แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ และที่จะเป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาก็รู้สึกยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย ส่วนการที่ให้กล่าวอะไรบ้าง นี่ก็จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกันสักหน่อย และบางทีมันอาจจะไม่ ไม่ตรงแก่ความประสงค์ ของบางคนก็ได้ คือว่าในทางฝ่ายวัดหรือฝ่ายศาสนานี้ เราก็มีเรื่องทั้งทางธรรมะ และทางศาสนาโดยเฉพาะ ก็ไม่เข้าใจ หรือไม่สามารถในการที่จะช่วยในเรื่องอื่น ในแขนงอื่น และก็มีความรู้สึกตามที่มองเห็นว่า เรื่องของธรรมะนี้ก็จำเป็น เออสำหรับมนุษย์ มนุษย์ที่ไม่มีธรรมะ ก็ไม่มีความหมาย ความเป็นมนุษย์ แล้วมันจะอยู่กันอย่างไร คิดดูเถอะ ถ้าไม่มีความเป็นมนุษย์ เป็นเพียงสักว่าคน คนนี่มันจะอยู่กันอย่างไร นั้นจึงมองไกลไปถึงว่า โลกนี้ต้องประกอบไปด้วย คนที่มีความเป็นมนุษย์ ทีนี้ก็เหลียวมาดูการศึกษา อาในโลกทั่วไปทั้งโลกก็ได้ เขาไม่ได้จัด เพื่อให้คนเป็นมนุษย์ หรือเพื่อความเป็นมนุษย์ของคน เพราะคำว่า คน กับคำว่า มนุษย์ นี้ เออมัน มัน ต่างกันมากนะ เราจะพูดได้ว่า ถ้าไม่มีธรรมะก็ยังไม่เป็นมนุษย์ มีแต่เป็นคน มีแต่เพียงความเป็นคน ไอ้การศึกษาที่เขาให้กันอยู่ในโลกนี้ มันก็มีแต่เพียง ความรู้หนังสือ กับวิชาชีพ เรื่องความเป็นมนุษย์ ไม่ได้พูดกัน เพื่อจะให้กำหนดกันง่ายๆ อาตมาก็อยากจะบัญญัติชื่อเอาเอง เพื่อให้มันสะดวก ว่าเราจะต้องเรียนอักษรศาสตร์ คือหนังสือ เพื่อความเป็นคนฉลาด เราต้องเรียนศิลปศาสตร์เพื่อสามารถที่จะประกอบอาชีพ ทีนี้เราก็ต้องเรียนธรรมศาสตร์เพื่อมีจิตใจอย่างมนุษย์ คนอื่นก็อาจจะให้ความหมายอย่างอื่นก็ได้ เดี๋ยวนี้ เราพูดกันที่นี่ ตกลงกันที่นี่ว่า อักษรศาสตร์สำหรับรู้หนังสือ เพื่อมันสมองอันฉลาด นี้ศิลปศาสตร์ก็รู้อาชีพ วิธีเนื่องกันอยู่กับอาชีพ ทีนี้ธรรมศาสตร์ คือพระธรรม อันที่สามมันไม่มีในหลักสูตร หรือแม้จะไม่เลือกชื่อ มันก็ไม่มี คือไม่ได้สอนกันว่าจะมีจิตใจเป็นมนุษย์กันอย่างไรนั่นเอง คุณก็เรียนหนังสือ แล้วก็เรียนอาชีพ แม้จะเป็นครูก็เรียนกันอย่างเป็นอาชีพชนิดหนึ่ง แล้วเป็นครูก็เป็นการประกอบอาชีพชนิดหนึ่ง นี้มันยังไม่ถูกต้อง เพราะมันมีอะไรมากกว่านั้นสำหรับความเป็นครู
ในส่วนธรรมศาสตร์นั้น มันเป็นเรื่องสุดท้าย ที่จะต้องรู้จักเป็นมนุษย์ที่มีมีธรรมะของมนุษย์อย่างถูกต้องถึงที่สุด เรียกว่ามีธรรมศาสตร์ อาตมาเคยพูดมาตั้งปีสองปีแล้วว่า การศึกษาในโลกนี้ยังเป็นระบบหมาหางด้วน คือมันไม่มีธรรมศาสตร์ในตอนท้าย หรือจะเรียกว่า ยอดด้วนก็ได้ เพราะมันไม่มีสิ่งสูงสุดที่จะเป็นยอด มันจะพูดกันง่ายๆ ก็เรียกว่าเป็นหมาหางด้วน เพราะมันมีเรื่องนิ นิทานหรือนิยายประกอบกันดีกับเรื่องปัจจุบัน คือว่าเราคนไทยไปจัดการศึกษาตามอย่างฝรั่ง ฝรั่งว่าอย่างไร เราก็เอาอย่างนั้น ก็ถือว่าดีที่สุดอยู่ที่ฝรั่งจัด นี่ฝรั่งเขาตัดศาสนาออกไปจากการศึกษา เขาเห็นว่าไม่จำเป็น และยังทำให้เสียเวลา เข้ามาขวางเกะกะเก้งก้างในการศึกษาที่จะไปกันเร็วๆ ฝรั่งเขาจัดการศึกษา เพื่อเศรษฐกิจ เพื่อการเมือง เพื่ออะไรสุดแท้ ในเรื่องการศาสนาไหนอย่ามาขวางให้มันเสียเวลา เขาจึงตัดออกไป ได้ยินว่าในบางรัฐ ของบางประเทศนั้น ถือว่าผิดกฏหมาย ถ้าเอาศาสนามาสอนในการศึกษาในโรงเรียน ถือว่าผิดกฏหมาย เขามีความคิดอย่างนั้น เราจึงไม่เห็นมีเรื่องศาสนาในหลักสูตรของการศึกษาในประเทศต่างๆ ที่เขาพูดกันอย่างดีที่สุด เขาก็พูดว่า เรื่องศาสนานี้ขอให้ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ใครอยากได้อยากรู้ก็ไปขนขวายเอาเอง เป็นเรื่องส่วนตัว อย่ามารวมอยู่ในเรื่องการศึกษานี้เลย เขาตัดออกไปอย่างนี้ เหมือนกับนิทานสุภาษิตสอนคนยุคแรกๆ ว่า สุนัขตัวหนึ่งมันไปติดกับกับเหล็ก หางด้วน ก็เที่ยวหลอกสุนัขตัวอื่นๆ ว่าหางด้วนนี้ดี ดีกว่ามีหาง ควรจะตัดกันเสีย ไอ้สุนัขโง่ๆ ทั้งหลายมันก็ช่วยกันตัดหาง ทำหางให้ขาด ให้มีหางด้วน จนกว่าสุนัขแก่ตัวหนึ่ง มันบอกไม่เอา ว่านี่เป็นเรื่องโกหก หลอกลวง ไม่ยอมตัด นี่ฝรั่งมันเหมือนกับว่า มันติดกับของโลก ของวัตถุนิยม เรื่องโลก เรื่องโลกียะ เรื่องเอร็ดอร่อย ทางอายตนะ มันติดกับนั่น แล้วมันตัดการศึกษาออกไป เหมือนกับหมาตัวนั้นติดกับหางขาด นี่เราคนไทยจัดการศึกษาตามฝรั่งก็ยอมตัดหาง คือตัดการศึกษาส่วนธรรมะนี้ให้ออกไป นี้ก็คอยดูผลมันจะเกิดขึ้นอย่างไร มันก็ไม่เป็นมนุษย์ มันเป็นแต่คน มันจะมีอันธพาลมากขึ้นๆ ไม่ได้สอนเรื่องความเป็นมนุษย์ หรือธรรมะกันเลย จบหลักสูตรมัธยมศึกษาปีหนึ่งหลายแสนคนน่ะ สี่ห้าแสนคนเห็นจะได้ ไม่ได้สอนเรื่องธรรมะมาให้เพียงพอ คนหนุ่มเหล่านี้ หรือวัยรุ่นเหล่านี้ก็หาอาชีพ ยากที่จะได้เข้าเรียนต่อสูงขึ้นไปนั้น เรียกว่าน้อยที่สุด ไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ นอกนั้นมันก็เหลืออยู่ มันก็ไม่รู้จะทำอะไรที่จะเลี้ยงชีวิต หรือว่ามัน ขี้เกียจทำงาน ไม่มีจิตใจเป็นธรรมะ มันก็ไม่ ไม่ชอบทำงานหนัก หรือไม่ชอบทำเสียเลย บางคนก็ใช้รวยลัดคืออันธพาล ประเทศของเราก็จะมีอันธพาลเพิ่มขึ้นจำนวนแสน ๆ ต่อปี นี่กล้าท้าทายอย่างนี้ เพราะว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เรียนธรรมะ ไม่รู้เรื่องบังคับจิตใจให้อยู่ในร่องรอยของธรรมะ เขาก็ต้องทำไปตามกิเลส คือเป็นอันธพาล นี่เป็นๆๆเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามธรรมชาติที่มีอยู่ในโลก รวมทั้งประเทศไทยเรา ในข้อที่ว่ามีการศึกษาหมาหางด้วน นี้คนไม่เป็นมนุษย์ ไอ้เรื่องคนไม่เป็นมนุษย์เนี่ย ขอให้สนใจไว้ว่ามันเป็นเหตุผลอันสำคัญ หรือเป็นต้นเหตุอันสำคัญที่จะทำให้โลกนี้ไม่มีความสงบสุข ไม่มีสันติภาพในโลก เข้าใจว่าท่านทั้งหลายทุกคนก็เคยร้องเพลงกราวกีฬาว่า กีฬาเป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน เรามีครูอาจารย์น้อยคนนักที่จะอธิบายความว่า ข้อความที่ว่า ทำคนให้เป็นคน ให้มันชัดเจน ลงไปว่าอย่างไร เมื่อครูคนนั้นก็ไม่ได้เคยรับคำอธิบายมาเมื่อเป็นนักเรียน โตขึ้นเป็นครูก็อธิบายไม่ถูกว่า ทำคนให้เป็นคนน่ะคือทำอย่างไร เมื่อมันเป็นคนอยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปทำให้มันเป็นคนอีกเล่า เพราะคำว่าคน นี่มันมีความหมายต่างกัน ไอ้คนคำแรก และทางคนคำหลังน่ะมันต่างกัน คนคำหลังก็คือมนุษย์นั่นเอง ความหมายคำว่ามนุษย์ คนมันมีความหมายว่าเกิดมาก็เป็นคน ชนะ นร แปลว่าคน เกิดมา ชน คำนั้นแปลว่า เกิดมา ต่อมา แต่มนุษย์ มะ-นุด-สะ เนี่ยมันมีความหมายสูงไปกว่านั้น คือ จิตใจสูง มน กับ อุษย์ แปลว่า ใจสูง หรือว่าเหล่ากอของคนที่มีจิตใจสูง ก็ได้ อย่างจะมาบวชพระนี่ ก็จะต้องสอบถามก่อนว่าเป็นมนุษย์ไหม บางคนอาจจะเคย เคยร่วมพิธีแห่การบวชพระ เขาจะมีคำว่า มนุสโสสี ท่านเป็นมนุษย์ไหม เพราะนั้นก็ต้องยอมรับ ยืนยันว่าเป็นมนุษย์ ปุริโส เป็นบุรุษไหม ก็ต้องยอมรับว่าเป็นบุรุษ แต่ความหมายมันไม่ใช่สักว่าเป็นมนุษย์เพราะเกิดมา มันต้องมีคุณธรรมอย่างมนุษย์ รับรองความเป็นมนุษย์ของตัว ยืนยันว่าข้าพเจ้ามีคุณสมบัติอย่างมนุษย์ เขาก็ยอมรับบวชให้ แล้วถามว่าเป็นบุรุษไหม ปุริโส เป็นบุรุษไหม ก็เห็นอยู่แท้ๆ ว่าผู้ชาย แต่เขาหมายความว่า คุณยืนยันในความเป็นลูกผู้ชายของคุณไหม มีคุณสมบัติอย่างลูกผู้ชาย เข้มแข็ง อดทน พากเพียร ไม่ย่อท้อน่ะมีไหม ท่านจะถามอย่างนั้น ว่าเป็นบุรุษไหม นี่เรียกว่าเป็นมนุษย์ มันมากกว่าเป็นคน กีฬาเป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน คือทำคนให้เป็นมนุษย์ แต่เราไม่เคยได้รับคำอธิบาย เขาต้องการให้สำนวนพูดนั้นเป็นลักษณะด่าอยู่ในตัว ว่าทำคนให้เป็นคน มันก็ยังไม่เป็นคน เกิดมาสักว่าจะเป็นคน ก็ยังไม่เป็นคน ต้องมาปรับปรุงอะไรทางจิตใจให้เป็นคน ให้เป็นมนุษย์ มีความหมายว่า คนที่สมบูรณ์ เป็นคนที่สมบูรณ์จึงจะชื่อว่าเป็นมนุษย์ กีฬานั่นโดยสปิริตของมันแล้วมันเป็นธรรมะ สอนให้เป็นผู้มีความซื่อ ซื่อตรง ยุติธรรม ไม่ลำเอียง เป็นคนที่ไม่คดโกง ไม่เอาเปรียบ เป็นคนที่ ถือความจริงเป็นหลัก สปิริตของกีฬาก็คือ ธรรมะนั่นเอง แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้เล่นกีฬาเพื่อธรรมะ สังเกตดู เล่นกีฬาเพื่อกิเลส เพื่อเอาชนะกันทั้งนั้นหละ เอาชนะกันทั้งนั้น ก้มหน้าก้มตาเอาชนะ แล้วก็ใช้กลโกงด้วย แม้กีฬาชั้นระหว่างชาติมันก็ยังใช้กลโกง เราจะเห็นว่า ถูกไล่จากสนามกีฬาบ่อยๆ กีฬาระหว่างชาติมันก็ยังมีความคดโกง ไม่มีน้ำใจนักกีฬา ถ้าเล่นกีฬาก็หมายความว่าจะพิสูจน์ แสดงความเป็นนักกีฬา ไม่ใช่พิสูจน์ความแพ้ ความชนะด้วยการกระทำ แสดงทางฝีมือ ถ้าแสดงทาง ออกมาทางการกระทำ ก็ ก็ให้มันออกมาก็ให้มันแสดงความเป็นนักกีฬา ถ้าใครแสดงความเป็นนักกีฬาออกมามาก ก็ให้คนนั้นชนะ ไอ้ลูกบอลจะเข้าประตู ไม่เข้าประตูไม่เอาเป็นเกณฑ์ ถ้ามันไม่มีความเป็นนักกีฬาก็ไม่ ไม่ ไม่ยอมให้เป็นคะแนนอะไร ให้ดูที่การกระทำอยู่ตลอดเวลาว่ามันคนนี้มีความเป็นนักกีฬา หรือทีมนี้มีความเป็นนักกีฬา รอบนี้ควรให้ทีมนี้ชนะเพราะการแสดงความเป็นนักกีฬาออกมามาก ถ้าเล่นกีฬาอย่างนี้แล้ว กีฬานั่นแหละเป็นเครื่องฝึกฝนธรรมะ หรือเป็นธรรมะอยู่ในตัว แต่เดี๋ยวนี้เราก็ไม่ได้เล่นกีฬากันอย่างนั้น เอาแพ้ชนะ แล้วก็มีเล่ห์เหลี่ยม มีกลโกง มีอะไร ที่ได้เปรียบที่สุด มันก็ไม่ทำคนให้เป็นคน กีฬาชนิดนี้เล่นกันจนตายทั้งโลก มันก็ไม่ทำคนให้เป็นคน เพราะมัน มันไม่แก้กองกิเลส มันรู้จักคดโกงให้มากขึ้น มันจะแก้กิเลสไม่ได้ มันต้องเล่นกีฬาอย่างกีฬา มันถึงจะแก้ก้องกิเลสและทำคนให้เป็นคน นี้เรื่องเป็นคน เรื่องความเป็นคนที่สมบูรณ์นี้ จะมีได้ด้วยธรรมะ ไม่มีได้เพราะรู้หนังสือ ไม่มีได้เพราะมีอาชีพ มันเป็นไม่ได้ เพราะมันคนละเรื่องกัน คนเป็นฉลาด เป็นคนฉลาด ปริญญาทางอักษรศาสตร์มันก็ยังคอร์รัปชั่น คนมีอาชีพร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีมันก็ยังโกง ไอ้คนที่จะไม่โกง ก็คือคนมีธรรมะ เป็นคนที่เป็นสุภาพบุรุษ สุภาพบุรุษ คำนี้ดูเหมือนจะหมดความหมายไปเสียแล้วตามยุคตามสมัย ผู้ที่ไปเรียนจากเคมบริดจ์ ออกซฟอร์ด สมัยหลายสิบปีมาแล้ว เขามาเล่าให้ฟังว่า ไอ้ที่มหาวิทยาลัยนั้นหรือว่าทำนองนั้น เขาเรียนเพื่อคนเป็นสุภาพบุรุษ คือปริญญาดีกรี อาชีพนั้น อาชีพนี้ สาขานั้น สาขานี้ ไม่มีค่า หรือไม่มีเกียรติ มันมีเกียรติคือว่าไอ้คนนั้นต้องเป็นสุภาพบุรุษ เรียนจบสายไหนมาก็ตาม ก็ต้องเป็นสุภาพบุรุษ และก็มีกีฬา แจกให้เพื่อ ก็เพื่อให้เกิดน้ำใจสุภาพบุรุษ อุดมคติของการจัดการศึกษายุคนั้น เพื่อความเป็นสุภาพบุรุษ แต่เดี๋ยวนี้ก็ได้ยินว่าหายหมดแล้ว มันหายไปหมดแล้ว เปลี่ยนแปลงตามยุค ในโรงเรียนมหาวชิราวุธ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยที่ในหลวงรัชกาลที่ ๖ จัดเนี่ย ถ้าไปดูตราสารแรกตั้งเพื่อความเป็นสุภาพบุรุษเหมือนกัน โรงเรียนนี้จัดเพื่อนักเรียน เรียนจบแล้วเป็นสุภาพบุรุษ และก็ถอดรูปแบบมาจากมหาวิทยาลัยอังกฤษ ออกซฟอร์ด เคมบริดจ์เมื่อสองร้อยปีมาแล้ว จนถึงเมื่อหลายสิบปีมานี้ยังมุ่งความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ แต่แล้วก็สงสัยเหมือนกันว่า โรงเรียนนี้ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยนี่ เดี๋ยวนี้ยังมุ่งความเป็นสุภาพบุรุษอยู่หรือว่าหมาหางด้วนไปแล้ว เรียนแต่หนังสือ กับอาชีพเท่านั้น โรงเรียนไหนก็ตาม มหาวิทยาลัยไหนก็ตาม เมื่อมันเรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพเท่านั้น ขอเรียกว่า การศึกษาหมาหางด้วน หรือว่านักศึกษาหางด้วนที่จบออกมาจากวิทยาลัยนั้นไม่เป็นมนุษย์ มีเรื่องที่มันแสดงให้เห็นว่า คนสนใจความเป็นมนุษย์กันมาตั้งแต่โบราณกาล ก็มีนะ เช่น ประวัติของโสเครติส ซึ่งเป็นนักปราชญ์ จอมปราชญ์ที่ ฝรั่งเขายกย่องนับถือกันนัก สมัยกรีกเมื่อสองพันปีมาแล้วนะ สมัยโสเครติส พลาโต นั้นมันสองพันปีมาแล้ว โสเครติสเขาก็จุด เขาจุดคบเพลิง แล้วก็เที่ยวส่องตามถนนในนครเอเธนส์ ในเมืองหลวงของประเทศ เมื่อประชาชนถามว่า ท่านอาจารย์จะส่องไฟหาอะไร โสเครติสก็บอกว่าส่องไฟหาคน ส่องหาคน แล้วประชาชนก็ถามว่า แล้วพวกฉันละ ไม่ใช่คนหรือ โสเครติส ก็บอกว่าไม่ใช่คนชนิดที่ฉันต้องการ ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ ที่ฉันต้องการ ลองคิดดูสิ ว่าสองพันปีมาแล้วในหมู่พวกนั้น เขาก็ยังรู้จักแยกว่าคนหรือมนุษย์ คือว่าคนที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง คนที่สมบูรณ์แบบหรือไม่สมบูรณ์แบบตามความหมายของคน ยังไม่สมบูรณ์แบบตามความหมายของคน ก็เรียกว่ายังไม่ เป็นคน อย่างเช่นเพลงกราวกีฬานี่ ทำคนให้เป็นคน ทำคนที่ไม่สมบูรน์ในความเป็นคนเป็นคนที่สมบูรณ์ขึ้นมา แต่เรื่องนั้นมันสองพันปีมาแล้ว ในประเทศกรีก ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นดงของนักปรัชญาผู้มีสติปัญญาอยู่ที่นั่น การศึกษาของฝรั่งก็เดินตามก้นปรัชญาของพวกกรีกเหล่านี้เป็นหลัก แต่ต้นตอของเขาก็ยังมีการแยกออกว่า มันเป็นคนหรือไม่เป็นคน คือเป็นคนที่สมบูรณ์แบบตามแบบของคนหรือไม่ ก็แปลว่า คำว่า คน นี้มันไม่ใช่ความหมายสักว่าเกิดมา สักว่าเกิดมาก็เป็นคน สักว่าเกิดมา แต่เป็นคนที่มีคุณธรรมอย่างคน แท้ๆ คือย่างมนุษย์นั้นมันยังไม่ค่อยมี
ทีนี้การศึกษาของเราปัจจุบันนี้ก็ไม่สนใจนี่ เรื่องทำคนให้เป็นคนน่ะ ก็เรียนด้วยหนังสือกับวิชาชีพเท่านั้นแหละ การศึกษานี้ไม่ทำคนให้เป็นคนได้ รู้หนังสือ ฉลาดทางหนังสือก็ยังไว้ใจไม่ได้ ยังพร้อมที่จะโกง เออหรือว่า มีอาชีพ รุ่งเรือง ร่ำรวยมันก็ยังพร้อมที่จะโกงอยู่นั่นแหละ แล้วคุณก็เห็นแล้วนี่ว่าไอ้คนที่มันโกงจัด เอาเปรียบจัด ขูดรีดจัด มันก็คือคนที่ร่ำรวยนั่นเอง คนจนจะโกงได้อย่างไรจะขูดรีดได้ยังไง นั้นอาชีพที่ร่ำรวยไม่รับประกันว่าไอ้คนนั้นมันจะไม่โกง มันยิ่งชอบ ยิ่งหลงในความร่ำรวยมันก็ยิ่งโกง นี่ต้องมีการศึกษาอีกแบบหนึ่งที่มาควบคุมมันไว้อย่าให้มันโกง อย่าให้มันเลว อย่าให้มันประพฤติขูดรีด คือธรรมะนั่นเอง ซึ่งจะรวมเรียกว่าธรรมศาสตร์ คือทุกแขนงที่เกี่ยวกับธรรมะ นี่ต้องรู้เรื่องธรรมศาสตร์ หรือที่เรียกว่า จริยศึกษา จริยปรัชญา อย่างนี้เป็นต้น อยากจะเรียกรวมๆ ว่า ศีลธรรม มีความประพฤติถูกต้องทางกาย วาจา ใจ เรียกว่า ศีลธรรม แล้วก็มีปรัชญาของศีลธรรม เพื่อให้คนเข้าใจศีลธรรม แล้วก็ประพฤติศีลธรรมกันได้เต็มที่ ไอ้ศีลธรรมนี่ เออเรียกว่า Moral หรือ Morality นี่คำนี้คือ ศีลธรรม คือระบบที่ต้องประพฤติลงไปอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้นเลย เป็นระบบสำหรับประพฤติเลย ทีนี้ปรัชญาของศีลธรรม Philosophy of Morality ก็ยัดไปเรียกเสียว่า Ethics Ethics แปลว่า ปรัชญาของศีลธรรม คือเป็นคำอธิบายที่ว่า ทำไมเราจึงต้องปฏิบัติอย่างนั้น นี่เรียกว่า Ethics เป็นศาสตร์ของธรรมศาสตร์ ที่บอกเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องทำอย่างนั้น ไอ้คำบอกที่บอกลงไป ว่าทำอย่างนี้ อย่างนี้มันเป็นศีลธรรม และคำอธิบายที่ว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น นี่คือปรัชญาของศีลธรรม ซึ่งเขาเคยเรียกกันว่า Ethics ถ้าเป็นนักปรัชญาของศีลธรรม เป็น Ethicist เนี่ย เขาไม่ปฏิบัติก็ได้ เพียงแต่เขารู้ปรัชญาของศีลธรรมว่ามันเป็นอย่างนั้น นั้นพวกนักจริยศาสตร์หรือ Ethicist เนี่ย ไม่ ไม่ปฏิบัติศีลธรรมด้วยตนเองก็ได้ แต่ถ้าเขาเป็น Moralist เป็นนักศีลธรรมแล้วเขาต้องปฏิบัติมัน เดี๋ยวนี้เราก็ดูจะมี เรียนกันแต่ปรัชญา เพราะชอบกันแบบปรัชญา บ้าปรัชญาอย่างขึ้นสมอง เสพติดปรัชญายิ่งกว่าเฮโรอีน เรียนแต่ปรัชญาของสิ่งนั้นๆ โดยไม่ต้องปฏิบัติสิ่งนั้นๆ นี่เราอาจจะเรียนพุทธศาสนาอย่างปรัชญาของศีลธรรมก็ได้ แล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติเลย บางทีก็ให้เรียนอย่างศีลธรรมว่าต้องปฏิบัติ อย่างนั้น อย่างนี้ แต่จดไว้ในสมุด เด็กๆ จดไว้ในสมุด แล้วก็เลิกกัน แล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติ นั้นถ้าว่าจะให้มันสำเร็จประโยชน์มันต้องปฏิบัติ ให้มีความรู้ที่สอนกันอย่างเพียงพอว่า ทำไมจึงต้องปฏิบัติ เช่นว่า ไม่ฆ่าสัตว์ อย่างนี้ เป็นศีลธรรม และคำอธิบายว่าทำไมจึงไม่ควรฆ่าสัตว์ อันนี้มันเป็นปรัชญาของศีลธรรม นี้พวกครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะไปสอนเด็ก ก็ช่วยสอนให้มันพร้อมกันทั้งสองอย่าง คือให้มันเป็นคู่กันไปเลย สอนว่าจงทำอย่างนี้ๆมันเป็นเรื่องของศีลธรรม แล้วอธิบายว่าทำไมจึงต้องทำอย่างนี้ นี่มันเป็นปรัชญาของศีลธรรม สอนเขาให้เว้นปาณาติบาต ก็ต้องอธิบายว่าทำไมจึงต้องเว้นปาณาติบาต สอนว่าอย่าลักทรัพย์ ก็ต้องอธิบายเป็นปรัชญาด้วยว่าจึงไม่ควรหลักทรัพย์ อย่าประพฤติผิดเรื่องของรักของผู้อื่น กาเม ก็ต้องสอนให้มันด้วยว่า ทำไมเราจึงทำไม่ได้ ไม่ควรทำ เพราะเหตุนั้น เพราะเหตุนี้มันมีเหตุผล มันมีความเร้าใจ ช่วยให้ไม่อยากทำ ถ้าได้รับความรู้ที่เป็นปรัชญาประกอบกันไปทุกหัวข้อแห่งศีลธรรม แล้วมันก็จะง่ายขึ้นในการที่คนจะมีศีลธรรม นั้นก็จะไปสอนศีลธรรมให้เพิ่มขึ้นก็ขอให้เรียกว่า ขอให้เป็นจริยศึกษาที่สมบูรณ์ จริยศึกษาที่สมบูรณ์ก็คือมีศีลธรรมด้วย มีปรัชญาของศีลธรรมด้วย ถึงแม้ที่ไม่เกี่ยวกับศีลธรรมก็เถอะ ถ้าเราจะ จะให้เขาทำอะไร เราก็ต้องบอกเหตุผลด้วยว่าทำไมจึงต้องทำอย่างนั้นด้วย คือปรัชญาของสิ่งนั้นด้วย ฉะนั้นจะไปชี้ชวนเขาให้ใช้ เครื่องใช้อย่างนี้ อาหารการกินอย่างนี้ เราไปชวนเขาให้กินของอย่างนี้ เราต้องมีปรัชญาว่ามันดีอย่างไร ก็จะมีคนทำตาม เช่น จะชักชวนให้มาใช้ของไทย นิยมสินค้าไทยนี้ มันก็ต้องมีคำอธิบายส่วนหนึ่งซึ่งเป็นปรัชญาของมัน ทำไมเราจึงต้องใช้ของไทย มันดีอย่างไร วิเศษอย่างไรก็ว่ากันไปให้หมดเลย เดี๋ยวนี้เรามักจะสอนชนิดที่บังคับ โดยเฉพาะสอนเด็กๆ คืออย่าให้เขาทำอย่างนั้น อย่าให้เขาทำอย่างนี้ เรามีแต่จะบังคับให้เขาทำ เราไม่ได้บอกเขาว่า ทำไมจึงต้องทำ ทำแล้วมันดีอย่างไร เด็กตัวเล็กๆ มันกินข้าวหก ผู้ใหญ่ก็ตีมัน กินข้าวหก ไม่ได้บอกว่ากินไม่หกน่ะ มันดีอย่างไร หรือจะกินอย่างไร จึงจะไม่หก นี้มันไม่ได้บอก มันขาดอยู่ นี้ผู้ที่จะไปทำให้เด็กๆ มีศีลธรรมนี่ ต้องศึกษาปรัชญาของศีลธรรมไปให้เพียงพอด้วย ทุกเรื่องเลย มันมีปรัชญาทั้งนั้น จนเดี๋ยวนี้เขาเก่งในทางปรัชญากันอย่างยิ่ง ในโลกนี้กำลังบูชาปรัชญา เขาจะพูดอะไรให้เป็นปรัชญา เป็นปรัชญาของหินก้อนนี้เขาก็พูดได้ เรามันขยายความรู้ การศึกษาในแง่ของปรัชญากันมาก จนพูดเป็นปรัชญาไปเสียหมด แล้วก็ไม่มีการปฏิบัติ ก็ไม่สำเร็จประโยชน์เหมือนกัน
ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงเรื่องของคำว่าครูบาอาจารย์ ท่านทั้งหลายก็เป็นครูแล้ว และกำลังจะเป็นครูบ้าง ก็เชื่อว่า คงจะตั้งใจจะทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ที่เป็นครูแล้วก็จะเป็นครูให้ดีที่สุด ที่กำลังจะออกไปเป็นครู ก็จะเป็นครูให้ดีที่สุด นี้ก็อยากจะพูด แต่เชื่อว่าไม่มีใครเห็นด้วยหรือยอมรับนัก จนพูดมาเหมือนกับบ้าอยู่คนเดียว บ้าพูดไปคนเดียวยี่สิบ สามสิบปีก็บ้าพูดอยู่คนเดียว ครูเป็นปูชนียบุคคล ถ้าเป็นอาชีพก็เป็นอาชีพปูชนียบุคคล นี่เขาสั่นหัว สั่นหัว กูไม่อยากเป็นปูชนียบุคคล มันดีเกินไป กูจะกินเหล้าไม่ได้ กูจะสูบบุหรี่ไม่ได้ กูจะทำอะไรไม่ได้ ไม่เอา เป็นปูชนียบุคคลนี่ไม่เอา เพราะว่า ครูนี้เป็นผู้สร้างโลกเหมือนกับพระเจ้า เพราะครูสร้างเด็ก เด็กเป็นอย่างไร ต่อไปในโลกนี้มันก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าโลกนี้มันแล้วแต่ว่ามนุษย์ในโลกเป็นอย่างไร ถ้ามนุษย์เลวโลกก็เลว มนุษย์ดีโลกก็ดี ทีนี้ ครูปั้นเด็ก สอนเด็กขึ้นมา ให้ดี หรือไม่ดีก็แล้วแต่ครู โลกในอนาคตมันก็ขึ้นอยู่กับคนในโลกซึ่งรับการศึกษามาจากครู ถ้าครูสอนดี สอนจริง สอนถูกต้อง มันก็เป็นเด็กดี เป็นพลโลกที่ดี โลกนี้มันก็ดี ถ้าทำผิดมันก็เป็นโลกที่เลว นี้ขอให้คุณดูว่าครูคือผู้สร้างโลก สำคัญแต่ว่า ครูไม่เอา ครูไม่เอา ครูไม่รับที่จะเป็นคนสร้างโลก มันดีเกินไป หรือมันจะไม่ได้ทำอะไรที่สนุก สบาย นี่เป็นเหตุให้ครูไม่ทำหน้าที่ของครู ตรงกันเจตนารมณ์หรืออุดมคติดั้งเดิม ซึ่ง ภาษานี้ คำๆ นี้ในภาษาอินเดียโบราณ คำว่า ครู นี้ เขาแปลว่าผู้เปิดประตู แต่หมายถึงเปิดประตูทางวิญญาณ คือ คนถูกกักขังอยู่ในความโง่ มีความโง่เหมือนกับคอกกับเล้า มืดมิดสกปรก ไม่ ไม่มีความสุข ต้องอยู่ในคอกในเล้าของความโง่ ทีนี้ผู้เปิดประตูให้สัตว์ออกมาเสียจากคอก จากเล้าคือคำว่า ครู พอบอกว่าครูเป็นอย่างนี้ก็สั่นหัว ไม่เอา ไม่รับเกียรติยศอันนี้ มันสูงเกินไป มันเป็นเรื่องทางจิต ทางวิญญาณ คร่ำครึโบราณเกินไปไม่เอา เราเป็นครูสมัยนี้ เราไม่ต้องทำถึงอย่างนั้น มันก็ไม่เอาทั้งนั้น จะชวนให้เป็นครู เป็นปูชนียบุคคลก็ไม่เอา จะชวนให้เป็นครูผู้สร้างโลกก็ไม่เอา จะชวนให้ครูผู้เปิดประตูทางวิญญาณก็ไม่เอา อยากจะเป็นผู้ประกอบอาชีพหาเงินมาหล่อเลี้ยงความสุข สนุกสนานทางอายตนะเหมือนคนทั่วไป คนทั่วไปเขาทำงาน ได้เงินมาก็ไปซื้อปัจจัยแห่งความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางเนื้อทางหนังที่เราเรียกสั้นๆ ว่า กามารมณ์ นี่คือคนทั่วไป นี้ครู ถ้าเป็นครู มันไม่ทำอย่างนั้น มันประกอบหน้าที่เปิดประตูทางวิญญาณ ท่านอยู่ในฐานะเป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือ เอาเงินเดือนมาซื้อหาปัจจัยแห่งกามารมณ์ นี่ไม่ใช่ว่าจะด่าทอ กระทบกระทั่งอะไรนะ พูดตรงๆ อย่างนี้ว่า ครูนี้ไม่ใช่ผู้รับจ้างสอนหนังสือ เอาเงินมาซื้อปัจจัยแห่งกามารมณ์ ถ้าทำอย่างนั้นมันก็คือคนธรรมดา มันไม่มีความเป็นครู เป็นลูกจ้างสอนหนังสือ ไม่มีความเป็นปูชนียบุคคล แล้วก็ไม่ ไม่ ไม่ใช่ผู้สร้างโลก คือไม่ได้ตั้งใจจะสร้างเด็กๆ ให้ดี เพื่อเป็นโลกที่ดีในอนาคต แล้วก็ไม่เปิดประตูทางวิญญาณ เด็กๆ ก็เลยไม่เคารพครู ไม่เหมือนสมัยโบราณ ซึ่งครูสอนฟรี สอนไม่เอาค่าตอบแทนอะไร ครูบาอาจารย์ รุ่นดึกดำบรรพ์ เขาเป็นเรื่อง เขาชอบ เขาเป็นครูสอน หรือแม้แต่ครูบาอาจารย์ ที่วัด นี้มันก็สอนชนิดที่ไม่ได้เก็บค่าสอน ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มันเพิ่งมีขึ้นชั้นหลังนี่ เมื่อจัดแผนใหม่ มันก็มีเงินเดือนครู มีอะไรให้ครู จนเดี๋ยวนี้ก็เป็นอาชีพชนิดหนึ่งเท่านั้น อาชีพธรรมดาชนิดหนึ่งเท่านั้น เป็น เป็นครูทำงานได้เงินมา หล่อเลี้ยงการเป็นอยู่อย่างคนธรรมดาทั่วไป ซึ่งหมายถึงว่า นำมาซื้อหาปัจจัยแห่งความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางอายตนะ อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างนี้เรียกว่าอายตนะ เราจะหล่อเลี้ยงความเอร็ดอร่อยทางอายตนะ เราเอาเงินไปซื้อหามา ที่เวลานี้มันเปิดไอ้สำนักงานอย่างนี้ขึ้นเต็มไปหมด มันก็หลงกันใหญ่ ไอ้เด็กๆ ก็หลงกันใหญ่ ตั้งแต่เล็กๆ เด็กๆ มันก็เรียน คือมุ่งหมายอย่างเดียว เรียนจบเมื่อไร ได้เงินเดือนก็จะไปเข้าบ่อน เข้าสถานที่ เสนอปัจจัยทางกามารมณ์ แล้วเด็กๆ ของเรามันก็เริ่มมีจิตใจต่ำทรามตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ยังไม่ทันจะเรียนสำเร็จ มันก็ชิงสุกก่อนห่าม ยุ่งกันไปหมด นี้ถ้าว่าครูเป็นปูชนียบุคคล คุม ควบคุมเด็กไปได้ตามแนวของการศึกษา ทุกคนรักครู เคารพครู เชื่อฟังครู กตัญญูต่อครู ซึ่งแต่ก่อนก็เป็นอย่างนี้ ในเมืองไทยหาดูได้ ว่าผู้เป็นใหญ่ เป็นโต มีอำนาจวาสนาในบ้านในเมืองมาพบครูแก่ๆ ปอนๆ คร่ำคร่าอยู่กลางถนนก็ยังโค้งเคารพครู ยังกลัวครูคนนั้นเหมือนเมื่อยังเป็นนักเรียน เหมือนสมัยเป็นนักเรียน เคารพครูอย่างไร เดี๋ยวนี้เป็นนายคน เป็นจอมคน เจอะครูที่ไหนก็ยังเคารพครู กราบไหว้ครู สมัยก่อนเป็นอย่างนั้น สมัยนี้ไม่มี เพราะว่าครูมันตกต่ำ เกียรติของครูมันตกต่ำ นักเรียนไม่ได้กลัว รักเคารพ กตัญญูต่อครูตลอดชีวิตเหมือนแต่ก่อน แต่เขาพูดว่าที่ประเทศญี่ปุ่นยังมีอยู่ พูดอย่างนี้ไม่รู้ว่าจะ จะประจานตัวเองหรืออย่างไร ที่ประเทศญี่ปุ่นนี่ยังมีคนสูงสุดเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีหรือว่าคนเป็นนายคนอย่างนั้นมันเคารพตา แก่ๆ คร่ำคร่ากลางถนน เป็นที่สงสัยว่าอย่างไร มันคือครู เป็นครูเมื่อยังสมัยเด็กๆ ที่ประเทศญี่ปุ่นน่ะยังมี ยังหาดูได้ เขามาเล่าให้ฟัง นี่มาสงสัยว่าเมืองไทยน่ะมีหรือไม่ เพราะว่าไอ้ความเป็นครูมันลดลงไปหมด เพราะนั้นถ้าครูปั้น วิญญาณของเด็กๆ ให้ดี ให้ถูกต้อง มันก็ยังคงเหลืออยู่ สมัยก่อนนู้นน่ะมันๆกลัวครูยิ่งกว่ากลัวพ่อแม่ เคารพครู รักครู จะพบที่ไหนก็ต้องกราบไหว้กันที่นั่น ไอ้คนที่ยังไหว้ครูได้อยู่ ไอ้คนนั้นมันรับประกันได้ว่ามันไม่เลว มันยังมีศีลธรรม ทีนี้คนหนุ่ม คนสาวบางคนเห็นครูมาแต่ไกล หลบๆๆเสียไม่ให้เจอหน้า กลัวจะไปไหว้ครูกลางถนน เคารพครูกลางถนน มันเปลี่ยนอย่างนี้ ไม่อยากจะไหว้ครู เคารพครู จึงหลบเสียไม่ให้ไปเจอะกันที่ไหน นี่ความตกต่ำทางจิตใจ ของความเป็นศิษย์ เป็นครู คุณคงจะประสบด้วยตัวเองล่ะ ที่ว่า เด็กๆ มันไม่เคารพครู ไม่ซื่อตรง ไม่กตัญญู เพราะว่าไอ้การศึกษาหมาหางด้วนเนี่ย มันจะทำให้เป็นอย่างนั้น มันไม่สอนให้คนมีศีลธรรม มันก็ไม่อยากที่จะเคารพครู กระทั่งพ่อแม่ มันก็ไม่รัก ไม่เคารพ ไม่ซื่อสัตย์ ไม่กตัญญู เดี๋ยวนี้มันมีคนทำอันตรายพ่อแม่ เป็นอันธพาล ถึงทำลาย ทำอันตรายพ่อแม่ เพราะแม่ไม่ให้เงินไปเที่ยวสถานแห่งกามารมณ์ ทุบตีพ่อแม่ และยังมาฆ่ากันตายก็มี เดี๋ยวนี้มันมี ก็เพราะว่าพ่อแม่ไม่ให้เงินไปเที่ยวสถานกามารมณ์ เพราะว่าชายหนุ่มคนนั้นมันไม่มีการศึกษาที่ถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ มันจะมาตั้งแต่แรกเลย พ่อแม่เองก็อบรมไม่ดี ที่โรงเรียนอบรมไม่ดี ออกโรงเรียนไปแล้วมันก็บูชาไอ้สิ่งเหล่านี้ มันก็เลยต้องทำอย่างนั้น นั้นอันธพาลมันจะมากขึ้น เพราะการศึกษาไม่สมบูรณ์จึงไม่ทำให้คนมีศีลธรรม ทีนี้ถ้าพลเมืองมันเป็นอย่างนี้แล้วก็ เป็นเมืองอันธพาลน่ะ รัฐบาลไหนก็ปกครองให้มีความสงบสุขไม่ได้ นี่ถ้าว่าประชาชนพลเมืองไม่มีศีลธรรม ไม่มีรัฐบาลไหนจะปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขได้ พูดเท่านี้คุณก็มองเห็น ก็คือไม่มีคนที่จะสนองให้ความประสงค์ของสังคม ของรัฐบาลที่จะให้อยู่เย็นเป็นสุข มันเอาแต่ตัวกู ของกูเรื่อยไป นี่เขาไม่จัดการศึกษาเพื่อพลเมืองมีศีลธรรม แต่เขาจัดการศึกษาเพื่อเศรษฐกิจบ้าง เพื่อประชาธิปไตยบ้าง คนก็ไม่มีศีลธรรม ประชาธิปไตยเลยเถิด มันก็ไม่มีศีลธรรม มันเพื่อตัวกูนี่ ประชาธิปไตยมันเพื่อตัวกูทั้งหมด มันไม่ใช่เพื่อธรรมะ นี่การเศรษฐกิจก็เพื่อตัวกู ให้รวย แล้วก็เพื่อจะบีบคั้น ขูดรีด เศรษฐกิจ จัดการศึกษาเพื่อเศรษฐกิจก็ทำให้คนเป็นนักบีบคั้นขูดรีด จัดการศึกษาเพียงให้มันเป็นประชาธิปไตยอย่างเดียว มันก็คือทำให้คนเป็นคนเห็นแก่ตัวโดยส่วนเดียว ไม่เห็นแก่ธรรม ไม่เห็นแก่ธรรมะ มันไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาที่มี มีอยู่นี้ได้ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ปํญหาการปกครองฉ้อราษฏร์บังหลวง ปัญหาสังคมต่างๆ นานานี้ ไม่อาจจะหายไปได้ ไม่อาจจะแก้ได้ ถ้าการศึกษามันไม่ทำให้คนมีศีลธรรม เหมือนอย่างที่กำลังเป็นอยู่ มันเป็นการศึกษาหมาหางด้วน รู้แต่หนังสือกับอาชีพ นั้นพลเมืองก็จะเป็นพลเมืองเลวมากขึ้น ไม่มีรัฐบาลไหนจะปกครองพลเมืองเลวให้เป็นสุข สันติสุขได้ ต่อให้สิบรัฐบาลมันก็ปกครองไม่ได้ สำหรับพลเมืองที่เลว มันบังคับกันไม่ได้ มันพร้อมจะหลีกเลี่ยงเรื่อย คดโกงกับขูดรีด นั้นถ้ารัฐบาลเขาจะเร่งรัดจัดสรรการศึกษาให้เด็กของเรามีศีลธรรม โตขึ้นเป็นพลเมืองที่มีศีลธรรม อย่างนี้เกือบไม่ต้องปกครอง มันดีเอง ถ้าพลเมืองมีศีลธรรมมันก็ปิด ปิดคุก ปิดตาราง ปิดศาล ปิดอัยการ ปิดตำรวจ ปิดอะไรได้หมด ถ้าพลเมืองมันมีศีลธรรม เดี๋ยวนี้มันตรงกันข้าม เราก็เลยต้องเพิ่มคุก เพิ่มตาราง เพิ่มตำรวจ เพิ่มอะไรอีกมากมาย แต่แล้วก็ยังไม่ได้ ยังจะไม่ได้ความสงบสุข เพราะตัวพลเมืองมันเป็นพลเมืองเลว ไม่มีศีลธรรม เห็นไหมว่ามันขึ้นอยู่กับครู ถ้าครูทำให้เด็กๆ มีศีลธรรม เป็นเด็กดี เป็นพลเมืองดีปัญหาก็หมด เพราะว่าครูนี้สร้างชาติ สร้างบ้าน สร้างเมือง สร้างโลกเลย ถ้าทั้งโลกมันเป็นอย่างนี้ ครูคือผู้สร้างโลก แล้วก็มีพระคุณอยู่เหนือเกล้า เหนือเศียรของคนทุกคน เพราะเป็นผู้ทำโลกให้มีความสงบสุข เราเห็นชัดอยู่ในตัวกันเอง แล้วว่าครูเป็นผู้เปิดประตูคอกเล้าทางวิญญาณ ให้สัตว์ออกมาเสียจากความโง่ ความหลง ความผิด ออกมาสู่แสงสว่าง ความถูกต้อง ความสะอาด ครูผู้เปิดประตูทางวิญญาณ หรือเป็นผู้นำในทางวิญญาณ เป็นปูชนียบุคคล เพราะว่าให้สิ่งสูงสุดแก่มนุษย์ และเป็นผู้สร้างโลกตามที่ควร ที่ควรจะต้องการ โลกแห่งสันติภาพ ที่เรียกกันว่าโลกพระศรีอริยเมตรัยหรือโลกอะไรก็ตาม หรือว่าโลกที่มีแต่ความสงบสุข นี้คำว่าครู พูดไปคนเดียว บ้าไปคนเดียว ไม่มีใครยอมรับอุดมคติ รับความเป็นครูอย่างนี้ เขาสั่นหัวนะ ชวนเป็นปูชนียบุคคลก็สั่นหัว ชวนเป็นผู้สร้างโลกก็สั่นหัว ชวนเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ก็สั่นหัว เพราะว่า ต้องการแต่เงินเดือนไปซื้อหาปัจจัยทางกามารมณ์ พูดบ้าไปคนเดียวก็ ยัง ยังสมัคร จะพูดบ้าไปคนเดียว ยังไม่เปลี่ยนการพูด ไม่เปลี่ยนอุดมคติ พูดบ้าไปคนเดียวอย่างนี้ พูดวิทยุ ๓๑ ครั้งแล้วก็พูดแต่เรื่องนี้ ศีลธรรมกลับมานี่
เอ้า,ทีนี้ก็จะพูดต่อไป ถึงแม้ว่าจะไม่ ไม่ ไม่ยอมรับ เรื่องนี้ ก็พูดให้ตลอดไปว่าไอ้ธรรมะมันจำเป็นอย่างไรสำหรับมนุษย์ ทีนี้ไม่พูด ไม่เกี่ยวกับครูละ พูดเกี่ยวกับธรรมชาติ เกี่ยวกับธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง ว่าไอ้ธรรมะนี้มันเป็น ถ้าพูดกันโดยผล พูดกันโดยผลก่อน มันเป็นเครื่องดับทุกข์ของบุคคลและของสังคม ถ้ามีธรรมะ มันจะดับทุกข์ทั้งของบุคคลและของสังคม คนแต่ละคน ละคน มีความทุกข์ เพราะกิเลสของตน ของตน คือความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วก็เป็นทุกข์ กิเลสทำให้เป็นทุกข์ ความโลภก็ทำอย่างหนึ่ง ความโกรธก็ทำอย่างหนึ่ง ความหลงก็ทำอย่างหนึ่ง ก็เป็นทุกข์ ทนทรมานหนักเข้า หนักเข้า มันก็เป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต บ้าไปเลย ตายไปเลย ถ้าเรามีธรรมะเราควบคุม สิ่งเหล่านี้ได้ เราศึกษารู้ต้นเหตุแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็ควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ เราก็สบาย เราก็ไม่มีปัญหาจิตใจ เดี๋ยวนี้มัน มันทำอย่างโง่เขลา เช่น เช่น อยากหรือต้องการ โลภ มันก็ทำไปอย่างโง่เขลาจนทรมานจิตใจและเป็นทุกข์ ไม่ควรโกรธ มันก็โกรธ ถ้ามีธรรมะมันก็ไม่ต้องโกรธให้ตัวเองเดือดร้อน มันก็ไม่ต้องหลง คือไม่ต้องทำผิด ทำถูกในสิ่งที่มันเป็นหน้าที่ของตน เดี๋ยวนี้ก็ดูเถอะ มัน มันมีอะไรบ้าง ดูที่ตัวเราก็ได้ เรานอนหลับสนิทดีอยู่หรือ เราไม่ต้องปวดหัวกับเขาไหม โรคประสาทกำลังรบกวนหรือเปล่า เดี๋ยวนี้โรคประสาทมันรบกวน แม้แต่ขนาดเด็กนักเรียน เด็กนักเรียนเริ่มเป็นโรคประสาทกันแล้ว เมื่อก่อนเป็นสมบัติสำหรับสำหรับคนแก่ นี้มันลงไปถึงเด็กนักเรียนเป็นโรคประสาท นอนไม่หลับ ปวดหัวบ้าง เรียนไม่ได้บ้าง บางทีมันอยากเรียนอย่างโง่เขลา อยากมากเกินไปจนเป็นโรคประสาท เรียนไม่ได้อย่างใจ มันก็โกรธตัวเอง ก็เป็นโรคประสาท มันก็มีอาการเป็นทุกข์ ทรมาน ชนิดที่พอทนได้ แต่มันทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสมัยก่อน มนุษย์ไม่เป็นอย่างนี้ มนุษย์ไม่มีปัญหาอย่างนี้ และไม่ต้องเรียนอะไรด้วย สมัยก่อน ดึกดำบรรพ์ สมัยที่ว่ายังไม่เจริญ เขาไม่ต้องเรียนอะไร ปัญหามันก็ไม่มี ทีนี้พออยากดี อยากรวย อยากสวย อยากอะไรก็ตาม มันก็มีปัญหา เมื่อแก้ปัญหานี้ไม่ได้มันก็ต้องเป็นทุกข์ แต่ก่อนหน้านั้นมันก็เป็นโรคประสาทกันไปพลาง เปรียบเทียบแล้วมันก็น่าสังเวช ไอ้แมวไม่ต้องกินยาปวดหัว ไม่ต้องกินยาแก้นอนไม่หลับ แต่คนมันต้องกิน มันต้องกินยานอนหลับ กินยาแก้ปวดหัว กินยาแก้ประสาท ทำไมมันเป็นอย่างนี้ มันมีความผิดอยู่ที่ตรงไหน มันควรจะสน สนใจกันบ้าง มิฉะนั้นมันก็จะอายแมว ละอายแมวที่มันไม่เคยปวดหัว ธรรมะเท่านั้นน่ะที่เข้ามาแล้วมันทำให้ประพฤติปฏิบัติถูกต้อง ไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องนอนไม่หลับ ไม่ต้องทรมานจิตใจจนเป็นโรคประสาท นี่เรียกส่วนบุคคลจะไม่มีความทุกข์ เพราะมันทุกข์ด้วยกิเลส เมื่อไม่มีกิเลส มันก็ไม่เป็นทุกข์ นี่พูดรวมๆ อย่างนี้ รู้จักปล่อยวาง รู้จักสูงสุดไปถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สรุปว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นเช่นนั้นเองตามเหตุ ตามปัจจัยของมัน คนมันโง่ มันจะให้เป็นไปตามความต้องการของมัน มันก็เป็นไปไม่ได้ แล้วมันก็เป็นทุกข์ แล้วมันก็เป็นโรคประสาท เป็นบ้าไปเลย ทุกสิ่งในโลก ทางด้านวัตถุก็ดี ด้านจิตใจก็ดี มีเหตุปัจจัยของมันเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยของมัน เราต้องรู้เรื่องนั้นให้ถูกต้อง จึงจะควบคุมไอ้ความเป็นเช่นนั้นเองไปในทางที่ถูกต้อง คือป็นเช่นนั้นเองไปในทางที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้มันมีแต่เช่นนั้นเองในทางที่จะให้เป็นทุกข์ ความรู้ธรรมะมันไม่มี ถ้าความรู้ธรรมะมันมี มันก็ควบคุมไอ้ความเป็นเช่นนั้นเองที่จะเป็นทุกข์ไว้ได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ แล้วมันก็เป็นไปตามที่จะเป็นสุข ปัญหาของคน ส่วนตัวบุคคลก็หมดไปเพราะธรรมะ
ทีนี้ก็สังคม คุณก็เห็น ไม่ต้องอธิบาย ถ้ามีธรรมะคนไม่เบียดเบียนกัน คนก็เป็นคนเป็นมนุษย์ ที่ไม่มีการเบียดเบียนกัน ถ้ามันเป็นมนุษย์ สังคมมันก็เป็นสุข เดี๋ยวนี้มันเป็นทุกข์เพราะเบียดเบียนกัน ตั้งแต่ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล กับกลุ่มบุคคล ประเทศกับประเทศ แล้วก็กลุ่มประเทศกับกลุ่มประเทศ อย่างว่าเดี๋ยวนี้ในโลกนี้เขาแบ่งเป็นกลุ่มๆ ประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกันมันก็จับกลุ่มกันกลุ่มหนึ่ง นั้นประเทศที่มันมีผลประโชน์ร่วมกันอย่างอื่น มันก็จับกลุ่มกันอย่างอื่น นั้นในโลกนี้ มีการต่อสู้ รบราฆ่าฟันกันโดยเปิดเผยบ้าง โดยเร้นลับบ้าง ในระหว่างกลุ่มของประเทศที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ที่เราจะเรียกว่ากลุ่มคอมมิวนิสต์บ้าง กลุ่มเสรีประชาธิปไตยบ้าง กลุ่มอะไรบ้าง ทั้ง ทั้งหมดต้องการประโยชน์ รบราฆ่าฟันต่อสู้กันก็เพื่อประโยชน์ เพราะทุกคนบูชาประโยชน์ คอมมิวนิสต์ก็บูชาประโยชน์ เสรีประชาธิปไตยก็บูชาประโยชน์ แล้วก็มาแย่งประโยชน์กัน ก็ต่อสู้กัน ทำสงครามเปิดเผย ยิงกันตาย ทำสงครามเร้นลับใต้ดิน มีการเมืองอยู่ใต้ดินไว้เก็บคน ฝ่ายตรงกันข้าม เรียกว่ามีสงครามอยู่ตลอดเวลาในหมู่มนุษย์ผู้ไม่รู้จักธรรมะ เพราะว่าตัดการศึกษา ตัดศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา มันก็หลงบูชาประโยชน์ ยิ่งกว่าพระเป็นเจ้า ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ หมด จนเป็นเหตุให้ต้องรบราฆ่าฟันกันเป็นการถาวร เรียกว่าวิกฤติการณ์อันถาวรในหมู่มนุษย์ จะต้องรบราฆ่าฟันกันไปเรื่อย ถ้าธรรมะเข้ามามันก็ไม่ต้องมี ธรรมะไม่เข้ามาก็ต้องมีสงครามนี่เรื่อยไป เราไม่ได้ไปทำสงครามกับเขาก็เดือดร้อน นี่เขารบกันที่ยุโรป ที่อเมริกา เราไม่ได้ไปเข้าสงครามกับเขา เราก็เดือดร้อน เพราะว่าผลพลอยได้ ปฏิกิริยาต่างๆ มันมาถึงกัน ทำให้ของแพง ทำให้อะไรขาดแคลน ทำให้มีการทุจริต เรียกว่าถ้ามีวิกฤติการณ์ขึ้นแล้ว มันก็เดือดร้อนถึงกันไปหมดทั้งโลก วิกฤติการณ์เหล่านี้แก้ไม่ได้ด้วยสิ่งอื่น นอกจากด้วยธรรมะ ธรรมะจำเป็นสำหรับโลกที่จะดับทุกข์ส่วนบุคคล จะดับทุกข์ส่วนสังคม ใครจะรู้เรื่องนี้ มันก็ผู้ที่เล่าเรียนศึกษาจะรู้ เล่าเรียนศึกษาจากใคร มันก็จากครูนั่นแหละ เพราะนั้นครูบาอาจารย์ ไปบอกให้เขารู้ทีว่าไอ้โลกมันเป็นอย่างนี้ จะต้องมีธรรมะ สำหรับแก้ปัญหาของมนุษย์ ทำมนุษย์ ทำคนให้เป็นมนุษย์ ทำคนให้เป็นคนคือทำคนให้เป็นมนุษย์ นี่ธรรมะหมายถึงสิ่งนี้ เมื่อกล่าวโดยผล นั้นขอฝากไว้ช่วยเอาไปสอนลูกศิษย์ในอนาคตให้มันรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ คือสิ่งที่มันจะดับทุกข์ของโลก นี้ในโรงเรียนเขาสอนกันแต่เพียงว่าธรรมะ ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และก็ไม่ได้บอกว่าสอนอย่างไร มันเกือบจะไม่มีประโยชน์อะไร จะไปบอก สอนต่อๆ ไปว่าธรรมะน่ะมันเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อว่าจะดับทุกข์ ของคน ของโลก พูดโดยตัวหนังสือกันบ้างก็ได้ ธรรมะนี่ มันเป็นคำที่ตายตัว ไม่ต้องแปลอีกแล้ว แปลเป็นภาษาอะไรก็ไม่ได้ ถ้าคุณยังไม่ทราบ คุณทราบเสียว่าไอ้คำนี้มันประหลาด อยู่ในพวกที่ประหลาด จำพวกที่ประหลาด แปลเป็นภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ ภาษาฝรั่งเศสก็ไม่ได้ จีนกลางก็ไม่ได้ทั้งนั้น คำนี้ ต้องคงไว้ตามเดิมว่าธรรมะ มันจึงเข้าไปอยู่ในปทานุกรมอังกฤษ ปทานุกรมเยอรมัน ปทานุกรมทั่วไปหมดแล้ว คำว่าธรรมะ มันแปลไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ หมายถึง ทุกสิ่งจนไม่รู้จะแปลว่าอะไร โดยตัวหนังสือมันเป็นอย่างนี้ ธรรมะนี่ แปลว่า ธรรมชาติ ธรรมชาติทุกอย่าง รูปธรรม นามธรรม ดีชั่ว อะไรก็ตาม ธรรมชาติทั้งหลายนี่ก็ เรียกว่าธรรม ธรรมะคำเดียว มันมีกฎของธรรมชาติที่ซ่อนเร้นอยู่ในธรรมชาติทั้งหลาย ไอ้กฎนั้นก็ยังคงเรียกว่า ธรรมะ แม้ที่กฎวิทยาศาสตร์อันลึกซึ้ง มันก็ขี้ผงนิดเดียวที่รวมอยู่ในคำว่ากฎแห่งธรรมชาติ หรือ ธรรมะ นี้หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติสำหรับสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายนั้นมีหน้าที่ หน้าที่นั้นก็เรียกว่าธรรมะ หรือธรรม ที่เขาปฏิบัติหน้าที่และได้ผลอะไรเกิดขึ้น เป็นสุข ทุกข์ ผลทางโลก ผลทางเงินทอง ผลทางมรรคผล นิพพาน ผลที่ได้รับก็เรียกว่า ธรรมะ ตัวธรรมชาตก็ธรรมะ ตัวกฎของธรรมชาติ ก็ธรรมะ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็ ธรรมะ ผลที่เกิดจากหน้าที่ก็ ธรรมะ แล้วคุณจะแปลคำว่าธรรมะ นี้แปลว่าอะไร ก็แปลอย่างกำปั้นทุบดิน ทอดแหคลุมว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ถูกเหมือนกันแหละ คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนเรื่องนี้ทั้งหมด แต่เราไม่อาจจะแปลคำว่า ธรรมะว่าอะไรเป็นภาษาอื่นหรือภาษาต่างประเทศ นี้ในสี่อย่างนั้น คือตัวธรรมชาติก็ดี กฎของธรรมชาติก็ดี หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็ดี หรือผลของมันก็ดี อันที่เรียกว่า หน้าที่ สำคัญที่สุด หน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ เพื่อความรอดอยู่ หรือเพื่อความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป นั้นดูปทานุกรมในวงแคบที่ใช้อยู่ในประเทศอินเดีย ธรรมะก็แปลว่า หน้าที่ ธรรมะแปลว่า หน้าที่ หน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำนั้นน่ะ เรียกว่า ธรรมะ ในเมื่อบ้านเรา แปล ธรรมะว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่อินเดียเอง ที่เป็นต้นตอของคำนี้ก็จะแปลว่า หน้าที่ ใช้คำว่าหน้าที่เฉยๆ ก็ได้ มันคือว่าไอ้สิ่งที่มีชีวิต แล้วก็ต้องทำหน้าที่ ถ้าไม่ทำหน้าที่มันก็ต้องตายแหละ หรือมันเจริญขึ้นไปไม่ได้ เช่น เราเป็นคนอย่างนี้ เราก็ต้องกินอาหาร ต้องบริหารกาย ต้องมีอะไรอยู่ หน้าที่ทั้งนั้นเลย นี่ ไม่ ไม่ตายเพราะว่าปฏิบัติหน้าที่ นี้ไม่ตายแล้ว มันก็ยังไม่มีอะไรดี ต้องทำหน้าที่อีกหลายอย่างเพื่อให้มันดี เพื่อให้มันสูงสุดของความเป็นคน จนบรรลุมรรคผล นิพพานนั่นแหละคือ หน้าที่ ผู้ใดทำหน้าที่ ผู้นั้นประพฤติธรรมะ ผู้ใดประพฤติธรรมะ ผู้นั้นเป็นผู้ประกอบการกุศล หรือบำเพ็ญบุญอยู่ เช่น ครูทำหน้าที่ของครูอยู่ ก็เรียกว่าครูนั้นปฏิบัติธรรมะ เป็นบุญเป็นกุศลอยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มาวัดก็ได้ ขอให้ทำหน้าที่ของมนุษย์ ตรงต่อหน้าที่ ตรงต่อความต้องการ ความจำเป็นของมนุษย์ นั้นไปดูให้เห็นว่าหน้าที่ คือธรรมะ ใครทำหน้าที่ คนนั้นปฏิบัติธรรมะ คนนั้นบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญกุศล คนนั้นควรจะยกมือไหว้ตัวเองได้ เพราะมันมีความดีความประเสริฐสูงสุดอยู่ในหน้าที่ เดี๋ยวนี้เราไม่อยากนี่ เราไม่อยากทำอะไร เราอยากจะทำงานแต่น้อย เอาเงินมาก เอาเงินมากๆ ไปซื้อหาความสุขสนุกสนาน เราไม่อยากทำงาน โดยแท้จริงใครอยากทำงานบ้าง มันอยากอยู่นิ่งๆ ไม่ต้องทำงานทั้งนั้นแหละ ที่อุตส่าห์เรียนนี่ก็เพื่อได้เงินได้ทำงานเบาๆ ไม่ต้องทำงานหนัก เพราะว่ามันไม่อยากทำงานนี่ ถ้าโกงเวลาได้ก็โกงเวลาเลย รับเงินเดือนด้วยหน้าที่ โกงเสียบ้างไม่ต้องทำ เพราะว่ามันไม่อยากทำงานนี่ อาชีพอะไร มันก็จะเป็นอย่างนั้นไปเสียหมด ไปคิดกันใหม่เถอะ เมื่อทำหน้าที่นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมะมีค่ายิ่งกว่าเงินเดือนเสียอีก ที่จะได้ ที่กำลังจะได้เสียอีก เพราะเราได้ปฏิบัติธรรมะ ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ทำ หน้าที่ภารโรงก็ได้ หน้าที่ถีบสามล้อก็ได้ หน้าที่ล้างท่อถนนก็ได้ หน้าที่แจวเรือจ้างก็ได้ มันเป็นหน้าที่สำหรับมนุษย์แล้วก็ทำเถอะ มันจะเป็นการปฏิบัติธรรมะ คือหน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตมันจะต้องทำ เพื่อว่ามันจะมีอาหารกิน มีปัจจัยทั้งสี่ เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยอยู่ แล้วก็รอดตาย แล้วมันก็จะได้ทำอะไรดีๆๆ ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ที่มันได้ง่ายๆ ได้เดี๋ยวนั้นเลยก็คือว่าไอ้เหงื่อน่ะมันล้างกิเลส ถ้าไม่เคยออกเหงื่อ ไปทำให้มันออกเหงื่อเสียบ้าง เพราะว่าเหงื่อนั่นมันจะล้างกิเลส กิเลสคือความเห็นแก่ตัว ช่วยภารโรงล้างส้วมก็ได้ มันคือแย่งกันปฏิบัติธรรมะ อย่าให้ส้วมที่วิทยาลัยของคุณน่ะ สกปรกกว่าส้วมที่วัด มีคนพูดหลายคนแล้ว พวกที่มาจากมหาวิทยาลัย แล้วเขาออกปากว่าส้วมที่นี่สะอาดกว่าที่มหาวิทยาลัยของเขา เพราะที่นี่แม้แต่พระก็ช่วยล้างส้วม เมื่อชาวบ้านมาพักทำส้วมสกปรก แล้วให้พระช่วยล้าง พระก็ถือว่าปฏิบัติหน้าที่ คือปฏิบัติธรรมะ นั้นถ้ามีเหงื่อออกมามันก็ล้างไอ้ความเห็นแก่ตัว ไม่มีเคย ไม่เคยมีเหงื่อออกเลยก็มากไปด้วยความเห็นแก่ตัว ให้เหงื่อมันล้างกิเลส ความเห็นแก่ตัว คุณก็จะดีขึ้น ดีขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ ไปช่วยภารโรงล้างส้วมเมื่อไหร่แล้วกลับมาไหว้ตัวเองสักยี่สิบ สามสิบครั้งแลย เพราะไม่มีใครอยากทำ ไม่ถือว่าไอ้หน้าที่นั้นคือธรรมะ นี่ธรรมะเป็นอย่างนี้ คำว่าธรรมะคำเดียวนี่จะไปสอนนักเรียนให้รู้ แล้วมันยังมีลึกๆ ความหมายลึกๆ แต่คำทุกคำที่เรายังไม่รู้และไม่สอน ขอฝากไปด้วย คำบางคำเช่น คำว่า ศาสนา อย่าเพียงแต่ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า มันต้องบอกเด็กๆ ให้รู้ว่า มันปฏิบัติแล้วดับทุกข์ เรียกว่าศาสนา คำว่า นิพพาน แปลว่า เย็นอกเย็นใจ ไม่ได้แปลว่า ตาย ครูคนไหนสอนเด็กๆ ว่านิพพานแปลว่า ตาย ใช้สำหรับพระพุทธเจ้าแล้ว ครูคนนั้นบ้าที่สุดเลย เพราะคำว่านิพพานนั้นไม่ได้แปลว่าตาย พระพุทธเจ้านั้นตายไม่ได้ พระอรหันต์นั้นตายไม่ได้ พระพุทธเจ้ายังอยู่กับท่านเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้าจริงนี่ยังอยู่กระทั่งเดี๋ยวนี้ ตายไม่ได้ จะใช้คำว่า ตายกับพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ ใช้คำว่านิพพานก็ไม่ได้ เพราะว่านิพพานไม่ได้แปลว่าตาย ถ้าจะให้นิพพานแปลว่า ตาย ก็ว่าตายแห่งกิเลสได้ ถ้ากิเลสตายนั่น คือนิพพาน อย่าเอาคำว่า นิพพาน ไปใช้เป็นการตายของพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าโดยแท้จริงนั้นตายไม่ได้ ถ้าร่างกายของพระพุทธเจ้าดับ เพราะความแก่เฒ่าชรา เขาเรียก ดับอย่างมีนิพพาน ไม่ใช่ว่านิพพานนั้นเป็นการแตกดับของร่างกาย ดับอย่างมีนิพพานคือ เย็น เมื่อจิตเย็นก็ไม่มีกิเลส นั่นน่ะเรียกว่า นิพพาน นิพพานแปลว่า เย็น อะไรที่ร้อน ที่ลุกเป็นไฟ ดับเย็นนั้นคือนิพพาน ไม่ต้องตาย แต่ว่านั่นดับเย็นแล้วกัน เย็นอกเย็นใจเมื่อไร ว่างในอกเมื่อไร เมื่อนั้นนิพพาน บางเวลาเราก็นิพพานอยู่ ใน ในมาตรฐานน้อยๆ หรือชั่วขณะสั้นๆ เมื่อใดกิเลสไม่เกิดขึ้นในใจของเรา ใจของเราไม่ร้อน เมื่อนั้นเรียกว่า เรามีนิพพาน มีความเย็นอก เย็นใจ โดยที่เราไม่ต้องตาย เพราะคำว่านิพพานนี้แปลว่า ดับ ดับแห่งของร้อน ปชฺโช ตสฺเสว นิพฺพานํ นิพพานังแห่งไฟ คำว่า นิพพานนี้ คำนี้แปลว่า ดับแห่งไฟ ปชฺโช ตสฺเสว แห่งไฟนั่นเชียว นิพพานัง ดับแห่งไฟ เพราะว่าไฟเป็นของร้อน เป็นของลุกขึ้นมา ร้อน ดับลงไปก็เรียกว่า ไฟนิพพาน อะไรก็ตามที่มันร้อน เย็นลงไปเรียกว่า นิพพาน กาแฟร้อนนัก ดื่มเข้าไปไม่ได้ ต้องรอสักครู่ มันนิพพานลงหน่อย พอเกือบจะดื่มได้ก็เรียกว่านิพพาน ในภาษาบาลี แกงกับ ข้าวสุก ข้าวต้มในครัว ยังไม่นิพพาน ยังกินไม่ได้ต้องรอหน่อย จนกว่ามันนิพพานถึงขนาดที่กินได้ ให้ถือเสียเลยว่านิพพานแปลว่าเย็น วัตถุเย็นก็เย็นทางวัตถุ ใจเย็นก็เย็นทางใจ ไอ้เย็นอกเย็นใจ นั่นคือนิพพานที่มนุษย์ต้องการ เรามีความปรกติว่างจากกิเลสเมื่อไร ก็มีนิพพานเมื่อนั้น ถ้าไม่มีนิพพานกันเสียเลย บ้าหมดแล้ว ตายหมดแล้ว ไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ ที่มันรอดชีวิตอยู่ได้นั่น เพราะมันมีไอ้ส่วนที่หยุดหรือเย็นนั่น ถัวเฉลี่ยไว้พอสมควร เราจึงไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้า และไม่ตาย รู้จักพระนิพพานไว้ และขอบคุณพระนิพพานด้วย ที่ช่วยให้รอดชีวิตอยู่ได้ ไม่ต้องเป็นบ้าหรือตาย คือหยุดแห่งไฟกิเลส ในจิตในใจของเรา มีอยู่เป็นคราวๆ เราจึงไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้า ไม่ตาย นี่ทุกคำก็มีความหมายเฉพาะ ถูกต้อง นี่เรามาใช้ผิดๆ สอนผิดๆ ว่านิพพานแปลว่า ตาย แปลว่า ตาย ถ้าพระอรหันต์ดับร่างกาย ดับสังขารร่างกาย โดยนิพพาน คือโดยความเย็น ดับอย่างเย็น อย่างมีพระนิพพาน ถ้าดับเย็นเสียตั้งแต่ยังไม่ตาย พอร่างกายแตกดับจะมีปัญหาอะไร ถ้านิพพานกันแล้วตั้งแต่เมื่อหมดกิเลส หมดกิเลสเมื่อไรก็นิพพานเมื่อนั้น ดับเย็นเมื่อนั้น ชีวิตก็ไม่ต้องตาย ก็อยู่เสวยสุขอันเกิดจากนิพพานได้ จนกว่าร่างกายจะแตกดับ ทีนี้ร่างกายแตกดับก็ดับด้วยความเย็นที่เคยบรรลุมาแล้วครั้งกระโน้นเมื่อหมดกิเลส นิพพานไม่ได้ว่าตาย พระพุทธเจ้านั้นโดยเนื้อแท้ ไม่ใช่คน ไม่ใช่ตัวบุคคล แต่หมายถึงคุณธรรม คือธรรมะนั่นเอง พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็รเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม ไอ้ร่างกายนี้ไม่ใช่ ร่างกายนี้แตกดับก็เป็นเรื่องของสังขารร่างกาย พระพุทธเจ้ายังอยู่โดยธรรม โดยวินัย ท่านตรัสไว้เองว่าไอ้ธรรมวินัย จะอยู่เป็น เป็นตถาคต แทนตถาคต เมื่อร่างกายมันแตก แตกดับไป พระพุทธเจ้ายังอยู่เป็นที่พึ่งของเรา ครูบาอาจารย์ช่วยเข้าใจดีๆ ว่า พระพุทธเจ้ายังอยู่ สอนให้เด็กรู้ว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่เพื่อจะเป็นที่พึ่งตลอดไป มิฉะนั้นจะห้าแต้ม จะโง่ห้าแต้ม คือพวกฝรั่งคริสเตียนน่ะก็มาถามคนไทยว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนเดี๋ยวนี้ ไอ้คนที่ไม่มีการศึกษาก็ตอบพวกที่ไปเจอพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว คือตายแล้ว นี้ฝรั่งคริสเตียนเขาก็ถามไอ้คนนั้นว่า นี่ๆคุณจะพึ่งพาอาศัยคนที่ยังอยู่ดี หรือพึ่งพาอาศัยคนที่ตายแล้วดี พระเจ้าของฉันยังอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ตาย พระเจ้าตายแล้ว นี่พวกคุณจะพึ่งคนตายแล้วดี หรือว่าคนยังอยู่ดี ไอ้นั่นมันก็ห้าแต้ม มันก็ตอบไม่ถูก ที่จริงพระพุทธเจ้าที่แท้นั้นไม่ตาย เหมือนกับพระเจ้าไม่ตาย ยังอยู่เดี๋ยวนี้ ท่านก็ตรัสได้เองว่ายังอยู่เดี๋ยวนี้ นั้นช่วยสอนว่าพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นตายไม่ได้ ยังอยู่กับเรา ยังเป็นที่พึ่งอยู่เดี๋ยวนี้ ไอ้พระพุทธเจ้าที่พูดผิดๆ นั่นตายแล้วเผาแล้ว เหลือแต่กระดูก เหลือแต่พระธาตุแล้ว อย่างนี้ เป็นต้น แต่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าไม่ ธรรมะคือตถาคต ตถาคตคือธรรมะ ธรรมะไม่รู้จักตาย จะอยู่เป็นที่พึ่งกับเราตลอดไป เช่นเดียวกับคริสเตียนเขามีพระเจ้าอยู่เป็นที่พึ่งคนของเขาตลอดไป ถ้าเราอธิบายธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ถูก เราก็แย่ แล้วก็ห้าแต้ม แล้วก็เสียเปรียบที่ทำลายศาสนาของตัวเอง ให้กลายเป็นของไม่มีที่พึ่งไปเดี๋ยวนี้ ในเมื่อพวกคริสเตียนเขามีที่พึ่งอยู่เดี๋ยวนี้ตลอดเวลา เพราะว่าพระเจ้าของเขาไม่ตาย คอยช่วยคุ้มครองให้คนอยู่ตลอดเวลา มีคำอีกหลายๆ คำ ไปศึกษาดู มันมีความหมายที่ลึกอย่างนี้ พระพุทธก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี มีความหมายลึกกว่าที่เราสอนกันอยู่อย่างผิดๆ หรืออย่างโง่เขลา พูดว่าอย่างนั้นก็ได้ ครูบาอาจารย์จะเป็นแสงสว่างแก่นักเรียนนักแก่ลูกศิษย์ สอนให้มันถึงขนาด ในบรรดาคำทั้งหลายที่เรารู้กันมาน้อยๆ เช่นว่า นิพพานคือตายอย่างนี้ไปเรียนกันเสียใหม่ ไปสอนกันเสียใหม่
ธรรมะคือสิ่งที่ใช้ดับทุกข์ แต่ว่าธรรมะมันหมายถึงทุกสิ่ง ตัวทุกข์ก็ธรรม ดับทุกข์ก็ธรรม ผลของดับทุกข์ก็คือธรรม เพราะหมายถึงทุกสิ่ง แต่ที่จำเป็นที่ต้องยึดเป็นหลักคือหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่แล้วก็ได้ผล ผลก็คือธรรม แต่ที่จะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์โดยตรงนั้นคือว่าความดับทุกข์ ธรรมะที่เป็นหน้าที่ดับทุกข์ เอามาสอน เอามาสอน สอน สอน สอนให้ทุกคนรู้จักดับทุกข์ สอนธรรมะในโลกนี้ ในโรงเรียน ในเอกสาร ก็สอนให้รู้จักธรรมะสำหรับดับทุกข์ ขอให้ครูบาอาจารย์ สนใจเรื่องธรรม หรือพระธรรม หรือธรรมะนี้จนเอาไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวได้ก่อน ดับทุกข์ของตัวได้ก่อน แล้วก็สอนเด็กๆ ให้รู้จักดับทุกข์ได้ด้วย นี้เรียกว่าทำหน้าที่อย่างพระพุทธเจ้า อย่างสาวกของพระพุทธเจ้าเลย แล้วเป็นครูที่แท้จริงขึ้นมา เพราะเปิดประตูคอกแห่งอวิชชา ความโง่เขลาให้แก่คน เราก็เป็นครูที่แท้จริง ขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ไม่ขึ้นสังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการหรือทบวงการศึกษา เพราะว่าเราดับทุกข์ของมนุษย์โดยวิธีเปิดประตูให้ออกมาเสียจากกองทุกข์ คุณควรจะถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระบรมครู เรียกพระพุทธเจ้าว่าเป็นบรมครู ครูสูงสุด พระสงฆ์ทั้งหลายก็ทำหน้าที่เป็นครูตามแบบพระพุทธเจ้า ไม่ว่าครูที่โรงเรียน ที่วิทยาลัยที่ไหนก็ตาม ถ้าเป็นครูที่แท้จริง ก็ต้องทำแบบนี้ เพราะมันไม่มีหน้าที่อื่นเลย มันมีหน้าที่ดับทุกข์ เปิดประตูสำหรับจะออกมาเสียจากความทุกข์ ถ้าเราเป็นครูของพระพุทธเจ้าก็เป็นปูชนียบุคคล เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เป็นผู้สร้างโลกโดยแท้จริง ถ้าเป็นครูของกระทรวง ศึกษาธิการอะไรเป็นต้น มันก็อยู่ในวงแคบๆ มันก็ได้เงินเดือนนะ ถูกแล้ว ก็เป็นครูเพื่อเงินเดือน แคบๆ ทำหน้าที่แคบๆ แต่ถ้าเป็นครูที่สังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ทำงานแบบสร้างโลกกันแล้ว เป็นปูชนียบุคคลอยู่โดยธรรมชาติเลย ไม่ต้องมีใครตั้ง แล้วก็เป็นผู้สร้างโลกจริงๆ ด้วย เอาละ เวลาเหลืออีกนิดก็อยากจะพูดหลักธรรมะจำเป็นที่สุดที่เป็นแก่นของพระพุทธศาสนา ที่จะเรียกว่าศีลธรรมก็ได้ ที่ครู จะต้องไปสอนแก่เด็ก หัวใจของธรรมะ หรือของศาสนานี้ ที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับปัจจุบันนี้ อาตมาจะยืนยันเพียงสักสามข้อ เพราะมันเป็นที่สรุปของทั้งหมดได้ ข้อที่หนึ่ง เราไปอบรมเด็กให้รักผู้อื่น สามพยางค์ว่า รักผู้อื่น ไม่สำเร็จด้วยการบอก สำเร็จด้วยการอบรม อบรม อบรมให้มันมีความรักผู้อื่น เป็นนิสัยขึ้นมา พอมันรักผู้อื่นแล้วมันฆ่าใครไม่ได้ มันขโมยของใครไม่ได้ มันประพฤติผิดในกามต่อใครไม่ได้ มันโกหกใครไม่ได้ มันกินเหล้าให้ใครรำคาญไม่ได้ ศีลห้ามันมาเอง ถือข้อเดียวว่า รักผู้อื่น ศีลหรืออื่นมาตามมาหมด มาอยู่ในคำว่ารักผู้อื่น สังคมปลอดภัย ดีกว่าจะไปนั่งสอน ปาณาติปาตา อทินนา ทานา สอนให้มันรักผู้อื่นทีเดียว มันครอบ ครอบหมดทุกศีล มันก็มีแต่มิตร มีแต่มิตรภาพ ถ้ามันรักผู้อื่น นั่นน่ะคือศาสนา พระศรีอริยเมตรัย เมตรัย มันแปลว่า ความเป็นมิตร เกื้อกูลแก่ความป็นมิตร ศรีอริยเมตรัย ความเป็นมิตรประเสริฐที่สุด ที่สูงสุด มีสง่าราศรีที่สุด สำเร็จด้วยการที่ทุกคนรักผู้อื่น พอทุกคนในบ้านในเมืองในโลกรักผู้อื่น มันก็นอนไม่ปิดประตูเรือนได้ นอนไม่ต้องปิดประตูเรือนได้ นี่เขาเรียกว่าศาสนาพระศรีอารยเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครขาดแคลน เพราะทุกคนพร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่เสมอ ไม่มีอันธพาล จี้ปล้น เพราะทุกคนมันรักผู้อื่น มีความปลอดภัย ในป่าก็ดี ในบ้านก็ดี ในเมืองก็ดี ก็มีความปลอดภัย เดี๋ยวนี้หาความปลอดภัยยาก แม้กลางถนน ในกรุงเทพ ก็ไม่มีความปลอดภัย บนรถเมล์ยังไม่มีความปลอดภัย ที่บ้านที่เรือนก็บุกเข้าไปจี้ถึงในห้องนอน ไม่มีความปลอดภัย เพราะไม่มีใครรักผู้อื่น ข้อที่สองว่า บังคับความรู้สึก เดี๋ยวนี้คนเขาไม่บังคับความรู้สึก อยากทำอะไรก็อยาก ก็ทำเลย อยากรัก อยากโกรธ อยากเกลียดก็ทำเลย อยากกิน อยากใช้ อยากอะไรที่เป็น ที่ไม่ควรจะอยาก เราจะเรียกว่า บังคับตัว บังคับความรู้สึก บังคับจิต ที่เมื่อก่อน เขา เขา เขาเขานิยมกันนักหนา พูดถึงการบังคับตัวและฝรั่งคุยจ้อเลย เขาเป็นคนบังคับตัว บังคับไอ้ self self แปลว่าตัว self control บังคับตัว ถือเป็นลักษณะของสุภาพบุรุษอย่างยิ่ง แต่ว่าเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีเหมือนกันแล้ว ไม่มีการบังคับตัว ชอบกินอร่อย ชอบเป็นทาสของกิเลส บำรุงบำเรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ไม่บังคับความรู้สึก เงินเดือนไม่พอใช้ นี่ถ้าลองไม่บังคับความรู้สึก เงินเดือนไม่พอใช้ ทุกคนนี้ ถ้าบังคับความรู้สึกเมื่อไร เงินเดือนจะเหลือใช้ เพราะว่าเราจะไม่เอาส่วนเกิน ไม่กินอะไรจนเกิน ไม่นุ่งห่ม แต่งเนื้อแต่งตัว ที่มันเกิน ไม่มีบ้านเรือน เครื่องใช้ ไม้สอยที่มันเกิน อะไรเกิน รู้สึกแต่ว่านั่นคือ ผลของการที่ไม่บังคับ ไม่บังคับความรู้สึก เขานิยมแฟชั่นเสื้อแสงกางเกง อย่างนี้ก็ไม่เอากับเขาเลย ไม่ต้องบังคับความรู้สึกว่ามันไม่จำเป็น ไม่กิน ไม่แต่งตัวเกินความจำเป็น นุ่งห่มเกินความจำเป็น มีส่วนซื้อความสวยงามซะมากกว่าความจำเป็นของเสื้อผ้า คนที่เป็น คนที่ไปจีนแดง ประเทศจีนกลับมา เขาเล่าให้ฟังว่า ทั้งหญิงทั้งชาย ใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบสีฟ้ามอๆ ทั้งนั้น ไม่มีเขียวๆ แดงๆ อย่างที่พวกคุณใส่ สวมกันอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะว่ามันไม่จำเป็นนี่ เพราะมันสร้างปัญหายุ่งยาก เพราะมันแพงอะไรต่างๆ แล้วมันยังให้ผลทางจิตใจไม่เหมือนกันด้วย ถ้าเรายังมัวใช้ส่วนเกินอยู่แล้ว เราสู้จีนแดงไม่ได้ ด้วยทางอะไรก็ดี ด้วยทางการเงิน ด้วยทางเศรษฐกิจ ทางสงครามอะไรก็ดี ถ้าเรายังบูชาส่วนเกินอยู่แล้ว เรายังสู้คนพวกนั้นไม่ได้ ถ้าเราไม่บังคับความรู้สึก เราแต่งตัวแข่งกับนางฟ้า ไม่บังคับความรู้สึก กินอาหารแข่งกับเศรษฐีอยู่เรื่อย บังคับความรู้สึกให้พอดีให้ถูกต้องก็จะหมดปัญหาที่เป็นการเดือดร้อนเพราะกิเลส ถ้าเราบังคับตัวเองแล้วกิเลสเกิดไม่ได้ เราก็ไม่มีความทุกข์หรือปัญหาเกี่ยวกับกิเลส ไม่ต้องคดโกง ไม่ต้องคอร์รัปชั่น ไม่ต้องอะไรเพราะว่าเงินเดือนไม่พอใช้ เงินเดือนไม่พอใช้ เพราะเราไม่บังคับกิเลส ไม่บังคับความความรู้สึก นี้ข้อที่สาม ถือหลักว่า การงานคือการปฏิบัติธรรม การทำหน้าที่การงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม เมื่อถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำ ก็เป็นครู การปฏิบัติธรรม ควรจะพอใจ ควรจะยินดีทำสุดสติปัญญา ความสามารถ อย่างที่พูดมาแล้วเมื่อตะกี้ สามล้อถีบ สามล้ออยู่กลางถนน แจวเรือจ้างอยู่ ล้างท่ออยู่ อะไรก็ตาม ก็เป็นหน้าที่ เป็นการปฏิบัติธรรม ต้องชอบ ต้องสนุกอยู่ที่นั่น ต้องเป็นสุขอยู่ที่นั่น เพราะว่านั่นคือการปฏิบัติธรรม ได้บุญ พอใจ มีธรรมปีติอยู่ที่นั่น ก็เป็นสุขอยู่ที่การงาน ไม่ต้องใช้สตางค์ ความสุขของคนโง่ต้องใช้สตางค์ ความสุขของพระพุทธเจ้าไม่ต้องใช้สตางค์ ท่านตรัสว่านิพพานให้เปล่าไม่คิดสตางค์ คุณรู้เถอะเป็นความสุขที่ต้องซื้อหามาด้วยสตางค์นั้นเป็นเรื่องของปุถุชนคนโง่ เมื่อเราทำหน้าที่ของครูอยู่ เรามีความสุข เหมือนกับนิพพานน่ะ เย็นอกเย็นใจ จะต้องใช้สตางค์อะไร เมื่อเราทำหน้าที่อยู่ เราพอใจ เราเคารพตัวเองขึ้นมา นับถือตัวเองขึ้นมา ยกมือไหว้ตัวเองได้ เราก็มีความสุข นี่ความสุขทางธรรมะ เรียกว่า ธรรมปีติ คือ ปีติที่เกิดมาจากธรรมะแล้วเราก็มีความสุข จึงพูดได้ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้สตางค์เหมือนว่านิพพานนี้ให้เปล่า ไม่คิดสตางค์ เมื่อต้องใช้สตางค์ซื้อความสุขเป็นความสุขของคนโง่ คือเป็นทาส ทาสขี้ข้านะ เป็นบ่าวเป็นทาสเป็นขี้ข้าของกิเลส จึงต้องขวนขวายหาสตางค์ไปซื้อมันมา มาบำรุงบำเรอกิเลส นั้นความสุขที่ต้องเสียสตางค์นี่ มันมีอยู่พวกหนึ่ง ความสุขที่ไม่ต้องเสียสตางค์ ที่พระพุทธเจ้าท่านแจกให้นั้นอีกอย่างหนึ่งนะ มันนึกหาความสุขที่ไม่ต้องเสียสตางค์ พอได้ทำหน้าที่การงานแล้วก็ถือเป็นการประพฤติธรรม ยกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วก็เป็นสุข ไม่ต้องเสียสตางค์ สุขนี้จริงกว่า คือไม่เผาลนเลย ไอ้สุขที่คุณเอาสตางค์ไปซื้อ มันเผาคุณอยู่ตลอดเวลา ไปสังเกตดู จะซื้อมาเพื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเผาอยู่ตลอดเวลา มันเรียกว่า ความสุขร้อน ไปซื้อมาด้วยสตางค์ นี่ความสุขเย็นตามหลักของธรรมะ ไม่ต้องใช้สตางค์ เกิดมาจากการทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง นั้นขอให้ถือว่าการทำงานหรือว่าทำหน้าที่นั้นคือ การปฎิบัติธรรม เราเองที่เป็นครูก็ดี ถือหลักว่า รักผู้อื่น บังคับความรู้สึกและหน้าที่ การทำหน้าที่นั้นคือการปฏิบัติธรรม แล้วก็ไปสอนลูกเด็กๆ นักเรียนนักศึกษาของเราให้มันรู้จักไอ้สามอย่างนี้ มันจะมีธรรม มีศีลธรรม มันจะรอด เด็กๆ เหล่านั้นจะรอด ไม่ต้องไปเป็นอันธพาลในอนาคต มันจะทำหน้าที่สนุก จะชิงกันกวาดโรงเรียน ชิงกันล้างส้วม ชิงกันทำอะไรที่มันเป็นหน้าที่ แล้วมันก็จะรักผู้อื่น มันก็ไม่มีชกต่อยวิวาท นั้นถือหลัก เป็นเพื่อน เกิดแก่เจ็บตายกันทั้งหมด มันกินอะไรคนเดียวไม่ลง มันมีอะไรจะกินมันจะแบ่งให้เพื่อนที่อยู่ข้างๆ ของกินก็ดี สตางค์ก็ดี ถ้ามันเจียดได้มันก็จะเจียด มันก็จะแบ่ง นี่เป็นความผูกพัน เป็นความสงบสุข บังคับความรู้สึกแล้วไม่มีการชกต่อยวิวาท ไม่สะเพร่า ทำอะไรอย่างสะเพร่าที่เป็นเหตุให้สอบไล่ตก ไม่ทำ ไม่บันดาลความรัก กิเลส ราคะ ชิงสุกก่อนห่าม ไม่โกรธ มีอะไรให้โกรธ มันก็นับสิบเสียก่อนจนความโกรธหาย แล้วมันจึงค่อยพูดค่อยทำ นี่บังคับความรู้สึก ไอ้สามข้อนี้มันถอดมาจากหัวใจของศาสนาทุกๆ ศาสนาเลย รักผู้อื่น บังคับความรู้สึก ทำหน้าที่คือการรับใช้พระเจ้า รับใช้พระธรรม หรือปฏิบัติพระธรรมนั่นเอง มันก็จะพอละ ถือว่าเราจะเป็นครูกันอย่างไร จะสร้างโลกกันอย่างไร จะเป็นปูชนียบุคคลกันอย่างไร แล้วเราก็จะเป็นสุขโดยตนเองอย่างไร ทำให้สังคมเป็นสุขอย่างไร ไอ้หลักศีลธรรม สามข้อนี้มันพอแล้ว อบรมให้เด็ก รักผู้อื่น แล้วมีปรัชญาให้เขาด้วยว่าทำไมเราจะต้องรักผู้อื่น อบรมเด็กให้บังคับความรู้สึก แล้วก็ต้องมีปรัชญาให้เขาด้วยว่าทำไมเราจึงต้องบังคับความรู้สึก ให้เขาเห็นการทำหน้าที่เป็นการปฏิบัติธรรม มีปรัชญาว่าอย่างไรก็บอกเขาด้วย ว่าเด็กๆ ของเรารู้จักรักผู้อื่น รู้จักบังคับความรู้สึก ทำงานเพื่อการปฏิบัติธรรม ปัญหามันก็หมดแน่ อาตมาก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา ในการมาของท่านทั้งหลาย อาตมาก็ยินดี จะให้ช่วยพูดก็พูด แต่เนื่องจากมันพูดอย่างอื่นไม่เป็น พูดได้แต่อย่างนี้ ก็ขอให้เอาไปใคร่ครวญดู แล้วก็แสดงความหวังว่าเราจะเป็นครูโดยแท้จริงกันยิ่งๆ ขึ้น โดยหัวใจเป็นครูที่สังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า โดยภายนอกก็อยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ มันก็คงจะสมบูรณ์กว่าทำแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ขอให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เราหวัง ที่เราประสงค์ ช่วยกันสร้างสันติสุข สันติภาพ ขึ้นมาในโลกนี้ ซึ่งก็เป็นวัตถุประสงค์ของการศึกษาอยู่แล้ว ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้