แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนที่เป็นครูบาอาจารย์ผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาจะกล่าวคำปราศรัยแก่ท่านทั้งหลายในหัวข้อว่า อาชีพของปูชนียบุคคล ไม่ได้เป็นเรื่องแนะนำอะไรมากมาย และก็ไม่ได้เป็นเรื่องตัดพ้อต่อว่าอะไร เป็นเรื่องปรับทุกข์มากกว่า อาตมามองเห็นว่าโลก โดยที่แท้นั้น รอดอยู่ได้เพราะมีปูชนียบุคคลมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ปูชนียบุคคลมีในโลกก็ทำหน้าที่ที่คนธรรมดาทำไม่ได้ หรือถ้าจะพูดอย่างที่เคยพูดมาก่อนๆ ปูชนียบุคคลนั้นเป็นผู้ทำหน้าที่แก้ปัญหา ส่วนจิตใจที่ละเอียดลึกซึ้ง คนเหล่านั้นก็แก้ปัญหาธรรมดาสามัญ เรามาปรึกษาหารือกันมากกว่า อาตมาก็ยินดีที่จะทำเช่นนั้น และยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย และมาพูดกันในลักษณะอย่างนี้ ในสภาพอย่างนี้ ก็พอจะเข้ารูป ซึ่งก็หมายถึงพวกที่มีอาชีพปูชนียบุคคลแต่หนหลังอย่างพระพุทธเจ้า ผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน ประสูติใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ สอนใต้ต้นไม้ นิพพานใต้ต้นไม้ ก็เป็นที่น่าสนใจอยู่ ดูว่ามัน ดูว่าการเป็นอยู่ของปูชนียบุคคลมันจะคู่กันมากับการเป็นอยู่อย่างต่ำที่สุด จะเป็นอยู่อย่างต่ำที่สุด ที่เรียกว่าง่ายหรือต่ำ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ความคิดหรือการกระทำนั่นมันสูงสุด คือสูงมากจนถึงที่สุด ปูชนียบุคคล มันมีความหมายสำคัญอยู่ตรงที่ว่า มีการให้ที่มีค่าเหนือกว่าการรับ จะว่ามีแต่ให้ตะพึด โดยไม่มีการรับ ก็ไม่ถูกเหมือนกัน แต่ว่าปูชนียบุคคลในโลกมีการให้สิ่งที่มีค่าสูงและมากเหนือการรับอย่างที่จะเปรียบเทียบกันไม่ได้ อย่างพระพุทธเจ้านี่ รับอาหารวันละบาตร บาตรใบที่ใช้สำหรับถือขอทานนั่นแหละ วันละบาตร แต่ก็ให้มาก ถ้าคิดเป็นราคาก็มาก คือให้เรื่องความรอดของชีวิตของวิญญาณ เป็นสันติสุข เป็นสันติภาพ ทั้งส่วนบุคคลและส่วนสังคม เราจึงมองเห็นได้ว่าการให้นั้นมันมากกว่าการที่รับเอา ส่วนคนทั่วไปธรรมดาสามัญจะให้พอเท่าไปเท่ามา บางคนทำงานไม่คุ้มค่าเงินเดือนด้วยซ้ำไป เพราะชอบเงินเดือนมากๆกันนัก แล้วเขาก็ไม่สามารถจะทำงานให้คุ้มค่าเงินเดือน อาชีพนั้นก็ไม่ใช่ปูชนียบุคคล ถ้าเราลองเปรียบเทียบอาชีพธรรมดาสามัญ เช่น กรรมกรแบกหาม เขาก็ทำอาชีพนั้น เขาให้อะไรแก่โลก มันก็พอคุ้มๆกับค่าแรงแบกหาม หรือจะทำงานอย่างอื่น มันก็พอคุ้มๆ การให้มันไม่ล้นเหลือ มันไม่สูงกว่าการที่รับเอามา เราก็เรียกอาชีพธรรมดา ไม่ใช่อาชีพของปูชนียบุคคล จะเอาหลักนี้เป็นเกณฑ์ แล้วก็จะระบุอาชีพครูว่าเป็นอาชีพปูชนียบุคคล แต่ว่าเรื่องนี้มันก็ต้องคิดพิจารณาดูอย่างละเอียดจึงจะมองเห็น
ครู คือ ผู้สร้างโลก อาตมาพูดคำนี้มามากกว่าหนึ่งครั้ง และก็ได้รับการยิ้มเยาะหัวเราะเยาะจากพวกครูนั่นเอง ครูจำนวนมากเป็นผู้หัวเราะเยาะคำพูดที่ว่า ครูเป็นผู้สร้างโลก เขาจะเห็นว่ามันเป็นการประชดประชันเสียมากกว่าการพูดความจริง แต่อาตมานั้น มุ่งหมายจะพูดความจริงที่ให้มองเห็นว่าครูเป็นผู้สร้างโลก ครูสร้างโลกโดยผ่านทางเด็กๆที่ครูสั่งสอนอบรมนั่นเอง โลกนี้มันประกอบขึ้นด้วยคน คนในโลกเป็นอย่างไร โลกมันก็เป็นอย่างนั้น ถ้าคนมันเลว โลกนี้มันก็เลว ถ้าคนมันดีโลกนี้มันก็ดี ทีนี้ใครสร้างคน ทุกคนมันถูกสร้างมาด้วยการศึกษาอบรมทั้งนั้น เขาจะเป็นคนดีคนไม่ดีอย่างไร มันแล้วแต่การศึกษาเขาให้มาอย่างไร ถ้าครูทั้งหมดให้การศึกษาผิดพลาดไม่ถูกต้อง ไอ้คนในโลกมันก็เป็นคนที่ไม่ถูกต้องไม่สมบูรณ์ ประกอบกันเป็นโลกที่ไม่ถูกต้อง อย่างที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ท่านลองพิจารณาดูเถิดว่า มันเป็นโลกที่ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าเป็นโลกที่ถูกต้อง มันก็ไม่ควรจะมีปัญหามากมายอย่างที่กำลังเป็นอยู่ แล้วปัญหาเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหาเฉยๆ เป็นปัญหาที่ทำอันตรายให้คนในโลกอยู่กันอย่างไม่มีความสงบสุข อยู่ด้วยความกลัว อยู่ด้วยความหวาดระแวง อยู่ด้วยความทนทุกข์ทรมาน โลกไม่ได้ถูกสร้างให้ถูกต้อง ฉะนั้นครูจะต้องสร้างคนให้ถูกต้องสำหรับคนจะไปประกอบกันเป็นโลกที่ดี และมันมีทางอื่นไหมที่จะมองเห็นว่าโลกนี้มันสร้างโดยอะไร พวกที่เชื่อศาสนาว่าพระเจ้าสร้างโลก มันก็ได้แต่เชื่อ แต่เรามาดูข้อเท็จจริงแล้วเราจะเห็นว่า การศึกษาที่อยู่ในความรับผิดชอบของครูทั้งหลายนั่นแหละมันเป็นสิ่งที่สร้างโลก สร้างเด็กๆในวันนี้สำหรับจะไปเป็นพลโลกในวันหน้า แล้วโลกจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่เด็กๆพวกนั้น ทีนี้เราเห็นได้ง่ายกว่า ว่าครูแหละเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก บางคนก็เห็นว่าพูดเกินกว่าเหตุ ไม่ยอมพิจารณาไปตั้งแต่แรกเลย ก็เลยไม่ต้องรู้เรื่องกันว่าครูจะเป็นผู้สร้างโลกได้อย่างไร ครูนี่จะสร้างโลกนี้ให้เป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตรย (นาทีที่ 9.55 ไม่แน่ใจการสะกด) ก็ได้ หรือครูจะสร้างโลกนี้ให้เป็นโลกนรกอบายก็ได้ แล้วแต่การศึกษานั้นมันเป็นอย่างไร
อาตมาเคยปรารภว่าการศึกษาไม่สมบูรณ์ เรียนกันแต่หนังสือกับวิชาชีพ ส่วนธรรมะไม่เรียน เลยไม่รู้ว่าจะเป็นคนกันอย่างไร จะเป็นมนุษย์กันอย่างไร นี่โลกมันก็เป็นโลกที่มีแต่คนที่ทำมาหากินได้ เฉลียวฉลาด แต่ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง กีฬา กีฬาเป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน ก็ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะเป็นคนกันสักที เพราะมันยังมีการกัดกัน โกงกันในสนามกีฬานั่นเอง มันมีการแบ่งแยกเป็นพวกๆ ตามพวกกองเชียร์ แบ่งแยกกันเป็นพวกเขาพวกเรา อย่างนี้ไม่ใช่เจตนารมณ์ของกีฬา ไม่ใช่ว่าแพ้ชนะเป็นเจตนารมณ์ของกีฬา การแสดงความเป็นสุภาพบุรุษให้ออกมานั่น เป็นเจตนารมณ์ของกีฬา เดี๋ยวนี้กีฬาไม่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจะเล่นกีฬากันสักเท่าไรก็ไม่เห็นทำคนให้เป็นคนสักที ในด้านลึก มันเพิ่มความเป็นพวกกู พวกสู พวกอะไรนี้มากขึ้นๆ กีฬาเลยไม่ได้สร้างจิตหรือสร้างวิญญาณของมนุษย์ให้บริสุทธิ์ ให้สะอาด ให้น่าเลื่อมใส กลายเป็นเครื่องมือทำลายโลกไปเสียก็ได้นะ ขอให้ดูให้ดี ที่พูดนี้หมายถึงว่าไอ้กีฬาก็ประจักษ์อยู่ในการศึกษา เพื่อทำคนให้เป็นคนก่อน แล้วทำคนให้เป็นมนุษย์อีกทีหนึ่ง มันไม่เคยประสบความสำเร็จ กีฬาระหว่างชาติก็มีการโกงระหว่างชาติตอนเล่นอยู่ในกีฬานั้น นี่เราก็ยังหวังยากที่ว่ามันจะสร้างโลกพระศรีพระศรีอาริยะเมตไตรย (นาทีที่ 12.24 ไม่แน่ใจการสะกด) ขึ้นมาแทนโลกนรกของคนที่เห็นแก่ตัว เอาเปรียบได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ข้อนี้ไปดูเอาก็เห็นได้ แต่ละฝ่ายน่ะ เสาะแสวงหาช่องทางที่จะเอาเปรียบให้สุดเหวี่ยงเท่านั้น แม้แต่ในหมู่นักกีฬา มันผิดเจตนารมณ์ของคำว่ากีฬา ทีนี้ครูที่ไม่ได้เกี่ยวกับกีฬาก็ดูให้ดีเถอะ เราสอนอะไร กำลังทำตัวอย่างอบายมุขให้กับศิษย์หรือไม่ โดยเฉพาะที่เรามีครูวัยรุ่น ครูหนุ่มๆสาวๆเป็นฝูงๆ รู้สึกว่าน่าอันตรายมาก ไม่มีอะไรที่สุภาพเรียบร้อยเป็นแบบฉบับเหมือนสมัยครูรุ่นแก่ รุ่นหลังนี้ผลิตกันออกมาอย่างกับเครื่องจักร มีครูอายุน้อยๆ ซึ่งไม่รู้จักแม้แต่ตัวเอง อาตมาพูดว่าครูจำนวนมากที่ผลิตออกมานั้น คือแทบทั้งหมดเลย ไม่รู้จักตัวเอง คือไม่รู้จักความเป็นครู ตัวเองเป็นครูก็ไม่รู้จักความเป็นครูก็เรียกว่าเขาไม่รู้จักตัวเอง เป็นครูก็ยังบูชาวัตถุ ประโยชน์ทางวัตถุเหมือนกับคนทั้งหลาย เหมือนกับกรรมกรแบกข้าวสาร ครูนี้ก็รับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่ง แล้วก็บูชาเงินที่ได้รับ อุดมคติของครูเลยไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน พอพูดว่าครูเป็นปูชนียบุคคลแล้วเขาก็มืด เขาก็สั่นหัว พอพูดว่าครูเป็นผู้สร้างโลก ก็ยิ่งไม่เอาด้วยใหญ่ เขารู้สึกคล้ายๆกับว่า มอบภาระที่สูงหรือที่ยากมากเกินไปให้แก่เขา เขาก็ไม่อยากจะรับ เพราะไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้ ถ้ารับเข้า มันก็จะเหนื่อยยากลำบากมากเกินไป ครูจึงไม่ทำตนให้เต็มตามอุดมคติของครู คือเป็นปูชนียบุคคล จึงมีการให้ที่มีค่าสูงกว่าการรับอย่างที่จะประมาณกันไม่ได้ ครูได้เงินเดือนเท่าไหร่ แล้วครูทำประโยชน์ให้แก่จิตใจและวิญญาณของคนในโลกเท่าไหร่ เอามาเปรียบกันแล้ว ครูที่แท้จริงเขาให้อะไรแก่มนุษย์มากกว่า หักบัญชีกันแล้ว ครูก็เป็นฝ่ายเจ้าหนี้ เลยกลายเป็นปูชนียบุคคล อาตมาหมายถึงข้อนี้จึงพูดว่า ครูเป็นปูชนียบุคคล อาชีพครูคืออาชีพปูชนียบุคคล ถือเป็นผู้สร้างโลก แล้วก็ถูกด่าโดยครูที่เขาไม่ยอมรับอุดมคติอันนี้ ไม่ใช่ว่าจะแกล้งว่าหรือเดาเอาว่าถูกด่า มันก็เคยด่าจริงๆ ว่าพูดอะไรเพ้อเจ้อ ให้ครูเป็นผู้สร้างโลก อาตมาก็ยิ่งพอใจ เพราะถ้าถูกด่านั่นน่ะ มันดี คือทำให้เขาสนใจมากขึ้น ถ้าพูดแล้วเงียบ พูดแล้วเงียบ พูดแล้วเงียบ รู้สึกว่าเหนื่อยเปล่า พูดแล้วถูกด่ามันดี มีคนเอาไปวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้นๆ แล้วเขาก็ค่อยๆรู้ ค่อยๆเข้าใจในเรื่องนั้นมากขึ้น
ทีนี้มาดูครูเป็นปูชนียบุคคลอย่างไร ให้ละเอียดออกไปอีก คือเราจะเล็งถึงอุดมคติของครูที่มีมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ไอ้ความรู้ที่มันเกิดขึ้นแก่มนุษย์ในสมัยที่มนุษย์เริ่มละจากความเป็นคนป่าเถื่อน ไม่รู้อะไร มนุษย์ป่าเถื่อนยังไม่รู้เรื่องทางจิตทางวิญญาณอะไร พอเขาเริ่มเปลี่ยนมาเป็นมนุษย์ที่เริ่มรู้จักอะไรเป็นอะไร ในทางจิตทางใจที่ลึก เขาก็พบไอ้ความรู้อันนี้ขึ้นเป็นชุดแรกในโลก ความรู้ในยุคนี้ที่ตั้งต้นขึ้นในยุคนี้เขาเรียกว่า สนาตนธรรม สนาตน สนาตน (นาทีที่ 18.08 ไม่แน่ใจการสะกด) เข้าใจว่าครูทั้งหลายคงจะเคยได้ยินคำนี้ เช่นว่า เวรไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับด้วยความไม่มีเวร เอสะ ธัมโม สะนันตะโน คำนี้เป็น สนาตน (นาทีที่ 18.24 ไม่แน่ใจการสะกด) คือเป็นความรู้ชุดแรกที่สุดที่มนุษย์จะพบ ทีนี้ความเป็นครูมันถูกพบมาตั้งแต่ยุคสนาตน (นาทีที่ 18.38 ไม่แน่ใจการสะกด) ทีแรกมีความรู้กันขึ้นมาในโลกว่าครูเป็นผู้เปิดประตูคอก เขาว่ากันอย่างนั้น อาตมาก็ไม่ใช่คนอินเดีย จะศึกษาภาษาอินเดียตามที่เขามีให้ คำว่าครูนี้แปลว่าเปิดประตู ความคิดอันแรก รู้สึกว่าสัตว์ทั้งหลายถูกกักขังอยู่ในคอกแห่งความโง่ ความหลงหรืออวิชชา อย่างที่พวกคนป่าเขาถูกขัง ต่อมาเกิดบุคคลประเภทครู ทำหน้าที่เหมือนเปิดประตูให้มันหายโง่ ให้มันออกมา สู่โลกภายนอก ไอ้ในเล้าในคอกนั้นมันมืด และมันเหม็น สกปรก มันอยู่กันอย่างทุลักทุเล เหมือนกับสัตว์จำนวนมากถูกเอามาขังไว้ในคอกที่มืด ที่เหม็น ที่อะไรต่างๆ พอใครเปิดประตูให้มันออกมาได้ มันก็ดีใจร่าเริงเต็มที่
ครู คำนี้รากศัพท์ก็แปลว่าเปิดประตู ไอ้คำว่านำทางวิญญาณนี่มันมาทีหลังคำว่าเปิดประตู หรือคำว่าครูแปลว่าผู้มีพระคุณหนักอยู่บนศีรษะของศิษย์ นี่มันยิ่งหลังมาก หลังออกมามาก แล้วก็ไม่ฉลาดเท่ากับคำแรกที่ว่า ผู้เปิดประตู ขอให้สนใจคำว่าเปิดประตูนี่ให้มาก แล้วครูก็จะได้เป็นปูชนียบุคคล เปิดประตูเพื่อให้ออกมาสู่แสงสว่าง และเป็นอิสระ มีเสรีภาพที่จะไปสู่ที่พึงปรารถนา มันก็ไม่ใช่เรื่องสอนหนังสือ ก ข กอ กา หรือสอนวิชาชีพอะไรกันนัก เป็นเรื่องบอกให้รู้ว่าเราจะต้องประพฤติกระทำกันอย่างไร เราจะต้องอยู่กันอย่างไร เราจะต้องสังคมกันอย่างไร มนุษย์จึงจะอยู่กันเป็นผาสุก นี่ครูเขาเปิดประตูคอกสัตว์ออกมาพ้นจากความมืด ไอ้การเปิดประตูคอกนี่ มันก็สูงขึ้นๆๆ จนเปิดประตูคอกลำดับสูง พ้นจากวัฏสงสาร หลุดรอดออกไปสู่พระนิพพาน อย่างพระพุทธเจ้าเป็นผู้เปิดประตู เขาจึงนิยมเรียกพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระบรมครู เพราะว่าเปิดประตูระดับสุดท้าย ระดับสูงสุดเป็นบรมครู ศาสดาในลัทธิอื่นก็เหมือนกันแหละ ล้วนแต่เป็นผู้เปิดประตูทั้งนั้นแหละ แม้แต่ปัจจุบันนี้ ศาสนาคริสเตียน ศาสนาอิสลาม ศาสนาอะไรก็ตาม จุดมุ่งหมายมันจะอยู่ที่เปิดประตูให้คนออกมาสู่การดำเนินชีวิตอันถูกต้อง ฉะนั้นขอให้สนใจเถอะ แล้วทำหน้าที่เปิดประตูให้ได้ แม้จะเปิดประตูน้อยๆก่อน ก็ต้องเปิดให้ได้ คือสอนหนังสือกันก่อน มายุคสมัยนี้ หลักสูตรมันเป็นอย่างนั้น อาตมาเชื่อว่าสมัยโบราณโน้น เขาไม่ได้เริ่มต้นด้วยการสอนหนังสือ เรียนหนังสือ เขาสอนจริยธรรม สอนวัฒนธรรม … (นาทีที่ 22:54 ฟังได้ไม่ชัด) เลย หนังสือนี้ไว้ทีหลัง ฉะนั้นเอาไว้เป็นส่วนหนึ่ง รู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ได้ ถ้ารู้ก็ดี จะได้ทำอะไรได้กว้างขวาง แต่อย่างแรกที่จะสอนก็คือไอ้ความเป็นคนที่จะอยู่กันอย่างถูกต้อง ผาสุก เปิดประตูอย่างนี้
มาถึงสมัยนี้ครูเป็นผู้เริ่มต้นด้วยการสอนหนังสือก็ได้เหมือนกัน สอนหนังสือก็เป็นการเปิดประตูคอกชนิดหนึ่ง คือความโง่ที่ไม่รู้หนังสือ ก็เปิดให้หลุดออกมาได้ แล้วก็สอนวิชาชีพ ก็เรียกว่าเปิดประตูเหมือนกัน สำหรับจะออกไปหาอาชีพได้ แต่แล้วมันมาตันอยู่เพียงเท่านี้ มันไม่เลยไปถึงว่าจิตวิญญาณมันจะออกไปจากคอกได้อย่างไร เรื่องวัฒนธรรม เรื่องศีลธรรมมันสูญหายไปโดยการศึกษาในโลกเขาเปลี่ยน อาตมาเรียกว่าการศึกษาที่มันด้วน จะเรียกว่าหางด้วนก็ได้ มันเดินไม่ตรงทาง จะเรียกว่าหัวด้วนก็ได้ เพราะยอดมันไม่มี ยอดด้วน มันก็ไม่สวยเหมือนกัน มันต้องไม่มีการด้วน มันจึงจะสวยงามและสมบูรณ์ เมื่อไหร่การศึกษายังด้วนอยู่อย่างนี้ ไอ้สัตว์นี้ก็ยังถูกกักขังอยู่ด้วยความโง่ ความหลง หรืออวิชชาบางส่วนอยู่นั่นเอง ทีนี้คนในโลกเขาก็ไปโลกพระจันทร์กันได้ ความรู้ก้าวหน้า คิดสมองกล คิดอะไรเหมือนกับของเป็นทิพย์ เป็นน่าอัศจรรย์ แต่แล้วก็ไม่ทำโลกให้มีสันติสุข กลับจะทำโลกให้วุ่นวายยิ่งกว่าเดิม ก่อนแต่จะมีความเจริญทางวัตถุนี่ มนุษย์อยู่กันด้วยความสงบสุขมากกว่านี้มาก หรือที่นอนไม่ต้องปิดประตูเรือน เดี๋ยวนี้หาดูยาก มีบ้างนิดๆหน่อยๆ บางแห่ง บางประเทศหรือบางแห่ง ที่ว่านอนยังไม่ปิดประตูเรือนประตูบ้าน ตอนนี้มันมันเป็นระดับธรรมดาแล้ว เหมือนกับว่าทำบ้านทำเรือน ก็ไม่ต้องสนใจเรื่องประตูก็ได้ ความรักความสามัคคี มันมีมาก มันเลยคุ้มครองได้โดยไม่ต้องมีประตู โดยไม่ต้องปิดประตู เดี๋ยวนี้ความเจริญทางวัตถุมันก้าวหน้า มันยั่วกิเลสคน ให้อยากได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นคนมันก็คอยจ้องคอยมองที่จะลับล้วง หรือปิดประตูมันก็ยังงัดกุญแจ นี่ความเสื่อมทางจิต ทางวิญญาณของคนในโลกมันเป็นอย่างนี้ ขอให้เอาไปคิดดูเถอะว่า ครูนี้กระทำถูกต้องตามเจตนารมณ์ของคำๆนี้แล้วจะมีอาการเหมือนกับเปิดประตูคอกให้สัตว์ออกมา
ทีนี้คำถัดไป ครูเป็นกัปตันนำโลก นำวิญญาณของสัตว์โลก นี่ที่เรียกว่าผู้นำทางวิญญาณ เขาถือว่าโลกนี้เหมือนกับเรือลำใหญ่ๆลำหนึ่ง แล้วครูนี่เป็นกัปตัน สถาบันครูเป็นกัปตัน นำเรือลำนี้ให้ผ่านพ้นไอ้สิ่งเลวร้ายทั้งหลาย เรามองกันในแง่นี้ก็พูดได้เลยว่าครูเป็นกัปตันนำวิญญาณของโลก หรือของสัตวโลก สัตวโลกหมายถึงโลกมนุษย์ มันรวมกันอยู่ในโลกแผ่นดินนี้ มันจะไปกันทางไหน ใครจะเป็นผู้นำ ครูซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นยอดสุดของครู เรียกว่า พระบรมครู เป็นกัปตันผู้นำโลก แล้วท่านก็ได้นำมาแล้ว แต่นี่มนุษย์มันเปลี่ยน มันไม่อยากจะไปทิศทางนั้น มันไม่อยากจะไปด้วยซ้ำไป มันอยากอยู่ที่นี่กับความอร่อยทางวัตถุ มันไม่อยากไป มันก็นำกันไม่ได้ การเป็นผู้นำในทางวิญญาณ มันก็ต้องทำต่อไป คือเปิดประตูให้เขาออกมาจากคอก แล้วเขางัวเงียไม่รู้จะไปทางไหน ครูก็ต้องทำหน้าที่ต่อไปอีก คือนำทางให้เดินไปถูกต้อง ไปสู่จุดที่ควรจะไป ครูก็เป็นผู้นำในทางวิญญาณขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง หลังจากที่ได้เปิดประตูคอกให้ออกมาได้แล้ว นำไปไหน คือนำโลกไปสู่ภาวะที่มันสวยสด งดงาม น่าดู น่าอยู่ น่าเลื่อมใส น่าพอใจ เดี๋ยวนี้ถ้ามองกันในด้านวัตถุ เขาก็จะพูดกันว่า โลกนี้น่าอยู่ น่าดู น่าเลื่อมใส น่าพอใจ น่าสนุกสนาน แต่ถ้ามองกันในด้านจิตใจแล้ว มีแต่คนสั่นหัว ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ มันสร้างความเสื่อมเสียขึ้นมามหาศาล ความก้าวหน้าทางวัตถุมันให้ความสะดวกสบายอย่างไรก็สุดแท้แหละ แต่พร้อมกันนั้นมันให้ความเห็นแก่ตัว มันสร้างความเห็นความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นๆๆ พร้อมกับที่มันให้ความสวยสดงดงาม เดี๋ยวนี้มันเป็นโลกแห่งความก้าวหน้า สวยสดงดงามทางวัตถุ สำหรับทางจิตใจแล้ว แทบจะเปิดออกดูไม่ได้ เปิดออกดูแล้วก็ตกใจ เต็มไปด้วยความมืดมัว เร่าร้อน สกปรก พกลม หลอกลวง และเราก็ได้อยู่กันอย่างนี้ไง คือโลกปัจจุบัน อยู่กันด้วยความหวาดระแวง ไม่มีใครเชื่อความปลอดภัย มีแต่ระแวงว่ามันจะต้องตาย หรือต้องเป็นอย่างไรไปเมื่อไรก็ได้ การนำในทางวิญญาณมันไม่ถูกต้อง จึงไม่สร้างโลกให้น่าอยู่ น่าดู อาตมาคิดว่าไอ้หลักการของครูที่เป็นสากลของพวกฝรั่งนั้นคงไม่ได้นึกกันถึงข้อนี้ ใช้ครูเป็นบริวารเป็นลูกน้อง ทำคนให้รู้หนังสือ ให้ฉลาด แล้วก็ผลิตวัตถุกันเป็นการใหญ่เพื่อความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ อย่าให้ใครชนะเหนือเราไปได้ เราจะได้ครองโลก ผู้มีอำนาจในโลก ต้องการให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำหรับส่งเสริมให้เขาได้ครองโลก แต่ถ้าจะพูดออกมาอย่างนั้นตรงๆ มันก็ละอาย มันก็ต้องซ่อนเร้นเสีย แม้ที่สุดแต่ว่า การศึกษาเพื่อประชาธิปไตยนี่ก็ยังไม่ถูก ไม่ปลอดภัย ถ้าประชาธิปไตยไม่มีศีลธรรมแล้วก็เลวร้ายกว่าไอ้ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเสียอีก ฉะนั้นเราจะต้องมีครูสร้างคน สร้างคนให้เป็นมนุษย์อย่างถูกต้องกันขึ้นมาในโลก โลกนี้ก็จะเป็นโลกที่ดียิ่งกว่าพระศรีอาริยเมตไตรย (นาทีที่ 31.11 ไม่แน่ใจการสะกด) ก็ได้ แต่โลกของพระศรีอาริยเมตไตรย (นาทีที่ 31.15 ไม่แน่ใจการสะกด) นี่เขาวาดไว้สูงสุด แทบจะไม่มีอะไรมาเติม ข้อใหญ่ ข้อสูงสุด ออกหน้าที่สุด ก็คือความรัก
คำว่าเมตไตรย (นาทีที่ 31.26 ไม่แน่ใจการสะกด) แปลว่า ความมีเมตตา เมตตาคำนี้ แปลว่าความรัก ตามลักษณะของสัญชาตญาณของสิ่งที่มีชีวิต ความรักผู้อื่น แต่ไม่ใช่เรื่องกามารมณ์ จิตใจที่บริสุทธิ์อยากจะรวมกันอย่างบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์นั่นแหละคือ เมตไตรย (นาทีที่ 31.26 ไม่แน่ใจการสะกด) ถ้าเรื่องกามารมณ์ เดี๋ยวนี้เราเอามาเรียกกันว่า ความรัก แล้วก็มีอาการคล้ายๆกันที่ว่าต้องการจะรวมกัน แต่รวมกันในทางร่างกาย ถูกหลอกโดยธรรมชาติ ใส่อะไรๆไว้ในทางร่างกาย ตอบแทนอะไรต่างๆให้เกิดความรู้สึกทางเกิดการสืบพันธุ์ แล้วก็มาเรียกว่าความรักเหมือนกัน มันจึงเกิดเป็นสองรักอยู่ รักบ้าอย่างหนึ่ง รักดี ความรักที่ดีมีอยู่อย่างหนึ่ง ไอ้ความรักที่บ้านั้นมันก็มีอยู่อีกอย่างหนึ่ง ในโลกพระศรีอาริยเมตไตรย (นาทีที่ 31.11 ไม่แน่ใจการสะกด) มีความรักชนิดที่ดีไม่ใช่เกี่ยวกับเพศ ไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องสืบพันธุ์
โลกสมัยนี้ความรักมันเปลี่ยนความหมายเป็นเรื่องกามารมณ์ไปหมด ถ้าเป็นความรักโดยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ไม่ต้องสัมพันธ์กันโดยเนื้อหนังโดยร่างกายก็ได้ มันเป็นคุณธรรมที่ไม่ใช่เรื่องทางเนื้อหนัง แต่เป็นเรื่องทางจิตใจ อันนี้ถ้ายิ่งมีก็ยิ่งดี โลกนี้จะมีสันติภาพ สันติสุข ไอ้ความรักอย่างกามารมณ์นั้นเอาเข้ามาไม่ได้ มันมีผลตรงกันข้าม คือจะแย่งชิงเหมือนสุนัขแย่งเหยื่อ และมันต้องกัดกัน ไอ้ความรักชนิดนั้น เรื่องของกามารมณ์ ธรรมชาติมันหลอก มันใส่มาให้ในทุกคนทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย เมื่อต่อมแกลนด์นี้เจริญถึงขีดหนุ่มสาว มันก็มีความรู้สึกทางกามารมณ์ มันเป็นค่าจ้างให้กับธรรมชาติ ธรรมชาติมันจ้างให้คนนี้มันสืบพันธุ์ ไม่ฉะนั้นมันไม่สืบพันธุ์ มันไม่สนุก ไม่เอาเรื่องกามารมณ์มาปิดปากไว้ข้างหน้า ให้น่าสนุก คนก็สืบพันธุ์ โลกจึงมีคนต่อๆกันมา ภาษาทางศาสนา แม้ศาสนาคริสเตียนก็ใช้คำว่าความรักเฉยๆ ก่อนนี้เรามาเห็นเป็นครั้งแรกก็สะดุ้งเหมือนกัน ไอ้ความรักนี่มันมีแต่เรื่องเพศ และทำไมมาเน้นเป็นความรัก ต่อเมื่อสังเกตดู สอบสวนดูอย่างละเอียด เขาหมายถึงความรักแบบเมตไตรยะ (นาทีที่ 34.13 ไม่แน่ใจการสะกด) ศาสนาคริสเตียนเน้นเรื่องเมตไตรยะ (นาทีที่ 34.23 ไม่แน่ใจการสะกด) ความรักเพื่อนมนุษย์มากที่สุดเลย คำพูดของเขาจะออกมาชัดหรือเด่นยิ่งกว่าพุทธศาสนาเสียอีก เราจะต้องสร้างโลกชนิดนี้ขึ้นมา เมื่อมนุษย์รักกันโดยความรักที่บริสุทธิ์ด้านจิตด้านวิญญาณ ใช้เป็นอาหารจิตใจ ส่งเสริมจิตใจให้สูงได้ แต่ความรักทางกามารมณ์ ทางเนื้อหนังนี่ไม่ส่งเสริมจิตใจ ไม่เป็นอาหารใจ อย่างมากก็เป็นอาหารกาย และก็เป็นอย่างน่าอันตรายด้วย ต้องระวังให้ดี ครูจะสร้างโลกกันให้เป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตรย (นาทีที่ 35.09 ไม่แน่ใจการสะกด) นี่ต้องทำให้เขามีความรักชนิดนี้ ใช้คำว่ารักผู้อื่นก็แล้วกัน คุณธรรมอันนี้ ไม่ค่อยได้เอามาสั่งสอนอบรมในหลักสูตรการศึกษา อาตมาคิดว่า มาโรงเรียนวันแรก ให้สอนเรื่องรักผู้อื่น ดีกว่ามาสอนหนังสือ หนังสือไว้เรียนกันทีหลัง สอนให้รู้เรื่องความรักผู้อื่น เราต้องมีความรักผู้อื่น ต้องรักเพื่อนมนุษย์ เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่มันจะเป็นจุดตั้งต้นของศีลธรรม มันก็ทำอันตรายกันไม่ได้ถ้ามันเกิดรักผู้อื่นเสียแล้ว ศีลธรรมของโลก ขึ้นต้นด้วยคำว่ารักผู้อื่น ก็จะแก้ปัญหาได้หมด ไม่มีการเบียดเบียนในโลก เพราะถ้ารักผู้อื่นแล้วไม่มีการเบียดเบียน ไม่มีใครฆ่าใคร ไม่มีใครลักขโมยของของใคร ไม่มีใครประพฤติล่วงละเมิดของรักของใคร ไม่มีใครโกหกใคร ไม่มีใครดื่มของเมาให้เสียสติสัมปชัญญะแล้วไปเกะกะระรานใคร ไม่ว่าความเลวร้ายอันไหนในสังคมนี้จะหายไปหมดเพราะไอ้คุณธรรมเมตไตรยะ (นาทีที่ 36.40 ไม่แน่ใจการสะกด) เมตไตรย (นาทีที่ 36.43 ไม่แน่ใจการสะกด) คือรักผู้อื่น นี่หลักสูตรการศึกษาในโลก มันไม่มี พวกที่ไปเรียนมาจากเมืองนอก ปริญญายาวเฟื้อยนั่นน่ะ ไปตรวจสอบดูบ้าง มันมีแขนงไหนที่ว่ารักผู้อื่น มันมีแต่รักตัวกู รักประเทศชาติของกู รักพวกของกู รักพรรคของกูทั้งนั้นแหละ และมันก็ต้องได้รบราฆ่าฟันกัน ฉะนั้นการศึกษาของโลกมันหางด้วนที่ตรงนี้ มันไม่เลยไปถึงรักผู้อื่น แล้วมันก็ไม่เลยไปถึงการบังคับตัวเอง การบังคับตัวเองนั้นเป็นความสำคัญถัดมา ถ้าเราไม่บังคับตัวเอง แล้วอุดมคติทั้งหลายเหลวเป็นน้ำหมด อุดมคติที่วางไว้ดี วาดไว้ดี แล้วคนมันไม่มีการบังคับตัวเอง ก็ไม่ได้ทำให้ตรงตามอุดมคตินั้น นี่กำลังเป็นอยู่มาก คำสอนที่ดี หลักธรรมที่ดี ไม่ได้ปฏิบัติเพราะว่าแต่ละคนไม่บังคับตัวเองให้ปฏิบัติ ปล่อยไปตามอารมณ์ สนุกสนาน สะดวกสบาย นี่ก็เรียกว่ามันไม่บังคับให้เป็นไปตามอุดมคติ
แล้วข้อสุดท้าย อาตมาอยากจะพูดว่าให้สนุกในการทำเช่นนั้น การทำหน้าที่ของตนเพื่อให้มนุษย์โดยส่วนบุคคลหรือส่วนสังคมก็ตามได้รับประโยชน์ นี่เราเรียกว่า การงาน ธรรมะคือหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำ คือทำการงาน พอได้ทำการงานอย่างที่ว่านี่แล้วก็เป็นสุขที่สุด แล้วแต่ว่าใครมีการงานอย่างไร แจวเรือจ้างก็แจวเรือจ้างไป ถีบสามล้อก็ถีบสามล้อไป ล้างท่อถนนก็ล้างท่อถนนไป นี่อย่างต่ำที่สุด แล้วพอใจ กริ่มยิ้มกริ่ม พอใจในชีวิต
อาตมาไปกรุงเทพฯเมื่อสักหกสิบกว่าปีมาแล้ว สนใจหรือประหลาดใจคนแจวเรือจ้าง แจวไกลๆ แล้วก็ร้องเพลงหงุงหงิงๆอยู่เรื่อยไป เท้าข้างหนึ่งอย่างสบายเลย ไม่เห็นวี่แววแห่งความทุกข์ ความเดือดร้อน พอมารุ่นหลังนี้ที่ไหนได้ ไอ้คนกรรมกรเหล่านี้ทำงานไปพลาง ด่าผีสางไปพลาง ไอ้คนขับแท็กซี่มันพึมพำๆ ด่าอะไรก็ไม่รู้ไปพลาง แล้วมันไม่ได้เป็นสุขหรือพอใจในงานที่เขากระทำ ถือหลักธรรมะถูกต้อง ไอ้ธรรมะคือการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติแล้วเขาก็พอใจ พอได้ลงมือจับงานแล้วเขาก็พอใจเป็นสุข พอใจที่ได้ทำงานนั่นแหละพอใจ แล้วก็เป็นสุขในการงาน กรรมกรเหล่านั้นก็ไม่ต้องไปอาบอบนวด ไม่ต้องไปสถานบันเทิงเริงรมย์ ไม่ต้องไปสนามม้า สนามมวย อบายมุขที่ไหน เพราะว่ามันสบายเสียแล้ว เป็นสุขเสียแล้ว อยู่กับงานที่ทำ อยู่กับแจว หรืออยู่กับไม้กวาด หรืออยู่กับอะไรก็ตาม ชั้นต่ำสุด ไม่ใช่เป็นชั้นสูง ได้ทำงานสูงๆ มันก็ควรจะพอใจได้มากกว่านั้น ให้สังเกตดู มันน่าเครียด สีหน้ามันเครียด จิตใจมันเครียด มันด่าโชคชะตาของมันไปพลาง ทำงานของมันไปพลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกขับรถแท็กซี่ชั้นเลว ขอให้สังเกตดู อาตมาไม่ได้ตั้งใจสังเกต แต่มันก็เห็นเองเพราะว่าเคยนั่งเคยไป จนกระทั่งไม่เคยไป เดี๋ยวนี้ไม่เคยเกี่ยวข้องกันเลยกับคนเหล่านี้ ครั้งหนึ่งเขาเป็นฝ่ายผิดที่เขาพรวดพราดเข้ามา ไอ้รถคันของเราก็ไปถูกทาง เป็นเหตุให้เขาต้องห้ามล้ออย่างสุดเหวี่ยงเลย เข้ามาหมด (นาทีที่ 40.53 ฟังได้ไม่ชัด) รถของเขา เขาเป็นคนเดียว ไม่มีคนโดยสาร เขาก็ลงมาด่าเอา ด่าเอา ด่าเรา รถเราซึ่งคุณสัญญา ธรรมศักดิ์เป็นผู้ขับ เราเป็นคนนั่ง มันด่าอย่างหยาบคายที่สุดเลย โดยที่ไม่ต้องรู้ว่าเป็นใคร ทั้งที่พระนั่งอยู่องค์หนึ่งด้วย มันด่าจนขี้เกียจด่าแล้วมันก็ไป คุณสัญญาก็ยิ้ม ยิ้มตลอดเวลา จนว่ามันไปแล้ว เราจึงไปของเราต่อไป นี่ไม่ใช่จะโฆษณาคุณสัญญา แต่จะบอกให้รู้ว่าไอ้ฝ่ายแท็กซี่นี่มันเลวเหลือเกิน มีธรรมะเกือบจะมีกันไม่ไหวจึงจะทนได้ แล้วโลกนี้มันจะเป็นสุขได้ยังไง ก็มีแต่อันธพาลอย่างนี้ ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายผิด ทำผิด เสือกเข้ามา อันนี้ไม่พูดเสือก เขาต้องห้ามล้อ รถจะเสียหายแล้วเขาก็โกรธ เขาก็ด่าเรา เข้าใจว่ามีทั่วไปในโลก และจะสร้างโลกกันใหม่ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
ทีนี้หัวข้อต่อไปก็จะบอกว่าครูเป็นผู้ที่ทำให้คนได้เกิดใหม่ ครูนี่เป็นผู้ที่ทำให้คน ประชาชนได้เกิดใหม่ เกิดมาครั้งแรกจากท้องแม่ ยังจะไม่เป็นคนด้วยซ้ำไป ต้องได้รับการอบรมสั่งสอนให้เกิดใหม่อีกทีหนึ่ง ให้เปลี่ยนในทางจิตใจ ให้จิตใจมันเปลี่ยน เกิดมาเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ ที่เขาพูดกันว่า การศึกษาคือการกระทำให้เป็นอย่างนั้น การกระทำให้เป็นอย่างนี้ ไอ้บทนิยามของคำว่าการศึกษา อาตมาฟังมาหลายคำหลายเรื่องแล้ว ไม่เห็นด้วย แล้วที่พูดว่าการศึกษาไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้ทุกๆ ปัญหาในโลกนี้ ไม่เชื่อ ใครจะพูดก็ตามแต่ อาตมาไม่เชื่อ แต่จะเชื่อว่าการศึกษาที่ถูกต้อง มันจะแก้ปัญหาได้หมดในโลก เพราะว่ามันทำให้คนเกิดใหม่ เกิดในที่นี้ เกิดทางวิญญาณ เกิดทางร่างกายนั่นมันเสร็จไปแล้ว เกิดมาจากท้องแม่เสร็จแล้ว เสร็จกันไปแล้ว เกิดทางร่างกายออกมาเป็นคนหรือเป็นอะไรก็ยังไม่แน่ จึงมาอบรมในทางจิตใจจนจิตเปลี่ยนใหม่ นี่ก็จะเกิดเป็นคนดี เด็กๆนี่มันจะเกิดใหม่ ทุกคราวที่จิตใจมันเปลี่ยน ด้วยอำนาจการศึกษาอบรมของคน แล้วมันจะเกิดครั้งสำคัญ ก็คือเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ การศึกษาทำให้เขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ คือการศึกษาทำให้เขาเกิดใหม่ ทีนี้ถ้าการศึกษามันยังสมบูรณ์ต่อไปอีก ไอ้คนนี่มันก็เกิดเป็นอริยบุคคล เกิดเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มันจะเกิดใหม่เรื่อยไป ถ้าการศึกษามันถูกต้อง
ให้เราให้บทนิยามแก่คำว่าการศึกษานี้ว่า การทำให้มีการเกิดใหม่ เด็กเลวๆมัวเกี่ยวข้องกับครู มันก็เกิดใหม่เป็นเด็กที่ดี เป็นเด็กที่มีจิตใจสูงขึ้นมา เป็นหนุ่มสาวที่มีความถูกต้อง เป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่มีความถูกต้อง เป็นการเกิดใหม่ทุกครั้งที่จิตใจเปลี่ยนแปลง การเกิดอย่างนี้คือเกิดโดยวิธีที่เรียกกันในภาษาศาสนาว่า โอปปาติกะ คำนี้มันเอามาใช้กันผิดๆ โอปปาติกะ คือสัตว์ชนิดหนึ่งมีแต่วิญญาณเรืองแสงวิ่งไปวิ่งมา เกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้นจึงจะเรียกว่า โอปปาติกะ เป็นเทวดามั่ง เป็นผีบ้าง เป็นอะไรบ้าง คำว่าโอปปาติกะนี่คือการเปลี่ยนของวิญญาณจากสภาพอันหนึ่งไปสู่สภาพอันหนึ่ง ตรงตามเรื่องราวคำๆ นี้ว่า เกิดโดยไม่ต้องมีพ่อมีแม่ เกิดขึ้นมาโดยไม่ต้องเป็นเด็กก่อน เกิดมาก็เต็มโตเต็มที่ ฟุ้ง (นาทีที่ 45.48)ขึ้นมาเลย เช่นเกิดเป็นคนเลวนี่ ไม่ต้องมีพ่อมีแม่ แล้วไม่ต้องเกิดเป็นเด็กแล้วโตขึ้นมา เกิดขลุม (นาทีที่ 45.50) เดียวก็เลย ฉะนั้นเป็นคนดีก็เหมือนกัน เกิดทางจิตใจนี่ ขอให้รู้ไว้ว่าเป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์ ที่จะต้องทำให้มันมีการเกิดชนิดนี้ การศึกษาครูบาอาจารย์นั่น ถ้าเป็นไปถูกต้องแล้ว มันจะทำให้คนเกิดใหม่เรื่อย เปลี่ยนใหม่เรื่อย เปลี่ยนโดยจิต โดยวิญญาณ การเกิดใหม่เรื่อย มันก็ดีขึ้นๆๆ กว่าจะดีถึงที่สุด เป็นมนุษย์ที่ดี ทีนี้การศึกษามันเป็นสิ่งที่ทำให้คนมีการเกิดใหม่ ถ้าเราต้องการให้คนโดยมากเป็นอะไร เราก็ทำให้เป็นอย่างนั้น แต่โดยที่แท้แล้ว ทำให้มันเป็นคนดีก็แล้วกัน อย่าให้มันเป็นคนรวย คนสวย คนมีอำนาจ วาสนา หายนะ มันจะลืมตัว แล้วมันจะกลายเป็นอันตรายขึ้นมา ให้เกิดเป็นคนดีตามหลักของพระศาสนาของที่ถือกันได้ว่ามันเป็นคนดี การศึกษาจะทำให้มีการเกิดใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วไม่ใช่การศึกษาแล้ว เป็นเรื่องหลอกๆ ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเป็นการศึกษาผิด ทำให้เกิดเลวลงไปกว่าแต่ก่อน ไม่ใช่การศึกษาแน่ คือทำให้วัยรุ่นของเราเป็นอันธพาลมากไปกว่าแต่ก่อน มันไม่ใช่การศึกษาแน่
เดี๋ยวนี้อาตมายังฉงน ไม่รู้ว่าให้การศึกษากันอย่างไร ในโลกนี้ ในโลกอันกว้างขวางนี่ ที่มีฝรั่งเป็นผู้นำนั่นแหละ มันให้การศึกษากันอย่างไร จึงได้เกิดปัญหาที่โง่เขลาที่สุด เช่น ยาเสพติด เป็นต้น เดี๋ยวนี้เรื่องยาเสพติดเป็นปัญหาโลก แล้วมันเป็นความโง่ของใครล่ะที่สร้างคนติดยาเสพติดขึ้นมา มันก็เพราะการศึกษาไม่สมบูรณ์ เรียนหนังสือแล้วยังไปเสพยาเสพติด คนเสพยาเสพติดมากขึ้นๆอย่างไม่น่าเชื่อ สมัยอาตมาเป็นเด็กๆนี่ มันถือเป็นบาปทั้งนั้น พวกเด็กๆเราจะถือว่าบาป สูบบุหรี่ก็บาป สูบกัญชาก็บาป อะไรๆก็บาปทั้งนั้น แล้วขยะแขยง เห็นคนสูบกัญชาที่มีชื่อเสียงเดินมานี่ วิ่งหนีกันหมดแหละ เขาไปนั่งอยู่ตรงไหน เด็กๆไปยืนล้อมดูแล้วก็วิ่งหนี ก็ถ่มน้ำลายด้วย แล้วก็วิ่งหนีด้วย เพราะฉะนั้นเด็กเหล่านั้นไม่มีโอกาสที่จะไปลองสูบกัญชา แต่เดี๋ยวนี้กัญชามันเข้าไปในโรงเรียน เข้าไปในมหาวิทยาลัยของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ไอ้ยาเสพติดอื่นๆที่ร้ายกว่านั้น มันก็เข้าไปเหมือนกัน จนเป็นปัญหาโลก องค์การโลกต้องเสียเงิน เสียเวลา เสียแรงงาน เสียอะไรต่างๆมากมายเพื่อจะปราบยาเสพติด แล้วก็ไม่เห็นได้ เพราะไม่มีการศึกษาที่ถูกต้อง ไม่มีการศึกษาที่ทำให้คนเกิดใหม่ จึงไม่อยู่ในหัวคิดขององค์การสหประชาชาติก็ได้ องค์การสหประชาชาตินี่ไม่เคยคิดว่าการศึกษานี้ทำให้คนเกิดใหม่ หรือศีลธรรมนี้ทำให้คนเกิดใหม่ การศึกษาชนิดนี้ หรือศีลธรรมนี้ไม่อยู่ในหัวสมองของไอ้พวกองค์การโลกทั้งหลาย เพราะฉะนั้นในโลกมันจึงไม่มีองค์การที่จัดขึ้นเพื่อต่อต้านไอ้สิ่งเลวร้ายทางจิตทางวิญญาณอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็ว่าต่อต้านความยากจน ต่อต้านไอ้การไม่รู้หนังสือ ต่อต้านไอ้คนพิการให้ได้มีงานทำนี่ มันเป็นเรื่องผิวนอก เป็นเรื่องเปลือกทั้งนั้น ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางจิตใจ ถ้าไม่มีอะไรจะกิน แต่เป็นคนดี มันดีกว่าคนที่ไม่ดี แต่มีอันจะกินอย่างฟุ่มเฟือยเสียอีก เรียกว่าผู้ที่คุมอำนาจในการจัดโลก มันไม่รู้เรื่องนี้เสียเลย มันไม่จัดโลกให้มีศีลธรรม ไม่มีความถูกต้องของมนุษย์เสียเลย เราไม่มีอำนาจ เราได้แต่พูด เราก็พูดเท่าที่เราจะพูดได้ ว่าการศึกษายังไม่เป็นการศึกษา คือยังไม่ทำให้มีการเกิดใหม่ของมนุษย์ จะเรียกว่าการสอบไล่ปีละครั้งนี่เป็นการทดสอบการเกิดใหม่ก็พอจะได้ แต่ไม่ตรงนัก มันก็ต้องดูที่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในนักเรียน นักศึกษาของเรา มันเปลี่ยนเป็นคนเกลียดความชั่วรักความดี นี่เรียกว่าเกิดใหม่ทางวิญญาณ จนกระทั่งว่าเป็นคนสูงสุด เป็นมนุษย์ชั้นอริยบุคคล เกิดใหม่ เช่น มาบวชอย่างนี้ก็เรียกว่าเกิดใหม่เหมือนกัน เกิดแบบบวช สูงขึ้นมาก็เป็นนักบวช โดยไม่เกิดจากบิดามารดา ไม่ต้องเป็นเด็กก่อน อะไรก่อน ที่ว่าปฏิบัติธรรมะบรรลุพระโสดาบัน สกิทาคามี คือการเกิด เกิด เกิด เกิดไปตามลำดับ จนกว่าจะสิ้นสุดแห่งการเกิด คือเป็นพระอรหันต์ ไม่จำเป็นจะต้องเกิดอีกแล้ว
ขอให้ถือว่าครูบาอาจารย์นี่ มีหน้าที่ทำให้คนเกิดใหม่ จึงจะถูกต้องตามอุดมคติของคำว่าครู ทีนี้ผลพลอยได้ อะไรที่เป็นความประสงค์ของประเทศชาติของรัฐบาลนี่ มันก็จะมีมาเอง ถ้าเรามีการกระทำ การแก้ไข การเกิดทางวิญญาณที่ถูกต้อง เราก็มีพลเมืองที่ดี แล้วก็มีรัฐบาลที่ดี มีสภาผู้แทนที่ดี มีอะไรที่ดี มีนักเศรษฐกิจที่ดี นักการเมืองดี ประชาชนดี ผู้ผลิตที่ดี ผู้ซื้อที่ดี ผู้ขายที่ดี คนกลางที่ดี จะไม่มีปัญหาอะไรเหลือ แต่นี่ปัญหาเต็มไปหมด แม้แต่เพียงว่าผู้ผลิตคดโกง ผู้ซื้อคดโกง ผู้ขายคดโกงนี่ รบรากันอยู่ในสังคมแคบๆนี้ นี่การศึกษามันไม่พอ ที่จะทำให้พลเมืองดี ไปเป็นอะไรเข้า มันก็เป็นไม่ดี พลเมืองที่ไม่ดี ไปเป็นนักการเมือง เป็นนักการเมืองเลว เป็นนักเศรษฐกิจก็เป็นนักเศรษฐกิจเลว เป็นข้าราชการก็เป็นข้าราชการเลว ก็ยุ่งไปหมด ถ้าว่าการศึกษามันถูกต้อง สิ่งเหล่านี้มันก็ไม่มี มันก็ถูกแล้วว่าการศึกษาช่วยให้ได้ระบบการปกครองที่ดี ให้ได้ประชาธิปไตยที่ดี ยุติว่าให้ได้ระบบการปกครองของบ้านเมืองที่ดี ในที่สุดก็เรียกว่าการศึกษามันสมบูรณ์ ถ้าการศึกษาของเราไม่ถูกเข็นไป พาไปจนถึงจุดนี้ การศึกษาในโลกก็เหมือนกับไม่มี โลกไม่มีการศึกษา เพียงแต่รู้หนังสือ รู้อาชีพ เป็นการศึกษาที่เด็กๆเกินไป เป็นคนก็ไม่ได้ อย่าว่าแต่จะเป็นมนุษย์เลย ฉะนั้นช่วยกันเข็นการศึกษากันขึ้นให้ถึงระดับที่จะเป็นการศึกษาที่สมบูรณ์ คือหางไม่ด้วน คำนี้ฟังแล้วมันหยาบคาย ระคายหูมาก แต่ว่าก็จำเป็นที่ต้องใช้พูดอยู่ การศึกษาหางด้วน ประหยัดเวลา เป็นคำพูดที่ประหยัดเวลา มนุษย์ไม่ ไม่เต็มมนุษย์เพราะว่าการศึกษาหางด้วน เมื่อไรการศึกษาหางไม่ด้วน มนุษย์ก็จะเป็นมนุษย์ที่เต็มมนุษย์ นั่นคือการศึกษาสมบูรณ์ ครูก็เป็นครูที่ทำหน้าที่สมบูรณ์ คือครูเป็นผู้เปิดประตูคอกให้สัตว์ออกมาและสมบูรณ์ แล้วครูเป็นกัปตันนำสัตว์เหล่านั้นไปสู่จุดหมายที่ถูกต้อง ครูก็เป็นผู้สร้างโลกนั่นเอง เป็นพระเจ้าสร้างโลก แล้วครูทำให้มีการเกิดใหม่อยู่ทั่วทุกหัวระแหง ทุกหนทุกแห่ง ครูได้บันดาลให้มีการเกิดใหม่ ให้คนเลวตาย ให้คนดีเกิด คนเลวตาย คนดีเกิด อยู่ทั่วทุกหัวระแหง เราก็จะได้พลเมืองที่ดีสำหรับเป็นรัฐบาลที่ดี เป็นสภาที่ดี เป็นนักเศรษฐกิจดี นักการเมืองดี นักปกครองดี ทีนี้ครูทำได้อย่างนี้ ก็เห็นว่า ครูนี่ให้มากกว่าที่รับเอา เงินเดือนมันไม่กี่พัน อาตมาได้ยินว่าเงินเดือนครูมันไม่กี่พัน แต่ว่าถ้ามาทำหน้าที่ของตนถูกต้องสมบูรณ์แล้ว ผลก็เกิดขึ้นแก่ประเทศชาติบ้านเมือง หรือโลก อย่างที่จะเปรียบกันไม่ได้ ครูจึงมีอาชีพปูชนียบุคคล แต่ก็น่าหวั่นใจที่ว่า การอบรมครูนี่ ไม่ได้ทำกันถึงขนาดนี้ ครูวัยรุ่นทั้งหลายกำลังเป็นอันธพาลอยู่มาก เหมือนอาตมาก็ได้พูดมาแล้วเมื่อต้น
เราสังเกตเห็นว่า ครูวัยรุ่นออกมาจากวิทยาลัยครูใหม่ๆนี่ ไม่เป็นที่หวังได้ว่าเขาจะนำโลกไปในลักษณะปูชนียบุคคล ผู้มีอำนาจควรจะจับเอาไอ้ครูเหล่านั้นมาดัดสันดาน มาแก้ไขอะไรกันเสียใหม่ทีหนึ่ง จึงจะเกิดครูที่แท้จริงขึ้นมา มิฉะนั้นแล้ว ครูรุ่นเล็กนี่ จะสร้างปัญหาให้ครูรุ่นใหญ่ จะทะเลาะวิวาทกันระหว่างครูรุ่นหลัง ครูรุ่นเก่า แล้วไอ้บ้านเมืองก็แตกกระจาย ได้ยินว่าปกครองกันไม่ได้ ครูแก่ๆปกครองครูหนุ่มๆไม่ได้ เขาหัวแข็ง เขามีอะไร เขาชวนกันสไตรค์เมื่อไหร่ก็ได้ เพราะว่าครูไม่เป็นครู เป็นปัญหาปัจจุบันที่กำลังมีอยู่ ครูของเราบูชาเงินเดือนมากกว่าบูชาอุดมคติมาตั้งแต่เป็นนักเรียนครู อาตมาเคยพูดกับนักเรียนครูมาหลายชุดเต็มทีแล้วนะ อาตมาสังเกตเห็นมันเป็นอย่างนี้นะ ไอ้นักเรียนครูเหล่านั้นน่ะมุ่งหมายที่จะได้เงินเดือนมาก แต่ทำงานเบาๆ เขาไม่ยอมรับรู้ว่าครู ครูคือผู้นำวิญญาณของโลก เขาไม่ยอมรับรู้ เขาบูชาเงินเดือนอย่างเดียว ครูเหล่านี้มีหัวใจเหมือนกับปุถุชนธรรมดาสามัญ อยากจะร่ำรวย อยากจะสนุกสนาน สะดวกสบาย ครูเหล่านี้มีหัวใจเป็นนายทุน เหมือนกับนายทุนทั้งหลาย ไอ้ครูรุ่นหลังมันมีหัวใจเป็นนายทุน อยากจะมีนั่น อยากจะมีนี่ อยากจะมีโน่น จนเงินเดือนไม่พอใช้ ให้รัฐบาลเพิ่มเงินเดือนให้อีกสักสิบเท่าก็ยังไม่พอใช้ เขาอยากจะมีโทรทัศน์ เขาอยากจะมีตู้เย็น เขาอยากจะมีรถยนต์ เขาอยากจะมีตึก แล้วเมื่อไหร่เงินเดือนมันจะพอใช้ล่ะ สภาพอย่างนี้มัน มันก็หมายความว่ามันไม่มีครู แล้วก็มีผู้ที่พร้อมจะไปเป็นนายทุนกับเขาด้วยเหมือนกัน ที่กำลังเรียกตัวเองว่าครู
พระพุทธเจ้าเป็นบรมครู ไม่เคยมีรถยนต์ ไม่เคยมีตึก พระพุทธเจ้าไม่มีร่มนะ พระพุทธเจ้าไม่มีรองเท้านะ พระพุทธเจ้าไม่มีมุ้งนะ ไอ้คีมตัดเล็บอย่างที่เรามีๆกันก็ไม่เคยมี อาตมาได้คีมตัดเล็บมาแล้วนึกถึงพระพุทธเจ้าเสมอเลย แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ที่จะให้ ไอ้ของเหล่านี้มันก็ไม่ใช่เหลือเฟืออะไร ก็คีมตัดเล็บ แต่พระพุทธเจ้าไม่เคยมี ที่พูดนี้ก็หมายความว่า ท่านเป็นพระบรมครูของโลก แต่แล้วร่มก็ไม่มี รองเท้าก็ไม่มี มุ้งก็ไม่มี คีมตัดเล็บก็ไม่มี ช้อนส้อมก็ไม่มี ในเมื่อครูลูกศิษย์นี่ก็ต้องการจะมีตึก มีรถยนต์ มันก็เลยขัดขวางไปหมด ครูยังอยากจะเป็นนายทุน หรือเลยไปกว่านั้น ก็อยากจะเป็นเทวดา แต่งตัวเหมือนเทวดา แต่งตัวแข่งกับเทวดา ไม่เห็นครูคนไหนใส่ชุดม่อฮ่อม มันคงจะมีบ้าง แต่หาทำยายาก เขาจะแต่งตัวให้มันทันสมัย ปัญหายังคงอยู่ว่าเรายังไม่มองกันในเรื่องนี้แล้ว ไปจัดการศึกษาตามก้นฝรั่งหางด้วนเสมออย่างนี้แล้วก็ไม่มีหวัง กระทรวงศึกษาธิการเปลี่ยนเป็นกระทรวงธรรมการอีกสักทีก็จะดี ไปนึกภาพว่าใครจะเปลี่ยนได้ อาตมาได้แต่พูด เมื่อมันไม่เป็นปูชนียบุคคลได้ มันเป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปตามเดิม ไม่เห็นครูนั่งเปิดหนังสือวิชาครู แต่เห็นครูเปิดแคตาล็อกกางเกงยีนมากที่สุด บางทีก็หนีบรักแร้มาด้วย มันก็จะไปโทษใครก็ยาก ก็ต้องรื้อกันทั้งกระบิ แต่ว่ากระทรวงศึกษาธิการนี่เปลี่ยนเป็นกระทรวงธรรมการ นั่นนะมันถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
ครูสอนให้เด็กรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่ดูแล้วครูเองก็ยังไม่รู้จัก รู้จักแต่ตัวหนังสือ หรือเสียงพูด ว่าประเทศชาติ ศาสนา มหากษัตริย์ อย่างนั้นๆ คะยั้นคะยอให้ท่องจำ ให้ออกเสียงปฏิญญาณ แต่ตัวจริงของประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ครูเองก็ยังไม่รู้จักว่าอยู่ที่ไหน นอกจากว่าอยู่ในสมุด ที่เขียนไว้เป็นตัวหนังสือว่าออกเสียงกัน ปฏิญญากัน แล้วก็มันน่าหัวที่ว่า เขาใช้สำนวนอนาคต คือไม่ต้องรับผิดชอบว่าเราจะต้องทำเดี๋ยวนี้ สำนวนอนาคตก็คือว่าข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ศาสนา มหากษัตริย์ คำว่าจะ นั้นมันเป็น Future Tense ก็ไม่ต้องทำ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ต้องทำ ก็ไม่มีใครจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ศาสนา มหากษัตริย์ มีแต่คนจะ ทั้งนั้น แล้วเมื่อไหร่มันจะมีผลขึ้นมา ครูบาอาจารย์ ช่วยกันไปแก้ไขข้อนี้ ให้มันเปลี่ยนเป็นว่า ข้าพเจ้าจงรักภักดีบัดนี้ เดี๋ยวนี้ ต่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คือทำอย่างนั้นๆๆๆเลย คำว่าจะนี่ตัดทิ้งออกไปเสีย เด็กๆเขาร้องอะไรที่หน้าเสาธง หน้าโรงเรียน ข้าพเจ้าจะ จะอย่างนั้น จะอย่างนี้ จะซื่อสัตย์ จะอย่างนั้น จะทั้งนั้นเลย คำว่าจะนี่ เขาไม่ใช้กันหรอกในพุทธศาสนานี้ ในระเบียบในวินัยของสงฆ์ใช้คำว่าจะไม่ได้ ถ้าใช้คำว่าจะแล้วเป็นโมฆะ ยกเลิกเท่ากับไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้นอย่ามัว จะ อยู่เลย ก็จะมีกิริยาเป็นปัจจุบันกาล ข้าพเจ้าทำบัดนี้ กินบัดนี้ อะไรบัดนี้ ใช้คำว่าเดี๋ยวนี้เลย คือกระทำอยู่ นี่ปัญหามันกำลังมีอยู่อย่างนี้ ซึ่งโดยแท้จริงมันก็เป็นปัญหาที่ตกอยู่กับครูบาอาจารย์ แล้วก็ไม่มีใครออกรับปัญหา รับผิดชอบอันนี้ มันก็ไม่ได้แก้ไข ขอพูดถึงหนทางแก้ไขกันบ้าง เรไรก็พูดแข่ง คุณจะไม่ได้ยินนะ ว่าเรา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ปรับปรุงตัวเองให้พ้นจากสภาพลูกจ้างสอนหนังสือเลี้ยงชีวิต
ครูทุกคน ขอทำตัวให้พ้นจากความเป็นลูกจ้างสอนหนังสือ เลี้ยงชีวิต คือเป็นครูตามอุดมคติ ผู้เปิดประตูคอก ถ้าขืนถืออุดมคติ รับจ้างสอนหนังสือเลี้ยงชีวิตแล้วมันก็มีจิตใจเดินคนละทาง และถ้าขืนถืออยู่ ไม่เท่าไหร่ก็จะไปสไตร์คเรียกร้องรัฐบาล เหมือนกับชนธรรมาชีพทั้งหลายที่ไปรบกวนรัฐบาลอยู่ ไม่เท่าไร พวกครูเรานี่แหละจะทำหน้าที่อย่างนี้ จะสไตร์ค จะประท้วง จะบีบบังคับรัฐบาลเหมือนกับที่สหพันธ์กรรมกรเขากำลังทำกันอยู่ กิจกรรมอันนี้มันอาจจะเปลี่ยนมือมาสู่ครู ครูก็จะทำอย่างนั้นได้ มีหลักเกณฑ์ยึดถือเป็นลูกจ้าง สอนหนังสือ เลี้ยงชีวิต อาตมาคิดว่ารีบเปลี่ยนเสียดีกว่า เขาก็พยายามสอนจริยธรรม วัฒนธรรม ให้พอ ที่ว่าการศึกษาหางด้วน คือมันขาดส่วนที่เป็นจริยธรรมหรือวัฒนธรรม เด็กมาโรงเรียนวันแรก ตั้งต้นว่าเป็นอนุบาล ชั้นอนุบาลเขาก็มาโรงเรียนวันแรก สอนอะไรกันก็ไม่รู้ มันเกินฐานะของเด็ก จนเด็กก็ไม่รู้ว่าแม่นี่คืออะไร เด็กมาโรงเรียนวันแรก เราก็สอนให้เขารู้ว่า แม่ คือใครดีกว่า แต่ไม่ได้สอนให้ท่องนะ สอนให้รู้สึกนะ เช่น ถามว่า นี่ นี่แกเกิดมาจากใคร ถ้าว่ามันไม่รู้ว่าแม่คือใคร ถามว่า นี่แกเกิดมาจากใคร เนื้อหนังร่างกายของแกนี้มันแบ่งมาจากใคร แกกินนมของใคร นมนั้นมาจากไหน ใครให้เสื้อแกใส่ ใครให้รองเท้าแกใส่ ให้กระโปรงแกใส่ ถามไล่ไปเถอะหลายๆ สิบคำถามนี่ เดี๋ยวแม่ ไอ้เด็กทารกนั้นก็จะรู้ว่าแม่คืออะไร เดี๋ยวนี้ครูตัวโต นักเรียน มันก็ยังไม่รู้ว่าแม่คืออะไร อาตมาเคยชวนเขาคุยให้พูดว่าแม่คือใคร เขาพูดได้คำสองสามคำแล้วจนปัญญา พูดไม่ได้ นี่มันไม่เคยสนใจอบรมศึกษากันมาว่าแม่นี้คือใคร เขาควรจะบรรยายลักษณะพระคุณของแม่ได้ยาวๆ และได้หลายนาที ถ้ามันเก่งจริง มันพูดเป็นชั่วโมงก็ไม่จบในเรื่องของแม่หรือพระคุณของแม่ ทีนี้เด็กอนุบาลก็ให้เรียนหนังสือหนังหา ให้ร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้ ให้กระโดดโลดเต้นเป็นลิงเป็นค่าง ในที่สุดก็ไม่รู้ว่าแม่นี้คืออะไร แม่คือใคร ไอ้การศึกษามันควรจะตั้งต้นด้วยการเรียนรู้เรื่องจริยธรรมวัฒนธรรมตามแบบโบราณที่เขาเป็นกันมาแต่ก่อน
วัฒนธรรมไทยประกอบอยู่ด้วยธาตุของพระธรรม ธรรมธาตุ ธรรมะ ธาตุ วัฒนธรรมไทยมันประกอบอยู่ด้วยธรรมธาตุ ซึ่งมันออกมาจากพระศาสนา มีคนเอาหนังสือมาให้อาตมาดู เขาคงจะนึกว่าอาตมาคงจะอยากดู เป็นหนังสือเล่มแรกใช้สอนเด็กชั้นอนุบาลในประเทศอเมริกา พอมาเปิดดู ที่ไหนได้ อาตมาดูไม่ค่อยจะออกหรอก แต่รู้ว่ามันมีหน่วยเขียวบ้าง หน่วยเหลืองบ้าง หน่วยน้ำเงินบ้าง หัวแหลมๆ คล้ายกับลอดช่องโยงกันอย่างนั้นอย่างนี้ คือทฤษฎีปรมาณู ที่เด็กชั้นต่ำสุดแรกสุดเรียน หนังสือบางๆ เล่มนั้นเป็นทฤษฎีปรมาณู ปรมาณูเกิดขึ้นอย่างนั้น มีอำนาจอย่างนั้น นี่ดู เขาให้สอนทฤษฎีปรมาณูแก่เด็กอนุบาล ทีนี้เราจะมาสอนแต่เด็กๆ ว่าแม่คืออะไร พวกครูจะไม่รับ กลัวจะเป็นเต่าล้านปี มาสอนว่าแม่คืออะไรอยู่ ไม่ทันสมัยเหมือนกับสอนทฤษฎีปรมาณู ดูแล้วครูก็ยังไม่คล่องตัว แม้ว่าครูบางคนอยากจะทำจริง อยากเอาจริงก็ไม่คล่องตัว เพราะว่าไอ้ระเบียบหรือหลักสูตรของกระทรวงไม่ค่อยอำนวย เขาไปมีทบวงอิสระเข้าไประดับชั้นมหาวิทยาลัยเสีย ควรจะมีทบวงครูลดลงต่ำมาถึงครูธรรมดาที่เป็นอิสระแก่ตัว ทำอะไรแก่ตัวได้ ให้ครูสามารถนำเด็กๆไปได้ตามความประสงค์ นี่เราไม่มีอำนาจ ทำไม่ได้ เราก็ได้แต่พูด ฉะนั้นเราขอให้ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้ แม้จะไม่กี่คน ช่วยเอาไปคิดนึกดูเถอะ ว่าโลกกำลังไม่มีครูอย่างไร มีครูน้อยเกินไปอย่างไร หรือว่าเขาสอนไม่ถูกจุดที่ว่ามันจะเป็นมนุษย์ได้อย่างไร สอนกันแต่ที่จะให้เป็นสัตว์ที่เห็นแก่ตัวมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ไปสังเกตดู สัตว์เดรัจฉานเห็นแก่ตัวน้อยกว่าคนที่ได้รับการศึกษาดีสมัยดี ฉะนั้นคนยังต้องละอายแก่สัตว์เดรัจฉานอยู่ทั่วไปหมด ครูยังต้องเดือดร้อน ยังต้องร้องไห้ ยังต้องอะไร ซึ่งสัตว์เดรัจฉานทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ครูต้องกินยาแก้ปวดหัว แมวไม่ต้องกิน ครูต้องกินยา นอนไม่หลับ แก้นอนไม่หลับ แมวไม่ต้องกิน ครูหลายคนต้องกินยาโรคประสาท แมวไม่ต้องกิน ครูหลายคนเป็นโรคจิต ไปอยู่โรงพยาบาลโรคจิต แมวไม่เคยไปอยู่ นี่ดูกันง่ายๆอย่างนี้ว่าที่ว่าเราทำอะไรผิด แทนที่ว่าไอ้ความเป็นมนุษย์นี่จะเป็นการได้ที่ดี กลับเป็นการได้ที่เสีย คือน่าละอายแมว นี่ไก่เหล่านี้อาตมาเลี้ยงไว้เป็นครู เพื่อจะดูเมื่อไหร่มันจะเป็นโรคประสาทกันบ้าง เมื่อไหร่มันจะนอนไม่หลับกันบ้าง นี่ไก่นี่ไม่มีปัญหา ไม่มีพรุ่งนี้ ไก่นี่ไม่มีพรุ่งนี้ เช่นว่า พรุ่งนี้จะกินอะไร ไม่มี หรือแม้แต่ว่าเย็นนี้จะกินอะไรก็ไม่มี ไก่นี้ ตื่นมา เช้าหิวก็ไปคุ้ยเขี่ย อิ่มแล้วก็มานอนพักกลางวัน กลางวันนี่ เขาจะต้องขึ้นนอนบนต้นไม้พักผ่อนกัน 5 นาที 10 นาที ก็จะหิวอีก จะลงมาหากินอีก เย็นก็นอน ไม่ต้องกินยานอนหลับ ไม่เคยเห็นไก่ตัวไหนกำลังทนทรมานร้องครางเพราะนอนไม่หลับ ไม่มี ไม่ปวดหัว ไม่เป็นโรคนอนไม่หลับ ไม่เป็นโรคประสาทเบียดเบียน เพราะว่ามันไม่มีความคิดประเภทที่เฟ้อที่เกิน ความยึดมั่นถือมั่นที่มากเกิน การสะสมที่ไม่รู้จักจบ เขาไม่มีอะไรจะสะสม สัตว์เหล่านี้ ไม่มีเสบียง ไม่มีโกดัง ไม่มีธนาคาร ที่จะสะสม ปัญหาทางจิตทางวิญญาณก็เลยไม่มี เดี๋ยวนี้มนุษย์เรามันมีการสะสมมากไม่รู้จักพอ มันก็เลยต้องเป็นโรคพิเศษสำหรับมนุษย์ผู้ไม่รู้ธรรมะ หรือว่าไม่รู้ของจริงของธรรมชาติ จนต้องตกอยู่ในกองทุกข์ เช่นว่า ต้องเป็นโรคประสาท ต้องเป็นโรคจิต ต้องเป็นโรคนอนไม่หลับ ก็หมายความว่ามนุษย์ปัจจุบันนี้ ยุคอวกาศ ยุคปรมาณู ยุคคอมพิวเตอร์ มนุษย์พวกนี้ก็ยังถูกขังอยู่ในเล้ามืด โง่ ไม่รู้ว่าควรจะต้องการอะไร ควรจะทำอะไร เหมือนกับถูกขังอยู่ในเล้ามืด วันนี้ ปัจจุบันนี้ในโลกนี้ สัตว์เหล่านี้ก็ยังถูกขังอยู่ในเล้ามืด ขอให้ครูบาอาจารย์ช่วยเอาไปคิดดูเถอะว่าเราจะเปิดประตูคอกให้คนเหล่านี้ออกมาจากเล้ามืดได้อย่างไร อย่าให้เขาตกไปเป็นทาสของอวิชชา ของกิเลสตัณหา ของอะไรต่างๆ หน้าที่เปิดประตูคอกอันสกปรกอันมืดเหม็นนี่ยังมีอยู่จนกระทั่งวันนี้ ที่ว่าครูบาอาจารย์จะต้องทำ
และมันก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว อาตมาขอสรุปความสั้นๆว่า ครูมีอาชีพอย่างเดียวกันกับพระพุทธเจ้า คืออาชีพปูชนียบุคคล ครูมีอาชีพอย่างเดียวกับอาชีพของพระพุทธเจ้า คืออาชีพปูชนียบุคคล ให้มากเหลือประมาณ แต่ว่ารับเอามานิดเดียว รับวันละบาท แล้วก็ให้วันนึงไม่รู้กี่แสนกี่ล้าน ด้วยการเปิดประตูคอกในทางวิญญาณ ขอฝากครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จำติดใจไปว่า อาชีพปูชนียบุคคลนั้นคืออาชีพครู ถึงแม้จะมีพวกอื่นในลักษณะอย่างนี้อยู่บ้างก็น้อย น้อย กล้าท้าทายได้ว่าน้อย สู้อาชีพครูไม่ได้ที่จะเป็นอาชีพปูชนียบุคคล แล้วครูนี้ก็มีอาชีพอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าซึ่งมีอาชีพปูชนียบุคคล นี่ครูควรจะบากหน้ามองไปยังพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ในเมื่อเรายังไม่เป็นบรมครู ยังเป็นครูธรรมดา ควรจะชะเง้อมองไปยังพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู แล้วก็ร่วมมือกับท่าน ช่วยกันเปิดประตูคอก ประตูเล้าให้สัตว์มันออกมาเสียได้ ความเป็นครูก็จะถึงที่สุด โลกนี้ก็จะมีที่พึ่งคือมีผู้สร้างโลกที่ดีในอนาคต หวังได้ว่าในอนาคตเราจะมีโลกที่ดีที่น่าพอใจ ด้วยการที่ครูช่วยกันสร้างขึ้นผ่านทางเด็กๆ นักเรียน ลูกศิษย์ลูกหาของเรา อาตมามีความรู้สึกที่จะปรับทุกข์หรือว่าพูดจาปราศรัยกันก็อย่างนี้ อย่างที่ว่ามาแล้วนี้ คือเรื่องอาชีพปูชนียบุคคล อาชีพอย่างอื่นก็มีกันอยู่แล้ว เขาก็สอนกันมากจนมีโรงเรียนอาชีวะเหลือประมาณ แต่อาชีวปูชนียบุคคลไม่เห็นสอนกันเสียเลย ช่วยกันสนใจ เปิดโรงเรียนอาชีวปูชนียบุคคลกันให้ถูกต้อง ถ้ากระทรวงศึกษาธิการยังตามหลังการศึกษาหมาหางด้วน แล้วก็ยังไม่มีหวัง ควรจะเป็นอิสระแก่ตัวเอง เปิดโรงเรียนอาชีวปูชนียบุคคลกันเถิด
การปราศรัยนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว อาตมาขอยุติ ด้วยความหวังว่า ที่พูดไปนี้จะมีผู้เอาไปคิดนึกพิจารณาดู ถ้าเห็นด้วยแล้วก็ช่วยกันทำตาม ขอให้ประเทศชาติดีขึ้น ให้โลกนี้มันดีขึ้น ให้มนุษย์เป็นมนุษย์ถึงที่สุดได้โดยเป็นอริยบุคคล ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้
จะกลับวันนี้ตอนไหน ออกจากนี่ตอนไหน ก่อนเที่ยง ก่อนเที่ยงก็ยังมีเวลาบ้าง จะไปดูอะไรหรือศึกษาอะไร ไปดูสัญลักษณ์ของนิพพาน สระนาฬิเกร์ ดับไฟต้องดับที่ไฟ เดี๋ยวนี้ปัญหาในโลกมีมาก ต้องดับที่ปัญหา เอาความทุกข์ไว้ที่บ้าน เอาการดับไว้ที่วัด ที่แล้วๆมามันเป็นอย่างนั้น ความทุกข์อยู่ที่บ้าน แล้วมาหาการดับกันที่วัด ไม่เจอะกัน ไม่พบกัน ตรงไหนมีความทุกข์ต้องดับความทุกข์ที่ตรงนั้น ตรงไหนมีไฟ ก็ดับลงไปที่ไฟ แล้วความดับไฟ ก็จะปรากฎออกมา ไอ้ภาพ สระนาฬิเกร์มีความหมายอย่างนี้ น้ำในสระคือวัฏสงสารหรือกองทุกข์ พระนิพพานก็โผล่ขึ้นมาท่ามกลางวัฏสงสาร แต่มิใช่วัฏสงสาร มันเป็นความดับแห่งวัฏสงสาร ดับความทุกข์ที่ความทุกข์