุขจนกว่าศีลธรรมจะกลับมา ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกนี้ต้องวินาศ คือความเห็นแก่ตัว ความเอาเปรียบผู้อื่นนั้นจะมากขึ้นๆ แล้วก็จะวินาศสักวันหนึ่ง คือมันทำร้ายกันจนเอ่อ,สูงสุดเรียกว่าเลือดเข้าตา มองไม่เห็นอะไรแล้วทีนี้ก็ฆ่ากันเหมือนกับฆ่าเนื้อฆ่าปลา ซึ่งเรียกในทางศาสนาว่า มิคสัญญี โลกจะถึงยุคมิคสัญญีคือคนใจดำอำมหิตโหดร้ายเห็นแก่ตัวฆ่าผู้อื่นเหมือนกับเอ่อ,ฆ่าเนื้อฆ่าปลาหรือเหมือนกับฆ่ายุง นั่นแหละโลกเอ่อ,ของความเห็นแก่ตัว โลกที่ไม่มีศีลธรรม มันจะมาหรือมันจะไม่มามันก็แล้วแต่คน คนในโลกนี่แหละ เอ่อ,ถ้าคนในโลกมันมีความรู้ มันตื่นขึ้นมาทัน มันก็ป้องกันไว้ได้ คือหันไปหาธรรมะกันเสียมันก็ป้องกันไว้ได้ มันก็ไม่เกิดอาการอย่างนั้น แล้วก็จะอยู่กันเป็นผาสุกยิ่งๆขึ้นไป เดี๋ยวนี้เรามันบูชากิเลส บูชาความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ได้เอ่อ,บูชาพระธรรม ไม่ได้บูชาพระเจ้า ไม่ได้บูชาเอ่อ,ความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ มันก็บูชากิเลส เมื่อบูชากิเลส กิเลสมันก็ไสหัวให้ไปทำสิ่งที่ทำลายมนุษย์ ทำลายโลกนั่นเอง ขอให้ดูข้อเท็จจริงอันมีอยู่ในเวลานี้ในโลกปัจจุบันนี้กำลังบูชากิเลส ความเจริญ เช่นถนนหนทาง ถ้า ถ้า ถ้าไม่มีศีลธรรมมันก็ใช้เพื่อขโมยกัน เพื่อจี้ เพื่อปล้น เพื่อจับเรียก จับตัวไปเรียกค่าไถ่ หรือว่าเอาเอ่อ,ระเบิดมาวางให้รถยนต์มันคว่ำแล้วก็ยื้อแย่งสิ่งของออกไป ใช้ความเจริญอย่างนั้น ถ้าเรามีศีลธรรมแล้วก็ใช้ถนนหนทางไปเป็นในทางที่เป็นประโยชน์โดยแท้จริงยิ่งๆขึ้นไป ดูเถอะ ที่เราไปซื้อไปหามานี่เรียกว่าวัตถุที่แพงที่เรียกว่าเป็นความเจริญ เช่นไปซื้อโทรทัศน์มานี่ เอามาเพื่อการศึกษา เอ่อ,ธรรมะ หรือว่าเอามาไว้ดูมวย เอามาไว้ฟังเพลง เอ่อ,เอามาไว้ฟังชวนหัวโฉกกระโดก(นาทีที่ 25.45) หยาบคาย บ้านใครมีโทรทัศน์แล้วก็ทำสถิติดู ว่าใช้มันเพื่อศึกษาธรรมะหรือว่าใช้เพื่อฟังเพลง ใช้เพื่อดูมวยแล้วพนันมวยกันตรงหน้าโทรทัศน์นั่นแหละ นี่เรียกว่าเราใช้ความเจริญนั่นน่ะไปตามกิเลส แล้วมันก็เป็นความเสื่อมเสียทำให้มันเลวลง ลุ่มหลงในเรื่องเพลงเรื่องดนตรีจนเลยเถิดเด็กๆนั้นก็จิตทรามหมดทั้งเด็กหญิงเด็กชาย เอามาพนันมวยกันหน้าโทรทัศน์ ก่อนนี้ไม่มีนะ เมื่อไม่มีโทรทัศน์ไม่ ไม่ ไม่มีการพนันมวย แต่พอมีโทรทัศน์ก็เป็นโอกาสให้พนันมวยกันที่หน้าโทรทัศน์ นั้นก็เป็นโรคจิตทราม โรคจิตทราม โรคเล่นการพนัน โรคอบายมุข นี่ความเจริญที่ไม่มีศีลธรรมมันก็เป็นไปเพื่อความวินาศ เพราะฉะนั้นถ้ามีโทรทัศน์เพื่อศึกษาโดยเฉพาะ เพื่อศึกษาธรรมะโดยเฉพาะ มันก็ดีมันก็รู้ธรรมะมากขึ้น เอ่อ,เดี๋ยวนี้พอ พอโปรแกรมเอ่อ,กำหนดธรรมะ ไอ้รายการธรรมะออกมามันปิดเสีย มันไปเปิดดูเพลงดูมวยดูอะไรช่องอื่น พอรายการธรรมะมามันก็ปิดเสีย มันก็ไปดูไอ้สิ่งเลวร้ายอื่นๆ ย้อมนิสัยเจ้าของไอ้วิทยุเจ้าของโทรทัศน์นั้นให้เลวลงๆ ให้มีจิตทรามลงๆ นี่เรียกว่าไอ้ความเจริญที่ไม่ควบคุมด้วยศีลธรรมนั้นมันคือความวินาศ เอ่อ,ช่วย ช่วยจำไปคิดด้วยจริงหรือไม่จริง ความเจริญนั้นคือความวินาศถ้ามันขาดศีลธรรม ความเจริญนั้นคือความวินาศถ้ามันขาดศีลธรรม ถ้ามันไม่ขาดศีลธรรมความเจริญก็เป็นความเจริญและก็ไม่วินาศ เดี๋ยวนี้เราไม่รู้เรื่องศีลธรรมมากขึ้น เรียกว่าศีลธรรมเสื่อมไปจากจิตใจของคนเรามากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื่อมไปจากจิตใจของลูกเด็กๆ นี่มาถึงเรื่องของครูบาอาจารย์แล้ว มาถึงเรื่องที่เป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์แล้วว่า ลูกเด็กๆกำลังเป็นโรคเสื่อมศีลธรรมเมื่อก่อนนี้เด็กๆเขารักพ่อรักแม่เคารพเชื่อฟังบิดามารดา เชื่อฟังครูบาอาจารย์ เอ่อ,เชื่อฟังพระเจ้าพระสงฆ์กลัวบาปมีคำว่าบุญมีคำว่าบาปแล้วกลัวบาปอย่างยิ่ง เด็กสมัยนี้ไม่เคารพเชื่อฟังแม้แต่บิดามารดาของตัวเอง ไม่เคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์หรือธรรมะหรือศาสนาแล้วเป็นเด็กที่ไม่มีคำว่าบาปไม่มีคำว่าบุญ กูได้แล้วเป็นดี ศาสนาของเด็กสมัยนี้ กูได้แล้วเป็นดี บาปบุญไม่ต้องรู้ต้องชี้ กูได้แล้วก็เป็นดี เพราะฉะนั้นมันจึงมีพฤติกรรมเลวร้ายมากขึ้นๆ คือว่ากูได้แล้วก็เป็นดี มันก็ถือศาสนากูได้แล้วก็เป็นดี นั่นแหละมันจึงไม่รักไม่เคารพไม่กตัญญูบิดามารดาครูบาอาจารย์ แล้วก็ไม่มีศาสนา ไม่มีวัดไม่มีวาที่จะให้ความเคารพ เอ่อ,สนใจ ยังมีคนแสดงกิริยาท่าทางไม่น่าดู เข้ามาในวัดแต่งเนื้อแต่งตัวไม่น่าดู เอ่อ,เข้ามาในวัด เป็นการเหยียดหยามวัดด้วย ด้วยความโง่ของมัน เพราะมันไม่รู้ว่าวัดนี่คืออะไร มันจึงเข้ามาในลักษณะที่ไม่เหมาะสมด้วยการแต่งเนื้อแต่ง แต่งตัวก็ดี กิริยาท่าทางก็ดีล้วนแต่เป็นการดูหมิ่นวัด นี่เรียกว่าสมัยนี้ศีลธรรมมันเสื่อมถ้าเป็นสมัยก่อนนู้นละก็ตรงกันข้ามทีเดียว แต่เอ่อ,ผู้มีอายุน้อยๆไม่ค่อยได้จะทันเห็นต้องมีอายุแปดสิบเก้าสิบร้อยปีจึงได้เห็นว่าเด็กๆสมัยโน้นมีศีลธรรมดีอย่างไร เชื่อฟังบิดาครูบาอาจารย์อย่างไร เอ่อ,พอได้ยินว่าบาปก็สะดุ้ง ต้องขู่ เด็กสมัยนู้นแต่อาตมาก็เคยทันเห็นนะ พอมันจะทำอะไรที่ไม่น่าดู เสียงเพื่อนร้องทักไปจากข้างหลังว่าบาป มันหยุดทันทีแล้วมันสะดุ้งด้วย อย่างเช่นสมมติว่ามันจะขว้างนกสักตัวหนึ่ง เงื้อแล้ว พอเพื่อนร้องมาจากข้างหลังว่าบาปมันสะดุ้งแล้วก็ดิ้นหลุดจากมือ เด็กคนนี้มันเป็นอย่างนี้ ทีนี้เด็กสมัยนี้ไม่เป็นอย่างนี้ มันจะขว้าง สมมุติว่ามันจะขว้างนก พอเพื่อนร้องทักว่าบาปมันขว้างหัวเพื่อนมันเลย ดูเด็กสมัยนี้กับเด็กสมัยนู้นสิมัน มันต่างกันอย่างนี้ ถึงพระ เณรไปทักเข้าว่าบาป มันก็ขว้างหัวพระเลย นี่เด็กสมัยนี้ เด็กของครูบาอาจารย์สมัยนี้ ครูบาอาจารย์สมัยนี้สอนกันอย่างไร เด็กๆมันจึงเป็นอย่างนี้ ผิดกับเด็กๆสมัยนู้น มันจึงอยู่กันอย่างที่เรียกว่าเอ่อ,ตัวใครตัวมัน เราได้แล้วก็เป็นดี เอ่อ,ก่อนนี้ไม่มีใครจะมายิงนกตกปลาในวัด เดี๋ยวนี้มันก็จะไม่มีเหลือ สัตว์ที่อยู่ในวัดก็ไม่ได้รับการคุ้มครอง แม้แต่พระพุทธรูปในโบสถ์เขาก็ยังเข้าไปตัดเศียร ซึ่งมันไม่เคยมีนะ เรื่องตัดเศียรพระพุทธรูปในโบสถ์นี่เพึ่งมีไม่กี่ปี ก่อนนี้ไม่มีใครกล้าทำเพราะว่าศีลธรรมมันยังดีอยู่ แล้วคนก็อยู่กันอย่างผาสุก ชนิดที่ในบาลีเรียกว่า นอนไม่ต้องปิดประตูเรือน หรือทำเรือนไม่ต้องทำประตูก็ได้ บังๆไว้พอไม่ให้ใครเห็นโล่งไปก็แล้วกัน คนสมัยก่อนที่ว่า เอ่อ,อยู่กันอย่างเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เพื่อนบ้านเรือนเคียงทั้งหลายอยู่กันอย่างเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เบียดเบียนกัน รักใคร่กัน มีอะไรปันกันกิน ถ้าคนหนึ่งมันจะไปไร่ไปนาไปไกลๆนี่ มันก็งับประตูไว้แล้วมันก็ร้องบอกเพื่อนข้างบ้านใกล้ๆว่าฝากเรือนด้วยเว้ย, ฝากเรือนด้วยเว้ย, เท่านี้มันก็พอแล้ว มันก็ปลอดภัยแล้ว ไม่มีกุญแจเพียงแต่งับประตูแล้วก็บอกเพื่อนข้างบ้านว่าฝากเรือนด้วยโว้ย, แล้วก็ได้แล้วก็ไปไปได้แล้ว ไปนาไปสวนไปไกลๆได้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ แม้แต่ใส่กุญแจไว้มันยังงัดกุญแจเลยคิดดูสิ มันต่างกันอย่างนี้จิตใจของมนุษย์มันต่างกันอย่างนี้ สมัยโบราณมันก็ไม่ต้องปิดประตูเรือนก็ยังได้ มีแต่เพื่อนมนุษย์ที่เป็นเพื่อนรักเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้ไม่มีนี่ ในโรงเรียนก็ไม่มีสอนเรื่องเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ไอ้เด็กๆมันก็ไม่มีรู้ความหมายของคำว่าเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย มันก็ยังคงถือว่ากูได้แล้วก็เป็นดี นี่เรียกว่ามันไม่มีศีลธรรม และเป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์ที่จะเริ่มช่วยกันดึงให้ศีลธรรมกลับมา อาตมามองเห็นความเอ่อ,ความจริงข้อนี้มานานแล้ว แล้วก็ได้พยายามตลอดเวลาที่จะให้ศีลธรรมกลับมา เทศน์ทางวิทยุเรื่องศีลธรรมกลับมา ศีลธรรมกลับมานี่ ๗๐ ครั้งแล้ว เฉพาะที่ไปเทศน์ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แปดโมงเช้านั่น เทศน์มา ๗๐ ครั้งแล้วหลายปีแล้ว แล้วเขียนหนังสือเรื่องศีลธรรมเกี่ยวข้องกับศีลธรรมในหลายแง่หลายมุมนี่ไม่รู้กี่พันหน้าแล้ว ถ้าสนใจก็ไปดูในตึกนี่ ที่แสดงหนังสือทุกเล่มไว้ในตึกแดงนี่ ไปดูเถอะ จะเห็นว่ามีหนังสือมากมายที่เขียนขึ้นไว้เกี่ยวกับศีลธรรมๆ เอ่อ,ศีลธรรมกับมนุษย์โลก ศีลธรรมกับการศึกษา ศีลธรรมในทุกแง่ทุกมุมน่ะ มี ถ้าใครสนใจมีเวลาเข้าไปดูได้ นะในนี้มี มีแต่หนังสือที่เขียนมาตลอดเวลาสี่สิบปีน่ะ มีอะไรบ้างไปดู แต่ที่อยากจะมาบอกกล่าวก็คือเรื่องศีลธรรม เรื่องศีลธรรมในทุกแง่ทุกมุม เขียนมาเป็นพันๆหน้าแล้ว หมื่นหน้าแล้ว นี่ มีความตั้งใจอย่างนี้ ให้เอาศีลธรรมกลับมา โดยเห็นว่าถ้าไม่ ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกาก็วินาศ ถ้าศีลธรรมกลับมาทุกอย่างมันก็จะไม่วินาศ ความเจริญก็ยังเป็นความเจริญ ถ้าไม่มีศีลธรรมแล้วยิ่งเจริญยิ่งวินาศ ยิ่งเจริญยิ่งวินาศ ยิ่งเอร็ดอร่อย สนุกสนาน ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งฆ่าฟันกันเบียดเบียนกัน นี่การปล้นจี้การขโมยการข่มขืนแล้วฆ่าซึ่งมันไม่เคยมีในกาลก่อนน่ะมันก็มี มี มีมากขึ้นๆ เอ่อ,จนห้ามไว้ไม่อยู่น่ะคิดดูเอา เพราะความไม่มีศีลธรรม มันเป็นไปรุนแรง ถ้ามันมีศีลธรรมมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ นี่ขอให้รู้ว่ามันเป็นพยาน เป็นหลักฐานพยานว่า ความไม่มีศีลธรรมนั้นเป็นอย่างไร แล้วให้ผลเป็นอย่างไร เอ่อ,เป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์แล้วทีนี้ ที่จะต้องช่วยกันเอ่อ,ทำให้โลกนี้มันมีศีลธรรม ตรง(นาทีที่ 36.53)ตามหน้าที่ของกลุ่มเอ่อ,ของพวกที่เรียกว่าครูบาอาจารย์ บุคคลประเภทครูบาอาจารย์ในโลกน่ะมีหน้าที่อย่างนี้ เช่นเดียวกับชาวนาชาวสวนชาวประมงมีหน้าที่ทำให้เกิดอาหาร เอ่อ,พ่อค้ามีการขนส่งทำให้มันแพร่หลายทั่วถึงกัน หรือว่าเอ่อ,นักกฎหมายเอ่อ,ทนายความอะไรเขาก็ทำหน้าที่ไปตามแบบของเขา ทุกคนน่ะมันมีหน้าที่ไปตามแบบของเขา พวกขนส่งพวกแจวเรือจ้างพวกอะไรก็ตาม แต่พวกครูบาอาจารย์นี่มันมีหน้าที่ทำให้มนุษย์มีศีลธรรม เป็นเรื่องสูงขึ้นไปในทางจิตใจ มีหน้าที่ทำให้มนุษย์มีจิตใจที่ประกอบไปด้วยศีลธรรมแล้วปัญหาจะหมด ถ้าไม่มีศีลธรรมปัญหาท่วม ท่วมโลก ไม่มีศีลธรรมมันก็คืออันธพาลนั่นเอง มันก็โกง นี่ถ้าว่าประชาชนไม่มีศีลธรรมเป็นประชาชนคดโกง ก็รับจ้างเลือกผู้แทนพวกเราเลือกผู้แทนอย่างโกงๆ ประชาชนที่ไม่มีศีลธรรมก็เลือกผู้แทนอย่างโกงๆแล้วก็ได้ผู้แทนโกงมา อ้าว,เอ่อ,ผู้แทนโกงๆเหล่านั้นไปประกอบกันเป็นสภามันก็เป็นสภาโกง เอ่อ,สภานี้ไปตั้งรัฐบาลเข้าก็เป็นรัฐบาลโกง และอะไรจะ จะเป็นยังไง รัฐบาลโกงหนักเข้ามันก็โกงกันหมดทั้งบ้านทั้งเมือง พระเจ้าพระสงฆ์ก็จะพลอยโกง มันก็เต็มไปด้วยโลกที่มีความคดโกง นั่นล่ะคือความวินาศเอ่อ,ที่เกิดมาจากความไม่มีศีลธรรม เอ่อ,ขอให้บุคคลประเภทครูบาอาจารย์ทั้งหลายซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบส่วนนี้ เริ่ม เริ่มเคลื่อนไหวกันเถิด เริ่มทำหน้าที่ของครูบาอาจารย์ให้ถูกต้อง คือทำให้มนุษย์มีศีลธรรมหรือมีธรรม เอาละทีนี้ต่อไปนี้ก็จะพูดถึงไอ้คำว่าธรรมหรือศีลธรรมกันให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไป มนุษย์เราเอ่อ,มันเป็นมนุษย์ก็มีธรรม เป็นมนุษย์ก็มีธรรมมีศีลธรรม กล่าวกันมาแต่โบราณก่อนพุทธกาล ไอ้เรื่องหาอาหารกิน เรื่องการแสวงความสุขจากการนอน เรื่องขี้ขลาดหนีภัย เอ่อ,เรื่องประกอบกิจกรรมระหว่างเพศ สี่อย่างนี้เอ่อ,เสมอกันระหว่างคนกับสัตว์ คือคนก็ทำเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น เรื่องหาอาหารกิน เรื่องแสวงสุขจากการนอน เรื่องขี้ขลาดหนีภัย เรื่องประกอบกิจกรรมระหว่างเพศ เอ่อ,คนกับสัตว์ทำได้เท่ากัน แต่ว่าธรรมะเท่านั้นที่ทำให้คนผิดแปลกแตกต่างไปจากสัตว์คือสัตว์ไม่มีธรรมะ คนมีธรรมะอย่างคน สัตว์ไม่มีธรรมะอย่างคนมันจึงเป็นสัตว์ เอ่อ,ถ้าธรรมะออกไปเสียแล้วไม่มีแล้วคนกับสัตว์ก็จะเสมอกันจะเหมือนกัน ก็เป็นเอ่อ,ถ้าเอาเป็นคำคาถาไพเราะๆก็ว่า ‘อาหารนิทรา ภยเมถุนัญจ สามัญเมตัปสุภิ รานัง ธัมโมหิเตสัง อะธิโกวิเสโส ธัมเมนหีนา ปสุภิ สมานา’(นาทีที่ 40.43) นี่ถ้าเป็นภาษาบาลี เอ่อ,ถ้าว่าดูตามธรรมชาติแล้ว คนก็เหมือนกับสัตว์ตรงที่ว่ารู้จักหาอาหารกิน แสวงสุขจากการนอน ขี้ขลาดหนีภัย ประกอบกิจกรรมระหว่างเพศนี่เสมอกัน แต่ว่าคน ผิดจากสัตว์เพราะมีธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะแล้วคนกับสัตว์ก็เสมอกัน เราจึงต้องสนใจสิ่งที่ทำให้คนเป็นคนคือธรรมะหรือศีลธรรม ไอ้ธรรมะหรือศีลธรรมนี่ แบ่งได้เป็นสองชั้นน่ะ เป็นสองชั้น คือชั้นทั่วไปเรียกว่าศีลธรรม ชั้นระดับทั่วไปธรรมดาทั่วไปเรียกว่าชั้นศีลธรรม ถ้าชั้นสูงขึ้นไปก็เรียกว่าปรมัตถธรรม ในชั้นศีลธรรมนี่เรามีหลักว่าให้รอดชีวิตอยู่ได้อย่างถูกต้อง เอ่อ,เป็นอยู่กันอย่างเพื่อนเกิด แก่เจ็บ ตาย ไม่เบียดเบียนกัน เพราะฉะนั้นจึงสอนการอบรมกัน ให้รู้จักทำไร่ทำนาทำมาหากินให้มีกินมีใช้มีบ้านมีเรือนมีสิ่งของมีเครื่องเอ่อ,ปัจจัยสำหรับบำรุง บำรุงชีวิต ให้อยู่กันได้เอ่อ,ในระดับนี้สักทีหนึ่งก่อนด้วยความสงบ ด้วยความสงบ มันจึงจะเรียกว่าศีลธรรม มีศีลธรรม เอ้า,นี่เป็นชั้น ชั้นต้นชั้นแรกเมื่อได้อย่างนี้แล้วมันยังไม่พอ เพราะว่าในด้านจิตใจมันยังมีอยู่นู่น มีความรักมีความโกรธมีความเกลียด มีความกลัวมีความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยาหึงหวง รบกวนจิตใจอยู่เสมอ มันต้องมีจิตใจดีกว่า เอ่อ,จิต จิตใจสูงขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้เรื่องความกลัวนี่ เช่นกลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวขาดทุน กลัวไม่ได้เหล่านี้ซึ่งก็เป็นทุกข์ กลัวอะไรก็เป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น รู้จักทำใจอย่าให้กลัว รู้ รู้ รู้จักทำใจอย่าให้หลุด ไปเที่ยวหลงรักในสิ่งที่มันยั่วให้รัก รู้จักทำใจอย่าให้ไปเกลียดในสิ่งที่มันยั่วให้เกลียด รู้จักทำใจอย่าให้กลัวในสิ่งที่มันมายั่วให้กลัว อิจฉาริษยาก็เหมือนกันไม่ต้องอิจฉาริษยา มีแต่รักใคร่เมตตากรุณาซึ่งกันและกัน นี่รู้จักทำใจให้เหนือธรรมดาอย่างนี้เขาเรียกว่าขั้นสูง ขั้นปรมัตถธรรม ก็ต้องมีเหมือนกัน มิฉะนั้นจะเป็นทุกข์อยู่ในโลกนี้ ถ้ารวมเรียกว่าปัญหาที่เกิดมาจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ปัญหานานาชนิดเกิดมาจากความที่ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เหล่านี้ต้องเอาออกไปเสียให้ได้ อย่าให้เป็นทุกข์ นี่ขั้นสูงที่เป็นขั้นปรมัตถธรรม ครูบาอาจารย์ต้องรู้ทั้งสองขั้น ให้สามารถอบรมทางศีลธรรมให้อยู่อย่างดีโดยพื้นฐานในโลกอย่างโลกๆนี่ชั้นหนึ่ง และให้มีจิตใจสูงอย่าให้มีความทุกข์เกิดขึ้นมาจากการอยู่ในโลก เช่น เราอยู่ในโลกนี่เราต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายนี่มันหนีไม่พ้นนี่อยู่ในโลก ต้องมีความรู้อีกชนิดหนึ่ง ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะความเกิดแก่เจ็บตาย รู้จักคิดนึกเสียให้ถูกต้องว่าเป็นของธรรมดาเช่นนั้นเอง เราไม่ต้องการก็ทำให้ถูกต้องกับเรื่องเช่นนั้นเอง อย่าให้ต้องเจ็บไข้ และเจ็บไข้ก็รักษาให้ถูกเรื่องเช่นนั้นเองแล้วมันก็หาย มันก็เช่นนั้นเอง ถ้าไม่หายมันก็ตาย ตายมันก็เช่นนั้นเอง ไม่ต้องเป็นทุกข์ แล้วมันถึงไม่มีความทุกข์ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่ต้องทรมานใจของเรา เรารู้จักทำจิตใจให้อยู่เหนือปัญหาเหล่านี้ นี่เขาเรียกว่าชั้น ชั้นที่สูงขึ้นไปชั้นที่เหนือโลก แม้เราจะมีกินมีใช้มีบ้านมีเรือนมีทรัพย์สมบัติพัสถาน อำนาจวาสนา ยศศักดิ์บริวาร แต่เราก็ยังมีปัญหาเกี่ยวกับความเกิดแก่เจ็บตายอยู่นั่น มันต้องสอนกันในชั้นนี้อีกทีหนึ่งอย่าให้เป็นทุกข์ร้อน เพราะธรรมชาติอันละเอียด เอ่อ,คือความรู้สึกเป็นทุกข์เพราะความเกิดแก่เจ็บตาย และความที่มันเปลี่ยนแปลงไปตามเอ่อ,ธรรมชาติธรรมดาของมันอย่างอื่นๆ เช่นว่ามีอะไรเกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ ไม่คาดไม่หวังก็เห็นเป็นของธรรมดา ถ้าตายก็เป็นของธรรมดา ไม่ตายก็เป็นของธรรมดา เราอย่าเป็นทุกข์กันเลยดีกว่า ถ้ามันจะถูกเข้าโดยที่หลีกไม่พ้นเรียกว่าน้ำท่วมใหญ่ อ้าว,ตาย เอ่อ,ไฟไหม้ อ้าว,ตาย สงครามทิ้งระเบิดเต็มบ้านเต็มเมือง อ้าว,ตาย ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ก็แล้วกัน จนวาระสุดท้ายดับจิตไปโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ยอมเป็นทุกข์เพราะเราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์ นี่สอนกันให้รู้จักทำจิตใจอย่างนี้เรียกว่าถึงที่สุดน่ะ เป็นคำสอนชั้นบรมครู ชั้นบรมครูหรือบรมศาสดา เอ่อ,สอนไม่ให้เป็นทุกข์โดยประการทั้งปวง คือมันสอนจนหมดกิเลสหมดความโลภหมดความโกรธหมดความหลง ไม่หลงรักไม่หลงโกรธไม่หลงเกลียดไม่หลงกลัวไม่หลงอะไรต่างๆทุกอย่างทุกประการ มันก็เป็นมนุษย์ที่ไม่มีความทุกข์ นี่ จุดปลายทางมันอยู่ที่ว่าดับทุกข์ทุกประการ ดับทุกข์ทุกอย่าง ดับทุกข์โดยสิ้นเชิง มนุษย์เป็นอย่างนี้ มนุษย์ต้องทำให้ถูกต้องทั้งสองระดับนี้ คือระดับทั่วไปก็ถูกต้อง ระดับสูงเอ่อ,จนเหนือทุกข์เหนือโลกเราก็ถูกต้อง ฉะนั้น เราทำมาหากินให้ถูกต้องเราเป็นสุขพอใจในการทำมาหากิน ไม่ต้องไปขโมย เดี๋ยวนี้เด็กๆเขาไม่ชอบเหน็ดเหนื่อยเขาไปขโมยดีกว่าที่จะมาทำนาอยู่ หรือว่ามาทำงานอะไรที่มันไม่ได้เงินทันอกทันใจไปปล้นไปจี้ดีกว่าอย่างนี้ อย่างที่มันมีอยู่ในปัจจุบันนี้มันเป็นอย่างนี้เพราะไม่มีศีลธรรมพื้นฐาน ศีลธรรมพื้นฐานมันก็ไม่เห็นแก่ตัวมันก็รักผู้อื่นมันทำไม่ได้ แล้วก็สนุกสนานไม่ได้อาบเหงื่อต่างน้ำ เมื่อทำนาทำสวนถีบสามล้อแจวเรือจ้างอะไรก็ตามน่ะ เมื่อเหงื่อโชกทั้งตัวมันกลับพอใจ เพราะมันรู้สึกว่านี่ถูกต้องแล้ว นี่ถูกต้องแล้ว เราทำถูกต้องแล้วสำหรับความเป็นมนุษย์ของเราก็เลยพอใจ เราเป็นสุขไม่ต้องไปขโมยไม่ต้องไปปล้นไปจี้ เพราะว่าเขามีความสุขในการทำงานแม้จะอาบเหงื่อต่างน้ำ ทำนาก็ได้ทำสวนก็ได้ทำอะไรก็ได้ กระทั่งว่าถีบสามล้อแจวเรือจ้างกวาดถนนล้างคูสกปรกก็ทำได้ มันจะมีปัญหาอะไร นี่พื้นฐานมันถูกต้องอย่างนี้ไม่เท่าไรมันก็ค่อยๆมี ฐานะดีขึ้นๆจนไม่ต้องถีบสามล้อไม่ต้องแจวเรือจ้างก็ได้ มันก็มีเงินมีทองมีข้าวมีของมีบ้านมีเรือนเอ่อ,ขึ้นมาตามลำดับๆจนอยู่ในระดับที่เรียกว่าเอ่อ,อยู่ในโลกนี้ได้ดี นี่ขั้นนี้เราจะต้องช่วยให้เขามีศีลธรรม อย่าเข้าใจผิดว่าขโมยดีกว่า ชาวอินเดียเขาว่าขอทานดีกว่าเป็นขโมย ที่เมืองไทยนี่ไม่เคยได้ยิน เมื่ออาตมาไปอินเดียไปเที่ยวทั่วอินเดียได้ยินและได้ยินบ่อยด้วย เอ่อ,ขอทานดีกว่าเป็นขโมย ก็ไปนั่งคุยกับขอทานแล้วมันก็จะพูดว่าขอทานดีกว่าเอ่อ,เป็นขโมย มันจึงหาขโมยยากในประเทศอินเดียในสมัยที่อาตมาไป หาขโมยดูยาก แม้แต่คนกินเหล้าก็ไม่เห็นเอ่อ,เพราะว่าเขาไม่นิยมกินเหล้า แล้วรัฐบาลก็กวดขัน บางรัฐบางส่วนของประเทศไม่มีเหล้า ไม่มีเหล้าเรียกว่าไม่มีเหล้า แล้ว บางรัฐบางเอ่อ,แห่งก็ให้มีบ้างในการควบคุมอย่างยิ่ง ทีนี้ถ้าใครไม่รู้เกิดกินเหล้าเมาขึ้นมาแสดงอาการท่าทางเมาขึ้นมาเลยกลายเป็นของประหลาดเด็กๆไม่เคยเห็น วิ่งตามดูกันเป็นพรวนเป็นหางยาว เหมือนกับเกิดเหตุอะไรร้าย อย่างร้ายแรงขึ้น อาตมาถามว่านั่นอะไรกัน เขาบอกเด็กมันตามดูไอ้คนเมาเหล้าเหมือนกับตามดูสัตว์ประหลาดที่สุดในโลก นี่อย่างนี้ก็เรียกว่ามัน มันง่ายน่ะที่จะมีศีลธรรม แล้วพื้นฐานของอินเดียมันก็คือพื้นฐานของศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ศาสนาอะไรต่างๆเต็มไปด้วยศีลธรรม เพราะฉะนั้นอินเดียจึงไม่เป็นคอมมูนิสต์ทั้งๆที่รัฐบาลเขาไม่ได้ควบคุมเลย รัฐบาลเขาไม่ได้ต่อต้านควบคุมไอ้คอมมูนิสต์น่ะ คอมมูนิสต์ก็ไม่มีหรือเป็นไม่ได้เพราะประชาชนทุกคนมันมีศีลธรรมตามแบบของมัน พรรคคอมมูนิสต์ก็มีแต่ไม่มีใครเลือก เออ,ประโยชน์ของศีลธรรมมันเป็นอย่างนั้น เราเอ่อ,มองเห็นในความจำเป็นที่ต้องมีศีลธรรมเป็นพื้นฐานในระดับแรก สร้างชีวิตให้อยู่ในระดับที่เรียกว่ารอดตัว มีปัจจัยเครื่องอาศัยแก่ชีวิตพอตัว มีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว มีเพื่อนฝูงเอ่อ,พอตัว เป็นอยู่กันอย่างผาสุก นี่ระดับหนึ่งระดับหนึ่ง ระดับทางร่างกาย ระดับทางวัตถุ ระดับที่สองระดับทางจิตใจก็มีจิตใจชนิดที่ไม่ทุกข์ไม่มีความทุกข์ ไม่ได้เกิดมาสำหรับเป็นทุกข์เพราะฉะนั้นไม่เป็นทุกข์ ไม่มีร้องไห้ไม่มีหัวเราะ อะไรที่มาทำเป็นทุกข์มาทำให้เป็นทุกข์ ต้องร้องไห้ก็ไม่ร้องไห้ อะไรที่มาหลอกให้ดีใจหัวเราะร่าก็ไม่หัวเราะ นี่มันเฉย เป็นกลางอยู่ได้เรียกว่าไม่หัวเราะไม่ร้องไห้อย่างนี้น่ะคือจิตใจมันสูงมันก็หมดปัญหา ถ้าสมมติว่าปีนี้น้ำท่วมนาเสียหายหมดก็ไม่ต้องเป็นทุกข์หรอก ก็แก้ไขไปตามเรื่องไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะเป็นทุกข์มันไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ต้องไปขโมยหรอก มันจะยิ่งร้ายไปกว่าเดิม เพราะฉะนั้นถ้าเขามีศีลธรรมจริงๆ นี้ ปีนี้ทำนาไม่ได้เลยก็ไม่เป็นไร เพราะว่าสี่ห้าปีมันได้ ไอ้การที่มันจะเสียนั่นหลายๆปีมันจึงจะเสียสักครั้งหนึ่ง ฉะนั้นปีที่เราทำได้ไม่เสียน่ะทำไมไม่ ไม่เก็บเอาไว้ล่ะไม่ ไม่เก็บเอาไว้ใช้ในปีที่มันเสีย เดี๋ยวนี้ปี ปีไหนได้มากก็ใช้มากทำอบายมุขกันอย่างเต็มที่เลย ปีไหนทำนาได้ผลดีก็ดื่มน้ำเมาเที่ยวกลางคืน ดูการเล่นเล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านกันทำการงานเกียจคร้านทำงานที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าอบายมุข หมดเลย ไม่ได้เก็บไว้ พอถึงบางปีมันก็ไม่มีจะกินเพราะว่าเผอิญมันเสียหาย ข้าวมันไม่ได้หรือฝนมันแล้งหรือโรคระบาดอะไรก็ตาม ข้าวมันไม่ได้ปีนั้น มันก็เลยเป็นทุกข์ นี่คนมันโง่คนมันไม่มีศีลธรรม ถ้าคนมันมีศีลธรรมมันก็ทำอย่างดีอย่างเต็มที่อยู่ทุกปี เอ่อ,แล้วก็เหลือก็เก็บไว้ๆๆ สี่ห้าปีเสียหายไม่ได้สักนิดหนึ่งก็ไม่เป็นไรก็เราเก็บไว้ ถ้าเรามีศีลธรรมเราหาได้มากเรากินใช้แต่พอดีเหลือเราเก็บไว้ ไว้ช่วยตัวเอง ไว้ช่วยผู้อื่นเหลือกินเหลือใช้แล้วเอาไปช่วยผู้อื่นนี้เขาเรียกว่าเศรษฐี เศรษฐีคือคนที่ทำงานมากทำงานสนุกมีข้าทาสบริวารมากก็ทำสนุก เอ่อ,เพราะว่ามันเห็นว่าเป็นหน้าที่ที่ควรจะทำก็ทำงานกันสนุก ทั้งนายทั้งบ่าวทำงานกันสนุกได้ผลมากก็กินใช้แต่พอดี เอ่อ,เก็บไว้แต่พอดีเหลือไปช่วยผู้อื่นนี่เรียกว่าเป็นเศรษฐี กินเก็บแต่พอดีเหลือเอาไปช่วยผู้อื่นสร้างวัดสร้างวาสร้างสิ่งสาธารณะประโยชน์ทำอะไรก็ได้นี่เขาเรียกว่าเศรษฐี ไม่ใช่นายทุนขี้เหนียวนายทุนกระดากทรัพย์ นั้นมันไม่ช่วยใครยิ่งรวยมันยิ่งผูกขาด อย่างนั้นไม่ใช่เศรษฐี แม้จะมีเงินมากก็ไม่ใช่เศรษฐี แม้จะไม่มีเงินมากไม่สู้มากน่ะอย่างเราๆนี่ก็ได้ เหลือกินเหลือใช้เก็บกิน เออ,เอาไว้กินไว้ใช้ไว้เก็บแต่พอดีแล้วเหลือก็ไปช่วยผู้อื่นอย่างนี้ก็เป็นเศรษฐีได้ทั้งนั้นแหละ เป็นผู้ประเสริฐได้ทั้งนั้นน่ะ นี่เรียกว่ามนุษย์ที่มันดีกว่าธรรมดา เรามันธรรมดาก็เห็นแก่ตัวกินคนเดียว ไม่อยากช่วยใคร ถ้าดีกว่าธรรมดาเมื่อเหลือกินเหลือใช้ก็ช่วยผู้อื่นอย่างยิ่ง แล้วความคิดที่จะช่วยผู้อื่นมันมีอยู่ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ขาดตอน มีอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นผู้ที่เป็นเศรษฐีก็คือผู้ที่ช่วยผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา พอเหลือกินเหลือใช้อยู่ทุกปีก็ช่วยผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา นี่เรียกว่าระ เรียกว่าระดับที่มันสูงที่สุด ดีที่สุดและในระดับโลก และในระดับชาวโลก แต่ทีนี้ไม่ว่าเป็นเศรษฐีมันก็ยังมีความโลภความโกรธ ความหลง ความกลัวอะไรใน ในทางจิตใจ เศรษฐีก็ต้องศึกษาธรรมะอีกทีหนึ่ง ไม่ยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวกูของกูเรื่องเกิดเรื่องแก่เรื่องเจ็บเรื่องตาย เอ่อ,เรื่องที่ว่าเป็นธรรมะละเอียดในจิตใจ อย่าต้องมีความทุกข์ ที่ต้องศูนย์หายไปก็ไม่มีความทุกข์ ลูกเมียจะตายไปในบางครั้งบางคราวมันก็ไม่เป็นทุกข์ หรือมันได้อะไรมามันก็ไม่ดีใจ มันไม่มีจิตใจที่หวั่นไหว ไม่มีจิตใจขึ้นๆลงๆฟูๆแฟบๆมันมีจิตใจคงที่ เอ่อ, เพราะมันว่างจากการยึดถือแล้วมันก็คงที่ นี่ธรรมะชั้นสูง ทีนี้ครูบาอาจารย์ก็เป็นครูบาอาจารย์ไปในส่วนหนึ่งแล้ว ไอ้ส่วนที่เป็นมนุษย์ธรรมดามันก็มีอยู่ ครูบาอาจารย์ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มันต้องมีธรรมะสำหรับดับทุกข์ของคนธรรมดาให้ได้ดีอย่ามีความทุกข์ แล้วก็ไปทำหน้าที่ของครูบาอาจารย์ให้สำเร็จ คือสอนคนให้ดับทุกข์ได้ด้วยกัน อย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้าที่พระองค์ดับความทุกข์ของพระองค์เองได้แล้วก็ เอ่อ, สอนผู้อื่นให้ดับทุกข์ได้ด้วย วัดวาอารามเกิดขึ้นในโลกก็เพื่อสั่งสอนข้อนี้ สั่งสอนเรื่องนี้ตามแนวของพระพุทธเจ้า มีวัดวาอารามเพื่อสั่งสอนคำสอนเอ่อ,ของพระพุทธเจ้าหรือของพระศาสดาแห่งศาสนานั้นๆ ล้วนแต่เป็นเรื่องดับทุกข์ทั้งนั้นน่ะ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นงานครูที่กว้างขวาง งานครูที่โรงเรียนนั้นก็กว้างขวาง งานครูที่วัดวาอารามนี้ก็กว้างขวาง นี่เรียกว่าจะต้องมีบุคคลประเภทนี้อยู่ในโลก มีบุคคลประเภทครูบาอาจารย์ทำหน้าที่อย่างครูบาอาจารย์อยู่ในโลกนี่ โลกนี้จึงจะสมบูรณ์ โลกนี้จะอยู่กันเป็นผาสุก ถ้าขาดบุคคลประเภทครูบาอาจารย์เสีย โลกนี้ก็เป็นโลกที่มืด เป็นโลกที่บอด เป็นโลกที่ไม่รู้อะไร เป็นโลกที่ไม่รู้ว่าจะ จะไปทางไหน แล้วก็ทำไปตามความโง่ ถ้าทำไปตามความโง่ความมืดความบอดแล้วมันก็มีความโลภความโกรธความหลง มันก็เห็นแก่ตัวต่างคนต่างเห็นแก่ตัว มันก็ได้ฆ่ากันทำลายล้างกัน นั่นแหละขอให้ดูให้ดีว่าบุคคลประเภทครูบาอาจารย์นี้จำเป็นเท่าไร จำเป็นอย่างยิ่งเท่าไรที่จะต้องมีอยู่ในโลก ถ้าบุคคลประเภทครูบาอาจารย์ไม่มีอยู่ในโลกแล้ว โลกนี้มันจะมืดสักเท่าไร มันจะบอดสักเท่าไร มันจะมีแต่การกระทำที่ผิดๆไปเสียทั้งนั้น เพราะฉะนั้นครูบาอาจารย์ไม่ใช่คนรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ ก็คิดดูให้ดี ครูบาอาจารย์ไม่ใช่ลูกจ้างรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ นั้นไม่ใช่ครูบาอาจารย์น่ะมันเป็นลูกจ้าง แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์จริงมันก็ขวนขวายทุกอย่างทุกทางที่จะให้เด็กๆเกิดความสว่างแจ่มแจ้งว่าจะดำเนินชีวิตกันอย่างไรให้มันมีศีลธรรม ให้เด็กๆมันรักเคารพเชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์ สูงขึ้นไปถึงศาสนา เอ่อ,ถึงเรื่องบุญเรื่องบาปเรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องผิดเรื่องถูก เราจะต้องทำให้เด็กๆมันรู้เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องผิดเรื่องถูก นี่เป็นครูบาอาจารย์ที่แท้จริง อาตมาเห็นว่าเด็กพูดกับท่านทั้งหลายเอ่อ,ที่เป็นครูบาอาจารย์มา ในความหมายที่กว้างคือธรรมะที่ครูบาอาจารย์ควรทราบ ข้อเท็จจริงที่ครูบาอาจารย์ควรทราบ หน้าที่การงานที่ครูบาอาจารย์ควรทราบ อะไรๆที่ครูบาอาจารย์ควรทราบอาตมาก็ได้เอามาพูดแล้ว นี่จึงขอแสดงความหวังว่า เอ่อ,การที่เราได้มาพบปะกันที่นี่คงจะมีประโยชน์แก่โลก เราจะได้ร่วมมือกันทำประโยชน์แก่โลกคือทำให้โลกนี้มันมีแสงสว่าง ท่านทั้งหลายเป็นครูบาอาจารย์ที่แท้จริง แผ่กว้างไปถึงไหนก็จะมีประโยชน์เกิดขึ้นแก่โลกเอ่อ,ถึงนั่น จะทำให้มีเด็กดี และมีพล พลโลกที่ดี โลกนี้ก็เป็นโลกที่ดี เด็กๆมันจะสร้างโลกที่ดีเพราะว่าเราสร้างเด็กมันดี เราสร้างเด็กให้มันดีเด็กนี้มันก็จะประกอบกันเป็นโลกที่ดี จะพูดว่าเด็กเป็นผู้สร้างโลกก็ถูกเหมือนกัน แต่มันโดยการกระทำของครูบาอาจารย์อีกชั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงพูดว่าเอ่อ,ครูบาอาจารย์เป็นผู้สร้างโลกโดยผ่านทางเด็กๆนั่นแหละ เราไม่ได้สร้างโลกโดยตรงเราสร้างผ่านทางเด็กๆคือเราสร้างเด็กให้มันดี แล้วเด็กก็เกิดเป็นคนดีขึ้นมาเต็มโลก โลกนี้มันก็ดี แล้วมันจะเอาอะไรกันอีกล่ะ มันควรจะพอกันที เพราะว่ามันจะทำได้อย่างมากก็เพียงเท่านั้นแหละทำให้โลกทั้งโลกมันเป็นโลกที่ดี เอ่อ,อยู่กันอย่างเป็นผาสุกในด้านวัตถุ ในด้านร่างกาย และ ในด้านจิตด้านวิญญาณชั้นสูง รู้จักทำจิตใจอย่าให้มีความทุกข์โดยประการทั้งปวง เอาล่ะวันนี้เรามานั่งกันกลางดินพูดกันเรื่องสูงสุด เอ่อ,พูดกันนั่ง เอ่อ,พูด นั่งอยู่กลางดินแล้วพูดกันเรื่องสูงสุด เราไม่ได้นั่งกันบนตึกมหาวิทยาลัยราคาล้านๆที่พวกคุณเคยชินกันนัก ตึกเรียนตึกสอนตึกทำงานคุณราคาล้านๆ เอ่อ,เดี๋ยวนี้เรามานั่งพูดกันเรื่องสูงสุดที่สุดแต่ว่านั่งกลางดิน มันถูกกับเรื่อง เอ่อ,เพราะว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อนั่งกลางดิน พระพุทธเจ้าสอนเมื่อนั่งกลางดิน พระพุทธเจ้านิพพานกลางดิน นี่ใครยังไม่รู้ก็รู้เสียเถอะ พระศาสดาโดยมากเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นน่ะ เอ่อ,ชีวิตทางกายอยู่อย่างต่ำเพื่อว่าทางจิตใจมันจะได้สูง ถ้ามันไปเห่อเหิมให้ทางร่างกายสูงแล้วจิตใจมันก็จะต่ำ คนเรามันเป็นอย่างนั้น ถ้าอยากให้จิตใจมันสูงก็อยู่กันอย่างต่ำๆ กินอยู่อย่างต่ำๆแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างต่ำๆมีบ้านเรือนเครื่องใช้ไม้สอยอย่างต่ำๆ หมายความว่าพอดีอย่าให้มันเกิน เอ่อ,ถ้ามันเกินหรือมันสูงแล้วจิตมันจะวกลงต่ำ ถ้าร่างกายมันสูงจิตมันจะวกลงต่ำ ถ้าเราอยู่เอ่อ,ด้วยร่างกายที่ต่ำนี่ จิตมันจะไปสูง มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง นี่ขอแสดงความยินดีว่ามานั่งพูดกันกลางดิน มานั่งพูดกันกลางดิน ไม่ได้นั่งพูดบนโรงธรรมบนตึกบนไอ้ เหมือนอย่างที่เขาทำกันโดยมาก เอ่อ,ที่นี่เรานั่งกันกลางดิน สอนกันกลางดิน พูดกันกลางดิน เว้นแต่ฝนตกจึงจะเข้าไปในอาคาร ถ้าฝนไม่ตกก็พูดกันกลางดินอย่างนี่ไม่รู้กี่ร้อยครั้งกี่พันครั้งมาแล้ว เอ่อ,ขอให้สนใจด้วยว่าอยู่กันให้ต่ำๆเข้าไว้ กินอยู่อย่างต่ำแล้วก็มุ่งกระทำให้มันสูงๆนั่นน่ะคือระบบของพระศาสดาทั้งหลายในโลก ท่านอยู่อย่างต่ำๆแต่จิตใจของท่านสูง การกระทำก็เพื่อความสูงในทางจิตใจ หวังว่าท่านทั้งหลายที่ได้มาแต่ที่ไกลทุกคนนี้จะเข้าใจข้อความนี้ จะจำไว้บ้างและจะเอาไปคิดนึกศึกษาสืบต่อไปตลอดเวลาที่กลับไปบ้านไปเอ่อ,เรือนของตนแล้วอย่าลืมเสีย ว่าเราเคยนั่งกลางดินพูดกันอย่างนี้ ที่นี่ ในเวลานี้ด้วยเรื่องที่สำคัญที่สุดคือเป็นมนุษย์กันให้ถูกต้องนั่นเอง อย่ามีความทุกข์ให้ละอายแมว แมวมันไม่เคยมีความทุกข์แต่คนนี่ปวดหัวบ่อยนอนไม่หลับบ่อยเป็นโรคประสาทกันเกือบจะทุกคน แมวไม่เป็น นี่เรียกว่ามนุษย์ยังมีอะไรที่น่าละอายแมวอยู่มาก อย่าต้องเป็นเลย อย่าต้องปวดหัวนอน อย่าต้องนอนไม่หลับเลย อย่าเป็นโรคประสาทเลย ที่เป็นครูบาอาจารย์ก็อย่าต้องปวดหัวให้ละอายแมวเลย นั่นเพราะไม่สนใจในศีลธรรมเอาเสียเลย ดำรงจิตไม่ถูกมันก็ต้องปวดหัวต้องเป็นโรคประสาทแน่ รู้ศีลธรรมไว้พอสำหรับตัวครูบาอาจารย์เองในฐานะที่เป็นครูคนหนึ่งก็ดี ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งก็ดี รู้ธรรมะไว้ให้เพียงพอ อย่าให้ต้องปวดหัวหรือเป็นโรคประสาทให้ละอายแมวเลย ญาติโยมทั้งหลายที่ไม่ใช่ครูบาอาจารย์นี่ก็เหมือนกัน อย่าต้องอึดอัดขัดใจเป็นทุกข์เป็นร้อนให้ละอายแมวเลย แมวมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นมันทุกข์ไม่เป็นมันไม่มีความทุกข์ เพราะว่ามันไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูเป็นของกู มันยึดไม่เป็น ไอ้คนที่มันยึดมั่นเป็นตัวกูของกู เก่งแล้วนอนไม่หลับก็ต้องเป็นโรคประสาทก็ต้องเป็นบ้า มันน่าละอายแมวอย่างนั้นน่ะ เอาล่ะเป็นอันว่าทุกคนจะระมัดระวังเอ่อ,เรื่องของตนๆให้ถูกต้องให้ดีที่สุด อย่าให้ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนให้ต้องละอายแมวเลย เอ่อ,การพูดจากันนี้ก็เรียกว่ามันสมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายจดจำเอาสาระสำคัญไปให้พอ ที่เป็นครูบาอาจารย์ก็ให้ได้เป็นครูบาอาจารย์ผู้เปิดประตูทางวิญญาณให้สัตว์โลกออกมาเสียจากคอกอันมืดอันเหม็นอันสกปรกอันทนทุกข์ทรมานเอ่อ,ในชีวิตนั้นๆให้มีชีวิตที่มีความเยือกเย็นแจ่มใสในความหมายของคำว่านิพพานๆ ซึ่งแปลว่าเย็นๆ สะอาด สว่าง สงบ เย็นๆ ให้มีชีวิตอย่างนี้ และสามารถสอนผู้อื่นได้ ทุกคนก็จะได้เป็นมนุษย์เป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะเป็นกันได้ แล้วเรื่องก็จบ อาตมาขอยุติการบรรยายในครั้งนี้ไว้เพราะความสมควรแก่เวลาเพียงเท่านี้
.....(นาทีที่ 1.09.07-1.09.25) ไปโรงปั้นมุมโน้นน่ะ เขาปั้นตุ๊กตาแจกคนให้เป็นที่ระลึกแก่คนที่ทิ้งหมาก คนแก่ๆ นี้ไปดูกระสอบหมากที่เขาทิ้งไว้อยู่โน่น คนที่สูบบุหรี่ก็ไปดูไอ้บุหรี่ที่เขาทิ้งกันไว้เป็นกองพะเนิน ทิ้งเหล้า ทิ้งขวดเหล้า ทิ้ง เอ่อ,กัญชา ทิ้งเอ่อ,อะไรต่างๆ ที่จะต้องทิ้งก็อยู่ทางโน้น เรียกว่าโรงปั้นอยู่ทางโน้น ปั้นตุ๊กตาแจกคน โรงหลังนี้มีรูปภาพฝาผนังสอนธรรมะด้วยรูปภาพ แล้วก็ไปดูให้ทั่วทุกแห่งๆ ให้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ คุ้มค่า เอ่อ,ของการที่เรามาต้องเสียค่าใช้จ่าย ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องเสียเวลาอะไรต่างๆ ถ้าทำอะไรไม่คุ้มค่า ไม่ได้รับประโยชน์คุ้มค่าแล้วก็ เรียกว่าใช้ไม่ได้ พูดว่าใช้ไม่ได้ เดี๋ยวพูดมากไปเดี๋ยวก็จะโกรธ ถ้ามาแล้วไม่ได้รับประโยชน์คุ้มค่าของการมาแล้วก็เรียกว่าใช้ไม่ได้ มันต้องให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่าของการที่มาด้วยกันทุกคน