แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาล่ะ เอาเป็นอันว่าจะขอพูดต่อจากที่พูดครั้งแรกเมื่อวาน ที่ว่าสัตว์ชนิดหนึ่งสูญพันธุ์แล้วเหลือแต่ชื่อคือ ไดโนเสาร์ คือมนุษย์ และคือครู มนุษย์ที่แท้จริงครูที่แท้จริงเหลืออยู่แต่ชื่อ นี่สัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งเหลืออยู่แต่ชื่อ ทีนี้จะพูดโดยหัวข้อว่า สัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งควรกลับมากลับเกิดมาใหม่ ก็คือมนุษย์อีกนั่นแหละ มีความจำเป็นที่จะต้องกลับมา เป็นสัตว์ในโลกนี้ เพื่อทำโลกนี้ให้มีความสงบสุข คือมนุษย์ที่แท้จริงต้องกลับมา ครูที่แท้จริงต้องกลับมา หรือว่าเศรษฐีจะต้องกลับมา อริยชนจะต้องกลับมา ที่ว่ากลับมาให้มีตัวจริงอย่าให้มีอยู่แต่ชื่อ เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสูง ตามความหมายของคำว่ามนุษย์ และก็สูงตามหลักของพุทธศาสนา มีมนุษยธรรม คือมีการกระทำที่ทำให้ใจสูง จนไม่มีปัญหา ทว่าใจมันสูงมันก็ไม่มีปัญหาไม่จมอยู่ภายใต้โลกียธรรมซึ่งเป็นเหยื่อหลอกลวงมนุษย์ ทำให้มนุษย์นั้นจมอยู่ในโลกดังที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ขอให้มนุษย์ชนิดที่มีจิตใจสูงอยู่เหนือการหลอกลวงของโลกจนมีความทุกข์ เรียกว่าจมอยู่ใต้โลก ไอ้มนุษย์ชนิดนี้ที่ถูกต้องตามความหมายคำว่ามนุษย์นี่กลับมา สัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งควรกลับมา สัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งควรกลับมาก็คือครูที่เป็นปูชนียบุคคล ครูที่เป็นปูชนียบุคคลนี่เป็นที่บูชาของโลก เป็นผู้นำทางวิญญาณ เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณเหมือนที่กล่าวแล้วทีแรก ขอให้มีการติดครู มีการใช้ครู ที่สามารถจะทำให้มนุษย์นี้มันรอดตัวได้ เวลานี้อยู่ในสภาพที่ไม่มีอุดมคติของครู คือครูหนุ่มสาวบางคนดูไม่ออกว่าเป็นครูหรือเป็นดาราหนัง มันก็บอกได้เลยว่าไม่มีอุดมคติของครู ถ้าเป็นครูมันก็ต้องมีอะไรที่เป็นการนำที่ถูกต้อง นับตั้งแต่การแสดงภายนอกคือที่เนื้อที่ตัว การแต่งตัว กิริยามารยาท ทุกอย่างน่ะ และก็มีการกระทำ ที่เป็นตัวอย่างได้ ว่ามนุษย์จะต้องทำกันอย่างนี้ เช่นว่าสนุกสนานในการทำงาน ก็มีความคิดถึงผู้อื่นซึ่งเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เป็นผู้ที่แก้ปัญหาของมนุษย์ในโลกทั้งโลกได้หมด นี่ครูตามอุดมคติของครูในลักษณะอย่างนี้ และก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ควรกลับมา ที่นี้ก็จะเรียกคนอีกพวกหนึ่งคือ พวกเศรษฐี เศรษฐีเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ต้องกลับมา คงจะฟังไม่ออกถ้าไม่ทราบว่า คำว่าเศรษฐีนั้นหมายความว่าอย่างไร อุดมคติของเศรษฐีตรงตามคำๆนี้ ซึ่งมีมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลนั้นพิเศษมาก จนเดี๋ยวนี้ไม่มีเศรษฐีตามอุดมคตินั้น เขามักจะถือกันว่าคนมีเงินมากเกินแล้วก็เป็นเศรษฐี แต่เศรษฐีตามอุดมคติของพุทธบริษัทนั้นไม่มีต้องมีเงินมากก็ได้ หรือจะมีเงินมากด้วยก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ก็มีอุดมคติว่า ผลิตให้มาก กินใช้แต่พอดี เหลือช่วยผู้อื่น นี้คืออุดมคติของเศรษฐี ตามที่ปรากฏอยู่ในบาลีอรรถกถา เศรษฐีเขาก็มีคนใช้ ข้าทาส บริวาร เลี้ยงกันเหมือนลูกเหมือนหลาน จึงไม่มีปัญหา เพราะเศรษฐีเขารักคนใช้ ข้าทาส บริวารเหมือนลุกเหมือนหลาน ทำงานด้วยกัน กินด้วยกัน ไปวัดด้วยกัน อะไรด้วยกัน เขาจึงอยู่กันอย่างความรักสามัคคี จึงเป็นการง่ายที่จะทำงานด้วยความรักสามัคคีแล้วก็ได้ผลงานมาก กินอยู่แต่พอดี เหลือสำหรับจะไปช่วยผู้อื่น นี้อุดมคติของเศรษฐี เงินเหลือใช้เอาไปตั้งโรงทาน เศรษฐีจึงคู่กับโรงทาน ถ้าไม่มีโรงทานก็ไม่ใช่เศรษฐี จึงแก้ปัญหาเกี่ยวกับคนไม่มีอาหารกินนี้ได้มาก และเงินจำนวนหนึ่งก็ฝังซ่อนไว้ใต้ดิน จะไปขุดเอามาแก้ปัญหาเมื่อเงินมันขาดมือ นี่เศรษฐีเขาทำกันอย่างนี้ ทำเงินมาก ผลิตมาก กินแต่พอดีที่เหลือเอามาช่วยสังคม ด้วยการตั้งโรงทาน และมีทุนสำรองไว้สำหรับช่วยโรงทาน ทีนี้คนมั่งมีสมัยนี้เขาเรียกกันว่านายทุน มีเงินมากเก็บได้มากหาได้มาก และก็เพิ่มทุนเรื่อยอีก และก็กินมาก กินมากหล่อเลี้ยงกิเลสให้อ้วน เงินก็ยังเหลือมากต้องเอาไปเพิ่มทุนมาก ก็หากำไรมาก ทุนก็มากจนมีเงินล้นฟ้านั้นก็เรียกว่านายทุน ดูให้ดีเถอะว่าเศรษฐีกับนายทุนต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน เมื่อเกิดนายทุนขึ้นในโลกก็เกิดคนต่อต้านคือพวกคอมมิวนิสต์ต้องการจะทำลายล้างนายทุน ปัญหาคาราคาซังมาเป็นสิบสิบปีจนกระทั่งวันนี้ ก็ยังไม่หมด ปัญหาที่พวกคอมมิวนิสต์จะทำลายนายทุน ก็พอคิดดูกันเสียเถิดว่าเป็นอยู่กันอย่างเศรษฐีจะเกิดคอมมิวนิสต์ได้อย่างไร ถ้าในโลกนี้มันมีแต่คนอย่างที่เรียกว่าเศรษฐีที่พูดถึงนี้ มันไม่มีทางหรอกที่จะเกิดคอมมิวนิสต์ขึ้นมาได้ เพราะว่าเศรษฐีหามากกินแต่พอดี เหลือไปช่วยคนอื่น คอมมิวนิสต์ก็เกิดไม่ได้ นี้ถ้าเกิดนายทุนเห็นแก่ตัวมันก็ต้องเกิดคอมมิวนิสต์ นายทุนเกิด นายทุนน่ะเป็นต้นเหตุให้เกิดคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์เกิดมาจากนายทุน ถ้าไม่มีนายทุน คอมมิวนิสต์ก็ไม่เกิดขึ้นมา ฉะนั้นพุทธบริษัทไม่มีทางที่จะเป็นนายทุน เพราะถือหลักในทางเศรษฐกิจว่าผลิตมาก กินแต่พอดี เหลือไปช่วยคนอื่น นายทุนไม่อาจจะเกิดขึ้นมาในโลก ศาสนาอื่นก็เป็นอย่างนั้น ศาสนาถูกทอดทิ้งถูกละเลยไปเสีย ถ้าเกิดมีคนที่ไม่ถือศาสนาเห็นแก่ตัวจัด พวกนายทุนจึงเพิ่งเกิดขึ้นมาในโลก มันก็พอดีว่าต้องเกิดคอมมิวนิสต์ขึ้นมาปราบกัน นี่ขอให้มองในส่วนที่ว่าถ้ามีแต่เศรษฐีแล้วก็ คอมมิวนิสต์ก็ไม่เกิดขึ้นในโลก ไม่อาจจะเกิดได้ เพราะมีนายทุนจึงเกิดคอมมิวนิสต์ ถ้าเราทำให้มีกันแต่เศรษฐี คอมมิวนิสต์ก็ว่างงาน คอมมิวนิสต์ก็ไม่มีงานทำ ถ้าในโลกนี้มันมีกันแต่เศรษฐี ถ้านายทุนยังมีอยู่ในโลก คอมมิวนิสต์ก็ไม่ว่างงานคอมมิวนิสต์ก็มีงานทำเรื่อยไปแหละ แล้วก็จะรบราฆ่าฟันกันอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด อาตมาจึงว่าเศรษฐีก็คือสัตว์ในจำพวกที่ต้องกลับมา มนุษย์กลับมา ครูกลับมา เศรษฐีกลับมา เรื่องของเศรษฐีเป็นอุดมคติทางจิตทางธรรม เรื่องของนายทุนเป็นอุดมคติทางวัตถุ ทางร่างกาย นี้อริยะชนมันก็คือผู้มีธรรมะถึงขนาดที่จะเรียกว่าอริยะชน ก้าวหน้าถึงจุดสูงสุดทางวิญญาณ ถ้ามีอริยะชน คนในโลกเป็นอริยะชน โลกนี้ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่ จะมีลักษณะเป็นศาสนาพระศรีอริยเมตตรัย ยิ่งไปกว่าศาสนาของพระศรีอริยเมตตรัย มันก็คำๆเดียวกันนั่นแหละ อาริยะ กับ อริยะน่ะ คือมันประเสริฐ ก็มีความถูกต้องอยู่ทุกกระเบียดนิ้วทางการกระทำ ทางการพูดจา ทางการคิดนึก มีความถูกต้องหมด เราเรียกกันว่าอริยชน ขอให้สัตว์ชนิดนี้เกิดขึ้นมาอีก มันเคยมีในครั้งพุทธกาลมาก มันก็หายๆไป จงมาเป็นสัตว์ศีลธรรมตัวอย่าง เป็นสัตว์ที่มีศีลธรรมเป็นสัตว์ที่ดำรงไว้ซึ่งศีลธรรม เกื้อกูลแก่ศีลธรรม และมาช่วยแก้ไขศีลธรรมที่มันตกต่ำในพวกที่ไม่มีศีลธรรม วันก่อนพุดเรื่อง สัตว์ชนิดหนึ่งตายหมดแล้วเหลือแต่ชื่อ คือไดโนเสาร์ คือมนุษย์ที่แท้จริง คือครูที่แท้จริง วันนี้ก็จะเรียกกลับมา ขอให้กลับมา นี่สัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งควรกลับมา มีความจำเป็นอย่างยิ่งแล้วที่จะต้องกลับมา ไม่อย่างนั้นโลกาก็จะวินาศ มนุษย์สัตว์มีใจสูงอยู่เหนือกิเลสเหนือความทุกข์ จะอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง จงรีบกลับมา และมีขึ้นมาในโลก มีธรรมะ คนก็กลายเป็นมนุษย์ มีศีลธรรมกลับมา คนก็มีจิตใจสูง มนุษย์ก็กลับมาได้เพราะว่ามีศีลธรรมกลับมา ไม่มีธรรมะคนก็กลายเป็นผี ศีลธรรมมีผีก็กลายเป็นมนุษย์ ไม่มีธรรมะคนนี่คนตามธรรมดานี่กลายเป็นผีหมด คือเลวร้ายในทางจิตใจ การประพฤติ การกระทำ ธรรมะไม่มีคนกลายเป็นผี ถ้าธรรมะมีผีกลายเป็นคน คนกลายเป็นมนุษย์ ฉะนั้นอย่าไปกลัวผีที่ไหนมันมากไปน่ะ กลัวผีที่คนที่ไม่มีธรรมะน่ะ นั้นน่ะคือผีที่น่ากลัว ผีในป่าช้าที่กลัวกันนัก ไม่มีน่ะ ไม่มีเรื่องที่ต้องกลัว ไม่ทำอันตรายอะไรได้ แต่ผีคือคนที่ไม่มีศีลธรรม นั้นน่ะน่ากลัวทำอะไรได้ร้ายกาจมาก ทำอะไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้ และมันอยู่ปนกับหมู่คนนี่ มันจึงทำอันตรายได้ง่าย ตามถนนหนทางก็ได้ บนรถเมล์ก็ได้ บุกขึ้นไปถึงบนเรือนก็ได้นี่ คือผีที่แท้จริง ได้แต่คนที่ไม่มีศีลธรรม ควรจะหมดไป ให้มีธรรมะกลับมา ให้ผีกลายเป็นคนเสียก่อนในขั้นหนึ่งนี่ มีธรรมะกลับมาผีเหล่านี้ก็กลายเป็นคน มีธรรมะขั้นที่สูงขึ้นไปคนก็กลายเป็นมนุษย์ มีธรรมะที่สูงขึ้นไปคนกลายเป็นมนุษย์ มนุษย์นี่จะกลับมา ก็มีมนุษย์กันเสียก่อน ครูจึงจะเกิดขึ้นมาได้ ต้องเป็นมนุษย์ชั้นพื้นฐานให้ได้กันเสียก่อนแล้วก็จะมีครู ผู้สามารถเปิดประตูในทางวิญญาณให้มนุษย์มีแสงสว่างเดินไปถูกทาง ครูก็เป็นผู้นำทางที่ดี นี่เรียกว่าผู้นำในทางวิญญาณ เปิดประตูคอก ของกิเลส ตัณหา อวิชชาได้ ให้สัตว์ออกมาเสียจากคอกของกิเลสตัณหา อุปาทาน หรืออวิชชา สิ่งเหล่านั้นเป็นคอก ครูสอนมนุษย์ให้รู้จักสิ่งเหล่านั้น นั่นน่ะคือการเปิดประตู ว่าที่จริงตามหลักธรรมะนั้นมันเป็นสัจธรรม ของใครใครก็ทำ ของใคร ใครก็ทำ ทำแทนกันไม่ได้ แต่ว่าครูสามารถสอนให้คนอื่นรู้จักออกมาจากคอก ในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านเปรียบไว้เหมือนอย่างว่าแม่ไก่ฟักไข่ แม่ไก่มีหน้าที่ฟักไข่ถูกต้องตามธรรมชาติ ลูกไก่มันก็เจริญเติบโต มันก็ถีบกระเปาะฟอง ทำลายกระเปาะฟองออกมาเป็นลูกไก่ได้ แม่ไก่ไม่ต้องทำ นี้มันเหมือนกับครูสอนให้เขารู้ ให้เขาออกจากมืด ความมืดคืออวิชชา นี้ก็เหมือนกับว่าแม่ไก่กกไข่ดีเรื่อยๆไป ไข่เจริญถึงที่สุดแล้ว ทำลายกระเปาะฟองออกมาได้ แม่ไก่จะปรารถนา หรือไม่ปรารถนาไม่สำคัญหรอก เท่ากกไข่ดี ไข่เป็นลูกไก่ทั้งนั้นเลย แล้วสามารถจะถีบเปลือกไข่ให้แตกกระจายออกมาเป็นตัวลูกไก่เดินได้ข้างนอก ครูก็ช่วยกันทำลายเปลือกไข่ คือความโง่ ความหลง อวิชชาต่างๆ นานา แล้วก็ช่วยให้เขารู้จัก ก็คือเหมือนกับกกไข่ให้ถูกต้องถึงที่สุด ลูกไก่ก็ออกมา เราก็ช่วยให้เขารู้จักผิดชอบชั่วดีจนถึงที่สุด เขาก็ละไอ้ สิ่งเลวร้ายทั้งหลายได้ ละอวิชชาตัวการซะได้ก็ออกมาเป็นมนุษย์ที่น่าดู มนุษย์ที่งดงาม นี่ครูที่เป็นปูชนียบุคคลเป็นอย่างนี้ ถ้าครูสอนลูก ครูที่เป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ หนึ่งก็เป็นอย่างอื่นสิ แต่ถ้าครูที่เป็นปูชนียบุคคลน่ะมันเป็นอย่างนี้ มันทำให้คนออกมาซะจากคอก จากเล้าแห่งความมืด ความชั่วอันแสนจะสกปรก แสนจะเหม็น แสนจะมืดมัว ออกมาซะได้จากคอกนี้ได้ พอเปิดประตูน่ะ สัตว์มันก็ออกมา เพราะมันไม่อยากเหมือนกัน ไม่อยากจะอยู่ในคอก เดี๋ยวนี้มนุษย์มันหมดไป ไม่มีสติปัญญาอย่างมนุษย์ มีแต่สติปัญญาอย่างคน ไปโลกพระจันทร์ได้มันก็ไม่แก้ปัญหาอะไรได้เลย อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ต่างๆ มันก็ไม่แก้ปัญหาอะไรได้เลย มันมีแต่สร้างปัญหามากกว่า จะทำให้คนโง่ลงไปทุกทีด้วย นั่นแหละคือคอกน่ะ มีคอกมากขึ้นมีคอกล้อมหนาแน่นขึ้น ถ้าจะเปรียบได้กับประตู ประตูมันก็ปิดมากขึ้นจนขึ้นสนิมตายไปเลยเปิดไม่ได้เหมือนที่พูดแล้ววันก่อน ฉะนั้นครูเขาจะต้องสามารถช่วยให้มีสติปัญญามีความรู้จนพังทลายไอ้เครื่องกักขังเหล่านั้นออกมาได้ อย่างน้อยก็สอนให้รู้ว่าไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุน่ะ แม้จะไปโลกพระจันทร์ได้มันก็ไม่แก้ปัญหาของมนุษย์ มนุษย์ยังมีความทุกข์เท่าเดิม มีความรู้ไปโลกพระจันทร์ได้เพื่อแสวงสันติภาพนี่ มันไม่พบหรอก และอาตมาก็ก็เปรียบเทียบความข้อนี้ว่ามันมีผลเท่ากับขี่เครื่องบินไอพ่นไล่จับตั๊กแตน ขอให้ทำภาพพจน์เอาเถอะว่าขี่เครื่องบินไอพ่นไล่จับตั๊กแตน มันได้อะไรคุ้มค่ากันเล่า และมันก็จะไม่ได้ด้วยซ้ำไปมันเกินไป คนไทยแต่ก่อนก็พูดว่าขี่ช้างจับตั๊กแตน นั่นเขาก็ด่าอย่างเจ็บปวดแล้วนะว่า ไอ้ชาติโง่ขี่ช้างจับตั๊กแตน คนสมัยนี้โง่กว่านั้นคือขี่ไอพ่นจับตั๊กแตน ความก้าวหน้านั้นทำให้ยิ่งโง่นะ ไม่ใช่ยิ่งฉลาด เพราะเขาใช้กิเลสเป็นเครื่องนำ นำความก้าวหน้า ความก้าวหน้านำไปสู่ความโง่ ยิ่งนำไปสู่ความทุกข์ มันก็ยิ่งสร้างปัญหา ไปโลก โลกต่างๆ ไปโลกพระจันทร์ได้ก็ไม่หมดปัญหา ยิ่งสร้างปัญหา แทนที่จะทำเพื่อสันติภาพหรือสงบสุข มันก็ทำเพื่อยุ่งยากมากขึ้นทุกที นี่ขอให้เราดูกันให้ดีๆ ไอ้ความที่ขาดธรรมะแล้วคนไม่เป็นมนุษย์นี่ เป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด ศาสนาเกิดขึ้นมาตามกฎของธรรมชาติ ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แก้ปัญหาของมนุษย์ได้ มีความสุขสงบเย็นกันอยู่ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง เพราะอำนาจของศาสนา ต่อมาสติปัญญามันแหวกแนวไปจับฉวยเอาสิ่งที่ส่งเสริมกิเลส เอร็ดอร่อยแต่กิเลส และไปชิมเข้ามันเลยติด ติดเข้าก็เลยเกลียดศาสนา หันหลังให้ศาสนา แล้วก็ไปหันหน้าให้ไอ้สิ่งที่ส่งเสริมกิเลส มนุษย์ก็เริ่มต้นส่งเสริมสิ่งที่เป็นปัจจัยของกิเลสน่ะคือวัตถุทั้งหลายที่ทำให้เกิดความยินดีเป็นสุขสนุกสนาน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งเราเรียกกันว่าความสุขทางเนื้อหนัง นี้ทั้งโลกบูชาความสุขทางเนื้อหนังไม่หวังที่ได้ความสุขจากพระเจ้าหรือจากพระศาสนาก็เลยเป็นปัญหาใหม่ คือเป็นปัญหาไปเป็นทาสของความอร่อยจากวัตถุ เรียกว่าเป็นทาสของวัตถุ กิเลสก็รวย กิเลสก็อ้วน กิเลสก็พี กิเลสก็ครอบงำโลก ดึงคนไปหากิเลสหมด มนุษย์ก็ไม่มี มีแต่คนที่เป็นทาสของกิเลส ศาสนาก็ช่วยไม่ได้สิ นี้ไปโทษว่าศาสนาช่วยไม่ได้ ก็เพราะคนมันลบล้างศาสนา ละเลยศาสนา หันหลังให้ศาสนา ไม่มีใครรักกันเหมือนสมัยที่มนุษย์มีศาสนา ศาสนาพุทธนี้ถือว่าทุกคนเป็นเพื่อนนะ เพื่อน เขาใช้คำว่าเพื่อน เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นเพื่อน ศาสนาคริสต์ยังดีไปกว่านั้น ถ้าศาสนาคริสเตียนถือว่าทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า เป็นไร เป็นมีพ่อคนเดียวกัน เป็นลูกร่วมบิดามารดากัน มันก็ยิ่งกว่าเป็นเพื่อนอีก ศาสนาอิสลามก็ยังดีกว่านั้นอีก ไปไกลกว่านั้นอีก มีคำว่า (อุมมะฮ์ อุมมะฮ์ อัยยะคัม นาทีที่ 26.40 ) ซึ่งแปลว่าคนทุกคนมีร่างกายเดียวกัน คนทุกคนในโลกทั้งปวงนี่มีร่างกายเดียวกันคือเป็นตัวเดียวกัน เป็นแต่เพียงลูกร่วมพ่อแม่กัน หรือเป็นเพื่อนกัน นี่ใช้คำว่าเป็นตัวเดียวกัน เป็นร่างกายเดียวกัน แต่ชาวอิสลามในอิรักอิหร่านกำลังฆ่ากันใหญ่ ก็เพราะไม่ได้ใช้อุดมคติแห่งศาสนาของตนนั่นแหละ นี่ก็ดูเถอะแม้ว่าศาสนาจะได้วางไว้ดีแล้ว เคยประพฤติกันอย่างดีแล้วก็มาแพ้แก่วัตถุนิยม หันหลังให้ศาสนา แล้วแย่งกันกอบโกยด้วยกิเลสตัณหา ก็ได้ฆ่ากัน ชาวพุทธนี่ยังฆ่ากันน้อย ทั้งที่เราถือว่าเป็นแต่เพียงเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายก็ยังฆ่ากันน้อยกว่าชาวมุสลิมที่ทุกคนถือว่ามีร่างกายเดียวกัน ธรรมะมันอยู่ที่ไหนขอให้ลองคิดดู มันก็มีอยู่ในธรรมชาติ ค้นพบ นำมาสอน และปฏิบัติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นมนุษย์เราก็มีความสุข นี้มันเป็นเพียงยุคเดียวสิ มันเป็นเพียงยุคเดียว แล้วต่อมามันก็เปลี่ยนเป็นยุคที่หันหลังให้ธรรมะมากขึ้น มาติดไอ้ความสุขทางวัตถุยิ่งกว่าติดเฮโรอีน เฮโรอีนเป็นยาเสพติดที่มีฤทธิ์ มี
ฤทธิ์น้อยกว่าความสุขทางวัตถุ คือสุขทางกามารมณ์ มันเสพติดยิ่งกว่าเฮโรอีน ไม่ดูให้ดี เดี๋ยวนี้มนุษย์ไปเสพติดรสของวัตถุจนลืมพระเจ้า ลืมศาสนา ลืมธรรมะ หรือลืมทุกสิ่ง ที่เป็นที่ตั้งแห่งความสงบสุข ก็เพราะว่าละ เริ่มละจากศาสนาไปโดยการล่อลวงของวัตถุของเหยื่อ ของกิเลส ก็เลยเกิดสภาพที่ตรงกันข้าม เดี๋ยวนี้ก็มีความทุกข์ทั่วไปทุกหัวระแหง นี่ดูดูแล้วก็น่า น่าเศร้า ไม่ ไม่รู้ว่ามันจะแก้กันอย่างไรไหว ไม่รู้ว่าจะแก้ไขกันอย่างไรไหวในการที่จะทำให้มนุษย์กลับไปสู่ความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ คือความมีศีลธรรม ถ้าปล่อยไปอย่างนี้ความเห็นแก่ตัวก็มากขึ้นมากขึ้น ก็ทำลายล้างกันวันหนึ่ง ถึงขนาดที่เรียกว่า โลกวินาศกันแน่นอน เราอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ได้เห็นก็ได้แต่ว่าเชื่อว่าถ้าขืนอยู่กันอย่างนี้แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ โลกจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัวมันขึ้นถึงสุดขีด ความเป็นมนุษย์ไม่เหลืออยู่ ความเป็นคนไม่เหลืออยู่ เหลืออยู่แต่ผี ธรรมะไม่มี คนกลายเป็นผีหมด เหลืออยู่แต่ผี ฟังดูแล้วก็น่ากลัว ถ้าในโลกนี้ มันมีเหลืออยู่แต่ผี คนก็ไม่มีอย่าว่าแต่มนุษย์น่ะ มันจะน่ากลัวน่าหวาดเสียวสักเท่าไหร่ เหมือนอย่างว่าอันธพาลมากขึ้น อันธพาลมากขึ้นในประเทศเรานี่ มันก็ดูเถิดว่ามันน่าวิตกสักเท่าไร ที่ประเทศอื่น ที่เมืองอื่นเขาก็ว่าไม่ ไม่ดีไปกว่าเมืองไทย ที่เลวร้ายกว่าเมืองไทยก็จะมี ที่อันธพาลเต็มไปทั่วทุกหัวระแหงมันก็มี ใครสร้างอันธพาลเหล่านี้ขึ้นมาก็คือ ความผิดพลาดในทางศีลธรรม ไปกินเหยื่อของกิเลส หรือของพญามาร คือเหยื่อของกิเลส หรือของพญามารได้รับการส่งเสริม มีความต้องการมากแล้วมันก็ผลิตขึ้นได้มาก เดี๋ยวนี้เขามีเครื่องจักรมโหฬาร ผลิตสิ่งบำรุงบำเรอกิเลสของมนุษย์ ขายดียิ่งกว่าสิ่งใดในโลก ขอให้สังเกตด้วยว่าไอ้สิ่งที่ทำลายมนุษย์น่ะกลับผลิตขึ้นมามาก และก็ขายดียิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และโลกนี้มันจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าเราพูดว่า ถ้าว่าคนไทยเราอยู่ในศีลธรรมเท่านั้นแหละ ประเทศชาติก็จะไม่ขาดดุลการค้าปีละหลายหมื่นล้านบาท แต่รัฐบาลก็ไม่เชื่อ อาตมาก็พูดบ้าอยู่คนเดียว ถ้าเรามีศีลธรรมเท่านั้นแหละจะไม่ขาดดุลการค้าปีละหลายๆหมื่นล้านบาท มันเรื่องความสนุกสนาน ความสุขสนุกสนานทางวัตถุทางเนื้อหนังทั้งนั้น แม้ว่าจะซื้อเครื่องจักร เครื่องจักรมาก็มาสร้าง เหยื่อของกิเลสทั้งนั้น มันไม่ได้แก้ปัญหาโดยตรง นี่เรียกว่าตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ของพญามาร อบายมุขทั้งหลายน่ะเดี๋ยวนี้มันมีมากเกินกว่าหกอย่าง นับไม่ไหวอบายมุข เราอยู่ใต้อบายมุข คือใต้อาจความครอบงำของอบายมุข มันมากขึ้นมากขึ้น ฉะนั้นขอให้ช่วยกันเอาไปคิด คิดคิดเพื่อว่าอย่าให้พลัดเข้าไป เข้าไป ในกลุ่มนั้นน่ะ คิดว่าอย่าพลัดเข้าไปในกลุ่มนั้น ระวังให้ดีอย่าพลัดเข้าไปในกลุ่ม ตกอบาย ขอให้มีความคิดที่จะดึงตัวเองไว้ ยึดเอาตัวไว้ อย่าให้พลัดเข้าไปในกลุ่มนั้น หน้าที่อย่างนี้มันจะเอาไปให้ใครล่ะถ้าไม่ใช่พวกครูที่แท้จริง ครูที่แท้จริง ไม่ใช่ครูที่ดูไม่ออกว่านี่เป็นดาราหนังหรือเป็นครู ที่เขาไปแต่งตัวกันสวยงามอย่างนั้นก็เพื่ออะไรเล่า มันก็เพื่อหลงใหลในสิ่งนั้นแล้ว เงินเดือนไม่พอใช้ก็ต้องประชุมกัน แอนตี้รัฐบาลให้ขึ้นเงินเดือนแน่นอนนะ ทำกันไม่มีที่สิ้นสุดน่ะ ต้องเรียกร้องให้ขึ้นเงินเดือนอีกไม่มีที่สิ้นสุด นี่ครูเขาทำกันอย่างนี้ แล้วจะเปิดประตูทางวิญญาณได้อย่างไร ครูทั้งหลายเป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ว่าเป็นลูกจ้าง กรรมกร ครูมีความรู้ มีสติปัญญา มีความเสียสละ อดกลั้น อดทน เปิดประตูทางวิญญาณให้สัตว์ออกมาเสียจากสิ่งที่เลวร้ายเหล่านั้น ฉะนั้นขอให้เกิดครูชนิดนี้เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นโดยเร็วเถิด อาตมาเรียกว่าครูกลับมา ที่สูญหายไปนั้นขอให้กลับมา กลับมาได้ในยุคพวกเรานี้ก็จะดีมาก ขอให้คนกลายเป็นมนุษย์ มนุษย์ก็กลายเป็นครูที่ดี ช่วยสอนในอุดมคติของเศรษฐี ขอให้อาจารย์ทั้งหลายสอนในอุดมคติของเศรษฐีว่า เราเป็นเศรษฐีกันได้ทุกคน ไม่ต้องมีเงินมากมายมหาศาลหรอก ขอให้เราปฏิบัติเพียงว่า สนุกในการทำงานสนุกในการผลิตเพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาติ มีสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ สนุกในการทำงาน เป็นสุขอยู่ในการทำงานก็ผลิตได้มาก กินแต่พอดี มันก็ต้องเหลือแน่ เหลือสำหรับไปช่วยเหลือผู้อื่นแน่ ฉะนั้นใครทำได้อย่างนี้เป็นเศรษฐีทั้งนั้นแหละ แม้ว่าจะทำนานี่เป็นชาวนา เป็นผู้ทำนาผลิตข้าวได้ เท่าไหร่ก็ตามใจ กินแต่พอดีก็เหลือไปช่วยผู้อื่นได้ ก็เรียกว่าเป็นเศรษฐีไม่ต้องมีเงินเป็นล้านหรอก ไม่มีเงินเป็นแสน มีเงินเป็นหมื่นก็ได้ เป็นอยู่อย่างชาวนานี่ก็มีลักษณะเป็นเศรษฐีได้ในทางธรรม และจริงด้วย คำว่าเศรษฐีนั้นแปลว่าประเสริฐที่สุด ไอ้เศรษฐะ เศรษฐะแปลว่าประเสริฐที่สุด เศรษฐีก็มีความประเสริฐที่สุด เพราะมันผลิตมาก กินแต่พอดี เหลือไปช่วยผู้อื่น คิดดูสิใครมันทำอย่างนี้กัน แล้วมันจะมีอะไรที่ดีกว่านี้ล่ะ นายทุนก็มีเงินมาก ก็กินมาก เขาหาเพิ่มทุนมากเพื่อได้มีมาก แล้วดีตรงไหนล่ะ ถ้ามาเทียบกับเศรษฐี มีเงินไม่กี่บาทหรอกแต่เป็นเศรษฐีโดยจิตใจเศรษฐีโดยพระธรรม เศรษฐีโดยนามธรรม คือร่ำรวยด้วยคุณธรรมแห่งมนุษยธรรมนี่เขาเรียกว่าเศรษฐี ครูคนหนึ่งนี้เงินเดือนเท่านี้แหละ เป็นเศรษฐีได้ อย่ากินอย่าใช้ที่มันไม่จำเป็น มันก็จะเหลือช่วยผู้อื่น น้ำใจนั้นก็ประเสริฐที่สุดแล้วเรียกว่าเศรษฐี ถ้าถือลัทธินายทุน เงินเดือนก็ไม่พอใช้น่ะ ไม่มีอะไรจะเหลือไปช่วยผู้อื่นน่ะ แล้วจะประเสริฐที่ตรงไหน เศรษฐีเขาเป็นกันอย่างนี้ นะ มาแต่ครั้งพุทธกาล ผลิตมาก ใช้พอดี เหลือช่วยผู้อื่น ฉะนั้นจึงมีอะไรอะไรมากมายที่เศรษฐีเขาสร้างขึ้น วัดในเมืองไทยนี่ เศรษฐีสร้างกันทั้งนั้น ก็มายกให้เป็นวัดหลวง เป็นของรัฐบาล เป็นอะไรอื่นไป นี้มันทีหลัง เศรษฐีนี่ที่เขาเป็นเศรษฐีกันแท้จริงเขาใจบุญ พอเงินเหลือนึกถึงผูอื่น ฉะนั้นจึงสนุกในการสร้างวัด ไปค้นหาวัดโดยส่วนมากน่ะนั้นสร้างด้วยเศรษฐี ไปยกเป็นวัดหลวงกันทีหลัง อ่าที่พระเจ้าแผ่นดินสร้างน่ะก็มีเหมือนกันล่ะแต่ว่าส่วนใหญ่ทั้งหมดทั่วไปนั้นเศรษฐีสร้างทั้งนั้น เพราะนึกถึงผู้อื่น นี่ตัวอย่างมันมีมาแล้วอย่างนี้ เราก็ควรจะขอบคุณว่าเขาได้ทำกันอย่างนี้ เหลืออยู่อย่างนี้ เราชวนกันรับช่วงรับมรดกเศรษฐี เป็นเศรษฐีกัน คือมีความประเสริฐอย่างที่สุด ผลิตให้เต็มความสามารถ กินอยู่แต่พอดี เหลือช่วยผู้อื่น อาตมาคิดว่าครูที่เงินเดือนไม่กี่ร้อยบาทก็ทำได้ เป็นเศรษฐีได้ ปิดไอ้รายจ่ายที่ไม่ต้องจ่ายเสีย มันก็จะเหลือไปช่วยผู้อื่น มีความเป็นเศรษฐีขึ้นมา ก็เป็นเศรษฐีตัวเล็กๆก็แล้วกันนะ เพราะว่าเรามันช่วยได้น้อย แต่ก็ยังดีกว่าที่จะไม่เป็นเศรษฐี คือไม่มีความประเสริฐที่สุดน่ะ นี่เศรษฐีเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ควรจะกลับมา มนุษย์กลับมา ครูกลับมา เศรษฐีกลับมา แล้วก็จะง่ายที่จะมีอริยชนกลับมาเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งโลก นี่คือเรื่องที่จะพูดกันวันนี้เป็น เป็นเรื่องที่สอง เมื่อวานพูดเรื่องที่หนึ่ง ว่าสัตว์ชนิดหนึ่งเหลืออยู่แต่ชื่อ ก็ขอทบทวนอีกที สัตว์ชนิดหนึ่งเหลืออยู่แต่ชื่อคือไดโนเสาร์ เหลืออยู่แต่ชื่อกับซาก มนุษย์ตายหมด เหลืออยู่แต่ชื่อกับซากคือคน ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงตายไปหมดเหลืออยู่แต่ซาก ก็คือคนก็เป็นเพียงคนไม่ใช่มนุษย์หรอก กับชื่อว่ามนุษย์ ไปเอาชื่อเขามาใช้ว่าเรียกคนว่าเป็นมนุษย์ นี่เป็นเรื่องโกง โกงเหลือประมาณน่ะ ไปเอาคำว่ามนุษย์มาใช้เป็นชื่อของคนนี่มันโกงกันเหลือประมาณ มันไม่ใช่มนุษย์นี่ มันเป็นคนที่เป็นซากของมนุษย์ที่ตายไปแล้ว เหลืออยู่ ฉะนั้นครูก็เหมือนกัน ครูที่แท้จริงตายไปแล้ว เหลือแต่ครูที่แต่งเนื้อแต่งตัวจนไม่รู้ว่านี่เป็นดาราหนังหรือเป็นครูนี่ เดี๋ยวนี้มันก็เหลือแต่ซาก ครูตายหมดแล้ว ขอให้ครูกลับมา ขอให้ครูกลับมา ครูที่แท้จริงกลับมา มนุษย์กลับมา ครูกลับมา เศรษฐีกลับมา อริยชนก็จะกลับมา นี่ หมดแล้วไอ้เรื่องสำหรับจะพูด ทีนี้ก็จะพูดถึงรื่องปิด เรื่องปิด ปิดสัมมนา ขอให้ทุกคนช่วยฟังให้ดี พระก็คอยชยันโตด้วยน่ะ เตรียมพร้อมน่ะ ชยันโต นี่ เรื่องที่สาม เรื่องปิดสัมมนาตามหมายกำหนดการ ปิดพิธีภาคการพูด เปิดพิธีภาคการกระทำ สัมมนาแปลว่าพูดดีแต่พูด ไอ้พวกสัมมนาดีแต่พูด ปิดปิดเสีย ทีนี้เปิดเปิดการกระทำ ที่เรียกว่าสัมมนาว่าอย่างไร ตกลงกันอย่างไรขอให้ทำ เดี๋ยวก็จะปิดการพูด แล้วก็เปิดการกระทำ ดูให้ดีสิแล้วมันมีแต่การพูดการสัมมนา สัมมนา แล้วก็มาปิดสัมมนาที่นี่ก็ได้เหมือนกัน เรามีแต่การพูดแล้วก็ไม่ได้ทำ อาตมาเองก็เหมือนกันน่ะ เขามอบหน้าที่ให้พูดนะ อาตมามีหน้าที่พูด อาตมาก็พูดมากกว่าทำ เขาก็มอบหน้าที่ให้พูด ก็ดี แต่ว่าดูให้ดีเถอะ เขาว่ามานี่ไอ้การพูดแหละคือการทำ ของอาตมานะการทำก็คือการพูด การพูดแหละคือการทำ สำหรับคนอื่นไม่ทราบ โลกนี้มันกำลังมีแต่การพูด มันดีแต่พูด มันตกลงกันแล้วมันก็ไม่ทำ สัมมนาได้เยอะแยะแล้วมันก็ไม่ทำ ตกลงกันว่าจะทำอย่างไร แล้วมันก็ไม่ทำ นี่มันดีแต่พูด โลกนี้มีแต่การพูด เพราะมันลงทุนน้อยนี่ ไอ้เรื่องพูดน่ะ มันไม่ต้องเหนื่อยมาก ไม่เปลืองมาก และไม่ต้องการเสียสละมาก เมื่อทำกันจริงๆแล้วมันก็ต้องยอมเหนื่อย ก็ต้องเอาจริงเอาจังกันมาก และก็ลงทุนมาก ลงทุน ลงแรงมาก นี้เรียกว่าการทำ พระพุทธเจ้าท่านโปรดการพูดน้อย การทำมาก พูดดังก็ไม่ได้ มีเรื่องในพระบาลีพระพุทธเจ้าท่านบอกให้ไล่ไปเสียให้หมด พระที่พูดเอ็ดตะโร ต้องการให้พูดเบาๆ และก็ให้ทำแทนที่จะพูดน่ะ ทำให้มากกว่าพูด เพราะว่ากิเลสมันหมดไปด้วยอำนาจของการทำ ไม่ได้หมดไปด้วยอำนาจของการพูด นี่ช่วยกันจำไว้เถิดว่า กิเลสนี้มันหมดไปด้วยอำนาจของการทำ ไม่ได้หมดไปด้วยอำนาจของการพูด ความทุกข์ก็หมดไปด้วยการทำ ไม่ได้หมดไปด้วยพูด เราจะเกิดกันเสียใหม่เป็นมนุษย์ใหม่ เป็นครูใหม่ เป็นเศรษฐีนี้ก็ต้องด้วยการกระทำ ไม่ใช่ด้วยการพูด ขนมเบื้องมีสองชนิดใช่ไหม คุณชอบชนิดใหน ขนมเบื้องชนิดหนึ่งมันทำด้วยปาก ขนมเบื้องชนิดหนึ่งมันทำจริง ทำจริง มันละลาย ละเลงขนมเบื้องกันด้วยปาก กินได้ไง ขนมเบื้องมีสอง ชนิดไหนกินได้เลือกเอาเอง นี้ก็มีคำพูดอีกคำที่คล้ายกัน แต่ว่าที่กรุงเทพไม่แน่ คือหล่อฆ้อง การหล่อฆ้องก็มีสองชนิด ฟังดูให้ดีที่กรุงเทพมีไหม แต่ที่นี่มีทั่วไปเป็นธรรมดาเลย ไอ้หล่อฆ้องน่ะ ว่าหล่อฆ้องทำยังไง ก็เทใส่กระด้ง แล้วเอาสากตำลงไปตรงกลางให้มันลุ่มลงไป พอหงายขึ้นก็เป็นฆ้อง นี่ทำด้วยปาก ฆ้องนี่ทำด้วยปาก หล่อฆ้องเทใส่กระด้งเอาสากตำลงไปตรงกลางให้บุ๋มไปทางโน้นพอหงายขึ้นก็เป็นฆ้อง ก็อย่างเดียวกันกับขนมเบื้องที่ทำด้วยปาก เราจะเอาอย่างไหน ไก่ตัวหนี่งขยันเขี่ย ไก่ตัวหนี่งขยันขัน ไก่ตัวไหนจะอยู่ ไก่ตัวไหนจะตาย ตัวหนี่งขยันเขี่ย ตัวหนี่งขยันขัน มานั่งดูกันไก่ที่นี่ขยันเขี่ยกันทั้งนั้น ขันแต่บางครั้งบางคราว ฉะนั้นขอให้เราทำเถิด อย่าพูดเลย ทีนี้พูดกันมาแล้วพูดกันมามากแล้ว สัมมนากันมามากแล้ว เหลืออยู่แต่ที่จะต้องทำ ขออนุโมทนาว่าไอ้การพูด หรือการสัมมนาที่ทำกันมามากแล้วนั้นน่ะ ก็พอแล้ว ขออนุโมทนา แต่ต่อไปนี้ขอให้ทำ ทำ ทำต่อไป จึงขอปิดการพูด และก็ขอเปิดการกระทำ เอากลับไปกรุงเทพ เอ้าพระทั้งหลายช่วยชยันโตหน่อย