แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนายอำเภอและท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาได้ทราบความประสงค์และความพยายามของท่านทั้งหลายที่กำลังกระทำอยู่นี้แล้ว ก็ขอแสดงความยินดี อนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าได้ทำในสิ่งที่ควรกระทำคือ สิ่ง ทำสิ่งที่จะช่วยให้การศึกษาของเรามีผลดีอย่างยิ่งที่มันจะดีได้
ต้อนรับท่านทั้งหลายด้วยการนั่งกลางดิน นี่ก็เป็นเรื่องของการอบรมด้วยเหมือนกัน เพราะว่าการนั่งกลางดินให้ความรู้สึกผิดกันกับการนั่งบนอาคารหรือบนโต๊ะ บนเก้าอี้ บนไอ้สิ่งที่ไม่ใช่ธรรมชาติ นั่งกลางดิน เรียกว่า นั่งในที่นั่งของพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ท่านคงจะไม่กีดกันเอาพระพุทธเจ้าออกไปจากขอบเขตของบุคคลที่เรียกกันว่า ครู คือว่าจะเป็น ครูบรรพชิต หรือจะเป็น ครูฆราวาส มันก็มีความหมายอันเดียวกัน คือ ความหมายของคำว่า ครู นั่นเอง เราจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องนี้กันให้ถึงที่สุด
คำว่า ครู ทั่วไปกับคำว่า พระบรมครู มันจะต่างกันอยู่ก็แต่ฐานะ แต่ว่าอุดมคติของงานที่ทำนั้นเป็นอย่างเดียวกันแท้ ในการที่กำหนดให้เรามาบรรยายความรู้โดยหัวข้อว่า คุณธรรมของครู อาตมาก็บรรยายไปตามความรู้ความสามารถที่ได้เล่าเรียนมาในลักษณะอย่างนี้ พูดอย่างอื่นก็พูดไม่เป็น แน่นอน พูดเป็นแต่ชนิดที่ได้เล่าเรียนมาอย่างนี้ ในลักษณะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู และก็ไม่ปฏิเสธตัวเองที่ว่าจะไม่เป็นครู ทำงานด้วยอุดมคติอย่างเดียวกัน คือ ความเป็นครูของเพื่อนมนุษย์ในโลก เมื่อถูกขอร้องให้พูดเรื่อง คุณธรรมของครู ก็จะพูดไปตามที่รู้และพอใจ
อาตมาเคยถูกกล่าวหาว่าพูดอะไรแหวกแนวเสมอ มันเป็นความผิดของคนฟังที่ไม่รู้อะไรให้มากกว่านั้น เลยเห็นเป็นเรื่องแหวกแนว ที่จริงมัน มันแหวกแนวไปไม่ได้ แต่เพราะเหตุที่ว่าแนวนี่มันมีหลายแนวก็ได้ หรือมันแนวยาวๆ ไปไกลๆ ก็ได้ ถ้าพูดถึงเรื่องความเป็นครูกันแล้วไม่มีทางที่จะแหวกแนว หรือจะให้พูดอีกทีหนึ่งก็ว่า ก็ต้องไปตามแนวของพระบรมครู เรื่องนี้ขออย่าให้ลัทธิชาตินิยมเข้ามาเกี่ยวเลยจะดีกว่า เพราะถึงอย่างไรมันก็หลีกไม่พ้นเสียแล้วที่เราได้ใช้ภาษาอินเดีย วัฒนธรรมอินเดีย เรื่องความเป็นครู เพราะคำว่า ครู ครู นี่มันก็เป็นภาษาอินเดีย ระบอบการศึกษาอบรมเพื่อความเป็นครูมันก็เป็นวัฒนธรรมอินเดีย ระบบ ก ข ก กา อักขระ พยัญชนะของไทย มันคือระบบอินเดียทั้งดุ้น จึงต้องขอพูดไปตามเรื่องราวที่ได้กล่าวไว้สอนสืบๆ กันมาเกี่ยวกับเรื่องของ ครู
คำแรกว่า คุณธรรมของความเป็นครูหรือของครู ถ้าว่าคุณธรรมนี่เข้าใจว่า ผู้ที่กำหนดหัวข้อคงจะมีความหมายสำหรับคำๆ นี้เช่นเดียวกับอาตมา คำว่า คุณธรรม ถ้าถือตามหลักภาษาบาลี ซึ่งคำนั้นมันเป็นภาษาบาลี คุณ กับ ธรรมะ ธรรมที่ทำให้เกิดคุณค่า ธรรมะ แปลว่า ธรรมหรือสิ่ง คุณ แปลว่า คุณ คุณ คือ คุณค่า ก็ได้ความว่า สิ่งที่ทำให้เกิดคุณค่าที่คนหนึ่งคนหนึ่งจะทำได้ ซึ่งถ้าเป็นภาษาต่างประเทศ มันก็คำเดียวกันอีกนั่นเองคือคำว่า Qualification Qualification คำว่า Qualify ก็คือ ทำให้เกิดคุณค่า สิ่งหรือการกระทำที่ทำให้เกิดคุณค่ามันแล้วแต่ว่าคนนั้นมันจะทำอะไร Qualification หรือ คุณธรรม นี่ก็คือสิ่งที่คนนั้นจะทำได้ ตามหน้าที่ของตน ถ้าว่าเขาเป็นพระเจ้า เขาเป็นพระ เป็นเจ้า พระเป็นเจ้าก็ต้องมีคุณธรรมอย่างพระเป็นเจ้า ที่ทำอะไรๆ มันสมกับที่เป็นพระเป็นเจ้า นี่ถ้าว่ามันเป็นมนุษย์ ก็ต้องมีคุณธรรมหรือความสามารถในการที่จะทำให้เกิดคุณค่าอย่างมนุษย์นั้นเอง เพราะนั้นคำว่า คุณธรรม จึงแปลว่า ไอ้สิ่งที่เขาทำได้หรือต้องทำได้ตามหน้าที่ของเขา มิฉะนั้นแล้วเขาก็จะไม่เป็นอะไรๆ ตามชื่อนั้นๆ ที่เขามีอยู่หรือระบุอยู่ ดังนั้น คุณธรรมของครู ก็คือ สิ่งที่ครูต้องทำได้เพื่อความเป็นครู ถ้าทำไม่ได้มันก็ไม่เป็นครู เป็นครูไม่ได้ เพราะนั้นครูต้องทำสิ่งหนึ่งซึ่งทำแล้วก็ให้เกิดความเป็นครูขึ้นมา นี่เรียกว่า คุณธรรม แปลว่าสิ่งที่ทำให้เกิดคุณค่าตามหน้าที่ของคนคนนั้น แม้แต่แมวก็ต้องมีคุณธรรมของแมว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อจับหนูเป็น ซึ่งอะไรๆ ที่มันจะเป็นประโยชน์แก่สังคมหรือแก่ตัวเองก็ตาม มันก็คือไอ้ความสามารถในการทำสิ่งซึ่งเป็นหน้าที่ของตน ไอ้หน้าที่นี้มันจะเรียกว่า ธรรมชาติมันอุปโลกน์ให้ก็ได้ หรือว่าสังคมนั่นแหละมันอุปโลกน์ให้ก็ได้ โดยการตกลงกัน แบ่งปันหน้าที่กันว่าใครจะต้องทำอะไร นี้ครูก็ต้องมีหน้าที่ของครู ครูก็ต้องสามารถในหน้าที่ของตน เพราะนั้นความสามารถในหน้าที่ของตนเรียกว่า คุณธรรมของครู เรื่องมันจึงอยู่ที่หน้าที่ ไอ้คำว่าหน้าที่นี่ เป็นคำที่สูงสุดหรือสำคัญที่สุด เพราะมันคือ ธรรมะ นั้นเอง ธรรมะ คำนี้เมื่อแปลกันถูกต้อง ก็ต้องแปลว่า หน้าที่ พออาตมามาบอกกันขึ้นว่าคำว่า ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ โว้ย, เขาก็หาว่าแหวกแนว ว่าพูดเอาเองบ้าง ว่าหลอกเขาบ้าง แต่ที่จริงคำว่า ธรรมะ นั้นมันแปลว่า หน้าที่ จริงๆ ด้วยไปดูได้ใน Dictionary ปทานุกรมธรรมดาสามัญในอินเดียคำว่า ธรรมะ ก็แปลว่า หน้าที่ ทั้งนั้นแหละ แล้วโดยหลักพระธรรมมันก็แปลว่า หน้าที่
ธรรมะ คือ ตัวธรรมชาติ
ธรรมะ คือ กฎของธรรมชาติ
ธรรมะ คือ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ
ธรรมะ คือ ผลที่ออกมาจากหน้าที่ที่ประพฤติดีแล้ว
ใน ๔ ความหมายนั้นคำว่า หน้าที่ เป็นความหมายที่สำคัญที่สุดของคำว่า ธรรมะ ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ เพราะมันหมายถึงการอยู่รอดของสิ่งนั้นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีชีวิต ลองไม่ทำหน้าที่ มันตายทั้งนั้นแหละ มันตายทั้งนั้นแหละ ต้นไม้ไม่ทำหน้าที่มันก็ตาย สัตว์เดรัจฉานไม่ทำหน้าที่มันก็ตาย คนไม่ทำหน้าที่มันก็ตาย เทวดาต่อให้เป็นเทวดาไม่ทำหน้าที่มันก็ตาย ไม่ว่าอะไรถ้ามันไม่ทำหน้าที่แล้วมันก็ตาย คำว่า หน้าที่ จึงเป็นคำสำคัญที่สุดหรือสิ่งที่สำคัญที่สุด ประเสริฐที่สุด เพราะถ้าไม่ทำหน้าที่แล้วมันก็ตาย มันยิ่งกว่าที่ว่าไม่มีราคาไปเสียอีกคือ มันตายเลย ที่จริงถ้าเราไม่ทำหน้าที่เราก็ไม่มีค่าอะไร ไม่มีประโยชน์อะไร แต่มันร้ายไปกว่านั้นก็คือว่าไม่ทำหน้าที่แล้วมันก็ตาย ไม่กินอาหาร ไม่อาบน้ำ ไม่ถ่ายอุจจาระ ไม่ถ่ายปัสสาวะ ไม่บริหารตามหน้าที่มันก็ตาย ธรรมะคือหน้าที่ คุณธรรมก็คือธรรมะ ที่เป็นหน้าที่เพื่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า คุณค่า คุณค่า คำว่า คุณค่า นี่ก็เป็นที่รับรู้ตรงกัน ต้องการตรงกันว่ามันต้องมี ถ้าไม่มีคุณค่าก็โยนทิ้ง สิ่งไรที่ไม่มีคุณค่ามันก็โยนทิ้ง ถ้าสิ่งที่มีชีวิตไม่มีคุณค่ามันก็ตาย เป็นของตายหรือเท่ากับตาย หรือว่ามันจะได้ตายลงไปจริงๆ
ทีนี้ก็ดูกันเลยตามความประสงค์ว่า คุณค่าของครู คุณธรรมของความเป็นครู ตามหัวข้อที่กำหนดไว้เมื่อรู้ว่า คุณธรรม คือ ความสามารถในการทำหน้าที่แล้วก็จะดูถึงคำว่า ครู คำว่า ครู นี้อาตมาสนใจมานมนานเป็นสิบๆ ปี เคยหาความหมายของคำว่า ครู เพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของตนที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระบรมครู ถ้าเอากันตามภาษามันก็แปลว่า ผู้สั่งสอนก็ได้ ผู้มีศาสดา อ่า, ผู้มีศาสตราในการที่จะตัดปัญหาก็ได้ นี้เอาภาษาไทยเป็นหลักว่ามาจากคำว่า ศาสดา พระศาสดา แต่ถ้าเอาภาษาบาลีเป็นหลักกันก็คือเอาคำว่า ครุ ครูนั่นเองเป็นตัวคำสำหรับจะศึกษาวิพากษ์วิจารณ์ เราเคยถือกันว่า ครุ แปลว่า ผู้หนัก ผู้มีคุณค่าหนัก หรือผู้ที่คนอื่นต้องเคารพอย่างนี้กันอยู่ก่อนแล้ว ทั่วไปแล้วคำว่า ครู แปลว่า มีพระคุณหนักอยู่บนศีรษะของคนทุกคน เพราะนั้นต่อมาไปพบว่าในอินเดียเขาถือว่าครูนี่เป็นผู้นำจิตใจของคนเรียกว่า ผู้นำในทางจิตหรือทางวิญญาณ เป็นหน้าที่ที่กำหนดไว้สำหรับผู้มีสติปัญญาแล้วก็นำจิตวิญญาณของสัตว์ แล้วต่อมากลายเป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าแผ่นดินเรียกว่า เป็นผู้ช่วยไม่ให้พระเจ้าแผ่นดินทำผิดในหน้าที่ของตน เมื่อไม่นานมานี่ไอ้ชาวอินเดียที่เขาเป็นนักสรรพศาสตร์คือ ความรู้เรื่องถ้อยคำ เขายังพบต่อไปอีกว่าคำว่า ครุ นี่แปลว่า เปิด เปิดอะไรก็คือ เปิดประตู คำว่า เปิด มันต้องหมายความว่า เปิดสิ่งที่เปิดได้ ทีนี้สิ่งที่เปิดได้ในที่นี้ก็คือ ประตู ประตูของอะไร ประตูคอกที่กักขังสัตว์ ไอ้เรื่องทาส หรือรากศัพท์ หรือ Root ของศัพท์นี่ เราไม่สามารถจะไปรู้ของเขาหรอก เพราะเป็นภาษาของเขาไม่ใช่ภาษาของเรา แต่ว่าภาษาที่เขาเรียกว่า เป็นภาษาแบบฉบับ ภาษาแบบแผนเช่น ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต เป็นต้นนั้นนะ คำทุกคำมันจะมีรากของคำ นี่เขาก็ไปค้นหาที่รากของคำมันมีความหมายอย่างไร ไอ้คำว่า ครู นี่มีรากของคำว่า เปิดประตู เปิดประตูของอะไร เปิดประตูของคอก คอกอะไร คอกที่ขังวิญญาณ ที่จริงจะเปิดประตูธรรมดา ธรรมดานี้ก็ได้ แต่มันไม่ค่อยมีความหมายมัน คุณค่ามันไม่สูง ถ้าเปิดประตูคอกที่ขังสัตว์ไว้โดยทางวิญญาณแล้วก็ ก็มีค่ามาก น่าสนใจ น่าเคารพ น่าบูชา อะไรเป็นคอกขังสัตว์ไว้ มันก็คือ ความโง่ของคนคนนั้นเอง ไอ้ความโง่ของสัตว์นั้นเองมันเป็นเหมือนกับคอกขังสัตว์ทั้งหลายไว้ ทีนี้จะเปิดประตูคอก ก็คือ ทำลายความโง่ของคนเหล่านั้นเสีย นั่นนะคือผู้เปิดประตู ครู ที่มีความหมายแท้จริงก็ แปลว่า ผู้เปิดประตูทางวิญญาณของสัตว์ ให้สัตว์ออกมาได้จากคอก คือ ความโง่ของตน ของตน การอยู่ในคอก ย่อมหมายความว่า เป็นการทนทุกข์เสมอ เพราะนั้นการออกจากคอก ก็คือ การออกจากทุกข์ เพราะนั้นจึงเกิดมีค่ามีความหมายขึ้นมาจนกลายเป็นปูชนียบุคคลไป ครูกลายเป็นบุคคลประเภทปูชนียบุคคล คือ คนทั้งปวงต้องเคารพบูชาไป ภาษาอินเดียนี้มี มีอะไรมากมายลึกลับซับซ้อนไปตามแบบของชนชาติที่เก่าแก่เป็นพันๆ ปี ขยายความหมายของคำ ของอะไรได้มากมาย คำว่า ปูชนียบุคคล นี่มันก็เกิดขึ้น กำหนดขึ้นไว้สำหรับบุคคลประเภทหนึ่ง ซึ่งบุคคลจะต้องบูชาผู้ที่เปิดประตูทางวิญญาณกลายเป็นบุคคลที่บุคคลจะต้องบูชา คำว่า บูชา นี้ก็เหมือนกันอีกแหละ มีความหมายหลายระดับ หรือต่างกันตามสถานการณ์ เช่นคำว่า ยักษ์ ยักษ์ที่เรา เราเรียกกันไอ้พวกยักษ์ พวกมาร พวกยักษ์ คำว่า ยักษ์ คำนั้นก็แปลว่า ผู้ที่คนต้องบูชาเหมือนกัน คำว่า ยักชะ (นาทีที่ 21.49น.) แปลว่า บูชา ไอ้ ยักขะ ยักษา ยักษี นี่มันมาจากคำว่า ยักชะ ซึ่งแปลว่า บูชา ถ้าว่ายักษ์มันมีอำนาจ มันเป็นอันตราย ถ้าไม่จัดการกับยักษ์ให้ถูกต้อง ยักษ์มันจะกินเอา ยักษ์ คำนี้เป็นชื่อของบุคคลที่คนอื่นต้องบูชา เพราะว่า มันมีอำนาจก็มี เพราะมันมีอะไร อะไรซึ่งไม่ใช่อำนาจอันร้ายกาจแต่มันน่าบูชาก็มี พวกเทวดามีคำกล่าวในพระบาลีนะ พวกเทวดาเขาทักพระพุทธเจ้านี่ เขาทักว่า ดูก่อนยักษ์ ข้าแต่ยักษ์ พระพุทธเจ้าก็เป็นยักษ์ ในฐานะที่พวกเทวดาก็บูชา แต่นี้เป็นภาษาธรรมดา ภาษาพูดธรรมดาไม่ใช่ภาษาสูงสุดอะไร นี่ให้รู้ไว้เถอะว่า คำว่า ยักษ์ ก็แปลว่า ผู้ที่บุคคลต้องบูชา เหมือนกัน มิฉะนั้นจะเป็นอันตราย เพราะยักษ์ในความหมายนั้นก็ไม่ได้หมายถึง ไอ้พวกยักษ์ป่าเถื่อน เลวทรามอะไร ไม่ใช่ เป็นยักษ์ชนิดที่มีอะไรดี ที่ต้องเกรงใจ ที่ต้องติดต่อด้วยอย่างถูกต้อง เป็นผู้ที่ควรต้องบูชาเหมือนกัน แต่ว่าบูชาเพราะกลัว เดี๋ยวนี้เป็นผู้ที่ต้องบูชาเพราะรัก เพราะชอบ เพราะนับถือก็ได้ เพราะนั้นครูเราก็เป็นปูชนียบุคคล เพราะว่ามีอะไรน่ารัก น่าเคารพ น่าบูชา ไม่ใช่น่ากลัวเหมือนพวกยักษ์ เอาแล้วเป็นอันว่า ครู เป็นปูชนียบุคคลที่สัตว์โลกทั้งหลายควรจะบูชา เพราะว่ามีค่า มีคุณค่าสูงสุดสำหรับมนุษย์ คือ เปิดประตูให้ออกมาเสียจากที่กักขังซึ่งทนทุกข์ คำว่า ที่กักขัง นี้มันก็มีหลายระดับ ธรรมดามันก็เรียก คอกที่เรียกว่าขังวัว ขังควาย ก็ได้ หรือขังให้อยู่ในความไม่ก้าวหน้า ไม่เจริญก็ได้ หรือขังให้เวียนว่ายอยู่ในกองกิเลสก็ได้ กองกิเลสซึ่งไม่มีตัวตน เป็นนามธรรมนี่มันก็เป็นคอกได้ เป็นคอกที่น่ากลัวยิ่งไปกว่าคอกที่มองเห็นเสียอีก มันก็เป็นหน้าที่ของพระบรมครูที่จะต้องช่วยให้สัตว์ออกมาเสียได้จากคอกชนิดที่สูงสุด คือ คอกทางวิญญาณ มองไม่เห็นตัว แต่คนก็วนเวียนอยู่ในคอกนั้น ไม่ออกมาจากกองทุกข์ของตนเองได้ ไม่สามารถจะช่วยตนเองออกจากทุกข์ได้ แล้วนับประสาอะไรจะไปช่วยคนอื่นเล่า เดี๋ยวนี้ครูจะต้องใช้คำคอมมิวนิสต์ก็ได้ว่า ปลดปล่อย ครูจะเป็นผู้ปลดปล่อยแท้จริง ในสภาพที่ไม่พึงปรารถนามันติดอยู่ ครูจะต้องเป็นผู้ทำการปลดปล่อยให้คนเหล่านั้น ให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ออกไปเสียจากการกักขังหรือการผูกพัน นั่นแหละความหมายของคำว่า ครู กระทรวงศึกษาธิการเขาจะบัญญัติกันอย่างนี้หรือไม่ อาตมาก็ไม่ทราบ แต่อาตมาพูดอย่างนี้ก็มีคนหาว่าแหวกแนว พูดเอาเองบ้าง เราไม่เคยทำอะไรชนิดที่แหวกแนวหรือว่าหลอกใคร พยายามที่จะติดตามไปถึงต้นตอของเรื่อง ของภาษา ของถ้อยคำ ของอะไร ให้มันลึกที่สุด เพื่อว่าจะได้ความหมายที่ถูกต้องและแท้จริง และสมบูรณ์ด้วย เอาแล้วเป็นอันว่า ครู นี้คือ ปูชนียบุคคลของสัตว์ทั้งหลายในโลก โดยเหตุที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปลดปล่อยให้สัตว์ทั้งหลายออกมาเสียจากกองทุกข์และปัญหา
คำว่า กองทุกข์ นี่ถ้าเป็นฝ่าย รูปธรรม ก็คือ ลำบากทางกาย ไม่มีอะไรจะกิน เจ็บไข้ อดอยาก อยู่ในฐานะที่สุขภาพไม่ดี นี่เรียกว่า ความทุกข์หรือปัญหาทางกาย แต่ถ้าว่าสูงไปกว่านั้นก็คือ ทางจิต แม้ว่าจะมีข้าวกิน มีปัจจัย ๔ บริบูรณ์ มีอะไรก็บริบูรณ์ แต่มันก็ยังเป็นทุกข์ทางจิต เพราะจิตมันโง่ เพราะจิตมันคิดไปแต่ในทางที่จะเป็นทุกข์ คิดอย่างอื่นไม่เป็น มีชีวิตนั่นเองมันกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา ชีวิตมันเกิดเป็นขบถขึ้นมา มันเป็นความทุกข์อยู่ในตัวชีวิตเองเพราะคนนั้นมันโง่ ถ้ามันมีความรู้ถูกต้อง มันก็รู้จักจัด รู้จักทำ ไม่ให้ชีวิตนี้เป็นทุกข์ขึ้นมา ชีวิตนี้ก็เป็นของเบาสบาย เย็น ไม่มีการที่เรียกว่า ทนทรมานแม้แต่ประการใด ชีวิตของใครบ้างที่ว่าไม่มีความหมายแห่งการทนทรมานแม้แต่ประการใด นั่นแหละคือ คนที่ถึงยอดสุดของความเป็นมนุษย์ เรียกว่า พระอริยเจ้าหรือจะเป็นพระอรหันต์ จะเรียกว่า พระอรหันต์ก็ได้ ชีวิตของท่านอยู่เหนือโลก เหนือความหมายในโลก โดยประการทั้งปวง เรียกว่า พ้นโลก เหนือโลก คือ โลกุตระ นี้ก็เป็นสิ่งที่มีได้และได้มีแล้ว แต่คนที่เขาไม่เข้าใจ เขาก็ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้ มีคนไม่เชื่อว่าธรรมะที่สอนหรือว่าอบรมดีแล้ว เราจะไม่มีความทุกข์เลยโดยประการทั้งปวงนี่ มีบางคนเขาไม่เชื่อ ก็หมายความว่าไม่เชื่อพระธรรม ไม่เชื่อพระพุทธเจ้านั่นเอง แล้วยังจะเห็น จะหา จะหาว่าไอ้นั่นมันบ้า ถ้าใครไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเป็นทุกข์เสียเลย มันเป็นคนบ้า มันกลายเป็นอย่างนั้นไปเสีย มีฝรั่งบางคนมาที่นี่ ก็คุยกับอาตมานี่แหละ ก็พูดถึงเรื่องว่าธรรมะ ทำไมกัน ธรรมะ ทำไมกัน เขาก็ว่าเขามาหาธรรมะ อาตมาก็ถามว่าธรรมะทำไมกัน เราบอกว่า ธรรมะ คือสิ่งที่จะช่วยให้คนเราไม่เป็นทุกข์เลย เขาก็ว่า Abnormal คือ คนบ้า คนที่ผิดปกติ คนที่ไม่รู้จักเป็นทุกข์เลย คือ คนผิดปกติ เขาเลยไม่ต้องการ เขาไม่ต้องการที่จะเป็นคนที่ไม่มีความทุกข์เลย เขาต้องการให้มันมีโดดโลดเต้นขึ้นๆ ลงๆ ไปตามประสาคนธรรมดาที่ไม่มีความทุกข์ชนิดที่เขาหมายถึง คือความทุกข์ที่รุนแรง ส่วนในทางธรรมะนี้ แม้ความทุกข์นิดหน่อยก็ถือว่าเป็นความทุกข์ ความทุกข์ละเอียดอ่อน สุขมเท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นความทุกข์ ต้องไม่มีเลย แต่คนพวกนั้นเขาหาไม่ได้ เขาว่าไม่ได้ อย่างนั้นมันไม่ได้ มันผิดธรรมดา นี่มันพูดกันไม่รู้เรื่อง เห็นไหม เพราะว่าเราถือเอาความหมายของถ้อยคำมันผิดกัน ตอนแรกเราจะยอมรับตามหลักเกณฑ์หรือหลักการในพระพุทธศาสนาว่า ไอ้ที่สูงสุด ประเสริฐที่สุด มันก็ต้องหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ไม่มีความทุกข์ใดๆ เหลืออยู่ แล้วก็อย่าให้เข้าใจไปว่ามันเป็นคนบ้า เป็นคนผิดปกติ ไม่มีความรู้สึกเหมือนคนทั่วไป ถูกแน่นอน ไอ้คนทั่วไปรู้สึกนี่จะถือว่ามันถูกต้องมันไม่ได้หรอก มันเป็นคนทั่วไปเขารู้สึกกันอย่างนั้นเอง ถ้ามันเหมือนคนทั่วไปแล้วมันจะประเสริฐกว่าคนทั่วไปได้อย่างไร ถ้าให้ประเสริฐกว่าคนทั่วไปมันก็ต้อง ต้องผิดแปลกจากคนทั่วไป มันจึงจะดีกว่า ประเสริฐกว่าคนทั่วไปได้ เมื่อคนทั่วไปมีความทุกข์ พระอรหันต์ก็ต้องไม่มีความทุกข์ เพราะจิตใจเป็นอย่างอื่นไปเสียแล้ว ไม่มีอะไรทำให้จิตใจของผู้ที่เราเรียกกันว่า พระอรหันต์นั้นรู้สึกเป็นทุกข์ได้ เพราะว่าท่านไม่รู้สึก เอาอะไรมาเป็นของตน ไอ้คนธรรมดานี่มีอะไรเป็นตัวตน มีความเกิดของตน มีความแก่ของตน มีความเจ็บของตน มีความตายของตน คนธรรมดาก็เป็นทุกข์ ทีนี้พระอรหันต์ท่านมีจิตใจอย่างอื่น ไม่อาจจะรู้สึกว่าความเกิดของตน ความแก่ของตน ความเจ็บของตน ความตายของตน ตั้งต้น ท่านก็เลยไม่เป็นทุกข์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่างไร น่าเกลียด น่าชัง เจ็บปวด รวดร้าวอย่างไร ท่านก็ไม่รับเอามาเป็นของตน จิตใจชนิดนั้นไม่รับเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตนเลย ไม่รู้จะทุกข์อย่างไร มันทุกข์ไม่ได้ มันเป็นทุกข์ไม่ได้ นี่ยอดสุดของความหลุดพ้น ที่บรมครู ที่พระบรมครูได้ทำการปลดปล่อยสัตว์ให้หลุดพ้น มันหลุดพ้นถึงอย่างนี้ เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณเพื่อให้เกิดการหลุดพ้นถึงอย่างนี้ นี่คำว่า ครู ครูทั้งหลายจะเอาหรือไม่เอา อุดมคติอันนี้ ครูทั้งหลายจะเอาหรือไม่เอา หรือว่ามันนอกหลักสูตร มันไม่ต้องเอา แต่ความจริงมันเป็นเรื่องเดียวกันแหละ คนเราถ้ามันหลุดพ้นจากความทุกข์หรือจากปัญหาแห่งชีวิตทุกชนิดแล้วก็เรียกว่าใช้ได้ เพราะนั้นการที่เด็กๆ ไม่รู้หนังสือ เป็นความโง่ถ้าไม่รู้หนังสือ ก็เขาก็เปิดประตูทางจิตเข้าแล้วด้วยเหมือนกัน แต่ในระดับต้นเพราะนั้นเด็กผิดๆ เด็กเขาทำอะไรผิดๆ เป็นเด็กอันธพาล เราสอนเขาให้ลึก หมดความเป็นอันธพาล นั่นคือได้ปลดปล่อยเด็กคนนั้นให้หลุดพ้นจากความเป็นอันธพาลมาเป็นเด็กที่ดี นี้มันก็หน้าที่ของครูดู ทั่วไป ให้เขาหลุดพ้นจากความโง่คือ ไม่รู้หนังสือ ก็ให้รู้หนังสือเสียได้ฉลาด เขาทำอะไรกินไม่เป็น ประกอบอาชีพไม่เป็นก็สอนเขาเสีย ให้รู้จักประกอบอาชีพ เพราะเขายังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ชอบทำอะไรตามกิเลสของตน ก็สอนเขาให้รู้เสียว่าไอ้เรื่องชั่วนั้นมันไม่ได้หรอก แม้ว่าเราจะได้เงินมาเพราะความชั่ว เราก็อย่าไปเอาเลย เพราะมันเป็นอันตรายมากกว่าที่ได้เงินนั้นมา นี่ก็เรียกว่าสอนให้หลุดพ้นออกมาจากไอ้ความโง่ชั้นลึก ความโง่ชั้นลึก เดี๋ยวนี้เราก็เห็นกันอยู่แล้วด้วยตนเองว่า การที่ให้เด็กรู้แต่หนังสือกับอาชีพนั้นไม่พอ เด็กนั้นยังเป็นอันธพาลได้ แล้วก็เป็นอันธพาลมากขึ้นทุกที อาตมาเรียกว่า การศึกษานี้ยังไม่สมบูรณ์ เรียกว่า มันเป็นเหมือนสุนัขหางด้วน สอนแต่หนังสือกับอาชีพ พอเด็กเรียนจบแล้วเป็นอันธพาล เพราะนั้นการศึกษานั้นมันก็เป็นการศึกษาด้วน ไม่คุ้มครองให้ตลอดไป คือไม่ให้เขาเป็นคนที่ถูกต้อง ไม่เป็นภัยแก่สังคม ไปสำรวจดูเถอะ ไปลองพิสูจน์ วิจัยอะไรดูว่า ไอ้อันธพาลที่เต็มไปทั้งบ้านเมืองนั่นมันก็รู้หนังสือและรู้อาชีพ แต่มันไม่เอา มันไม่มีอะไรบังคับให้เขาใช้หนังสือหรือใช้อาชีพให้ถูกต้อง แล้วก็เป็นอยู่สะดวกสบาย เขากลับว่าไม่เอา เราไม่ชอบทำงาน มันเหน็ดเหนื่อยนี่ ไปขโมยดีกว่า ไปปล้นจี้ดีกว่า มันไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย นี่เขาก็เลยเป็นอันธพาล แต่ถ้าเรามีการศึกษาอีกระดับหนึ่ง คือว่า สอนให้รู้ว่าอย่างนั้นไม่ดี อย่าทำ เขาก็จะตั้งหน้าตั้งตาประกอบอาชีพอย่างสนุกสนาน
อาชีพ คือ หน้าที่
หน้าที่ คือ ธรรมะ
เมื่อได้ประพฤติธรรมะ คือทำหน้าที่แล้วก็พอใจ เมื่อพอใจก็เป็นสุข ก็ไม่ต้องไปทำความชั่วชนิดที่ตัวเองก็เดือนร้อน ผู้อื่นก็เดือนร้อน เดี๋ยวนี้ถ้าว่าการศึกษาในโลกนี่ไม่เป็นอย่างหางด้วน เป็นอย่างสมบูรณ์ การศึกษานั้นจะต้องสอนให้ทุกคนรู้ว่า ธรรมะ คือ หน้าที่ สัตว์ที่มีชีวิตต้องมีธรรมะ คือทำหน้าที่ เมื่อทำหน้าที่นั่นแหละ คือ มีธรรมะ มีธรรมะในพระศาสนา เมื่อทำหน้าที่ ไถนาอยู่ก็ได้ ทำสวนอยู่ก็ได้ ทำงานอะไรอยู่ก็ได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของมนุษย์แล้ว ก็เรียกว่ามีธรรมะ เมื่อมีธรรมะก็ภูมิใจ ภาคภูมิใจว่ามีธรรมะ ไอ้ความภาคภูมิใจก็ทำให้เป็นสุข ก็เลยทำหน้าที่สนุก ไม่อยากเลิกงานไปอาบ อบ นวด เหมือนที่เขาทำกันโดยมาก แล้วเงินเดือนมันก็ไม่พอใช้ เพราะรังเกียจธรรมะคือหน้าที่ เพราะว่ามันไม่สนุกตามความรู้สึกของเขา เพราะว่าเขาไม่มีธรรมะนั่นเอง ถ้าเขารู้เรื่องนี้ดีก็รู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ เมื่อได้ประพฤติหน้าที่ก็พอใจที่มีธรรมะ ก็เลยทำหน้าที่ตลอดเวลาแล้วไม่อยากจะเลิก ไม่อยากจะเลิกกลับบ้าน ไม่อยากจะปิดออฟฟิศ กลับบ้าน อ้าว, ก็เพราะทำหน้าที่อยู่ที่ออฟฟิศมันเป็นการปฏิบัติธรรมะ เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น เห็นเป็นของเหนื่อย น่ารังเกียจ อยากจะหยุด อยากจะพัก และก็ไปเที่ยว เป็นเรื่องที่ว่ามันเข้าใจผิดต่อสิ่งที่เรียกว่า หน้าที่หรือธรรมะ ถ้าเมื่อใดการศึกษาที่สมบูรณ์ได้สอนให้ทุกคนรู้ว่าหน้าที่คือ ธรรมะ ธรรมะ นั่นแหละคือ สิ่งประเสริฐของมนุษย์ ธรรมะนั่นแหละเป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้าท่านประสงค์ให้ทุกคนมี พระเจ้าประสงค์ให้ทุกคนมีธรรมะ ก็คือให้ทำหน้าที่ อะไรเป็นหน้าที่ก็ทำแล้วก็สนุกและพอใจเพราะว่ามันเป็นธรรมะ เดี๋ยวเงินมันก็เหลือ เพราะว่ามันทำหน้าที่เพลิน สนุก ไม่อยากจะเลิก มันก็ทำงานมาก มีผลงานมาก แล้วมันก็กินไม่หมด มันก็เหลือสำหรับจะเอาไปช่วยผู้อื่นก็ได้ นี่โลกนี้จะหมดปัญหาแห่งการเบียดเบียนก็เพราะว่าทุกคนรู้ธรรมะ มีธรรมะ ในฐานะที่เป็นหน้าที่และก็ทำงานสนุกไปเลย แล้วก็ว่าดีอยู่ที่ตรงนี้ ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายช่วยกันอบรมสั่งสอนเด็กนักเรียนของเรา ให้รู้ว่ามันดีอยู่ที่ตรงนี้ มันดีอยู่ที่ตรงทำหน้าที่ ไม่ใช่ดีอยู่ตรงที่ไม่ต้องทำหน้าที่แล้วมีสตางค์ใช้ เราบอกว่านั่นคือ โง่ที่สุด เลวทรามที่สุด ไม่ทำหน้าที่แล้วไปมีสตางค์ใช้นั่นนะ มันต้องไปปล้นหรือไปเอามาอย่างไม่ถูกต้อง แม้ว่าพ่อแม่จะให้ มันก็ไม่ถูกต้อง เพราะว่าเราไม่ได้ทำหน้าที่ มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แม้จะมีใครมาให้ เราเป็นคนน่าละอายที่ไม่มีอะไรดี ต้องคนอื่นให้
นี่สอนให้นักเรียนทุกคนเขารู้ว่า การทำหน้าที่นั้นคือ ธรรมะ สิ่งสูงสุดเราต้องบูชาธรรมะ คือ บูชาหน้าที่ทุกระดับแล้วแต่จะมีหน้าที่ต่ออะไร ต่อใครสูงๆ ขึ้นไปเราก็จะไม่บกพร่อง ทุกระดับของหน้าที่ เดี๋ยวนี้เราเป็นนักเรียนมีหน้าที่อย่างนักเรียน ก็บูชาหน้าที่ของนักเรียน เอาการเรียนนั้นเป็นสิ่งสูงสุด บูชาการเรียน ครั้นเราเรียนจบแล้วเราก็ไปประกอบอาชีพ เราก็เอาอาชีพเป็นสิ่งสูงสุด แล้วเราก็ไปแต่งงาน เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นอะไรก็มีหน้าที่เป็นพ่อเป็นแม่ที่ดี เป็นปู่ ตา ย่า ยายที่ดี เพราะว่าทำหน้าที่ถูกต้องแล้วก็ดี ถ้าเด็กของเราทุกคนมีความรู้สึกอย่างนี้แล้วปัญหาก็หมดนะในโลกนี้ จะไม่มีเด็กอันธพาลเกเรซึ่งกำลังมีมากขึ้นเป็นปัญหามากขึ้น เรื่องไม่เคารพบิดามารดานี่มากขึ้น ไม่เคารพครูบาอาจารย์ก็มากขึ้น ไปชอบยาเสพติดก็มากขึ้น ไปเป็นอันธพาลปล้นจี้ ข่มขืน ข่มขืนแล้วฆ่านี่มันก็มากขึ้น เห็นไหม เพราะมันไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร หน้าที่คืออะไร ธรรมะคืออะไร สมัยก่อนนู้นไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้เรียนวิชากันมากนัก แต่อบรมเรื่องจิตใจกันมาก เด็กๆ มีความรู้สึกต่อสิ่งที่เรียกว่า ดี ชั่ว บุญ บาป มากกว่าเด็กสมัยนี้ เด็กสมัยนี้เขาไม่มีความหมายของคำว่า ดี ชั่ว บุญ บาป เขามีแต่ได้ก็แล้วกัน กูได้ก็แล้วกัน กูได้เงิน ได้ประโยชน์ที่กูต้องการก็แล้วกัน เรื่องดี ชั่ว บุญ บาป ไม่มีความหมาย ไม่ต้องพูดถึงชั่งหัวมัน ถือศาสนาว่ากูได้ก็แล้วกันนี่ อันธพาลมันก็เลยเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วก็ทำอาชญากรรมที่เลวร้ายเหลือประมาณซึ่งไม่เคยมีมาแต่ก่อน เดี๋ยวนี้เรื่องฆ่าบิดามารดาของตัวนี่มันก็กลายเป็นของธรรมดามากขึ้น มากขึ้น ที่เราได้ทราบจากหนังสือพิมพ์มันมากขึ้น มากขึ้น เพราะว่าการรู้ธรรมะหรือหน้าที่นี่มันไม่ถูกต้อง ไม่เหมือนครั้งโบราณ พอเกิดขึ้นมา เด็กคลอดออกมาก็ได้รับการอบรม ให้รู้จักบุญ รู้จักบาป ให้รักบุญ เกลียดบาป ให้รักดี เกลียดชั่ว ส่งเสริมกันไปในทางให้ดี แม้จะเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ก็ยังได้ถ้าทำให้คนเขาชอบดี รักดี บูชาดี ไม่ต้องเป็นวิทยาศาสตร์หรอก เป็นไสยศาสตร์ก็ได้ ถ้าทำให้เด็กๆ เหล่านั้น เขายึดมั่นในความดี เอาแต่ความดี ไม่ยอมทำความชั่ว ไม่ลัก ไม่ขโมย ไม่เอาแม้แต่ของตก ของตกอยู่กลางถนน พ่อแม่เขาสอนกันมาจนถึงว่าเด็กๆ มันไม่เอาของตกกลางถนน มันเอาไปประกาศหาเจ้าของ แล้วมันก็ละเอียดลออในความหมายคำว่า บาปหรือบุญ สมัยอาตมาเท่าที่จำได้ในความรู้สึก ได้รับคำสั่งสอนว่านอนสายก็บาป นอนสายนี่บาปนะ ผู้ใหญ่สอนให้เด็กถือว่านอนสายนี้ก็บาป ก็คิดดู ขี้เกียจก็บาป กิริยาหยาบก็บาป โอ๊ย, มันบาป บาปไปเสียมากมายเลย ก็ระวังตัวกันแจทีเดียว แม้จะถ่ายปัสสาวะสักที ต้องเลือก เลือก ถ้าหันหน้าไปทางนั้นมันบาป หันหน้าไปทางพระเจดีย์ก็บาป หันหน้าไปทางนั้นก็บาป ต้องเลือกก่อนที่จะนั่งลงถ่ายปัสสาวะ หันหน้าไปทางไหนได้ ไม่เหมือนกับสุนัขจะเหยี่ยวรดพระเจดีย์ได้เหมือนเด็กสมัยนี้ นี่คือความที่ว่าไอ้ศีลธรรมมันเปลี่ยนไป การทิ้งแก้วแตก จานแตกไปทางถนนผู้ใหญ่ก็บอกว่าบาป เดี๋ยวนี้เขานั่งรถยนต์ เขาทิ้งขยะจากหน้าต่างรถยนต์บนถนนเขาว่ามันดี คนเหล่านี้ก็เรียนมาจากเมืองนอกเมืองนา นั่งรถยนต์แพงๆ เด็กๆ ของเขาก็ทิ้งไอ้เศษสกปรกจากหน้าต่างรถยนต์ลงบนถนนเขาก็ว่ามันดี ส่วนสมัยเรานี้มันช่างลำบากเสียเหลือเกิน ทำอะไรรกบนถนนก็ว่าบาป มี เช่น มีคำว่า ตัดต้นไม้ล้มขวางถนนแล้วไม่รื้อ นี่ก็เรียกว่าแช่งกันทั้งบ้านทั้งเมือง มันบาปเหลือประมาณ เพราะนั้นขอให้ครูบาอาจารย์เทียบเคียงเอาเองว่ามันต่างกันอย่างไร ในทางสถานะฝ่ายจิตใจของคนในโลกปัจจุบันนี้และโดยเฉพาะเด็กๆ ซึ่งเขาจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในโลกนี้ เขาจะสร้างโลกกันอย่างไร อาตมาเคยพูดว่า ไอ้ผู้สร้างโลกโดยแท้จริงก็คือ เด็กๆ ของเรานั่นแหละ คนเขาก็ว่าบ้า พูดแหวกแนว เด็กๆ สร้างโลก เขาพูดกันแต่ว่า พระเจ้าสร้างโลก อะไรสร้างโลก อาตมาว่าไม่ใช่ ผู้สร้างโลกแท้จริงนั้นคือ เด็กๆ นักเรียนของเรานั่นแหละ มันจะสร้างโลกในอนาคตของมันอย่างไร เราช่วยอบรมเขาให้ดี เด็กๆ นั่นแหละเขาจะสร้างโลกที่ดีขึ้นมาได้ ครูเป็นผู้อบรมสั่งสอนผู้สร้างโลกอีกทีหนึ่ง อีกชั้นหนึ่ง ถ้าจะดูในทางเป็นเกียรติก็เป็นเกียรติสูงสุด ช่วยอบรมผู้ที่จะสร้างโลก ให้ช่วยกันสร้างโลกให้ดี พูดอย่างนี้แหวกแนวหรือไม่แหวกแนว แต่อาตมาเคยถูกด่าว่าแหวกแนว พูดเกินพอดี พูดผิดคน พูดไม่เหมือนใคร มันก็จะต้องยอมรับแล้วว่า ถ้ามันยังซ้ำรอยอยู่อย่างเดิม มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะนั้นเราต้องได้ทำอะไรชนิดที่แปลกออกไปกว่าหรือดีกว่า มันจะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะนั้นผู้นำในทางวิญญาณก็คือ ครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เป็นผู้นำในทางวิญญาณ ลูกเด็กๆ มันก็เดินถูกต้องในการที่จะสร้างโลกนี้ ให้เป็นโลกที่น่าพอใจ ทีนี้โลกนี้จะน่าพอใจหรือไม่น่าพอใจในอนาคตมันก็แล้วแต่ครูผู้สร้างเด็ก ซึ่งจะสร้างโลกในอนาคต ทีนี้ครูก็จะคิดว่ามันไม่มีหลักสูตร กระทรวงศึกษาธิการไม่ได้มอบหน้าที่อันนี้ให้ แล้วเราก็ไม่อยากจะได้บุญด้วย ถ้าจะคิดกันเสียใหม่ว่า แม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการเขาจะไม่ได้มอบหน้าที่อันนี้ให้ แต่เราจะทำแล้วจะเป็นอะไรไป เราจะทำ เราเอาบุญก็ได้ เราเห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันได้บุญจริงๆ ถ้าทำให้เด็กๆ เขามีความรู้ความเข้าใจถูกต้อง ดำรงตนให้เป็นพลเมืองที่ดีในโลก โลกนี้มันก็ดี อาตมาพยายามที่จะให้เด็กๆ เขายึดหลัก เรียกเขามาอธิบาย มาให้ท่อง ให้ท่องเป็นบทมนต์เลยว่า ข้าพเจ้าจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ข้าพเจ้าจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ข้าพเจ้าจะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนทุกคน ข้าพเจ้าจะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ข้าพเจ้าจะเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า นี่เท่านี้พอ เด็กๆ เขาก็ท่องกันได้ แต่เขาจะทำหรือไม่นี่ต้อง ยังจะต้องดูอีกต่อไป แต่ถ้าเราคอยเตือนไว้ เตือนไว้ เขาทำแน่ แล้วเขาจะเว้นได้มาก อาตมาก็คอยเตือนอยู่เสมอ ทุกวันที่เด็กมาวัดก็เรียกมาพูดกันแต่ข้อนี้ อย่าลืมนะ กี่ปี กี่ปีแล้วก็พูดกันแต่ว่าจะเป็น คนดี ๕ ประการ นี่
เป็นบุตรที่ดี
เป็นศิษย์ที่ดี
เป็นเพื่อนที่ดี
เป็นพลเมืองที่ดี
เป็นสาวกที่ดี
ไม่เห็นมีในหลักสูตรหนังสือเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ แล้วก็มาโทษว่าเด็กนักเรียนของเรายังไม่ดี ทำไมไม่เขียนลงไปในหลักสูตรให้ครูอบรมให้เด็กเขาประพฤติหละ มันก็เหลืออยู่แต่ว่าพวกเราต้องสมัครเอาบุญกันแล้วแหละ กระทรวงเขาจะไม่สั่งมาก็ตามใจ แต่เราจะทำแล้วในฐานะเป็นผู้นำทางวิญญาณก็ได้ ในฐานะเป็นผู้เปิดประตูคอกทางวิญญาณก็ได้ ให้เด็กๆ ของเราเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนเด็กๆ ด้วยกัน แล้วก็เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี เดี๋ยวนี้ไอ้ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ หน้าเศร้า หน้าสังเวช หน้าทุเรศ ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างครูกับศิษย์ เลวร้ายไปถึงอาชญากรรมทางเพศมากขึ้น มากขึ้น ระหว่างครูกับศิษย์ ใครๆ ก็เห็น รู้ได้จากหนังสือพิมพ์ หนังสือข่าวนี่มาก ไม่น่าเชื่อ มันมาก ไม่น่าเชื่อ
เอาแล้วถึงที่สุดนี้อาตมาก็ไม่มีอะไรจะพูดว่า นอกจากว่า เมื่อกระทรวงเขาไม่ได้บัญญัติบังคับลงมา ไอ้เราก็น่าจะตัดสินเอาเองว่า เราจะทำอย่างไร จะทำสักเท่าไหร่ เพื่อความเป็นครูที่มี อะไร คุณธรรมของครู ท่านทั้งหลายกำหนดหัวข้อให้อาตมาบรรยายว่า คุณธรรมของครู นี่คือคุณธรรมของครู แม้ว่ากระทรวงเขาไม่ได้สั่งมา ไม่ได้บัญญัติไว้หลักสูตร แต่ครูนี่จะทำให้เกิดผลคือว่า เกิดอนุชนที่ดีของชาติขึ้นมา ให้เด็กๆ เดินถูกทาง เป็นผู้นำในทางวิญญาณ แล้วเปิดประตูคอกคือ ทำลายความโง่ของเขาเสีย ให้เขามีสัมมาทิฐิ คิด นึก รู้สึก ถูกต้อง แล้วดำเนินไปแต่ในทางที่ดี เรียกว่า มีคุณธรรมของครูแท้จริง ถ้าว่าจะมัวแต่รับจ้างสอนหนังสือเลี้ยงชีวิต ครูก็คือกรรมกรนั่นเอง ครูก็เป็นชนกรรมาชีพชนิดหนึ่ง ไม่เท่าไรจะได้ทะเลาะกันเหมือนกับชนกรรมาชีพเหล่าอื่น ถ้าครูทุกคนจะถือว่าเราเป็นผู้มีอาชีพรับจ้างสอนหนังสือเป็นชนกรรมาชีพอย่างนี้ เป็นเรื่องการเมืองที่กำลังมีปัญหา ก็ได้ต่อสู้กับนายทุนคือ รัฐบาลซึ่งเกี่ยวกับอาชีพของครู แต่ถ้าเราจะรู้สึกว่าเรามันเป็นคนของพระธรรม เป็นผู้สังกัดพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู เปิดประตูทางวิญญาณอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ไม่ต้องมีใครมา มา ไม่ต้องมีใครแต่งตั้งหรือยกย่องอะไรเราก็เป็นปูชนียบุคคลโดยกฎของธรรมชาติ ครูก็ไม่ใช่ลูกจ้าง ครูก็เป็นปูชนียบุคคลอยู่เหนือศีรษะของคนทุกคนในโลก ไม่ต้องมีใครมาแต่งตั้งบัญญัติ มันเป็นของมันเอง ครูจะต้องอยู่เหนือศีรษะของคนทุกคนในโลก เพราะว่ามีบุญคุณแก่ทุกคนในโลก ในการปลดเปลื้องดวงวิญญาณของเขาให้พ้นจากคอกของความหลง ของอวิชชา ได้เดินถูกทางไปตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ จนตาย จนเข้าโลง ทำอะไรไม่ผิดอีกต่อไป เพราะว่าครูนั่นแหละเป็นผู้นำทาง เป็นผู้เปิดประตู เป็นผู้ปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลายจากอำนาจของกิเลส สัตว์ทั้งหลายตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสพร้อมที่จะทำผิด ครูเป็นผู้ปลดปล่อยให้สัตว์ทั้งหลายพ้นจากอำนาจของกิเลส ไม่มีอะไรผิด ถูกตลอดไป นับว่าสัตว์นั้นๆ เกิดมาแล้วได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เป็นหมันเปล่า การเกิดของเขาไม่สูญเปล่า การกำเนิดของเขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเพราะครูนั้นเอง นี่มันก็พอจะมองเห็นกันแล้วว่า คุณธรรมของครูนั้นคืออะไร
ขอแสดงความยินดีอย่างสูงสุดอีกครั้งหนึ่งที่ได้ทราบว่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้จัดกิจกรรมอันนี้ขึ้นมาด้วยความสมัครใจของตนเอง ไม่ใช่เป็นเรื่องกระทรวงบังคับ หรือว่าครูทั้งหลายหรือว่าผู้ข้างเคียง ผู้เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันจัดให้มีการอบรมครูให้เป็นครูที่มีคุณธรรมของครู ปราศจากคุณธรรมนั้นๆ แล้วมันก็ไม่เป็นไอ้สิ่งนั้นๆ แม้แต่แมวถ้ามันไม่มีคุณธรรมของแมวมันก็ไม่เป็นแมว เช่น มันจับหนูไม่ได้ จับหนูไม่เป็น มันก็ไม่เป็นแมว เพราะนั้นครูก็เหมือนกันถ้าไม่สามารถยกสถานะทางวิญญาณของสัตว์โลกแล้วมันก็ยากที่จะเป็นปูชนียบุคคลอยู่เหนือเศียรเกล้าของคนทุกคนในโลก อาตมาก็จะบอกให้ว่าพูดอย่างอื่นไม่เป็น พูดได้ พูดเป็นแต่ตามที่ได้เล่าเรียนมาในฐานะเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา มีพระบรมศาสดาเป็นพระบรมครู รู้อย่างนี้ก็พูดไปอย่างนี้และเชื่อว่าไม่มีทางที่จะขัดขวางกันกับอุดมคติของครูในลักษณะไหนหมด
อาตมาขอแสดงความยินดีจริงๆ ด้วยความรู้สึกจริงๆ แล้วจะพูดอีกอย่างหนึ่งไม่กลัวครูจะหาว่าแหวกแนว อาตมาจะพูดว่าขอบพระคุณ ขอบใจครูทั้งหลายที่มาที่นี่ มาช่วยกันทำให้อาตมาเป็นคนมีประโยชน์ ท่านครูทั้งหลายไม่ต้องขอบใจอาตมาไม่ต้อง ไม่ต้อง อาตมานี่จะขอบใจท่านทั้งหลายที่มาช่วยทำให้วัดนี้มีประโยชน์ มาช่วยทำให้อาตมาเป็นคนมีประโยชน์ อาตมาขอขอบใจท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไม่ต้องขอบใจอาตมา นี่แหวกแนวหรือไม่ บ้าหรือดี ไอ้เรามันเคยถูกแต่อย่างนี้ ไม่ว่าพูดแหวกแนวพูดบ้าๆ บอๆ อะไรไม่รู้ แต่เราไปคิดดูว่ามันจริงหรือไม่จริง มันมีเหตุผลที่จะพูดหรือไม่พูด เวลาที่ท่านกำหนดให้มันหมดแล้วจะพูดอะไรอีกมันไม่ได้แล้ว มันกำหนดให้ ๑ ชั่วโมง นี่ทีนี้มัน ๑ ชั่วโมง ก็ต้องขอยุติด้วยความยินดีอย่างยิ่งที่ช่วยกันสร้างสรรค์โลกนี้ให้งดงาม ช่วยกันทำทุกอย่างให้มนุษย์เป็นมนุษย์สมความเป็นมนุษย์ ขอยุติด้วยความหวังว่า ขอให้เกิดความก้าวหน้าทางจิต ทางวิญญาณ แก่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อยู่เป็นสุขพร้อมกับความก้าวหน้าทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
(นาทีที่ 01:01:40น-01:02:07น)
ตึกนี้เพิ่งสร้างเสร็จ แดง ตึกแดงนี่ อยากจะอวด อวดดีหรืออวดอะไรก็ไม่รู้ว่า แต่อยากจะอวดว่าไม่ได้จ้างแม้แต่บาทเดียว ค่าแรงพระเณรทำเองหมด กระทั้งทาสีเสร็จสุดท้ายก็ติดโคมไฟ ไม่ได้จ้างแม้แต่บาทเดียว นี่ก็เป็นเรื่องที่จะอวด ขอให้เรารักษาขนบธรรมเนียมประเพณีโบรมโบราณของคนไทยว่า ถ้ามีอะไรที่ช่วยกันได้แล้วก็ขอให้ทำเถิด มันก็จะมีอะไรที่ ที่แปลกไม่น่าเชื่อ แล้วมีสิ่งที่เขาไม่เชื่อกันอีก อีกอันหนึ่งว่า ไอ้หนังสือทั้งหมดนั่นคนเดียวเขียน คนเดียวทำ ผลงานนี่มันมีมาตั้งแต่เริ่มมีเครื่องบันทึกเสียงเส้นลวด ราว พ.ศ. ๒๔๘๕ มันมีเครื่องบันทึกเสียงเส้นลวดเข้ามาครั้งแรกในประเทศไทย ตั้งแต่นั้นมาเราก็มีสำเนาที่เราพูด แล้วมาลอกเป็นตัวหนังสือ แล้วก็ไปพิมพ์ๆๆๆ จนเดี๋ยวนี้มันมีมากขนาดนี้ บางคนไม่เชื่อว่าทั้งหมดนี้คนเดียวทำ เพราะมันมากเกินไป เราก็บอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น ขอให้คุณอย่าหลบหลีกโอกาสเมื่อมันมีงานให้ทำ ขอให้ทุกคนถือเป็นหลักว่า ถ้ามันมีโอกาสที่จะทำงานแล้วทำเถอะ ทำเถอะ อย่าหลบหลีกบิดพลิ้วเลย ไม่เท่าไรมันจะมีมากไม่น่าเชื่อว่าคนเดียวกระทำ ให้ถือหลักว่าอย่าหลีกงาน อย่างหลบหลีกงาน ทำทุกโอกาสที่มันมาให้ทำ แล้วเราจะทำงานได้มากจนใครๆ ไม่เชื่อว่านี่คนเดียวทำ นี่อาตมาขอยืนยัน ขอรับประกัน ขอให้ถือหลักอันนี้เถิด ถ้ามีโอกาสก็ไปดูโรงหนัง ไปคุยกับอาจารย์ไสว รับแจกตุ๊กตา
(นาทีที่ 01:05:33น เป็นภาษาใต้คะ) รู้สึกว่าเกินวัยขึ้นมาก เกินวัยขึ้นมากด้านศีลธรรม ด้านจริยธรรม รู้สึกว่า ดุ๊กดิ้กๆ กันขึ้นทั่วๆ ไป จังหวัดอื่นๆ ก็รู้สึกว่าขยับตัว ขยับไปกับหลักการเรื่องศีลธรรม เรื่องกระทำกันเสียแล้ว เด็กๆ คงจะดี ก็จะได้ไม่ต้องวินาศ ไม่ต้องเดินกันไปจนตกเหว มันเลี้ยวกลับ มันเลี้ยวกลับเสียได้ ไม่ต้องตกเหว เอาแล้ว ค่อยๆ พูดกันว่าไอ้เรื่องให้ คือหัวหน้าไปอบรมลูกน้อง มีโอกาสเมื่อไรเชิญมาอาตมายินดี ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย มีโอกาสเมื่อไรเชิญมาพูดกันได้เรื่อยไปเรื่องสร้างมนุษย์ สร้างมนุษย์ ไม่ว่าเหนื่อย เพราะว่าหน้าที่ ซึ่งจะเป็นหน้าที่ สิ่งที่พระพุทธเจ้ามอบหมาย เหนื่อยไม่ได้ เหนื่อยไม่ได้ ต้องทำ เช้ามาปวดกระดูกแม่เท้า หมอสงสัยว่าจะเป็นโรครูมาติซั่ม ปวด โรคเก๊า โรครูมาติซั่มหรือโรครูมาตอยด์ อย่างใดอย่างหนึ่งนี่พวกนี่ นี่หายแล้วหายปวดแล้ว หมอมาดูดเอาเลือดไปตรวจ (นาทีที่ 01.08.08น) มาดูดเอาเลือดไป ๓ ซีซี ไปตรวจ ไปสุราษฎร์ฯ ใคร ใคร ไป ไปไหนเสีย มีกี่คน ให้หนังสือกดบัตรคนละเล่ม คุณปรีชาไปเอาหนังสือกดบัตรมา ๔๕ เล่ม ที่ระลึก กดบัตร หน้าที่ความเป็นพุทธบริษัท มานี่ทีก่อน มา มาแจกหนังสือสักเล่มก่อน คุณปรีชาเร็วๆ เว้ย, เสร็จแล้ว ไม่ต้องจ้างสักบาทเดียว ไม่ต้องจ้างสักบาทเดียว ทำเอง ทั้งพระ ทั้งเณร ทั้ง อ้าว, ให้ท่านนายอำเภอ ให้ท่านนายอำเภอ กดบัตร นี่เราอวดได้ว่าอ่านแล้วมีประโยชน์ มีประโยชน์แน่ๆ พอไหม เพราะคิดดีแล้ว พยายามคิดดีแล้ว