แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการที่ได้พบกับท่านทั้งหลาย ในฐานะที่เป็น ครูบาอาจารย์ เราถือพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมครู เราลูกศิษย์ พระพุทธเจ้าก็เป็นครู ทำหน้าที่อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ตถาคตเกิดขึ้นมาในโลกนี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อความเกื้อกูล แก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์” และตรัสว่า “ธรรมะวินัยในศาสนานี้ ที่บัญญัติขึ้นแสดงขึ้นนี้ก็เพื่อประโยชน์สุข เกื้อกูล แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์” แปลว่า พุทธบริษัททั้งหลายจะช่วยกันรักษาสืบอายุศาสนา คือธรรมวินัยนี้เอาไว้ตลอด กาลนาน ก็เพื่อประโยชน์ความสุขเกื้อกูลความสุขแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ อย่างนี้มีมากที่สุดในพระบาลี คล้ายๆ กับว่าพระพุทธเจ้าท่านมีลมหายใจเป็นความสุขหรือประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์ และท่านเป็นพระบรมครู เราเป็นผู้รับใช้ท่านก็ต้องทำหน้าที่เดียวกันน่ะ คือให้เกิดประโยชน์ความสุข เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์
ท่านควรจะสะดุดใจบ้างว่าทำไมจึงต้องพูดว่าทั้งเทวดาและมนุษย์ ถ้าไม่เข้าใจไอ้ความหมายอันนี้แล้วคงจะลำบาก มนุษย์ก็พอจะมีความเห็นว่ามีความทุกข์ มีปัญหา แล้วเทวดาล่ะทำไมถึงยังมีความทุกข์หรือมีปัญหา เพราะว่าเทวดาก็ยังมีกิเลส เทวดาก็ยังเห็นแก่ตัว เทวดาก็ยังตะกละในเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นปัญหามันจึงมีตั้งแต่เทวดาและมนุษย์ ดังนั้นพระธรรมวินัยในพระศาสนามันจึงจำเป็นทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ อ้าว, ทีนี้ถ้าว่าเราจะพูดถึงเทวดาที่เห็นกันได้ง่ายๆ จะไม่พูดถึงเทวดาบนฟ้า บนสวรรค์ แบ่งกันที่นี่ เทวดาและมนุษย์ก็คือว่า ไอ้คนที่มันสบายแล้ว ไม่รู้จักเหงื่อเลยนี่เป็นพวกเทวดา กินอยู่ เล่นหัวตามสบายใจ ไม่รู้จักเหงื่อ เลย นี่คือพวกเทวดา ส่วนที่คนที่ยังต้องอาบเหงื่อนี่มันคือมนุษย์ แต่แล้วทั้งเทวดาและมนุษย์มันยังมีปัญหาในโลกนี้ ในปัจจุบันนี้ เทวดาก็มีปัญหาอย่างเทวดา มนุษย์ก็มีปัญหาอย่างมนุษย์ เพราะฉะนั้น จะต้องมีสิ่งที่แก้ไข กำจัดความทุกข์ทั้งของเทวดาและมนุษย์ ก็คือกำจัดกิเลสนั่นเอง เมื่อไม่มีกิเลส ก็ไม่มีความทุกข์ ทั้งส่วนตัวและไม่ทำให้ผู้อื่น เป็นทุกข์ ทีนี้เรามาดูสิคนที่ไม่รู้จักเหงื่อ คนรวย คนสบาย คนร่ำรวย เล่นหัวตามสบายไม่รู้จักเหงื่อนั่น มันมีปัญหา หรือ ไม่มีปัญหา ความขูดรีดของคนปลูกผักขายไม่มีน้ำหนักอะไร แต่ความขูดรีดของพวกนายทุนน่ะมีน้ำหนักมากเหลือเกิน ทำให้ระส่ำระสายไปทั้งประเทศนั่นหนะ ถ้าเทวดาแกเกิดขูดรีดขึ้นมา มันเดือดร้อนแสนสาหัสทั้งประเทศ ฉะนั้นนายทุนแล้วก็คนร่ำรวย เขาสามารถทำตนเป็นคนร่ำรวย แต่ก็มีกิเลสเพิ่มขึ้นเท่ากับความร่ำรวย อย่าคิดว่าร่ำรวยแล้วกิเลสมันจะน้อยลง เพราะว่าไอ้ความร่ำรวยมันก็ส่งเสริมกิเลสให้มากขึ้น นั้นยิ่งร่ำรวย ยิ่งเป็นนายทุน มันก็ต้องขูดรีดมากขึ้น ฉะนั้นการศึกษาที่ให้เพียงว่าให้มันรู้จักทำมาหากินให้มีอาชีพนั้น ไม่พอหรอก ไม่พอที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ ฉะนั้นอาชีวศึกษานี่ยังไม่พอที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ การอาชีวศึกษาไม่ใช่จุดหมายที่สมบูรณ์ของมนุษย์ เพราะมันยังไม่ป้องกันให้คน มันป้องกันคนไม่ให้มีกิเลสไม่ได้ กลายเป็นว่ายิ่งร่ำรวย มันก็ยิ่งเห็นทาง หรือเอาเปรียบ มันๆก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเอาเปรียบได้มากขึ้น นั้นได้ยินว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้เป็นอาจารย์อาชีวศึกษา อาตมาขอบอกว่า อาชีวศึกษามิใช่จุดหมายสมบูรณ์ของมนุษย์ อย่างดีก็จะทำให้ได้เป็นแต่เพียงคน ทำมาหากินเก่งอะไรเก่ง แต่ไม่มีจิตใจสูงอย่างมนุษย์
การศึกษาในโลกให้เรียนแต่หนังสือกับอาชีพ เรียนหนังสือฉลาดมากมันก็โกงมาก โกงเก่ง เมื่อจัดการศึกษาใหม่ๆ ในประเทศไทย เปลี่ยนจากระบบเดิมตามศาลาวัดมาเป็นในระบบปัจจุบันนี้ ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ท่านจัด แล้วก็ท่านขอร้องน้องชายท่านจัด คือกรมพระยาดำรงฯ เอ้ย, กรมพระยาวชิรญาณวโรรสที่เป็นพระ กรมพระยาดำรงฯ นั่นเป็นเสนาบดี ศึกษาแต่ว่าผู้จัด เป็นตัวตั้งตัวตีทั่วประเทศอาศัยวัด เลยต้องยืมมือของสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณ วโรรส ที่ในจดหมายที่ท่านเขียนถึงกันน่ะ ขอใช้คำธรรมดาๆ หน่อยนะ ไม่ใช้คำว่าราชหัตถเลขา จดหมายที่ท่านมี ถึงกันที่ว่า “ต่อไปนี้จะโกงกันอย่างวิตถาร” ช่วยจำประโยคนี้ของรัชกาลที่ ๕ ไว้ด้วยว่าต่อไปนี้มันจะโกงกันอย่างวิตถาร คือเราเปลี่ยนการศึกษาระบบแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ มันรู้หนังสือดี ฉลาดมาก ตามวัตถุประสงค์การศึกษา ต่อไปนี้มันจะโกงกันอย่างวิตถาร เมื่อมันยังไม่มีสติปัญญามันก็โกงไม่วิตถารสิ อันนี้มันฉลาด เรียนหนังสือกันฉลาดมันก็โกงกันอย่างวิตถาร ฉะนั้นให้เรียนแต่หนังสือ ไม่รับประกัน ไอ้ความโกง และโกงอย่างวิตถาร เพราะฉลาดมาก ฉะนั้นรู้แต่หนังสือไม่ใช่จุดสมบูรณ์ของมนุษย์ ที่จะมีสันติภาพ นี่เรียกว่าการศึกษาที่หนึ่งรู้หนังสือ ก็ไม่ทำให้มนุษย์เกิดขึ้น มันมีแต่คนธรรมดาเท่านั้นแหละ ฉลาดอย่าง คนธรรมดา เดี๋ยวนี้เราเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งศึกษา อีกหนึ่งศึกษาคืออาชีพ เอ้า,สอนวิชาชีพที่เป็นการศึกษาที่สอง แล้วมันก็ไม่แก้ไอ้ความเห็นแก่ตัว สามารถในอาชีพก็ยิ่งเพิ่มทางที่หรือโอกาสที่จะเอาเปรียบผู้อื่นน่ะ ฉะนั้นยิ่งรวยยิ่งมีโอกาส ที่จะเอาเปรียบผู้อื่น ไม่รวย พอกิน มันก็ยังไม่รับประกันว่าจะไม่เอาเปรียบผู้อื่น จะไม่เห็นแก่ตัว เพราะว่าการศึกษาอาชีพ นี่มันไม่ได้สอน เรื่องศีลธรรมเลย ผู้มีอาชีพแล้วมันก็ยังเห็นแก่ตัวไปตามเดิมแหละ ถ้าอาชีพมันกว้างขวางมันก็อาจจะเห็นแก่ตัวได้กว้างขวาง อาจจะเอาเปรียบผู้อื่นได้มากขึ้น ฉะนั้นอาชีวศึกษาไม่ได้ทำให้คนเป็นมนุษย์ คือยังมีกิเลสที่เห็นแก่ตัวอยู่ สันติภาพจึงไม่เกิดขึ้นในโลก เพราะว่าเรียนหนังสือและเรียนอาชีพ มันยังขาดธรรมศึกษาหรือศีลธรรม อาตมาจึงเรียกการศึกษาระบบนี้ในโลกปัจจุบันว่า การศึกษาระบบหมาหางด้วน สอนแต่หนังสือกับอาชีพ มันรู้แต่หนังสือ มันเก่งมันฉลาดแล้วมันก็มีอาชีพ แล้วมันก็ไม่ทำลายความเห็นแก่ตัว มันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว มัน ก็โลกนี้มันก็วุ่นวาย
ก่อนนี้ถ้าเขาศึกษา เขาศึกษาเพื่อเป็นมนุษย์นา ไอ้เรื่องหนังสือ อาชีพนี่เขาจัดเป็นเรื่องรองนา สอนให้คนมีศีลธรรม วัดก็ดี โรงเรียนก็ดี มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์นั่น ที่พระเขาจัดนะเขาจัดเพื่อความเป็นสุภาพบุรุษ ไปหาเรื่องของคนที่เคยไปเรียนที่ออกซ์ฟอร์ดหรือเคมบริดจ์เมื่อห้าหกสิบปีมาแล้ว จะพบว่า เน้นแต่เรื่องความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่เน้นวิชาหนังสือ ไม่เน้นวิชาชีพ ไม่เน้นปริญญาอะไร เพราะว่าเขาจัดเพื่อให้คนมีศีลธรรม พระจัดเรื่อยมา ต่อมาเขาเอาออก เอาพระออก เอาไอ้ศีลธรรมออก เอาศาสนาออก มหาวิทยาลัยเหล่านั้นแหละมันก็เหลือแต่หนังสือกับอาชีพ มันก็หมดความเป็นมนุษย์ หมดความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ พูดตรงๆ ก็ว่าสมัยโน้นเขาเรียนเพื่อมีความเป็นสุภาพบุรุษเป็นจุดมุ่งหมาย เดี๋ยวนี้เราเรียนเพื่ออะไร เพื่อรู้หนังสือและอาชีพ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ฉะนั้นปัญหาจึงเกิดขึ้นเต็มไปหมดทั้งประเทศ โดยเฉพาะเด็กๆหรือยุวชน เราสอนเขาแต่หนังสือกับอาชีพ เขาก็เป็นอันธพาลที่มีปริญญายาวเป็นหางเลย เป็นปริญญามาจากเมืองนอก ยาวเป็นหาง มันรู้แต่หนังสือกับอาชีพ มันก็เป็นอันธพาล พวกนี้ทำคอรัปชั่นเก่ง ทำให้โลกวุ่นวายเก่ง เพราะฉะนั้นอาตมาจึงขอโอกาส ขออนุญาต ก็ได้เรียกระบบการศึกษาเหล่านี้ว่า ระบบหมาหางด้วน เรียนแต่หนังสือกับอาชีพ ไม่ได้มาเป็นคนกันอย่างไร ไม่เรียนเรื่องศีลธรรมเลย แต่เมื่อใดที่สอนเรื่องศีลธรรมให้สมบูรณ์เข้ามาเป็นการศึกษาที่สามนั่นหละ การศึกษานั้นจึงจะสมบูรณ์ ไม่เป็นการศึกษาชนิดหมาหางด้วน จะพูดให้เพราะก็ว่า ให้เป็นเจดีย์ยอดด้วนก็ได้ แต่มันลืมง่าย ฉะนั้นจึงขอเรียกว่าระบบหมาหางด้วนเรื่อยไป การศึกษาในโลกทุกประเทศ ประเทศใหญ่มันนำหน้า ประเทศเล็กมันตามก้นประเทศใหญ่ ตัดความรู้ทางศาสนาออกไปก่อน หาว่าไม่จำเป็นมากีดเกะกะขวางทางของไอ้ความก้าวหน้าทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางอะไร เอาตัดออกไป เหลือแต่การศึกษาที่ส่งเสริมเศรษฐกิจและการเมือง ยิ่งทำไปคนก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ไอ้ความรู้เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่สร้างความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ยิ่งเป็นเศรษฐียิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเป็นนายทุนยิ่งเห็นแก่ตัว ฉะนั้นปัญหาก็เกิดขึ้นทางเศรษฐกิจ ถ้าคนร่ำรวยแล้วมีศีลธรรมอย่างเดียว ก็ไม่มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจในโลก ไม่มีปัญหาเรื่องการเมือง ถ้านักการเมืองมันมีศีลธรรม ไม่มีปัญหาทางการปกครอง ถ้านักปกครองมันมีศีลธรรม นับตั้งแต่สูงสุดลงมาถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ราษฎรนี่ ถ้ามันมีศีลธรรมแล้วปัญหามันไม่มี ทีนี้เราไม่มองความจำเป็นที่จะต้องมีศีลธรรม มุ่งแต่เรียนหนังสือ มุ่งแต่อาชีพ พอจบแล้วมันก็เป็นผู้สร้างปัญหา นี่เรียกว่าเรามันทำผิดเอง เพราะว่าตัดระบบการศึกษาส่วนศาสนาออกไปเสีย และยิ่งตัดมากกันทุกทีได้ยิน ว่าในบางรัฐของบางประเทศนั้นห้ามสอนธรรมะหรือศาสนาโดยเด็ดขาด ถ้าใครเอามาสอนถือว่าผิดกฎหมายเลย ปรับให้เป็นผู้ทำผิดกฎหมายและลงโทษด้วย ถ้าเอาศาสนามาสอนในห้องเรียนของโรงเรียนนี่ ไอ้หมาหางด้วนตัวแรกไปติดกับหมาหางด้วน แล้วมาบอกหมาทั้งหลายว่าไม่มีหางดีกว่า เพราะหางนี้รุงรัง กีดขวางการก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ตัดทิ้งไปเสีย ระบบศาสนา ไอ้หมาตัวนั้นพูดอย่างนี้ มีคนเห็นด้วย มันก็ชวนกันตัดๆๆ จนกว่าหมาตัวหนึ่งมันไม่เห็นด้วย เป็นหมาแก่ว่า มันว่ากูไม่เอา ก็มีเท่านั้นแหละ ก็ไม่มีใครที่จะเอาอย่างหมาแก่ตัวนั้น มันมีแต่หมาที่สมัครตัดหางกันทั้งนั้นแหละ ที่ตัดศาสนาออกไปจากการศึกษา ประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทยเราก็ไปตามก้นหมาตัวใหญ่ทั้งนั้นแหละ คุณไปดูเถิด มันจัดไม่ได้มันใส่ไม่ลง เขาไม่มีช่องว่างให้ใส่ไอ้ความรู้ทางภาคศาสนาไว้ในหลักสูตร มันก็เลยตะโกนอย่างนี้เรื่อย แล้วก็ยังตะโกนทางวิทยุ เพราะเขาเปิดโอกาสให้พูดทางวิทยุ ขอบอกให้ทราบกันไว้ด้วยถ้ายังไม่ทราบ สัปดาห์ที่ ๓ ของเดือน วันอาทิตย์ ๘.๐๐ – ๘.๓๐ น. เขาให้อาตมาพูด แล้วเขากักไว้ทุกๆ สถานีเลย คือเปิดส่งทุกสถานีเลย โดยวิทยุประเทศไทย แล้วพูดแต่เรื่องนี้ พูดเรื่องหมาหางด้วนนี่ พูดถึงศีลธรรมกลับมา เอาศีลธรรมกลับมา อย่าให้หมาหางด้วน
อาทิตย์ที่แล้วเมื่อสองสามวันนี้ก็พูดเรื่องนี้ว่า ฟังให้ดี ไม่มีศีลธรรมกลับมา พุทธศาสนาหมด ก่อนแต่ที่คอมมิวนิสต์จะมา พวกเราได้รับ คำขอร้องดังกล่าวว่า ให้ระวังคอมมิวนิสต์มา พุทธศาสนาหมด อาตมาไม่ต้อง ให้ระวังว่าพุทธศาสนาจะหมดก่อนที่คอมมิวนิสต์จะมา คอมมิวนิสต์ไม่ทันจะมาพุทธศาสนาจะหมดเสียแล้ว เพราะว่าห้ามสอนศีลธรรมในโรงเรียนนี่ คิดดูสิ ทั้งโลกนี่ ทั้งโลกนี่ มันถือหลักไม่สอนศีลธรรม ในระบบการศึกษา นี่ไม่ต้องคอมมิวนิสต์มา การศึกษา เอ่อ ศาสนามันหมดแหละ เพราะเราทำผิดเอง สอนธรรมะผิด สอนธรรมะผิดหลัก และปฏิบัติธรรมะก็ผิดหลัก แล้วหวังผลจากธรรมะก็ผิดหลัก แล้วธรรมะอะไรจะเหลืออยู่ เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีธรรมะอะไรมันเหลืออยู่ เพราะสอนผิดหลัก ปฏิบัติผิดหลัก หวังผลผิดหลัก มันก็หมดแล้ว คอมมิวนิสต์ไม่ทันมา พุทธศาสนาจะหมดเสียก่อน นี่ควรรีบดึงออกมาเร็วๆ ระบบศีลธรรม ระบบศาสนา ให้มาอยู่ในระบบการศึกษา เพื่อให้การศึกษาของเราสมบูรณ์ มิฉะนั้นเด็กๆ ของเราจะเป็นสัตว์อกตัญญูหมด เดี๋ยวนี้เขาว่านักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษานี่ร้ายกว่านักเรียนชุดไหน กว่าชุดไหน นักเรียนที่กระด้างหรือว่าแข็งกรอด หรือว่าชอบต่อสู้นี่คือนักเรียนอาชีวศึกษา เพราะว่านักเรียนอาชีวศึกษาไม่ค่อยได้รับการสั่งสอนทางศีลธรรม เหมือนกับนักศึกษาประเภทอื่น นี่อาตมาขอร้องให้ไปพิจารณาดู ว่าจริงอย่างนี้หรือไม่ หาความสุภาพยาก ในบุคคลที่ไม่มีศีลธรรมหรือได้รับการศึกษาศีลธรรม แล้วเราก็ จะมีแต่คนที่แข็งกร้าวในทางที่จะเห็นแก่ตัว กูก็กู มึงก็มึง พอไม่มีศีลธรรมมันจะมีหลักเกิดขึ้น ตัวกูของกู ตัวมึงของมึง ประโยชน์เป็นสิ่งสูงสุด ไม่ใช่ธรรมะเป็นสิ่งสูงสุด ไม่ใช่พระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด ไม่ใช่ศาสนาเป็นสิ่งสูงสุด แต่ว่าประโยชน์เป็น สิ่งสูงสุด แล้วประโยชน์ของคนพวกนี้ก็เป็นโลก เป็นโลก เป็นโลกียะ เป็นโลกมากเกินไป คือความเอร็ดอร่อย ทางเนื้อ ทางหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งทางภาษาศาสนาเรารวมเรียกว่า ไอ้เรื่องเนื้อหนัง ทีนี้คนหนุ่มคนสาวของเราบูชาเรื่องเนื้อหนังเป็นสรณะ เป็นพระเจ้า เป็นสิ่งสูงสุด แล้วปัญหาอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้ดูให้ ดีเถิด ไม่ใช่ว่าประเทศมันจะรอดอยู่ได้เพราะมีการทำมาหากิน ถ้าว่าลองพลเมืองไม่มีศีลธรรม มันเป็นไปไม่ได้ มันก็มีการแย่งกันกิน มีการเอาเปรียบกันกิน เห็นแก่ตัวเป็นเบื้องหน้า แล้วประชาธิปไตยมีไม่ได้ ประชาธิปไตยมีไม่ได้สำหรับคนเห็นแก่ตัว เห็นแต่จะกิน จะมีได้ก็ต่อเมื่อมีธรรมะ มีศาสนา เห็นแก่ศาสนา วัตถุนิยมนี่มันดึงให้คน ไม่สนใจศาสนา และเกลียดศาสนา เช่นที่นักเรียนหนุ่มสาวของเราไม่ชอบศาสนา ไม่ชอบธรรมะ พอเอ่ยถึงธรรมะ ถึงศาสนา มันว่าเต่าล้านปี เอากับมันสิ แล้วมันก็ไม่สนใจ ไอ้ธรรมะหรือศาสนามันก็ไม่มี แล้วมันเองมันก็กลายเป็นเหี้ยสิ ร้ายกาจที่สุด จะเลือกว่าเหี้ยหรือว่าจะเลือกไอ้เต่าล้านปี เต่าล้านปีจะปลอดภัยกว่ากระมัง มันจะปลอดภัยกว่าเหี้ยหางแดงที่เลวร้ายอยู่ในปัจจุบันนี้กระมัง เด็กๆ เขาไปหาว่าเต่าล้านปี เอาธรรมะมาศาสนามา อาตมาคิดว่าครูบาอาจารย์ที่สอนอาชีวศึกษาจะรู้ดีที่สุดกว่าใคร เพราะประชาชนก็พูดกันไปหมดแล้วว่า นักเรียนอาชีวศึกษาแข็งกระด้างกว่านักเรียนประเภทไหนหมด จริงไม่จริงฝากไว้ด้วย ไปเปรียบเทียบกันดู ว่า นักเรียนอาชีวศึกษาของเรากับนักเรียนประเภทอื่นนั้นใครมันกระด้างกว่ากัน ใครมันจะให้เอากลับหัวของศีลธรรมก่อน กลับหัวของศีลธรรมนี้ก็เช่นว่า เมื่อก่อนนี้เราถือว่าบิดามารดามีพระคุณ บิดามารดาครูบาอาจารย์มีพระคุณ เดี๋ยวนี้เด็กๆ เขากลับว่า เอาหัวลงว่าลูกมันมีพระคุณแก่บิดามารดา เอากันมันสิ หรือลูกกลับมีพระคุณแก่บิดามารดา ทำเกียรติยศชื่อเสียงให้แก่บิดามารดา หาเงินให้แก่บิดามารดา สร้างความร่ำรวยให้กับครอบครัว ฉะนั้นลูกมันมีพระคุณแก่บิดามารดา อย่างนี้เราเรียกว่ามันเอากลับหัวลงแล้วเอาศีลธรรมกลับหัวลงแล้ว เด็กพวกไหนจะทำอย่างนี้ ต้องเป็นเด็กที่บูชาเนื้อหนัง เด็กแห่งการศึกษาแขนงไหนบูชาเนื้อหนัง เด็กพวกนี้จะกลับศีลธรรมเอาหัวลง ขอให้ได้ทราบไว้ เผื่อจะได้ป้องกัน
ทีนี้เคยได้รับคำขอว่า จะให้กันพูดถึงเรื่องวิธีแก้ไขบ้าง อาตมาก็ว่าไม่มีอะไร นอกจากทำให้การศึกษามันสมบูรณ์ อย่าให้การศึกษาเป็นระบบหมาหางด้วน ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายช่วยกันทำให้ การศึกษาเป็นระบบที่สมบูรณ์ คือมีการเรียนหนังสือมีการเรียนอาชีพ และมีการเรียนศีลธรรม ศีลธรรมนี้มันต้องเรียนด้วยการปฏิบัติ มันจะเรียนกันด้วยการพูดจาไม่ได้ ถ้ามีแต่จดไว้ในตำรามันก็เป็นความรู้หนังสือธรรมดา ต้องไปให้เขามีการปฏิบัติ ให้เขาทำลงไปเลยเป็นประจำ เช่นว่า เราจะต้องไม่เห็นแก่ตัว เมื่อเพื่อนของเราเขาไม่มีอะไรจะกินเราก็แบ่งให้เขากิน จนเด็กๆ เขามองเห็นว่าให้ผู้อื่นกินนั่นแหละมีประโยชน์กว่ากินเอง จิตที่ให้สบายกว่าจิตที่เอา จิตใจขณะที่เราจะให้อะไรแก่ใครนั้นน่ะสบาย และเป็นสุขกว่าจิตเมื่อเราจะเอาอะไรของใคร จึงต้องฝึกฝนให้เขารู้จักเสียสละ ทำประโยชน์ผู้อื่น อย่าเพียงแต่ทำประโยชน์ตนๆ ที่เคยทำมาแล้วแต่หนหลังจนบัดนี้ เราต้องสอนให้เขารู้ว่า ไม่ได้มีแต่ร่างกาย มันมีจิตใจด้วย ความเป็นมนุษย์นี้ไม่ได้มีแต่ร่างกาย มีจิตใจด้วย เพราะฉะนั้นมันต้องมีความถูกต้องทั้งร่างกาย และจิตใจ เรียนหนังสือเรียนอาชีพ ไม่เกิดความถูกต้องทางจิตใจเท่าไรนัก หรือไม่มีเสียเลยก็ได้ มันถูกต้องทางร่างกาย มันจึงมีสติปัญญาทำมาหากิน อยู่ดีกินดี ตามที่เขาวาดไว้ว่าอยู่ดีกินดี จนเตลิดเปิดเปิง จนกลายเป็นผู้เห็นแก่ตัว ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนว่า กินอยู่แต่พอดีๆ คนสมัยนี้เขาเปลี่ยนเป็นว่า กินดีอยู่ดี แล้วก็ไม่มีขอบเขตจำกัด ทั้งโลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นปัญหามันก็เกิดขึ้น เขามองเห็นแต่เรื่องวัตถุ ทางวัตถุเป็นหลัก มีเนื้อหนัง เป็นหลัก ไม่เอาเรื่องจิตใจ เขาจึงมีชีวิตแต่ในด้านของวัตถุ ในด้านของจิตใจนั้น มันไม่มีความเป็นมนุษย์ มีชีวิตนี่ เป็นต้นไม้ก็มีชีวิตนะ เป็นสัตว์เดรัจฉานนี่ก็มีชีวิต เป็นคนก็มีชีวิต แต่เป็นมนุษย์นั่นน่ะถูกต้องที่สุด เพียงแต่เกิดมามันเป็นคนเท่านั้น ต่อเมื่อได้รับการอบรมถูกต้องแล้วมันจึงจะเป็นมนุษย์ พวกครูน่ะสอนผิด ว่ามนุษย์แปลว่าคน โรงเรียนไหนสอนว่ามนุษย์แปลว่าคนน่ะมันเป็นเรื่องบ้าบอที่สุด คำว่ามนุษย์มันไม่ได้แปลว่าคน มันแปลว่า ผู้ที่อบรมดีแล้ว มีจิตใจสูง ไอ้โรงเรียนที่สอนว่านิพพานคือตายนั่นน่ะ เป็นผู้ทำลายพุทธศาสนาที่สุด เพราะว่านิพพานนั้นไม่ใช่ตาย ไม่ใช่ตายของพระอรหันต์ หรือไม่ใช่ตายของใคร นิพพานคือหมดกิเลส และเย็นสนิทไม่มีร้อน นั่นน่ะคือนิพพาน แล้วพวกครูบาอาจารย์ไปสอนเด็กๆ ว่านิพพานแปลว่าตาย ไม่รู้เอามาจากไหน นี่ก็เหมือนกันแหละว่ามนุษย์แปลว่าคนน่ะมันไม่ถูกนะ ไอ้คนนี่พอเกิดมาก็เป็นคน ไอ้คำว่าชน นร นอรอ นะระ หรือ ชะนะ ชน นี่แปลว่าคนได้ แต่มนุษย์มันไม่ใช่คน มันสูงกว่าคน คนเกิดมาแล้วเป็นคน แล้วก็อบรมๆๆ จนถึงขนาดแล้ว ก็เป็นมนุษย์ ฉะนั้นมนุษย์แปลว่าผู้ที่มีการอบรมดีแล้วจนจิตใจสูง มน แปลว่าใจ อุษยะ แปลว่า สูง มนุษยะ แปลว่า มีใจสูง เดี๋ยวนี้เราก็ให้เรียนแต่หนังสือกับอาชีพจะสูงไปได้อย่างไร ให้เรียนแต่หนังสือกับอาชีพจะให้สูงไปได้สักเท่าไร มันจะไม่มีสูงขึ้นเลย ขอให้สอนศีลธรรม ให้มีศีลธรรม นี่เรียกว่าเป็นทางที่จะแก้ปัญหามาให้รู้จักมีธรรมะเป็นคู่ชีวิต ชีวิตที่มีธรรมะจึงจะเป็นมนุษย์ ชีวิตที่ไม่มีธรรมะเป็นอย่างมากก็เพียงคน เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เป็นต้นไม้ ก็ได้ ต้นไม้ก็มีชีวิต แต่ไม่มีธรรมะ สัตว์เดรัจฉานมีชีวิตแต่ไม่มีธรรมะ ไอ้คนทั่วไปมันก็มีชีวิตแต่ไม่มีธรรมะ มันก็เหมือนๆ กันแหละ ถ้าไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะแล้วจะเลื่อนขึ้นมาเป็นมนุษย์ ฉะนั้นเราต้องการให้เขารู้ว่าเป็นมนุษย์ กันให้ได้เท่านั้นแหละมันพอ ถ้าในโลกนี้ทุกคนเป็นมนุษย์กันให้ได้ปัญหาไม่มี ที่จะรบราฆ่าฟันอะไรกันนี่อย่างที่เป็นอยู่ไม่มีหยุดไม่มีหย่อนจะไม่มี เพราะถ้ามันเป็นมนุษย์ใจมันสูง ไม่เห็นแก่ตัว มันรุกล้ำประโยชน์ของใครไม่ได้ มันคดโกงใครไม่ได้ มันมีแผนการลักล้วงเอาประโยชน์ผู้อื่น ใต้ดิน ทำสงครามใต้ดิน ทำไม่ได้ถ้าเป็นมนุษย์
นี้เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมืองมันแก่ปัญหาของโลกไม่ได้ ต้องเป็นเรื่องของธรรมะ ต้องเป็นเรื่องของศีลธรรม นี่เดี๋ยวนี้เขาไม่มองกันเลย เรื่องศีลธรรม เขามองเป็นเรื่องเศรษฐกิจไปหมด เช่นว่าไอ้เด็กอันธพาลข่มขืน เด็กหญิง แล้วฆ่านี่ก็ยังมองเป็นปัญหาเศรษฐกิจ เขามองว่ามันไม่มีเงินจะไปเที่ยวกามารมณ์มันก็ทำเอาอย่างนี้ เขา มองเป็นปัญหาเศรษฐกิจ อาตมาไม่อาจจะเห็นด้วยว่านี้เป็นปัญหาเศรษฐกิจ จะต้องยกสถานะทางเศรษฐกิจแล้วคนก็จะไม่ทำอย่างนี้ เรามองเป็นปัญหาศีลธรรม ที่น่าหัว พวกตำรวจเขาก็ว่าที่แม่ค้าวางหาบเกะกะฟุตบาธนั่นมันเป็นปัญหาเศรษฐกิจ เขาว่าอย่างนั้น ไอ้เรามันเป็นปัญหาศีลธรรม แม่ค้าคนนี้มันไม่มีศีลธรรม ถ้ามันมีศีลธรรม มันไม่ทำอย่างนั้นหรอก แม้ว่ามันจะต้องการให้ขายสะดวกแต่มันก็ไม่ทำอย่างนั้น เพระฉะนั้นเดี๋ยวนี้คนในโลกนี้ ผู้ที่จัดโลกตามผู้ที่มีอำนาจปกครอง แต่มันมองเห็นอะไรเป็นปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาการเมืองอะไรไปเสียหมด ไม่มองปัญหาทางศีลธรรม นั่นแหละโทษของการศึกษาที่เป็นระบบหมาหางด้วน ประชาชนมันไม่รู้เรื่องศีลธรรม มันจึงพูดไม่เป็นว่านี่เป็นปัญหาทางศีลธรรม มันมีแต่เรื่องเศรษฐกิจเข้าตา การเมืองเข้าตา มันก็มองเป็นปัญหาเศรษฐกิจไปหมด แล้วมันก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ จะไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างไรที่จะให้แม่ค้าไม่วางหาบเกะกะทางเดิน หรือว่าจะไม่ให้วัยรุ่นข่มขืนแล้วฆ่า
เมื่อสองสามวันมานี้ไอ้ข่าวที่เขาเอามาอ่านจากหนังสือพิมพ์ทางวิทยุตอนหัวรุ่งน่ะ มีเลวทรามถึงขนาดว่า พ่อมันข่มขืนลูกสาวอายุ ๑๒ ปี เมื่ออยู่รวมๆ กันทั้งแม่และลูกคนอื่น แม่เขาดุพ่อว่าทำอะไรอย่างนี้ พ่อมันกลับตบเอาแม่ฉาดใหญ่ล้มลุกคลุกคลานไปเลย แม่ก็ไปแจ้งความ ตำรวจก็มาลากเอาตัวไป แล้วพ่อคนนั้นมันบอกตำรวจว่า เลี้ยงลูกสาวมาเสียข้าวสุกนานแล้วต้องถอนทุนคืน นี่คุณฟังเถิดคุณได้ยินไหมไอ้เรื่องนี้ วิทยุตอนหัวรุ่ง เมื่อสามสี่วันมานี้ เลี้ยงลูกสาวมา เสียข้าวสุกมากแล้วทีนี้จะถอนทุนคืน นี่ความเป็นมนุษย์มันเหลืออยู่ที่ตรงไหนล่ะ ไอ้ความเป็นมนุษย์ของคนคนนี้มันเหลืออยู่ที่ตรงไหน เพราะฉะนั้นความเป็นคนจะเหลืออยู่ นั้นคุณก็คอยสังเกตดูต่อไปเถอะว่าถ้ามัน ไม่ศีลธรรมกลับมาไอ้คนนี่มันจะเป็นยังไง มนุษย์จะเป็นอย่างไร อาตมาจึงพูดแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว ศีลธรรมกลับมา ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกาวินาศ ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาพุทธศาสนาก็หมด โดยที่คอมมิวนิสต์ไม่ทันจะมา ขอให้สนใจด้วย เราจะต้องให้เด็กของเรา มีศีลธรรมนั่นแหละ มีชีวิตด้านจิตด้านวิญญาณนั่นแหละเป็นหลัก เหมือนแต่โบราณนั่นแหละเมื่อเกิดมามันก็ถูกอบรมให้มีวัฒนธรรม ให้มีศีลธรรมมาในครอบครัว ไม่ต้องมาเข้าโรงเรียนหรอก เด็กๆ รู้จักคำว่าบาป กลัวบาป อบรมกันในบ้านจนเด็กๆมันเกลียดกลัวความชั่ว มีบุญ มีบาป เกลียดบาป มันอยาก จะได้บุญ ตกมาถึงสมัยนี้วัฒนธรรมนั้นเปลี่ยน เปลี่ยนไม่รู้หายไปไหนหมด เด็กๆ ไม่ได้ยินว่าบาปเป็นสิ่งที่น่ากลัว มันก็ไม่มีบาปมันก็ไม่กลัวบาป เมื่อเข้าโรงเรียนแล้วก็ไม่ได้สอนเรื่องบุญเรื่องบาป พอบอกว่าทำแบบนั้นมันบาปนะ มันก็แลบลิ้นหลอก คิดดูเถอะ ถ้าเราไปทักเด็กคนนี้ว่านั่นบาปนะ มันแลบลิ้นหลอก ถ้าเด็กสมัยอาตมา พอบาปแล้วสะดุ้ง ผู้ใหญ่ตะโกนมาทางหลัง บาปนะ มันก็สะดุ้ง พอเขาบอกว่าบาปนี่มันก็ละอาย เดี๋ยวนี้ มันไม่ละอายมัน แลบลิ้นหลอก นี่ผลของการศึกษาหมาหางด้วน ทำให้เด็กไม่มีคำว่าบาป ว่าบุญ ไม่มีคำว่าบิดามารดา ไม่มีคำว่าครู บาอาจารย์ มันไม่เคารพบิดามารดาครูบาอาจารย์ ถือว่าไม่มี แล้วก็มันจะจัดให้ครูบาอาจารย์เป็นลูกจ้าง ระบบหนึ่งน่ะสอนหนังสือสอนอะไรเพื่อหากินเท่านั้นน่ะ ครูบาอาจารย์ไม่ได้มีบุญคุณแก่เรา ข้อนี้มันจะไปโทษใครก็ลองไปคิดดู เพราะเมื่อการศึกษามันไม่ทำไปในทางที่เด็กเขารู้จักบุญรู้จักบาป ครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้สอนเด็กให้รู้จักบุญจักบาป และเด็กมันก็ไม่เห็นว่าบิดามารดาครูบาอาจารย์นี้มีบุญคุณ มันก็ดูถูกดูหมิ่นครูบาอาจารย์ มันก็สมกันแหละ สมกับที่การศึกษามันเป็นระบบหมาหางด้วน ผลมันจึงเกิดคือเด็กเขาไม่เคารพบิดามารดาครูบาอาจารย์ พระเจ้า พระสงฆ์ เขาไม่เคารพ อาตมายืนยันอย่างนี้ ช่วยไปสังเกตดูเถิด เด็กสมัยนี้กับเด็กสมัยอาตมาห้าหกสิบปี เจ็ดสิบปีมันผิดกัน ลิบล่ะ สอนกันยังไงพอจบการศึกษาแล้วไปเป็นทาสของยาเสพติด การศึกษาในโลกมันบ้าขนาดนี้ มันเป็นหมาหางด้วน เรียนจบแล้วมันไปเป็นทาสของยาเสพติด ทีนี้ยาเสพติดเป็นปัญหาทั้งโลกนา เป็นปัญหาใหญ่นา เป็นปัญหาในองค์การสหประชาชาตินา นี่คือความเลวร้ายของไอ้การศึกษาระบบหมาหางด้วน ถ้ามันมีการศึกษาที่สมบูรณ์มันจะไม่เกิดปัญหานี้ขึ้นให้เราเสียเวลามากมายปราบยาเสพติด
อาตมาบอกว่าครูนั่นแหละเป็นผู้สร้างโลก ครูบางคนว่านี่ประจบ หรือว่าล้อเล่น บางคนว่าล้อเล่น บางคนว่าประจบ ถ้าพูดว่าครูเป็นผู้สร้างโลกไม่ใช่พระเจ้า ที่แท้ครูเป็นผู้สร้างโลก เพราะว่าครูมันทำให้เด็กเป็นอย่างไร ครูสอนเด็กอย่างไรเด็กก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเด็กโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ก็คือโลกนั่นเอง เพราะว่าโลกมันประกอบขึ้นด้วยมนุษย์ หนึ่ง ๆๆๆ คนหนึ่งๆ มนุษย์คนหนึ่งๆ เป็นอย่างไร โลกมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมนุษย์คนหนึ่งหนึ่งเป็นอย่างไรมันก็แล้วแต่ครูปั้นขึ้นมา ปั้นขึ้นมานี่ก็พูดลำบาก เพราะว่าเราต้องทำตามหน้าที่ ตามระบบ ตามหลักสูตร เราไม่มีอิสระจะปั้น แต่เราก็ปั้นไปตามระเบียบตามหลักสูตร ทีนี้หลักสูตรมันเป็นหมาหางด้วน ฉะนั้นครูก็ไม่อาจจะปั้นมนุษย์ ก็ปั้นคนหมาหางด้วน ในโลกนี้มันก็เต็มไปแต่หมาหางด้วน เป็นโลกแห่งหมาหางด้วน หาความสงบสุขไม่ได้ เราก็พูดอย่างนี้ อาตมาเขียนก็เขียนอย่างนี้ พูดวิทยุก็พูดอย่างนี้ พูดกับผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาฯ ก็พูดอย่างนี้ เพราะพูดอย่างอื่นไม่เป็น บางคนเขาก็เห็นด้วย เขาว่าเป็นเรื่องที่จะต้องจัดการแล้ว มันเป็นเรื่องที่จะต้องเอามาพิจารณาหรือจัดการแล้ว เพราะว่าครูเป็นผู้สร้างโลกจริงๆ แต่ฝรั่งเขาไม่ถืออย่างนี้ เขาก็มีหลักสูตรวางให้เรียนว่าสอนหนังสือ อย่างนั้น สอนอาชีพอย่างนั้นก็ปั้นมนุษย์ให้เหมาะที่เป็นเครื่องส่งเสริมเศรษฐกิจ หรือการเมือง มันก็มีแต่เรื่องเห็น แก่ตัว เรื่องเศรษฐกิจเห็นแก่ตัว เรื่องการเมืองเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้การปกครองการอะไรก็เป็นไปเพื่อความเห็นแก่ตัว ใช้หน้าที่ในระบบการปกครองนั้นเพื่อประโยชน์ตัว เห็นแก่ตัว เราก็มีโลกชนิดนี้ เรามีโลกชนิดที่กำลังมี คือ ร้อนระอุไปหมด แต่ละคนก็หาความสงบสุขไม่ได้ ส่วนรวมก็หาความสงบสุขไม่ได้ ฉะนั้นขอได้โปรดถือว่า อาชีวศึกษา ไม่ใช่จุดสมบูรณ์ของความป็นมนุษย์ ฉะนั้นจะต้องเพิ่มไอ้ระบบ ไอ้ศีลธรรม จะเรียกว่าจริยศึกษาหรืออะไรก็สุดแท้ ให้มันเต็มขึ้นมา รู้หนังสืออย่างเดียวไม่พอ รู้อาชีพด้วย รู้อาชีพแล้วก็ไม่พอ ต้องเพิ่มไอ้ระบบจริยธรรม ศีลธรรมนี่ด้วย เดี๋ยวนี้มันมีความลำบากยุ่งยาก ตรงที่ว่าไอ้คำพูดนี่ไม่รู้จะเอาอย่างไรกันแน่ ไอ้จริยธรรมมันก็เป็นเรื่องพูดไม่ได้เป็นเรื่องปฏิบัติ ต่อเมื่อเป็นศีลธรรมมันจะเป็นเรื่องของการปฏิบัติ เดี๋ยวนี้พวกนักศึกษาเขาไปทำกันยุ่งหมด ใช้คำว่าจริยธรรม แล้วไปถือว่าเป็นคำแปลคู่กันกับคำว่า ethic ในภาษาต่างประเทศน่ะ แต่ ethic ในภาษาต่างประเทศนั้นไม่ใช่ศีลธรรม เป็นปรัชญาทางศีลธรรม เป็นวิธีใช้เหตุผลการพูดจาทางศีลธรรม ถ้ามีแต่ ethic ไม่มีศีลธรรม หรือ ไม่มี moral หรือ morality ต้องมีศีลธรรม คือ moral หรือ morality คือปฏิบัติศีลธรรมลงไปจริงๆ ถ้า ethic นี่มันเป็นปรัชญาของศีลธรรม สำหรับจะตอบว่าทำไมเราจึงต้องปฏิบัติอย่างนั้น จะได้บอกเขาว่าไม่ฆ่าสัตว์นะ อย่างนี้ก็เป็น moral หรือ morality แต่ถ้าอธิบายว่าทำไมจึงไม่ๆ จึงไม่ควรฆ่าสัตว์ อย่างนี้มันเป็น ethic เป็น philosophy ของศีลธรรม ทีนี้เรามันก็สอนกันแต่จริยธรรมทั้งไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ใช้คำว่าจริยธรรม จริยศึกษานี่มันก็ต้องให้มันมีศีลธรรม แล้วก็มีปรัชญาของศีลธรรมบอกไปเลยว่าทำไมจึงต้องทำอย่างนั้น เดี๋ยวนี้เราก็ได้แต่บอกเด็กว่าอย่าฆ่าสัตว์ อย่าลักทรัพย์ ไม่มีปรัชญาไปบอกเขาว่าทำไมเราจึงไม่ควรฆ่าสัตว์ เราจึงไม่ควรลักทรัพย์ มันก็เป็นการบังคับกันมากเกินไป จะเป็นป่าเถื่อน บังคับโดยไม่ให้เหตุผล ฉะนั้นเราจะต้องมีหลักศีลธรรมมาบอกว่าทำอย่างนี้นะ แล้วก็มีหลักจริยธรรมบอกว่าทำไมจึงต้องทำอย่างนี้ เด็กๆ เขาก็คงจะมีความเข้าใจ สว่างในใจ และคงจะยินดีปฏิบัติบ้าง เดี๋ยวนี้เด็กๆ ของเราจะถือว่า นี่มันข่มเหงกันนี่ มีแต่ใช้บังคับอย่างเดียว มันเป็นเรื่องข่มเหง ไม่ใช่ประชาธิปไตย ฉันไม่เอา มันก็ไม่รับ ไม่ยอมรับศีลธรรมนี้ ฉะนั้นขอให้บอกกันไปคราวเดียวกันว่าบอกศีลธรรมคือตัวศีลธรรมว่าต้องปฏิบัติอย่างนี้ แล้วบอกจริยธรรมคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องปฏิบัติอย่างนี้ เรื่องไม่ฆ่าสัตว์ก็ต้องบอก เรื่องไม่ลักทรัพย์ก็ต้องบอกเรื่อง ไม่ประพฤติผิดในกามก็ต้องบอก มุสาวาทาต้องบอก น้ำเมาก็ต้องบอกแหละ แล้วก็ต้องให้เขาทำ เพราะคำว่าศีลธรรมมันหมายถึงการกระทำ ไม่ใช่นั่งพูดด้วยเหตุผลนั่นมันเป็นจริยธรรม หรือปรัชญาของศีลธรรม
ไอ้คำพูดมันสับสนกันหมดจนครูไม่รู้ว่าจะยึดถือกันอย่างไรแล้ว คำว่าจริยศึกษาน่ะมันกว้างพอถึงครอบศีลธรรม และครอบจริยธรรมคือปรัชญาของศีลธรรมไว้ด้วยจึงจะสมบูรณ์ เดี๋ยวนี้ได้ยินเขาปรึกษากันว่าเขาจะเอากันใหม่ เขาจะให้มีให้เนื้อที่แก่วิชาศีลธรรมหรือจริยธรรม หรือจริยศึกษาเป็นหลักสูตรของการศึกษา นี้ถ้ามันทำได้จริง ถูกต้องจริง เด็กๆ ก็จะเริ่มมีศีลธรรม มาแต่ชั้นอนุบาล พอถึงชั้นประถมก็ยังมีศีลธรรม พอถึงชั้นอาชีวศึกษามันก็จะ มีศีลธรรมบ้าง มันก็จะไม่ทำความหนักอกหนักใจให้แก่ท่านทั้งหลายเหมือนที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะว่าเด็กๆ ของเรามันไม่เคยผ่านศีลธรรมจริยธรรม มันเป็นคนกระด้าง แล้วก็มาเรียน แล้วก็ไม่เคารพครูบาอาจารย์ ไม่เคารพระเบียบ มันอยากจะอยู่เหนือระเบียบไปเสียด้วย ถ้ามันไม่มีไอ้ศีลธรรม แล้วก็เป็นอันว่ามาพูดอันนี้ก็คือบอกให้รู้ว่าไอ้ระบบการศึกษาของเรามันยังเป็นระบบหมาหางด้วน ฉะนั้นช่วยกันทำให้มีหางสมบูรณ์ ให้มี ให้เด็กๆได้มีโอกาสอบรมศีลธรรม อาตมาก็ยุให้เขาตั้งโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์บ้าง หรือพาเด็กมาวัดบ้าง มาเพิ่มเติมส่วนที่ขาด เด็กนักเรียน มศ. ปลาย มศ. ต้นบ้าง มาที่นี่ปีละหลายหมื่นคน ที่ครูเขาพามา ครั้งละสองสามร้อยคน ปีหนึ่งหลายๆ ครั้งหลายๆ สิบครั้ง ก็สามสี่หมื่นคนเห็นจะได้ นี่ก็เพื่อต่อหางหมา เราก็บอกว่านี่หละกำลังต่อหางหมา นักศึกษามหาวิทยาลัยมาก็เหมือนกันแหละ มาขอศึกษาธรรมะที่นี่บวชมาก็มี เป็นฆราวาสก็มี เราก็เอา เปิดมหาวิทยาลัยต่อ หางหมา บางทีก็ใช้ ๑๐ ชั่วโมง ก็บอกว่ามหาวิทยาลัยต่อหางหมา ๑๐ ชั่วโมง อาตมาพยายามจะพูด ๑๐ ครั้งให้มันเข้าใจชัดๆ ๑๐ ชั่วโมง เปิดมหาวิทยาลัยต่อหางหมา เพราะว่าคุณมันมีมหาวิทยาลัยหมาหางด้วนมา จะพยายามอย่างนี้แหละอยู่เรื่อยไปเลย แล้วเขาก็จะพิมพ์ขึ้น เป็นลายลักษณ์อักษรเรื่องมหาวิทยาลัยต่อหางหมา ๑๐ ชั่วโมงนี่ สรุปสักนิดหนึ่งก็ว่าขอให้เด็กๆ เขาได้รู้ชัด มองเห็นชัดว่าธรรมะจำเป็น ไม่อย่างนั้นเรามีความเป็นคน ซึ่งไม่ใช่เป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องมีคุณธรรมของมนุษย์สูงกว่าคน หลักที่ต้องพึงถือปฏิบัติก็คือว่าเขาจะต้องรักผู้อื่น รักผู้อื่นนั้นหัวใจทุกศาสนาเลย ทุกศาสนาเลย ไปดูเถิด เพราะศาสดาเน้นมากเรื่องรักผู้อื่น อย่างพระเยซูนี่เน้นมาก ศาสนาไหนก็ถ้ามันเป็นศาสนาที่ถูกต้องแท้จริง จะมีเน้นเรื่องรักผู้อื่นทั้งนั้น ถ้าไม่เน้นเรื่องรักผู้อื่น เห็นแก่ตัวหละก็ไม่ใช่ศาสนาแล้ว โกยทิ้งได้ ไม่ต้องถือว่านั่นเป็นศาสนา ถึงแม้ว่าศาสนาอิสลามของพระมูฮัมหมัดที่เรามองเขาว่าดุร้ายทารุณนั้นก็เพราะว่าเรามองผิด ไอ้ส่วนที่รักผู้อื่นมันมีมากเหลือเกิน ในระบบศาสนาอิสลามน่ะก็มีมาก ถูกกล่าวหาว่าดุร้ายบ้างอะไรบ้าง พระเจ้าต้องการให้คนรักผู้อื่น เหมือนที่พระเจ้ารักคน ปัญหามันก็หมดไป ถ้าเรารักผู้อื่นแล้วมันจะเกิดเรื่องอะไรได้ รักผู้อื่นแล้วฆ่าเขาได้ที่ไหน ขโมยเขาได้ที่ไหน ล่วงละเมิดลูกเมียเขาได้ที่ไหน โกหกเขาทำไม แล้วก็ไม่ทำอะไรให้ผู้อื่นรำคาญด้วยการกินเหล้าเมายา นี่รักผู้อื่นเท่านี้มันป้องกันได้ถึงขนาดนี้ มันเป็นหัวใจของทุกศาสนา อบรมเด็กของเราให้รู้จักรักผู้อื่นไม่เห็นแก่ตัว ที่เขาๆหัวแข็งก้าวร้าว ชอบตีรันฟันแทงนั่นเพราะเขาไม่รู้จักรักผู้อื่นเสียเลย
นั้นโรงเรียนอาชีวศึกษานี้คงจะไม่ค่อยสอนไม่ค่อยเน้นในเรื่องศีลธรรม โรงเรียนสามัญที่มันจะขึ้นไปทางมหาวิทยาลัย สามัญสูงสุดนั้นมันเน้นเรื่องศีลธรรมมากกว่า ฉะนั้นครูบาอาจารย์โรงเรียนอาชีวศึกษานี้ตกหนักหน่อย ภาระตกหนักหน่อย เพราะว่าเขาคัดเด็กที่ไม่ค่อยมีศีลธรรมมาให้เรา แก้หรือทำให้เขาเปลี่ยนมันก็ยาก แต่ถ้าว่ามัน ตั้งต้นกันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลมีศีลธรรม เด็กก็มีศีลธรรมมาถึงชั้นประถมยังมีศีลธรรม มาถึงมัธยมต้นยังมีศีลธรรม และมาเรียนอาชีวศึกษานี้มันก็มีศีลธรรม ปัญหาอย่างที่เกิดก็จะไม่เกิด นี้เด็กๆ มันไม่ได้รับการอบรมทางศีลธรรมอย่างแบบโบราณ แบบโบราณเด็กเล็กๆ เด็กตัวเล็กๆ มันรักพ่อ รักแม่ รักผู้มีพระคุณ เด็กถือว่าพ่อแม่มีพระคุณโดย ไม่โต้แย้งโดยไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไร และกลัวบาปโดยไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์อะไร ฉะนั้นมันจึงง่ายมาตามลำดับ เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนมากเกินไป จนกระทั่งว่าแม่คือใครมันก็ไม่รู้ อาตมาอยากจะฝากครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้ทุกคน ช่วยไป กลับไปแล้วช่วยไปสอบถามเด็กนักเรียน นักศึกษาของท่านดูว่า แม่คือใคร ให้เขาช่วยตอบที ซึ่งมันเป็นปัญหาที่ต่ำมาก จะสำหรับคนโง่ที่สุดก็ได้ ว่าแม่คือใครให้เขาตอบดูทีว่ายังไง มันคงจะตอบต่างๆๆๆ กัน แต่ว่าดูเถอะมัน จะเป็นเครื่องวัดจิตใจของเขาว่าเขารู้ว่าแม่ นี่คือใคร เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่รู้พระคุณของแม่ แล้วเขาจึงไม่รู้ว่าการทำให้แม่น้ำตกน่ะคือคนเลวร้าย อันธพาลที่สุด เขาจึงทำให้แม่น้ำตาตกอยู่เสมอ ด้วยการเหลวใหลในการเรียน ด้วย การเป็นเจ้าชู้มาก่อนเรียนเป็นอะไร สุดท้ายแม่น้ำตาตก เพราะเขาไม่รู้ว่าแม่คืออะไร ถ้ามีศีลธรรมอบรมให้รู้ว่าแม่คือ อะไรเขาก็ทำไม่ได้ มันมีใครบ้าง มีธนาคารไหนบ้างที่เราไปเบิกเงินได้เรื่อยโดยไม่ต้องฝาก ให้มันตอบดูสิ ธนาคารไหนเราไปเบิกเงินได้เรื่อยโดยไม่ต้องฝาก มันก็คือแม่ทั้งนั้นแหละ มันไม่มองเห็นนี่ แล้วมันก็ไม่ถือว่าแม่มีพระคุณ มันจะกลับเอาหัวลงให้ตัวเองมีพระคุณแก่แม่ ฉะนั้นเด็กๆ จะต้องมีรากฐานของศีลธรรมมาแต่พ่อแม่ รู้ว่าพ่อแม่ เป็นอะไร ประพฤติปฏิบัติถูกต้อง และครูบาอาจารย์เป็นอะไร ประพฤติปฏิบัติถูกต้อง เพื่อนของเราเป็นอย่างไร ปฏิบัติถูกต้อง ประเทศชาติศาสนาคืออะไร ปฏิบัติถูกต้อง เดี๋ยวนี้เขาไม่รู้ เขาสอนให้เขาท่อง เขาก็ท่อง เขาก็ท่องได้ แต่ในจิตใจเขาไม่มี ฉะนั้นเราก็สอนเขาโง่ๆ ว่าข้าพเจ้าจะจงรักประเทศชาติ ศาสนา เขาก็จะอยู่นั้นแหละ ไม่เคยทำ สักที บอกให้เขาปฏิญญาว่าข้าพเจ้าจะ ไม่ได้ ทำสักที สอนให้ข้าพเจ้าจะ จงรักประเทศชาติ ศาสนา ข้าพเจ้าจะๆๆ ไม่ได้ทำเลย นี่การศึกษานี่มันบกพร่อง มันเป็นหมาหางด้วน มันไม่มีระบบของศีลธรรมอยู่ในนั้น เราต้องบอกว่าข้าพเจ้ารักประเทศชาติ ศาสนา ดีกว่า พูดว่า จะ มันก็จะตลอดไป แล้วอย่างนี้ถ้าเป็นภาษาบาลีใช้ไม่ได้นะ ท่านทั้งหลายไม่เคยเรียนภาษาบาลี อาตมาเรียนเขาก็จะบอกว่า ถ้าพูดอย่างนี้เป็นโมฆะนะ ในภาษาบาลีนี่ พูดว่าข้าพเจ้า จะรักชาติ จะรักศาสนานี่เป็นโมฆะไม่มีความหมาย เรียกว่าเช้าก็เลิกกัน ต้องพูดว่าข้าพเจ้ารักชาติ ข้าพเจ้ารักศาสนา จึงจะใช้ได้สำหรับภาษาบาลีไม่มีคำว่าจะ ทีนี้ทหารก็ดี นักเรียนก็ดี ข้าพเจ้าจะทั้งนั้นแหละ แล้วก็จะกันมากี่ปีแล้ว มันก็ไม่ถึงที่จะทำได้สักที การศึกษามันไม่สมบูรณ์ มันก็เป็นอย่างนี้ จะพูดเรื่องนี้ว่าขอให้ช่วยอบรมเด็กว่าเรามี ชนักปักหลังมาอันหนึ่งแล้วทุกคนเลย มีชนักปักหลังมาอันหนึ่งเลยว่า แกต้องเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย กับคน ทุกคน ชนักปักหลังมาอย่างนี้เลยว่าแกต้องเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายของคนทุกคน พระเจ้าก็ต้องการอย่างนี้ ชนักปักหลังพระเจ้าปักมาให้ ว่าแกจะต้องเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายของคนทุกคน หรือพระพุทธเจ้าก็สอนอย่างนี้ ศาสนา อื่นก็สอนอย่างนี้ ถ้าแกไม่ทำแกไม่มีวันที่จะมีความสุข พระเจ้าเอาชนักปักหลังมาทุกคนนี่แหละว่าแกต้องเป็น เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ของคนทุกคน ถ้าแกไม่ทำ แกจะไม่มีความสุขตลอดชาติ แล้วแกจะมีความทุกข์ตลอดชาติ ให้เด็กมันเข้าใจว่าถ้าเราไม่ทำอย่างนั้นเราจะมีความทุกข์ตลอดชาติ เพราะมันเป็นกฎของธรรมชาติ ที่เฉียบขาด เหมือนกับพระเจ้าปักชนักมาบนหลังถอดไม่ออก ว่าแกต้องเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย แก่มนุษย์ทุกคนเสียก่อน ชนักนั้นจึงจะหลุดไปเอง ขอให้แกทำตนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย แก่เพื่อนมนุษย์ทุกคน แล้วชนักนั้นจะหลุดไปเอง มิฉะนั้นจะยังปักอยู่บนหลังเสียบแทงแกเรื่อยไป เมื่อเพื่อนไม่มีอะไรเราก็ช่วยเราก็ให้ ในการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย จำเป็นที่สุด ดีกว่าไอ้คอมมูนของจีน ดีกว่าคิบบุตซ์ของยิว ซึ่งมันเป็นสหกรณ์เรื่องทำมาหากินทั้งนั้นแหละ ไม่ไปถึงเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรอก ไปดูคอมมูนในประเทศจีนน่ะ มันก็ไม่ได้ช่วยทำมาหากินนักหรอก ไม่ถึงกับเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไอ้คิบบุตซ์ของยิวเขาว่าดีกว่านั้นอีก มันก็แค่นี้ แค่ทำมาหากิน แต่ถ้าพุทธศาสนาเรา เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อเพื่อนเจ็บเราต้องเหมือนกับเราเจ็บ เมื่อเพื่อนแก่หรือตายเราก็เหมือนกับว่าเราตาย บ้านนี้ตายทุกคนจะไปช่วยจนเจ้าของบ้านไม่ต้องทำอะไร มันอยากจะร้องไห้ก็ให้มันร้องไห้ให้พอมันไม่ต้องทำอะไร เพราะเพื่อนบ้านมาช่วยทำให้หมด หุงข้างหุงปลาอะไรทุกอย่างให้หมด ทำมาให้เสร็จนี่ เรียกว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างนี้ต่างหากล่ะที่ศาสนาต้องการ ดูจะหวังยากสำหรับสมัยนี้ แล้วเราจะต้องบังคับความรู้สึกให้เป็นอย่างนั้นได้ ทีนี้เด็กๆ ของเราไม่บังคับความรู้สึก อยากโกรธ มันโกรธ อยากรักมันรัก อยากทำอะไรมันทำ มันไม่บังคับความรู้สึก เรื่องมันก็เกิด ข้อที่สองเด็กของเราจะต้องบังคับความรู้สึก เดี๋ยวนี้การศึกษาในโลกนี้มันบ้านี่ มันสอนให้ปล่อยตามความรู้สึกนี่มันไม่ได้สอนให้บังคับความรู้สึก การศึกษามันบ้าถึงขนาดว่าถ้าบังคับความรู้สึกก็เสียสปิริตของประชาธิปไตยที่มันบ้า มันคล้ายๆ กับว่ามันจะเป็นความกับพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้บังคับความรู้สึก มันก็ว่าเสียประชาธิปไตยมันไม่เอาสิ แล้วเด็กๆ ของเราจะเป็นอย่างไร คุณลองคิดดู เพราะฉะนั้นเด็กๆ ของเราจะต้องรักผู้อื่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เด็กๆ ของเราจะต้องบังคับความรู้สึก และข้อสุดท้ายเด็กๆ ของเราจะถือว่าการทำงานนั้นน่ะคือการปฏิบัติธรรมะ ให้มีความสุขเมื่อทำงาน ไม่ใช่มีความสุขไปอาบ อบ นวด ได้ และจะจบอยู่แล้ว คุณไม่ได้มาเพื่อการศึกษา คุณมาเพื่อประโยชน์อย่างอื่น) เด็กๆ ของเราจะต้องมีความสุขเมื่อทำการงาน เดี๋ยวนี้เขา จะเป็นสุขเมื่อไปอาบ อบ นวด ตามหลักธรรมะ ตามกฎธรรมชาติ เราต้องทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เพราะเราจะต้องทำหน้าที่นั้นคือปฏิบัติธรรมะ แล้วเราก็พอใจว่าได้ปฏิบัติตามกฎของธรรมะ แล้วก็มีความสุข เป็นธรรมปิติ เด็กๆ ก็ไม่ต้องไปเป็นทาสของกามารมณ์ ไม่ต้องไปบ้ากามารมณ์ เรื่องเพศ เรื่องอะไร มันมีความสุขเมื่อมันทำหน้าที่ถูกต้อง เมื่อมีความดี เมื่อเรียนก็ได้ เมื่อทำการงานก็ได้มันก็มีความสุข
ฉะนั้นจึงขอฝากไปว่า ขอไปช่วยอบรมเด็กสัก ๓ ข้อเท่านั้นแหละ หนึ่งให้มันรักเพื่อนมนุษย์ สองให้มันบังคับความรู้สึก และสามให้มันแสวงหาความสุขเมื่อทำหน้าที่ นี่คือหลักของพระศาสนาเป็นอย่างนี้ พอได้ทำหน้าที่แม้แต่ล้างส้วม ถูเรือน ถูบ้าน ซักผ้าอะไรก็ให้มันมีความสุข ว่ามันได้ทำหน้าที่ เดี๋ยวนี้มันจะไปมีความสุขเรื่องกิเลสทั้งนั้น มันก็เป็นความเผาลน เป็นความทุกข์ เป็นความร้อน กลับมา แล้วมันก็ ก็ดูสถานการณ์ที่มันไปลุ่มหลงเรื่องกามารมณ์กันอย่างไร ขอย้ำอีกนิดหนึ่งว่าช่วยไปสอนให้เขารู้จักรักผู้อื่นว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย สอนให้เขาบังคับความรู้สึก เมื่อมันอยากจะรักก็อย่าเพิ่งรัก เมื่ออยากจะโกรธก็อย่าเพิ่งโกรธ เมื่ออยากจะเกลียดก็อย่าเพิ่งเกลียด เมื่ออยากจะกลัวก็อย่า เพิ่งกลัว เมื่ออยากจะเศร้าก็อย่าเพิ่งเศร้า มีสติสัมปชัญญะให้พอเสียก่อนแล้วจึงค่อยจัดการไปตามที่ควรจะจัดการ อย่าไปผลุนผลันรักโกรธ เกลียด เศร้าโศกไม่เข้านั่นมันเป็นคนโง่ ไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนา สรุปเรียกว่าบังคับความรู้สึก ซึ่งพวกฝรั่งเขาเก่งมาก เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีเหลือแล้ว ฝรั่งเมื่อก่อนนี้มาเมืองไทยก็มาอวดว่าเขาเป็นคนบังคับความรู้สึกได้ พวกเราเป็นคนป่า ไม่รู้จักบังคับความรู้สึก แต่เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งก็เป็นเสียเองแล้ว ไม่บังคับความรู้สึก ไอ้ชาวพุทธก็ยังบังคับความรู้สึกมากกว่าเพราะยังกลัวบาป ข้อที่สามให้มีความสุขเมื่อทำหน้าที่ ถ้าทำได้อย่างนี้เด็กของเราก็จะเหมือนเกิดใหม่หมด ก็ไม่มีปัญหาอย่างที่เคยมี ๓ ข้อเท่านั้นแหละมันพอ ที่จริงข้อเดียวข้อแรกมันก็พอ รักผู้อื่นว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย สองบังคับความรู้สึก ที่ว่านับสิบก่อนอย่างนี้ ถ้าความรู้สึกจะผลุนขึ้นมานี่นับสิบเสียก่อน สะกดอกสะกดใจนับหนึ่งถึงสิบเสียก่อนให้ใจปกติเสียก่อน แล้วจึงจะคิดว่าจะทำอย่างไร อย่าไปรักเข้าทันที อย่าไปโกรธเข้าทันที อย่าไปเกลียดเข้าทันที อย่าไปกลัวเข้าทันที นี่บังคับความรู้สึกเป็นหลักของพระพุทธศาสนาชั้นหัวใจที่เดียว แล้วเคารพตัวเองไหว้ตัวเอง เมื่อทำความดีแล้วมีความสุข เมื่อทำหน้าที่ ก็เคารพตัวเองว่าได้ประพฤติธรรม แล้วก็ชื่นใจแล้วก็มีความสุขว่าตัวเองมีความดี เท่านี้ก็พอ แล้ว มันก็ไม่ลึกซึ้งอะไรเกินไป เด็กๆ ก็อาจจะเข้าใจได้ มันก็อยู่ที่ครู ถ้าครูพยายามเป็นครู เอาบุญจริงๆ ข้อนี้ก็มีหวัง แต่ถ้าครูเป็นเพียงลูกจ้างสอนหนังสือกินไปวันวันหนึ่ง ไม่มีหวังที่เด็กๆ จะกลับมีศีลธรรม ฉะนั้นครูเราต้องเป็นครูเพื่อเอาบุญ ทำตามพระพุทธประสงค์ แล้วโลกนี้ก็จะเกิดใหม่ เหมือนกับสร้างขึ้นมาใหม่ มนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง โลกนี้ก็เป็น โลกของมนุษย์ เรื่องก็หมดปัญหา นี่อาตมาพูดสั้นๆ ไม่เป็น เพราะมันไม่จบเรื่องหรือมันไม่ชัดเจน แล้วมันก็พูดมากไปหน่อย แต่ก็จบแล้ว ในที่สุดนี่อาตมาขอแสดงความหวังอย่างยิ่งว่า ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายอุทิศตนแก่สปิริตของความเป็นครู เพื่อจะยกสถานะทางวิญญาณก็ดี เพื่อจะเปิดเล้า เปิดคอก แห่งสัตว์ขังสัตว์ไว้ในความโง่ก็ดี ให้ เขาออกมาสู่แสงสว่างที่แท้จริง ให้เป็นมนุษย์ที่มีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ แล้วทุกๆ คนก็จะเป็นอยู่ด้วยความผาสุกเจริญงอกงามก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตนอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ