แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการมาของท่านทั้งหลายที่นี่ ในลักษณะอย่างนี้ ยินดี ส่วนใหญ่ก็คือว่าได้พบผู้ที่เป็นครูหรือที่เรียกตัวเองว่าครู เป็นกิจการร่วมกันกับอาตมา หรือพระเจ้าพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ทำงานตามหลักการหรือสนองคุณของพระศาสดา ซึ่งเรียกว่าเป็นพระศาสดาของโลก ได้แก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของโลก ท่านทำทุกอย่างเพื่อโลกจะมีความสงบสุข ทั้งเทวดาและมนุษย์ คือทั้งผู้ที่สบายแล้ว และยังลำบากอยู่ มนุษย์เรียกว่ายังลำบากอยู่โดยการทำงาน ยังไม่มีบุญพอ ยังอาบเหงื่อต่างน้ำอยู่ เทวดาหมายถึงผู้ที่ไม่ต้องมีความลำบาก เขาเรียกกันว่าคนมีบุญ แต่ทั้งเทวดา และมนุษย์ยังมีปัญหาเหมือนกันอยู่ข้อหนึ่งคือยังเป็นทุกข์ เพราะกิเลสตัณหาของตน พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ช่วยโลก ทั้งเทวดาและมนุษย์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ถ้ามองกันดูในแง่ลึกแล้วก็จะพบว่าทำงานอย่างเดียวกันกับหลักการของพระพุทธเจ้า (สัญญาณกวน นาทีที่ 2:20) ช่วยมนุษย์ หรือช่วยโลกให้พ้นจากความทุกข์ จึงได้เรียกพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระบรมครู เป็นพระบรมครู บรมศาสดา คือ บรมครู คำว่าครูเมื่อค้นดู (สัญญาณกวน นาทีที่ 2:48) เมื่อค้นดูตำรับตำราทางภาษาที่เก่าแก่ คือตำราทางภาษาศาสตร์ ทางอักษรศาสตร์ เขาพบกันว่า คำว่าครู กิริยา รากศัพท์นี้แปลว่าผู้เปิดประตู เรามักจะพูดกันแต่ว่าครู คือผู้ที่ใครๆ ควรจะเคารพ มีความหนัก แต่เรื่องของภาษานั้น มันก็ยากเหมือนกันแหละ มันเก่าแก่ ไม่ค่อยจะสิ้นสุด แต่ก็เป็นที่น่ายินดี ถ้าเขาจะยืนยันว่าคำว่าครู แปลว่าผู้เปิดประตู อาตมารู้สึกว่ามีเกียรตินะ เปิดประตู ที่กักขัง คอก เล้า กรง อะไรที่มันกักขัง เป็นผู้เปิดประตูให้สัตว์ออกมา ตามธรรมดา เราถือเสมือนหนึ่งว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงติดอยู่ในคอกแห่งความโง่ของตนเอง คอกนี้คือความโง่ของตนเอง อวิชชาของตนเอง ไม่สามารถจะออกมาจากคอกแห่งความโง่ ดังนั้นจึงทำอะไรผิดๆ ทีนี้ครูจะเป็นผู้ช่วยเปิดประตูให้ออกมาเสียจากความโง่ จะได้ทำอะไรอย่างถูกต้อง ก็เลยได้รับประโยชน์สูงสุดคือเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดที่มนุษย์มันจะเป็นมนุษย์กันได้ ก็เปิดประตูแห่งความโง่ออกไปเสียแล้ว มนุษย์ก็สามารถทำอะไรอย่างถูกต้อง นี้ความหมายของคำว่าครู ในความหมายทั่วๆ ไปก็ตาม ในความหมายทางธรรมะ ในทางศาสนา เช่นว่าพระบรมครูก็ตาม หมายถึงผู้เปิดประตู ทีนี้อาตมาอยากจะเสนอความคิดอีกแนวหนึ่ง โดยไม่เอาตามตัวหนังสือ ไม่เอาตามพยัญชนะ แต่เอาตามความเป็นจริงที่มันมีอยู่ อาตมาก็เลยจะเสนอขึ้นมาว่าครู คือผู้ที่สร้างโลก โลกจะดีจะเลว อะไรก็ตามใจ มันแล้วแต่ครูจะเป็นผู้สร้าง ครูผู้สร้างโลกนี้ โดยเจตนาก็ได้ โดยไม่เจตนาก็ได้ หมายความว่าถ้าครูทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเท่านั้นแหละ แม้ไม่เจตนา โลกนี้มันก็ดีขึ้น แต่ครูอาจจะเจตนาที่จะสร้างโลกให้ดีขึ้น คือตั้งใจ ตั้งหน้าตั้งตา ตั้งใจทำหน้าที่ของครูให้มันดีขึ้น คือเปิดคอกนั่นเอง ถ้าครูเจตนาจะเปิดคอกให้สัตว์ออกมาจากคอกแห่งความโง่ โลกนี้มันก็ดีขึ้นเหมือนกัน เราไม่ต้องอ้างนั่นนี่ เอาตามความจริงที่ปรากฎอยู่ ใครๆ ก็จะมองเห็นว่า ไอ้โลกนี้มันประกอบอยู่ด้วยมนุษย์ หรือพลโลก ถ้าพลโลกมันดี โลกนี้มันก็ดี ถ้าพลโลกมันเลว โลกนี้มันก็เลว แล้วอะไรเล่าที่จะทำให้คนโลกนี้มันดี หรือมันเลว มันก็คือการศึกษา ซึ่งครูเป็นผู้อำนวยให้ ครูอำนวยการศึกษาให้แก่คนในโลก ถ้าการศึกษาดี ถูกต้อง คนในโลกมันก็ดี แล้วโลกนี้มันก็ดี เห็นอยู่ชัดๆ ว่า ครูนี่คือผู้ที่สร้างโลก เด็กนักเรียนของเรานั่นแหละ คือผู้ที่จะเป็นตัวโลก ที่จะดีหรือไม่ดี จะประกอบกันขึ้นเป็นโลกที่ดีหรือไม่ดีก็คือ นักเรียนของเราในปัจจุบันนี้ และในอนาคต เขาก็เป็นพลโลก ถ้าเราสร้างเด็กๆ เหล่านี้ดี โลกนี้มันก็ดี จึงเรียกว่าครูเป็นผู้สร้างโลก ท่านคิดดูเอาเองว่า นี่พูดอย่างประจบยกยอ ประจบกัน หรือยังไง ไม่จำเป็นที่ต้องประจบประแจงอะไรกัน พูดไปตามตรงๆ ว่าไอ้ครูนี่มันเป็นผู้สร้างโลก มันแล้วแต่ว่าครูให้การศึกษาอย่างไร มีผลอย่างไร โลกมันก็ประกอบอยู่ด้วยคน ที่ครูเขาสร้าง คือให้การศึกษา ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ที่ท่านทั้งหลายทุกคนจะต้องมองดูตนเองว่าได้ทำอย่างนั้นหรือเปล่า แม้จะไม่เจตนาจะทำอย่างนั้น แต่ถ้าทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องแล้ว มันก็เป็นการสร้างโลกอยู่ดี นี่เรามาเข้าใจกันในข้อนี้เสียก่อนเถิด แล้วสิ่งต่างๆ ข้างหน้ามันก็จะเป็นไปด้วยดี คือรากฐาน วิญญาณ เจตนารมณ์ ของการกระทำ มันถูกต้องแล้วสิ่งทั้งหลายก็จะถูกต้อง นี่เราจะทำให้มันถูกต้องได้โดยถืออุดมคติอย่างนี้ เอาส่วนลึกแห่งจิตใจเป็นสิ่งสำคัญว่าเราเป็นครูเพื่อสร้างโลกกันหรือเปล่า อยากจะแนะสักนิดหนึ่งว่า เดี๋ยวนี้นั่งอยู่กลางดิน ทุกคน ผู้สร้างโลกนี่นั่งอยู่กลางดิน นี่ก็เป็นสิ่งที่จะต้องขอร้องให้รับรู้ไว้ว่าคนที่จะสร้างโลกไม่ต้องนั่งอยู่บนวิมาน ถ้ามันอยู่บนวิมานมันก็เพลินไปเรื่องบ้าๆ บอๆ บนวิมาน มันไม่ได้คิดที่จะสร้างโลก ถ้ามันมานั่งอยู่กลางดินอย่างนี้ มันมีหวังที่ความคิดมันจะเป็นไปในระดับธรรมดา คือสร้างโลก โดยอาศัยสิ่งที่ได้มีมาแล้วเป็นหลักว่า พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็กลางดิน คือท่านนั่งตรัสรู้กลางดิน พระพุทธเจ้าสอนกลางดินในที่ทั่วไป โรงธรรมครั้งพุทธกาล เท่าที่ดูในบาลีอรรถกถา กลางดิน พื้นดิน ที่อยู่ก็พื้นดิน กุฏิพระพุทธเจ้าก็พื้นดิน ในที่สุดพระพุทธเจ้าท่านก็นิพพานคือตาย ที่เราเรียกกันว่าตายนั่นแหละ นิพพานโดยทางร่างกาย ก็กลางดินนั่น พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน นิพพานมีสองความหมาย เมื่อหมดกิเลส คือตรัสรู้ นั่นก็กลางดิน เมื่อตายโดยร่างกายก็เรียกนิพพานได้เหมือนกัน ก็กลางดิน ท่านเกิดกลางดิน เป็นพระพุทธเจ้ากลางดิน แล้วก็ตายกลางดิน ถ้าเอาหลักอันนี้มาทำไว้ในใจ พวกครูก็จะยินดีที่จะมีชีวิตอยู่อย่างต่ำๆ เดี๋ยวนี้ครูส่วนมาก เห่อเกินไป ต้องกินเหล้า ต้องสูบบุหรี่ ต้องทำอะไรอย่างเทวดาบ้าๆ บอๆ ไม่ยอมใช้ชีวิตกลางดิน ถ้ายอมเป็นผู้อยู่กลางดินอย่างพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่ต้องทำสิ่งเหล่านั้น หมายความว่า ให้เราอยู่กันอย่างต่ำที่สุด คือกลางดิน ทีนี้มันก็มีแต่จะขึ้นไปสูงแหละ สูงขึ้นไปจากดิน เดี๋ยวนี้ เรามีหลักการอย่างนี้กันหรือเปล่า ว่าจะดำเนินชีวิตชนิดที่ว่าต่ำ ส่วนวัตถุ ส่วนร่างกายนี่อยู่ต่ำๆ กินข้าวจานแมวก็ได้ แต่ในจิตใจ มุ่งกระทำให้มันสูง สูงที่สุดที่ถึงกลับสร้างโลก กล้าพูดว่าสร้างโลก ดังนั้น การพูดกันครั้งนี้ อาตมาก็พูดเรื่องครูผู้สร้างโลก การบรรยายครั้งนี้มีชื่อว่า เรื่องครูผู้สร้างโลก ก็จะได้พูดกันต่อไปให้จบ
เดี๋ยวนี้ครูเป็นอันมากเป็นเพียงผู้รับจ้างสอนหนังสือหากิน ครูเป็นผู้เพียงแต่รับจ้างสอนหนังสือหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ หนึ่ง เผลอเข้าก็ทำอบายมุข ไม่ได้มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นครู เพราะยังบูชาอบายมุข ยังดื่มน้ำเมา ยังเที่ยวกลางคืน ยังดูการเล่น ยังเล่นการพนัน ยังคบคนชั่วเป็นมิตร ยังเกียจคร้านทำการงาน ก็ต้องเรียกว่าไม่ได้มีอุดมคติที่จะสร้างโลกเลย ดื่มน้ำเมานี่ก็รู้กันแล้ว อาตมาก็ไม่ต้องพูดก็ได้ ครูกินเหล้ากันกี่คน ไปนับดูกันเอง ตามที่ได้ยินมา มีมากเหลือเกิน เปอร์เซ็นของครูที่กินเหล้า เทียบกับที่ไม่กินเหล้าแล้วมีน้อย แล้วบางวันถึงวันอะไรก็ไม่รู้ เขาบ้ากันใหญ่ เขาเชิญครู เพื่อนครูมาเลี้ยง ฉลองอะไรกันวันหนึ่ง กินเหล้ากันใหญ่ ที่ไหนก็มี ยังมีน้ำเมาที่รองๆ ลงมา เป็นบุหรี่ เป็นกัญชา เป็นอะไรก็สุดแท้ เพราะครูไม่รู้ว่าตัวเองนั้นเป็นอะไร รู้แต่ว่ารับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ ถ้าจัดตัวเองไว้เพียงเท่านี้มันก็ง่ายนิดเดียวที่จะไปกินน้ำเมา ดื่มของเมา เที่ยวกลางคืน ก็ไม่ต้องอธิบายก็ได้ มีโอกาส หรือหาโอกาสที่จะไปเที่ยวกลางคืน ไม่ได้ใช้โอกาสนั้นที่จะฝึกฝนอบรมตนให้เป็นครูที่เก่งกล้าสามารถยิ่งขึ้นไป ดูการเล่นสนุกสนานที่เป็นข้าศึกแก่กุศล บางทีก็เป็นผู้นำเสียเอง ไม่ใช่ผู้ดู เป็นผู้แสดงเสียเอง แสดงการเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล การเล่นนี่มีทั้งชนิดที่เป็นข้าศึกแก่กุศลและไม่เป็นข้าศึกแก่กุศล คือเป็นการเล่นที่เป็นการศึกษาก็มี แต่เดี๋ยวนี้ที่เป็นอบายมุข นั่นคือการเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล ยั่วยวน ส่งเสริมกิเลส ความมีจิตใจต่ำทราม อย่างนี้เรียกว่าการเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล เล่นการพนัน ข้อที่สี่เล่นการพนัน ก็ดูเอาเองก็แล้วกันพนันอะไรกันบ้าง พนัน เลี้ยงกันก็ได้ พนันมวยหน้าตู้ทีวีก็ได้ อะไรก็ได้ หรือไปพนันที่บ่อนการพนันก็ได้ คบคนชั่วเป็นมิตร นี่ก็หมายความว่า ถ้ามาชักชวนทำอะไรในทางผิดๆ มันก็กลายเป็นคนชั่วกันไปทั้งหมด ทั้งฝูงทั้งหมด เช่นว่ามาตั้งบ่อนกินเหล้ากันอย่างนี้ มันก็ต้องเรียกว่าคบคนชั่วเป็นมิตร ไม่มีใครเหลือ และข้อสุดท้ายก็เกียจคร้านทำการงาน ข้อนี้ขอให้ดูให้ดี มีความสำคัญมาก การไม่อยากทำการงาน การเกียจคร้านทำการงานดูจะระบาดทั่วไปหมด โดยเฉพาะพวกข้าราชการทั้งหลาย แม้ไม่ใช่ข้าราชการครู มันก็เกียจคร้านทำการงาน ชาวบ้านเขาพูดว่า ข้าราชการนี่ทำงานอย่างเอาเปรียบที่สุดแหละ มาสาย กลับเร็ว แล้วก็ไม่ได้อยากจะทำการงาน มาเล่นมาหัวเสียในเวลาราชการ เผลอเมื่อไหร่ก็โกงเวลาราชการ และเวลาที่ทำงานนั้นไม่รู้สึกเป็นสุข ไม่รู้สึกเป็นสุข ข้อนี้แหละผิดมาก ที่ไม่รู้สึกเป็นสุขเมื่อทำการงาน นั่นแหละผิดมาก คือไม่มีธรรมะ ขอช่วยกรุณาช่วยจำไปสักหน่อยเถอะว่า ไปสอนเด็กว่า ไอ้ธรรมะคือหน้าที่ สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นแปลว่าหน้าที่ ปทานุกรมธรรมดา ธรรมะ คำว่าธรรมะ แปลว่าหน้าที่ เดี๋ยวนี้เรารู้จักกันแต่เพียงว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่ถามต่อไปว่าท่านสอนไว้ว่าอย่างไร ท่านสอนให้ทำหน้าที่ ที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ หน้าที่ของมนุษย์เรามีอยู่สองชั้น ระดับทั่วไปคือทำหน้าที่ให้รอดชีวิตอยู่ได้ ระดับที่สอง คือให้ชีวิตนั้นดีที่สุด ถึงที่สุด หน้าที่ของคนเรามีสองระดับเท่านั้น หน้าที่อันแรกจะต้องทำให้รอดชีวิตอยู่ได้ เราจึงต้องทำมาหากินหาเลี้ยงชีวิต หน้าที่ การหาเลี้ยงชีวิตนั้นคือหน้าที่ เมื่อทำแล้วเป็นการปฏิบัติธรรมะ เพราะธรรมะแปลว่าหน้าที่ ครั้นมีกินมีใช้อยู่ในระดับที่สบาย รอดชีวิตดีอยู่แล้ว ก็ทำหน้าที่อันดับที่สองเพื่อให้สูงขึ้นไป ให้ชีวิตมันสูงๆๆๆ ขึ้นไป จนกระทั่งบรรลุมรรคผล นี่ก็เรียกว่าหน้าที่ การที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานก็คือหน้าที่ เราก็ทำหน้าที่ทั้งสองระดับเพื่อให้รอดชีวิตอยู่ได้ และให้รอดอยู่อย่างดีที่สุด ไอ้ธรรมะแปลว่าหน้าที่นี่ คนที่ไม่เชื่อ ครูบาอาจารย์นี่เขาไม่เชื่อนะ เขาหาว่าอาตมาว่าเอาเอง เขาหาว่าอาตมาว่าเอาเองว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ ขอความยุติธรรม ก็ไปเปิดปทานุกรมของชาวอินเดียดูเถิด ปทานุกรมธรรมดาๆ ของชาวอินเดีย ธรรมะก็แปลว่าหน้าที่กันทั้งนั้น ทำหน้าที่ก็คือปฏิบัติธรรมะ ทีนี้ก็ยังมีหลักที่พอจะเข้าใจได้อีกว่า ไอ้ธรรมะนี่มีสี่ความหมาย ธรรมะคือตัวธรรมชาติ นี่ความหมายหนึ่ง สิ่งที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติทั้งหลายเขาก็เรียกว่าธรรม รูปธรรม นามธรรมแล้วแต่จะเรียก เรียกว่าธรรมเฉยๆ กฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมเหมือนกัน ธรรมที่เป็นกฎของธรรมชาติ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นี่เป็นกฎของธรรมชาติ ก็เรียกว่าธรรมเหมือนกัน และธรรมคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมชาติมีกฎเฉียบขาด แล้วคนต้องทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะเหมือนกัน ทำหน้าที่แล้วก็เกิดผลขึ้นมา ผลของหน้าที่ก็เรียกว่าธรรมเหมือนกัน ธรรมพยางค์เดียว หรือธรรมะสองพยางค์ มีสี่ความหมาย คือตัวธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวกฎของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวหน้าที่ตามกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวผลที่เกิดจากหน้าที่นั้น ที่จะเห็นได้ง่ายๆ ว่าคนๆ หนึ่งนี่ คนๆ หนึ่ง ไอ้ร่างกาย จิตใจ ของเขา นี่เรียกว่าธรรมชาติ เนื้อหนังร่างกายจิตใจ ชีวิตวิญญาณ คือตัวธรรมชาติ แล้วในตัวเรานี่ ร่างกายเรานี่ มีกฎของธรรมชาติครอบงำอยู่ ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกฎ เช่นเจริญเติบโตขึ้นมา หรือว่ามันจะต้องกระทบ รู้สึก คิดนึกไปตามกฎของธรรมชาติ ทั้งเนื้อทั้งตัว มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ มันอยู่ใต้กฎของธรรมชาติ นี่ก็เรียกว่าในตัวเราก็มีธรรมะ ในความหมายที่สองคือ กฎของธรรมชาติครอบงำอยู่ ทีนี้ความหมายที่สาม ไอ้เราก็ต้องมีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ทุกคนจะต้องกินอาหาร ทุกคนต้องกินอาหาร เมื่อต้องกินอาหารก็ต้องหาอาหารสิ มันก็มีการประพฤติกระทำเสียให้ได้มาซึ่งอาหาร แล้วก็กินอาหาร แล้วก็บริหารร่างกายว่าจะต้องกิน ต้องอาบ ต้องถ่าย ต้องบริหารทุกอย่างที่ให้มันรอดชีวิตอยู่ได้ โรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นก็ต้องรักษา นี่เรียกว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ให้ได้อาหารกิน รอดชีวิตอยู่ได้ บำบัดโรคภัยไข้เจ็บได้ มีปัจจัยสี่ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บอย่างถูกต้อง นี่หน้าที่พื้นฐานทั่วไป ซึ่งทุกคนก็ทำ ไม่ทำมันก็ตายสิ คนๆ หนึ่งลองไม่ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติสิ ไม่ทำมันก็ตาย สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน ไม่ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มันก็ตาย ฉะนั้นมันจึงทำ ทำเต็มที่แม้จะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ดูให้ถึงต้นไม้ ต้นไม้ต้นไร่นี่ มันก็ต้องทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แม้มันจะกระดุกกระดิกเคลื่อนไหวไม่ได้นี่ มันก็ทำหน้าที่อยู่เต็มที่ ที่จะให้ได้น้ำกิน ให้ได้แร่ธาตุ ให้ได้แสงสว่าง ให้ได้ทุกอย่างที่จะให้ต้นไม้นี้รอดชีวิตอยู่ ต้นไม้ก็ทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลา เห็นได้ว่ามีเจตนาที่จะรอดชีวิตอยู่ นั้นบรรดาสิ่งที่มีชีวิตต้องมีหน้าที่ การทำหน้าที่ก็คือความถูกต้อง ไม่ทำหน้าที่มันก็คือตาย ฉะนั้นธรรมะคือหน้าที่ ลองไม่ทำ ธรรมะ คือหน้าที่ มันก็ตาย ไม่ว่าใคร คนก็ได้ สัตว์ก็ได้ ต้นไม้ต้นไร่ก็ได้ มันก็ตาย อันสุดท้ายคือผลจากหน้าที่นี้ เห็นได้ชัดแหละ เมื่อมีหน้าที่ ทำหน้าที่ ผลก็เกิดขึ้น คือเราได้อยู่เป็นสุขสบายอย่างนี้ เรียกว่าผลของมัน แต่ความสำคัญอยู่ที่หน้าที่นะ ทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็รอดอยู่ได้ ขอให้ทุกคนเข้าใจความหมายของคำว่าธรรมะคืออะไร ถ้าเป็นนักศึกษาสมบูรณ์แท้จริง จะพูดว่าธรรมะคือหน้าที่ ถ้ามีการศึกษามาอย่างลูกเด็กๆ ในโรงเรียน ธรรมะ คือคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็เลิกกัน ไม่ถามว่าสอนเรื่องอะไร ถ้าว่าธรรมะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ถามต่อไปว่าท่านสอนเรื่องอะไร ก็จะพบว่าท่านสอนเรื่องธรรมชาติ เรื่องกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรื่องผลที่เกิดมาจากหน้าที่นั้นๆ นี่พระไตรปิฎกแปดหมื่นสี่พันธรรมขันธ์ หลายหมื่นหน้า ก็ล้วนแต่พูดเรื่องสี่เรื่องนี้ เรื่องธรรมชาติ เรื่องกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรื่องผลอันเกิดจากหน้าที่ที่ทำแล้วตามกฎของธรรมชาติ นั่นแหละคือธรรมะ ในสี่ความหมายนั้น ความหมายที่สามคือหน้าที่เป็นความหมายที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่ทำหน้าที่มันก็ตาย เมื่อทำหน้าที่ก็ควรจะยินดีว่าได้ปฏิบัติธรรมะ เมื่อใครได้ทำหน้าที่ ก็ให้ยินดีว่าได้ปฏิบัติธรรมะ เมื่อครูทำหน้าที่ครูอยู่ในห้องเรียน นั่นแหละคือเวลาที่ครูปฏิบัติธรรมะ ไม่ต้องไปวัดก็ได้ ไม่ต้องทำพิธีอะไรอย่างที่ตามแบบพิธีทางศาสนาก็ได้ ขอแต่ครูทำหน้าที่ของครูอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นแหละคือธรรมะ ปฏิบัติธรรมะอยู่ในห้องเรียน หน้ากระดานดำถือชอล์กอยู่นั่นแหละ คือการปฏิบัติธรรมะ หรือหน้าที่ของผู้ที่เป็นครู ถ้าเขารู้สึกอย่างนี้ เขาก็ทำสนุก สนุกในการทำหน้าที่ ไม่เบื่อ ไม่โกงเวลา ไม่อยากเลิกเร็วๆ มาก็สาย เลิกก็เร็ว แล้วก็ต้องไปกินเหล้าด้วย เพราะว่าเขาไม่สนุกเมื่อทำหน้าที่ เขาไม่เป็นสุขเมื่อทำหน้าที่อยู่หน้า ในห้องเรียน แต่ครูที่แท้จริง ไม่ได้รู้สึกว่าทำหน้าที่ มันก็พอใจเสียแล้ว เป็นสุขเสียแล้ว สนุก เป็นสุขเสียแล้ว ทำไมจะต้องรีบออกไปหาเหล้ากินข้างนอกโรงเรียน เพราะมันเป็นสุขเหลือที่จะเป็นสุขเสียแล้ว เมื่อถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำ จะไปเอาความสุขอะไรกันอีกเล่า ทีนี้เมื่อสอนอยู่ในห้องเรียน ถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำ มันไม่เป็นสุข มันไม่ชอบ มันฝืนทำ มันไม่ได้ทำด้วยรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ แล้วพอใจว่าเป็นบุญเป็นกุศล นี่เพราะฝืนทำๆ เพราะจะเอาเงินเดือน มาสอนสมุด ลงเวลา แล้วก็จะได้เบิกเงินเดือน ก็หาความสุขในห้องเรียนไม่ได้ ในห้องที่สอนนักเรียนหาความสุขไม่ได้ ก็ต้องออกไปอบายมุข ตามสถานเริงรมย์ต่างๆ เมื่อหัวใจมันไปอยู่ที่สถานเริงรมย์ต่างๆ โน่น ความขยันในการทำงานมันก็ไม่มี มันเบื่อ มันเบื่อที่จะทำงาน ข้าราชการโดยทั่วไปเป็นอย่างนี้ ชาวบ้านเขาว่าอย่างนั้น และอาตมาก็มองเห็นอย่างนั้น ว่าข้าราชการทั้งหลายทำงานอย่างฝืนซังกะตาย เช้าแก้วเย็นแก้ว นี่ทำงานแบบซังกะตาย ยิ่งกว่าเช้าชามเย็นชามเสียอีก ไอ้เช้าแก้ว เย็นแก้ว นี่มันยิ่งกว่าเช้าชามเย็นชามเสียอีก ฉะนั้นเราไม่มีความสุขเมื่อทำการงาน เราก็เกลียดการงาน เราอยากจะเสร็จงานเร็วๆ ไปสถานเริงรมย์ แล้วคนมันก็เป็นทาสอบายมุขกันหมด โลกนี้ก็เป็นโลกของอบายมุข ไม่มีความสงบสุขเพราะว่ากิเลสมันครอง ครอง โลก ครองใจคน นั่นแหละคือคอก คอก ที่มันขังคนให้จมอยู่ในความเลวทราม ครูมีหน้าที่เปิดประตูคอกนี้ ให้คนออกมาเสียจากคอกแห่งความเลวทราม ผู้ใดเปิดประตูนี้ได้ ผู้นั้นเป็นครูที่แท้จริง ผู้ใดเรียกตัวเองว่าครู แล้วเข้าไปอยู่ในคอกเสียเอง ไปนอนอยู่ในคอกเสียเอง มันจะเป็นอย่างไร มันจะเป็นครูได้ที่ตรงไหน ก็เป็นครูชนิดที่ว่าจำเป็นจำใจ สอนหนังสือเลี้ยงชีพเท่านั้นแหละ สอนหนังสือหากินนี้เท่านั้นแหละ ครูประเภทนี้ ไม่ใช่ครูผู้เปิดประตูคอก เราพูดกันตรงๆ นะ อาตมาก็เป็นครู ท่านก็เป็นครู ไม่ใช่ด่ากันนะ พูดความจริงระหว่างกัน เราเป็นครูของพระพุทธเจ้า ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าต้องเป็นครูด้วยกันทุกคน ผู้ประกาศตนเป็นพุทธบริษัทแล้วก็เป็นครู ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นเราเป็นครูกันเท่านั้นแหละ เรื่องมันจะหมดปัญหา เปิดประตูให้สัตว์ออกมาเสียจากคอก คอกนี้มืดเพราะมันเป็นอวิชชา คอกนี้เหม็น เพราะมันทำผิด ทำชั่ว คอกนี้สกปรกเพราะมีแต่ความเห็นแก่ตัว ไปดูไอ้คอกไก่ คอกเป็ด บางคอกที่เขาทำไม่ดี เจ้าของทำไม่ดี คอกไก่ คอกเป็ด ทั้งเหม็น ทั้งมืด ทั้งสกปรก คอกหมู คอกอะไรก็ได้ มันอยู่ในคอกนั้น มันเป็นอย่างนั้น ทีนี้ครูมีหน้าที่ที่จะเปิดประตูคอกให้สัตว์ทั้งหลายออกมาเสียจากคอก ฉะนั้นครูจะต้องไม่เป็นผู้อยู่ในคอกเสียเอง ครูจะต้องไม่มีอวิชชา ไปหลงใหลอยู่ในอบายมุข จมอยู่ในอบายมุข ทีนี้ครูก็เป็นผู้เปิดประตูคอก ให้สัตว์ทั้งหลายออกมาเสียจากความโง่เขลา ความที่มันไม่รู้อะไร นี่เรียกว่าความโง่เขลา เราทำให้เขาพ้นจากความโง่เขลา ให้เขารู้สิ่งที่ควรจะรู้ นับตั้งแต่หนังสือหนังหา วิชาชีพ แล้วก็สอนเลยวิชาชีพไปถึงว่าเขาจะต้องเป็นมนุษย์กันอย่างไร เท่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้เห็นได้ง่ายๆ ท่านลองฟังดูให้ดี ไอ้วิชาที่ครูจะต้องสอนมันมีอยู่เป็นสามระดับ ข้อที่หนึ่งให้รู้หนังสือ เพราะการรู้หนังสือเป็นพื้นฐานทั่วไปสำหรับจะให้รู้ต่อไป ข้อที่หนึ่งให้รู้หนังสือ แล้วข้อที่สองให้รู้อาชีพ ข้อที่สามให้รู้ธรรมะ ว่าเราจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร ข้อที่สามนี่เป็นมนุษย์กันอย่างไรให้ถูกต้อง ให้สมกับที่เป็นมนุษย์นี่ไม่ได้สอน สอนแต่หนังสือ แล้วก็สอนแต่อาชีพ การศึกษาเป็นหมาหางด้วน การศึกษาที่กำลังมีอยู่ในโลกนี้มันเป็นการศึกษาหมาหางด้วน เพราะมันสอนแต่หนังสือและอาชีพเท่านั้น ส่วนที่ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรให้ถูกต้อง ไม่ได้สอน อาตมาไม่กลัวใครหรอก พูดทางวิทยุก็หลายหนว่าการศึกษามันยังหมาหางด้วนอยู่ ทั่วโลกก็ได้ ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามา เอาอย่างเขามาก็มาสอนแต่หนังสือกับอาชีพ เพราะไปหลงเพียงหนังสือกับอาชีพ พวกที่ไปถ่ายทอดวิชาความรู้มาจากเมืองนอก มีปริญญายาวเป็นหางมาจากเมืองนอก มันไปถ่ายทอดความรู้เฉพาะหนังสือกับอาชีพเท่านั้นแหละ ที่ฝรั่งเขาเคร่งครัดทางศาสนา นับถือพระเจ้าอย่างเคร่งครัด เป็นสุภาพบุรุษอย่างดี มันไม่เอามา ไม่รับเอามา นี่คนมีกิเลส มันไปถ่ายทอดไอ้ความรู้พวกฝรั่ง เอามาแต่เรื่องที่เป็นกิเลส จะเป็นใครก็ตามใจเถอะ ไอ้คนที่มันไปรับถ่ายทอดความรู้ของพวกฝรั่งมาสอนเมืองไทย มันเป็นคนมีกิเลส แล้วมันก็รับเอามาแต่เรื่องกิเลส คือรู้หนังสือกับอาชีพเท่านั้น ที่ของดีๆ ของพวกฝรั่งที่เขาเคร่งครัดในศาสนา ไปโบสถ์ทุกวัน เน้นแต่เรื่องความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่เน้นเอามา ไม่เอามาสอนเมืองไทย มาสอนกันแต่หนังสือกับอาชีพ การศึกษาของเรามันเป็นหมาหางด้วนอย่างนี้ เพราะว่าคนที่ไปถ่ายทอดความรู้มาจากพวกฝรั่งนั่น มันไม่เอามาให้หมด มันเอามาแต่เรื่องหนังสือกับอาชีพ เราก็มีการศึกษาหมาหางด้วน เรียนเรื่องที่ไม่จำเป็นเสียหมดเวลา เช่นว่า เด็กๆ จะต้องเรียนเรื่องว่าโลกนี้แบ่งเป็นประเทศกี่ประเทศ ประเทศไหนมีแม่น้ำ ภูเขา การเมืองอะไรอย่างไร ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์เรียนหมด ทั้งโลกเลย นักเรียน แต่แม่ของมันมีบุญคุณอย่างไร มันไม่รู้นะไอ้เด็กพวกนี้ แม่ของมันมีบุญคุญกับมันอย่างไรมันไม่รู้นะ แต่มันรู้ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ทั่วโลก คิดดูสิ การศึกษาบ้าบออย่างนั้นนะ ควรจะจัดกันเสียใหม่เถอะ ไอ้เรื่องการศึกษานะ อย่าให้มันไปเรียนเรื่องที่ไม่จำเป็น เสียเวลามากเกินไป มาเรียนให้รู้เสียเร็วๆ แม่คืออะไร พ่อคืออะไร ธรรมะคืออะไร พระเจ้า พระสงฆ์คืออะไร เราจะมีความสุข เป็นมนุษย์กันให้ถูกต้องนั้นคืออย่างไรนั่น มันก็สมบูรณ์แหละ เดี๋ยวนี้อาตมาอยากจะท้าว่า ครูทั้งหลายทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ก็สอนแต่หนังสือกับอาชีพเท่านั้นแหละ ไม่ได้สอนว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร เป็นลูกจ้างรัฐบาล สอนให้การศึกษาชนิดหมาหางด้วนอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะรัฐบาลเขาไม่ได้จัดอะไรให้มันดีกว่านั้น ไม่ได้จัดให้การศึกษามันไม่ด้วน เหมือนหมาหางด้วน มันก็ไม่น่าดู พระเจดีย์ยอดด้วนมันก็ไม่น่าดู อะไรๆ ถ้ามันด้วนแล้ว มันไม่น่าดู ฉะนั้นเรามีการศึกษาชนิดที่ด้วนๆ กันอยู่ อาตมาก็ไม่ได้ตำหนิติเตียนท่านทั้งหลายหรอก เพราะท่านทั้งหลายต้องทำไปตามกฎ ตามระเบียบ ตามหลักสูตรที่บังคับบัญชา เขาให้หมาหางด้วน เราก็สอนไปอย่างหางด้วน โลกมันไม่ดีขึ้นเพราะเหตุนี้ เราสร้างโลกไม่สำเร็จ เพราะว่าการศึกษามันเป็นระบบหมาหางด้วนกันเสียอย่างนี้ และเราก็ทำดีที่สุดแล้ว ตามหลักสูตรแล้ว มันก็ยังไม่พ้นที่จะด้วน ทีนี้ก็ต้องเลือกต่อไปว่าเราจะพอใจเพียงเท่านั้น หรือว่าเราจะถือสิทธิ ฐานะที่เราเป็นครู เราจะสร้างโลกที่สมบูรณ์ เราจะให้การศึกษาที่สมบูรณ์ ก็คือจะสอนการศึกษาที่สาม คือธรรมะ คือศีลธรรม ที่สอนว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร ครูบางคนอาจจะถือว่า โอ้ย ให้มันเล่นกีฬา กีฬาเป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน มัน มันไม่ถูกหรอก ตีความหมายไม่ถูก แล้วก็ผิดใหญ่เลย ถ้ากีฬาจริง ถ้ากีฬาเป็นกีฬาจริง ต้องมีศีลธรรม แล้วก็แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคนได้ แต่เดี๋ยวนี้กีฬาที่เล่นๆ กันอยู่กลับส่งเสริมกิเลส ทำคนให้เป็นสัตว์มากกว่านะ เพราะในวงกีฬา มันพร้อมที่จะเอาเปรียบ ไอ้โค้ช โค้ช ผู้ฝึกทั้งหลาย มันสอนวิธีเอาเปรียบทั้งนั้นแหละ และในกองกีฬาจะแก้กิเลสได้ยังไง เพราะมันเรียนวิธีเอาเปรียบ ไปส่งเสริมการเอาเปรียบ ไปเชียร์พวกเราเพื่อเอาเปรียบ ฉะนั้นกีฬาไม่ได้แก้กิเลส ทำคนให้เป็นคนหรอก ไม่พอหรอก จะทำคนให้เป็นคนด้วยกีฬา ไม่พอ เพราะว่ากีฬามันเลวเต็มที่แล้ว มันส่งเสริมกิเลสเสียแล้ว ก็ต้องมีการศึกษาที่ถูกต้องที่สมบูรณ์กันอีกส่วนหนึ่ง คือที่มันแก้กองกิเลส และทำคนให้เป็นคน นั่นแหละคือธรรมะ ธรรมะ หรือศีลธรรม การศึกษาที่หนึ่งคือหนังสือ การศึกษาที่สองคืออาชีพ การศึกษาที่สามคือธรรมะ สอนให้ถึงขั้นที่สามคือธรรมะ แล้วลูกศิษย์ของเราก็จะเป็นคน จะมีกิเลสลดน้อยลง และเป็นคน เป็นคนมากขึ้นๆ แล้วก็เป็นมนุษย์คือความสมบูรณ์แห่งความเป็นคนมันอยู่ที่ความเป็นมนุษย์ ฉะนั้นครูก็เลยเป็นผู้สร้างโลก สร้างคนให้เป็นคน และสร้างคนให้เป็นมนุษย์ ครูจึงเป็นผู้ที่ได้บุญ ไม่ใช่ประจบนะ ไม่ใช่ประจบกันเอง ไม่ใช่ยกยอกันเอง ว่าครูมันเป็นอาชีพที่ได้บุญ อาชีพมีเยอะแยะ แต่อาชีพที่ได้บุญด้วยนั้นนะมีอาชีพครูนี่อย่างหนึ่งแน่นอน อาชีพแบกกระสอบข้าวสารคงไม่ได้บุญหรอก แต่ถ้าเอาอาชีพครูนี่ สอนเขาให้รู้ว่าเป็นคนกันอย่างไรนี่ ออกมาเสียจากคอกได้อย่างไรนี่ อาชีพนี้นอกจากจะได้เงินเดือน หรือประโยชน์ตามธรรมดาแล้วต้องได้บุญด้วย อาชีพที่สร้างความยุติธรรมถูกต้องอื่นๆ ก็เป็นอาชีพที่ได้บุญด้วยก็มีเหมือนกัน เช่นรักษาความยุติธรรม รักษาความปลอดภัยอะไร ก็เป็นอาชีพที่ได้บุญได้ แต่เรามาดูอาชีพครูของเรากันดีกว่า ถ้าเราทำหน้าที่ครูถูกต้องแล้ว เป็นอาชีพที่ได้บุญ เกินค่าของเงินเดือนที่ได้รับ ดังนั้นครูจึงเป็นปูชนียบุคคล เพราะทำประโยชน์ให้แก่โลกเกินกว่าค่าของเงินเดือนที่ได้รับ อาชีพที่ทำให้ได้บุญ ก็คืออาชีพครู อาชีพที่ทำให้เป็นปูชนียบุคคลก็คืออาชีพครู ท่านทั้งหลายควรจะพอใจที่ได้พลัดมามีอาชีพครู ซึ่งเป็นอาชีพที่ได้บุญ และเป็นอาชีพที่เป็นปูชนียบุคคล แต่คนเขาไม่ค่อยรู้สึกกันอย่างนี้ เขากลายเป็นอาชีพจำเป็น ครูนี่อาชีพจำเป็น ไปทำอาชีพอื่นไม่ได้ ก็มาเรียนครู แล้วก็มาเป็นครู คอยจ้องที่จะทิ้งอาชีพครูไปหาอาชีพอื่นอยู่เสมอ อย่างนี้ไม่ได้ภักดีซื่อตรงต่ออาชีพครู เพราะไม่รู้ว่าอาชีพครูนี้ได้บุญด้วย และเป็นปูชนียบุคคลด้วย ขอร้องพวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ มองดูให้ดี ว่ามันมีอาชีพไหนบ้างที่ได้บุญด้วย และทำให้เป็นปูชนียบุคคลด้วย อาตมาว่ามีอาชีพครูนี่แหละ ถ้าเป็นครูแท้จริง มันก็เป็นผู้เปิดคอก เปิดประตูให้สัตว์ออกมาเสียจากคอก คือ ความผิด ความชั่ว ความตาย ความวินาศ ออกมาเสียจากคอกเหล่านี้ ครูให้ผลมากเกินค่าของเงินเดือน จึงได้บุญ จึงเป็นปูชนียบุคคล อย่าคิดเปลี่ยนอาชีพกันเลย ไม่มีอาชีพไหนจะสูง จะประเสริฐเท่ากับอาชีพครูแล้ว ผู้ที่เป็นครูที่แท้จริงนั้นจะเป็นปูชนียบุคคลเหมือนพระพุทธเจ้า เพราะเป็นผู้สั่งสอนให้ออกมาเสียจากสิ่งเลวร้าย หรือความทุกข์ทั้งปวง ถ้าใครคิดจะเปลี่ยนอาชีพครู อาตมาขอท้วง ว่าไปคิดเสียใหม่ ไม่ถูก ทำไมจะไปละอาชีพที่ประเสริฐ ที่สูงสุด ไปอาชีพต่ำๆ คือไม่ได้บุญ และไม่เป็นปูชนียบุคคล
เอาละ ทีนี้เราก็มาดูกันให้รายละเอียดในข้อที่ว่า ครูเป็นผู้สร้างโลก เป็นผู้ทำให้จิตวิญญาณของคนในโลกเดินถูกทาง ถ้าไม่มีการอบรมสั่งสอนที่ถูกต้อง ไอ้จิตวิญญาณของคนในโลกมันเดินไม่ถูกทาง เพราะเหตุว่าสัตว์ทั้งหลายมีสัญชาตญาณประจำสันดานมาทั้งนั้น คือความเห็นแก่ตัว สัญชาตญาณไม่ ไม่ ไม่ประกอบด้วยสติปัญญาอะไรนัก เป็นเพียงความรู้สึกได้ตามธรรมชาติเอง สัญชาตญาณอย่างนี้ มันก็รู้แต่ที่จะเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี่เป็นเหตุให้เกิดกิเลส อยากจะเอามากๆ อยากจะเอาเปรียบ เช่นว่า ไม่อยากจะทำการงาน อยากจะคอยขโมยอย่างนี้ นี่เป็นปัญหาหนักในบ้านเมือง มีแต่คนคอยขโมยปล้นจี้ เอาเปรียบอะไรต่างๆ นี่เป็นปัญหาหนัก กิเลสที่เป็นสัญชาตญาณเห็นแก่ตัวของเขาน่ะ มันจูงไปในทางไม่ต้องทำงาน ใครทำ เราขโมยดีกว่า ฉะนั้นพื้นที่แผ่นดินในประเทศเรามันจึงรกร้างว่างเปล่าอยู่มาก เพราะว่าเขาไม่กล้าทำอะไรลงไป ปลูกอะไรมันลักขโมยเสีย เลี้ยงวัวมันขโมยเสีย แผ่นดินมันจึงรกร้างว่างเปล่าอยู่มาก ถ้าไม่มีใครขโมย มันก็จะปลูกฝังสร้างสรรค์อะไรขึ้นมามากกว่านี้ ฉะนั้นความที่ไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งที่มนุษย์เราจะก้าวหน้าจะเจริญ เราบอกเขาให้รู้จักข่มสัญชาตญาณเลวร้าย คือความเห็นแก่ตัว เป็นเหตุให้เกิดความโลภ แล้วเมื่อไม่ได้อย่างใจสักหน่อย ก็โกรธ ก็ฆ่าฟันกัน แล้วความคิดก็คิดแต่จะเพิ่มความเห็นแก่ตัว เพิ่มความเห็นแก่ตัว จนตัวเองตกไปเป็นทาสของกิเลสของตัวเองมากขึ้น คือเป็นอยู่อย่างโง่เขลา เป็นอยู่อย่างโง่เขลานั่นแหละเป็นปัญหาสำคัญในโลก เวลานี้เราเสียเวลาด้วยกันเป็นอยู่อย่างโง่เขลา กินดีเกินไป นุ่งห่มดีเกินไป บ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอย ยานพาหนะดีเกินไป การบำบัดโรคก็กลายเป็นเรื่องสำรวยสำอางค์ไปแล้ว อย่างนี้ก็ผิดหมดแล้ว อย่าให้ความเห็นแก่ตัว คือความเห็นแก่เอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางใจนี่ ความเอร็ดอร่อยหกทางนี้ทำให้ดำเนินไปผิด แล้วมันก็ยิ่งผิด ยิ่งผิดหนักขึ้นไปอีก คนเราทำชั่วเพราะความเห็นแก่ตัว ซึ่งเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยทาง ตา หู จมูก ลิ้นกายใจ เรามาสอนกันให้รู้ว่า นี่มันไม่ได้แล้ว ถ้าต่างคนต่างทำอย่างนี้ มันก็ฆ่ากันตายหมดแหละ มันจะต้องแย่งชิง จะต้องเบียดเบียนกันไม่มีที่สิ้นสุด มันก็จะต้องวินาศกันไปทุกคน ฉะนั้นเรามามีธรรมะกันดีกว่า มีธรรมะแล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว ก็ไม่ทำชั่วก็ไม่ทำบาป เราเห็นว่าทำดีสนุกสนาน ทำให้ถูกต้องมันคือปฏิบัติธรรมะ คำว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ ยังขอยืนยันเต็มที่ ครูอาจารย์ทั้งหลายช่วยจำไว้ด้วยว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ แต่มีบทนิยามอีกอันหนึ่ง ซึ่งคนที่มีปัญหาเขารวมกลุ่มกันเข้าแล้วก็บัญญัติบทนิยามนั้นว่า ธรรมะคือความถูกต้อง สำหรับความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา นี่เขาอุตสาห์คิด ประชุมกันคิดหลายๆ ปีออกมาเป็นบท บทบัญญัติ นิยามว่าอย่างนี้ เราก็คงจะคิดว่าเป็นความคิดโง่ๆ ไม่อยากจำก็ได้ ไม่สนใจก็ได้ แต่อาตมาขอยืนยันว่าเป็นบทบัญญัตินิยามที่น่าสนใจที่สุด ธรรมะคือความถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ตั้งแต่คลอดจากท้องแม่จนเข้าโลงนี่ ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ ต้องมีความถูกต้องเพื่อความเป็นมนุษย์ มันหมายถึงการกระทำ ไม่ใช่รู้ๆ อยู่ในสมุด มันทำอยู่ที่เนื้อที่ตัว มีความถูกต้องอยู่ที่เนื้อที่ตัว สำหรับความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ช่วยไปบอกลูกเด็กๆ นักเรียนของเราให้รู้ว่าธรรมะคือสิ่งนี้ คือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คืออย่างไร หน้าที่คือให้มีความถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของเราทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการแห่งชีวิตของเราตั้งแต่คลอดออกมาจนกว่าจะตาย อย่าให้มีขั้นไหนตอนไหนที่เป็นความผิดพลาด ธรรมะคืออย่างนี้ ไอ้เด็กๆ มันไม่รู้ มันก็เอาไปอวด ไปล้อเล่น เห็นเป็นเรื่องครึคระอยู่ตามวัดตามวา ธรรมะธัมโมเก็บไว้ที่วัด กูไม่เอา กูไปกิน ไปเล่น ไปหัว ไปสนุกสนาน หัวหกก้นขวิดดีกว่า ธรรมะกูไม่เอา เพราะมันไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร เพราะว่าครูไม่ได้สอน เพราะว่าพ่อแม่ไม่ได้สอน หรือว่าพระเจ้าพระสงฆ์ไม่ได้สอนด้วยก็ได้ มันไม่ได้สอนกันจริงๆ ว่าธรรมะนั้นมันคืออะไร เดี๋ยวนี้เราจะเป็นครูผู้สร้างโลก แล้วก็จะต้องรู้ว่า จะต้องรู้ ต้องรู้หน้าที่ว่าจะต้องทำให้โลกนี้มีธรรมะ ให้โลกปฏิบัติธรรมะ ให้โลกรู้ธรรมะ เราต้องสอนว่าธรรมะคืออะไรให้ถูกต้องไปตั้งแต่เล็กๆ เลย ตั้งแต่ชั้นอนุบาลเลยว่าธรรมะคืออะไร ให้เขารู้ว่าแม่คืออะไร พ่อคืออะไร พี่น้องคืออะไร ชีวิตคืออะไร บ้านเมืองคืออะไร มนุษย์คืออะไร ให้เขารู้ถูกต้องในข้อเหล่านี้ แล้วเขาก็จะเดินถูกทาง มีธรรมะได้ สำคัญอยู่ที่ว่าเขาต้องเห็นชัดจริงๆ ว่าธรรมะคือหน้าที่ เมื่อได้ทำหน้าที่เต็มที่ นั้นเขาก็มีธรรมะเต็มที่ ทีนี่คนไม่ชอบหน้าที่ เพราะว่ามันเหนื่อย เพราะมันเหนื่อย ไม่ชอบเหนื่อยนี่เอง คนจึงไม่ชอบทำงานให้สุดความสามารถเพราะมันเหนื่อย เพราะมันไม่นึกสนุก เว้นเสียแต่ว่าคนที่มีปัญญา เป็นบัณฑิตมองเห็นชัดว่าธรรมะคือหน้าที่ พอได้ทำหน้าที่แล้วก็พอใจ แล้วก็ทำอย่างไม่เห็นแก่เหนื่อย ไม่เห็นแก่สกปรก ไม่เห็นแก่ ว่าทำนา ทำไร่ ทำอะไรก็ตามที่เหน็ดที่เหนื่อย กลางแดดกลางฝน หรือในโคลนสกปรกอะไรก็ทำสนุกไปเลย นั่นแหละคือคนมีธรรมะทำหน้าที่ สิ่งที่มีชีวิตต้องทำหน้าที่ เมื่อมันทำหน้าที่ ก็เรียกว่ามันมีธรรมะ ถ้าเห็นแม่ไก่มันเขี่ยดินให้ลูกมันกินอาหารแล้วคนก็ควรจะละอายมันบ้าง เพราะคนยังไม่ได้ทำ ยังนั่งดูเล่นๆ อยู่ เมื่อแม่ไก่มันเขี่ยดินให้ลูกมันกินอาหารอยู่นั่นแหละ มันเขี่ยดินให้ลูกมันกินอาหารอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย คนละอายแม่ไก่นั้นบ้าง ว่าคนมันยังไม่ได้ทำหน้าที่ นี่ มันทำหน้าที่ คือ ธรรมะ ฉะนั้นเราเมื่อรู้กันเสียมันให้ถูกต้องว่าธรรมะคือหน้าที่ ถ้าได้ทำแล้ว ก็ควรจะพอใจ เมื่อพอใจแล้วก็เป็นสุข นี่เป็นกฎของธรรมชาติทางจิต จิตใจว่า ถ้าพอใจแล้วจะเป็นสุข ถ้าไม่มีอะไรที่พอใจแล้วมันจะไม่เป็นสุข ถ้าพอใจอย่างโง่ๆ มันก็เป็นสุขอย่างโง่ๆ ถ้าพอใจอย่างเฉลียวฉลาด มันก็เป็นสุขอย่างเฉลียวฉลาด ฉะนั้นไอ้คนอันธพาลเขาก็มีความพอใจ แต่มันเป็นพอใจอันธพาล มันก็มีสุขอันธพาล มันมีสุขโง่ เพราะว่าความพอใจนั้นมันโง่ นี่เราไม่เอา เราต้องเอาความพอใจที่ถูกต้อง ความพอใจที่ถูกต้อง แล้วความสุขก็ถูกต้อง ความสุขก็แท้จริง ถ้าพอใจที่ถูกต้องมันก็ต้องเหนื่อยบ้างแหละ มันต้องอาบเหงื่อต่างน้ำบ้างแหละ แต่ถ้าเราเห็นอยู่ว่าเป็นความถูกต้อง เราก็สมัครอาบเหงื่อต่างน้ำแหละ นี่ปู่ย่าตายายของเราเคยเป็นอย่างนี้นะ ไม่หลอกนะ ปู่ย่าตายายของเราเคยพอใจที่จะอาบเหงื่อต่างน้ำหากินโดยสุจริต ไม่คิดที่ว่ารอให้คนอื่นทำ แล้วเราไปขโมยดีกว่า ชั้นลูกหลานสิที่มันจะเป็นอย่างนี้ ชั้นลูกหลานจึงคอร์รัปชั่น เต็มไปหมดเลย คอร์รัปชั่นในบ้านในเรือนของตัวเอง คอร์รัปชั่นราชการ คอร์รัปชั่นบ้านเมือง คอร์รัปชั่นกันทั้งโลกเลย เพราะมันไม่อยากจะอาบเหงื่อต่างน้ำ คนที่รู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ แม้อาบเหงื่อต่างน้ำเขาก็ยินดี คนนี้ไม่คอร์รัปชั่น อาตมาจะเล่าสิ่งที่ได้เคยผ่านพบมา แล้วเกิดความรู้สึก อย่าหาว่าเป็นเรื่องเสียเวลานะ บางทีเดินไปที่ทุ่งนา ก่อนๆ โน้น ไม่ใช่เดี๋ยวนี้นะ ชาวนาคนหนึ่งเขาบอกขึ้นมาเองว่า หว่านกับถัง เอาข้าวใส่บาตรบ้าง แหละเจ้าเอ้ย พูดกับพระเขาเรียกเจ้า เจ้าเอ้ย หมายความว่าแกทำนานี่เพื่อจะเอาใส่บาตรบ้าง ไถนาอยู่ๆ ขุดนาอยู่ ทำนาเพื่อจะเอาข้าวใส่บาตรบ้าง นี่ชาวนาคนนี้ อาบเหงื่อต่างน้ำนะ ไถนา ขุดนา กลางแดด กลางอะไร ก็สนุกเป็นควันไปเลย เพราะว่ามันทำเพื่อหน้าที่ แล้วจะเอาข้าวที่ปลูกได้นี่มาใส่บาตร ตั้งใจไว้อย่างนั้น ชาวนาคนนี้ ไม่ได้คิดว่าทำนาได้ข้าวแล้วเอาเงินไปซื้อเหล้ากิน เหมือนชาวนาคนอื่น ชาวนาคนอื่น มันทำนาได้แล้ว มันขายข้าวแล้ว มันจะเอาเงินไปซื้อเหล้ากิน ถ้าเมียมันไม่ให้เงิน มันก็ตีเมียตายเลย แต่ชาวนาอีกพวกหนึ่ง เขาจะทำนาเพื่อเอาข้าวใส่บาตร นี่คือปู่ย่าตายายที่มันเคยถูกต้องมาแต่ก่อน เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนแล้ว มันมากลายเป็นว่า ทำนาได้เงิน เอาไปซื้อเหล้ากิน ไปแสวงหากามารมณ์ หรืออบายมุขทุกรูปแบบนะมันเป็นอย่างนี้ นี่มันเรื่องจริง ไปดู ไปคอยสังเกตดู ว่ามันได้เปลี่ยนแปลงมาก แม้คนทำนา ไอ้ชาวนาสัตบุรุษ ชาวนาที่เป็นสัตบุรุษ เป็นอุบาสกที่แท้จริง ที่ดี ที่สมัยก่อนนั้นเขาทำนาเพื่อหน้าที่ จะได้เลี้ยงชีวิต จะได้ใส่บาตร จะได้บำรุงศาสนา ไม่ได้เคยคิดว่าจะทำนาได้เงินแล้วเอาไปซื้อเหล้ากิน แต่เดี๋ยวนี้ชาวนาที่จะทำนาแล้วเอาเงินไปซื้อเหล้ากินนี่มันมากขึ้นๆ ไอ้คนพวกนี้ที่จะคอร์รัปชั่น หรือว่าจะขโมย หรือว่าจะอะไรต่างๆ โลกมันเปลี่ยนมากถึงอย่างนี้ คนเหล่านี้ไม่ถือว่าทำงานคือหน้าที่ แล้วก็ไม่พอใจ ไม่พอใจก็ไม่เป็นสุข ก็ไม่รู้สึกว่าการทำงานนั้นเป็นการทำบุญ ทำกุศล ครูบาอาจารย์ทั้งหลายช่วยศึกษาข้อนี้ให้เข้าใจว่า ไอ้ทำหน้าที่ของตนนั่นแหละ คือทำบุญ ทำกุศล ไม่ต้องไปทำที่วัด ทำที่กลางนาเหงื่อไหลไคลย้อยนั่นแหละทำบุญ ทำกุศลอยู่ที่นั่น แล้วเด็กๆ ของเราก็จะได้มีความคิดอย่างนี้ แล้วเด็กๆ ของเราก็จะทำบุญทำกุศลอยู่ในการงาน แล้วเขาก็ไม่ยากจน ในเมื่อไม่ยากจนก็ไม่ต้องคอร์รัปชั่น หรือไม่ต้องขโมย ถ้าเขาไม่มีความคิดอย่างนี้ เขาก็คิดว่าขโมยดีกว่า มา มาเหนื่อยอยู่ทำไม ขโมยดีกว่า ถ้าเราทำให้เขาคิดถูกต้อง นั่นแหละคือเราเปิดประตูแล้ว เราเปิดประตูให้แก่เด็กๆ ของเราอย่างถูกต้องแล้ว เขาก็เดินถูกทาง เขาก็เลยสนุกสนานในการทำงาน ฉะนั้นเราจงมีวิธีอบรมศีลธรรม โดยทำให้เด็กๆ ของเราสนุกสนานในการทำงาน หลักสูตรการศึกษาหมาหางด้วนมันไม่มี หลักสูตรการศึกษาหมาหางด้วนมันไม่มีสอนว่าอย่างนี้นะ เราตั้งหลักสูตรกันเอาเองก็ได้นะว่า สอนให้เด็กๆ มันรู้สึกเป็นสุขเมื่อทำการงาน และรู้สึกว่าเมื่อทำการงานนั่นแหละคือทำบุญทำกุศลอยู่อย่างแท้จริง มันก็ช่วยดึง ช่วยจูงกันไปก่อนเถอะ ให้เด็กๆ มันทำงานในโรงเรียน เช่นว่า กวาดโรงเรียน รักษาความสะอาดของโรงเรียน ทำทุกอย่างเพื่อความเป็นสุขสบายเรียบร้อยนั่นแหละคือบุญคือกุศล ให้เด็กๆ ของเรา รู้ รู้สึกอย่างนี้ แล้วโตขึ้นเขาก็ไปทำงานอย่างเป็นสุข สนุกสนาน ไม่ต้องขโมย ในโรงเรียนอบรมเด็กให้รู้สึกเป็นสุข เมื่อทำการงาน เดี๋ยวนี้เด็กคนไหนบ้างที่สมัครจะกวาดโรงเรียน ครูใช้มันยังไม่ทำ ครูใช้ให้ทำมันยังไม่ทำ แล้วมันก็ภารโรงที่ทำไม่ใช่หน้าที่ของเรา ซึ่งครูเองก็ไม่อยากทำ ครูที่มีภารโรงแล้วครูก็ไม่เคยกวาดขยะแม้แต่สักแป๊กหนึ่งก็มี ฉะนั้นเราจะมาสอนกันเสียใหม่ว่าทำการงาน ทำหน้าที่ของมนุษย์นั่นแหละ คือทำบุญ ทำกุศล คือปฏิบัติธรรมะ ฉะนั้นครูกระโดดลงไปทำก่อน อย่าอายัดให้ภารโรงทำอยู่คนเดียว เราจะทำอย่างสนุกสนาน การงานของมนุษย์ อาตมาก็เคยพูดบรรยายวิทยุวันอาทิตย์นะว่าอธิบดีจับไม้กวาดมากวาดพื้นเสียบ้างสิ แล้วจะได้ศึกษาว่าธรรมะคืออะไร การงานคืออะไร พวกอธิบดี พวกรองอธิบดี หรือกระทั่งถึงรัฐมนตรีด้วยก็ได้ จับไม้กวาดกวาดพื้นเสียบ้างสิ มันจะเกิดความรู้ขึ้นในจิตใจว่าการงานคืออะไร แล้วจิตใจที่พอใจในการงานนั้นมันสูงหรือมันต่ำ คราวนี้เราเป็นครูนี่แหละ ขอให้ช่วยนำเด็กไปในทางความคิดที่ว่าการงานเป็นของประเสริฐ เป็นบุญ เป็นกุศล ควรจะพอใจ เมื่อพอใจแล้วก็เป็นสุข ขอให้มีความสุขเมื่อทำการงาน เมื่อกวาดบ้านก็เป็นสุข เมื่อช่วยในครัวเขาล้างจานก็มีความสุข เมื่อช่วยเขาถูพื้นเรือนก็ให้มีความสุข พ่อบ้าน เมื่อช่วยเขาถูพื้นเรือนก็ให้เป็นสุข ล้างจานก็ให้เป็นสุข แม้แต่ช่วยล้างส้วมก็ให้เป็นสุข รู้สึกเป็นสุข นับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อพ่อบ้านมันไปช่วยล้างส้วมให้สะอาด มันจะได้ยกมือไหว้ตัวเองได้ เพราะเรามีธรรมะ ถ้าพ่อบ้านเขาเป็นอย่างนี้ แล้วไอ้ลูกบ้านทั้งหลายมันก็เป็นไปถูกทาง มันมีหลายวิธี แต่สรุปแล้วมันมีความหมายอย่างเดียวกันหมดว่าไอ้งานนั่นแหละคือธรรมะ ปฏิบัติธรรมคือทำงาน ทำงานคือการปฏิบัติธรรม งานคือหน้าที่ของมนุษย์ เพื่อความเป็นมนุษย์ของเราจะได้สมบูรณ์ เราจะรอดชีวิตอยู่อย่างเป็นผาสุข นี่เป็นธรรมะขั้นต้น ครั้นรอดชีวิตอยู่อย่างเป็นผาสุขแล้ว เราทำให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป จนบรรลุมรรคผลนิพพานอันขั้นสูง สายเดียวกันคือการทำงาน มันก็สร้างนิสัยเปลี่ยนใหม่ ไม่เป็นกิเลส คือสนุกเมื่อทำงาน ก็ไม่มีใครยากจน เดี๋ยวนี้มันพูดกันอย่างโง่ที่สุด ว่ายากจน ยังไม่มีอะไรจะกินจะไปสนใจธรรมะได้อย่างไร ก็จะพูดว่ารอให้มีกินมีใช้เสียก่อน จึงจะไปทำบุญ ทำทาน ทำกุศล นั่นนะคนโง่พูด เพราะมันไม่รู้ว่าเมื่อทำงานนั่นแหละคือบุญ คือกุศล ก็ทำงานที่เป็นบุญเป็นกุศลแล้วมันจะมีอะไรกิน มันก็ไม่ยากจน ฉะนั้นมันยังเข้าใจผิดกันอยู่ว่า รอให้ ให้ ให้มีกินเสียก่อนจึงจะมาศึกษาธรรมะ เดี๋ยวนี้เรายังยากจนอยู่ ที่ถูกไม่ใช่เป็นอย่างนั้น เขาจนเพราะเขาไม่มีธรรมะ ถ้าเขามีธรรมะ เขาสนุกในการทำงาน แล้วเขาก็ไม่ยากจน อยากจะพูดว่า แม้แต่รัฐบาลก็ยังเข้าใจผิดนะ รอให้คนมั่งมีร่ำรวยกันเสียก่อน จึงจะสอนธรรมะ ไม่ถูก ไม่ถูกตามเรื่องของพระพุทธเจ้า จะต้องสอนธรรมะ เขามีธรรมะ แล้วเขาจะสนุกในการงาน แล้วเขาจะไม่ยากจน ประชาชนของเราก็จะไม่ยากจน ฉะนั้นแก้ปัญหาศีลธรรมก่อนแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไอ้เศรษฐกิจนั้นอย่าไปบูชามันนักนะ ยิ่งเศรษฐกิจดีมันยิ่งโกงนะ คุณช่วยจำไปด้วยนะ ยิ่งเศรษฐกิจดีมันยิ่งคิดโกง ถ้ามันไม่มีศีลธรรม ถ้ามันมีศีลธรรมแล้ว จะเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี มันก็ไม่โกง มันก็ไม่โกง มันจะยากจนหรือมันจะมั่งมี มันก็ไม่โกง ถ้ามันมีศีลธรรม ถ้าไม่มีศีลธรรมแล้ว ยิ่งรวยแหละมันยิ่งโกง ยิ่งมีอำนาจนะมันจะยิ่งโกง สำหรับผู้ที่ไม่มีศีลธรรม ฉะนั้นเอาศีลธรรมเข้ามาไว้ก่อน แล้วมันก็จะไม่มีใครโกง ยิ่งรวยก็ยิ่งไม่โกง ยิ่งมีอำนาจก็ยิ่งไม่โกง เราอยู่กันด้วยความไม่โกง จึงจะเป็นสุข ถ้าเขารู้ว่าการทำงานคือการทำบุญ ทำกุศล เป็นปฏิบัติธรรมะ แล้วก็สนุกในการทำงาน แล้วก็มี กินมีใช้แหละ ไม่มีใครยากจน ถ้ายิ่งชอบทำงานว่าเป็นบุญเป็นกุศล มันก็ทำมาก ทำมาก มากกว่าจำเป็น มันก็เหลือกินเหลือใช้แหละ พอเหลือกินเหลือใช้แล้ว มันก็มีโอกาสที่จะช่วยสงเคราะห์ผู้อื่น ฉะนั้นหลักธรรมะเกี่ยวกับเศรษฐกิจในพุทธศาสนานี้ก็คือว่า ทำให้มันมาก กินแต่พอดี เหลือเอาไปช่วยผู้อื่น อาตมากำลังขอร้องนะ บางคนจะไม่สนใจนะ ว่าครูทั้งหลาย ช่วยไปบอกเด็กๆ ให้เขามีหลักที่ถูกต้องว่า ทำให้มาก เพราะว่าเป็นการทำดี ทำกุศล ทำให้มาก ทำมากแล้วกินใช้แต่พอดี เก็บไว้แต่พอดี แล้วเอาส่วนที่เหลือไปช่วยผู้อื่น ทำได้อย่างนี้เมื่อไร คอมมิวนิสต์ตายหมด ไม่ต้องฆ่า ถ้าคุณทำได้อย่างนี้เมื่อไร คอมมิวนิสต์ในโลกทั้งโลก มันจะตายหมด มันไม่มีคนจน มันไม่มีคนจน มันไม่ต้องยื้อแย่งคนมั่งมี เพราะทุกคนทำมากจนเหลือกินเหลือใช้ แล้วก็ไปช่วยผู้อื่น นี่เป็นโลกของพระศรีอาริยะเมตไตย เดี๋ยวนี้มันมองไม่เห็น มันอยู่ในคอกมืด คุณครูทั้งหลายช่วยไปเปิดคอกมืดให้มันเป็นสว่าง ให้เด็กๆ เขาเห็น เพราะไอ้ทำงานนั่นนะคือสิ่งประเสริฐของมนุษย์ เพราะเป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นทำให้สนุกเถอะ แล้วมันจะเหลือกินแหละ เหลือกินแล้วก็ไปช่วยผู้อื่น ทำมาก เพราะสนุก กินแต่พอดี แล้วเหลือก็ช่วยผู้อื่น นี่เรียกว่าเศรษฐี คำว่าเศรษฐีไม่ใช่นายทุน อย่าเอาไปปนกัน นายทุนปัจจุบันนี้ไม่ใช่เศรษฐี คำว่าเศรษฐีเขาแปลว่าประเสริฐที่สุด เศรษฐะนั้นแปลว่าประเสริฐที่สุด เศรษฐีคือมีความประเสริฐที่สุด เศรษฐีครั้งพุทธกาลเขาต้อง ทำมาก กินแต่พอดี เหลือไปช่วยผู้อื่น แล้วก็ฝังทรัพย์ ฝังเงินฝังทองไว้สำรอง ไว้ช่วยผู้อื่น คือเขามีโรงทาน หรือมีอะไรทำนองนั้น เขาก็ฝังเงินฝังทองไว้ เก็บไว้ เพื่อจะหล่อเลี้ยงการงาน ช่วยผู้อื่น นั่นคือเศรษฐี ส่วนนายทุนเขาไม่ทำอย่างนั้น เขาใช้ทุนของเขากวาดกำไรเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด ใครจะชิบหายก็ช่างมัน เราเอากำไรเรื่อยไปก็แล้วกัน อย่างนี้ก็เป็นนายทุน มันก็ต้องเกิดคอมมิวนิสต์แหละ มันก็ต้องเกิดคอมมิวนิสต์แน่ๆ ถ้าว่าใครๆ มันเดินแผนนายทุนอย่างนี้ แต่หากว่ามันมีเศรษฐี แล้วคอมมิวนิสต์มันจะเกิดได้อย่างไรล่ะ มันมีแต่ความรักความเมตตา แข่งขันกันทำการงาน แล้วแข่งขันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โลกนี้ก็ไม่มีการต่อสู้กันระหว่างคนมั่งมีกับคนยากจน มันเป็นเพื่อนกันไปเสียหมด เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันไปเสียหมด ถ้าครูทั้งหลาย คุณครูทั้งหลายช่วยเปิดประตูคอกให้นักเรียนของเรารู้สึกอย่างนี้ โลกนี้ก็เป็นโลกพระศรีอาริยเมตตรัย ฉะนั้นการที่พูดว่าครูคือผู้สร้างโลกนั้นจริงหรือไม่จริง ตั้งใจให้เป็นทางเสียก่อน อย่า อย่าคิดว่าอาตมาพูดหลอกล่อ พูดอะไรประจบหรือเอาเปรียบอะไร ไม่ได้พูดทำนองอย่างนั้น พูดแสดงความจริงว่าให้คุณครูทั้งหลายเอาไปคิดดูว่าครูเป็นผู้สร้างโลกจริงหรือไม่จริง โลกมันประกอบด้วยคน คนเป็นอย่างไร โลกก็เป็นอย่างนั้น คนจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่การศึกษาที่ครูเขาให้ ครูก็ให้การศึกษาที่ถูกต้อง ให้เด็กทุกคนของเราเห็นว่าการงานคือการปฏิบัติธรรม เมื่อทำการงานนั้นมีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เมื่อไม่ทำการงานนั้น ไม่มีความเป็นมนุษย์เลย แล้วเป็นการทำบาปด้วย เพราะว่าจะทำให้เกิดความยุ่งยากระส่ำระสายขึ้นมาในโลก เมื่อเราไม่ทำงานก็คือทำบาป เมื่อเราทำงานที่ถูกต้องของความเป็นมนุษย์ เมื่อนั้นเราทำบุญ ทำบุญอยู่ที่ทำงาน ไม่ต้องไปวัดก็ยังได้ นี่ไม่กลัวว่าใครจะไม่มาวัด ไม่มาก็ช่างเถิด แต่ขอให้ทำบุญอยู่ในการงานอย่างขยันขันแข็ง อาบเหงื่อต่างน้ำ ทำหน้าที่ของมนุษย์กันอยู่ทุกคนๆ แล้วโลกนี้ก็จะเป็นสุข ทุกคนจะเหลือกินเหลือใช้ ทุกคนจะรักผู้อื่น จะช่วยผู้อื่น ปัญหามันก็หมด ทุกคนมีกินมีใช้แล้วรักผู้อื่นนี่ปัญหาหมด ฟังดูแล้วก็คล้ายกับง่ายๆ หรือพูดเล่น แต่มันจริงอย่างนี้ ทุกคนมีกินมีใช้ แล้วทุกคนรักผู้อื่น แล้วปัญหาอะไรมันจะเหลืออยู่ มันไม่มีปัญหาอะไรเลวร้ายเหลืออยู่ ทุกคนมีกินมีใช้ แล้วทุกคนรักผู้อื่น เท่านี้พอ ฉะนั้นครูอบรมพลเมืองให้เป็นอย่างนี้ แล้วครูก็เป็นผู้สร้างโลก แล้วครูก็ทำงานอย่างเดียวกันกับพระพุทธเจ้า คือช่วยโลกหรือสร้างโลก อาตมาจึงยืนยันว่าเป็นอาชีพครูนี่เป็นอาชีพประเสริฐ คือได้บุญด้วยและเป็นปูชนียบุคคลด้วย อย่าทำเล่นๆ กับอาชีพครู ขอให้บูชาอาชีพครู เป็นครูอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นผู้สร้างโลก นี่เรื่องที่จะพูดวันนี้ ก็คือหัวข้อว่าครูเป็นผู้สร้างโลก ครูคือผู้สร้างโลก อ้าว จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ขอเอาไปคิด อย่าทิ้งไว้ที่นี่ ฟังแล้วทิ้งไว้ที่นี่ อาตมาก็เหนื่อยเปล่า ท่านทั้งหลายก็มาเสียค่ารถเปล่า เสียค่าน้ำมันรถเปล่า ถ้าไม่เอาเรื่องนี้ไปคิด ฉะนั้นขอให้เอาเรื่องนี้ไปคิด แล้วจะไม่มีใครเหนื่อยเปล่า แล้วก็จะเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง แก่ประเทศชาติ และแก่โลก เพราะว่าครูสามารถที่จะช่วยโลกได้โดยแท้จริง การบรรยายเรื่องครูคือผู้สร้างโลกก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว แล้วขอให้ช่วยจำไว้ด้วย ประทับใจไว้ด้วยว่าเรากำลังพูดเรื่องนี้กันในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ คือ กลางดิน กลางดิน เป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า กลางดินนี่ ที่ศักดิ์สิทธิ์ และเราได้พูดกันในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นะ จะหลอกลวงกันไม่ได้นะ เพราะว่าเราพูดกันในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คือกลางดิน เป็นที่ประสูติ ที่ตรัสรู้ ที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ช่วยเอาคำว่าครูคือผู้สร้างโลกไปคิดดูให้ดีๆ แล้วช่วยต่อหางหมาด้วย อย่าให้เป็นการศึกษาหมาหางด้วน สิ่งต่างๆ ก็จะประเสริฐที่สุด จะดีที่สุดตามที่มนุษย์เราจะทำได้ ขอยุติการบรรยายครั้งนี้ไว้เพียงเท่านี้ ขอให้ท่านทั้งหลายมีความกล้าหาญ มีความเข้มแข็ง มีความเชื่อตัวเอง ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ประสบผลอย่างที่ว่ามานี้แล้ว เป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ