แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ความ ท่านเป็นครูบาร์อาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายคือสถานที่นี้ด้วยเหตุผลกว้างๆ ก็คือว่าเราจะได้มีโอกาสร่วมกันทำประโยชน์ให้แก่โลก ให้แก่คนในโลกไม่เสียที ที่เกิดมา คือเป็นคนมีประโยชน์ ถ้าเป็นคนไม่มีประโยชน์ มันก็เสียที ที่เกิดมา ท่านทั้งหลายเป็นครูมีอุดมคติ เป็นแสงสว่างให้แก่คนในโลกเพราะว่าโดยที่จริงความเป็นครูมันเป็นสถาบันทางจิต ทางวิญญาณ ไม่ใช้สถาบันทางวัตถุ คือสถานที่อะไร มันเป็นสถาบันทางวิญญาณที่ฝังแน่นลงไปในจิตใจของคน คำว่าสถาบันนั้นมันแปลว่าสิ่งที่มันตั้งมันฝังแน่นลงไปในจิตใจของคนอย่างนี้เราเรียกว่าสถาบัน ความต้องการครู หรือความเห็นว่าครูมีประโยชน์ ครูเป็นสิ่งจำเป็น สิ่งที่จะต้องมีในโลก ความคิดอันนี้มันฝังแน่นลงไปในจิตใจของคนในโลกมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ให้ทราบข้อนี้ไว้เถอะว่าคนในสมัยดึกดำบรรพ์เค้าก็มีความเชื่อแน่ตั้งมั่นลงไปว่าครูหรือความเป็นครู หรือความมีครูอยู่ในโลกนี้เป็นความจำเป็นที่จะต้องมีในโลก นั้นเค้าจึงประพฤติ กระทำกันมาในลักษณะที่มีบุคคลที่เรียกว่าครูอยู่ในบ้าน ในเมือง ในโลก จึงได้อยู่กันมาเป็นผาสุก หรือว่าพอดูได้ อ้าวสมมุติว่ามันไม่มีสถาบันครูอยู่ในโลกตั้งแต่แรกเริ่ม เดิมที่มาจนบัดนี้โลกนี้มันจะเป็นอย่างไร มันก็ มันก็ไม่มีการศึกษา ไม่รู้ภาษี ภาษาอะไร มนุษย์ก็เป็นสัตว์แปลกๆ ชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง ทีนี้มนุษย์ได้รับการศึกษาสืบๆ ต่อกันมาโดยสถาบันครูที่หนักแน่นมั่นคงไม่ขาดสาย มนุษย์เราจึงมีลักษณะที่พอดูได้ ใช้คำว่าพอดูได้ ดังที่เป็นอยู่จนกระทั้งทุกวันนี้ ก็เพราะเหตุว่าครูนั้นถูกช่วยให้มนุษย์มีความรู้มีความเข้าใจมีการประพฤติกระทำโดยถูกต้องเรื่อยๆมา เมื่อสถาบันครูยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ หมู่คนเค้าเชื่อฟังเค้าประพฤติปฏิบัติกันเป็นอย่างดี มีมนุษย์ที่ดีอยู่กันเป็นผาสุกนั้นต่อมาสถาบันครูมัน มันเริ่มคลอนแคลนโลเลโงนเงนไม่มีวิญญาณแห่งความเป็นครูอย่างเต็มที่ไม่เหมือนแต่ก่อนการศึกษามันก็เริ่ม ลวนเล โลเล โยกโคลง คนก็ไม่มีความรู้ไม่มีการประพฤติศีลธรรมดีอย่างแต่ก่อนมันก็ทำอะไรไปตามกิเลสมากขึ้น มากขึ้น โลกมันก็เป็นอย่างนี้ มันเป็นคำพูดประหลาดๆ ที่พูดแล้วมันดูกลับกันอยู่ ที่เค้าพูดกันว่าสมัยนี้การศึกษาเจริญที่สุด แต่แล้วผลมันกลับตรงกันข้าม คือมนุษย์มันกลับจะเลวที่สุดของทุกยุคที่มีมา ในยุคที่ว่าการศึกษาเจริญที่สุด นี้มนุษย์กลับเลวที่สุด ในยุคนู้นที่การศึกษายังไม่เจริญมนุษย์ยังมีศีลธรรมดีกว่านี้ นั้นการศึกษานี้มันสูญเปล่านะลงทุนมาก แพงมากทั้งโลกนี้ แล้วมนุษย์ไม่เป็นคน มนุษย์ไม่เป็นมนุษย์เนี้ยมันก็เป็นการศึกษาสูญเปล่า มันกับตาลบัตรกันอยู่ที่คุยโม้ว่าเดี๋ยวนี้การศึกษาเจริญแต่คนมันกับเลว เลวในทางศีลธรรมโดยเฉพาะ นี้คุณสังเกตดู รู้ได้ละไม่ต้อง ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น สังเกตดูเองก็รู้ได้ หลักฐานเอกสารอะไรมันก็มีอยู่ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์นี้มันมีให้ดูทุกวัน ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นในโลกไปเปรียบเทียบกันที่เดี๋ยวสุดโต่งเลยก็ได้ ว่าเมื่อสมัยคนป่าที่ยังไม่นุ่งผ้าผู้ปกครอง พ่อบ้านมันก็ปกครองได้ทั้งที่คนยังไม่นุ่งผ้า หญิงสาวมีพวงใบไม้แขวนข้างหน้า ข้างหลังนิดหนึ่งเท่านั้นและ นอกนั้นเปลือยทั้งตัว เนี้ยเค้าก็ไปเก็บผักหักฟืนบนภูเขาเอามาที่บ้าน ไม่ถูกฉุดคร่า ไม่ถูกข่มขืน ไม่ถูกข่มเหง เดี๋ยวนี้ในพระนครกลางวันแท้ๆ มันก็ยังมีการฉุดคร่า ข่มขืน หรือข่มขืนแล้วฆ่า ฆ่าแล้วจึงข่มขืนนี้ มันก็มีคิดดูเถอะว่าในสมัยที่คนไม่นุ่งผ้ามันยังมีศีลธรรมดี ในสมัยที่คนเจริญในการศึกษานี้มันมีศีลธรรมบ้า เห็นว่าการทำเลวทรามอย่างนั้นแหละเป็นแฟชั่น นี้ต้องถือว่าไอ้การศึกษาของคนยุคนี้มันจะสูญเปล่าซะแล้วมั้ง ศึกษาเจริญแต่ทำไม่มีความเลวร้าย ทั้งส่วนตัวและส่วนสังคมมากขึ้น นั้นต้องถือว่าการศึกษานั้นยังสูญเปล่า เรียนอย่างน้อยก็จบประถม มันก็ไปเป็นอันธพาลกลางถนน มันไปเสพยาเสพติด มันไม่ทำอบายมุข การศึกษาที่บ้าบอที่สุด เรียนเป็นนักเรียน นักศึกษาแล้วติดยาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาทั่วโลกแม้ในเมืองฝรั่งที่ว่าเจริญแล้วก็มีปัญหายาเสพติด นี้มันบ้าสุดเหวี่ยงละมั่ง เรียนแล้ว เป็นนักศึกษาแล้วยังมีปัญหาเรื่องยาเสพติด ซึ่งสมัยก่อนเมื่อการศึกษายังไม่เจริญเค้าไม่มีปัญหาอย่างนี้นะ เดี๋ยวนี้มีปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด ปัญหาอบายมุขนานาประการ พอไปจับอาชญากรเหล่านั้นมา อย่างน้อยมันก็เป็นนักเรียนชั้นประถมบริบูรณ์ มันจะเป็นมัธยมก็มี ไอ้พวกยาเสพติด พวกอบายมุข หรือเกินมัธยมไปก็มี มันไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาแล้วยังประพฤติทุจริต คอร์รัปชั่น เนี้ยการศึกษาสูญเปล่า อยากยกตัวอย่างเปรียบเทียบอีกตัวอย่างหนึ่งก็คือว่า โรคภัยไข้เจ็บ เดี๋ยวนี้เค้าคุยอวดว่าการแพทย์เจริญที่สุด การศึกษาทางการแพทย์เจริญที่สุด แต่ว่าโรคภัยไข้เจ็บมันกับมีมากกว่าเดิม มีแปลกออกไปกว่าเดิม มันก็เป็นการศึกษาที่สูญเปล่า การแพทย์กลายเป็นเครื่องมือของการขูดรีดไปแล้ว เช่นเดียวกับการกลายเป็นครูมันจะกลายเป็นหน้าที่ ที่มีโอกาสที่จะขูดรีดด้วยเหมือนกัน กุศลการกุศลบริสุทธ์มันกลายเป็นขูดรีดเป็นเครื่องมือของการขูดรีด อย่างนี้ก็เรียกว่ามันไม่เจริญ นั้นอย่าละเมอเฟ้อฝันว่า เจริญ เจริญ เจริญ มีมากมีเยอะแยะ การศึกษามีทั่วทุกหัวระแหง แล้วมันก็มีอันธพาลทั่วทุกหัวระแหง การศึกษาเจริญทุกหมู่บ้าน มันก็มีอันธพาลทั่วทุกหมู่บ้านแหละ ยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม มันจะไม่ให้พูดว่าการศึกษานั้นสูญเปล่า มีผลสูญเปล่าแล้วจะให้พูดว่าอย่างไร ที่นี้ก็มาดูให้ดี ให้ละเอียดลึกซึ้งลงไปว่าทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ มันความรู้สึกอย่างไรที่ทำให้คนป่าสมัยที่ไม่นุ่งผ้ามันมีศีลธรรมอย่างตัวอย่างที่ยกมาให้ฟัง ว่าทำไมคนที่มันเจริญสมัยนี้มันยิ่งร้ายศีลธรรม เต็มไปด้วยความไม่มีศีลธรรมการศึกษามันไปอยู่ที่ไหนเสีย อาตมาเห็นว่าด้วยเหตุที่การศึกษาไม่สมบูรณ์ ข้อที่ 1 การศึกษามันไม่สมบูรณ์ ข้อที่2 ครูมันไม่มีความเป็นครู นี้ข้อที่2 และข้อที่3มันไม่ค่อยประสงค์งานประสานงานกันอย่างถูกต้องในระหว่างผู้ที่จัดการศึกษา การศึกษาไม่สมบูรณ์มีลักษณะอุปมาเหมือนกับสุนัขหางด้วน มันสอนกันแต่หนังสือสอนกันแต่วิชาชีพ ส่วนที่จะเป็นมนุษย์กันอย่างไรนั้นมันไม่ได้สอน มันไม่มีเรื่องธรรมะ มันไม่มีเรื่องศาสนา มาสอนอยู่ในระบบการศึกษาหรือมาร่วมอยู่ในระบบการศึกษามันสอนแต่หนังสือกับวิชาชีพ เพราะเค้าเห็นว่ามันจำเป็นสำหรับประเทศชาติส่วนเรื่องธรรมะเรื่องศาสนานั้นเป็นส่วนบุคคลใครต้องการไปหาเอาเอง ไม่ต้องมาร่วมอยู่ในระบบการศึกษา นี้คือการศึกษาหมาหางด้วนของยุคปัจจุบันพวกฝรั่งเค้านำก่อนแล้วพวกไทยก็ไม่ตามก้นเค้า ไอ้พวกครูที่ไปเรียนมาจากประเทศชนิดนั้นมันก็นำเอาการศึกษาหมาหางด้วนมาให้ประเทศไทย นี้ประเทศไทยก็มีการศึกษาหมาหางด้วนมีแต่เรื่องหนังสือ กับเรื่องวิชาชีพ เมื่อก่อนนู้นนะสักประมาณไม่ ไม่เกินร้อยปีนี้ นี้เองนี้ การศึกษาผนวกกันอยู่กับการศาสนาหรือจริยธรรม ดูหนังสือเรียนที่ใช้ให้เด็กเรียนในประเทศอังกฤษซักเจ็ดสิบปี แปดสิบปีมาแล้วไปซื้อมาดูซิแบบรีดเดอร์ที่เด็กนักเรียนในอังกฤษเรียนนั้นแหละมาดูเถอะ เปิดดูทุกเรื่องขยอดท้ายด้วยเรื่องของศาสนาด้วยเรื่องของพระเจ้า เค้าจะขมวดปมชี้ให้เห็น ว่านี้มันเป็นไปตามบังคับบัญชาของพระเจ้าทุกเรื่องเลยไม่ว่าสอนอ่านเรื่องอะไร นี้เห็นได้ว่าเค้าหวังในศาสนากันมาก การศึกษารุ่นแรกๆ อย่างในมหาลัยแคมบริดจ์ หรือ อ๊อกสฟอร์ด เค้ามุ่งมาดสูงสุดอยู่ที่ความเป็นสุภาพบุรุษ ความเป็นสุภาพบุรุษนั้นแหละยิ่งมากไม่กว่าความมีความรู้ นั้นในมหาวิทยาลัยยุคนั้นนะเค้ามุ่งความเป็นสุภาพบุรุษเป็นจุดสูงสุดของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ไม่ ไม่มี คำว่าสุภาพบุรุษแล้วมีคำแต่ มีแต่คำว่าเทคโนโลยี ฟ่องไปหมด คือมันจะเอาประโยชน์ทางวัตถุให้เจริญทางวัตถุ ให้ประเทศเราก้าวหน้าทางเศรษฐ์กิจเหนือประเทศใดๆ ก่อนนี้เค้าต้องการความก้าวหน้าทางจิตใจ มีความเป็นสุภาพบุรุษจบมหาวิทยาลัยออกมาแล้วก็ได้ความเป็นสุภาพบุรุษกลับมา เดี๋ยวนี้จบมหาวิทยาลัยมาแล้วมันก็ได้วิชาเทคโนโลยี แขนงใดแขนงหนึ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดของตนกับมาคนจึงมาทำหน้าที่ต่างกัน มหาวิทยาลัยของ ของอ็อก อ็อกฟอร์ด หรือแคมบริดจ์นั้นมันเป็นโรงเรียนราษฏ์ของพระนะ ถ้าใครยังไม่รู้ก็ช่วยรู้กันเสียที่ว่ามหาวิทยลัยอ๊อกสฟอร์ด หรือ แคมบริดจ์ที่แรกมันเป็นโรงเรียกของ เป็นโรงเรียนของพระ โรงเรียนราษฎ์ของพระ จัดโดยพระ เต็มไปด้วยบทบาททางศาสนาทั้งกิน ทั้งนอน ทั้งหลับ ทั้งตื่น เมื่อคนยุค มมศ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ไปเล่าเรียนมาก็ยังมีลักษณ์อย่างนั้นอยู่ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้ว มันทิ้งหลักธรรมะ หรือหลักศาสนาออกไป ก็เหลือเป็นโรงเรียนที่จะ มหาวิทยาลัยที่จะส่งคนให้เก่งกล้าสามารถในทางฤทธิ์ ในทางสร้างสรรค์ในทางอะไรที่ทำให้ประเทศของตนเก่งกว่าประเทศอื่นเท่านั้นเอง นี้เราก็ไปรับหลักการอันนี้ อุดมคติอันนี้จากพวกฝรั่งอย่างเรียกว่าหลับหูหลับตา เหมือนหมาโง่ นี้เราพูดกันแต่เรานะคำมันหยาบคายมากทำไมต้องให้คำว่าหมาโง่งะ คุณก็ไปอ่านดูในเรื่องนิทานอีสป ซึ่งเดี๋ยวนี้จะไม่เรียนกันแล้วมั้ง ไม่มีในโรงเรียนแล้วมั้ง สมัยอาตมาเรียนมันยังมีอยู่ หนังสือเรียนชื่อนิทานอีสป หมาตัวหนึ่งมันไปติดกับของชาวบ้านหางขาด หมาโง่ หมาตะกละตัวนี้ไปติดกับของชาวบ้านหางขาด แล้วมันก็มาหาทางออกบอกสุนัขทั้งหลายว่าหางขาดดีกว่าสบายดีอย่างนั้น อย่างนี้ ให้ ให้ตัดหางกันเสียเถิดหมาโง่ทั้งหลายมันก็ชวนกันตัดหางตามที่หมาตัวนั้นมันบอก หมาโง่ทั้งหมายมันชวนกันตัดหาง แต่มีหมาฉลาดบางตัวรู้เท่ารู้ทัน กูไม่ตัด กูไม่เชื่อ มีหมาที่ไม่ตัด ก็ยังโชคดีอยู่ที่ว่ามีหมาบางตัวไม่ยอมตัด เดี๋ยวนี้เมื่อพวกฝรั่งเค้าตัดไอ้วิชาธรรมะ หรือศาสนาออกไปจากไอ้การศึกษาแล้ว หมาโง่ทั้งหลายก็พากันตัดหางตามไป มีหมาเหลืออยู่กี่ตัวที่ไม่ยอมตัด หาพบมั้ยในโลกเนี้ย มีการศึกษาของประเทศไหนบ้างที่ไม่ยอมตัดไอ้การธรรมะ หรือศาสนาออกไปจากการศึกษา มันก็บังเอิญหมาโง่กันหมดเลย เป็นหมาโง่กันหมด ไม่เหลือแม้สักตัวเดียวที่หมาฉลาดรู้ทันและไม่ยอมตัด ประเทศไทยนี้น่าเศร้าที่สุดนะที่เป็นเมืองพุทธ อะไรก็ยกให้เป็นสุงสุดของเมืองพุทธ แล้วก็ไปยังยอม ยอมตัดนี้เรียกว่าการศึกษาไม่สมบูรณ์ รู้แต่หนังสือกับวิชาชีพ ส่วนที่ว่าจะเป็นมนุษย์เป็นอย่างไรนั้นไม่มี ที่นี้มันยังไม่สมบูรณ์นี้อีกขั้นตอนหนึ่งถ้าสมมุติว่าการศึกษานี้ ไม่เป็น หมา หมาหางด้วนนะ สมบูรณ์แล้วทั้งสาม สามแขนงเนี้ยมันยังขาดความรู้หรือการศึกษาอีกข้อหนึ่งคือความรู้ที่จะบังคับตัวให้ปฏิบัติตามความรู้นั้น เด็กๆไม่มีความรู้ที่จะบังคับตัวให้ปฏิบัติตามความรู้ที่สมบูรณ์แบบแล้วนั้น ไอ้ความรู้สมบูรณ์แบบก็เลยเป็นหมันเพราะมันไม่มีใครสามารถบังคับตนให้ปฎิบัติตามความรู้นั้นได้ ไปจับเด็กอันธพาลเกเรมาถามดูเถอะมันรู้ทั้งนั้นแหละว่านี้ไม่ดี ที่มันทำอาชญากรรมเลวร้ายทั้งหลายมันรู้ทั้งนั้นแหละว่าไม่ดีแล้วมันก็ค่อยหลบตำรวจอยู่เพราะว่ามันรู้ว่าไม่ดี หรือเพื่อนเค้าไม่เอาด้วย มันก็รู้อยู่ว่าไม่ดีแต่แล้วมันก็ทำ นี้คือมันขาดความรู้ที่จะบังคับตัวให้ทำตามที่รู้อยู่แล้วอย่างครบถ้วน แต่เดี๋ยวนี้ความรู้พื้นฐานมันก็ไม่ครบถ้วน มันไปเป็นสุนัขหางด้วนอยู่แล้วมันจะเอาความรู้ไหนมาบังคับตัวให้ทำตามความรู้ที่ถูกต้องนี้เรียกว่ามันขาดความรู้ที่จะบังคับตัวให้ประพฤติกระทำคือใช้ความรู้นั้นให้ถูกต้องตามกาลเทศะ มันไม่รู้ประสีประสา ความรู้ชั้นที่สูงคือความรู้ประสีประสา ความรู้ปริญญานั้นอะไม่มีความหมายอะไรแล้ว ไอ้ความรู้ที่รู้ประสีประสานั้นสำคัญกว่าให้ไปเรียนมาเมืองนอกปริญญายาวเป็นหางเฟือยยยยเลยถ้ามันไม่รู้ประสีประสาเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย เหตุการณ์ของมนุษย์ในโลก มันไม่รู้ประสีประสาแล้วมันก็ทำผิดหมดแหละ มันให้ความรู้ผิด โอกาสผิด เวลาผิด สถานที่ผิด บุคคลผิด ผิดหมดมันไม่รู้ประสีประสา ขอให้ครูบาร์อาจารย์ทั้งหลายชวนจดจำคำนี้ไว้สักคำเถอะว่าความรู้ประสีประสา ซึ่งครูเองอาจจะไม่มีก็ได้ขออภัยพูดกันตรงๆอะ ครูปริญญาทั้งหลายนี้อาจจะไม่มีประสีประสา ไม่มีความรู้ที่เรียกว่ารู้ประสีประสาเลยก็ได้ มันทะเลาะกับนักเรียนก็ได้ ทำเหตุอะไรที่ไม่น่าดูก็ได้ เพราะครูเหล่านี้ไม่รู้ประสีประสา นี้ขอให้ดูให้ดีๆ ว่าเราจะต้องรู้ประสีประสาด้วย ไม่ใช้รู้เรื่องหลักวิชามาครบถ้วนแล้วมันจะพอ เราต้องรู้หลักวิชาครบถ้วนแล้วมีความรู้ประสีประสาที่จะใช้ความรู้นั้นให้สำเร็จประโยชน์ซึ่งมันต้องใช้แต่ความรู้ประสีประสาซึ่งมันสอนกันยากในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีหลักสูตรที่สอนให้คนรู้ประสีประสาปล่อยไปตามบุญตามกรรม สอนแต่ความรู้ที่เป็นหลักวิชา แน่นอัดไปหมดเลยไม่สามารถจะสอนให้รู้ประสีประสา อย่างที่วัดนี้ก็เหมือนกันแหละพระเณรไม่รู้ประสีประสาอัดกันอยู่มากทำอะไรไม่น่าดู ทำอะไรเสียหาย เป็นนักธรรมเอก เป็นเปรียญสิบประโยชน์ ยี่สิบประโยชน์ก็ยังไม่รู้ประสีประสาอยู่นั้นเอง ไอ้ความรู้ประสีประสาเนี้ยมันอีกอันหนึ่ง มันแยกออกไปจากความรู้ทางหลักวิชาเพราะฉะนั้นขอให้เราที่จะเป็นครูบาร์อาจารย์เนี้ยมีความรู้ครบถ้วนไม่เป็นสุนัขหางด้วน และให้เรามีความรู้ คือรู้บังคับตนให้ปฏิบัติตามความรู้ที่ถูกต้องแล้ว และให้เรามีความรู้ประสีประสา เป็นคนรู้ประสีประสาใช้วิชาความรู้ให้ถูกกาลเทศะ บุคคล เหตุผล ตนเอง อะไร ให้รู้ประสีประสาอย่างนี้ด้วย นั้นแหละไอ้การศึกษามันจึงจะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ นี้เรียกว่าเราไม่ได้รับประโยชน์ที่ควรจะได้รับ เพราะว่าการศึกษาไม่สมบูรณ์ คือไม่เป็นการศึกษาที่ถูกต้อง อืมที่นี้ก็มาถึงข้อที่ว่าครูมันไม่เป็นครู พวกครูทั้งหลายมันไม่เป็นครู มันเป็นเพียงลูกจ้างสอนหนังสือเอาเงินมาซื้อเครื่องแต่งตัวสวยๆ ซื้อเครื่องอา กินเอร็ดอร่อย เที่ยวเล่นหัวกัน เป็นคนรักบูชาความสนุกสนานเล่นหัวนี้ไม่ใช้ความเป็นครูเป็นลูกจ้างสอนหนังสือเหมือนกับกรรมกรธรรมดาเอาเงินมากินมาใช้มาเล่นสนุกสนาน นี้เรียกว่าครูไม่เป็นครู คือไม่ตรงตามอุดมคติของครู อุดมคติของครูนั้นเคยพูดกันมาไม่รู้กี่สิบครั้งแล้ว ดูเหมือนจะเคยพูดกันตั้งแต่ปี86นู้น ที่โรงเรียนฝึกครูไอ้ทางสามเสนที่อาตมาเป็นคนพูดที่จำได้
ปี86 2486 จนบัดนี้ก็ยังพูดอยู่อะเรื่องอุดมคติของความเป็นครู ครูไม่ใช้ลูกจ้างสอนหนังสือหากิน คุณครูเป็นผู้ยกสถานะทางวิญญาณของมนุษย์ไม่เกี่ยวการรับจ้างหากิน ความเป็นครูอยู่ที่ยกสถานะทางวิญญาณของมนุษย์ ใช้คำว่าเป็นผู้นำทางวิญญาณก็ได้ มิสชันนารี ไอ้ประทานานุกรมอะในอินเดียก็แปลคำครู แปลคำว่าครูว่า Spiritual Guide เป็น เป็น เป็นส่วนมาก คือเป็นผู้นำในทางวิญญาณของประชาชน กระทั้งของราชา มหากษัตริย์เนี้ยครู แล้วเดี๋ยวนี้อ่านพบว่าไอ้นัก นักภาษาศาสตร์ที่มันค้นคว้าลึกขึ้นไปมันก็บอกว่าคำว่าครุเนี้ย ครุหรือรากศัพท์แปลว่าผู้เปิดประตู ผู้เปิดประตู กิริยาคำนี้แปลว่าเปิดประตู นี้ครูคือผู้เปิดประตูให้สัตว์โลกนี้ออกมาเสียจากคอกที่กักขัง ที่มืด ที่มิด ที่สกปรก ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ครูจะเปิดประตูให้สัตว์เหล่านั้นออกมาเสียจากคอกชนิดนั้น คำว่าครูแปลว่าผู้เปิดประตู เดี๋ยวครูก็ทำหน้าที่ชนิดนั้นอยู่ด้วยจริงเหมือนกันถ้าว่าเค้าเป็นครูที่ถูกต้องตามแบบฉบับ เค้าเปิดประตูให้เด็กๆ ออกมาเสียจากคอกแห่งความโง่เขล่า ความเป็นอันธพาล กระทั้งว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ไม่รู้ว่าจะดำรงจิตใจอย่างไรจึงจะอยู่เป็นผาสุกนั้นในคอกที่มืดด้วย เหม็นด้วย สกปรกด้วย อะไรด้วยทุกอย่างนี้ครูจะต้องทำหน้าที่เปิดประตูทางวิญญาณ ประตูทางวิญญาณ คือทางจิตใจให้สัตว์โลกทั้งหลายออกมาเสียจากคอกอันนั้น ดังนั้นมัน มันจึงเป็นเจตนารมณ์อันเดียวกันกับพุทธ ศาสนา กับพระพุทธศาสนา ซึ่งเราก็เรียกว่าพระพุทธเจ้าเป็นบรมครู พระองค์เป็นบรมครู คือว่าเป็นผู้นำทางวิญญาณ หรือเปิดประตูทางวิญญาณในระดับสูงสุดให้สัตว์ออกมาเสียจากความทุกข์หรือวัฎฎะสงสารมาสู่ความสงบสุขเยือกเย็นเป็นนิพพาน เรียกว่าบรมครู แต่ความหมายก็มันเหมือนกันแหละ เพราะว่าเด็กๆมันจะทำอย่างนั้นทันที่ไม่ได้ มันต้องเรียนหนังสือก่อน คือเค้าต้องออกมาจากความโง่เขลาแห่งความไม่รู้หนังสือก่อน เค้าต้องรู้หนังสือแล้วฉลาด แล้วพอเค้าออกมาเสียจากความโง่เขลาที่ไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไร เค้าก็ประกอบอาชีพถูกต้อง แล้วเค้าประกอบอาชีพถูกต้องแล้ว เค้ายังมีความทุกข์ทางจิตใจอยู่ ก็ต้องเรียนรู้อีกที่หนึ่งว่าจะออกมาเสียจากความทุกข์ทางจิตทางวิญญาณนั้นอย่างไร นั้นธรรมะช่วยได้ ธรรมะในฐานะที่เป็นการศึกษาที่สามช่วยได้ประชาชนชาวโลกก็ออกมาเสียจากความทุกข์เหล่านั้นได้ด้วยความรู้ที่เป็นการเปิดประตูครั้งที่สาม เปิดประตูครั้งที่หนึ่งรู้อา รู้หนังสือเป็นพื้นฐานแห่งความฉลาด ประเภทที่สองเปิดประตูแห่งความไม่รู้อาชีพ ก็ได้รู้อาชีพ ดำรงตนอยู่ได้ไม่ตายและเป็นผาสุก เปิดประตูที่สามออกมาเสียจากความโง่อวิชชาเกี่ยวกับเรื่องกิเลสตัณหาซึ่งเป็นคอกที่เลวร้ายที่สุดนะอยู่ในคอกนั้นละยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น ถ้าออกมาเสียได้นี้มนุษย์สมบูรณ์ มีความสุข สมกับที่เรียกว่ามนุษย์ นี้ครูของเราไม่ศึกษา ไม่มีโอกาสจะศึกษา หรือมัน มันไม่มีอยู่ในตำราเรียนว่าไอ้ครูมันต้องเปิดประตูกันถึงขนาดนี้มันเกิดเป็นแฟชั่น นี้ให้คำที่ต่ำที่สุด เป็นแฟชั่นที่ว่าเรียนครู สอบครูได้เงินเดือนมากินก็พอแล้วมัน เป็นแฟชั่นขนาดนี้ ผู้ที่เป็นครูทั้งหลายจึงมีความคิดแต่ว่าเรียนให้รู้สอบเป็นครูให้ได้ว่าเป็นครูก็ได้เงินเดือนเลี้ยงชีวิต แล้วก็การเปิดประตูทางวิญญาณไม่ค่อยจะมีเพราะว่าครูไม่เป็นครูโดยวิญญาณ ทำงานแล้วแล้วไปวันหนึ่ง อยากจะหมดเวลาเรียนไปเที่ยวกันให้สนุกไม่เป็นครูที่แท้จริง คือไม่สนุกเป็นสุขอยู่ที่หน้ากระดานดำ นั้นเพราะครูเหล่านี้ไม่มีความรู้ว่าไอ้การทำหน้าที่นั้นแหละคือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เมื่อเราทำหน้าที่อยู่เมื่อนั้นมีธรรมะ ประพฤติธรรมะเรามีหน้าที่เป็นครูทำหน้าที่เป็นครูอยู่ในห้องเรียนตรงหน้ากระดานดำ ตรงนั้นแหละมีธรรมะ ประพฤติธรรมะ ถ้ารู้สึกอย่างนี้จะพอใจ เป็นสุขอยู่ที่ตรงนั้นไม่อยากจะถึงเวลาปิดเรียนแล้วไปเที่ยวกันให้สนุกหรือว่าอาจจะทำงานเกี่ยวกับหน้าที่ของครูอยู่จนดึกจนดื่นไม่ต้องไปเที่ยวสถานเริงรมย์ เดี๋ยวนี้ไม่มีครูคนไหนสนุกเมื่อถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำ กระฟัดกระเฟียดอยากให้ถึงเวลาปิดเรียนเร็วๆจิตใจหงุดหงิดอยู่เป็นประจำมันก็ได้ทะเลาะกับนักเรียนเท่านั้นแหละ แล้วมันยังมีการขยายตัวไปเป็นอุปสรรคอันอื่นอีกมากมาย มีเรื่องมีราวกับผู้ปกครองนักเรียน ไม่ค่อยจะขาดสาย นี้เพราะว่าเค้าไม่รู้ว่าเมื่อเป็นครูนั้นนะ ทำหน้าที่ครูนั้นคือประพฤติธรรมะอย่างสูง แล้วก็พอใจเพราะว่ามันเป็นธรรมะ พอใจก็เป็นสุข เพราะความสุขเกิดมาจากความพอใจหาความพอใจได้เมื่อถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำ ไม่ใช้หมดเวลาเรียนแล้วไปสถานเริงรมย์กินเล่นกันสนุกสนานนั้นไม่ใช้เรื่องของครู และไม่ใช้เรื่องของมนุษย์ธรรมดาสามัญที่ดีด้วยซ้ำไปอย่าว่าแต่เป็นเรื่องของครูเลย นั้นเพราะครูจะอยู่เป็นสุขอยู่เมื่อทำหน้าที่ของครูอยู่ในห้องเรียน อยู่หน้ากระดานดำหรือแล้วแต่ว่าจะเป็นครูชนิดไหน นี้ครูที่เปิดประตูทางวิญญาณ เรามีแต่ครู เคยพูดว่ามีแต่ครูเจ้าชู้ ชอบแต่งเนื้อแต่งตัวสวยๆยั่วยวนกันระหว่างครูหญิงครูชายเสื้อผ้าสวยๆเหมือนกับผีเสื้อในเรื่องชู้สาวก็มีในครูนั้นเองในโรงเรียนนั้นเอง เดี๋ยวนี้จะบอกให้ทราบว่าผู้ฟัง ผู้ฟังบรรยาย ผู้ฟังเทศน์ที่ดีที่สุดคือพวกทหารไปบรรยายกับพวกทหารนั่งฟังกันเงียบกริบอย่างดียิ่ง พวกครูเป็นผู้ฟังที่เลวคุยกันเมื่อมีเทศน์เมื่อมีบรรยายฟังกันไปพลางคุยกันไปพลางโดยการแอนตี้ส่ายหน้าผู้เทศน์ก็มี ซึ่งในหมู่ผู้ฟังที่เป็นทหารมันไม่มี จึงต้องถือว่าครูเป็นผู้ฟังที่เลว พวกทหารแสดงตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นผู้ฟังที่ดีจะเป็นเพราะว่าระเบียบวินัยของทหารนั้นแหละบังคับอยู่ ที่ครูนี้มันฟรี ครูมันประชาธิปไตยแสดงอาการเหยียดหยามผู้เทศน์ ผู้อือ ผู้สอน คุยทับแต่บ้าง ออกไปข้างหน้าบ้าง บาง บาง บาง บางคนแกล้งตดแข่งกับการบรรยายของผู้บรรยายก็มีเคยไปเห็นมาด้วยตา มันแกล้งตดทำเสียงตดให้เข้าจังหวะกับคำพูดของผู้บรรยายนี้คุณคิดดูเถอะมันมันถึงขนาดไหนหละ นั้นก็ไป ไปคิดไปนึกเอาเองว่า ในความเป็นครูที่มันยังมีน้อยนัก มันยังไม่เปิดประตูให้แก่ดวงวิญญาณที่ยังโง่เขลา มันทำงานอย่างกรรมกร สอนหนังสือเลี้ยงชีวิต มันก็เป็นกรรมกรชนิดหนึ่ง เพียงแต่ไม่ต้องออกเหงื่อมากเหมือนกรรมการแบกข้าวสารเท่านั้นเอง จึงขออ้อนวอนให้ท่านครูทั้งหลาย ท่านที่เป็นครูทั้งหลายนี้ช่วยปรับปรุงภาวะแห่งความเป็นครูของตนให้ตรงต่ออุดมคติของความเป็นครูให้มากขึ้นมากขึ้น นี้เพราะครูไม่เป็นครูเนี้ย ไม่ทำหน้าที่เป็นครูโดยสมบูรณ์สันติภาพสันติสุขในโลกจึงยังไม่มี หรือการศึกษาสูญเปล่า ข้อที่ 1 ไอ้การศึกษาไม่สมบูรณ์ ข้อที่2 ครูไม่มีความเป็นครูอย่างสมบูรณ์ ข้อที่3 การประสานงานกันนี้ในระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องกันมันไม่สมบูรณ์ ครูต่อครูก็ไม่สมบูรณ์ ครูกับนักเรียนก็ไม่สมบูรณ์ ครูกับอ้าผู้ปกครองนักเรียนก็ไม่สมบูรณ์ ครูกับรัฐบาลก็ไม่สมบูรณ์ หรือกับประชาชนทั่วไปก็ไม่สมบูรณ์ หรือว่าครูเนี้ยไม่สมัคร ไม่พอใจ ไม่สนุกที่จะศึกษา เรื่องศีลธรรม ครูรังเกียจเรื่องศีลธรรม พอถึงชั่วโมงศีลธรรมก็หาทางบ่ายเบี่ยงไม่ต้องสอนไปนิมนตร์พระมาสอน หรือว่า ไป ไป ไปเกี่ยงงอน ให้ ให้ใครไม่รู้มาสอน ครูส่วนมากไม่พอใจที่จะทำตัวเองให้สามารถสังสอนศีลธรรม เนี้ยการประสานงานในทุกฝ่ายมันไม่ถูกต้อง มันไม่สมบูรณ์ คุณครูเห็นว่าวิชาศีลธรรมน่าขยะแขยง หรือว่าไม่สนุกก็ไม่อยากจะทำ หรือถือโอกาสแก้ตัวว่าไม่สามารถจะสอน แล้วมันก็ไม่สามารถจะสอนจริงด้วย นั้นการสังสอนศีลธรรมมันจึงอยู่ในสภาพที่น่าเวทนา น่าสงสาร ที่สอนก็สอนอย่างเสียไม่ได้ เพราะไม่สนใจจะสามารถ มันก็ไม่สามารถ มันก็สอนอย่างเสียไม่ได้ นั้นการสอนมันก็กะพร่องกะแพร่ง นี้เป็นวิชาที่พวกครูเกลียด ไม่อยากจะรู้และไม่อยากจะสอนในชั่วโมงนั้นจะหาทางหลีกเลี่ยง หาให้ผู้อื่นมาสอน นั้นถ้าจะมีหลักการที่ว่าจะมีครูศีลธรรมโดยเฉพาะมาสอนในชั่วโมงศีลธรรมอย่างนี้แล้ว ไอ้ครูทั้งหลายก็ไม่รู้ศีลธรรม ไม่สอนศีลธรรมเป็น ไม่สามารถจะสอนมากขึ้นเท่านั้นเอง นี้ก็จะเป็นว่าครูทั้งหลายนะก็ไม่รู้ศีลธรรม สอนศีลธรรมไม่ได้ ตั้ง95%แหละ เก็บ5% ไว้ให้ครูสามารถมาสอนในชั่วโมงของศีลธรรม อย่างนี้มันหละจะไปกันใหญ่ ครูของเราก็จะไม่เป็นครูมากขึ้น คือว่าไม่สามารถจะยกวิญญาณ ไม่สามารถจะยกสถานะทางวิญญาณ ไม่สามารถจะเปิดประตูทางวิญญาณ แล้วเด็กๆมันจะเป็นอย่างไร ยิ่งโรงเรียนสมัยนี้ถ้าเป็นโรงเรียนราษฎร์ก็จะเป็นโรงเรียนเพื่อการค้าไปเสียทั้งนั้นแหละ เป็นนโยบายหาการค้า เป็นการค้าไปเสียโดยมากก็เลยไม่ค่อยจะรับผิดชอบว่านักเรียนนี้จะมีศีลธรรมหรือไม่ เป็นอันว่าในโรงเรียนไม่มีการสอนศีลธรรม ที่ถูกต้องและเพียงพอ ไม่ถูกต้องก็มีอยู่มาก ถูกต้องน้อยเกินไปไม่เพียงพอก็มีอยู่มากโรงเรียนก็เลยไม่เป็นที่สถิตแห่งศีลธรรมโรงเรียนไม่เป็นรากฐานที่ตั้งของศีลธรรม หรือของความมีศีลธรรม มีแต่รู้หนังสือและอาชีพ ซึ่งยิ่งทำ ยิ่งทำก็ยิ่งเห็นแก่ตัว หลงใหลในอาชีพและเศรษฐกิจเนี้ยมันยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งทำไปยิ่งเห็นแก่ตัว มันก็มีแต่การทำลายล้างกันเพื่อประโยชน์ของตัวจนกลายเป็นของธรรมดาไปแล้วในประเทศ หรือว่าในโลก ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตน ทำแต่เพื่อประโยชน์ของตน ยิ่งไปทำเข้ามันก็ยิ่งมัวเมาหนักเข้าเรียกว่าหลับหูหลับตาที่เดียว นั้นทั้งโลกจึงเป็นอย่างนี้ ความเห็นแก่ตัวมากขึ้นมากขึ้นจนได้รบราฆ่าฟันกันไม่มีที่สุด จนไม่ยกเว้นใครแหละที่ว่าจะไม่เห็นแก่ตัว พรรคพวก พรรคพวก พวกนายทุนก็คือพวกเห็นแก่ตัว พวกคอมมิวนิส์ก็พวกเห็นแก่ตัว พวกซ้ายก็พวกเห็นแก่ตัว พวกขวาก็พวกเห็นแก่ตัว พวกอยู่ตรงกลางถ้ามีมันก็จะเห็นแก่ตัว มันเลยเต็มไปด้วยมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวอยู่ในโลก ไม่ต้อง ไม่ต้องสงสัย การต่อสู้ แข่งขัน แย่งชิง ทำลายกันมันก็มีเป็นของธรรมดาไปในที่สุด มนุษย์ไม่มีสันติภาพ นี้ก็เกิดมาสูญเปล่า เกิดมาเสียชาติเกิดเปล่าๆ การศึกษาทั้งหลายก็เสียเปล่า สูญเปล่าไม่ทำให้มนุษย์มีสันติสุข และสันติภาพได้ จะเรียกว่าอะไรดีอะ ก็ต้องเรียกว่าสถาบันครูอันแท้จริงมันไม่ได้มีอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ เหมือนที่มีมาในสมัยก่อนๆ ที่โลกมีความปกติสุข สันติสุขชนิดที่เรียกว่านอนไม่ต้องปิดประตูเรือน คำพูดเหล่านี้มีอยู่ในบาลี ในพระคำภีร์ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนๆ ว่ามนุษย์นอนไม่ต้องปิดประตูเรือน คือไม่มีขโมย หรือจะพูดว่าทำเรือนไม่ต้องทำประตูก็ยังได้ เล่าว่าคนมีความสงบสุขไม่เดือดร้อนอะไรเป็นผู้อยู่ด้วยความสุข สนุกในทาง ทาง ทางสันตินะ สุข สนุกอยู่ในทางสันติภาพ ไม่มีการทำร้าย เลวร้ายเหมือนสมัยนี้ ทุกคนมีธรรมะเต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ พอได้ทำหน้าที่ของตนก็เป็นสุข เมื่อชาวนาจับคันไถ ไถนาอยู่กลางนาเหงื่อท้วมตัว เค้าก็มีความสุข เพราะว่านี้ เค้ารู้สึกอยู่ว่านี้ ว่านี้เป็นความถูกต้อง นี้เป็นธรรมะโดยพอใจ ไถนาอยู่กลางแดดเหงื่อท้วมตัว ลืมกินข้าว ลืมกินข้าวไปก็มี เพราะมันยิ้มกริมอยู่ในใจ พอใจอยู่ในหน้าที่ว่านี้เป็นการกระทำที่ถูกต้อง เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วใครจะไปเบียดเบียนใคร ใครจะไปขโมยใครอะ ใครจะต้องไปเอาเปรียบใครอะ เพราะทุกคนทำงานสนุกเป็นสุขอยู่ในการงานแล้วไม่ต้องทิ้งงานไปสถานเริงรมย์ เหมือนคนสมัยนี้ มันอยากจะไปอยู่ที่เริงรมย์เมื่อเงินไม่พอมันก็ลักขโมยปล้นจี้เป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้มันหาความสุขได้เต็มที่เมื่อจับคันไถอยู่กับวัวกับควายแล้วมันจะต้องไปเริงรมย์ที่ไหนอีกงะ แล้วมันก็ไม่ต้องให้เงินมาก มันก็ไม่ต้องปล้นต้องจี้ ไม่ต้องขโมยนี้ ขอให้คิดดูเถิดว่ามนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างไร ทำอย่างไรจะกลับไปนิยมธรรมะ เป็นสุขเมื่อมีธรรมะ พอใจเมื่อมีธรรมะ ธรรมะนั้นคือหน้าที่ มนุษย์มีหน้าที่อย่างไร ทำหน้าที่นั้นแหละจะ อย่างเดียวกับประพฤติธรรมะ ไม่ใช้ไปนั่งสวดมนตร์อยู่ตามวัด ไม่ใช้ไป ไปบวชไปเรียนอะไรโดยเฉพาะหรอกนั้นมันเป็นอุปกรณ์ส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละ ไอ้ธรรมะคือหน้าที่ อะไรเป็นหน้าที่ก็ทำเถิดนั้นแหละคือธรรมะเราไปบวชไปเรียนก็เพื่อจะรู้จักทำหน้าที่ ที่มันสูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น แต่แล้วก็ต้องมากระทำหน้าที่ หน้าที่ทางโลกก็ทำมาหากินให้รอดชีวิต ให้เจริญทางโลก หน้าที่ทางธรรมก็ขอก้าวหน้าทางจิตทางวิญญาณบรรลุมรรคผลนิพพาน ทุกหน้าที่ ทุกระดับหน้าที่ ทุกชนิดของหน้าที่ล้วนแต่เป็นธรรมะ หน้าที่พื้นฐานที่สุดก็คือการเลี้ยงชีวิต หาเลี้ยงชีวิต ดำรงชีวิต ทั้งสัตว์เดรัจฉาน แหละทั้งมนุษย์ เมื่อสัตย์เดรัจฉานหาเลี้ยงชีวิต เที่ยวหากิน แม้แต่ไก่มันจะคุ้ยเขี่ยดินหาอาหารกิน หรือแมลงผึ่งแมลงผีเสื้อมันจะเที่ยวสูบเกสรดอกไม้นั้นก็คือการหากินเป็นหน้าที่มันเป็นการประพฤติธรรมะ ประพฤติธรรมะของสัตว์เหล่านั้นไอ้คนเราก็ทำหน้าที่ ต้องทำหน้าที่หากิน เมื่อทำหน้าที่หากินก็เป็นการปฏิบัติธรรมะของคน เดี๋ยวนี้คนมันมาเจริญในทางที่กินประหลาดออกไป ไปกินของที่มีอยู่ตามธรรมชาติเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ มันจึงมีเรื่องมาก มันจึงต้องมีเรื่องทำไร่ ทำนา เลี้ยงสัตว์ แล้วทุกอย่างที่จะได้หากิน จะเขี่ยแผ่นดินกินเหมือนไก่ก็ทำไม่ได้ จะเที่ยวสูบเกสรดอกไม้กินเหมือนแมลงผีเสื้อก็ไม่ได้ แต่แล้วความหมายมันเหมือนกันนะ คือต้องทำหน้าที่เพื่อชีวิตรอดนะ หน้าที่นั้นคือธรรมะ นี้สัตว์เดรัจฉานเค้าก็ได้เปรียบสิอย่างผีเสื้อตัวสวยๆ เที่ยวบินไปบินมาสูบเกสรหรือน้ำผึ่งในดอกไม้กิน ได้กินด้วย ได้รอดชีวิตด้วย แล้วได้สนุกสบายเหมือนกับเที่ยวเล่นด้วย นี้คนอะทำไมอะจะประกอบการงานเลี้ยงชีวิตให้มันสนุกสบายเหมือนกับว่าผีเสื้อหรือแมลงผึ่งเที่ยวสูบเกสรดอกไม้ให้มีจิตใจอย่างงั้นได้ แล้วเป็นธรรมดา ธรรมดาเหมือน เหมือนไก่เขี่ยดินกินอาหาร ไม่คร่ำเครียดไม่รู้สึกเครียดไม่รู้สึกทุกข์เป็นของธรรมดา ธรรมดาเขี่ยได้ตลอดวัน อิ่มแล้วก็นอน พักผ่อน หิวมาก็ลงมาเขี่ยอาหารกินอีกธรรมดา ธรรมดา ไม่ทุกข์ร้อนทรมาน ไอ้ส่วนคนนี้ทำไม่จะต้องทุกข์ร้อนทรมานเป็นอาชีพทำสวน ทำนา กรรมการอะไรก็ตาม แม้แต่เป็นอาชีพครูที่เป็นงานเบามันก็ยังทรมานใจทำไมไม่รู้เมื่อไหร่มันจะได้อย่างที่ต้องการไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง นี้มันทรมานใจถ้าว่าคนเหล่านี้รู้ว่าไปทำงานในหน้าที่นั้นแหละคือสิ่งประเสริฐสุดของมนุษย์แล้วเค้าก็จะไม่เดือนร้อน จะไม่รังเกียจยิ่งเหนื่อยยิ่งสนุก ยิ่งเหงื่อออกมากยิ่งสนุก นั้นคนนั่นทำการงานด้วยความรู้สึกอย่างนี้มันก็ไม่แพ้ไอ้พวกผีเสื้อที่เที่ยวบินสูบเกสรดอกไม้เหมือนกัน เพราะในใจมันมีความสุขเหมือนกัน เราทำงานเหน็ดเหนื่อยอาบเหงื่อต่างน้ำแต่ยังมีใจสนุกเหมือนกับผีเสื้อเที่ยวสูบเกสรดอกไม้ก็ทำได้ ต้องรู้ธรรมะ ต้องรู้ธรรมะอย่างเดียวเท่านั้นจึงจะมีจิตใจชนิดที่เป็นสุข เมื่อได้ทำหน้าที่ เมื่อได้ทำหน้าที่ของมนุษย์แล้วก็เป็นสุขแม้จะอาบเหงื่อต่างน้ำอยู่ก็เป็นสุขเพราะรู้จักทำจิตใจให้เป็นสุขนี้คือประโยชน์ของธรรมะ เอาละเป็นอันว่ามนุษย์ต้องประพฤติธรรมะพื้นฐานคือหาเลี้ยงชีวิตในการหาเลี้ยงชีวิต นั้นคือปฏิบัติธรรมะ ดังนั้นมนุษย์จะต้องรู้สึกเป็นสุขสนุกเมื่อได้ทำงานหาเลี้ยงชีวิต แม้ว่าจะต้องอาบเหงื่ออยู่กลางแดดเหมือนชาวนาผู้เคร่งครัดในธรรม ไถนาอยู่กลางแดดก็เป็นสุขครึมอยู่ในใจจนลืมกินข้าวอย่างนี้ก็มี แต่ ไม่ ก็มี แต่ไม่างนี้ก็มี แต่ไม่มาก ไม่ใช้ชาวนาสมัยนี้แล้ว ชาวนาสมัยเนี้ยเค้าไม่ถืออย่างนี้แล้วอยากที่จะไปปล้นไปขโมยมากกว่าหรือว่าเค้าจะต้องดิ้นร้นไปหาเครื่องจักรมาหาความร้อนใจแบบใหม่ ทำงานกับวัว กับควายก็ร้อนใจเหมือนกัน แต่ถ้าไปเอาเครื่องจักรหลายร้อยแรงม้ามาใช้ในจิตใจยังจะร้อนแรงไปกว่านั้นเสียอีก ร้อนแรงกว่าทำนาด้วยควายเสียอีก เพราะว่าจิตใจมันไม่ได้ยินดี มันไม่ได้พอใจ มันไม่ได้รู้สึกว่านี้คือการปฏิบัติธรรมะ นั้นหัวใจของคนใช้เครื่องจักรมันก็ร้อนเหมือนกับเครื่องจักรนั้นแหละไม่ต้องสงสัย เอาละเป็นว่าถ้าต้องการให้มันเย็น มันเย็น ไม่ให้มันร้อนแล้วก็ต้องมีธรรมะซึ่งเป็นเหมือนกับน้ำที่ทำความเย็นเรามีธรรมะกันให้มากๆ แล้วทุกอย่างมันจะเย็น ในใจจะเย็น ร่างกายจะเย็น คนนั้นจะเย็น เพื่อนฝูงก็จะเย็นโลกก็จะเย็นเพราะว่าทุกคนมันเย็น นี้ครูทั้งหลายรู้ธรรมะปลูกฝังธรรมะให้แก่ลูกเด็กๆตั้งแต่ชั้นอนุบาลขึ้นไปที่เดียว พวกเด็กๆชั้นอนุบาลรู้ธรรมะ มีธรรมะยิ่งๆขึ้นๆไปตามลำดับจนเป็นเด็กประถม มัธยม อุดมอะไรก็สุดแท้ มันจะถูกต้องไปตามลำดับแล้วมันก็มีแต่ความเย็น เดี๋ยวนี้เราสอนแม้แต่เด็กๆ อนุบาลให้มันทะเยอทะยานเป็นกิเลสนั้นก็ต้อง มันเรียน เรียนสำหรับร้อน ครูไปสอนให้อยู่ด้วยความหวัง ความทะเยอทะยาน(นาทีที่ 46.55 – นาทีที่47.03 เสียงไม่ชัด)ทั้งที่มันยังไม่รู้เลยว่าแม่ของมันมีบุญคุณอย่างไร ไปเรียนมัธ ไปเรียนประถมแล้วมันก็ไม่รู้ แม่ของมันมีบุญคุณอย่างไร เรียนมัธยมแล้ว เรียนอุดมแล้ว ไปเรียนเมืองนอกกลับมาแล้วมันก็ยังไม่รู้ว่าแม่ของมันมีบุญคุณอย่างไร นี้การศึกษานี้มันเป็นอย่างไรลองคิดดูเถอะ(นาทีที่ 47:12 – 47:29เสียงไม่ชัด)ตามกฎตามจริงของธรรมชาติมันเด็ดขาดไม่ลำเอียงการทำอย่างนี้แล้วผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ การทำอย่างนี้แล้วผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาร้อน ถ้าทำอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาเย็น แล้วก็เอาแต่ที่มันฝ่ายเย็น แล้วก็เย็น เย็นได้ ด้วยอาศัยบารมีของกฎของธรรมชาติที่มันมีตายตัวอยู่อย่างนั้น นั้นแหละเรียกว่าพระธรรมสูงสุดพระสัตธรรมอันสูงสุดเป็นฝ่ายปรมัตถ์ เป็นฝ่ายสังฆตธรรมซึ่งไม่ค่อยสนใจกันที่มีแต่ความร้อน อาตมาจึงต้องขอบอกกล่าวว่า ว่าขอให้คุณครูทั้งหลายสนใจธรรมะกันให้มากพอที่จะทำความเย็นให้แก่ตนเองก่อน แล้วสามารถทำความเย็นให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายให้ยิ่งๆขึ้นๆ รู้แต่หนังสือรู้อาชีพถ้าว่าใจมันร้อนเป็นไฟมันจะมีประโยชน์อะไรไม่เท่าไรมันก็ต้องเป็นโรคประสาทให้อายแมว สัตว์เช่นแมวไม่เป็นโรคประสาทเพราะมันไม่มีความร้อนเผาใจ คนนี้ยังมีความร้อนเผาจิตใจอยู่เรื่อยไม่เท่าไหร่ก็ต้องเป็นโรคประสาท ความยินดียินร้ายอาลัยอาวรณ์วิตกกังวลหวงแหนอะไรต่างๆนานาจนเป็นโรคประสาท เป็นโรคจิตเป็นบ้าตายไปเลย นี้เป็นศัตรูเบื้องต้น ศัตรูพื้นฐานเบื้องต้นคือความไม่รู้ธรรมะ ให้รู้ธรรมะแล้วก็จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ โลกนี้จะมีความสุข ครูเป็นผู้สร้างโลก ครูเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก โดยผ่านทางนักเรียน เด็กๆ พูดอย่างนี้ครูบ้างคนจะนึกด่าอยู่ในใจแล้วว่ายัดเยียดหน้าที่ให้มากเกินไปบ้าง ว่าพูดเล่นๆบ้าง อาตมาไม่พูดเล่นหรอก ครูนั้นแหละเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก เพราะครูเป็นผู้สอนคนทุกคนในโลก แล้วคนทุกคนเป็นอย่างไร โลกมันก็เป็นอย่างนั้น พวกครูสอนเด็กให้เป็นอย่างไร เด็กคนนั้นมันโตขึ้นทั้งหมดนั้นมันก็ช่วยกันทำโลกให้เป็นอย่างนั้น โลกมันจะดีก็เพราะเด็กๆมันดี เด็กๆมันดีเพราะครูมันสอนดี ไอ้โลกมันจะเลวร้ายก็เพราะว่าคนในโลกหรือเด็กๆมันเลวร้าย เพราะว่าครูสอนมาผิดๆมันเป็นเรื่องเลวร้าย นั้นครูเลยทำหน้าที่สูงสุดเหมือนกับพระเจ้าผู้สร้างโลก จะสร้างโลกให้ดีก็ได้ สร้างโลกให้เลวก็ได้แล้วทำไม ไม่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่อันสูงสุดนี้บ้าง บางคนก็ไม่กล้าเพราะว่ามันหมดสนุก เพราะตัวมันอยากจะไปสนุก อยากจะไปเริงรมย์จะมามั่วสอนเด็กให้ดีอยู่ได้อย่างไร มันก็ไปรับผิดชอบว่าครูนั้นมีหน้าที่สร้างโลก คือสร้างเด็กๆให้เป็นอย่างไร โตขึ้นเป็นอย่างไร และโลกทั้งโลกมันก็ประกอบกันขึ้นโดยหรือจากเด็กๆเหล่านั้น นั้นครูทั้งโลกนะ ไม่ใช้เฉพาะประเทศไทยมันคือผู้สร้างโลก จะให้โลกเป็นอย่างไรก็ได้ ด้วยการสอนเค้านั้นแหละสอนดีสอนชั่ว สอนผิดสอนถูก สอนอะไรก็ตาม นั้นเมื่อครูมันมีหน้าที่สำคัญถึงอย่างนี้แล้วมันก็ไม่ควรจะทำตัวให้ตกต่ำขนาดว่าสอนหนังสือเลี้ยงชีวิต เราสอนเค้าให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เค้าสูงสุดเหลือประมาณ ไอ้เงินเดือนทั้งหลายมันก็เป็นเครื่องบูชาสักการะเหมือนกับดอกไม้ธูปเทียนที่ชาวโลกเค้าบูชาครูมันไม่ใช่ค่าจ้างนะ ไอ้ครูที่แท้จริงไม่เคยเป็นลูกจ้าง ไม่เคยรับจ้างเพราะว่าเงินเดือนหรืออะไรก็ดีที่เค้าให้แก่ครูนั้นมันเป็นเครื่องสักการะบูชาไปหมด เดี๋ยวนี้จะหาครูชนิดคิดนี้คงจะลำบากเพราะมุ่งหมายแต่ว่าเป็นครูเอาเงินเดือนเลี้ยงชีวิตกันทั้งนั้น ไม่มุ่งหน้าว่าเราจะเปิดประตูทางวิญญาณยกโลกให้สู่สภาพสูงสุดเค้าจะให้อะไรก็ได้ ไม่ให้อะไรก็ได้ เราไม่ใช้ลูกจ้าง แต่แล้วมันก็ไม่ไปไหนเสีย มันเป็นกฎธรรมดาในโลกเหมือนกัน ถ้าเราทำสิ่งที่มีประโยชน์แล้ว มันต้องมีการตอบแทน เช่นพระสงฆ์เนี้ยไม่ต้องทำนา ทำไร่ ก็มีอาหารกินมีอาหารฉันเป็นเครื่องบูชาสักการะของประชาชน ในเมื่อพระสงฆ์ได้ทำหน้าที่ของตนชนิดที่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ ครูก็เหมือนกันแหละถ้าทำหน้าที่ของครูถึงที่สุดแล้ว มันก็สร้างโลกที่ดี ชาวโลกก็บูชาครู ด้วยวัตถุปัจจัยที่จำเป็นแก่การมีชีวิต นั้นเค้าจึงให้วัตถุปัจจัยให้ครูอยู่ได้ เลียงชีวิตอยู่ได้ไม่ใช้รวยเป็นเศรษฐี แต่ให้มีชีวิตอยู่ได้โดยสะดวก สำหรับทำหน้าที่คือเป็นครู จะเป็นกันทั้งครอบครัวก็ได้ นี้เค้ายังจะให้การเป็นอยู่ เป็นอยู่กันได้ทั้งครอบครัวอย่างนี้มันมีมาแล้วตั้งแต่สมัยโบราณ ก่อนพุทธกาล ไอ้ครอบครัวที่เป็นครูมันก็เลี้ยงชีวิตอยู่ได้ด้วยสักการบูชาของศิษย์ทั้งเป็นครอบครัว เพราะมันเป็นครอบครัวของครูจะทำอย่างไร เอาละเป็นอันว่าถ้าว่าครู เป็นครูกันโดยแท้จริงไม่บิดพลิ้วหน้าที่ของครูแล้ว การศึกษาจะดีกว่านี้มาก โลกจะมีสันติสุขสันติภาพยิ่งกว่านี้ ถ้ากระทรวงเค้าให้หลักสูตรการศึกษาไม่สมบูรณ์เป็นหมาหางด้วนเราก็ต่อได้ เราที่เป็นพวกครู เราต่อได้ ไปแสวงหาเอานอกเวลา ไปแสวงหาความรู้ทางธรรม ทางศาสนา มาต่อเข้ากับการศึกษาให้มันสมบูรณ์ แม้ว่ากระทรวงเค้าไม่ทำมาให้อย่างสมบูรณ์ แต่ แต่เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่ากระทรวงเค้าเริ่มเคลื่อนไหวในเรื่องนี้กันแล้ว เค้าเขียนหนังสือมาขอนุญาติอาตมาว่าขอบทความเรื่องหมาหางด้วนไปพิมพ์ไปลงในหนังสือวิชาการ(นาทีที่54.08-นาทีที่54.15 เสียงขาดหาย) แสดงว่าทางกระทรวงเค้าเริ่มสนใจการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์เป็นหมาหางด้วนนี้กันเข้าแล้ว แล้วมีหวังว่ามันคงจะดีขึ้น จะได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นเนี้ยพูดมาตั้งหนึ่งชั่วโมงแล้วไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเพราะว่าเรื่องมันมาก มันเกี่ยวข้องกันมากมันก็ได้แต่พูดเรื่องกว้างๆครอบคลุมไปหมด โดยตั้งหัวข้อว่าการศึกษาอย่างสูญเปล่า คือพูดว่าการศึกษาในโลกสมัยนี้เจริญนั้นมันหลับตาโม้ มันหลับตาโม้ ไม่ใช้ลืมตาโม้ มันไม่ดูนี้ว่าไอ้ผลที่แท้จริงใน ในโลกเป็นอย่างไร มันไม่มีความสงบสุขการศึกษามันจะเจริญอย่างไร มันเลยหลับตาโม้ว่าเอาเองว่าอุ้ยมีโรงเรียนมาก มีการเรียนมากสอนเต็มไปหมดแต่สอนให้คนเห็นแก่ตัวทั้งนั้น การศึกษาที่ไม่มีธรรมะก็มาประกอบขึ้นเป็นการศึกษาที่สอนให้คนเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น ไม่เท่าไหร่คนเหล่านี้ก็จะออกมากัดกันเอง ผู้ที่ได้รับการศึกษาชนิดที่เห็นแก่ตัวทั้งนั้นนะไม่เท่าไรจบการศึกษาแล้วก็ออกมาสำหรับจะกัดกันเอง ขออภัยใช้คำมันหยาบคายไปหน่อย เพราะมันสมกันแหละ ถ้ามันไม่รู้ มันมีกิเลสตัณหามันมาวิวาท แล้วมันก็คือกัดกันเอง แต่ถ้ามีการศึกษาสมบูรณ์ถูกต้องบริบูรณ์ดีมันออกมาแล้วมันก็จะช่วยกันเอง มัน มันจะไม่เป็นสุนัขที่กัดกัน แต่มันจะเป็นสุนัขที่ช่วยเลียแผลให้แก่กันและกัน โลกมันก็จะมีความสงบสุข ถ้าว่ามนุษย์ในโลกทุกคนมันช่วยกัน รักกัน เมตตาเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันโลกนี้ก็อยู่กันเป็นผาสุก หน้าที่ที่จะให้เป็นอย่างนี้ก็เป็นหน้าที่ของครูบาร์อาจารย์ทั้งหลาย กระทั้งไปถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ครูทั้งสายมีหน้าที่อย่างนี้ อาตมาไม่ได้พูดเรื่องใดโดยเฉพาะ แต่พูดหลักทั่วๆไปที่มันเกี่ยวข้องกันอยู่กับความเป็นครู ถ้าท่านเข้าใจหลักอันนี้ ปฏิบัติตามหลักอันนี้ปัญหาต่างๆมันจะสูญหาย ปัญหาต่างๆจะสูญหายไป ความเลวร้ายต่างๆจะสูญหายไปถ้าความเข้าใจถูกต้องความเจริญงอกงามก็จะเข้ามาแทนที่ ครูก็เป็นปูชนียบุคคล นั้นมีอาชีพ อาชีพเป็นปูชนียบุคคลอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของประชาชนทั่วไป เป็นที่เคารพสักการะอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของประชาชนทุกคนในโลก นั้นคือจิตวิญญาณครู ถ้าเรามีวิญญาณความเป็นครูแล้วปัญหาจะหมดคือจะสนุกสนานในการศึกษาเล่าเรียนของตนเอง ครูเองแตกฉานในทางวิชาความรู้และศีลธรรมครูจะมีศีลธรรม ครูจะปลูกฝังศีลธรรมให้แก่เด็กทุกคนในโลก สร้างโลกใหม่ เป็นโลกของพระศีรอารยเมตไตยมีแต่ความดีความงามน่าชื่นใจ น่าเลื่อมใส เป็นบุญคุณของครูผู้เป็นปูชนียบุคคลทุกคน ทุกคน ขอให้มีอาชีพอย่างปูชนียบุคคลด้วยกันทุกคนสำหรับผู้ที่เป็นครู อย่าเป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆเดือนๆเลย จงมุ่งหน้าเป็นปูชนียบุคคล ทำสิ่งที่ช่วยโลก ช่วยโลกทั้งโลกให้มันพ้นจากความเลวร้ายในโลกให้โลกมันมีความสุขสงบเย็น เป็นสถาบันที่มนุษย์ก็ย่อมรับนับถือมาแต่โบราณ แต่ดึกดำบรรพ์เลิกไม่ได้ เลิกไม่ได้ ต้องมีสถาบันของครูคู่กันกับโลกตลอดไป เนี้ยมันมีความจำเป็นอย่างนี้ ไอ้คุณค่าของครูมันมีอยู่อย่างนี้ ประโยชน์อานิสงค์ของความมีครูมันมีอย่างนี้ สูงสุดจนเค้ายกไว้เหนือเกล้าเหนือเศียร เป็นปูชนียบุคคล อยู่เหนือเกล้าเหนือเศียร เป็นอันว่าหลักทั่วไปของความเป็นครูเราได้พูดกันแล้วโดยสมบูรณ์รายละเอียดเฉพาะเรื่องนะไปหาเอาเอง หรือจากการบรรยายของผู้หนึ่งผู้ใด เรื่อยๆไป ตามโอกาส ตามเวลาอย่างทิ้งเสีย ขอให้ขนขวายหาความรู้เกี่ยวกับศีลธรรมเพิ่มเติม เพิ่มเติม เพิ่มขึ้นอยู่ทุกเดือนทุกปี ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ในเวลาไม่นานนักเราก็จะได้รับผลอันนี้ที่มีการศึกษาที่ถูกต้องแหละ อย่างสมบูรณ์มีการปฏิบัติที่ถูกต้องและสมบูรณ์มนุษย์ทุกคนก็จะอยู่กันอย่างที่เรียกว่าเหนือปัญหา ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์เป็นสังคมของมนุษย์ ซึ่งแปลว่ามีจิตใจสูงมนุษย์แปลว่ามีจิตใจสูง สูงอยู่เหนือปัญหา หมดปัญหา สูญเสียความทุกข์ หมดความทุกข์ เรื่องก็จบ เรื่องก็จบ โลกนี้ก็เป็นโลกของพระศรีอารยเมตไตย และทุกคนอยู่ด้วยความสุขที่เป็นนิพพาน แม้จะน้อย น้อย น้อย น้อย ก็ยังเป็นนิพพาน คือความเยือกเย็นตามสมควรแก่ศักยภาพ ฐานะของตน ของตน อาตมาขอกล่าวแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้อีกครั้งหนึ่ง นั้นเพราะว่าเป็นการมาเพื่อพบปะกันศึกษาหารือกันที่จะช่วยโลกมนุษย์นี้ให้มีความปลอดภัยอย่างไรท่านดูสิจะเห็นเองว่าเราไม่ได้พูดกันเรื่องอื่นมานั่งกันอยู่ตรงนี้ไม่ได้พูดกันเรื่องอื่นพูดกันแต่เรื่องจะช่วยโลกให้หมดสิ้นจากความทุกข์หมดสิ้นจากตัณหาตรงตามความหมายคำว่าครู ผู้นำทางวิญญาณ ผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ที่มาพบปะกันเพื่อกระทำอย่างนี้ เพื่อกระทำกิจกรรมอย่างนี้เป็นเรื่องแห่งความยินดีควรแก่การอนุโมทนา อาตมาก็รู้สึกอย่างนั้นจริง นั้นขออนุโมทนา จะขอปวารณาด้วยว่า ขอให้ครูทั้งหลายที่มีความประสงค์อย่างนี้จงมาพบปะหารือประชุมกันที่นี้เพื่อวัตถุประสงค์อย่างนี้เถิด ไม่รังเกียจไม่เบื่อหน่าย ยินดีที่จะร่วมมือด้วยทุกเวลาตามหน้าที่ของอาตมาที่เป็นสาวกของพระศาสดาเป็นถึงพระบรมครู ขอแสดงความยินดีต้อนรับเพื่อนที่เป็นครู เพื่อนที่ทำหน้าที่อย่างครูซึ่งจริงมันก็เป็นเพื่อนกันโดยตำแหน่งหน้าที่ มันร่วมมือกันทำให้ความเป็นครูในโลกนี้สมบูรณ์ขึ้นมา นี้ขอบอกกล่าวอย่างหนึ่งว่าเดี๋ยวนี้นั่งกลางดิน บางคนจะโกรธอยู่ก็ได้ ขออย่าได้โกรธเลยถ้าได้นั่งกลางดิน เพราะว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อนั่งกลางดิน พระพุทธเจ้าสอนเมื่อนั่งกลางดิน พระพุทธเจ้านิพพานก็กลางดิน แล้วดินมันจะเป็นของต่ำได้อย่างไร เมื่อเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ คำสอน นิพพาน ของพระพุทธเจ้า กุฏิของพระพุทธเจ้าก็พื้นดินไปดูได้ ยังมีอยู่ ซากกุฏิยังมีอยู่แสดงให้เห็นว่ามันมีกุฏิบนพื้นดิน ดินเป็นที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า มันศักสิทธิ์เดี๋ยวนี้เรามานั่งลงบนดินเป็นมนุษย์สติระลึกถึงพระพุทธเจ้าว่าท่านอยู่ต่ำๆ อย่างนี้แหละท่านมีความประสงค์อยู่ต่ำๆ แต่ว่ากระทำอย่างสูงสุดนั้นเราจะดำเนินชีวิตอย่างต่ำๆเหมือนกับแผ่นดิน จะมีโอกาสทำงานที่สูงสุดถ้าจะกินอยู่สูงเป็นเรื่องเริงรมย์ไปหมดแล้วมันก็ไม่มีทางจะคิดทำสูงได้มีแต่ย้อนต่ำกลับลงมาต่ำ นั้นขอยินดีที่จะนั่งกลางดินพบปะกันเมื่อนั่งกลางดินในรูปแบบที่พระพุทธเจ้าท่านได้เป็นอยู่แล้วท่านได้นั่งประชุมอยู่กับสาวกทั้งหลายของท่านกลางดิน ในพระบาลีมีเรื่องราวว่าทำอุโบสถ ทำสังฆกรรมกลางดิน นั้นเรื่องดินเนี้ยเป็นเรื่องมีความหมายมาก เป็นรากฐานของทุกสิ่ง ทุกสิ่งมันได้อาศัยแผ่นดิน มันจึงตั้งอยู่ได้ งอกงามอยู่ได้ในทางวัตถุ ในทางจิตใจก็เหมือนกันธรรมะนั้นแหละเสมือนแผ่นดิน ถ้ามีธรรมะแล้ว เสมือน เสมือนกับมีแผ่นดินให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงตั้งอาศัยอยู่ได้ ธรรมะกับแผ่นดินมีความหมายอย่างเดียวกันเมื่อเรานั่งบนแผ่นดินก็มีความหมายสูงไปถึงกับว่าจิตใจของเราจะต้องตั้งทับอยู่บนธรรมะเป็นแน่นอน แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยดีในตัวเองตามกฎของธรรมชาติอันสูงสุด ขอยุติการบรรยายครั้งนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ และหวังว่าท่านครูบาร์อาจารย์ทั้งหลายจะได้รับประโยชน์จากการมาที่นี้ตามสมควรขอให้เพิ่มความเป็นครูให้มากขึ้น สูงขึ้นตามลำดับ ตามลำดับ แล้วเจริญอยู่ในทางของพระธรรมมีความสุขสวัสดีทุกทิวาราตรีกาลเทอญ