แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
จะสงบสุข มีสันติภาพกว่านี้มาก เสียดายที่ท่านอายุน้อยไป บางคนจะไม่ทันเห็นไอ้สันติภาพ หรือความสงบสุขของยุคนั้น จะเห็นได้เป็นส่วนน้อย เพราะมันต้องมีอายุตั้ง ๕๐ ๗๐... ๘๐ ขึ้นไปนั้น ปัดไปแล้วนู่น อยู่กันอย่างสันติภาพ สันติสุขในโลก คืออิทธิพลของธรรมะ ยังมีอยู่ในหัวใจของคน คนยังมีศีลธรรม ก็ยึดถือศีลธรรม มีเรื่องบาป มีเรื่องบุญ มีเรื่องพระเจ้า มีเรื่องศาสนา มีเรื่องธรรมะ พอมาถึงเดี๋ยวนี้ ไอ้เรื่องเหล่านั้นหายไป เรื่องความสุขทางวัตถุ ทางเนื้อหนัง คือทางกิเลสนั้นแหละ มันเข้ามาแทน คนก็เป็นทาสของกิเลสมากขึ้น ขอท่านทั้งหลายช่วยยอมเสียเวลาเปรียบเทียบในข้อนี้สักหน่อย จึงจะเข้าใจปัญหาที่ว่า
เรื่องเทคนิคนี้ก็เป็นเรื่องที่ดี การใช้เทคนิคให้ถูกต้องแต่กรณี ที่เรียกว่า เทคโนโลยี มันก็ดี แต่แล้วมันไม่ใช้ไปในทางที่ส่งเสริมสันติภาพ มันไม่ใช้ไปทางสร้างความสงบสุข แต่มันไปใช้ไปในทางส่งเสริมกิเลส วิชาเทคนิคก็ดี การใช้เทคนิคก็ดี การใช้ในทางค้นคว้า ผลิตสิ่งที่ส่งเสริมกิเลส ได้สังเกตเห็นดังว่าเมื่อสัก..แค่ ๕๐ ปีมานี้ ไอ้วัตถุปัจจัยที่ส่งเสริมกิเลส มันมีน้อยกว่าเดี๋ยวนี้มาก เดี๋ยวนี้ เทคโนโลยีผลิตเครื่องส่งเสริมกิเลสน่ะมันมาก เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องหลับ เรื่องนอน มันเป็นเรื่อง...เป็นทาส ทั้งความเอร็ดอร่อย ทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนัง อาตมามองเห็น เรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาในความเปลี่ยนแปลง ยังนึกว่ากำลังเดินไปสู่ความวินาศในโลกนี้ เรื่องอาหารการกิน มันกินเกินจำเป็นที่จะอยู่อย่างผาสุก กินเกินไปจนกลายเป็นเรื่องการกินนั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดโรค และเกิดทุกข์ การแต่งเนื้อ แต่งตัวก็เหมือนกัน มันไม่ใช่เท่าที่จำเป็น มันเกินจำเป็น จนเรียกว่าลำบากทางเศรษฐกิจในครอบครัว เขาผลิตให้สวย ให้แพง มีค่าใช้จ่ายมาก เรื่องที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอยในบ้านในเรือน เต็มไปด้วยวัตถุปัจจัยที่เรียกกันสมัยนี้ว่า เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า มันทำให้สะดวกก็จริงอยู่ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ทำให้คนขวนขวายในเรื่องเอร็ดอร่อย สนุกสนานเกินจำเป็น นี่มันเข้ามาได้เกินจำเป็น จนใครจะฟังเพลงตลอดคืนก็ได้ ก่อนนี้มันทำไม่ได้ ไอ้การเป็นอยู่ของมนุษย์สมัยนี้ มันก็ผิดกับสมัยก่อน ซึ่งอยู่พอรอดชีวิต พอสะดวกที่จะทำหน้าที่ของตน เดี๋ยวนี้มันจะอยู่ให้เอร็ดอร่อย สนุกสนาน เหมือนว่าจะแข่งกับพวกเทวดา จะเป็นเทวดา จะแข่งกับพวกเทวดา จนกระทั่งเงินเดือนไม่พอใช้ ต้องคอร์รัปชั่น อาตมาเห็นว่าไอ้อย่างเก่านั้นแหละมันดี มันอยู่ด้วยความสงบสุข เพียง ๕๐ ปีมานี้ เปลี่ยนมาก วุ่นวายมาก เปลืองมาก ยุ่งมาก มีอันธพาลมาก อาชญากรมาก
เมื่อ ๕๐ ปีมานี้ หญิงสาวคนเดียวเฝ้าไร่คนเดียวในป่าได้ ซึ่งเดี๋ยวนี้มันไม่ได้ ยิ่งไปถึงสมัยคนป่าไม่นุ่งผ้า มีแต่ช่อใบไม้แขวนข้างหน้านิดหนึ่ง เแขวนสะเอวข้างหน้านิดหนึ่ง ก็ไปป่าได้ ไปเก็บผักหักฟืนในป่า เอาอาหารมากินมาใช้ได้ ไม่มีใครทำอะไร สมัยนั้น สมัยนี้แม้จะอยู่บนเรือนมันก็ถูกปลุกเข้าไปข่มขืน คุณดู ผลของเทคโนโลยีของยุคปัจจุบัน มันต้องให้คนเป็นทาสของกิเลส ยิ่งเจริญด้วยเทคโนโลยี ยิ่งต้องการศีลธรรมมาก เพราะความเจริญของเทคโนโลยีมันส่งเสริมกิเลส มันยิ่งเจริญเท่าไหร่ มันก็ยิ่งต้องการศีลธรรมมาควบคุมไอ้ความเลวร้ายแห่งจิตใจนั้นมากขึ้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ยิ่งเจริญด้วยเทคโนโลยี คนก็ละเลยศีลธรรม ก็ไปสนใจเทคโนโลยีที่ส่งเสริมกิเลสกันหมด ที่สนใจศีลธรรม มาควบคุมเทคโนโลยีมันก็ไม่มี โลกมันจึงเต็มไปด้วยเรื่องส่งเสริมกิเลส แล้วก็ไม่มีเรื่องที่จะควบคุมกิเลส คือศาสนา หรือศีลธรรม ความรู้สึกบาป กลัวบาป มันก็ไม่มี มันเอาแต่กิเลส มันก็เป็นอย่างที่เป็นๆ กันอยู่ การศึกษาก็เป็นศึกษาอย่างชนิด อาตมาขอเรียกว่า หมาหางด้วน เชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะได้ยินพูด คำว่าหมาหางด้วนมาแล้ว เพราะว่าพูดวิทยุมาก็หลายครั้งแล้ว การศึกษาในโลก กำลังเป็นการศึกษาชนิด หมาหางด้วน คือเรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพ สอนหนังสือให้คนฉลาด แล้วก็วิชาชีพ เทคโนโลยีทั้งหลายนี่ มันมีแต่เพียงเท่านี้ มันไม่มีสอนเป็นมนุษย์กันอย่างไร จะมีศีลธรรมกันอย่างไรไม่ได้สอน สอนแต่หนังสือกับวิชาชีพ ในเรื่องที่สามารถเป็นมนุษย์กันให้ถูกต้องมีศีลธรรมนั้นไม่ได้สอน การศึกษาหมาหางด้วน เริ่มมาแต่ประเทศที่หลงใหลในเทคโนโลยีนั่นแหละ หรือพวกฝรั่ง เราพูดกันตรงๆ พวกไทยนี้มันตามก้นฝรั่ง มันไม่มีอะไรดีนอกจากตามก้นฝรั่ง พวกฝรั่งมีการศึกษาแบบหมาหางด้วน ไอ้คนไทยมันก็มีการศึกษาแบบหมาหางด้วนไปตาม มันจึงมีแต่เรียนหนังสือกับเรียนวิชาชีพ มันก็เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง วิชาชีพเลยกินขอบเขตเลยเข้ามาถึงการเป็นครู สมัยโบราณการเป็นครูไม่ได้เป็นอาชีพ ไม่ได้ ไม่ได้เป็นวิชาชีพ หรือการประกอบอาชีพ เพราะว่าเขาเป็นครูเอาบุญกัน ในสมัยโน้นเป็นครูเอาบุญ แล้วครูก็เป็นปูชนียบุคคล พอตกมาสมัยนี้ การเป็นครูก็เป็นอาชีพชนิดหนึ่ง เหมือนกับอาชีพอื่นๆทั่วไป คือเราทำเพื่ออาชีพของเรา เอาเงินเดือน ทะเลาะวุ่นวายกันเรื่องเงินเดือนไม่ขึ้น หรือการปรับปรุงเงินเดือนไม่เป็นธรรมนี้ เหมือนกับอาชีพอื่นๆ ครูก็เลยหมดความเป็นปูชนียบุคคล เพราะจิตใจของครูมันมุ่งอาชีพมุ่งเงินเดือนมากๆ เอามากินมาใช้สนุกสนาน เหมือนกับคนพวกอื่น ความเป็นครูเลยกลายเป็นอาชีพ ไม่ใช่เป็นเรื่องเอาบุญเอากุศล หรือเพื่อเป็นปูชนียบุคคล แล้วก็ลองดู ลองคิดดู โลกมันจะเป็นอย่างไร มันมีแต่อาชีพ มันไม่มีธรรมะ มันไม่มีศาสนา มันไม่มีพระเจ้า ไม่มีสิ่งที่ยึดถือเป็นหลักสำหรับว่ามนุษย์จะได้มีธรรมะที่ควบคุมกิเลส
ก่อนนี้มนุษย์เรามีธรรมะสำหรับควบคุมกิเลส แล้วกิเลสมันก็ไม่ระบาด ไม่ลุกลามไม่ครองโลก เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรเป็นเครื่องควบคุมกิเลส กิเลสมันก็ครองโลก หมายความว่าทุกคนน่ะมีกิเลส ส่งเสริมกิเลส ทำอะไรเป็นไปตามอำนาจของกิเลส เรียกว่ากิเลสมันครองโลก ก่อนนี้พระเจ้า ศาสนาครองโลก เดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนเป็นกิเลสครองโลก ใครอยากจะหาประโยชน์อะไรใส่ตนก็ทำได้เต็มที่ เมื่อไม่พอก็ไม่มีอะไรมาบังคับจิตใจ ว่าให้อดกลั้นอดทน แสวงหาโดยสุจริต มันก็ทุจริต เพราะฉะนั้นการทุจริตมันจึงเกิดขึ้น ในที่ทุกแห่งในระดับชนชั้น คำว่าครูโกงนี่ เป็นเรื่องที่หนาหูขึ้น เมื่อก่อนนี้ คำว่าครูโกงนั้นมันหาฟังยาก หาฟังยากที่สุดเลย เดี๋ยวนี้ครูโกงมันหาง่าย ฟังง่าย มีทั่วไป ก่อนนี้ครูมันอยู่ในวิสัยที่โกงไม่ได้ เป็นปูชนียบุคคล เดี๋ยวนี้ลดลงมาเป็นคนธรรมดาประกอบอาชีพ มันก็ต้องโกงแล้วก็คอร์รัปชั่น ข่าวเมื่อไม่กี่วันนี้ก็โกงรายใหญ่ ในเรื่องของกระทรวงศึกษาธิการนั่นเอง ฉะนั้นขอให้เรานึกถึงข้อนี้ว่าโลกกำลังปราศจากศีลธรรม มีศีลธรรมลดน้อยงลง ลดน้อยลง คนก็ไม่มีศีลธรรม คนก็โกง เมื่อไม่มีศีลธรรมมันก็ต้องโกง ที่มันไม่โกงน่ะ เพราะมันมีศีลธรรม ที่คนแต่ก่อนเขาไม่โกงเพราะเขามีศีลธรรม ก็ขอให้มองดูในแง่นี้ พอไม่มีศีลธรรมคนมันก็โกงยังไง หากประชาชนไม่มีศีลธรรมมันก็โกง คือเป็นคนโกงอยู่ทั้งบ้านทั้งเมือง คนโกงทั้งบ้านทั้งเมือง ทีนี้ประชาชนราษฎรที่เป็นคนโกงมันเลือกผู้แทน มันก็เลยเลือกโดยวิธีโกง เรื่องจ้าง เรื่องออนเรื่องอะไรต่างๆ มันใช้วิธีโกงเลือกผู้แทน มันก็ได้ผู้แทนโกงมา
ผู้แทนโกงมาประกอบกันขึ้นเป็นรัฐสภา มันก็เป็นรัฐสภาโกง เพราะว่ามันประกอบขึ้นด้วยคนโกง รัฐสภาโกงมันตั้งรัฐบาล มันก็เป็นรัฐบาลโกง เพราะมันตั้งโดยคนโกง มันก็ไม่มีใครที่มีศีลธรรม มันก็เป็นรัฐบาลโกง เพราะผู้นำประเทศมันโกง แล้วประชาชนคนเมืองมันก็โกง มันก็โกงกันหมด คนขอทานก็โกง คนจนก็โกง คนค้าคนขาย ชาวไร่ชาวนาก็โกง เจ้าหน้าที่รัฐบาลก็โกง ครูบาอาจารย์ก็โกง ตุลาการก็โกง พระเจ้าพระสงฆ์ก็โกง มันก็เป็นอย่างนั้น มันก็ไม่มีอะไรเหลือ พระเจ้าพระสงฆ์โกง เทวดามันก็โกงเทวดาบนฟ้า ฝนตกไม่ต้องตามฤดูกาล มันก็โกง เทวดาโกง โกงจนถึงสุด และพระเป็นเจ้าก็โกง พระเป็นเจ้าสูงสุดก็โกง คือพระเป็นเจ้าเห็นแต่ประโยชน์ของพระเป็นเจ้า จะกินสินบน พระเป็นเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เดี๋ยวนี้ต้องเชื้อเชิญ ต้องอ้อนวอนมาช่วยที มาช่วยที พระเจ้าเก๊ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เก๊ มันต้องอ้อนวอน มันถึงจะมาช่วย พระเจ้ามันโกงกันขนาดนี้ ทีนี้ก็ทุกอย่างมันก็โกงหมด จนกระทั่งจะพูดว่า ไอ้ทุกๆ ปรมาณูน่ะ คุณฟังถูกแล้วเพราะคุณเป็นครูนี่ ทุกๆอะตอมของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลมันก็โกง มันก็ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น เป็นนอกระบบ มันก็ระเบิดพร้อมๆ กันทั้งจักรวาลทุกๆ ปรมาณู แล้วคุณลองคิดดูว่ามันจะมีอะไรเหลือเล่า นั่นแหละผลของการโกงมันควรจะมองกันในแง่นั้น ฉะนั้นอย่าโกงสิ ทุกคนไม่โกงแล้วก็ไม่มีอะไรโกง มันก็ไม่มีอะไรโกง มันก็เป็นไปตามระเบียบ ทีนี้ฝนฟ้ามันก็ต้องโกง ไอ้คำพูดอย่างนี้มีในบาลี ถ้าประชาชนโกง หัวหน้าประชาชนโกง แล้วเทวดาก็โกง ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เดี๋ยวนี้ฝนฟ้าก็ไม่ต้องตกต้อง ไม่ตกต้องตามฤดูกาล ต้องไปจ้างทำฝนเทียม มันก็เป็นเรื่องปั่นป่วนรวนเรกันหมด ขอให้มองเห็นว่าไอ้สิ่งสำคัญสูงสุดสิ่งหนึ่งก็คือ ความไม่โกง คือธรรมะ ถ้ามีธรรมะ มีศีลธรรม มีธรรมะแล้ว จะไม่มีไอ้สิ่งเลวร้ายอย่างนี้ ปราศจากศีลธรรม ก็มีสิ่งเลวร้ายอย่างที่ว่า โกง โกง โกง เป็นลำดับ จนถึงพระเจ้าก็โกง ทุกปรมาณูในสากล ก็โกง คือไม่เป็นไปตามหน้าที่ที่ถูกต้อง ที่ถามว่าใครทำ ใครเป็นคนทำ ก็มนุษย์นั่นเองเป็นคนทำ ไอ้ความที่ไม่มีศีลธรรมเกิดขึ้นมาในโลก มนุษย์นั่นแหละเป็นผู้ทำ มนุษย์ ทำไมจึงทำอย่างที่เรียกว่า ฆ่าตัวเอง เชือกคอตัวเองล่ะ ก็เพราะมันไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง ทำไมมันจึงไม่มีความรู้ที่ถูกต้องล่ะ ก็เพราะมันเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสเป็นขี้ข้าของกิเลส ทำไมมันไปเป็นทาสของกิเลสล่ะ เพราะมันบูชาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ก่อนนี้ไม่มีที่จะบูชาความเอร็ดอร่อยทางกามารมณ์ ทางเนื้อหนังมันไม่มี ไม่เห็นค่าของกิเลส มันก็..ก็รู้ เพราะมันไม่เป็นทาสของกิเลสมากเกินไป เดี๋ยวนี้มันเป็นทาสของกิเลสอย่างหลับหูหลับตา มันจะรู้อะไรถูกมันก็ทำผิดหมด มันทำผิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดกิเลส แล้วก็ไปตามอำนาจของกิเลส ผลมันก็ต่างกัน คือเราอยู่ด้วยกันด้วยกิเลส และสิ่งที่ว่ากิเลสก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น ไม่มีความจริง ความถูกต้อง ความบริสุทธิ์ ความยุติธรรม มันมีไม่ได้ เพราะกิเลสมันเป็นอย่างนั้นเอง นี่เราจะต้องระวัง อย่าให้กิเลสมาครองโลก อย่าให้กิเลสมาเป็นนายเรา อยู่กันแต่ในระบบของความถูกต้องจึงเรียกว่าพระธรรมก็ได้ พระศาสนาก็ได้ เรียกสั้นๆ ก็เรียกว่าความถูกต้อง ธรรมะ คือความถูกต้อง ทีนี้ความถูกต้องมันปลี่ยนไป
จะเรียกว่ามันเป็นความ...มันเป็นอนิจจัง ตามกฎของอนิจจัง ที่เผอิญใช้คำว่าเผอิญก็ได้ แม้อนิจจังนี่ ใช้คำว่าเผอิญก็ได้ มนุษย์ มันค้นคว้า ก้าวหน้าไปพบทางที่จะทำให้เอร็ดอร่อย สนุกสนานยิ่งขึ้น จนเกิดความเป็นวิชา ความก้าวหน้าทางวัตถุ ก่อนนี้มันไม่มี มันอยู่กัน..ไม่ดีกว่าสัตว์สักเท่าไหร่ เราก็จะต้องรู้ว่าไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุที่ให้เอร็ดอร่อยเพิ่มขึ้นนั้นแหละ มันเป็นตัวปัญหา ที่ทำให้เกิดความยุ่งยาก ลำบาก ตั้งแต่มนุษย์ไม่รู้จักหุงต้ม กินเนื้อดิบๆ ปัญหามันก็มีน้อย มันจะกินได้เท่าไหร่ล่ะ มันก็กินเท่าที่จำเป็นจะกิน นี่เผอิญมันไปรู้จักทำให้สุก สมมุติว่ามัน จี่ เผา สุก มันก็กินมากกว่าแต่ก่อน แล้วเผอิญมันไปจิ้มเกลือ จิ้มน้ำจิ้มอะไรเข้า มันก็กินมากกว่าแต่ก่อน ชั้นเลว ชั้นต่ำ มันก็ยังเป็นอย่างนี้ คือความเอร็ดอร่อยมันพาให้เกิดความเกิน
เดี๋ยวนี้เรารู้จักทำให้เอร็ดอร่อยเหลือประมาณ วิชาก้าวหน้าทางโภชนาการ ทางอาหารนี่ กลายเป็นเรื่องให้คนติด หลงในความเอร็ดอร่อย ประเทศขาดดุลการค้าส่วนใหญ่ ก็เป็นเรื่องส่วนนี้มากกว่าที่ทุกคนมันชอบอร่อย
ทีนี้เรายังอยากจะห้ามล้อ ใช้คำว่าห้ามล้อความโง่ ในทางความเอร็ดอร่อยไว้ก่อน อย่าวิ่งไปเร็วนัก ห้ามล้อเอาไว้ เพราะฉะนั้นจึงให้คุณนั่งกลางดิน คุณต้องนั่งกลางดินไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง คือห้ามล้อไว้ก่อน เอาอย่างนี้กันก่อนเถิด ที่บรรพบุรุษของเราเคยทำกันมา เมื่อพระพุทธเจ้า หรือพระศาสดาองค์ไหนก็ตามจะสอนธรรมะ สอนกลางดินกันทั้งนั้นน่ะ ไม่มีเก้าอี้ โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าด้วยแล้ว ท่านประสูติกลางดิน แล้วท่านก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็เมื่อนั่งกลางดินที่โคนต้นไม้ ประสูติก็ประสูติกลางดินโคนต้นไม้ แม้กระทั่งสอน ตลอดเวลาชีวิตของท่าน ก็สอนกลางดินโคนต้นไม้ น้อยนักที่จะนั่งบน..นั่งในศาลา กุฏิที่อยู่ของท่านก็พื้นดิน มัน มันเหลือซากอยู่ในอินเดีย ในที่สุดท่านก็นิพพานกลางดิน ตายที่โคนต้นไม้กลางดิน พระพุทธเจ้าผู้ซึ่งเรานับถือเป็นบุคคลสูงสุดล้วนแต่มีชีวิตกลางดิน ฉะนั้นเราจงนั่งกลางดินเป็นที่ระลึกกันบ้างเถิด ที่ให้นั่งกลางดินนี้ ไม่ใช่เฉพาะแต่จะให้ห้ามล้อ ไอ้กิเลสอย่างเดียว แต่เพื่อให้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน อยู่กลางดิน สอนกลางดิน ตายกลางดิน แล้วจิตใจมันก็จะลดลงมา ไม่ไปเป็นทาสของกิเลสมากนัก ฉะนั้นจึงชวนกันนั่งกลางดิน เราไม่เห็นด้วยกับพวกที่เขาไปประชุมกันบนโรงแรม บนอาคารที่หรูหรา คราวหนึ่งฟังแล้วก็รู้สึกตกใจ ไปประชุมกันที่ ไอ้อาคารที่สวางคนิวาส ประชุมกันเรื่องชาวนา ไม่มีที่นาจะทำนา แทนที่จะไปประชุมกันกลางนา ไปประชุมกันบนวิมาน ที่สวางคนิวาส พูดเรื่องชาวนาไม่มีอันจะกิน อย่างนี้มันบ้าชัดๆ เดี๋ยวนี้ก็เถอะ ที่ไปประชุมกันที่โรงแรมอะไร โรงแรมใหญ่โตเหมือนกับวิมานนั่นแหละ แล้วประชุมกันเรื่องชาวบ้านไม่มีอะไรจะกิน..มันบ้าชัดๆ มันควรจะไปประชุมกันที่หมู่บ้าน ที่ไม่มีอะไรจะกินนั่น แล้วก็วินิจฉัยกันเรื่องมันไม่มีอะไรจะกิน จึงขอให้ดูเถอะว่า ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงหมด ไปบูชาความเอร็ดอร่อย สวยงาม สนุกสนานบนอาคารที่เหมือนกับวิมาน แล้วก็มาพูดเรื่องกันคนจนไม่มีอะไรจะกิน นี่ความก้าวหน้าทางกิเลส ทางกิเลสแท้ๆ แหละ ที่มันทำให้มันทำอย่างนั้น เมื่อกิเลสครอบงำแล้วมัน ก็ ก็เปลี่ยนเป็นคนละคน หรือยิ่งกว่าคนละคน ถ้ากิเลสครอบงำแล้วมันเปลี่ยน ยิ่งกว่าเปลี่ยนร้อยเปอร์เซ็นต์นะ มันเปลี่ยนหลายพัน หลายหมื่นเปอร์เซ็นต์ ระวังกิเลส ระวังสิ่งที่เรียกว่ากิเลส ที่ทำให้ครูเงินเดือนไม่พอใช้ต้องคอร์รัปชั่นอยู่นั่นน่ะ มันไม่มีอะไร..กิเลสอย่างเดียวเท่านั่น คุณดูเถอะ ถ้าไม่ระวังแล้ว กิเลสมันจะพาไป มันจะบังคับไสหัวไปทีเดียว..ให้ไปทำคอร์รัปชั่น เรื่องของกิเลส เรื่องของธรรม. ที่ไม่เป็นไปตามกฎของธรรมะ
สมัยก่อน ขอ ขอโอกาสกล่าวพูดตรงๆว่า ถ้าสมัยก่อน เราจะให้หญิงสาวคนหนึ่งมานุ่งกางเกงอาบน้ำเดินให้คนดูนี่ จ้างสักล้านนึงมันก็ไม่เอานะ ถ้าหญิงสาวสมัยก่อนน่ะ จ้างมันสักล้านให้นุ่งกางเกงอาบน้ำแล้วเดินให้คนดู มันไม่เอานะ ถ้าหญิงสาวสมัยก่อนน่ะ แต่หญิงสาวสมัยนี้ไม่ต้องจ้าง มันอยากจะทำเองเสียอีก ความต่างกันมันเป็นอย่างนี้น่ะคุณ มันเป็นเพราะเหตุอะไรล่ะ อะไรมันไสคอไสหัวไปเล่า ที่ให้มันไปทำอย่างนั้นน่ะ นั้นแหละคือกิเลสแหละ รู้จักกิเลสซะมั่งสิ ถ้ายังไม่รู้จักกิเลสก็รู้จักกิเลสซะบ้าง เมื่อคุณใช้เทคโนโลยีร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่าก็ไม่ทำโลกให้มีสันติภาพได้ อาตมากล้าท้าพวกคุณ ที่เป็นการศึกษาทางเทคนิค และการใช้เทคนิค ถ้าคุณไม่มีเทคนิคในการที่จะเล่นงานกิเลสแล้ว ไม่มีทางที่จะทำให้โลกนี้มีสันติภาพ การฆ่า การฆ่ากิเลสมันก็เป็นเทคนิคเหมือนกัน การใช้เทคนิคในการฆ่ากิเลส มันก็เป็นเทคโนโลยีเหมือนกัน แต่การศึกษาหมาหางด้วนมันไม่เอาโว้ย มันไม่เอาโว้ย มันไม่ศึกษาเรื่องนี้ มันศึกษาเรื่องส่งเสริมกิเลสไปซะหมดทั้งโลกมันศึกษาส่งเสริมกิเลส มันใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมกิเลส ทั้งๆ ที่การทำลายกิเลสมันก็เป็นเทคนิค และเป็นเทคโนโลยี แต่ไม่มีใครเอา มันนึกคิดกันแต่จะทำอะไรให้มากขึ้นไป มากขึ้นไปในการที่ว่า จะส่งเสริมกิเลส แล้วก็ใช้คำพูดผิดๆอยู่คำหนึ่ง เอ่อ..ขอให้ระวังให้ดี ว่า คำว่าอยู่ดีกินดี มันใช้ผิด ระวังไอ้อยู่ดีกินดี มันจะเป็นการส่งเสริมกิเลส ถ้าเป็นการอยู่ดีกินดีที่ไม่ส่งเสริมกิเลสล่ะก็ใช้ได้ มีประโยชน์ น่าบูชา ถ้าว่าการอยู่ดีกินดี มันกลายเป็นทาสของกิเลสท่วมหูท่วมหัวล่ะก็ นั่นแหละคือความวินาศของมนุษย์ ไอ้อยู่ดีกินดีของมนุษย์นั่นแหละ มันใช้ผิดความหมายแล้วมันก็คือไอ้เครื่องทำลายโลก อาตมาจึงพูดว่า ไอ้โลกมันกำลังจะวินาศ ถ้ามันใช้คำว่าอยู่ดีกินดีไม่ถูก
ถ้าใช้ถูกตามหลักธรรมะ เขาเรียกว่ากินอยู่พอดี กินพอดี อยู่พอดี กินอยู่แต่พอดี อันนี้ไม่มีทางผิด ถ้าใช้ว่ากินดีอยู่ดี เผลอนิดเดียวมันผิด มันออกไปนอกขอบเขตของความพอดีแล้วมันก็ผิด มันก็มีกิเลสสำหรับจะเอาเปรียบกัน เดี๋ยวนี้มันถึงขนาดที่ว่าพ่อแม่ของมันมันก็ฆ่าได้นะ พ่อแม่ของมันแท้ๆมันยังทำอันตรายได้ มันยังฆ่าให้ตายได้ ปีหนึ่งปีหนึ่งมีหลายๆ รายในหน้าหนังสือพิมพ์ที่มันฆ่าพ่อฆ่าแม่ของมัน เพราะไม่ให้เงินไปกินเหล้าบ้าง เพราะไม่ให้เงินไปซื้อเฮโรอินบ้าง เพราะไม่ให้เงินไปทำอะไรบางอย่างที่มันเป็นเรื่องของกิเลส เนื่องด้วยอำนาจของกิเลส แล้วทีนี้อาตมาอยากจะพูดว่าไอ้การศึกษานั่นน่ะจะต้องมีความถูกต้อง คือทำให้คนมีศีลธรรม อยากจะพูดว่า อาชีพครู อย่าได้กลายเป็นอาชีพธรรมดาไปเลย ให้เป็นอาชีพของปูชนียบุคคล คือได้บุญด้วย ถ้าเราเป็นครูอย่างถูกต้องมันจะได้บุญด้วยในอาชีพนั้น มีอาชีพน้อยมากที่จะได้บุญพร้อมกันไป อาชีพส่วน..ส่วน..ส่วน..ส่วนมาก มันก็ไม่ได้ได้บุญ ได้เงิน มันเป็นเรื่องได้เงิน ได้ปัจจัยมาเลี้ยงชีวิต อาชีพที่ได้บุญนั้นมันเป็นอาชีพของปูชนียบุคคล เช่น ครู ทำให้มนุษย์มีแสงสว่างมีความประพฤติถูกต้อง มันก็ได้บุญไปด้วย อาชีพของตุลาการ ถ้าเขาเป็นตุลาการที่ดีที่ถูก มันก็ได้บุญด้วย อาชีพของไอ้ผู้ปกครองให้เป็นสุข ถ้ามันทำได้จริง มันก็ได้บุญด้วย แต่ว่าอาชีพแบกกระสอบข้าวสารนี่ มันยากที่จะได้บุญ เพราะว่ามันไม่อำนวย ฉะนั้นก็จะถือว่าเป็นโชคดีที่ว่าเราได้มีอาชีพครู ที่เป็นอาชีพที่จะได้บุญด้วย แต่เพราะอาชีพนี้มีความหมายอีกชนิดหนึ่ง ไม่ใช่อาชีพอย่างแบกกระสอบข้าวสาร หรือถีบสามล้อ หรืออะไรทำนองนั้น จึงต้องเรียกว่าอาชีพของปูชนียบุคคล ไม่ใช่อาชีพของชนกรรมาชีพ ถ้าเรามีอาชีพของปูชนียบุคคล เราก็เรียกว่าได้เกิดมาทีหนึ่งนี้มีบุญ มีบุญมาก ได้อาชีพสูงสุดแล้วก็ได้บุญด้วย เป็นผู้มีราคามากที่สุดด้วย ขอให้สนใจอาชีพของปูชนียบุคคล คือ ทำให้มนุษย์ในโลกมีความสงบสุข โลกจะสงบสุขเพราะมีศีลธรรม มีสันติภาพ และสันติภาพก็มีศีลธรรม มีศีลธรรมเพราะครูทำให้คนมีศีลธรรม ฉะนั้นถ้าดูกันตรงๆ จริงๆ ให้ลึกหน่อย ครูนั้นแหละเป็นผู้สร้างโลกให้ดีหรือเลว เพราะฉะนั้นถ้าครูสร้างคนในโลกให้บูชากิเลสก็ครูเป็นผู้สร้างโลกให้เลว ถ้าครูมันสร้างคนในโลกให้มีธรรมะ มีศีลธรรม มีสันติภาพ ครูนะคือผู้สร้างโลกให้ดี ฉะนั้นพระเจ้าก็สร้างโลกมันอยู่ที่ครู ที่เป็นครูแท้จริงเป็นปูชนียบุคคล สร้างโลกโดยถูกต้อง เดี๋ยวนี้ปัญหา ไอ้ครูมันกลายเป็นชนกรรมาชีพไปเสีย ครูน่ะกลายเป็นทำงานอย่างชนกรรมาชีพ สอนหนังสือหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันหนึ่ง..วันหนึ่ง ยิ่งครูรุ่นหลังยิ่งเป็นอย่างนี้มาก ขออภัยอย่าเพิ่งโกรธ ครูรุ่นหลังน่ะยิ่งรู้จักแต่อย่างนี้ เป็นครูเพื่อเงินเดือนไม่ได้เป็นครูเพื่อบุญเพื่อกุศลอย่างไอ้โบราณ ฉะนั้นขอไปคิดกันเสียใหม่ เราเป็นคนที่โชคดีแล้ว ได้เกิดมามีอาชีพของปูชนียบุคคล มีหน้าที่ทำให้โลกนี้มีสันติสุข มีสันติภาพ อย่าต้องเปลี่ยนเป็นอาชีพอื่นเลย เป็นอาชีพผู้นำทางวิญญาณกันไว้ตามเดิมเถิด
คำว่าครูในอินเดีย เขาแปลว่า ผู้นำทางวิญญาณ ในบ้านเราคงจะแปลอย่างอื่น ในปทานุกรมที่ใช้กันอยู่..คำว่าครูไม่ได้แปลว่าผู้นำทางวิญญาณ แต่ในอินเดียคำว่าครูนี่เขาแปลว่าผู้นำทางวิญญาณ เรียกว่า Spiritual Guide ฉะนั้นครูนั้นมีหน้าที่นำในทางวิญญาณให้มนุษย์เดินไปโดยถูกต้อง ไม่ใช่เพียงแต่สอนหนังสือหากิน ได้โอกาสเมื่อไหร่ก็คอร์รัปชั่น มันไม่เป็นครูแล้ว มันต้องเป็นผู้นำในทางวิญญาณที่ถูกต้อง เมื่อเร็วๆ นี้ มีหนังสือข่าวที่ลงมาว่า การค้นคว้าทางภาษาศาสตร์ รุ่นหลังนี้พบว่าคำว่าครุ คุรุ นี้แปลว่าผู้เปิดประตู..นี้ก็มี ผู้เปิดประตู อันนี้มันยากมากสำหรับเราคนไทยที่จะไปรู้ไอ้ศัพท์แสงอินเดียโบราณดึกดำบรรพ์อย่างนั้น แต่นักศึกษาสัทศาสตร์โบราณที่อินเดียนั่นเขาเกิดพบว่าคำว่าครูนี้แปลว่า ผู้เปิดประตู ผู้ปลดปล่อยภาษาคอมมิวนิสต์ ก็คือผู้ปลดปล่อย ครูแปลว่าผู้ปลดปล่อย ก่อนนี้คนมันถูกขังอยู่ในคอกของกิเลส ของอวิชชา ธรรมดา ตามธรรมดา ถ้าปล่อยไปตามธรรมดา คนก็คือสัตว์ที่ถูกขังอยู่ในความโง่ของตัวเอง มีแต่อวิชชา ถูกขังอยู่ในกรอบของกิเลสของตัวเองก็เรียกว่า ถูกขังกรง ขังคอก ขังเล้า ที่เหม็น ที่มืด ที่สกปรก ที่เหลือที่จะทน สัตว์ที่ไปตามธรรมชาติ โดยปราศจากความรู้มันก็เหมือนสัตว์ที่ถูกขังอย่างนั้น แล้วคนที่มาเปิดประตูให้ออกนั่นน่ะ คนนั้นคือครู คำว่าครูจึงแปลว่าผู้เปิดประตู คิดแล้วมันน่ายกมือไหว้ท่วมหัวทั้งวันทั้งคืนนั่นแหละ มันมีบุญคุณขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเราก็ถืออุดมคติอันนี้ไว้ไม่เสียหลาย เปิดประตู...ให้ลูกเด็กๆ ออกมาเสียจากความโง่ ซึ่งเป็นเหมือนคอก เหมือนเล้า เหมือนอะไร ให้เด็กๆ เขาออกมาเสียได้ จากคอกเล้าชนิดนั้น นั่นแหละคือครู มีความชื่นใจในการกระทำ และเป็นสุขอยู่ในการกระทำ เงินเดือนไม่มีความหมายอะไร มันเพียงเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ ไม่ต้องมีเท่าไหร่หรอกมันก็เลี้ยงชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าครูอยากจะมีชีวิตแข่งกับเทวดาแล้ว เงินเดือนกี่พันกี่ล้านมันก็ไม่พอหรอก มันต้องการบ้าน ต้องการตึก ต้องการรถยนต์ ต้องการอุปกรณ์ มันก็ไม่พอหรอก เงินเดือนเดือนละล้านมันก็ไม่พอหรอก แต่ถ้าเราอยู่อย่างเป็นครูผู้เปิดประตูของสัตว์ เงินเดือนไม่กี่บาทมันก็พอ ไม่กี่สิบบาท ไม่กี่ร้อยบาทมันก็พอ นี่พูดอย่างอัตราเงินสมัยนี้ ครูมีเงินเดือนสักพัน สองพัน มันก็พอแล้วมันจะอยู่เพื่อทำหน้าที่ของครูได้ เพราะว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่อทำหน้าที่ของครู ไม่ใช่ทำหน้าที่เพื่ออยู่แข่งกับพวกเทวดา เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องเล่น เรืองหัว เรื่องเมา เรื่องอะไรต่างๆ เราไม่ต้องการจะแข่งกับเทวดา ก็ไม่ต้องการ ไม่ต้องการเงินมาก ไม่ต้องมีเงินมากก็เป็นครูที่ดีที่สุดได้ แล้วจะยกมือไหว้ตัวเองได้ เวลานั้นน่ะ ประเสริฐที่สุด คือเวลาที่คนเรายกมือไหว้ตัวเองได้นั่นแหละ คือเวลาที่ประเสริฐที่สุด มีความสุขที่สุด
เพราะฉะนั้นขอให้ทำไปในลักษณะที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ ต้องต่อสู้กิเลส ต้องทำลายกิเลส ต้องต่อสู้กิเลส ต้องควบคุมกิเลส จนเราทำถูกต้องหมด เราจึงจะยกมือไหว้ตัวเองได้ พวกครูต้องทำให้ได้ก่อน แล้วพวกครูก็ไปสอนเด็กๆให้ทำได้อย่างนั้นอีกทีหนึ่ง โลกนี้จะมีสันติภาพ ถ้าจะเจริญแต่เรื่องผลิต เรื่องผลิต เรื่องพัฒนา เรื่องสนุกสนาน เรื่องเอร็ดอร่อย ยิ่งทำโลกให้วินาศ พวกครูน่ะคือผู้ทำโลกให้วินาศ เพราะมันสอนกันแต่เทคโนโลยีส่งเสริมกิเลส เทคโนโลยีฝ่ายที่ส่งเสริมกิเลส มันไม่มีเทคโนโลยีฝ่ายที่ทำลายกิเลส เพราะฉะนั้นครูเป็นผู้ทำโลกให้วินาศ อาตมาก็พูดแล้วว่าครูเป็นผู้สร้างโลก แต่ว่าสร้างทางเด็กๆ เราสร้างเด็กๆ ขึ้นมาเป็นพลโลกอย่างไร โลกนี้มันก็เป็นอย่างนั้น ถ้าครูเขาสร้างเด็กๆ มาถูกต้อง เป็นพลโลกที่ดี โลกนี้ก็มีสันติสุข มีสันติภาพ ในความหมายที่ว่า ทุกคน เหมือนกับพ่อแม่เดียวกัน ตามทางศาสนาบัญญัติมาตรฐานว่า ทุกคนเป็นลูกพระเจ้าด้วยกัน มันก็รักกันไม่เบียดเบียนกันอยู่กันเป็นความสุขอย่างยิ่ง หรือว่าข้อความในคัมภีร์อิสลามก็มีว่ามันเป็นร่างกายเดียวกัน คนทุกคนในโลกเป็นร่างกายเดียวกัน แล้วมันก็หยิก ข่วน ตี กันไม่ได้เพราะมันเป็นร่างกายเดียวกัน ชาวพุทธเราก็ว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกัน เมื่อไรมันจะเป็นได้ มันก็ต่อเมื่อทุกคนมีธรรมแล้ว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กิเลสของตัว มันก็รักผู้อื่นได้ เพราะฉะนั้นขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เข้าใจหลักเกณฑ์อันนี้ และถือหลักเกณฑ์อันนี้ แล้วก็ไปอบรมเด็กๆ ลูกศิษย์ลูกหาของเรา ให้เดินไปโดยหลักเกณฑ์อันนี้ และให้เราทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ถูกต้อง เอ้อ อยากจะบอกอีกคำหนึ่งว่า ธรรมะนั้น แปลว่า หน้าที่ ถ้าครูคนไหนมัวแต่สอนเด็กว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าล่ะก็ ช่วยเปลี่ยนซะใหม่เถิดว่า ธรรมะนั้นคือหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำ ถึงแม้ว่าจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านก็ได้สอนเรื่องหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำ ฉะนั้นเอาคำเดิมในอินเดียดีกว่า ธรรมะแปลว่า หน้าที่ ในความหมายเขากว้างออกไปถึงว่า ที่สิ่งมีชีวิตต้องทำ สิ่งใดมีชีวิตสิ่งนั้นมีหน้าที่ และหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตนั้นคือธรรมะเพราะฉะนั้นคนก็ต้องทำ เทวดาก็ต้องทำ สัตว์เดรัจฉานก็ต้องทำ ต้นไม้ต้นไร่ที่มันมีชีวิตมันก็ต้องทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นการทำหน้าที่นั้นคือ ธรรมะ
เราสอนลูกเด็กๆ ของเราว่า ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ให้ดีแล้วก็มีธรรมะ ไม่ต้องมาวัดก็ได้ ทำที่บ้านก็ได้ ทำที่โรงเรียนก็ได้ ทำกลางนากลางไร่กลางสวนก็ได้นะ แต่ขอให้ทำหน้าที่ นั่นคือธรรมะ ธรรมะ คำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องทำหน้าที่ทั้งนั้น เรื่องให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ ทำวิปัสสนา บรรลุมรรคผล นิพพาน เป็นหน้าที่ของมนุษย์ตั้งแต่ต่ำสุดจนถึงสูงสุด ฉะนั้นช่วยบอกว่าธรรมะคือหน้าที่ ฉะนั้นทุกคนทำหน้าที่ที่ไหนเมื่อไหร่ก็มีธรรมะที่นั่น และเมื่อนั่น ทำที่ไร่ ที่นา ที่ป่า ที่บ้าน ที่ไหนก็ได้ไม่ต้องมาที่วัด แต่ว่าที่วัดนี่มันให้ความสะดวก หรือว่าสอนเรื่องหน้าที่ สอนเรื่องหน้าที่กันอย่างสะดวก แล้วก็มาวัดมาเรียนเรื่องหน้าที่ แล้วไปทำที่ไหนก็ได้ ฉะนั้นขอให้ช่วยสอนให้ลูกเด็กๆ รู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ แล้วเด็กๆขยันที่จะทำหน้าที่ของเด็ก ของมนุษย์ แล้วก็จะมีแต่ความถูกต้อง เดี๋ยวนี้ปัญหาเรื่องความยากจนเพราะคนมันไม่ทำหน้าที่ มันอยากจะรวยลัด มันขโมย มันจี้ มันปล้น มันไม่ทำหน้าที่ มันก็จน มันก็ต้องทำอาชญากรรม ปล้น จี้ ลักขโมย เดี๋ยวนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับล่ะ ไปดู ทุกวันเลยทุกฉบับน่ะมีเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ ฉบับละหลายๆ เรื่องต่อหนึ่งวันน่ะคิดดู ยังอีกกี่เวลาเท่าไหร่ล่ะ อันนี้ก็จะจบอยู่แล้วล่ะ พอดี จะจบอยู่แล้ว แสดงว่า สนใจเรื่องที่ชุมพรมากกว่าเรื่องธรรมะ สนใจเรื่องชุมพรมากกว่าเรื่องหน้าที่ของมนุษย์
ฉะนั้นขอให้มีธรรมะคือการทำหน้าที่ ทำหน้าที่แล้วเราก็จะไม่ยากจน ปัญหาที่รัฐบาลจะทำให้ประชาชนไม่ยากจนน่ะ แต่ไม่สอนให้ทำหน้าที่ ไปพัฒนาสิ่งส่งเสริมกิเลสให้ประชาชน ประชาชนก็จะยากจนยิ่งขึ้นไป ขอให้สอนให้ทำหน้าที่แล้วไม่ยากจน ก็กิน ก็ใช้แต่พอดี เหลือก็ไปช่วยผู้อื่น นี่แก้ปัญหาหมดทั้งโลก เราเรียกว่าอุดมคติของ ธัมมิกสังคมนิยม เขาเรียกกันแปลว่าสังคมนิยม เราเติมเข้าไปคำว่า ธัมมมิกสังคมนิยม สังคมนิยมที่ประกอบไปด้วยธรรม ยอมรับนับถือคนทุกชั้นในโลกนี้มีคนมากชั้น ไม่ใช่มีแต่นายทุนกับกรรมกร ปรัชญาทางการเมืองเขามีแต่ นายทุน กรรมกร มีคนสองชั้น แก้ปัญหาให้ตายก็มันแก้ไม่ได้ เพราะว่ามันมีคนมากกว่านั้น เพราะฉะนั้นขอให้มุ่งหมายทำให้เป็นสุข ตั้งแต่ว่าคนจนที่สุด คนขอทาน คนอะไรเรื่อยไป คนเป็นพระมหาจักพรรดิ์ ต้องอยู่เป็นสุขกันทั้งนั้น เราเรียกว่า ธัมมิกสังคมนิยม ให้แถมลงไปถึงมด แมลงด้วย ให้มันอยู่กันสุขด้วย สูงขึ้นไปถึงเทวดาด้วย ให้มันอยู่เป็นสุขกันทั้งมด แมลง ขึ้นไปถึงเทวดา เรียกว่า ธัมมิกสังคมนิยม แปลว่า เนื่องด้วยธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ แล้วช่วยไปสอนให้ลูกเล็กๆ บูชา การทำหน้าที่ นั้นคือ ธรรมะ แล้วเขาจะไม่ยากจน แล้วเขาจะมีเหลือสำหรับรักผู้อื่น ก็อยู่กันเป็นผาสุก ขอให้ใช้เทคโนโลยีในการให้คนทำหน้าที่ ที่ควรกระทำ เหลือกิน เหลือใช้แล้วก็มีเทคโนโลยีในการพัฒนาเพื่อผู้อื่น แล้วก็หมดปัญหาแล้วทุกคนจะมีแต่ความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องอยู่เป็นผาสุกทุกทิวาราตรีเป็นแน่นอน เวลามีจำกัด ให้พูดก็พูดเพียงเท่านี้ ก็ขอยุติการพูดไว้ด้วยความหวังว่า ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะเอาไปคิด ไปนึก ว่าเราจะทำหน้าที่ของครูบาอาจารย์อย่างไรจึงจะเป็นปูชนียบุคคล ยกมือไหว้ตัวเองได้ ขอให้เป็นอย่างนั้น และมีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ