แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์และที่สนใจที่จะเป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ขอให้ถือว่าการบรรยายนี้เป็นการบรรยายพิเศษนอกชุดก็ได้ คืออาตมาขอโอกาสพูดตามใจชอบ ตามที่จะนึกได้ สำหรับเรื่องที่ควรจะเอามาพูดกันในระหว่างผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นครู คิดว่าแอบพูดกันโดยไม่ให้ลูกศิษย์ได้ยินก็ได้ เพราะมีอะไรบางอย่างที่จะต้องพูดกันตรงๆ เกินไปก็ได้ และสิ่งที่จะพูดนั่นให้ชื่อว่า ค่าของครู นี่เป็นหัวข้อที่จะพูด ค่าของความเป็นครูก็ได้ เรียกสั้นๆว่า ค่าของครู เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยจะได้พบเห็นค่าของครูเต็มตามความหมายของคำๆนี้ แต่ถ้าว่าโดยที่จริงแล้วปัญหามันเกิดจากคำที่ใช้พูดนี้อยู่ส่วนหนึ่ง ก็คือคำว่า ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ สองสามคำนี้เองที่เราใช้กันอยู่ในเวลานี้ ไอ้ความหมายมันเปลี่ยนไปไม่น้อยทีเดียว แล้วเราจะต้องนึกถึงไอ้ความหมายของคำเหล่านี้ ในสมัยที่มันเกิดขึ้นในโลกมันเหลือปรากฏอยู่ในวรรณคดีหลายเรื่องที่เกี่ยวกับคำเหล่านี้ ถ้าถือเอาตามภาษาอินเดียเป็นหลักก็จะมีใจความพอที่จะสังเกตเห็นได้ว่า คำว่า อาจารย์ นั้นก็คือ คนฝึก ผู้ฝึก เหมือนกับสารถีฝึกสัตว์ คำว่า อุปัชฌาย์ นั้นกลายเป็นผู้สอนวิชาชีพ คำนี้แปลว่า ผู้ที่ลูกศิษย์จะต้องคอยตามดูอยู่เรื่อย ส่วนคำว่า ครู นั้นแปลว่า ผู้เป็นที่พึ่งหรือเป็นผู้นำในทางจิต ทางวิญญาณ เราเคยพูดกันว่าผู้นำในทางวิญญาณเรียกว่าครู คือมันเป็นเรื่องในทางละเอียดลึกลงไปถึงทางวิญญาณ อาจารย์เป็นผู้ฝึกในทางภายนอก อุปัชฌาย์สอนวิชาชีพ บางทีจะสงสัยว่าอุปัชฌาย์บวชพระนี่สอนอาชีพอะไรกัน มันก็ต้องสันนิษฐานว่าอาชีพนั้นคืออาชีพพระ อาชีพปูชนียบุคคล อาชีพทั่วๆไปอย่างที่เดี๋ยวนี้เรียกว่า วิชาชีพ นี่ผู้สอนเขาก็เรียกว่า อุปัชฌายะ ด้วยเหมือนกัน ในวรรณคดีสันสกฤต เช่น หนังสือปรียทรรศิกา มีคำว่าอุปัชฌายะใช้กับอาจารย์ที่สอนดีดพิณอย่างนี้เป็นต้น ดังนั้นเราถือเอาใจความได้ตามเรื่องเก่าๆ เหล่านั้นว่ามันไม่เหมือนกัน อาจารย์นี่ผู้ฝึกทางกาย ทางวาจา ฝึกมันยาก ฝึกอะไรต่างๆ เหมือนกับฝึกสัตว์ อุปัชฌาย์นั้นสอนอาชีพ ส่วนครูนั่นเป็นผู้นำทางวิญญาณ เป็นเรื่องที่เหนือขึ้นไปอีก เหนือจากทางวัตถุ มีผู้ยืนยันว่ารากศัพท์ของคำว่าครูในภาษาเก่าแก่ในอินเดียนั้น เขาแปลว่า ผู้เปิดประตู ความหมายก็อย่างเดียวกันนั่นแหละ ประตูหมายถึงประตูคอกขังสัตว์ให้อยู่ในความมืดและความทุกข์ ดังนั้นครูเป็นผู้เปิดประตูให้สัตว์เหล่านั้นออกมาเสียจากคอกแห่งความมืดหรือความทุกข์ เป็นเรื่องทางวิญญาณ อุปัชฌาย์ อาจารย์เสียอีกกลายเป็นเรื่องฝ่ายเนื้อหนัง ฝ่ายวัตถุ ปทานุกรมธรรมดาก็ให้คำแปลของคำว่า คุรุ ไว้ว่า spiritual guide คือเป็นมัคคุเทศก์ในทางวิญญาณ เป็นที่ปรึกษาของผู้มีอำนาจ เป็นพระราชา มหากษัตริย์ก็มี มีคำอื่นๆ ใช้เรียกเช่นคำว่า ปุโรหิต เป็นต้น ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางฝ่ายวิญญาณ แต่เดี๋ยวนี้ความหมายอาจจะแพร่เลยไปถึงทางฝ่ายวัตถุด้วยก็ได้ เอาละเป็นอันว่าอาตมานั้นถือว่า ครู คือผู้นำทางวิญญาณ ผู้ต้องสอนเรื่องทางวิญญาณ มีความหมายไปทางคำว่าศาสดา แปลว่า ผู้ให้ศาสตร์ ศาสตระคืออาวุธที่จะตัดปัญหาทางจิต ทางวิญญาณ ถ้าจะเอามาใช้ทางวัตถุธรรมดาก็ได้เหมือนกัน มนุษย์ก็มีปัญหาทางร่างกาย ทางเป็นอยู่ ศาสตร์นี่ก็เป็นของที่จะตัดปัญหาเหล่านั้น ศาสดาก็แปลกันง่ายๆ ว่าผู้สอน แทนที่จะแปลว่าผู้ให้ศาสตรา สำหรับจะตัดปัญหา โดยเนื้อแท้แล้วมันมุ่งหมายอย่างนั้น พระพุทธเจ้าได้รับสมมติเรียกว่าเป็นพระบรมศาสดา คือเป็นยอดสุดของผู้ให้ศาสตรา คือผู้สั่งสอน ก็จะเรียกกันง่ายๆ ว่า บรมครู เมื่อเราเล็งเห็นเมื่อเราเล็งถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นบรมครู ก็คือผู้เปิดประตูทางวิญญาณอย่างสูงสุด แสดงธรรมะเป็นแสงสว่าง คนเปิดประตูทางจิต ทางวิญญาณของตนเอง อย่างที่เรากำลังศึกษาพุทธศาสนา มีบทมนต์สำหรับมาสวด มาศึกษา มาพิจารณา เหมือนอย่างบทสวดมนต์ที่ได้สวดกันไปแล้วเมื่อสักครู่นี้ ดูใจความเถอะว่ามันเป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องแสดง มันเป็นคำที่แสดงเรื่องลึกซึ้ง ละเอียด สุขุมในด้านจิตใจ นี่คือธรรมะที่เป็นประตู ที่จะเป็นเครื่องเปิดประตู ซึ่งควรจะได้พูดกันต่อไป สรุปความว่าไอ้ค่าของครูนั่นมันสูงสุดนะ จะยิ่งไปกว่าอุปัชฌาย์ อาจารย์ ทีนี้ในภาษาไทยเรายืมคำๆ นี้เอามาใช้โดยไม่ต้องแปล แล้วความหมายมันก็เกิดขึ้นตามที่เราเอามาใช้แปลกออกไป ลดลงไปถึงกับว่าสอนหนังสือ สอน กอ ขอ กอ กา ก็เรียกว่าครู นี่มันก็ได้เหมือนกันนะ เราสงเคราะห์การรู้หนังสือว่าเป็นเรื่องสว่างไสวในทางวิญญาณ แต่ว่าไม่ถึงขนาดความมุ่งหมายเดิม คือไม่ได้สอนให้รู้จักเดินให้ถูกทาง จนจิตวิญญาณนี้มันออกไปเสียจากปัญหาต่างๆ ได้ ดังนั้นค่าของครูก็คือผู้ที่ช่วยให้โลกมันเดินถูกทางตามที่มันควรจะเป็นไปที่สุด มากที่สุดที่มันจะเป็นไปได้ ครูกับโลกนี่มันต้องเนื่องกัน เพราะว่าครูเป็นผู้จุดคบเพลิง ถือให้เป็นเครื่องส่องสว่างให้แก่โลก ให้โลกมันเดินไปอย่างถูกทาง ปัญหาเกี่ยวกับครูในโลกจึงเกิดขึ้นบ้าง เพราะโลกมันเปลี่ยนแปลง เช่นว่าโลกนี้มันไม่ต้องการจะเดินไปตามทางที่มีอยู่ สำหรับครูจะจูงให้เดินมันก็ไม่เดิน แล้วมันก็แยกทางกันเดิน คือเดินไปในทางที่ไม่ควรจะเดิน ทีนี้ครูบางคนก็เกิดล้มละลาย มาสมัครเดินอย่างชาวบ้านทั้งหลาย ไม่ทำตนเป็นผู้นำในทางวิญญาณ กลายมาสมทบเข้าไปในหมู่ชาวบ้านที่เดินไปตามอำนาจของกิเลส เดินอย่างหลับหูหลับตา เข้าไปหากองทุกข์ นี่ครูมันถอดตัวเองออกมาเสียจากความเป็นครูในลักษณะอย่างนี้ ดังนั้นปัญหามันก็เกิดขึ้นเกี่ยวกับค่าของครู ซึ่งอาตมาอยากจะเอามาพูดกันในเดี๋ยวนี้
โลกนี้กำลังเป็นโลกที่นิยมวัตถุ สมาชิกทุกคนในโลกบูชารสอร่อยทางวัตถุ ที่ยิ่งกว่ายาเสพติดธรรมดาสามัญเสียอีก เรื่องเฮโรอีนเรื่องอะไรที่ถือกันว่าร้ายๆ นักนี่ไม่ร้ายแรงเท่ากับไอ้ความอร่อยของวัตถุ องค์การโลกตั้งหน้าตั้งตาปราบยาเสพติด เช่น เฮโรอีน เป็นต้น โดยหลับหูหลับตาว่าไอ้สิ่งที่มันร้ายกว่านั้นน่ะมันมีอยู่ คือความหลงใหลในความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง วิญญาณที่ต่ำทรามนั่นเป็นเหตุให้ไปบูชายาเสพติดทางวัตถุ ถ้าวิญญาณอย่าไปหลงในยาเสพติดทางวิญญาณนั่น มันก็ไม่มีปัญหาเรื่องยาเสพติดทางวัตถุ ยาเสพติดที่กำลังเป็นปัญหาเวลานี้มันเป็นเรื่องทางวัตถุ มีความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ แต่แล้วมันก็เข้าไปสร้างไอ้ความเอร็ดอร่อยทางวิญญาณ คือความเอร็ดอร่อยอย่างกิเลส อย่างอวิชชา ก็เรียกว่ามันเป็นความอร่อยของวัตถุด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเขาไม่มุ่งไปยังต้นตอที่ว่ามนุษย์มันติดยาเสพติดทางจิตทางวิญญาณ ไม่จัดการที่นั่น ไม่แก้ไขที่นั่น มันก็เลยแก้ไม่ได้สำหรับไอ้ยาเสพติดทางวัตถุ ได้ยินว่ายิ่งแก้ยิ่งมาก ยาเสพติดกำลังเพิ่มมากขึ้นในโลก ไปแก้อะไรกัน เขาพูดกันลมๆ แล้งๆ ว่าจะปราบยาเสพติดในโลก ยิ่งปราบยิ่งมาก ทำไมมันเป็นอย่างนั้น เพราะว่าไม่มองเห็นไอ้ต้นตอที่ทำให้คนไปติดยาเสพติด มีคนพูดที่น่าฟังว่าทำให้คนเลิกเฮโรอีนได้กลับออกไปอยู่บ้านไม่กี่วันมันก็สูบอีก เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นความเอร็ดอร่อยทางวิญญาณเข้ามาแทนที่ เขามีความเห็นว่าคนที่เลิกเฮโรอีนได้รีบไปฝึกสมาธิ ให้ได้รสของสมาธิ ความเป็นสุขที่เกิดจากจิตที่เป็นสมาธิ และให้คนที่เลิกเฮโรอีนใหม่ๆ นั่นน่ะพอใจ สบาย หลงใหลอยู่ด้วยรสของสมาธิ แล้วเขาก็จะไม่ย้อนกลับไปเสพเฮโรอีนอีก นี่เราไม่ค่อยได้คิดกัน มันก็เลยเหมือนกับว่าจับปูใส่กระด้ง จับตัวมันให้เลิกเฮโรอีนได้ ปล่อยกลับไปบ้านมันก็เสพอีก ก็กลับมารักษากันอีก ปล่อยไปบ้านมันก็ติดอีก เพราะว่าไอ้การเสพติดนี่มันเป็นเรื่องลึกอยู่ในทางจิต ทางวิญญาณ ถ้าไม่ถอนไอ้ความเสพติดทางวิญญาณได้ ไอ้การเสพติดทางวัตถุมันก็เลิกไม่ได้ ดังนั้นครูจะต้องทำหน้าที่มากกว่าที่จะสอนให้เลิกไอ้ความชั่วร้ายในทางวัตถุ ค่าของครูก็จะเต็มตามความหมาย แปลว่าจะเป็นครูที่ถึงอุดมคติของครู หรือค่าของครูกันได้จริงๆ เดี๋ยวนี้อุดมคติของครูมันยังไม่ถึงขนาด มันยังไม่ขึ้นไปถึงขนาด มันยังเหมือนกับชนกรรมาชีพก็ว่าได้ ขายแรงงานเพื่อสอนหนังสือ หาเลี้ยงชีวิตไปวันหนึ่งๆ ด้วยการสอนหนังสือ ซึ่งครูนั้นเองก็ไม่รู้ว่าวิญญาณมันจะสูงไปในทางไหน สอนหนังสืออย่างเครื่องจักรก็ได้ สอนให้ครบชั่วโมงแล้วก็ได้เงินเดือน แล้วก็ไปใช้จ่ายอย่างคนธรรมดาสามัญทั่วไป ก็เหมือนกับกรรมกรสอนหนังสือ อย่างนี้มันยังไม่ถึงค่าของความเป็นครู ไม่ถึงอุดมคติของความเป็นครู อยากจะขอให้พิจารณาดูว่าเราจะดึงเอาค่าของความเป็นครูมาสู่ครูคือเรานี่กันหรือยัง เป็นครูกันเดี๋ยวนี้ เรียกได้ว่ามีอยู่ ๒ แบบ แบบ ๑ คือสติปัญญาน้อย ไม่อาจจะเรียนวิชาชีพอย่างอื่นก็มาเป็นครูกัน คล้ายกับว่าวิชาจำเป็น อาชีพจำเป็น ทำอย่างอื่นไม่ได้ก็มาเรียนเป็นครูกัน เรียกว่าครูจำเป็น จนเกิดเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีว่า หากเข้าไหนไม่ได้ก็มาเข้าครู ครูชนิดนี้ก็มีอยู่มาก ก็ไม่ได้รับคำสั่งสอนให้เป็นครูตามอุดมคติ ทีนี้ครูอีกพวกหนึ่งเรียกว่ามีสติปัญญามากพอที่จะไปเรียนวิชาสาขาอื่นก็ได้ ไม่มีความจำเป็นบังคับ แต่เขาก็ยังอยากจะเป็นครู ก็มาเรียนเป็นครู อย่างนี้ก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เป็นครูด้วยความเหมาะสม ด้วยความสมัครใจ แต่แล้วก็ยังไม่ได้ทำหน้าที่ของความเป็นครูที่แท้จริง คือเปิดประตูในทางวิญญาณอยู่นั่นเอง ก็เรียกว่าครูที่จำเป็นหรือครูที่ไม่จำเป็นทั้ง ๒ พวกนี้ก็ยังไม่ได้เปิดประตูทางวิญญาณ อาตมาจึงขอร้องว่า ให้ช่วยพิจารณากันใหม่ถึงค่าของครู แล้วเลื่อนฐานะความเป็นครูให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จนถึงระดับเรียกว่าระดับสูงของความเป็นครูให้จงได้ แม้ว่าเดี๋ยวนี้เราเป็นครูจำเป็น เข้ามาเป็นครูโดยความจำเป็น เพราะเราไปทำไปหาอาชีพอื่นไม่ได้ก็ดี หรือว่าเราเป็นครูโดยความเหมาะสม แต่ยังไม่สามารถเปิดประตูทางวิญญาณก็ดี มันเลื่อนชั้นกันเสียที ให้ถึงระดับที่เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ มันยังทำได้ ไม่ได้ทำไม่ได้ เหมือนกับพระบวชกันนี่ บวชอย่างงมงายกันทั้งนั้นแหละ เอ้า, พูดอย่างนี้ดีกว่า บวชอย่างงมงายเข้ามาตามขนบธรรมเนียมประเพณีว่าคนหนุ่มต้องบวช อาตมาก็เหมือนกันแหละ บวชเข้ามาอย่างโง่ๆ งมงาย มาบวชพอเป็นพระนี่แล้วมันถึงค่อยกลายมาทีหลัง มาศึกษารู้ธรรมะในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงเกิดความสมัครใจที่จะเรียนให้ดี ปฏิบัติให้ดี สอนให้ดี เผยแผ่ศาสนาให้ดี อันนี้มันเพิ่งเกิดมาทีหลัง แล้วมันก็พิสูจน์อยู่ในตัวแล้วว่ามันเปลี่ยนได้ นี่มันเปลี่ยนไป แม้ว่าจะบวชเข้ามาอย่างงมงาย แต่เมื่อพยายามปฏิบัติให้ดี มันก็เปลี่ยนได้ มันก็กลายเป็นพระภิกษุตามมาตรฐานของพระพุทธเจ้าได้ อย่าไปถือเสียว่าถ้าหลงงมงายมาแล้วมันจะเปลี่ยนไม่ได้ ทุกอย่างมันเปลี่ยนได้ มันมีความไม่เที่ยง เป็นเครื่องทำให้เปลี่ยนได้ ดังนั้นครูก็เหมือนกันน่ะ แม้จะเป็นครูเข้ามาในลักษณะอาชีพบังคับ ก็ยังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนได้ ให้มันเป็นครูอุดมคติตามความหมายของคำๆ นี้ ให้ถึงค่าของความเป็นครูที่เต็มเปี่ยม
เอ้า, ทีนี้ก็จะพูดต่อไปถึงไอ้อุดมคติของครู ได้พูดมาแล้วข้างต้นว่าคำว่า ครู ตามความหมายดั้งเดิมนู้นคือ ผู้เปิดประตูทางวิญญาณของหมู่สัตว์ มันก็เป็นเรื่องของศาสนาอีกนั่นแหละที่จะเกิดไอ้คำๆ นี้ขึ้นมา เพราะก่อนมีแต่อาจารย์สอนอาชีพ อาจารย์ฝึกมรรยาท ฝึกนิสัย ฝึกอะไรก็ได้ แต่นี่มันมีคนที่เห็นว่ามันไม่พอสำหรับความเป็นมนุษย์ที่น่าพอใจ ไอ้คนเหล่านี้มันออกไปค้นคว้า มันก็คงจะในป่าอีกนั่นแหละ มันก็ออกไปอยู่ป่าค้นคว้าเรื่องทางจิตใจที่อาจจะดับไอ้ความทุกข์ทนของสัตว์ในโลก ก็เลยรู้เรื่องทางจิตใจ แล้วก็มาสอนคนให้รู้เรื่องทางจิตใจ นี่คือครูผู้เปิดประตูทางวิญญาณก็ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ยุคไหน เมื่อไหร่ ตรงไหน มันบอกไม่ได้หรอก แต่ว่ามันก็ได้เกิดขึ้นในโลก แล้วก็เป็นผู้นำในทางวิญญาณเรื่อยๆ มา จนเดี๋ยวนี้เราถือเอาความหมายของคำว่าครูนี่ว่าเป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่คนธรรมดา ว่าครูนี่ไม่ใช่คนธรรมดา ครูเป็นผู้นำทางวิญญาณ ซึ่งมีค่ามาก ตีค่าไม่ไหว ตีไม่ไหวกันเลย ยกให้เป็นบุคคลพวกหนึ่งพิเศษ เป็นปูชนียบุคคลไป อาตมาคิดว่าเราควรจะถือเป็นหลักว่าถ้าไอ้คนใดคนหนึ่งมันทำประโยชน์เกินค่า เกินค่าของไอ้สิ่งที่เขาให้เป็นการตอบแทนแล้วก็จะเรียกเป็นปูชนียบุคคลได้ อาชีพปูชนียบุคคลนี่ควรจะเปิดกว้างออกไป เช่น อาชีพครูบาอาจารย์นี่เป็นข้อแรก แล้วก็อาชีพอย่างผู้พิพากษา ตุลาการ อาชีพคุ้มครองความสุขสวัสดีของประชาชน อะไรทำนองนี้ซึ่งรวมความว่า เขาทำให้เกิดคุณค่ามากกว่าเงินเดือนที่ได้รับ อย่างที่จะเปรียบกันไม่ได้ เช่นเขามีเงินเดือนสักเดือนละสี่ห้าพันอย่างนี้ แต่ประโยชน์ที่ทำให้แก่มนุษย์นั้นมันมาก ความปลอดภัยของมนุษย์ ความยุติธรรมของมนุษย์ ความสงบสุขของมนุษย์ บุคคลเหล่านี้เป็นปูชนียบุคคลได้ แต่มีครูนี่เป็นผู้นำ นำหน้าอาชีพปูชนียบุคคล เพราะว่าถ่ายทอดมาจากอาชีพของภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบรมครู มันจะเข้าใจได้ง่ายถ้าเรามองไปยังพระพุทธเจ้าและสาวกของท่าน คือทำประโยชน์แก่สัตว์โลกอย่างใหญ่หลวง แล้วก็รับสิ่งตอบแทนด้วยปัจจัย ๔ เล็กๆ น้อยๆ พอดำรงชีวิตอยู่ได้ นั่นน่ะมันจึงเกิดความเป็นปูชนียบุคคลขึ้นมาในพวกครู แล้วก็ถ่ายทอดมาถึงวิชาหนังสือหนังหาอะไรก็เรียกว่าครูเป็นปูชนียบุคคล ยกขึ้นไว้เหนือศีรษะของคนทุกคน เป็นผู้ที่ทุกคนจะต้องเคารพ รับเอาไว้บนศีรษะ แม้ว่ามันจะหนักบ้างก็ยินดี ความเป็นปูชนียบุคคลมันก็เกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีใครแต่งตั้ง ไอ้ธรรมชาติไอ้ความเป็นธรรมมันแต่งตั้งเอง ถ้าเรายอมรับอย่างถูกต้องมันก็มีประโยชน์ ถ้าเราปฏิเสธอย่างโง่เขลามันก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมาในโลก ในสังคม ดังนั้นควรจะไปพูดจาให้เข้าใจกันเสียให้ยอมรับในความเป็นปูชนียบุคคล ของบุคคลประเภทที่เป็นปูชนียบุคคล นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา จนถึงบุคคลที่เสียสละอย่างยิ่งเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น นี่เป็นสิ่งที่ต้องคิดทีแรก
ทีนี้เราอยากจะพูดอีกคำหนึ่งว่า เป็นผู้สร้างโลก ให้มันมองเห็นง่ายๆ ขึ้นมาอีกใกล้ๆ ตัวว่า ครูที่เป็นผู้นำทางวิญญาณ เป็นผู้เปิดประตู เป็นปูชนียบุคคลอะไรก็ตามเถอะ แต่ที่เป็นข้อเท็จจริงที่จะมองเห็นได้ไม่ยากก็คือเป็นผู้สร้างโลกว่า โลกนี้มันจะเป็นอย่างไร แล้วแต่ครูสร้างคนขึ้นมาอย่างไร ครูสอนเด็ก ครูอบรมเด็ก เด็กก็เป็นคนขึ้นมาเต็มไปทั้งโลก ดังนั้นโลกมันก็ต้องเป็นไปตามไอ้คนที่มีอยู่ในโลก ดังนั้นควรจะมองให้ลึกลงไปถึงว่าเด็กด้วย ว่าเด็กนั่นน่ะเป็นผู้สร้างโลก หรือเป็นวัตถุปัจจัยสำหรับจะสร้างโลก ซึ่งอยู่ในกำมือของครู พูดกันแต่เพียงว่าเด็กเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า ไม่มีความหมายอะไรหรอกไปตามพูด พูดว่าเด็กน่ะคือผู้สร้างโลกในวันหน้า แต่ต้องเนื่องอยู่กับครูที่จะสร้างเด็กขึ้นมาอย่างไร ดังนั้นขอให้ครูทั้งหลายรู้จักความเป็นปูชนียบุคคลของตนว่า เราสร้างเด็กในลักษณะที่เป็นการสร้างโลก ดังนั้นเด็กต้องสามารถสร้างโลกที่ดีในอนาคต แต่มันขึ้นอยู่กับครูที่ว่าจะสร้างเด็กนั้นขึ้นมาอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่เห็นได้ที่ภาษาธรรมะเรียกว่าสันทิฏฐิโกทีเดียว ไอ้ความที่เด็กเป็นผู้สร้างโลกนี่เป็นสันทิฏฐิโก คือเป็นสิ่งที่เห็นได้ถ้าเราจะมองดู แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่อยากจะมองนี่ แล้วก็ไม่อยากจะรับภาระหน้าที่ให้มันดี ให้มันสูงขึ้นไป ไอ้ครูพวกที่เห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแต่ความเอร็ดอร่อย สนุกสนานทางเนื้อทางหนังนี่เขาสั่นหัว เขาจะเป็นผู้สร้างโลกนี่มันดีเกินไป มันมากเกินไป ถ้าเราไปรับถืออุดมคติอันนั้นแล้วเราก็สูญเสียไอ้ความสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง นี่คือมันไม่เป็นครู มันไม่มีความเป็นครูโดยอุดมคติหรือโดยทางจิตทางวิญญาณ ขอให้ผู้ที่ตั้งใจจะเป็นครูช่วยกันระวังสังวรณ์รักษาไว้ให้ดี อย่าให้จิตใจของเรามันกลายเป็นอย่างนั้นไปเสีย คือแทนที่จะเป็นผู้เปิดประตูคอกให้สัตว์ออกมา มันก็กลายเป็นสัตว์ที่จะสมัครเข้าไปอยู่ในคอกเสียเอง นี่คือจุดบอดของความเป็นครู จุดบอดของอุดมคติของครู แทนที่จะเปิดประตูให้สัตว์ออกมาจากคอก มันก็สมัครที่จะเป็นสัตว์ที่เข้าไปอยู่ในคอกเสียเอง อาตมาบอกแล้วว่ามันนึกอะไรไม่ออกที่จะพูดให้ไพเราะ ให้ประณีตอะไร พูดได้ตรงๆ อย่างนี้ มันก็พูดตรงๆ อย่างนี้ ใครจะโกรธก็ยินดี มันพูดอย่างอื่นไม่เป็น มันพูดได้แต่อย่างนี้ แล้วก็ขอโอกาสแล้วว่าขอพูดตรงๆ อย่างอิสระ จึงพูดอย่างนี้ ครูสมัครเข้าไปในคอกในเล้าเสียเอง ไปบูชาการเป็นอยู่อย่างตามใจกิเลส แต่งตัวสวยๆ กินอาหารดีๆ มีเครื่องบำรุงบำเรอเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป แล้วจะเป็นครูได้อย่างไร เงินเดือนก็ไม่พอใช้ เหมือนกับคนที่ทำผิดในเรื่องการครองชีวิตด้วยเหมือนกัน เห็นรสของยาเสพติด เช่นกามารมณ์ เป็นต้น ว่าเป็นของสูงสุด มันก็ต้องบูชากามารมณ์ ก็ต้องบูชาปัจจัยแห่งกามารมณ์ เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์เอาไปซื้อหาปัจจัยแห่งกามารมณ์ แม้ไม่ซื้อหาเดี๋ยวนี้ ก็จะต้องซื้อหาข้างหน้า เพราะว่าเรายังได้ยินข่าวว่าครูขายใบสุทธิปลอม อย่างนี้เป็นต้น แล้วมีครูที่ประกอบอาชญากรรมเหมือนกับชาวบ้านทั้งหลาย นี่เขาไม่มองเห็นค่าของความเป็นครู ไม่เห็นอุดมคติของความเป็นครู เอาไอ้ค่าของความเป็นครูไปเป็นเครื่องมือหาเงิน หาประโยชน์โดยทุจริต ก็เลยไม่ยินดีที่จะศึกษาวิธีเปิดประตู เช่นมีการอบรมศีลธรรมให้แก่ครูหรือสอนศีลธรรมให้แก่ศิษย์นี่ มันก็เหมือนกับสอนวิธีเปิดประตูคอก ครูบางคนไม่ยอมรับการอบรมสั่งสอนอย่างนี้ กระฟัดกระเฟียด ถูกเกณฑ์ให้มานั่งฟังก็นั่งฟังอย่างกระฟัดกระเฟียด แล้วสร้างสถานการณ์ให้มันล้มละลาย ไม่ต้องบรรยาย ทำหนวกหูขึ้นมาก็มี คือไม่ให้การบรรยายนั้นมันเป็นไปได้ เพราะเขารู้สึกว่าอบรมวิชาศีลธรรมนี้ไม่ได้ทำให้เงินเดือนขึ้น ไม่ได้ทำให้เลื่อนชั้นเงินเดือน แล้วผู้บรรยายก็บอกว่าได้บุญ ก็ถือว่าเป็นเรื่องหลอกกันนี่ หลอกให้เราสนใจเรื่องศีลธรรมว่ามันเป็นเรื่องได้บุญ ครูถือว่าบุญจากความเป็นครูนั้นไม่มีความหมาย นี่เป็นมารร้ายฆ่าและทำลายอุดมคติของครู ไอ้ความเป็นทาสของวัตถุนั่นแหละมันเป็นมารร้าย ฆ่าปูชนียบุคคลทั่วไปในโลกทุกชนิด หมายความว่าผู้ที่ตั้งใจทำดีมีประโยชน์สูงสุดเกินกว่าค่าของเงินนั่นน่ะถูกฆ่าหมดโดยรสอร่อยของวัตถุ ที่เราจะเรียกว่าวัตถุนิยม พอรู้สึกว่าบุญก็ดี อุดมคติอะไรก็ดี มันไม่มีรสอร่อยเหมือนกับรสอร่อยทางวัตถุ เขาก็เลยบูชารสอร่อยทางวัตถุ บูชาปัจจัยเพื่อความอร่อยทางวัตถุ ดังนั้นจึงมาบูชาเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยให้ได้มาซึ่งความอร่อยทางวัตถุ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละไม่ใช่เฉพาะแต่พวกครู พวกชาวโลกทั่วไปก็บูชาวัตถุนิยม บูชาปัจจัยแห่งความอร่อยทางวัตถุ เรียกว่าบูชาประโยชน์กันทั้งโลก พระเจ้าก็ตายหมด ศาสนาก็ตายหมด ธรรมะก็หายไปหมด เพราะว่าคนเขาไม่บูชา คนเขาบูชาประโยชน์ทุกชาติทุกกลุ่มของชาติในโลกนี้ สังคมนิยมก็ดี คอมมิวนิสต์ก็ดี นายทุนก็ดี เสรีประชาธิปไตยก็ดี ล้วนแต่บูชาประโยชน์ทั้งนั้นแหละ ไม่บูชาพระเจ้า ไม่บูชาศาสนา ไม่บูชาพระธรรม เขาบูชาประโยชน์ คนในโลกเป็นเสียอย่างนี้ คือมันอยู่ในคอกของอวิชชา คอกของกิเลส คอกของความทุกข์ ทีนี้ครูเราแทนที่จะทำหน้าที่ผู้เปิดประตูคอก มันกลายเป็นมุดเข้าไปอยู่ในคอกเสียเอง มันจะเป็นอย่างไรลองคิดดู นี่เป็นความล้มเหลวของความพยายามในโลกที่จะสร้างสันติภาพกันขึ้นมา เมื่อไปติดอยู่ภายใต้อำนาจของวัตถุแล้ว มันก็คือพังทลายของมนุษย์ ที่จะเรียกว่าเป็นสัตว์ผู้มีจิตใจสูงมันเป็นไปไม่ได้ จิตใจมันต่ำเสียแล้ว ดังนั้นต้องเอาชนะให้ได้ ครูจะต้องช่วยเป็นผู้นำ นำกองทัพธรรม คือเอาชนะปัญหาเหล่านี้ให้ได้คือดึงเอาไอ้มนุษย์ออกมาจากคอกของอวิชชา ของสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่มนุษย์ออกมาเสีย เป็นอิสระ มีแสงสว่าง มีการกระทำที่ดับทุกข์ ทีนี้เราดูกันตรงจุดที่ว่าคนเหล่านี้ สัตว์เหล่านี้ที่อัดอยู่ในคอก ในโลกอันกว้างขวางนี้ มันเป็นทาสของวัตถุ ไม่เป็นไทแก่ตัว ครูก็เข้าไปอยู่ในคอกนั้นเสียแล้ว ไม่เป็นไทแก่ตัว ก็ช่วยสัตว์โลกให้เป็นอิสระไม่ได้ มันเป็นทาสด้วยกัน มันเป็นสมัคร สมัครที่จะเป็นทาสอยู่ด้วยกัน ครูก็ชอบแต่งตัวสวยๆ กินอาหารดีๆ เล่นหัว มีเครื่องอุปกรณ์แห่งการเล่นหัว มีเวลาไม่พอที่จะเล่นหัว จนต้องเบียดบังเวลาสอนในโรงเรียนเอาไปใช้ เงินเดือนก็ไม่พอใช้ นี้เรียกว่าเป็นทาสของวัตถุ ไม่เป็นอิสระแก่ตัว ก็เลยทำอะไรไม่ได้ ทำหน้าที่ของครูตามอุดมคติไม่ได้
ทีนี้เราก็จะนึกถึงพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นบรมครู ท่านทำหน้าที่ไถ่ถอนทาส ทำให้หลุดจากความเป็นทาสในวัตถุ ความเป็นบรมครูของพระองค์ก็คือไถ่ถอนสัตว์ออกมาเสียจากความเป็นทาสของกิเลสตัณหา มาเป็นอิสระถึงที่สุดที่เราเรียกกันว่าวิมุติ ความหลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวง ที่พวกเราเป็นครู ไม่เป็นบรมครู แต่ก็เป็นครู เราควรจะทำอย่างเดียวกัน คือถอนตัวเองออกมาเสียจากความเป็นทาส แล้วก็ช่วยผู้อื่นให้หลุดจากความเป็นทาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลุดมาจากอวิชชา ความโง่ ความหลง อยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหานี้ออกมาเสียให้ได้ มันจะได้พ้นจากความเป็นทาส มันทำได้อย่างที่ว่ามาแล้วข้างต้นว่า แม้เราจะเข้ามาเป็นครูอย่างหวังค่าจ้างหรือว่ายอมเป็นทาสทีแรก ยอมเป็นทาสเงิน ทาสประโยชน์ที่จะหาความสุขทางวัตถุ เดี๋ยวนี้เราก็ลืมหูลืมตาแล้ว เรารู้สึกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร เราก็เปลี่ยนได้ เหมือนพระที่บวชอย่างงมงายตามประเพณี แล้วก็มากลายเป็นพระที่ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องในภายหลัง ครูทั้งหลายก็เหมือนกันแหละ แม้ว่าจะเข้ามาอย่างภาษายุวชนคนที่ยังเป็นเด็ก เป็นหนุ่มเป็นสาวอะไรขึ้นมา แต่แล้วเมื่อมาถึงจุดหนึ่งแล้วควรจะเข้าถึงอุดมคติของครู มาเป็นครูตามอุดมคติ ไม่ใช่เพื่อค่าจ้างที่จะเอาไปใช้แสวงหากามารมณ์ เป็นปัจจัยแห่งกามารมณ์ ดังนั้นจึงว่ามาเป็นไท มาเข้าสังกัดพระพุทธเจ้า เราสังกัดกระทรวง กินเงินเดือนของกระทรวง ก็ไม่เป็นไร แต่จิตใจของเราสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ทางกายสังกัดกระทรวง ทางจิตสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า นี่จะเป็นครูอุดมคติได้ แต่ไม่ชอบเพราะว่าไม่มีโอกาสที่จะไปหัวหกก้นขวิดกับเรื่องทางเนื้อหนัง เขาไม่ชอบ ก็เลยเป็นไม่ได้ แต่ถ้าต้องการจะเป็นมันก็เป็นได้ โดยยอมเสียสละไอ้สิ่งหลอกลวงเหล่านั้นเสีย ดำรงตนให้เป็นครูที่แท้จริง เงินเดือนก็ยังคงได้ แต่มันไม่เป็นค่าจ้างแล้วเดี๋ยวนี้ ถ้าเราไปเป็นครูที่ขึ้นสังกัดอยู่ต่อพระพุทธเจ้า ทำหน้าที่ของครูอย่างสมบูรณ์ เงินเดือนจากกระทรวงจะไม่ใช่ค่าจ้างเหมือนที่แล้วๆ มา แต่กลายเป็นเครื่องสักการะบูชาแก่ความเป็นครู เราทำให้ไอ้ค่าจ้างเปลี่ยนเป็นเครื่องสักการะบูชา เราก็ไม่เป็นลูกจ้าง แล้วก็ไม่เป็นทาสของใคร เราเป็นอิสระเหมือนเครื่องจักรทำหน้าที่ช่วยโลก แล้วเขาให้อะไรมาก็มากลายเป็นเครื่องบูชาไป เป็นเครื่องบูชาคุณเหมือนกับดอกไม้ธูปเทียน เดี๋ยวนี้เราไม่ใช่ลูกจ้างของกระทรวง แต่เราเป็นคนของพระพุทธเจ้า เป็นคนของโลก รับใช้โลก คำว่าคนของโลกนี่เขามีคำพูดอยู่คำนะ แต่จะไม่ค่อยผ่านหู ในคำพูดของมนุษย์น่ะมันมีอยู่คำหนึ่ง คนของโลก man of world นี่คือรับใช้โลก เดี๋ยวนี้เรากลายเป็นคนของโลก รับใช้โลก เงินเดือนของกระทรวงเป็นเครื่องสักการะบูชา มันไม่ไปไหนเสียหรอก มันก็ตามมาเหมือนกับฝุ่นที่ติดเท้านั่นแหละ มันยังคงมี ไม่ใช่ว่าจะไม่มี หรือจะไม่มีอะไรกิน จะไม่มีเงินเดือนกิน มันก็คงมีแต่มันมีมาในรูปของเครื่องสักการะบูชา เพราะเราเป็นคนของโลก รับใช้มนุษย์ทั้งโลก เป็นปูชนียบุคคล เป็นสมุนของพระพุทธเจ้าไปแล้ว เราเป็นปูชนียบุคคลอยู่เหนือหัวเขา แต่เรารับใช้เขา ฟังมันยาก เราอยู่เหนือหัวเขา แต่เรารับใช้เขา ถ้าครูเป็นปูชนียบุคคลเหมือนพระอริยสาวก พระสงฆ์ทั้งหลาย มันอยู่เหนือหัวคน แต่มันมารับใช้คน คอยรับใช้คน คอยช่วยคนให้ออกมาจากไอ้ความทุกข์อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย นี่ฟังให้ดี มันเป็นภาษาที่ออกจะแปลก ที่ไม่เคยพูดกันในโรงเรียนก็ได้ เราเป็นปูชนียบุคคลแก่บุคคลที่เรารับใช้เขา ฟังมันฟังยาก ปูชนียบุคคลทำไมมารับใช้เขา เพราะการรับใช้เขาเราจึงกลายเป็นปูชนียบุคคล ดังนั้นขอให้ทุกคนนี่สมัคร ยอมสมัครเป็นผู้รับใช้คนในโลก เพื่อให้ทุกคนในโลกนี่มันเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องขึ้นมา เราคอยเฝ้าคุ้มครองเขา อย่างเป็นตำรวจ ยกตัวอย่าง อดตาหลับขับตานอน ทนลำบากเพื่อรับใช้ประชาชน แต่แล้วตำรวจนั้นจะเป็นปูชนียบุคคลของประชาชนนะ ถ้าพูดกันตามความยุติธรรม เขาอดตาหลับขับตานอนเพื่อความปลอดภัยของประชาชน ดังนั้นเขาจึงเป็นปูชนียบุคคลของประชาชนที่เขารับใช้นั่นเอง นี่หมายถึงตำรวจที่ดีนะที่สามารถพิทักษ์สันติราษฎร์ได้จริง ไอ้ตำรวจที่มามีข่าวหนังสือพิมพ์บ่อยๆ นั่นต้องยกเว้นนะ ไม่ใช่อยู่ในพวกนี้ ทีนี้ครูก็ควรจะเป็นตำรวจทางวิญญาณ ตำรวจฝ่ายวิญญาณ คอยจับขโมย คือกิเลสที่มันเข้าไปทำลายเด็กนั่น เด็กๆ ของเราจะถูกโจรผู้ร้ายคือกิเลสนี่เข้าไปทำลายจิต ทำลายวิญญาณ ให้วินาศไป ครูก็เป็นตำรวจช่วยจับขโมย ทำความปลอดภัยให้แก่เด็กๆ เหล่านั้น ก็เป็นสิ่งที่พูดได้ว่าเป็นครูที่แท้จริงในโลก เป็นปูชนียบุคคลในโลก เป็นผู้สร้างโลกได้ในที่สุด เพราะเราเป็นผู้ที่สร้างจิตสร้างวิญญาณของเด็กๆ ให้มันดี คือว่าให้มันถูกต้อง ให้กำจัดส่วนที่ไม่ดีออกไปเสีย คงไว้แต่ส่วนดี เป็นเด็กที่ดี เป็นผู้ใหญ่ที่ดี เป็นพลโลกที่ดี การสร้างโลกก็สำเร็จได้โดยน้ำมือของครูอย่างนี้
ทีนี้จะว่าจะดูว่าเครื่องมืออะไรที่จะช่วยครูในข้อนี้ ก็คือธรรมะนั่นเอง คือธรรมะนั่นเอง ธรรมะที่ไม่ค่อยมีใครสนใจนั่นเอง ธรรมะที่พวกครูทั้งหลายก็ยังไม่สนใจให้พอว่าคืออะไร ได้แต่เป็นเรื่องอะไรเรื่องหนึ่งที่เขาบอกให้จดๆ ไว้ในสมุดเท่านั้นแหละ พิมพ์เป็นหนังสือเล่มขึ้นให้อ่านให้เรียน มันเป็นธรรมะกระดาษ เป็นธรรมะอยู่ในสมุด อย่างนี้ไม่สำเร็จประโยชน์ ต้องเป็นธรรมะจริงๆ คือทำหน้าที่อย่างถูกต้อง อาตมาขอร้องอีกว่าอย่าเพิ่งรำคาญที่จะศึกษาคำว่าธรรมะไว้เป็นหลักพื้นฐาน ธรรมะคือสภาวะธรรมชาติ ตัวธรรมชาติทั้งหลายก็เรียกว่าธรรมะ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะ ความหมายนี้สำคัญมาก ภาษาอินเดียเขาเอาไอ้คำนี้เป็นคำแปลของคำว่าธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ของมนุษย์ที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วธรรมะคือผลที่เกิดขึ้นจากการทำหน้าที่ ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่ได้รับจากการทำหน้าที่ ถ้าจะดูข้างในตัวเรา เนื้อตัว ร่างกาย จิตใจของเรานี่คือธรรมชาติ แล้วมันมีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ ร่างกาย จิตใจจึงเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เช่น เจริญเติบโต แก่ เจ็บ ตาย หรือว่าทำอะไรขึ้นแล้วมันจะต้องมีผลขึ้นมาตรงตามกฎของธรรมชาติเสมอ ที่เนื้อหนัง ร่างกาย จิตใจของเราจะเคลื่อนไหวกระทำไป นั่นมันมีกฎของธรรมชาติควบคุมเราอยู่ทุกๆ อณูก็ว่าได้ แล้วเราก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มิเช่นนั้นเราจะต้องตาย เราจะกินอาหารให้ถูกต้อง บริหารกายให้ถูกต้อง ทำอะไรให้ถูกต้องเกี่ยวกับปัจจัย เครื่องอาศัยเลี้ยงชีวิต แล้วทำให้ถูกต้องยิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อเจริญงอกงาม บรรลุมรรคผลนิพพาน นี่หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติที่ไอ้ชีวิตร่างกายนี้มันจะต้องทำ แล้วผลมันก็เกิดขึ้น เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้างแก่ชีวิตทางกายนี้ตามที่เราทำผิดหรือทำถูก ธรรมะตีความหมายนี้ไม่ต้องไปดูไกลที่ไหน ให้ดูเข้ามาในตัวเราจะพบว่า โอ้, มีอยู่หมดครบทั้ง ๔ ความหมาย ประพฤติกระทำให้ถูกต้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งความหมายที่ ๓ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ถ้าว่าเรารู้ธรรมะแล้ว ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมะแล้ว ปัญหาจะไม่เกิดขึ้น พูดง่ายๆว่าครูจะมีเงินเดือนพอใช้หรือเหลือใช้ แม้พูดกันว่าครูมีเงินเดือนยังน้อยในเมื่อเทียบกันกับไอ้ราชการแขนงอื่นน่ะ แต่ถ้าเราเป็นครูโดยแท้จริงแล้วเงินเดือนน้อยนั่นแหละก็จะยังเหลือใช้ จะพอใช้หรือเหลือใช้ ขอให้ธรรมะเข้ามาเป็นหัวใจ เป็นวิญญาณ เป็นผู้ควบคุมครูทั้งหลายอยู่เถอะ แล้วครูทั้งหลายก็จะมีเงินเดือนพอใช้หรือเหลือใช้ ธรรมะก็คือความไม่ไปเป็นทาสของอบายมุข เดี๋ยวนี้ครูก็ยังไปเสพสิ่งเสพติด ซึ่งนับตั้งแต่บุหรี่เป็นต้นขึ้นไป นี่ไม่เป็นครูที่น่าดูเลย ถ้าครูยังสูบบุหรี่ให้เด็กเห็นนี่ นี่เป็นยาเสพติดมึนเมาตั้งแต่บุหรี่ขึ้นไปถึงเหล้า ครูกินเหล้า ครูชวนนักเรียนกินเหล้า ครูขอเหล้าจากนักเรียนกินอย่างนี้ ครูก็ยังเสพติดอะไรอยู่อีกมากมายหลายอย่างนี่ก็เรียกว่าอบายมุขที่ ๑ คือของเมา อบายมุขที่ ๒ เที่ยวกลางคืน ครูก็ยังชอบกันอยู่มาก แล้วก็ดูการเล่น เล่นชนิดที่ทำให้จิตทรามก็เอานะ ไอ้การเล่นที่เขาเรียกว่าเป็นข้าศึกแก่กุศลที่ห้ามไว้ในศีล คือการเล่นทุกชนิดที่ทำให้จิตทราม เดี๋ยวนี้มันแสดงออกมาได้ทางสื่อมวลชนมากเหลือเกิน ทางมหรสพบ้าง แม้ที่สุดแต่ไอ้จอวิทยุโทรทัศน์นั่นน่ะก็ระวังให้ดี มันเป็นที่ไหลออกมาแห่งสิ่งที่ทำให้จิตทราม ก็ดูการเล่นที่ทำให้จิตทราม ครูก็วินาศฉิบหายทางจิตทางวิญญาณหมดไม่มีอะไรเหลือ ทีนี้เล่นการพนัน ก็ดูว่าจะไม่ดีกว่าชาวบ้านอะไรนัก คงมีการพนันอย่างน้อยก็ลอตเตอรี่ เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป บางทียังมีการพนันมากกว่านั้น ได้ยินข่าว คบคนชั่วเป็นมิตรนี่อบายมุขที่ ๕ คือสุมกันอยู่แต่ผู้มีความคิดผิด เห็นผิด ประพฤติผิด กระทำผิด นี่ก็เป็นอบายมุข แล้วข้อสุดท้ายข้อที่ ๖ คือความเกียจคร้านทำการงาน เมื่อทำงานไม่สนุก มันก็ออกไปเที่ยวกินเหล้าเมายา สรวลเสเฮฮาสถานเริงรมย์นั้นสนุก อย่างนี้เป็นครูไม่ได้หรอก เพราะถ้าเป็นครูมีธรรมะ รู้ธรรมะแล้วสนุกเมื่อทำหน้าที่ ไอ้หน้าที่นี่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ช่วยท่องไว้ด้วยเถอะ แล้วเมื่อได้ทำหน้าที่ก็คือได้ประพฤติธรรมะ ควรจะพอใจและสนุกอยู่ที่นั่น ทำหน้าที่จนพอใจว่าเราได้ทำหน้าที่คือปฏิบัติธรรมะ ยกมือไหว้ตัวเองได้เพราะมีธรรมะอยู่ในเรา เรายกมือไหว้ตัวเองได้ ดังนั้นผู้ใดยกมือไหว้ตัวเองได้โดยไม่มีความขยะแขยงนั่นน่ะคือมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด มีธรรมะของมนุษย์ที่สุด หรือว่าเป็นครูที่ดีที่สุด เพราะยกมือไหว้ตัวเองได้ว่าในตัวมีธรรมะสูงสุด แล้วก็ไม่ขี้เกียจ ไม่ขี้เกียจทำหน้าที่ ไม่เอาเวลาของโรงเรียนไปเล่น ไปหัว ไปอะไรต่างๆ อยากให้เลิกเร็วๆ มาก็สาย มาทำงานก็สาย เวลาเลิกก็จะเลิกก่อนเวลานี่เพราะว่าเขาขี้เกียจทำงาน ไอ้การขี้เกียจทำงานนี่มันเป็นโรคประจำของมนุษย์ทุกคนในโลก อาตมาก็ยอมรับว่าทุกคนในโลกมันขี้เกียจทำงานทั้งนั้น ไม่อยากทำงาน ไม่มีใครอยากทำงาน ทำงานเพราะความจำเป็นบังคับ ไม่ได้ทำงานด้วยความสมัครใจว่าเราเป็นมนุษย์มีหน้าที่ จะต้องทำหน้าที่ จะต้องประพฤติธรรม ไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก ทำงานด้วยความจำเป็นมันบังคับ เพราะถ้าไม่ทำก็ไม่มีอะไรจะกินจะใช้ ต้องไปทำงานเพราะความจำเป็นบังคับ ที่ทำงานด้วยความสมัครใจเพื่อจะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องนี่หายาก หายาก ถ้าเป็นพระอริยเจ้าแล้วท่านก็ทำงานตามหน้าที่ของพระอริยเจ้า คือช่วยสัตว์โลก ผู้ที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้านี้ไม่อยากทำงาน อยากจะเล่น อยากจะหัว อยากจะพักผ่อน แต่อยากจะได้เงินมากๆ เอามาซื้อหาปัจจัยแห่งความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง มันจึงเกิดการคอรัปชั่นขึ้นมา ฉ้อราษฎร์บังหลวงขึ้นมา อะไรขึ้นมาที่ว่าเป็นความผิด เพราะนิสัยไม่อยากทำงาน ถ้าทำงานจนสนุกแล้วก็จะไม่มีใครขาดแคลนการเงิน เงินจะพอใช้ จะเหลือใช้แล้วก็ไม่ต้องมีเรื่องเสียหาย ทีนี้ธรรมะคือความไม่มีอบายมุขโดยประการทั้งปวง ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสนใจ
ทีนี้จะพูดถึงธรรมะโดยหลักปฏิบัติ ขอให้มีธรรมะโดยหลักปฏิบัติ คือเราจะต้องรักผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์ รักผู้อื่นทั่วไปทั้งหมดเลยทุกคนเลยในโลกนี้ มันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าว่าแต่คน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเรา แม้สิ่งที่ต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน เช่นต้นไม้ มันก็มีชีวิต มันรักชีวิต มันกลัวตายเหมือนกันก็เป็นเพื่อนที่ดี แม้แต่ต้นไม้เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเรา ไม่มีต้นไม้เราก็ตายหมดน่ะ มองดูแวบเดียวก็เห็นว่าถ้าในโลกนี้ไม่มีต้นไม้สักต้นเดียวโลกนี้อยู่ไม่ได้ สัตว์ก็ตายหมด คนก็ตายหมด นั่นน่ะมันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเราถึงขนาดนี้ ดังนั้นเราจะต้องรักผู้อื่น เราจะเห็นแก่ตัวเราอยู่คนเดียว เอ้า, ใครจะสมมติว่าให้มันอยู่คนเดียว รอดอยู่ในโลกนี้คนเดียวมันก็อยู่ไม่ได้ เราต้องอยู่กับเพื่อนของเรา เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ดังนั้นเราต้องรักผู้อื่น ศีลข้อนี้สำคัญมาก ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายนำไปถ่ายทอด ขอให้ลูกเด็กๆ ของเราถือศีลสักข้อเดียวว่ารักผู้อื่น แต่ครูต้องถือก่อน ครูต้องรักทุกคนๆ รักเด็ก รักลูกศิษย์ รักผู้อื่น พอรักผู้อื่นแล้วมันฆ่าใครไม่ได้ ศีลปาณาก็สมบูรณ์ รักผู้อื่นแล้วลักขโมยของใครไม่ได้ ศีลอทินนาก็สมบูรณ์ รักผู้อื่นแล้วล่วงละเมิดของรักของผู้อื่นไม่ได้ ศีลกาเมก็สมบูรณ์ รักผู้อื่นแล้วโกหกเขาไม่ได้ ศีลมุสาก็สมบูรณ์ รักผู้อื่นแล้วก็ไม่อยากจะสูบบุหรี่กินเหล้าให้ใครรำคาญ นี่มันถึงขนาดนั้นนะ ศีลมันก็สมบูรณ์ ศีลข้อเดียวทำให้ศีลทั้งหลายสมบูรณ์ จะเรียกว่าเรียนลัดก็ได้ ปฏิบัติลัดก็ได้ มันจริงอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ไปสอนเขา ๕ ข้อ ๑o ข้อ ๑๒o ข้อ มันก็ไม่ไหวแหละ มันน่ารำคาญ บอกเขาว่าถือศีลสักข้อเดียวเถอะเธอเอ๋ย รักผู้อื่น แล้วปัญหามันก็จะหมดเกี่ยวกับสังคม
ทีนี้ข้อที่ ๒ ธรรมะข้อที่ ๒ ต่อไปคือบังคับความรู้สึก ความรู้สึกต้องบังคับนะ ไม่อย่างนั้นมันไหลไปต่ำนะ กิเลสในจิตใจนี่มันจะไหลไปในทางต่ำเสมอ พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบเหมือนกับสัตว์น้ำ มันจะลงน้ำเสมอ ปลาหรืออะไรก็ตามที่จับโยนขึ้นมาบนบกมันจะไหลลงน้ำเสมอ ไอ้กิเลสของคนมันก็จะไหลไปต่ำเสมอ ดังนั้นต้องบังคับไว้ ต้องบังคับความรู้สึก อย่าบันดาลราคะ อย่าบันดาลโลภะ อย่าบันดาลโทสะ อย่าบันดาลโมหะ คือโง่มันเร็วเกินไป นี่เรียกว่าบันดาลโมหะ ความสะเพร่าคือบันดาลโมหะ ดังนั้นอย่าบันดาลกิเลส อย่าบันดาลไอ้ความรู้สึกที่ชั่วร้าย อย่างนี้เรียกว่าบังคับความรู้สึก จะเรียกว่าบังคับจิตก็ได้เหมือนกัน จะเรียกว่าบังคับตนก็ได้เหมือนกัน จะเรียกว่าบังคับกิเลสก็ได้เหมือนกัน เราจะเรียกสั้นๆ ว่าบังคับความรู้สึก เพราะมันเป็นความรู้สึก ก็จะต้องบังคับความรู้สึก ไอ้ความรู้สึกมันเป็นไปอย่างมีระเบียบ เป็นไปเพื่อสันติสุข เป็นไปเพื่อสันติภาพ ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น นี่เรียกว่าบังคับความรู้สึก เด็กๆ ของเราไม่ค่อยจะบังคับความรู้สึก จึงไม่เชื่อฟังครู ดื้อดึงครู ชกต่อยกันในโรงเรียนก็ดี ในวิทยาลัยก็ดี ในมหาวิทยาลัยก็ดี ไม่บังคับความรู้สึกมันก็มีการชกต่อยกัน นี่จะน่าละอายสัตว์เดรัจฉานนะซึ่งมันไม่ทำอย่างนั้น ซึ่งมันไม่มีอย่างนั้น เพราะมันไม่มีความรู้สึกรุนแรงบันดาลขึ้นมาอย่างนั้น
ทีนี้ข้อสุดท้ายของไอ้ธรรมะคือให้ถืออย่างที่ว่า หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ขอให้ทำหน้าที่อย่างมนุษย์ที่เราจะทำได้ ทำได้เท่าไรทำให้เต็มความสามารถ ถ้าบางคนทำได้เพียงแจวเรือจ้างก็ขอให้แจวเรือจ้างอย่างดีที่สุด บางคนทำได้เพียงล้างท่อถนนก็ทำให้ดีที่สุด ทำหน้าที่ตามความสามารถของตน ของตนอย่างมนุษย์คนหนึ่งให้ดีที่สุดนั่นคือธรรมะ ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ก็เอา เป็นประธานาธิบดีได้ ก็เอา เป็นอะไรได้ก็ทำ ทำตามหน้าที่ที่ดีที่สุดอย่างมนุษย์ นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมะ ที่บ้านก็ได้ไม่เฉพาะที่วัด ไม่ใช่เฉพาะในป่า ที่บ้านก็ได้ ที่ไหนมีหน้าที่ ทำหน้าที่ที่นั่น นั่นคือการปฏิบัติธรรม พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ ๓ ข้อพอ อาตมายืนยันว่า ๓ ข้อพอ แล้วก็ท้าทายให้ทุกคนเอาไปคิดว่า ๓ ข้อนี่พอหรือไม่พอ ข้อที่ ๑ มันรักผู้อื่น ข้อที่ ๒ มันบังคับความรู้สึก ข้อที่ ๓ มันถือธรรมะเป็นหน้าที่ถือหน้าที่เป็นธรรมะ นี่พอ ๓ ข้อพอ ครูคนใดสร้างลูกศิษย์ให้เป็นได้อย่างนี้แล้วนั่นน่ะสมบูรณ์แล้ว ครูคนนั้นสร้างโลกได้ ขอให้ช่วยจดจำไปคิดดู ไปใคร่ครวญดู ถ้าเห็นว่ามันจริงแล้วก็ช่วยถือปฏิบัติด้วย สอนให้รักผู้อื่น สอนให้บังคับความรู้สึก สอนให้ถือว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่
เอ้า, ทีนี้ธรรมะคือสัมมาทิฏฐิดีกว่า ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐินั่นแหละคือธรรมะ มันเป็นเหมือนกับแสงสว่างนำทาง หรือเป็นรุ่งอรุณที่บอกว่ามันจะสว่างขึ้นมา คือเป็นเข็มทิศนำทางที่ไม่ทำให้หลงทาง ขอให้สนใจสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิในฐานะที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เองว่า จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงเพราะสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ สมาทานัง สัพพัง ทุกขัง อุปัจคุง บุคคลจะล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้เพราะสมาทานสัมมาทิฏฐิ สมาทานนี้แปลว่าถือปฏิบัติไว้อย่างดี ไม่ใช่ว่าด้วยปาก ว่าด้วยปากนั้นมันหลอกกัน สมาทานศีลด้วยปากนี่ไม่ใช่สมาทาน คำว่าสมาทานแปลว่าถือไว้อย่างดีคือปฏิบัติอยู่อย่างดี นั้นเรียกว่าสมาทาน สมาทานศีลก็ต้องสมาทานอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ท่านเรียกว่าสมาทานสัมมาทิฏฐิ ครูทั้งหลายทุกคนจงมีสัมมาทิฏฐิที่ถือไว้อย่างดี เข้าใจถูกต้อง เช่น เข้าใจอุดมคติของครู แล้วก็ถืออุดมคติของครูไว้อย่างดี นี่เรียกว่าสมาทานสัมมาทิฏฐิสำหรับความเป็นครู ทำให้ครูสามารถเลือกอย่างถูกต้อง รู้จักแยกออกจากกันแล้วเลือกไอ้อย่างถูกต้องว่าเป็นครูชนิดไหนดี เป็นครูลูกจ้างดี หรือว่าเป็นครูปูชนียบุคคลดี สัมมาทิฏฐิทำให้ครูสามารถเลือก ในที่สุดครูก็ไม่สมัครที่จะเป็นลูกจ้างสอนหนังสือกิน หยาบคายไปหน่อยไหม ว่าครูนี่เป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากิน อย่างนี้มันไม่วิเศษอะไร เราจะเป็นครูปูชนียบุคคลตามแบบของพระพุทธเจ้า เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เป็นปูชนียบุคคลน่ะเงินเดือนมาอยู่ใต้ฝ่าเท้า เป็นเครื่องบูชา ถ้าเป็นครูลูกจ้างเงินเดือนมาอยู่บนหัว แล้วจะทำให้คอรัปชั่นด้วย ถ้าเงินเดือนมาอยู่บนหัว ถ้าเป็นครูปูชนียบุคคลเงินเดือนมาเป็นเครื่องสักการะอยู่ข้างล่างที่ฝ่าเท้า หรือจะเป็นปูชนียบุคคลได้สูงยิ่งขึ้นไปอีก เงินเดือนก็เป็นขี้ฝุ่นที่มาติดอยู่ที่เท้า ไปไหนมันก็ไปด้วย ดังนั้นไม่ต้องกลัวหรอกว่าไอ้เงินเดือนมันจะไม่ได้รับ เงินเดือนมันจะมาเป็นเครื่องสักการะคอยติดตามเรา โดยที่เราไม่ต้องไปควาน เที่ยวๆ ควานหาเงินเดือน เงินเดือนจะกลายเป็นเครื่องสักการะบูชา คอยติดตามเรา ไม่เป็นภาระแก่เราที่จะเที่ยวควานหาเงินเดือน เพราะเงินเดือนมันจะตามมาเอง นี่เรียกว่าเงินเดือนมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าเอง เกิดมาชาติหนึ่งต้องได้สิ่งสูงสุด เกิดมาชาติหนึ่งต้องได้ถึงสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ นี่สัมมาทิฏฐิจะช่วยให้เราเป็นได้อย่างนี้ ให้ชีวิตนี้มันเต็มค่าของมัน หมายความว่าเกิดมาเป็นคนจะทำอะไรได้เท่าไหร่ ต้องทำให้ได้เต็มตามนั้น ชีวิตนี้ก็จะเต็มค่าของมัน นี่สัมมาทิฏฐิช่วยให้เรามีชีวิตชนิดที่เต็มค่าของมัน สัมมาทิฏฐิช่วยให้เราทำเช่นนั้นได้ด้วย ให้สามารถทำเช่นนั้นได้ด้วย ให้สามารถที่จะมุ่งเอาก้อนทองคำแทนที่จะมุ่งเอาก้อนอุจจาระ ถ้าให้โอกาสพูดตรงๆ มันก็พูดอย่างนี้ เพราะมันเหลืองๆ เหมือนกันแหละ ไอ้ก้อนทองคำกับก้อนอุจจาระ แต่ว่าสัมมาทิฏฐิมันช่วยให้รู้จักเลือกมุ่งเอาก้อนทองคำ แล้วไม่อาลัยอาวรณ์อยู่กับก้อนอุจจาระ ถ้าครูยังอาลัยอาวรณ์ต่อความสุขทางเนื้อทางหนัง ต้องไปอาบอบนวด หรือต้องไปมีเรื่องอะไรอย่างนั้นแล้วมันก็ยังอาลัยอาวรณ์ก้อนอุจจาระ ไม่มุ่งหมายต่อก้อนทองคำ เพราะว่าเขาไม่มีสัมมาทิฏฐิเสียเลย เอาละ, สรุปความสั้นๆ ว่า ถ้ามีสัมมาทิฏฐินั้นแล้วครูก็จะหลุดจากความเป็นทาสมาสู่ความเป็นไท เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณให้แก่สัตว์โลกได้จริงๆ พ้นจากความเป็นทาสมาสู่ความเป็นไท คือกิเลสจะเอาครูไปเป็นทาสไม่ได้ เรารักสิ่งใดเราก็เป็นทาสของสิ่งนั้น เราเกลียดสิ่งใดเราก็เป็นทาสของสิ่งนั้น ดังนั้นเราไม่รักไม่เกลียด เรามีจิตใจเป็นอิสระดีกว่า เพราะเรามีสัมมาทิฏฐินั่นเอง
ทีนี้ที่ว่าอย่ากลัวว่าไปเป็นครูชั้นดีตามแบบของพระพุทธเจ้าเสียแล้ว มันจะอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ มันยังคงอยู่ได้อย่างดี อยู่ได้อย่างดี ไม่ใช่ว่าอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ ยังมีกินมีใช้ กินใช้อะไรทุกอย่างได้อย่างที่มนุษย์ในโลกนี้ มันก็มีอยู่ได้ ยังมีบุตร ภรรยา สามีอะไรก็ได้ แต่มันในลักษณะของความเป็นปูชนียบุคคล ในที่สุดมันจะกลายเป็นครอบครัวปูชนียบุคคล ไม่ใช่ว่าจะไม่อยู่ในโลกนี้ได้ มันจะคงอยู่ได้ ไอ้เงินเดือนนั่นน่ะจะเป็นขี้ฝุ่นติดเท้ามาเองเสมอ ไม่ว่าเราจะไปทางทิศไหน มันไม่ไปไหนเสีย อย่าเข้าใจผิดว่ามาสนใจในทางธรรมะแล้วจะไม่ได้เงินเดือน หรือเงินเดือนจะสูญหายไปไหน ปัจจัยเครื่องเลี้ยงชีวิตนั้นมันจะยังคงมี แล้วจะมีอย่างบริสุทธิ์สะอาดและถูกต้อง ไม่มีลักษณะแห่งคอรัปชั่น แล้วก็ไม่มีลักษณะแห่งค่าจ้างที่มาบีบบังคับเรา เราไม่เป็นคนรับจ้าง เราเป็นไทแก่ตัว เป็นผู้เดินนำหน้า เป็นผู้นำทางวิญญาณ เป็นผู้เปิดประตูคอกในทางวิญญาณ ให้คนทั้งหลายออกมาเสียจากคอกแห่งความหลงกิเลสตัณหา มาเป็นพลโลกที่ดี แล้วก็สร้างมนุษย์ให้ดีทั้งโลก โลกนี้ก็เป็นโลกที่ดี เพราะว่าครูได้สร้างขึ้นมา
นี่อาตมาก็ได้พูดมาสมควรแก่เวลาแล้ว สรุปความสั้นๆ ว่า เราจะรู้จักค่าของครู อุดมคติของครู อย่าทำให้ค่าของครูลดต่ำลงไป มันสูงสุดอยู่เหนือเกล้าเหนือเศียรของคนทุกคนในโลก ให้ครูยังคงเป็นปูชนียบุคคลของโลก ดังนั้นขอให้ครูทั้งหลายช่วยกันเสียสละเพื่ออุดมคติอันนี้ เพื่อทำให้ครูที่แท้จริงยังคงมีอยู่ในโลก เดี๋ยวนี้มันจะหายไปหมดจากโลก จะไม่มีครูที่แท้จริง สิ่งนี้สูงสุด สิ่งนี้มีค่าที่สุด ขอให้เสียสละไอ้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เถิด สละสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจะได้สิ่งสูงสุด มันควรสละแล้ว เดี๋ยวนี้ครูที่เป็นปูชนียบุคคลน่ะลดน้อยลงไป ไม่ใช่ว่าที่นี่ ไม่ใช่ว่าในประเทศไทยอย่างเดียว มันทั้งโลกแหละ มันทั้งโลกแหละมันมีแต่ครูลูกจ้างมากขึ้นทุกที ครูปูชนียบุคคลนั้นลดไปๆ หายไปๆ จนจะหามาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้แล้ว ไอ้ยาหยอดตานี่มันไม่ต้องการมากมายอะไร แต่มันจะหามาทำยาหยอดตาก็ไม่ค่อยจะได้แล้ว ดูไปทั้งโลก กวาดตาดูไปทั้งโลก ครูที่เป็นปูชนียบุคคลนั้นหายาก จนแทบจะหามาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นขอให้เห็นแก่อุดมคติของครู เห็นแก่ค่าของครู เห็นแก่มนุษย์ในโลก เห็นแก่พระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ช่วยกันเสียสละ เสียสละทำให้ความเป็นครูที่ถูกต้องกลับมา เต็มไปด้วยค่าของครูตามอุดมคติ หรือความหมายแห่งคำว่าครู คือผู้เปิดประตูทางวิญญาณของโลก นี่คือค่าของครู อาตมาขอยุติการบรรยายเพราะสมควรแก่เวลาไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอแสดงความหวังว่าครูทั้งหลายคงจะสนุกสนาน จะพอใจในการที่จะดึงค่าของครูกลับมา แล้วเป็นครูที่แท้จริงอยู่ในโลกนี้ อย่างเป็นแสงสว่างที่จะช่วยกันสร้างโลกให้ดี เป็นพระเจ้าสร้างโลกที่แท้จริงอยู่ ก็จะมีความสุข ก้าวหน้าในความเป็นมนุษย์ตลอดทุกวันทุกคืนเทอญ