แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕ ขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายในลักษณะนี้ คือได้ข่าวว่าจะไปร่วมแสดงนิทรรศการบางอย่างที่กรุงเทพ เรื่องนี้ก็มีความหมายมากอยู่เหมือนกัน ถ้าเรามี อะไรที่จะแสดงได้ คืออวดได้ ก็ไม่เป็นไร มันเป็นการแสดงให้ดู แต่ถ้าไม่มีอะไรดี แล้วไปอวด มันก็กลายเป็นอวดดี มันก็เป็นเรื่องวินาศ ถ้ามีดีอวด อวดได้ คือเป็นการแสดงให้ดู ถ้าไม่มีดีไปอวดมัน มันก็เป็นเรื่องใช้ไม่ได้ คือเป็นเรื่องบ้า เราต้องมีอะไรที่พอจะแสดงได้ แสดงแล้วเรียกร้องความสนใจ ความเลื่อมใส ความยินดีด้วยได้ มันก็ใช้ได้ ขอให้เป็นไปในลักษณะนั้น ในเรื่องสังคมสงเคราะห์นี่ มันเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งในโลก หรือว่ามันเป็นเรื่องของศาสนาก็ได้ เรื่องสงเคราะห์ผู้อื่นนี่เป็นหลักในทุกๆ ศาสนา ไม่ว่าศาสนาไหน จะมีส่วนหนึ่งเสมอ ที่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เรื่องของตัวแล้ว ช่วยเหลือผู้อื่นก็มี คือทำไปพร้อมๆ กับช่วยตัวเองก็มี บางอย่างมันก็ทำได้เหมือนกัน ฉะนั้นขอให้เรานึกถึงการสงเคราะห์ผู้อื่น ซึ่งเป็นการทำให้ความเป็นมนุษย์ของเราสมบูรณ์ ถ้าเราช่วยแต่ตัวเรา ยังไม่ช่วยผู้อื่น มันเหมือนกับว่าเป็นมนุษย์ครึ่งเดียว คือไม่สมบูรณ์ การช่วยผู้อื่นนี่ก็เป็นสัญชาตญาณ ในสัญชาตญาณทั้งหลาย สัญชาตญาณแห่งการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มันก็มีอยู่ อย่างน้อยมันก็แฝงอยู่ในสัญชาตญาณของการที่เราจะต้องอยู่กันเป็นหมู่ มันอยู่คนเดียวไม่ได้ เมื่ออยู่กันเป็นหมู่ มันก็ต้องช่วยเหลือกัน ที่นี่มีสุนัขหลายตัว เห็นมันช่วยกันโดยสัญชาตญาณ ที่ช่วยกัดหมัด กัดเหา ให้ตรงที่หลังคอ อยู่ตรงตอนหลังคอ ตรงนั้นยังมีหมัดมีเหา ไปซ่อนอยู่มาก เพราะว่าไอ้ตัวเจ้าของมันกัดไม่ได้ ถ้าหมัดอยู่ที่อื่น มันพอจะกัดได้ แต่ถ้าหมัดมันไปอยู่ที่ต้นคอ หลังคอ แล้วนั้นก็ มันกัดเองไม่ได้ แล้วก็น่ายินดี ที่ว่ามีตัวอื่นช่วยกัดให้ แล้วก็ผลัดกัน กัดให้ซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องมีใครขอร้อง ไม่ต้องมีตัวไหนขอร้อง มันสมัครที่จะกัด เข้าไปกัด หรือผลัดกันกัด นี่แสดงว่า การช่วยเหลือสงเคราะห์กันนั้นเป็นสัญชาตญาณของธรรมชาติ แล้วมันก็อยู่กันได้สบายตามสมควร ถ้าว่าตัวหนึ่งไม่ได้กัดให้ อีกตัวหนึ่งมันก็เต็มไปด้วยหมัดที่ตรงนั้น มันก็หาความสุขไม่ได้ นี่ทางหลักธรรมะ ทางศาสนาก็ระบุการช่วยเหลือผู้อื่นมากทีเดียว บางศาสนาก็เน้นมากกว่าพุทธศาสนาไปเสียอีก ให้ลงความว่าทุกๆ ศาสนาเขา เน้นเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่น จนมีหลักเกิดขึ้นในพุทธศาสนานี่ว่า ทุกๆ ชีวิตเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน จะเป็นชีวิตสัตว์มนุษย์ หรือสัตว์เดรัจฉาน หรือแม้แต่ต้นไม้ต้นไร่ ถ้าคนมีความรู้ เขาก็รู้นะ ว่าต้นไม้นี่ถ้าไม่มี คนก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าต้นไม้ไม่มีอยู่ในโลก คนนี่ก็ตายหมด ก็อยู่ไม่ได้ มันก็อยู่อย่างเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน แม้แต่ต้นไม้ ก็ต้องมีอยู่อย่างสมบูรณ์ สัตว์เดรัจฉานก็ต้องมีอยู่ตามส่วน มนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าระดับไหน ชนชั้นไหน มันก็ต้องมีอยู่ด้วยกัน มันเป็นความโง่ ความหลงที่สุดที่จะมีอยู่เพียงแต่ชนชั้นเดียว หรือแม้ว่าจะทำให้เป็นชนชั้นเดียวกันหมด มันก็เป็นเรื่องบ้า เพราะมันเป็นเรื่องทำไม่ได้ แล้วก็อยู่กันเป็นชั้นๆ แล้วช่วยเหลือซึ่งกันและกันทั้งนั้น นับตั้งแต่คนขอทาน ขึ้นไปถึงนักบวช ถึงกรรมกร ถึงนายทุน คนมั่งมี ถึงศักดินา ถึงไอ้คนที่มีอำนาจวาสนา มันต้องมีครบ ถ้ามันมีหลักธรรมะ แล้วมันต้องอยู่กันได้ ถ้าไม่มีธรรมะแล้วมันก็เบียดเบียนกัน แม้มีเพียงชนชั้นเดียวกัน มันก็ต้องเบียดเบียนกันนั่นแหละ เพราะมันเห็นแก่ประโยชน์ เราจะต้องนึกว่า ทุกคนมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่น แต่ละคนละคน มันก็ต้องช่วยตามที่ตัวถนัด นี่ช่วยจำไว้ด้วยว่า คนมันไม่เหมือนกัน เป็นชั้นๆ กัน โดยการงานหน้าที่มันเป็นชั้นๆ กัน มันทำอะไรได้ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน มันให้ช่วย มันก็ช่วยได้ตามที่ตัวถนัด คนมีวัตถุก็ช่วยด้วยวัตถุ คนมีความรู้ มีสติปัญญา ก็ช่วยด้วยสติปัญญา เช่นว่า ประชาชนชาวบ้านช่วยภิกษุสงฆ์ด้วยวัตถุ ภิกษุสงฆ์ก็ช่วยประชาชนด้วยสติปัญญา ตามที่ได้รับถ่ายทอดมา ตามหลักของพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันมีการช่วยกันไปช่วยกันมา มันก็สมบูรณ์ ทางวัตถุก็สมบูรณ์ ทางจิตใจก็สมบูรณ์ มนุษย์รู้จักทำอย่างนี้มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ก่อนที่จะการมีซื้อขาย แล้วก็ร่วมมือกันมากกว่านี้ ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากกว่ายุค ยุค ยุคหลังที่มีการซื้อขาย ยุคที่มนุษย์ยังไม่มีการซื้อขายกัน ก็อยู่อย่างเพื่อนมนุษย์กันแท้ๆ มันก็ต้องช่วยเหลือกันมากกว่านี้มาก นี่ถือว่าเป็นหลักของธรรมชาติ หรือเป็นกฎของธรรมชาติที่บังคับไว้อย่างตายตัว ว่าสิ่งที่มีชีวิต มันต้องช่วยกัน สิ่งที่มีชีวิตมันต้องช่วยกัน แล้วก็อยู่กันเป็นผาสุกทั้งสองฝ่าย ถ้าเป็นศัตรูกัน มันก็วินาศกันทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องสงสัย ฉะนั้นการสังคมสงเคราะห์ เป็นสิ่งที่จะต้องทำให้มากยิ่งขึ้นในโลกนี้ ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย ในโลกนี้ก็จะต้องมีกิจกรรมสังคมสงเคราะห์มากขึ้นๆ เพราะคนมันมากขึ้น แล้วก็มีปัญหามากขึ้น ฉะนั้นจึงประดิษฐ์วิธีการ หรือหลักการ หรือระบอบระบบขึ้นมากมาย ในการที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตามหลักของพระศาสนา ในเรื่องช่วยกันโดยทางการเมืองนั้น นั่นไม่ใช่เรื่องการช่วยโดยแท้จริง มันเป็นเรื่องการหาพวก หากำลัง หาอะไรมากกว่า ไม่ใช่เป็นการช่วยโดยแท้จริง การช่วยเหลือที่แท้จริง ทำไปด้วยความรู้สึก รับผิดชอบในความเป็นมนุษย์ มันก็เลยความรู้สึกบริสุทธิ์ใจตามสัญชาตญาณ รักที่จะช่วยซึ่งกันและกัน รักที่จะเป็นมิตรซึ่งกันและกัน สัตว์ทั้งหลาย มีความรู้สึกอย่างนี้ ไอ้เรื่องกัดกัน หรือกินกัน นั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องธรรมชาติ อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งมันมีเหตุผลเฉพาะของมัน เช่น สัตว์บางชนิด กินสัตว์บางชนิด มันเป็นเรื่องกินอาหาร แต่ความจริงมันก็ไม่อยากจะฆ่า อยากจะรบรา อะไรทั้งนั้นถ้ามันไม่จำเป็น ที่มนุษย์เรามันมีโชคดี ที่ไม่ต้องเป็นอย่างนั้น มันก็ยังเหลือแต่จะช่วยกัน ไปลองคิดเปรียบเทียบดู มันไม่ยาก ถ้าเราไม่ช่วยกันจะเป็นอย่างไร หมู่บ้านของเรานี่ หากไม่ช่วยกันจะเป็นอย่างไร ถ้าเราช่วยกันสุดสามารถแล้วมันจะเป็นอย่างไร ควรจะประชุมกัน หรือปรึกษาหารือคือไต่ถามกัน ว่าถ้าเราช่วยกันอย่างยิ่งแล้ว เราจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวก็นึกออกเองว่ามันจะเป็นอย่างนั้นๆ แล้วก็ช่วยกันให้ช่วยตัวเองได้ นี่คือดีที่สุด การช่วยให้เป็นภาระแก่ผู้ช่วยนั้นไม่ถูก มันต้องช่วยจนให้เขาช่วยตัวเองได้ หรือว่าช่วยจนเขาสามารถจะตอบแทนผู้ช่วยให้สามารถช่วยต่อๆ ไปได้ ไม่ใช่ว่าเอาข้างเดียว เราอาจจะคิดถึงไปว่า เราช่วยคนขอทาน อย่าให้คนขอทานต้องไปขโมยอย่างนี้ มันก็เป็นการช่วยที่มีผลโดยตรง ถ้าไม่ช่วยคนขอทาน คนขอทานไปขโมย หรือไปทำอย่างที่เรียกว่ามันจำเป็นต้องบังคับเขานี่ มันก็ยุ่งกันใหญ่ ฉะนั้นช่วยเพื่อให้หมดปัญหาของสังคมนี้ก็มีอยู่ความหมายหนึ่ง ถ้าไม่ช่วยกัน จะเกิดปัญหาทางสังคม ถ้าเกิดไปช่วยกันเสีย ปัญหานั้นมันก็ไม่เกิด มันก็ดี นี้เรียกว่าเราจะต้องสนใจ ปัญหาของสังคม พยายามที่จะป้องกัน ไม่ให้เกิดปัญหาความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นมาในสังคม เรียกว่าเป็นการทำหน้าที่ของมนุษย์ อย่างมนุษย์ที่สมบูรณ์ ถ้ามนุษย์มีความรู้ถูกต้อง อาจทำประโยชน์ในทางจิตใจได้ด้วย ก็เรียกว่ามนุษย์สมบูรณ์ มนุษย์รู้แต่ทำมาหากิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อยู่รอดชีวิตอยู่ นี่ยังไม่สมบูรณ์ คือไม่มีความสงบสุข เราไปทดลองดูกันได้ สังเกตดูก็ได้ เพียงแต่มีกินมีใช้ สบาย อาหารการกินเป็นอยู่ แต่ไม่มีศีลธรรม ไม่มีคุณธรรม ไม่มีมนุษยธรรม เป็นต้น แล้วมันจะอยู่กันอย่างไร เดี๋ยวมันก็ได้ฆ่ากันเท่านั้น มันก็เลยมีเรี่ยวแรงสำหรับจะฆ่า จะเอาเปรียบ จะข่มเหงกัน ไม่ได้อยู่เพื่อช่วยกัน ทำบ้านเมืองนี้ให้มันงดงาม ให้มันน่าอยู่ ฉะนั้นขอให้ช่วยกัน อบรมชี้แจงสั่งสอนลูกเด็กๆ ของเราให้เขามีความรู้ถูกต้องในเรื่องนี้ การทำประโยชน์ให้ผู้อื่นนั้นน่ะเป็นการทำโลกนี้มีความสงบสุข การช่วยเหลือผู้อื่น มันเป็นการผูกพัน ให้เกิดความรักใคร่สมัครสมานสามัคคีกัน ถ้าไม่ช่วยเหลือกัน มัวแต่เรียกร้องความสามัคคี มันก็มีไม่ได้ โดยมากก็เห็นๆ กันอยู่ ความสามัคคีมีไม่ได้ ทั้งที่เรียกร้อง ขอร้องกันอยู่ มันก็มีไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ปฏิบัติ เหตุปัจจัยแห่งความสามัคคีคือการช่วยเหลือกัน ต้องมีเมตตา จึงละพยาบาทได้ ต้องมีกรุณา ก็จะละมหิงสา (นาทีที่ 16.23) ความเบียดเบียนได้ ต้องมีมุติตา ก็จะละความอิจฉาริษยาได้ ต้องมีอุเบกขา ก็จะละปฏิฆะ ขุ่นแค้น เครียดครัดในใจได้ นั่นแหล่ะในเรื่องที่จะอยู่กันผาสุก มันมีอย่างนั้น เมตตา กรุณา มุติตา อุเบกขา อย่าเพียงแต่ได้ยินชื่อเฉยๆ บางทีได้ยินชื่อเฉยๆ แล้วไม่เข้าใจ เข้าใจแล้วก็ต้องปฏิบัติด้วย เมตตาคือความรักใคร่ มันก็กำจัดความพยาบาท ความเกลียดชัง ความโกรธแค้น ความคิดประทุษร้าย ไม่มีขึ้น เจริญเมตตา เขาเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเรา เขามีปัญหาอย่างเดียวกับเรา เขามีความทุกข์เหมือนเรา เขาจะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายเหมือนกับเรา เราก็มีเมตตา เราก็เลยไม่มีความโกรธ ไม่มีความพยาบาท ไม่มีความมุ่งร้ายอะไร การหัดให้เด็กๆ รู้จักเมตตาไปตั้งแต่เล็กๆ จะดีมาก จึงให้ถือศีล แม้เด็กๆ ก็จะต้องถือศีล ที่จะไม่เบียดเบียนสัตว์ ถือศีลข้อปาณา ก็สร้างนิสัยเมตตา ชักชวนกันให้เกิดนิสัยเมตตา สร้างนิสัยเมตตา ให้เป็นพื้นฐานไปตั้งแต่เล็กๆ ก็จะมีแต่เมตตาในชีวิตตลอดไป นี่กรุณา นี่ก็แปลว่าสงสาร เมตตาแปลว่ารักใคร่ กรุณาแปลว่าสงสาร เมื่อสงสารก็ช่วยให้เพื่อน อยู่ในฐานะที่ต้องช่วยก็ช่วย แล้วก็ไม่เบียดเบียน คือไม่ทำให้ใครลำบากเลย โดยเจตนาก็ดี โดยไม่เจตนาก็ดี ไม่ทำให้ใครลำบากเลย แล้วก็ช่วยทำให้คนพ้นจากความลำบาก ฉะนั้นเราจึงมีประเพณีช่วยกัน ช่วยกัน แม้ประเพณีโบราณก็มีช่วยกัน ช่วยกัน ช่วยกัน เรื่องทำหากินก็ดี เรื่องสาธารณะ อื่นๆ ก็ดี เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยทุกข์ยากลำบากอะไรก็ดี ช่วยกัน ในเวลาเพื่อนมีความทุกข์นี่ ช่วยกันทั้งบ้านให้เขา ไม่ต้องมีความทุกข์ หรือมีความทุกข์ลดน้อยลง ธรรมเนียมของชนชาวอิสลามบางพวก หากพอมีเหตุเช่นเป็นๆ ตายลง ในบ้านๆ หนึ่ง บ้านเรือนหนึ่งมีคนตายลง คนทั้งหมู่บ้านจะมาช่วยให้หมดเลย ช่วย ช่วยทุกอย่าง ช่วยทำให้ทุกอย่าง จนเจ้าของบ้านผู้ตายไม่ต้องทำอะไร อยากจะนั่งร้องไห้ ก็นั่งร้องไห้ตามสบาย ไม่ต้องทำอะไร ถ้าช่วยเงิน ช่วยทอง ช่วยกันไปทุกอย่าง ให้มันเหมือนกับว่าให้มันไม่ต้องเดือดร้อนอะไรเลย นี่เป็นวัฒนธรรมที่สูงมาก นี่เป็นบทบัญญัติทางศาสนาที่สูง ที่เรียกว่า กรุณา สงสาร ก็ช่วย หากลองคิดดูให้ดีว่า มันจะเป็นอย่างไร หมู่บ้านนั้นจะเป็นอย่างไร ถ้าหมู่บ้านนั้นมันถือหลักเกณฑ์กันอย่างนี้ นี่มุติตาข้อที่สาม ข้อที่หนึ่งเมตตา ข้อที่สองกรุณา ข้อที่สามมุติตา นี่จะกำจัดความอิจฉาริษยา ก็พลอยจะยินดีด้วย ความริษยานี่เป็นสิ่งที่เกิดได้ โดยกิเลสสัญชาตญาณ แม้แต่สัตว์ก็รู้จักอิจฉาริษยา ไม่ใช่เฉพาะคน นี่คนอิจฉาริษยาได้มากกว่าไปอีก เพราะความคิดมันไกลไปอีกมากกว่า ฉะนั้นความอิจฉาริษยา นั้นคือ ทำลายความเจริญรุ่งเรืองหมด ไม่อยากให้ใครเจริญเกินหน้าเราก็มี ไม่อยากให้เขาดีกว่าเรา ไม่อยากให้เขารวยกว่าเรา ไม่อยากให้เขาสวยกว่าเรา อย่างนี้เขาเรียกว่าริษยา มันก็เผาผลาญให้คนนั้นให้มันเดือดร้อน ให้เป็นผู้เดือดร้อนอยู่ ตลอดเวลาจริงเหมือนกัน อย่าทำเล่น กับความริษยามันจะทำให้คนนั้นเดือดร้อนอยู่ทุกเวลาได้จริงเหมือนกัน เพราะความริษยาเกิดขึ้นในใจแล้ว มันก็ทำลายไอ้คนนั้นก่อน ก่อนที่จะทำลายคนที่เราริษยา เราริษยาใคร คิดริษยาใคร ไอ้ความริษยานั้นจะเผาผลาญในใจของเราให้เดือดร้อนก่อน ไอ้คนโน่นยังไม่รู้สึกเลย ถ้าเขารู้สึกขึ้นมามันก็ต้องโกรธ ต้องเกลียด ต้องเป็นเวร เป็นศัตรูกันแหละ ต่างคนต่างริษยากัน ความริษยานี่จะทำให้โลกฉิบหาย เดี๋ยวนี้โลกกำลังเดือดร้อนอยู่ในความริษยากัน ประเทศชาติที่เป็นมหาอำนาจ มันริษยากัน มันชิงดีชิงเด่น ชิงครองโลกกัน มันก็เลยรบราฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนที่เรารู้กันอยู่ ประเทศใหญ่ๆ มันสามารถที่จะแย่งตำแหน่งครองโลก มันก็แย่งกันไป แล้วก็ยุยอนประเทศเล็กๆ ที่เอามาเป็นฝ่ายตัว นั้นให้ทำทุกอย่าง เพื่อเป็นประโยชน์แก่เขา ไอ้ประเทศเล็กๆ ชาติเล็กๆ ก็พลอยกันรบราฆ่าฟันกันไปด้วย เพื่อประโยชน์ตามนโยบายของชาติใหญ่ๆ โลกนี้เลยลุกเป็นไฟ กรุ่น กรุ่น อยู่ ด้วยความริษยา ถ้ามันไม่มี ไอ้โลกนี้ก็สงบเย็น คุณลองคิดดูว่า ถ้าว่าโลกนี้ไม่มีความริษยากัน มันรักกันทั้งโลก มันไม่มีเหตุการณ์เหมือนอย่างที่มีกันอยู่ เดี๋ยวนี้มันก็จะรบกันอยู่เรื่อยทั่วๆ ไปหมด ระหว่างนี้มีไม่น้อยกว่าเจ็ด แปดคู่ ที่รบ เตรียมรบ หรือที่ว่าแหย่กันเรื่อย ความเบียดเบียนมีอยู่ไม่น้อยกว่าเจ็ดแปดคู่ในวันนี้ ทุกวันนี้ ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่มีก็สบาย เราก็เดือดร้อน ต้องระวังตัว พวกคอมมิวนิสต์ พวกญวน พวกอะไรเขาจะบุกรุกเข้ามา มันก็หาความสุขไม่ได้ ถ้าในโลกนี้ไม่มีความริษยา ก็เป็นโลกที่น่าดูมาก มีเมตตา กรุณากัน ก็ยิ่งน่าดูยิ่งขึ้นไปอีก นี่ข้อสุดท้ายอุเบกขา ข้อนี้อุเบกขา คือว่า ก็ยังทำอะไรไม่ได้ ก็คอยจ้องจะทำต่อไปก็แล้วกัน ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ไม่ใช่ไปนอนเสีย เช่นถ้าเราอยากจะช่วยใคร ยังช่วยไม่ได้ เพราะเหตุการณ์อันอื่นมันบังคับ มันเหนือกว่า ช่วยไม่ได้ หรือบาปกรรมของเขามัน ครอบงำเขา เรายังช่วยไม่ได้ เราก็มีอุเบกขา คือ คอยดูอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อไรจะช่วยได้ ก็จะช่วย ไม่ใช่ว่าล้มเลิก ไม่คิดนึกอะไร อุเบกขานี่เราควรจะมีเหมือนกัน ทุกคนควรคอยจะจ้อง ว่าจะช่วยใครได้ คอยจ้องอยู่ ไม่ เดี๋ยวนี้ยังไม่ได้ช่วย ดูคล้ายๆ เฉยๆ อยู่ ไม่ได้จะทำอะไร ข้างนอกร่างกายดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไร แต่ในใจคอยจ้องอยู่เสมอ ว่าหากมีโอกาสเมื่อไหร่ กูจะช่วย นั่นแหล่ะคืออุเบกขา อุเบกขาแปลว่าเพ่งดูอยู่ เพ่งดูอยู่ ถ้าเรามีเมตตา กรุณา มุติตา อุเบกขาแก่กันแล้ว มันก็เป็นการสงเคราะห์อย่างใหญ่หลวงนะ สงเคราะห์ในจิต ในวิญญาณในด้านลึกอย่างใหญ่หลวง แม้ว่าจะไม่ได้ให้ข้าว ให้น้ำ ให้ผัก ให้หญ้า ให้อะไรกันบ้างในภายนอก แต่ถ้าภายในใจมันมีอย่างนี้แล้ว มันเป็นการสงเคราะห์อย่างใหญ่หลวง เรียกว่าทางจิต ทางวิญญาณ เป็นการสงเคราะห์อย่างยิ่ง ฉะนั้นขอให้เรานึกเถอะว่า ส่วนสำคัญหรือมูลเหตุนั้นมันอยู่เรื่องที่ของจิตใจ ทางจิตทางวิญญาณ ถ้าจิตมันดี หรือจิตมันคิด จะทำอะไรในทางดีแล้ว มันไอ้ร่างกายก็จะทำดี วาจาก็จะพูดดี นี่พยายามปรับปรุงข้างในให้ดี สงเคราะห์ด้วยจิตใจก่อน มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แล้วก็มันก็จะเป็นไปตามอย่างนั้นแหล่ะ เพราะจิตมันมีอำนาจเหนือสิ่งใด มันคิดอย่างไร มันนึกอย่างไร มันต้องการอย่างไร แล้วมันก็บังคับ ให้ร่างกายกระทำไป ให้วาจากระทำไป ก็อยู่กันด้วยความรัก และเมตตา ทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา และทั้งทางใจโดยสมบูรณ์ นี่เรียกว่าสงเคราะห์อย่างยิ่ง ระบบงานสงเคราะห์ก็จัดกันมากแล้ว ได้ยินว่าคุณเหล่านี้ก็มุ่งหมายที่จะทำกิจกรรมนี้อยู่ ก็เลยพูดเรื่องนี้ขึ้น คือว่า ไอ้การสงเคราะห์นี่ ต้องทำให้ลึก ออกมาจากภายในจากจิตใจ แล้วภายนอกก็จะเป็นไปเอง สงเคราะห์ทางวัตถุก็ต้องทำ เพราะว่าไอ้วัตถุนี้มันก็จำเป็น เพราะมันมีร่างกาย ต้องการวัตถุ สงเคราะห์โดยจิตใจโดยธรรมะในภายใน ก็ยิ่งต้องทำ เพราะว่าส่วนสำคัญมันอยู่ที่จิตใจ ถ้าจิตใจมันสบาย แล้วมันก็เป็นสุข ถ้าจิตใจไม่สบาย แล้วมีเงินมีของเท่า มีอะไรเท่าไหร่ๆ มันก็เป็นสุขไม่ได้ มันต้องมีจิตใจถูกต้อง สิ่งต่างๆ จึงจะเป็นสุข มันไม่ใช่ว่ามีเงินมาก มีของมาก แล้วจะเป็นสุข มันอาจจะสะดวกสบายบ้าง แต่ว่าหัวใจยังไม่เป็นสุข ยังร้อน ยังต้องเป็นโรคประสาท ยังต้องปวดหัว ยังนอนไม่หลับ ยังน่าละอายแมวอยู่ ไอ้คนร่ำรวย มันนอนหลับยาก นี่เป็นโรคประสาทมากกว่าคนไม่ร่ำรวยเสียอีก คนโรคประสาทมาที่นี่เสมอ ไล่เรียงดู มันเป็นคนมีเงิน มีบ้าน มีอันจะกิน ยังเป็นโรคประสาท น่าละอายไหมแมว เพราะแมวไม่เคยเป็นโรคประสาทเลย นี่คนยากจนที่มีจิตใจตั้งไว้ดี เข้มแข็ง เขาไม่เป็นโรคประสาท ไปเป็นเอาที่คนมีเงิน ดูก็น่าหัว เพราะว่าเขาตั้งจิตใจไว้ไม่ถูก ข้อนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัส ว่าสิ่งที่มีเป็นประโยชน์ เป็นความสุข เป็นความเกื้อกูลแก่เราอย่างยิ่งนั้น คือ การตั้งจิตไว้ถูกต้อง ดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง มันจะมีธรรมะหมด มันจะนอนหลับสนิท มันจะไม่ต้องเป็นโรคประสาท แล้วมันจะมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาได้ ทุกคนจะรัก ทุกคนจะนับถือ ทุกคนจะบูชา เรียกว่า เพราะเขาตั้งจิตไว้ถูกต้อง ไอ้คนอีกคนหนึ่ง มันตั้งจิตไว้ผิดๆ มันโง่ มันเห็นแก่ตัว มันเต็มไปด้วยกิเลส มันอิจฉาริษยา มันเอาเปรียบ มันทุกอย่างแหล่ะ ผีแช่งคำ คนแช่งคำ มันก็ซวยตายแหล่ะ คนชนิดนี้ ถ้าเขาตั้งจิตไว้ผิด แล้วมันก็ออกมาเป็นความผิด ให้คนเขาเห็น ให้คนเขาเกลียด แช่งคำ แม้แต่ผีมันก็ยังแช่งคำ เทวดาแช่งคำ ไอ้คนที่เป็นพาลที่ตั้งใจไว้ผิด มันก็เจริญไม่ได้ มันจะเสื่อมอย่างที่ไม่รู้สึกตัว มันจะเสื่อมอย่างที่ป้องกันไว้ไม่ได้ เพราะมันตั้งใจไว้ผิด ฉะนั้นเรามาช่วยๆ กัน ช่วยบุคคลให้เขาตั้งใจไว้ถูก ให้รู้จักตั้งใจไว้ให้ถูก ให้เขามีศีลธรรม คือถ้าถูก ก็คือมีธรรมะ มีศีลธรรม เขารู้ว่าไอ้ประพฤติถูก ประพฤติดี นั่นแหละมันเป็นธรรมะ หน้าที่ของมนุษย์ นั่นแหละเป็นธรรมะ การทำมาหากิน ก็เป็นหน้าที่ของมนุษย์ ก็เป็นธรรมะ ในการทำมาหากินให้ดี ทำมาหากินให้ดีอย่างเดียว เป็นธรรมะอย่างยิ่ง เมื่อทำมาหากินดี ก็สบายใจ ยินดี เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ถึงกับยกมือไหว้ตัวเองก็ได้ เพราะว่าเราเป็นคนดี คนนี้ก็สนุกในการทำความดี สนุกในการทำงาน ทำนาก็ได้ ทำสวนก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ที่มันเป็นหน้าที่การงานที่มนุษย์จะต้องทำ แล้วมีความสุขทั้งนั้น แล้วมันจะยากจนได้อย่างไร ไอ้ที่มันยากจน เพราะไม่มีธรรมะเลย การงานไม่เป็นสุข ไปลักไปขโมย เขาดีกว่ามันเร็วดี อย่างนี้มันก็ค่อยทรุดลง ทรุดลง โดยไม่รู้ตัว ในที่สุดมันก็ไปจบชีวิต ชนิดที่ไม่น่าดู ดูไม่ได้ ก็คือตกนรกทั้งเป็น คนมีธรรมะ คือคนทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างสนุกสนาน ทำนาอย่างสนุก ทำสวนอย่างสนุก นั่นแหล่ะคือมีธรรมะขั้นพื้นฐาน หน้าที่ให้มีชีวิตอยู่ได้ นี่เรียกว่าธรรมะขั้นพื้นฐาน ปฏิบัติดีที่สุด สนุกที่สุด เอามันรอดตัวได้ มันรอดตัวได้ มันมีกินมีใช้ มีชื่อเสียงมีอะไรพอสมควร เรียกว่าเลื่อนชั้นเป็นธรรมะขั้นสูง คือขั้นจิตใจ มีธรรมะทุกอย่างในใจตามที่ควรจะมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมตตา กรุณา มุติตา อุเบกขา มีเต็มที่ ฉะนั้นก็เป็นคนที่มีจิตสงบเย็นๆ เหมือนกับรดน้ำอาบน้ำอยู่ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ทั้งหลับทั้งตื่น ทุกอิริยาบถเลย ต้องมีความเย็น ปีหนึ่งไม่ต้องกินยาแก้ปวดหัวสักเม็ดหนึ่ง สองปีก็ไม่ต้องกินยาแก้ปวดหัวสักเม็ด สิบปีก็ไม่ต้องกินยาแก้ปวดหัวสักเม็ด คนชนิดนี้ เพราะมีชีวิตที่สงบเย็น ขอให้ไปทดสอบตัวเองดู มันมีชีวิตที่สงบเย็นหรือยัง ถ้ามีความเย็น มีสงบเย็น ก็คือมีนิพพาน นิพพานแปลว่าเย็น ถ้ามีเย็นก็มีนิพาน ถ้ามีร้อน ก็เป็นกิเลส มันก็เป็นวัฏสงสาร นิพพานแปลว่าเย็น เย็นน้อยก็นิพพานน้อย เย็นมากก็นิพพานมาก เย็นถึงที่สุดก็นิพพานเต็มที่ ให้เรามีชีวิตที่เยือกเย็น ไม่มีร้อน ไม่ร้อนเพราะราคะ ไม่ร้อนเพราะโทสะ ไม่ร้อนเพราะโมหะ ไม่ร้อนด้วยประการใดๆ เรียกว่าชีวิตเยือกเย็นเป็นนิพพาน ชีวิตที่ทำงานก็สนุก พักผ่อนก็สนุก ถ้าชีวิตร้อน แล้วทำงานก็ไม่สนุก พักผ่อนก็ไม่สนุก นอนก็ไม่หลับ ไอ้ความเป็นมนุษย์ ก็เหมือนกับตกนรก ต้องช่วยกันแก้ไข ช่วยเหลือกันซึ่งกันให้รู้เรื่องนี้ ตามพระพุทธประสงค์ พระพุทธประสงค์ท่านประสงค์ให้เรารู้เรื่องนี้ ให้เราปฏิบัติเรื่องนี้ แล้วให้มีชีวิตอยู่อย่างเยือกเย็นเป็นนิพพาน ไปตามที่จะมีได้ นี่แหล่ะเป็นหลัก สำคัญที่สุด ไม่ว่ามนุษย์ชนิดไหน ไม่ว่ามนุษย์จะที่มีหน้าที่การงานอย่างไร อยู่ในฐานะอย่างไร อยู่ในชนชั้นชนิดไหน ถ้าว่ามันเป็นอย่างนี้แล้ว ก็จะมีความสุข ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็หาความสุขไม่ได้ ขอให้เราดูให้ดีๆ ว่าเป็นกมนุษย์กันให้ถูกต้องเสียก่อน ก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มิฉะนั้น ก็เกิดมาทนทุกข์ทรมาน มันก็ไม่ถูกต้อง มันก็เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ หรือการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้กลายเป็นเรื่องบาป เรื่องกรรมไปเสีย ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นกุศลเลย นี่ขอให้พยายามทำให้ความมนุษย์ของตนนั้นเต็ม ตามที่มันควรจะมีได้ กลายเป็นว่าเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องทั้งหมดของมนุษย์ ตัวเองเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง แล้วช่วยเพื่อนให้เป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง สังคมสงเคราะห์ เหลือประมาณในข้อนี้ จะทำอะไร จะขยับขยายอะไร ก็มันเป็นการถูกต้อง ตัวเองถูกต้อง ช่วยผู้อื่นถูกต้อง นี่ได้ยินว่าจะไปแสดงสิ่งของ ศิลปหัตถกรรมที่กระทำขึ้นมาได้ นี่ถูกต้องที่สุด ไปแสดงสิ่งที่มีประโยชน์ ให้เขาเห็นว่ามนุษย์นี่มันทำอะไรได้ ถึงขนาดนี้ ไอ้เราก็เป็นผู้ทำได้ถึงขนาดนี้ ไปแสดงสิ่งที่ดี ไปแสดงสิ่งที่มีประโยชน์ แก่ความรู้สึกคิดนึกของมนุษย์ แต่ที่จะไปรำมโนราห์ เล่นหนังตะลุง นี่ยังสงสัยอยู่ ไม่รู้จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ หรือเพื่ออะไรกันแน่ คุณไปคิดเอาเอง ไอ้มหรสพชนิดนี้มีมานมนานแล้ว ต้องเรียกว่าพันปีก็ได้ ก็มีเรื่อยๆ มานานแล้ว หนังมโนราห์อะไรก็ตามนี่ ก่อนนี้มันเป็นการศึกษาหนังตะลุงก็ได้ มโนราห์ก็ได้ เป็นการศึกษา ความสุภาพเรียบร้อยเป็นอย่างไร พูดจาไพเราะเป็นอย่างไร พูดให้ถูกต้องเป็นอย่างไร คนบ้านนอกไม่เคยไปกรุงเทพฯ เลย รุ่นปู่ย่าตาทวดของเราไม่เคยไปกรุงเทพฯ เลย แล้วทำไมพูดกรุงเทพฯได้ ก็มันเลียนแบบอย่างไอ้หนังตะลุงบ้าง มโนราห์บ้าง ตัวพระ ตัวนาง ตัวพระเอก เขาก็พูดกรุงเทพกันทั้งนั้นแหละ ฉะนั้นคนบ้านนอก ไม่เคยไปกรุงเทพฯ เลย ก็สามารถพูดกรุงเทพฯ ได้ เพราะไอ้หนังตะลุง หรือมโนราห์นั้น มันเป็นการศึกษา แล้วสอนไปทุกอย่าง จะแต่งเนื้อแต่งตัวให้มันน่าดู หรือจะพูดจาอย่างไรให้มันน่าดู ก็สอนวัฒนธรรมไปในหนังตะลุง ในมโนราห์ แต่ได้ยินว่าเดี๋ยวนี้เปลี่ยนหมด จนไม่มีอะไรจะเหลือแล้ว จะเป็นผู้ชักนำในเรื่องพูดจาหยาบโลนเสียมากกว่า เดี๋ยวนี้มันไม่จำเป็นแล้ว ที่จะต้องศึกษาภาษา พูดจาอย่างกรุงเทพ จากหนังตะลุง เพราะมันศึกษาจากโรงเรียนก็ได้ดีกว่า ถูกกว่า คนไม่เคยไปกรุงเทพฯ พูดกรุงเทพโดยเรียนจากหนังตะลุง มโนราห์นี่ เขาก็พูดกรุงเทพ ชนิดที่ประหลาดๆ แปร่งๆๆ ในภาษากรุงเทพแปร่งๆ นี่เคยได้ยินเรียกกันว่า ข้าหลวงขี้เน่า ใครเคยได้ยินบ้าง ข้าหลวงขี้เน่า คือ ไอ้มันพูดกรุงเทพฯ ไม่ชัด เขาเรียกว่าข้าหลวงขี้เน่า เพราะมันฟังแต่หนังตะลุง มโนราห์ เรียนภาษากรุงเทพฯ จากหนังตะลุง เราก็พูดไม่ชัด เดี๋ยวนี้เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นแล้ว เราเรียนจากโรงเรียน เราศึกษาจากวิทยุ จากแผ่นเสียง จากอะไรแล้วมันก็พูดได้ชัดแล้ว การศึกษาที่ได้รับการถ่ายทอดผ่านมหรสพแบบนี้มันก็ลดลงไป จงพยายามรักษาไอ้สิ่งที่เป็นคุณค่าไว้ให้ได้ อย่าให้กลายเป็นเรื่องหยาบโลน เรื่องหนังตะลุง เรื่องมโนราห์ เรื่องฟ้อนรำ เรื่องอะไรก็ตาม ของให้มันเป็นศิลปะ ที่คนโบราณเขาคิดขึ้นได้ มีเป็นประโยชน์แล้วรักษาไว้สืบๆ กันมา เป็นเรื่องของความสวยงาม ของศิลปะ ก็ดี ถ้าทำได้ในแง่นี้ก็ดี ให้รู้ว่าไอ้ชาวปักษ์ใต้เรานี่ มันเคยได้รับวัฒนธรรมอย่างนี้ รักษาไว้ได้ ศิลปะ ละคร ศิลปะฟ้อนรำ แม้แต่หนังตะลุงนี่ มาจากอินเดีย วัฒนธรรมนี้มาจากอินเดีย มาถึงภาคใต้ ปักษ์ใต้ก่อน แล้วจึงค่อยขึ้นไปทางเหนือ ไปกรุงเทพฯ ทางโน่น หรือว่าลงไปทางสุมาตรา อินโดนีเซีย ชวาโน้น ก็ลงไปทางโน้นทางหนึ่ง ไอ้จุดที่มาถึงก่อน จากอินเดีย คือปักษ์ใต้นี่ มันอยู่ตรงกันข้ามกับประเทศอินเดียฝ่ายโน่น ข้ามมหาสมุทรอินเดียมาขึ้นแถวตะวันตกนี่ ตั้งแต่ภูเก็ต ลงจนไปถึงที่สตูลยะลาไปทางโน่น ฝั่งนี่เป็นที่ ขึ้นของวัฒนธรรมอินเดีย ตั้งแต่ตะกั่วป่าลงไป ไอ้เรื่องหนังตะลุง หรือรำ รำละครมาที่นี่ก่อน แล้วมันจึงแยกขึ้นไปเหนือ ลงไปใต้ ถ้าคนแถวนี้รักษาไว้ได้ดี มีประโยชน์ เป็นวัฒนธรรม ก็น่าแสดง ก็ควรจะไปแสดง แต่เดี๋ยวนี้เป็นที่น่าเสียใจ ว่าพวกเราน่ะนี่ ไปแก้ไขของเก่าหมด จนเป็นอะไรไม่รู้ จนเป็นอะไรชนิดที่ไม่ถูกต้องตามแบบฉบับเดิม ก็ลำบาก ถ้าหากยังรักเรื่องมโนราห์ เรื่องอะไรอย่างนี้อยู่ ก็ขอให้สงวนของเดิมไว้อย่างถูกต้อง ในกริยาท่าทางแบบนี้ก็ดี หรือในคำพูดอะไรก็ดี เรื่องราวเนื้อความใจความก็ดี รักษาไว้อย่าไปเปลี่ยนแปลงมัน มันจะมีเค้าเงื่อนมาจากอินเดียให้เห็นชัดอยู่ เป็นวัฒนธรรมของอินเดียที่เคยสูงมาแล้ว แล้วก็แผ่มาทางนี้ ถ้าทำอย่างนี้ ก็เรียกว่าถือว่าเป็นนิทรรศการที่พอใช้ได้ ของคนปักษ์ใต้จะมาแสดงให้คนกรุงเทพฯ ดู แต่ละภาคๆ เขาก็มีของเขาทั้งนั้นแหละ ของเก่าของโบราณ ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคกลาง แต่ภาคกลางนั้นเองแหล่ะไม่ค่อยมี ภาคกลางมันใหม่หมด ของเก่าๆ มันมีอยู่สุดโต่ง ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคอีสาน เมื่อสมัยศรีวิชัยนั้น กรุงเทพฯ ยังไม่มี กรุงเทพยังอยู่ใต้น้ำ แต่บ้านเรามีแล้ว บ้านเราเมืองเรา มีแผ่นดิน มีการศึกษา มีพุทธศาสนา มีพระเจดีย์ตั้งแต่ก่อนสมัยศรีวิชัย เราควรจะรักษาเกียรติยศ ชื่อเสียงอันนี้ไว้ให้ได้ ว่าคนปักษ์ใต้มันมีก่อนคนกรุงเทพ พันปี ตั้งพันปี เอาอะไรดีๆ เดิมแท้นี่ไปแสดง ก็จะได้รับความเคารพ สรรเสริญ แล้วเราก็จะได้ชื่อว่า เป็นผู้สงเคราะห์แจกจ่าย สิ่งที่ควรจะสงเคราะห์ และแจกจ่าย อย่าคอยเป็นเด็กตามหลังให้เขาไปเสียอีก เราเป็นพี่แก่กว่าตั้งพันปี แล้วเรามันโง่เดินตามก้นไอ้คนเด็กเกิดเมื่อวานซืนกรุงเทพฯ ภาคใต้เรานี้เกิดก่อนกรุงเทพตั้งพันปี ที่รู้ภาษีภาษามีวัฒนธรรมกันมาแล้ว นี่มายึดถือกรุงเทพฯ มาเป็นแบบฉบับ มันเป็นเรื่องปนเปกันยุ่งไปหมด ไอ้เมืองหลวงชนิดนี้ มันเป็นอย่างนี้ มันรับมาหมด ไปออกันอยู่ที่นั่น ไปคละกันอยู่ที่นั่น เราก็คอยไปตามหลังเขา เราอยู่ที่ปักษ์ใต้นี่ เราควรจะรื้อฟื้น ค้นคว้าศึกษาให้รู้จักของดีดั่งเดิมของปักษ์ใต้ แล้วก็แสดงให้ถูกต้อง ศึกษาค้นคว้า ฝึกฝนอยู่ให้ชำนาญ ถึงคราวที่จะแสดง ก็แสดงให้ถูกต้อง ไว้ลายของคนที่มันเกิดมาแล้ว เป็นกันอยู่แล้วตั้ง สองพันกว่าปี มันเชื่อได้เหลือเกินว่า วัฒนธรรมอินเดีย โดยเฉพาะพระพุทธศาสนานี่ มันมาถึงดินแดนภาคใต้นี้ก่อน วัฒนธรรมที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาก็มาดินแดนทางภาคใต้นี่ก่อน มันจึงขึ้นไปทางเหนือ แล้วจึงลงมาทางใต้ ลงไปทางเมืองแขก ไปสุมาตรา อินโดนีเชียทางโน่น บนบกนี่พูดภาษาสันสกฤตกันเป็นภาษาของตัว โดยไม่รู้สึกตัว ภาษาสันสกฤตของอินเดียมาพูดจนเป็นภาษาไทย ของตัวโดยไม่รู้สึกตัว มากกว่าพวกกรุงเทพฯ เสียอีก คำเก่าๆ ของปักษ์ใต้เราน่ะ เป็นคำสันสกฤต เป็นคำอินเดียเกือบทั้งนั้นแหละ ฉะนั้นขอให้เรารู้สึกตัวว่า เรามันเคยรับแสงสว่างของอินเดีย ไม่น้อยกว่าสองพันปี ปรับปรุงให้ยังคงดีคงใหม่อยู่เสมอ แสดงกันต่อๆ ไป โดยชื่อว่าสงเคราะห์บ้านเมือง สงเคราะห์ตัวเอง สงเคราะห์ผู้อื่น สงเคราะห์โลก เป็นแหล่งวัฒนธรรมดั่งเดิม ที่ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วก็ยังถูกต้องดีอยู่ ไอ้เรื่องที่จะต้องพูดกันเป็นเรื่องสำคัญก็คืออย่างนี้ คุณขอให้พูด อาตมาก็ต้องพูดอย่างนี้ พูดอย่างอื่นก็พูดไม่เป็นด้วย แต่เรื่องที่มนุษย์จะต้องรู้ จะต้องทำ จะต้องปฏิบัติ นี่เป็นเรื่องที่สนใจอยู่เสมอ ให้พูดกันทั้งวันๆ ก็ยังพูดได้ จะพูดเรื่องเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องอย่างไร จะพูดทั้งวันๆ ทั้งเดือนทั้งปีก็ได้ เรื่องอื่นพูดไม่เป็น ไม่ได้นึก ไม่ได้คิดอยู่เป็นประจำ ไอ้ที่นึกคิดอยู่เป็นประจำ คือเรื่องว่า ไอ้ศีลธรรมต้องกลับมา เหมือนบรรพบุรุษแต่กาลก่อนของเรามีศีลธรรมอยู่กันเป็นผาสุก นอนไม่ต้องปิดประตูเรือนก็ได้ ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา โลกานี่จะวินาศ เดี๋ยวนี้มันก็ลำบาก ยุ่งยาก ชั่วช้าอยู่แล้ว คือศีลธรรมมันลดลงไป ศีลธรรมมันลดลงไป เราอยู่ด้วยกันไม่เป็นผาสุก ศีลธรรมมันยังไม่ขาดสูญเสียทีเดียว มันก็ลำบากมากอยู่แล้ว ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาอีก ไม่กลับมา มีแต่สูญไป สูญไป เราก็ต้องวินาศแหละ เราก็ต้องอยู่กันอย่างเกลียดชังกัน ในที่สุดก็ฆ่ากันตายหมดทั้งโลก ถ้าศีลธรรมกลับมา แล้วเราก็เป็นสุข สงบเย็น ถ้าเขียนคำกลอนไว้ให้ท่องจำกันว่า หากศีลธรรมไม่กลับมา โลกาวินาศ ศีลธรรมระบาดโลกธาตุสงบเย็น ศีลธรรมระบาดเหมือนกับโรคระบาด แต่ระบาดเป็นศีลธรรมในทุกหนทุกแห่ง โลกธาตุก็จะสงบเย็น โลกธาตุในคือว่าโลกทุกๆ โลก ไม่ว่าจะโลกมนุษย์ โลกไหนก็เขาตามใจเขาว่า ตามพระบาลีมีอยู่ราวสามหมื่นโลกธาตุ รวมทั้งโลกมนุษย์นี้ด้วย ก็จะสงบเย็น ถ้าศีลธรรมกลับมา และแพร่หลายเหมือนกับโรคระบาด จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไปคิดดู มันไม่ลึกเกินไป จะมองเห็น ถ้ามองเห็นก็ช่วยกันทำให้ศีลธรรมกลับมาเร็วๆ ปลูกฝังลงในลูกเด็กๆ ให้เขามีศีลธรรม โตขึ้นจะได้มีศีลธรรม จะไม่ทรมานพ่อแม่ จะไม่จับพ่อแม่ใส่นรกให้ร้อนใจ ฉะนั้นลูกเด็กๆ ของเราก็จะเจริญรุ่งเรือง คนแก่คนเฒ่าก็ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ เพราะไอ้ลูกเล็กๆ มันทำ ให้ยุ่งยากลำบาก เดี๋ยวนี้ก็ได้ยินว่า บิดามารดายุ่งยากลำบาก นอนไม่ค่อยจะหลับ เพราะลูกไม่อยู่ในศีลธรรมมากขึ้นๆ สิ่งใดที่มันจะช่วยให้มีศีลธรรมกลับมา มีศีลธรรมแล้วก็ ช่วยกันเต็มที่เลย ข้อแรก ทำมาหากินให้ดีที่สุด คือศีลธรรมข้อแรก ให้เด็กๆ สนุกในการทำงาน ยิ่งเหงื่อออก ยิ่งชอบใจ ยิ่งสนุก ในการทำงาน นั่นศีลธรรมข้อแรก แล้วก็เมื่อได้มาแล้ว ก็อย่าเอาไปสนองกิเลสกันหมด ได้เงิน ได้ของ ได้ผลมาแล้ว อย่าเอาไปทำอบายมุข อย่าเอาไปสนองกิเลส ให้กินใช้แต่พอดี มันก็เหลือแหละ เหลือกินเหลือใช้ แล้วไปช่วยเหลือผู้อื่น ผลิตให้มาก กินแต่พอดี เหลือไปช่วยผู้อื่น ลองทำอย่างนี้ จะมีความสุขที่สุด เราทำงานสนุก มันก็ได้มาก เวลากิน กินแต่พอดี จะเก็บไว้ก็ได้ จะเก็บเป็นหลักทรัพย์บ้างก็ได้ แต่พอดี มันก็มีเหลือไปช่วยผู้อื่น แล้วก็รักกันทั้งโลก รักกันทั้งบ้านทั้งเมือง รักกันอย่างที่เรียกว่า เป็นมนุษย์ที่รักกัน มันก็อยู่กันเป็นสุข นี่คือศีลธรรมหลักใหญ่ ๆ มันเป็นอย่างนี้ การทำมาหากินนั้นน่ะ เป็นหน้าที่ นั้นน่ะเป็นธรรมะ ทำให้มากก็ได้ผลมาก กินใช้เก็บแต่พอดี เหลือก็ช่วยผู้อื่น ความสุขเมื่อช่วยผู้อื่นนั้น เป็นความสุขที่แท้จริง แต่มันก็ทำยากน่ะ มันไม่คิดจะช่วยเหลือ มันก็ฝืน ถ้าว่ามันรู้สึกทำได้ แล้วมันก็จะมีความสุข เมื่อได้ช่วยผู้อื่น ให้ผู้อื่นกินนั้นน่ะ เราอิ่มกว่าเสียอีก อิ่มนาน อิ่มตลอดชีวิต ถ้าให้คนอื่นกิน มันอิ่มตลอดชีวิต ถ้าเรากินเอง พรุ่งนี้เราก็ถ่ายอุจาระออกหมดแล้ว ถ้าให้ผู้อื่นกิน มันอยู่ในจิตใจของทั้งสองฝ่ายไปจนตาย ความอิ่มนั้นมันอยู่ในจิตใจของผู้กินผู้ให้ไปจนตาย ให้ผู้อื่นกินมันอยู่นานอย่างนั้น กินเองรุ่งขึ้นก็ถ่ายอุจาระออกแล้ว ได้ผลบ้างนิดหน่อย การนึกถึงผู้อื่น แล้วก็สงเคราะห์ผู้อื่น เป็นวัฒนธรรมสูงสุดของมนุษย์
ขออนุโมทนาในการที่ท่านทั้งหลาย จัดการศึกษา จัดการอบรมอะไร เพื่อสงเคราะห์และพัฒนานี่มันถูกต้องตามพระพุทธศาสนา ของพระพุทธเจ้า ขอให้ทำจริง ทำด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมด ขอให้ทำจริง มันจะเป็นบุญเป็นกุศลอยู่ในการงานนั้น ไม่ต้องไปทำบุญกุศลที่ไหนก็ได้ มันจะจริงอยู่ในการสงเคราะห์ผู้อื่นนั่นแหล่ะ ไม่ต้องไปทำบุญเพ้อๆ ละเมอๆ ที่ไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นขอให้รู้จักตัวเอง ทำหน้าที่ของตัวเอง ให้สนุกไปเลย แล้วมีความสนุก ในการงานนั่นเอง ไม่ต้องเอาความสุขที่อบายมุข กินเหล้าเมายา ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกลียดคร้านทำการงาน ที่เรียกอบายมุข เป็นปากทางแห่งความฉิบหาย จงเกลียดกลัวให้มาก อย่าไปแตะต้อง อย่าทำตัวอย่างให้ลูกหลาน ลูกเด็กๆ มันจะเอาอย่าง เป็นสุข เมื่อได้รู้สึกว่าได้ทำความถูกต้อง ไอ้ความสุขเรื่องกามารมณ์ นั้นเป็นเรื่องหลอกๆ เป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องร้อนซ่อนไว้ข้างใน เป็นเรื่องวินาศฉิบหายเมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าเป็นความสุข ที่รู้สึกเมื่อได้ปฏิบัติธรรมะ คือความถูกต้อง และเป็นความสุขจริงๆ บริสุทธิ์ผุดผ่อง และอยู่กันได้ยึดยาว ไม่เกิดเป็นพิษ ไม่เกิดเป็นภัย อะไรขึ้นมา ตลอดชีวิตเลยยัง ต่อไปถึงโลกหน้า และโลกอื่นๆ อีกมาก นี่ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไอ้จิตที่ตั้งไว้ถูกน่ะประเสริฐที่สุด ไอ้จิตที่ตั้งไว้ผิด คือเลวร้ายที่สุด ขอให้ทุกคนช่วยจำแล้วไปปฏิบัติ แล้วหากมีความเจริญงอกงามก้าวหน้า ตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา มีความสุขอยู่ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ