แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้เป็นบุคลากรแห่งสถานการศึกษาวิทยาลัยอาชีวะและวิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาถึงที่นี่ของท่านทั้งหลาย ซึ่งเชื่อว่าด้วยความหวังว่าจะศึกษาธรรมะที่เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตและรับราชการต่อไป เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีเหตุผลอย่างยิ่งที่เราจะต้องศึกษาธรรมะซึ่งเป็นการศึกษาที่สามที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ การศึกษาที่หนึ่งคือรู้หนังสือ การศึกษาที่สองคืออาชีพ การศึกษาที่สามคือจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร การศึกษาที่สามนี้กำลังขาดไปจากโลก ทำให้ระบบการศึกษาในโลกมีลักษณะเป็นหมาหางด้วน มีแต่การศึกษาที่หนึ่งคือหนังสือ กับการศึกษาที่สองคืออาชีพ ดังนั้นโลกจึงต้องได้รับผลกรรม คือวิกฤตการณ์ให้ยุ่งยาก ลำบาก ทุกข์ทรมานเป็นการถาวร ไม่รู้สิ้นสุด อย่างที่เราเห็นกันอยู่บัดนี้ เพราะมันขาดการศึกษาที่สามนั่นเอง
เมื่อในหลักสูตรของกระทรวงมันไม่มี หรือมีน้อยเกินไป เราก็ต้องแสวงหาเพิ่มเติมชดเชยกันเป็นธรรมดา ดังนั้นการมาที่นี่เพื่อศึกษาธรรมะหรือที่อื่นก็ตาม มันเป็นการชดเชยส่วนที่ขาดอยู่ นับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องที่สุด มีเหตุผลที่สุด หรือจำเป็นที่สุด มิฉะนั้นเราไม่อาจจะแก้ปัญหาของมนุษย์ในโลก หรือของประเทศเรา หรือแม้แต่สังคมแคบๆ อย่างบ้านเมืองเรานี่ไม่ได้แน่ เพราะมันมีปัญหาเกิดมาจากการขาดธรรมะ ขาดศีลธรรม ไม่ใช่ขาดความรู้หนังสือ ไม่ใช่ขาดความรู้อาชีพ แต่มันขาดธรรมะ ขาดศีลธรรม ที่จะทำให้ความรู้หนังสือหรือความรู้อาชีพนั้นเป็นไปอย่างถูกต้อง ความรู้หนังสือ ความรู้อาชีพ อาจจะเป็นอย่างผิด คือทำให้เห็นแก่ตัว เอาเปรียบผู้อื่นจนเกิดการแย่งชิงแข่งขันจนเป็นทุกข์ไปด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่คือการศึกษาส่วนนั้น มันไม่มีศีลธรรมเข้าไปควบคุม เป็นเหมือนกันทั้งโลก ฉะนั้นเราจึงแสวงหาความรู้ส่วนที่เป็นธรรมะ หรือเป็นศีลธรรม เข้ามาช่วยควบคุม
ท่านมาถึงที่นี่ แล้วก็มานั่งอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ขอให้ได้รับความพอใจว่า เราได้ทำถูกต้องตามร่องรอยของธรรมะ พระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน คนที่เคยศึกษาพุทธประวัติก็ย่อมรู้มาแล้วว่าท่านประสูติกลางดินที่สวนลุมพินี พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็นั่งกลางดินที่โคนต้นไม้ริมตลิ่งแห่งหนึ่ง พระพุทธเจ้าสอนสาวกทั้งหลาย ชุดแรก ชุดไหนก็ตาม ก็สอนกลางดิน นั่งสอนกลางดิน ที่อารามของท่านก็ล้วนแต่พื้นดิน กุฏิพื้นดิน โรงฉันพื้นดิน ห้องประชุมพื้นดิน แล้วในที่สุดท่านก็ปรินิพพานกลางดิน ตลอดชีวิตของท่านมันเป็นชีวิตกลางดิน แล้วมาที่นี่มานั่งกันกลางดิน ก็เหมือนกับนั่งในที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า จิตใจควรจะอิ่มเอิบเป็นพุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าได้อย่างเต็มที่ ถ้าท่านมีจิตใจอย่างนี้ จิตใจของท่านก็พร้อม ก็เหมาะสม ก็ง่ายที่จะศึกษาธรรมะ เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นมันไม่มีอะไร นอกจากเรื่องของธรรมชาติ ธรรมชาติ
เด็กนักเรียนได้เรียนมาจากโรงเรียนว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เท่านี้ก็ตันอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่าสอนว่าอะไร ทีนี่คำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าทั้งหมดนั้นมันเรื่องธรรมชาติ สภาวะปกติของธรรมชาตินั้นอย่างหนึ่ง แล้วก็เรื่องกฎของธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง แล้วผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง รวมเป็น ๔ ความหมายของธรรมชาติ นั่นน่ะคือเรื่องธรรมะ
ธรรมชาติคือสิ่งที่มีอยู่ทั่วไป ในรูปธรรมบ้าง นามธรรมบ้าง ในคนบ้าง นอกคนบ้าง นี่ธรรมชาติ และมันมีกฎควบคุมอยู่ เช่น กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาควบคุมอยู่ในธรรมชาติเหล่านั้น ดังนั้นต้องมีหน้าที่ประพฤติให้ถูกต้องตามกฎเหล่านั้น เราจึงปฏิบัติธรรมะ เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา อะไรก็ตาม แล้วแต่จะเรียก อันนี้เป็นหน้าที่ที่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วเราก็ได้รับผลตามที่สมควรจะได้รับ
เดี๋ยวนี้ทั้งโลกกำลังทำหน้าที่ผิดจากกฎของธรรมชาติ ก็ได้รับผลตรงกันข้าม คือความเห็นแก่ตัว เอาเปรียบ แย่งชิง แข่งขัน รบรา ฆ่าฟัน อย่างเปิดเผย ด้วยอาวุธ หรืออย่างลึกลับที่เรียกว่า สงครามเย็น มีอยู่ทั่วไปทุกหัวระแหง ฉะนั้นจะเป็นมนุษย์กันไปทำไมเมื่อมันไม่มีความสงบสุข ท่านจะขวนขวายกันไปทำไมเมื่อมันไม่มีความสงบสุข มันก็เป็นหมันหมดน่ะ ดังนั้นผลของการขวนขวายทุกอย่างทุกประการมันต้องเป็นไปเพื่อความสงบสุข ที่นี้เราก็มาสนใจเรื่องนี้ เรื่องที่จะทำให้มันมีความสงบสุข เมื่อเล่าเรียนก็มีความสงบสุข เมื่อประกอบอาชีพก็มีความสงบสุข เมื่อได้รับผลของอาชีพก็ให้มันมีความสงบสุข บริโภคผลด้วยความสงบสุข เก็บรักษาสะสมไว้ก็มีความสงบสุข ตัวเองมีความสงบสุข เพื่อนมนุษย์พลอยมีความสงบสุขมันก็พอแล้ว ถ้าเรามีความสงบสุข แล้วเพื่อนมนุษย์ที่แวดล้อมเราอยู่ก็มีความสงบสุขมันก็ควรจะพอ ถ้าเกินนี้ไป อาตมาคิดว่ามันบ้าแล้ว ทุกคนมีความสงบสุข เพื่อนของเรามีความสงบสุข มันก็ควรจะพอ
ที่นี้ทำอย่างไรจึงจะมีความสงบสุข มันจะดูกันอีกหน่อยก่อนก็ได้ว่า เดี๋ยวนี้มันไม่มีความสงบสุขเพราะมันขาดธรรมะ มันทำให้เกิดสงครามที่ร้ายกาจยิ่งกว่าสงครามที่คนรู้จักกันอยู่ ไอ้มหาสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง มันเป็นสงครามเด็กเล่น ไอ้สงครามที่แท้จริงมันยิ่งกว่านั้น คือสงครามระหว่างความผิดพลาดและความถูกต้องของมนุษย์ ความถูกต้องเรียกว่า สัมมาทิฐิ ความผิดพลาดเรียกว่า มิจฉาทิฐิ นี่มันกำลังทำสงครามกันอยู่อย่างใหญ่หลวง อย่างที่มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็น เมื่อมันเอาชนะไม่ได้ ไอ้ฝ่ายสัมมาทิฐิเอาชนะไม่ได้ ไอ้ฝ่ายมิจฉาทิฐิมันก็ครองโลก
ฉะนั้นไม่ใช่สงครามระหว่างอเมริกันกับรัสเซียหรอก ที่มันทำให้โลกยุ่งยากวุ่นวายนี่ มันเป็นสงครามระหว่างมิจฉาทิฐิกับสัมมาทิฐิ มิจฉาทิฐิคือ ความเข้าใจผิดของมนุษย์ ไปหลงใหลในเรื่องอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็เห็นแก่ตัว ก็ทำตัวให้เป็นทุกข์ ทำผู้อื่นให้เป็นทุกข์ ทีนี้แต่ละคนก็มีความเห็นแก่ตัว ไอ้ความเบียดเบียนกันมันก็ออกมาข้างนอก เป็นการเบียดเบียนกัน เป็นต้นเหตุของสงครามทุกชนิดน่ะ แม้แต่สงครามที่ต่อสู้ด้วยสติปัญญา ไม่ต้องใช้อาวุธ นั้นก็มาจากมิจฉาทิฐิเหล่านี้ ในตัวเราคนหนึ่งๆ มันมีสงครามระหว่างมิจฉาทิฐิกับสัมมาทิฐิ ถ้าสัมมาทิฐิชนะมันก็รอดตัวไป ถ้ามิจฉาทิฐิชนะแล้วมันก็วินาศล่ะ คือไม่มีความเป็นคนเหลืออยู่ ขอให้มองข้างใน ตัวเราทุกคนว่ามันกำลังมีสงครามระหว่างความผิดกับความถูก ระหว่างความดีกับความชั่ว ระหว่างสัมมาทิฐิกับมิจฉาทิฐิอย่างนี้ก็ได้
มนุษย์มีการศึกษามาก กำลังก้าวหน้าอย่างยิ่ง ก้าวหน้าจนไม่รู้จะไปทางไหน การศึกษาของมนุษย์ที่กำลังก้าวหน้านี่ ถามดูว่าไปทางไหนกัน มันก็ตอบไม่ถูก มันใช้ให้ไปถามคอมพิวเตอร์ว่ามนุษย์นี่จะไปไหนกัน แล้วคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์โง่ๆ มันสร้างขึ้นมันจะตอบถูกหรือ เราต้องอาศัยสติปัญญาของพระพุทธเจ้าต่างหากที่จะตอบถูกว่าจะไปไหนกัน
เดี๋ยวนี้มีความบำรุง มีสิ่งเครื่องมือบำรุงบำเรอความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย สะดวกสบาย ล้นเหลือ แล้วทำไมยังเต็มไปด้วยการเบียดเบียนและสงคราม ถ้ามองให้ดี จะเห็นว่าอันธพาล อันธพาลเต็มไปทั่วทั้งประเทศและทั้งโลก มันมาจากการทำผิดในข้อนี้ คือไม่รู้ว่าจะไปไหนกัน รู้แต่ว่าความเอร็ดอร่อย สนุกสนาน ทางเนื้อทางหนัง นั่นแหละสูงสุด มันก็มุ่งหมายที่นั่น แล้วมันก็ต้องการแต่เพียงเท่านั้น มันก็กระทำอย่างที่อันธพาลกระทำ กระทั่งว่าข่มขืน ข่มขืนแล้วฆ่า อย่างนี้ มันจำเป็นอะไรที่จะต้องทำ นอกจากความโง่หลงเพื่อความเอร็ดอร่อยทางอายตนะหรือทางเนื้อหนัง นี่ถ้าหากว่ามีสภาพอย่างนี้มากขึ้นๆ แล้วโลกนี้มันก็ไม่เป็นโลกของมนุษย์น่ะ แล้วมันจะเป็นโลกที่เลวร้ายกว่าโลกของสัตว์เดรัจฉาน ท่านทั้งหลายอย่าได้ฟังเป็นคำด่า จงฟังเป็นการปรับทุกข์ด้วยความจริง
เดี๋ยวนี้มนุษย์มีปัญหาอย่างไร มันมีความพอใจที่ตรงไหน การต่อสู้มีกันไหมระหว่างราษฎรกับรัฐบาล อย่างที่กำลังเป็นอยู่ ที่ต่อสู้กันระหว่างประเทศต่อประเทศ หรือครึ่งโลกต่อครึ่งโลกนั้นน่ะ มันก็มี เป็นมูลเหตุให้ไม่สงบสุข รัฐบาลกับกรรมกรโดยเฉพาะนี่กำลังต่อสู้กันเกือบจะทุกประเทศในโลกในปัจจุบันนี้ อย่างที่โปแลนด์เดี๋ยวนี้วันนี้ และในประเทศไทยเรานี้ก็มี การต่อสู้เรื่องแรงงานประจำวัน อย่างนี้เป็นต้น มันไม่มีทางจะตกลงกันได้ ทำความเข้าใจกันได้ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ต้องการประโยชน์ฝ่ายของตน และมันก็เกินที่จะอำนวยกันได้ มันพูดกันไม่รู้เรื่อง และมันเป็นมิจฉาทิฐิ ไอ้เรื่องจะขึ้นเงินเดือนหรือขึ้นรายได้ให้พอใช้นั้น เห็นจะเป็นเรื่องหลับหูหลับตาที่สุด เพราะขึ้นเงินเดือนให้ ขึ้นค่าแรงประจำวันให้ ของมันก็ขึ้นไปล้ำหน้าต่อไปอีก ก็ไม่มีทางที่จะขึ้นไปให้พอกันได้ ไม่มีทางที่จะหยุดปัญหาได้ ในโลกมันกำลังเป็นอย่างนี้
ดังนั้นเราต้องมามีการปรับปรุงแก้ไขให้มันถูกต้อง ให้มันอยู่ได้ คือให้มันลดการใช้จ่าย มันต้องการแต่น้อย หรือเท่าที่จำเป็น มันก็จะปรับตัวกันลงมาทุกอย่างๆ สิ่งของสินค้าอะไรมันก็จะต้องลดลงมาเอง แต่ถ้าว่าต้องการจะเอาเงินมาสนองให้มันมากขึ้น ของมันก็แพงยิ่งขึ้น และหนีไปๆ จนตามไม่ทัน ฉะนั้นเราจึงอยู่กันอย่างทนทุกข์ทรมาน น่าละอายสัตว์เดรัจฉาน ขออภัยถ้ามันพูดหยาบคายไป มนุษย์มันอยู่กันอย่างทนทุกข์ทรมานที่น่าละอายสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากเหมือนอย่างนั้น
ใครเคยเห็นแมวปวดหัวบ้าง ที่นั่งอยู่ที่นี่ ใครเคยเห็นแมวมันนอนไม่หลับบ้าง ไม่มีแมวตัวไหนที่ต้องกินยาปวดหัวหรือว่ากินยานอนหลับ หรือว่ากินยาส่งเสริมอะไรที่ว่าทำให้หลอน ประสาทหลอนน่ะ และมนุษย์นี่เป็นโรคประสาทมากขึ้นทุกที สถิติว่าเจ็ดแสนเศษแล้วที่เป็นกันจริงๆ ที่ไปขึ้นทะเบียน แล้วยังเป็นโรคจิตมากขึ้นทุกที สองหมื่นคนเศษแล้วที่มันปรากฏอยู่ในทะเบียน
สุนัข แมว หมา กา ไก่ หมู อะไร มันไม่เป็น ไม่เป็นโรคปวดหัว ไม่เป็นโรคนอนไม่หลับ ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นโรคจิตเหมือนกับคน นี่มันอยู่ที่ตรงไหน ปัญหามันอยู่ที่ตรงไหนที่คนต้องเป็นอย่างนี้ แล้วสัตว์เดรัจฉานมันไม่เป็น อาตมาคิดว่ามันน่าละอายสัตว์เดรัจฉาน แล้ววิธีไหนที่จะแก้ แก้หน้าให้แก่มนุษย์อันนี้ คือไม่ต้องเป็นปวดหัวนอนไม่หลับ เป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต มันก็มีธรรมะอย่างเดียว
ที่มันต้องปวดหัวน่ะ เพราะว่ามันไม่มีธรรมะจะควบคุมความรู้สึก แม้แต่นักเรียนนี่ เล็กๆ นี่ ก็ยังรู้จักปวดหัว เพราะไม่รู้จักควบคุมความรู้สึกแม้ในการเรียน มันก็เรียนจนปวดหัวได้ นอนไม่หลับ เป็นโรคประสาท เป็นโรคจิตกันมากขึ้น เพราะไม่มีธรรมะจะควบคุมจิตใจอย่าให้วิตกกังวล อย่าให้โง่ให้หลง ไปทำรายจ่ายมากกว่ารายรับ แล้วก็ปวดหัวนอนไม่หลับ แล้วก็เป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต กระทั่งฆ่าตัวตาย หรือมิฉะนั้นก็เป็นอันธพาล ฆ่าผู้อื่นตายเหมือนกับว่าเล่น
ธรรมะเข้ามารู้จักทำจิตใจให้ปกติ ก็ไม่ต้องปวดหัว แล้วก็นอนหลับสนิท โรคประสาทก็ไม่ต้องเป็น โรคจิตก็ไม่ต้องเป็น แม้แต่โรคกระเพาะก็ไม่ต้องเป็น โรคเบาหวาน โรคอะไรเหล่านี้มันก็มาแต่ความผิดปกติ เพราะระบบไหลเวียนของโลหิต ระบบผิดปกติของโลหิตในร่างกายมันมาแต่จากการขาดธรรมะ มันไม่มีความสงบเลย มันวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ เร้าร้อนไปหมด จนระบบโลหิตเสีย แล้วมันก็เกิดโรคกระเพาะ โรคกระเพาะไม่มีโลหิตที่จะทำหน้าที่ให้ปกติในการย่อยอาหาร มันไปเดือดพล่านอยู่บนสมอง ที่มันไม่มีธรรมะ ที่มันวิตกกังวลหรือมันอะไรก็ตาม ไม่เท่าไรก็ต้องเป็นโรคกระเพาะเรื้อรังรักษาไม่ได้ ฉะนั้นขอให้ดูเถิดว่าแม้แต่โรคกระเพาะ มันโรคเนื้อหนังแท้ๆ มันมาจากการขาดธรรมะ และเมื่อไอ้ระบบโลหิต ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนอื่นๆ ไม่ถูกต้องแล้วมันก็มีโรคต่างๆ กระทั่งโรคมะเร็งในที่สุด เพราะไอ้ความต้านทานในตัวคนมันสูญเสียไป มันไม่ถูกต้อง มันไม่ปกติ
ธรรมะเท่านั้นที่จะทำให้ปกติ จะเยือกเย็น ยิ้มแย้ม แจ่มใส ปกติ สนุกในชีวิต ชีวิตเป็นของสุข สนุกสนาน เดี๋ยวนี้ชีวิตกำลังเป็นของเร้าร้อน เป็นของทนทรมาน หิวเรื่อย หิวเรื่องอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นี่มันทรมานเรื่อย ดังนั้นมันก็อยู่ด้วยการทรมาน ด้วยความหิวเรื่อยไป แล้วมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลง จนมนุษย์ต้องเป็นโรคภัยไข้เจ็บมากมาย ซึ่งสัตว์เดรัจฉานมันไม่เป็น เพราะมันมีธรรมะโดยธรรมชาติ เพราะมันเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันมีธรรมะโดยธรรมชาติ
ทีนี้คนมันกระโดดเลยธรรมชาติขึ้นไปด้วยการศึกษานี่ นี่ธรรมชาติมันเลยคุ้มครองไม่ได้ คนต้องคุ้มครองตัวเอง ทีนี้คนทำผิดซะแล้วไม่มีการคุ้มครองตัวเอง ก็เลยต้องเป็นโรคใหม่ๆ สำหรับคน เฉพาะคน สำหรับคนเท่านั้น ที่จะเป็นโรคชนิดนี้ คือนอนไม่หลับ ปวดหัว ประสาท โรคจิต โรคอื่นๆ อีกมากมาย กระทั่งโรคร้ายๆ โรคกระเพาะเรื้อรัง โรคมะเร็ง เบาหวาน ความดันสูง ต่างๆ นาๆ แล้วจะทำไปทำไม มีเงินเยอะแยะ แต่ต้องทรมานด้วยไอ้ความผิดพลาดในเรื่องเหล่านี้ มันก็ไม่มีความหมาย ฉะนั้นขอให้ตั้งเป้าหมายว่าเราจะต้องมีความสงบสุข ให้เพื่อนมนุษย์ของเราพลอยมีความสงบสุขด้วย ถ้าว่ามีธรรมะ มันก็มีความสงบสุขในชั้นแรก ในข้างนอก คือไม่ต้องเป็นโรคภัยไข้เจ็บชนิดที่เดรัจฉานก็ไม่เป็น แล้วความสุขที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เราควบคุมโลภะ โทสะ โมหะของเราได้ แล้วมันก็เย็น โลภะ โทสะ โมหะน่ะมันร้อนเป็นไฟ เราต้องควบคุมสิ่งเหล่านี้ เรียกว่าควบคุมความรู้สึก
เดี๋ยวนี้การศึกษาในโลกนี้มันเป็นบ้า คือมันสอนไปในทางไม่ให้ควบคุมความรู้สึก เขาปล่อย เขาบอกให้ปล่อยไปตามความรู้สึก ไม่ต้องทน ไม่ต้องมีความกดดัน ไม่ต้องเสียความเป็นประชาธิปไตย การศึกษาในโลกสมัยใหม่มันบ้าตรงที่ว่า ไม่ควบคุมความรู้สึก แล้วมนุษย์ก็ประสบปัญหาที่เกิดมาจากการไม่ควบคุมความรู้สึก การไม่ควบคุมความรู้สึกนั้นมันผิดธรรมะอย่างยิ่ง มันเป็นอธรรม ไม่ใช่ธรรมะ เพราะมันจะเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้น เผาลนมนุษย์ร้อนเหมือนกับตกนรก มีนรกอยู่ในใจตลอดเวลา เพราะไม่ควบคุมความรู้สึก ก็เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง นั่นน่ะคือไม่มีธรรมะ นั่นน่ะคือมิจฉาทิฐิ มิจฉาทิฐิชวนให้ไม่ควบคุมความรู้สึก ส่วนสัมมาทิฐินั้นต้องควบคุมความรู้สึก
ที่นี้มนุษย์เลือกเอาข้างไม่ควบคุมความรู้สึก สบายดี เอร็ดอร่อย สนุกสนานทางวัตถุดี ประกอบกับเดี๋ยวนี้ในโลกนี่ มันส่งเสริมไอ้วัตถุ ส่งเสริมประดิษฐ์วัตถุ เพื่อส่งเสริมกิเลสของคน เป็นสินค้าขายดียิ่งกว่าสินค้าใดๆ ในโลกนี้ สินค้าที่ส่งเสริมความรู้สึกทางกิเลส สวยงาม หอมหวน เอร็ดอร่อย สนุกสนานนี่ มันเป็นขายดีกว่าสินค้าอะไรหมด ดังนั้นในฝ่ายมิจฉาทิฐิมันก็ได้เปรียบ ฝ่ายพญามารมันก็ได้เปรียบ เพราะคนชอบกันมาก ส่งเสริมกันมาก บูชากันมาก ทีนี้ฝ่ายพระเป็นเจ้า หรือพระธรรมนี้ มันก็เสียเปรียบ เพราะมนุษย์มันมีจิตใจเอียงไปทางฝ่ายกิเลส ฝ่ายส่งเสริมกิเลส ฝ่ายเนื้อฝ่ายหนังซะหมด ดังนั้นภายในจิตของมนุษย์ทั้งหมดนี่ มันมีสงครามอันใหญ่ยิ่งระหว่างสัมมาทิฐิกับมิจฉาทิฐิ พูดอย่างธรรมดาๆ ที่เคยพูดกันมาก่อน ก็ว่าระหว่างความรู้สึกทางต่ำกับความรู้สึกทางสูง ความรู้สึกฝ่ายต่ำกับความรู้สึกฝ่ายสูงกำลังทำสงครามกันอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าสงครามใดๆ ในหัวใจของมนุษย์ทั้งโลกเลย คนที่มันทำผิดทนทุกข์อยู่มันก็กระวนกระวายจะหาทางออกอยู่เหมือนกัน แต่มันยังหาไม่ได้ แต่แล้วพร้อมกันนั้นก็ประดิษฐ์วัตถุมากลบเกลื่อน มาแก้ไขไอ้ปัญหาเหล่านี้ หรือความทุกข์เหล่านี้ อย่างสอนไปในทางวัตถุยังไม่พอ เพิ่มวัตถุเข้าไปอีก เพิ่มความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุยิ่งขึ้นไปอีก แล้วมนุษย์ก็จะอยู่กันเป็นสุข มันก็ไม่เห็นสำเร็จสักที จนเกิดเป็นลัทธิที่นิยมวัตถุ จัดเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นอะไรก็ตามนี่ มันหวังว่าวัตถุจะแก้ปัญหาได้ แต่ทางธรรมะนี่ก็ถือว่าสัมมาทิฐิในจิตใจของมนุษย์นี่จะแก้ปัญหาได้
ดังนั้นถ้าเรามีสัมมาทิฐิอยู่ในจิตใจ เราก็ปฏิบัติถูกต้องไปในหนทางที่ไม่ให้เกิดความทุกข์ ถ้าเราหลงไปเห็นไอ้ความสุข สนุกสนาน เรื่องกิเลสเป็นความสุขแล้ว ก็มีกงจักรเป็นดอกบัว เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นชั่วเป็นดี ก็เลยทำไปตามแบบนั้น มันก็ต้องเป็นทุกข์ คุณคงจะไม่ตายเสียในสองสามวันนี้ ดูต่อไป ไม่กี่ปีมันก็เห็นว่าในโลกนี้จะเป็นอย่างไร ในโลกนี้มันจะมีปัญหาอะไรเพิ่มขึ้นอีก มันก็คือการเบียดเบียนกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดที่จะเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นไอ้ความขวนขวายของเราในทางการศึกษาศิลปะ วัฒนธรรม อะไรต่างๆ มันก็จะถูกทำลายหมดด้วยความเลวร้ายของมนุษย์ เช่นว่า ใช้ระเบิดปรมาณูแก้ปัญหากันอย่างนี้ สติปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรมของมนุษย์ก็หายหมด สูญหายหมด เสียแรงเปล่า เหนื่อยเปล่า ไม่มีประโยชน์อะไร นี่มันจะทำลายมากถึงอย่างนี้
ฉะนั้นอาตมาจึงยืนยันอยู่เสมอว่า ศีลธรรมต้องกลับมา มิฉะนั้นโลกาจะวินาศ ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ ฉะนั้นขอให้ศีลธรรมกลับมา พยายามพูด พยายามต่อสู้ พยายามทุกทาง เพื่อให้ศีลธรรมกลับมา พูดตรงนี้เป็นชุดๆ ชุดหนึ่งสิบกว่าครั้ง เรื่องศีลธรรมน่ะ เอาไปพิมพ์เป็นหนังสือ ๕๐๐ หน้า ๘ หน้ายก ตั้ง ๑๐ เล่มได้ เรื่องศีลธรรมทั้งนั้นเลย ทุกชุดๆ เรื่องศีลธรรม ศีลธรรมของมนุษย์ แนวทางของเยาวชน โลกกับศีลธรรม การเมืองกับศีลธรรม เมื่อเร็วๆ นี้ก็ ธรรมะครองโลก นี่อาตมากำลังต่อสู้อย่างนี้มาเป็นหลายปีแล้วเพื่อศีลธรรมกลับมา พูดวิทยุวันอาทิตย์ที่สามของเดือน ๒๖ ครั้งแล้ว ก็หัวข้อเดียวกัน คือศีลธรรมกลับมา มิฉะนั้นโลกาจะวินาศ ก็เลยอยากจะระบายให้ท่านทั้งหลายได้ทราบด้วยว่า ตามความรู้สึกของอาตมาที่สนใจมาเป็นสิบๆ ปี มันมองเห็นอย่างนี้ มนุษย์เรารอดไม่ได้เพราะรู้หนังสือ หรือรู้อาชีพ มนุษย์เราต้องรู้ธรรมะว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร คือจะใช้ความรู้ทางหนังสือ ใช้ความรู้ทางอาชีพ ให้มันถูกต้องกันอย่างไร ทีนี้มันใช้ไม่ถูกต้องอย่างที่พูดมาแล้วว่า มันเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ทั่วทั้งโลก แล้วมนุษย์มีความทุกข์ทรมานชนิดที่สัตว์เดรัจฉานมันไม่มี มันละอาย มนุษย์อย่างนั้นละอายสัตว์เดรัจฉานอย่างนี้ ทีนี้หลักธรรมะเดิมๆ แต่โบรมโบราณเขาก็ระบุไปยังธรรมะทั้งนั้น ที่จะทำให้มนุษย์ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน เป็นคำมีมาก่อนพุทธกาล
อาหาระนิททา ภะยะ เมถุนัญจะ สามัญญะ เม ตัปปสุภินะรานัง, ธัมโมหิ เตสัง อธิโก วิเสโส ธัมเมนะ หี นา ปสุภิ สะมานา (นาทีที่ 28.27)
เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องเมถุน และทำเรื่องขี้ขลาด เรื่องอะไรนี่ มนุษย์มีเท่ากันกับสัตว์ สัตว์มีเท่ากันกับมนุษย์ นี่มนุษย์แปลกจากสัตว์ก็เพราะมีธรรมะ เอาธรรมะออกซะแล้ว สัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์ก็เท่ากัน
อาตมายังขอค้านว่าเอาธรรมะออกซะแล้ว มนุษย์เดรัจฉานจะลำบากกว่าสัตว์ มนุษย์จะลำบากกว่าสัตว์เดรัจฉาน อย่างที่เราเห็นๆ อยู่เดี๋ยวนี้ว่า มนุษย์มีปัญหามากกว่าสัตว์เดรัจฉาน เป็นโรคภัยไข้เจ็บชนิดที่สัตว์เดรัจฉานมันไม่เป็น สัตว์เดรัจฉานมันคงเดิมอยู่ตามเดิม โรคภัยไข้เจ็บเท่าเดิม อะไรเท่าเดิม ไอ้มนุษย์มันก้าวหน้าทางมันสมอง แล้วก็ก้าวหน้าในทางที่สร้างความทุกข์ยากลำบากให้แก่มนุษย์เอง มนุษย์เลยมีปัญหามากกว่าสัตว์เดรัจฉาน มีโรคภัยไข้เจ็บมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน มีอะไรล่ะที่เป็นปัญหายิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
จริงๆ พูดสักหน่อยว่า ถ้าไม่มีธรรมะแล้ว มนุษย์นี่จะเลวร้ายกว่าสัตว์เดรัจฉาน ในการที่จะเป็นทุกข์ทรมานส่วนตนก็ดี ในการที่จะเบียดเบียนมนุษย์ซึ่งกันและกันก็ดี จะร้ายกาจยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานไม่ได้มีสงคราม ไม่ได้มีการเบียดเบียนกันเหมือนมนุษย์ เดี๋ยวนี้เวลานี้ไปดูเถิด มันเบียดเบียนกันนิดหน่อยเรื่องอาหารการกิน เมื่อสัตว์ชนิดนี้มันต้องกินสัตว์ชนิดอื่นเป็นอาหาร มันก็มีเท่านั้นแหละ ที่จะยกพวกมาสู้กันเหมือนกับมนุษย์นี่ มันไม่มี มันไม่มีการแย่งแผ่นดิน แย่งอำนาจ แย่งอะไรกันเหมือนมนุษย์ ฉะนั้นเรามองดูเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ก็ขอให้ขวนขวายเถิด ขอให้พยายามเถิด มีธรรมะสำหรับมนุษย์ อย่าให้ต้องละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน
ท่านทั้งหลายเคยเรียนมาแล้วว่า มนุษย์นี่มันเป็นสัตว์ที่มีมันสมองก้าวหน้าขึ้นมาเกินสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมันมีจำกัดตายตัวอยู่เท่านั้น สติปัญญา ความคิด มีแต่อย่างสัญชาตญาณ มันมีเท่านั้น ที่นี้มนุษย์นี่มันมีมันสมอง พัฒนาขึ้นมาด้วยเหตุปัจจัยหลายๆ อย่าง มันมีปัญญาชนิดที่เป็นวิภา เป็นภาวิตญาณ คือสติปัญญามนุษย์สร้างขึ้นเอง มันมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์จึงทำอะไรได้มากกว่า ไปไกลกว่า แต่แล้วไม่มีธรรมะควบคุม ไอ้ปัญญานั้นมันก็เป็นปัญญาผิด คือเป็นปัญญาที่ลงไปในการตกเป็นทาสของกิเลส เมื่อเป็นทาสของกิเลสแล้ว มันก็ได้เป็นทุกข์ และได้เบียดเบียนกัน มนุษย์เราจึงเป็นทุกข์และเบียดเบียนกันยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน สิ่งที่จะแก้ได้มีธรรมะอย่างเดียว ทีนี้ธรรมะนี้มันมีคำอธิบายมากนะ แต่ที่รัดกุมสั้นๆ ก็คือว่า ปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นจึงอยากจะระบุหัวข้อของธรรมะสำหรับคนทั่วไปว่า เราจะต้องรู้จักรักสัตว์ที่มีชีวิตด้วยกัน สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย แก่กันและกัน นี้ต้องยอมรับ ก็เห็นจริงว่าเป็นอย่างนั้น แล้วเราก็หยุดเห็นแก่ตัวได้ ถ้าเห็นอย่างนั้นมันหยุดความเห็นแก่ตัวได้ เมื่อไม่เห็นแก่ตัวแล้ว มันก็ไม่ทำอะไรไปในทางรุกล้ำผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น นี่มันจะก็แก้ปัญหาสังคมได้
เดี๋ยวนี้ปัญหาสังคมมันมีมากขึ้นเพราะทุกคนเห็นแก่ตัว แล้วก็เบียดเบียน ฆ่าผู้อื่นได้ง่ายๆ เพื่อประโยชน์ของตัวนิดเดียว ถ้ามันเห็นแก่ตัวแล้ว มันต้องเป็นแบบนี้ ถ้ามันรักผู้อื่น มันก็ไปในทางตรงกันข้าม ดังนั้นขอให้มีธรรมะหรือศีลธรรมที่เป็นความเห็นแก่ผู้อื่น รักผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว ถือว่ามันมีชีวิตแล้ว มันก็เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งนั้น อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ต้องเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย กับเรา เพราะมันมีชีวิต มันคิดนึกได้ มันไม่อยากตาย มันอยากจะอยู่ อยากจะเป็นสุขเหมือนกัน สัตว์เดรัจฉานก็เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา เดี๋ยวนี้คนไม่คิดอย่างนั้น ทำลายสัตว์เดรัจฉานจนหมดเกลี้ยงไปเป็นอย่างๆ ไปแล้ว แม้กฎหมายจะออกมาควบคุมสัตว์ชนิดนั้น บางพวกนั้น มันก็ยังควบคุมไม่ได้ จนสัตว์เดรัจฉานบางชนิดน่ะหมดไปจากโลกแล้ว
ทีนี้มาถึงต้นไม้บ้าง ก็มีชีวิต มันรู้สึกนะ หนังสือรายงานแถลงการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้ามากเกี่ยวกับต้นไม้นี่ เกี่ยวกับพฤกษาชาตินี่ เขาไปกันจนถึงพิสูจน์ว่าไอ้มนุษย์ เอ้ย, ต้นไม้นี้มันก็มีความรู้สึกเหมือนกัน มีความรู้สึกกลัวตายเหมือนกัน มีความรู้สึกสบาย ปกติแล้วก็สบายเหมือนกัน ถึงกันทางจิตใจกับมนุษย์ ไอ้มนุษย์ไอ้ตัวที่ทำลายต้นไม้มากนี่ เข้ามาใกล้ต้นไม้ที่เขามีไว้ในห้องทดลองนั้นน่ะ ต้นไม้นั้นจะแสดงอาการกลัวออกมาอย่างแรงทางเข็มเครื่องวัด เมื่อมนุษย์ไอ้ชนิดนั้นน่ะเข้ามาในห้องทดลอง ไอ้ต้นไม้ที่อยู่ในห้องทดลองจะแสดงความกลัวอย่างยิ่งปรากฏออกมาทางเข็มวัดนี่
นี่จะเพียงแต่บอกให้รู้ว่า ไอ้ที่คนโบราณเขาเชื่อกันว่าไอ้ต้นไม้มีชีวิต มีความรู้สึก มีเทวดา มีอะไรนั้นน่ะ มันมีเหตุผล วิทยาศาสตร์เดี๋ยวนี้มันก็แสดงพิสูจน์ได้ ต้นไม้ชอบอารมณ์ขับกล่อม มีคนใจดีเข้ามาในห้องนั้น มันก็แสดงความรู้สึกอย่างหนึ่ง เด็กๆ มาร้องเพลงเบาๆ ให้ฟัง มันแสดงความรู้สึกออกมาอย่างหนึ่งในทางเข็มวัด ก็แสดงว่าแม้แต่ต้นไม้ก็ยังต้องการความประเล้าประโลม แล้วก็เกลียดการเบียดเบียน ฉะนั้นการที่เราจะถือว่าแม้แต่ต้นไม้นี้ก็เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา แล้วมันจริงยิ่งกว่าจริงนะ ลองทำลายต้นไม้นี้ให้หมดโลก มนุษย์อยู่ไม่ได้ ตายหมดเหมือนกันล่ะ มันมีความเปลี่ยนแปลงในโลกจนมนุษย์ต้องตายหมดเหมือนกัน ถ้าไม่มีต้นไม้อยู่ในโลก
เดี๋ยวนี้ก็มีคนทำลายต้นไม้มากเกินไป อาตมาขอร้องว่าเห็นแก่พวกเราบ้างเถอะ พระพุทธเจ้าประสูติใต้ต้นไม้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ต้นไม้ สอนใต้ต้นไม้ อยู่ใต้ต้นไม้ นิพพานใต้ต้นไม้ ของโปรดที่สุดของพระพุทธเจ้า อย่าทำลายต้นไม้กันนักเลย เขาก็ไม่ค่อยเชื่อ เขายังทำลายต้นไม้กันอยู่ แม้ริมวัด เขตวัดนี่ เผลอไม่ได้ ไม่มองเห็นไอ้ความจริงที่ว่าต้นไม้มันเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา พอไม่มีต้นไม้ มนุษย์ก็อยู่ไม่ได้ มนุษย์เกิดขึ้นทีหลังต้นไม้ ก็มีต้นไม้เป็นปัจจัยให้เกิด และก็บำรุงส่งเสริมให้มนุษย์มันอยู่ได้ เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า พืช เมื่อมีสิ่งที่เรียกว่า พืช ไอ้สัตว์มันก็อยู่ได้ แล้วสัตว์มันก็วิวัฒนาการขึ้นมาจนถึงเป็นมนุษย์ ชีวิตเหล่านี้มันก็ตั้งอยู่บนชีวิตในระดับพืช พืชก็ตั้งอยู่บนเหตุปัจจัยในระดับอื่นต่อไป แต่ว่าไอ้จุดตั้งต้นของชีวิตนี้มันตั้งต้นในระดับพืชหรือต้นไม้ ฉะนั้นเราขอถือว่าไอ้สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราจะไม่เห็นแก่ตัวจนถึงกับทำลายมันด้วยความโง่เขลา หรือว่าสนุกมือ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว กำลังเดือดร้อนกันทั่วไปหมดที่ต้นไม้มันไม่พอสำหรับจะรักษาความชื้นในพื้นแผ่นดิน หรือทำให้ฝนตกถูกต้องตามที่ควรจะเป็น เป็นกันทั้งโลก
ทีนี้ข้อที่สอง ข้อที่หนึ่งว่าไม่เห็นแก่ตัว รักผู้อื่น ข้อที่สองต้องบังคับความรู้สึก อย่าไปตามการศึกษาบ้าๆ บอๆ ของพวกตะวันตกที่ว่าไม่ต้องบังคับความรู้สึก มันเป็นความกดดัน ปล่อยตามความสบายดีกว่า ในโรงเรียนทั้งหลายก็สอนในลักษณะที่ไม่ต้องบังคับความรู้สึก อาตมาอ่านข่าวๆ หนึ่งนานมาแล้ว พอครูเข้ามาในห้องเรียน เด็กนักเรียนจุดประทัดโยนใส่พวงหนึ่ง แล้วก็หัวเราะกัน ถูกต้องแล้ว ดีแล้ว เราหาความสนุกสนาน ความพอใจได้อย่างเป็นอิสระเลย ครูก็รับรองว่าทำอย่างนั้นถูกต้องดีแล้ว เป็นกำไรในชีวิตอย่างที่เรียกกัน นักเรียนก็ถือว่าถูกต้องแล้ว แล้วมันบ้ากี่มากน้อย พวกเราลองคิดดู มันปล่อยตามความรู้สึกจนไม่มีขอบเขต ทุกอย่างมันปล่อยอย่างนั้น การศึกษามันจะนำผลมาอย่างไร ทุกคนปล่อยตามความรู้สึก มันก็ลุกลามไปถึงความรู้สึก ตา หู จมูก ลิ้น กาย เรื่องเพศ เรื่องอะไรต่างๆ มันก็ไม่บังคับความรู้สึก ก็เกิดอาชญากรรมทุกแขนงขึ้นมาเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง เต็มไปทั้งโลก อันธพาลมากขึ้นจนกลางวันแสกๆ บนรถเมล์ บนอะไรมันก็เต็มไปด้วยอันธพาลอย่างที่มีข่าวในหนังสือพิมพ์ อันธพาลกำลังรุกรานเข้าไปถึงห้องนอน ต่อไปมันก็จะไม่มีที่อยู่ อันธพาลมันชุมยิ่งกว่ายุงเสียแล้วล่ะ แล้วมันก็รุกรานเข้าไปแม้ในห้องนอน แล้วจะอยู่กันที่ไหน ไอ้คนนี่มันก็ไม่มีที่อยู่
ฉะนั้นขอให้มองเห็นความจำเป็นของธรรมะที่มันเป็นส่วนช่วยให้หยุดความเป็นอันธพาลเพราะการบังคับตัว บังคับตัว บังคับกิเลส บังคับจิต ไอ้สามคำนี้มันคำเดียวกัน บังคับตัวเรานี่คือบังคับจิต บังคับจิตนี่คือบังคับกิเลส ทั้งสามคำนี่ความหมายเดียวกัน ถ้าทุกคนอยู่ด้วยการบังคับตัว บังคับจิต บังคับกิเลส ไอ้โลกนี้มันก็สะอาด ปกติ เยือกเย็น พอไม่บังคับ มันก็เต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่ากิเลสคือ เลวร้าย ก็ไม่ทางที่จะอยู่กันเป็นผาสุก ฉะนั้นขอให้ถือธรรมะข้อที่สองคือ บังคับความรู้สึก
ข้อที่หนึ่ง ไม่เห็นแก่ตัว ข้อที่สอง บังคับความรู้สึก ทีนี้ข้อที่สามอีกสักข้อ ช่วงเวลามันเล็กน้อย คือ ให้สนุกเมื่อทำงาน มีความสุขสนุกอย่างยิ่งเมื่อทำงาน นี่อาตมาหมายความว่าในโลกปัจจุบันนี้ ไม่มีใครเป็นสุขเมื่อทำงาน อยากจะทำงานน้อยๆ อยากจะเลิกก่อนเวลา มาก็สายแล้วอยากจะเลิกก่อนเวลา เพราะมันขี้เกียจทำงาน ทุกคนในโลกมันขี้เกียจทำงาน ที่มันทนทำงานนี้เพราะความจำเป็นบังคับ มันไม่มีอะไรจะกิน มันจึงต้องทำงานเอาเงินเดือนมากิน โดยเนื้อแท้แล้วมันขี้เกียจ ไม่อยากทำงาน ถ้าไม่ต้องทำงานได้ก็ดี ทุกคนในโลกมันเป็นอย่างนี้ เมื่อมันขี้เกียจไม่ชอบอย่างนี้แล้วมันจะเป็นสุขสนุกในการทำงานได้อย่างไร
ฉะนั้นขอให้ทุกคนลองคิดดูว่า เราเองนี่มันเป็นสุขสนุกเมื่อทำงานหรือไม่ หรือว่าเมื่อพ้นเวลาทำงานแล้วก็อยู่ตามร้านกาแฟ อาบอบนวดโน่น มันเป็นสุขที่โน่น มันเป็นสุขที่โต๊ะทำงานในออฟฟิศหรือเปล่า ถ้ามันมีธรรมะจริง มันจะเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน เพราะว่าไอ้การทำงานนั้นคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต การทำงานคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตตามธรรมชาติ หน้าที่ตามธรรมชาตินั้นคือธรรมะ ดังนั้นเราทำหน้าที่ตามธรรมชาตินั้นน่ะคือปฏิบัติธรรมะอยู่ แล้วเราก็ควรจะพอใจ แต่โบราณเขาถือศีลธรรมข้อนี้กันมาก การขยันทำการงานนั้นแหละถูกต้องที่สุดตามความประสงค์ของพระเป็นเจ้า หรือของพระธรรม หรือของพระศาสนา เขาจึงสนใจทำงานให้ดี ให้สนุก
อย่างเป็นชาวนานี่ ยิ้มเย็นเมื่อถือหางไถ ถือคันไถ ไถนาไป ยังยิ้มอยู่ในทุ่งในแปลงนาเมื่อไถนา มันมีความสุขได้ที่นั่น ไม่ต้องรอว่าเลิกแล้วไปกินเหล้าเมายา ไปสนุกสนาน มันไม่มี มันไม่คิดไม่ฝันอย่างนั้น ได้แบกคันไถไปแล้วก็ดีใจ ผูกวัวแล้ว ผูกควายแล้วก็ไถนา แล้วก็ยิ้มกริ่มจนกว่าจะหิวข้าว เลิกมากินข้าวแล้วก็ไถนาอีก จะขุดนาก็ยิ้มกริ่ม จะทำอะไรก็ยิ้มกริ่ม ข้าวออกรวงแล้วก็ไม่ค่อยได้สนใจ ลูกเมียเขาไปจัดการซื้อหากันเองเถิด เขามีความสุขอยู่ด้วยการทำงาน ถ้าหากว่าเรามันมาเกิดมาวาสนาน้อย บุญน้อย มันมาเป็นกรรมกร แจวเรือจ้าง ถีบสามล้อ ล้างท่อถนน กวาดถนน ก็ควรจะยินดีอย่างนั้น เพราะว่าเรา ธรรมชาติมันจัดมาอย่างนั้น พระธรรมหรือธรรม (นาทีที่ 44.10) มันจัดมาอย่างนั้น เราเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ แต่เราอาจจะถีบสามล้อได้ ก็ยิ้มกริ่ม
อาตมาไปกรุงเทพตอนแรกๆ เห็นคนแจวเรือจ้าง กรุงเทพสมัยนู้นน่ะ มันเต็มไปด้วยเรือจ้างในแม่น้ำ ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสสนุกสนาน ไอ้พวกคนแจวเรือจ้าง เราก็จ้างเขาแจวมาตั้งแต่บางกอกน้อยมาทางตอนล่าง มาทางสัมพันธวงศ์นี่ มันก็แจวมาได้ ก็แกว่งเท้าเฉิบๆ ร้องเพลงหงุนหงินๆ มาตลอดเวลาเป็นชั่วโมงหนึ่ง มันก็มีความสุขดีสิ มันก็เหนื่อย แต่ว่ามันก็ร้องเพลง เหมือนชาวนาอินเดียสมัยปัจจุบันนี้ เวลานี้ ภาคกลางของอินเดียมันต้องตักน้ำจากบ่อขึ้นมารดนา การทำกสิกรรมครั้งที่สอง เมืองไทยนี้มันสบายที่ไม่ต้องตักน้ำรดนา ยังไงๆ ก็ไปโวยเอากับรัฐบาลให้หาน้ำให้ที แต่ถ้าประเทศอินเดียไม่มีล่ะ การทำนาผลิตผลครั้งที่สองเขาต้องตักน้ำในบ่อ สาวด้วยพกเชือก (นาทีที่ 45.25) ฟั่นด้วยฟางอันใหญ่ๆ ใส่คันมอง (นาทีที่ 45:30) ตักเทข้างบ่อแล้วไหลไปตามร่องคันนา ทำไว้เสมอน้ำปริ่มทั่วนา ตักเช้าถึงเที่ยง หยุดเที่ยง แล้วบ่ายถึงเย็น พ่อก็ตัก ลูกก็ตัก ร้องเพลงตลอดเวลา สุดหูสุดตาทั้งมณฑลทั้งจังหวัดน่ะ เสียงเพลงถึงกันหมดเลย ที่มาตักน้ำรดนา ไม่มีความทุกข์ ไม่โวยรัฐบาล ป่วยการจะไปโวยรัฐบาล
ถ้าน้ำมันลึกเพียง ๔ ศอก ๖ ศอก แล้วมันก็ตักด้วยมืออย่างนี้ แล้วก็ร้องเพลงด้วย มีความสุขในการทำงานอย่างยิ่ง ถ้าน้ำลึก ๑๐ วา ๑๕ วา มันใช้เชือกพันรอก เอาวัวดึงปลาย เชือกขึ้นลงขึ้นลง ตักน้ำรดนาเหมือนกัน ถ้าน้ำมันลึก ในบ่อมันลึกตั้ง ๑๐ วา สนุกตลอดเวลา เมียจูงวัวเดินถอยหลังไปถอยหลังมา ผัวก็อยู่ที่ไอ้ถุงน้ำใหญ่ที่ขึ้นลงมาจากบ่อ มันก็ร้องเพลง มันถือว่านี่ถูก ถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ นี่พอพระทัยแก่พระเป็นเจ้า ถูกใจพระเป็นเจ้าที่ท่านต้องการให้มนุษย์ขยันขันแข็ง นี่ยกตัวอย่างว่าไอ้สนุกในการทำงานน่ะ มันทำได้ บางคราวเราสนุกด้วยผ่าฟืนก็ได้ ถ้าอารมณ์เราดี แต่ถ้าอารมณ์เราเลวร้าย จะไปตามอารมณ์แล้ว ผ่าฟืนไม่ได้ มันเหมือนกับตกนรก แต่ถ้าไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น จะตักน้ำ ผ่าฟืน จะถากหญ้า จะอะไร มันก็สนุกไปหมด หรือว่าเราทำงานที่โต๊ะที่ออฟฟิศน่ะ บางเรื่อง บางราว บางเวลา บางกรณี เราสนุกเพลินจนลืม ลืมสิ่งทุกสิ่ง สนุกในงานที่ทำด้วยมือ มันควรจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี มีความสุขในการงาน เพราะมองเห็นชัดอยู่ว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม
เพราะฉะนั้นในข้อสามนี้ สรุปความสั้นๆ ว่า การทำงาน ทำหน้าที่ของมนุษย์คือ การปฏิบัติธรรม แล้วก็พอใจยินดี เพราะมันเป็นการปฏิบัติธรรม ทำได้ดีก็ยกมือไหว้ตัวเองเสียที เพราะมันทำได้ดี เมื่อยกมือไหว้ตัวเองได้ ก็จะเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดสำหรับมนุษย์เรา และก็เป็นความสุขบริสุทธิ์นะ ไม่ใช่เป็นความสุขสกปรกที่สถานอาบอบนวดนะ คุณต้องเทียบกันอย่างนั้นนะ ความสุขที่บริสุทธิ์นี่ เมื่อเรายกมือไหว้ตัวเราเองได้ เพราะมันเต็มไปด้วยการกระทำความดีอยู่ เพราะว่าการทำงานนี้คือการปฏิบัติธรรม นี่คือข้อที่สาม มีอีกเยอะแยะไปอย่าต้องพูด ๓ ข้อนี้ก็ทำไม่ไหว ทำไหวหรือไม่ไหวลองดูก่อนเถอะ ไอ้เพียง ๓ ข้อนั้น แล้วขอบอกว่า ไอ้ ๓ ข้อนี้มันแตกแขนงออกไปเป็นข้ออื่นๆ ได้อีกมากมาย หรือว่าข้ออื่นๆ อีกมากมายมันมารวมสรุปอยู่ใน ๓ ข้อนี้ เช่นว่ารักผู้อื่นไม่เห็นแก่ตัวนี่ มันแตกแยกออกไปได้มากมายเหลือเกิน เราเอาแต่หัวข้อมันมา ไม่เห็นแก่ตัว รักผู้อื่น เพราะว่าเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ดังนั้นอย่ามีเลยกระทบกระทั่งผู้อื่น อิจฉาริษยาผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น อย่าได้มีเลย ให้มันรักกันเหมือนกับทั้งโลกมันเป็นคนๆ เดียวกัน
เดี๋ยวนี้ภายในประเทศมันก็ยังรักกันไม่ได้ว่าเป็นคนๆ เดียวกัน บางแห่งในครอบครัวเดียวกันมันก็ยังรักกันไม่ได้ว่าเป็นคนๆ เดียว ผัวกับเมียมันยังกัดกัน มันก็เป็นเรื่องที่ว่า ไม่รู้ว่ามันเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ขอให้เป็นข้อแรก เป็นพื้นฐาน ตามหลักโบรมโบราณก่อนพุทธกาลดึกดำบรรพ์ว่า อหิงสา ปรโม ธัมโม การไม่เบียดเบียนกันเป็นบรมธรรม เป็นปรมธรรม (นาทีที่ 49:55) เป็นบรมธรรม การไม่เบียดเบียนกัน ฉะนั้นมันจะไม่เบียดเบียนกันโดยประการทั้งปวง
ข้อที่สอง บังคับความรู้สึกให้ความรู้สึกอยู่ในการบังคับ ก็หมายความว่า ให้กิเลสอยู่ในการบังคับของสติปัญญา ให้สัมมาทิฐิบังคับมิจฉาทิฐิไว้ให้ได้ อย่าให้มันหือขึ้นมา ให้ความรู้สึกฝ่ายสูงมันบังคับความรู้สึกฝ่ายต่ำไว้ได้อย่าให้มันลุกขึ้นไว้ นี่เรียกว่าบังคับความรู้สึก กิเลสมันต้องการให้เราทำอะไรตามความพอใจของเรา อร่อยแก่เรา ผู้อื่นไม่รู้ อย่างนี้ อย่างนี้บังคับไว้ให้ได้ อย่าให้มันทำ มันก็จะบังคับความโลภก็ได้ บังคับความโกรธก็ได้ บังคับโมหะ ความหลง สะเพร่าก็ได้ บังคับกิเลสได้ แล้วก็นั่นแหละคือนิพพาน บังคับกิเลสได้เท่าไรมันก็เป็นนิพพานเท่านั้นแหละ บังคับได้น้อยก็เป็นนิพพานน้อยๆ บังคับได้หมด บังคับได้ตลอดกาล ก็เป็นนิพพานแท้จริง สมบูรณ์ ดังนั้นขอให้ชอบบังคับตัว ชอบบังคับกิเลส ไอ้ที่เรียกกันว่าบังคับตัว บังคับตน
เราบูชาฝรั่งกันยุคเมื่อ ๖๐ ปี ๘๐ ปี มาแล้ว เรานับถือฝรั่ง เพราะฝรั่งเข้ามา เขาก็เอ่ยถึงเรื่อง Self control, Self confidence, Self respect อย่างนี้ ต้องบังคับตัวเอง เชื่อตัวเอง นับถือตัวเอง เราบูชาฝรั่งมาสอนในตอนนี้ (นาทีที่ 51.50) เดี๋ยวนี้ฝรั่งที่สอนอย่างนั้นไม่มีแล้ว ไม่มีแล้วเราจะไปพบฝรั่งที่พูดอย่างนั้นหรือสอนอย่างนั้นอีกแล้ว มันเลิกไปเสีย เป็นลำดับมา เรามาสร้างเอาเองตามหลักของพระพุทธศาสนาที่เราจะต้องบังคับตัวเอง แล้วจะได้นับถือตัวเอง ไหว้ตัวเองได้ นี่เรียกว่าบังคับความรู้สึก
ข้อสาม เป็นสุขเมื่อทำงาน เมื่อเรียนก็เป็นสุข เมื่อทำงานก็เป็นสุข เมื่อรับผลงานก็เป็นสุข เมื่อบริโภคผลงานก็เป็นสุข มันเป็นสุขตลอดเวลา เรียกว่ามีความสุขในหน้าที่การงาน รักการงานยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะว่าการงานทำให้เราเป็นมนุษย์ เพราะว่าการงานนั้นเป็นหน้าที่ของมนุษย์ ตามแบบของมนุษย์ แต่ทว่าโดยแท้จริงแล้วการงานมันเป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต บรรดาสิ่งที่มีชีวิตแล้วต้องมีหน้าที่กันทั้งนั้นแหละ แล้วก็เรียกว่าการงาน ชีวิตที่ต่ำเตี้ยเป็นหญ้าบอนต้นไม้นี้ มันก็มีการงาน คือมันต้องทำงาน มันต้องส่งรากไปหาอาหาร มันต้องดูดน้ำ มันต้องดูดแร่ธาตุ มันต้องงอกใบออกไปรับแสงแดด แล้วมันต้องปรุงอาหารด้วยใบ แล้วมันก็เลี้ยงต้น แล้วมันก็ออกลูก นี้มันเป็นการงาน เป็นหน้าที่ ที่จะต้องทำตามกฎของธรรมชาติ เมื่อได้ทำหน้าที่แล้วก็รอดอยู่ได้ ไม่ตาย ไม่หมด นี่คือการงาน คือการปฏิบัติธรรม คือการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรอดอยู่ได้ สัตว์เดรัจฉานมีหน้าที่ดำรงชีวิต ต้องหากิน ต้องทำไปทุกอย่างเพื่อรอดอยู่ได้
มนุษย์เราก็เหมือนกันทำทุกอย่างเพื่อรอดอยู่ได้ แต่ของมนุษย์นี่มัน ๒ ชั้น ไอ้รอดนี่มันมีอยู่ ๒ ชั้น สัตว์เดรัจฉานและต้นไม้ มันชั้นเดียว คือมันรอดอยู่ได้โดยทางร่างกายก็พอแล้ว แต่มนุษย์นี่ไม่พอ ทำการงานให้ร่างกายรอดอยู่ได้ เช่น ทำมาหากิน กินอาหาร อาบ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ บริหารให้รอดอยู่ได้ในส่วนร่างกาย พอร่างกายรอดอยู่ได้แล้ว ยังมีอีกรอดหนึ่ง คือรอดจากความทุกข์ทางใจ รอดจากความบีบคั้นของกิเลสที่เรียกว่า วิมุต หรือนิพพาน รอดทางจิต รอดทางวิญญาณ ไม่มีอะไรมาครอบงำ มาหุ้มห่อทรมาน อย่างนี่เรียกรอดครั้งที่สอง รอดครั้งที่หนึ่ง ร่างกายรอดชีวิตอยู่ได้ รอดครั้งที่สอง จิตรอดจากความทุกข์โดยประการทั้งปวง
ครั้นเมื่อเราทำหน้าที่นี้ระดับไหนก็ตาม เราควรจะพอใจ เราได้ทำหน้าที่เพื่อความรอดตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ หรือตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้า พวกที่มีพระเจ้ายึดถือเขาก็เรียกว่าพระเจ้า ตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ไอ้เราไม่มีพระเจ้าอย่างนั้น เราก็มีกฎเกณฑ์ของพระธรรมคือ ธรรมชาติ ตามกฎเกณฑ์ของพระธรรมเราต้องทำงาน เมื่อได้ทำแล้วก็เรียกว่าถูกใจพระธรรม ถูกใจพระเจ้า เราก็เคารพตัวเองได้ แล้วก็เป็นสุขเมื่อเคารพตัวเอง คือพอใจในตัวเอง ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องดูอีกนิดหนึ่งว่า ไอ้ความสุขทั้งหลายมาจากความพอใจ ถ้าทำให้พอใจไม่ได้ ไม่มีความสุขหรอก พอใจอย่างโง่ อย่างหลง อย่างกามารมณ์ มันก็ต้องพอใจนะ ต่อเมื่อพอใจในกามารมณ์นั้น กามารมณ์นั้นจึงจะเป็นความสุข ที่ที่มิใช่กามารมณ์ ที่เป็นเรื่องถูกต้อง นี่ก็ต้องพอใจ มันจึงจะเป็นสุข ทีนี้พอใจในวัตถุสิ่งของ ก็เหมือนกัน มันต้องพอใจ มันจึงจะเป็นสุข ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับความพอใจ พอใจปลอม ไอ้ความสุขก็ปลอม พอใจผิด ความสุขก็ผิด พอใจบริสุทธิ์ ความสุขก็บริสุทธิ์ พอใจอย่างสูง ความสุขก็สูง ฉะนั้นเราพูดได้ว่าไอ้ความสุขนี้จะมาจากความพอใจเสมอ นี่เราทำให้พอใจอย่างถูกต้อง อย่างบริสุทธิ์ อย่างสูง จนยกมือไหว้ตัวเองได้อย่างนี้ ฉะนั้นความพอใจนี้ก็ให้เกิดความสุขที่ถูกต้องที่บริสุทธิ์
อาตมาพูดมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว กลัวท่านจะรำคาญ จึงขอยุติที โดยสรุปว่า อาตมายินดีในการมาของท่านทั้งหลาย มานั่งกลางดินที่มันเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า มันก็คงจะรู้สึกต่างกันนะคุณ นั่งในตึกราคาล้านที่วิทยาลัยนี่ รู้สึกอย่างไรเดี๋ยวนี้มันกลางดินที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานของพระเจ้า พระพุทธเจ้า มันต่างกันอย่างไร อาตมาขออวดตรงที่มันต่างกันนี้ แต่ไม่ใช้คำพูดว่าของใครมันดีกว่าของใคร พูดว่ามันต่างกัน แต่ถ้าพูดไปในทางธรรมชาติแล้ว ที่นี่ดีกว่า นั่งกลางดินดีกว่านั่งบนตึกราคาเป็นล้านๆ เพราะว่าธรรมะคือเรื่องของธรรมชาติ เมื่อมานั่งในธรรมชาติ เราเรียนรู้ธรรมะง่ายกว่าที่จะไปนั่งบนตึกบนวิมาน ซึ่งมันไกลธรรมชาติ น่าหัวแหละที่เขาจะไปประชุมแก้ปัญหาชาวนากันที่ตึกที่สวางคนิเวศ สวางคนิวาส บางปู ทำไมไม่ประชุมกันกลางนาเล่า ปัญหาชาวนามันเกิดที่ไหนก็ไปนั่งกันตรงนั้นแหละ แล้วก็แก้ปัญหาชาวนา นี่ไปประชุมกันตึกสวยงาม เอร็ดอร่อย สะดวกสบาย ที่สวางคนิวาส ที่บางปู ไม่เห็นด้วย จะเห็นเป็นเรื่องบ้าด้วยซ้ำไป
ดังนั้นถ้าจะเรียนเรื่องธรรมชาติของพระพุทธเจ้าแล้ว จงมานั่งกับธรรมชาติ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อท่านนั่งอยู่กับธรรมชาติ นั่งกลางดิน โคนต้นไม้ ตรัสรู้ธรรมะทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ถ้าหากว่าท่านมาเพื่อจะศึกษาธรรมะแล้วก็จะจัดให้นั่งกับธรรมชาติ ทุกพวกล่ะ ที่มารับการศึกษาธรรมะที่นี่ เราจะชักชวนให้นั่งกันอย่างนี่ จะไปขนเก้าอี้มานั่งก็ได้ มีพอเหมือนกัน จะไปนั่งที่ตึกโน้นบนเก้าอี้ก็ได้ แต่มันไม่ได้ผลดีอย่างกันนั่งกับธรรมชาติ นั่งกับก้อนหิน นั่งกับแผ่นดิน นั่งกับต้นไม้นี่ จิตใจมันหยุดเย็นลงไปตามธรรมชาติโดยอัตโนมัติ จะไม่สังเกตบ้างหรืออย่างไรว่า พอเข้ามาที่อย่างนี้ จิตใจมันเปลี่ยนไม่เหมือนกับที่อยู่ในเมือง ธรรมชาติมันบังคับ ให้หยุด ให้เย็น เป็นธรรมชาติ พอเป็นเกลอกับธรรมชาติก็ได้ยินธรรมชาติพูด ต้นไม้นี่มันจะพูดให้เราฟังว่า โอ๊ย, อย่าบ้ากันไปนักเลย หยุดกันเสียบ้าง เย็นกันเสียบ้าง
คุณลองทำจิตให้มันเย็นถึงที่สุดสิ จะได้ยินต้นไม้พูดว่าอย่างนี้จริงๆ อย่าวุ่นวายกันไปนัก อย่าร้อนกันไปนัก อย่าบ้ากันไปนัก มาหยุดอยู่เย็นๆ เหมือนกับเราซะบ้างสิ นี่ มันจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างนี้ในใจจริงๆ อาตมาใช้คำว่าต้นไม้มันพูด ในความแวดล้อมทุกอย่าง ทุกประการ มันทำให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราเลยเรียกว่าธรรมชาติพูด ก้อนหินพูด ต้นไม้พูด แผ่นดินพูด พระพุทธเจ้าท่านได้ยินธรรมชาติพูดโดยครบถ้วน แล้วก็เอามาจัดเป็นระบบธรรมะสอนครบหมดทุกอย่าง เรื่องตัวธรรมชาตินั้นเอง เรื่องกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรื่องผลอันเกิดจากหน้าที่ ที่เราเรียกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน เรียนเรื่องร่างกาย จิตใจ วัตถุต่างๆ รู้ความจริง สัจจะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้ว่าต้องปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ตามกฎธรรมชาติแล้วก็ได้รับผลบรรลุมรรคผลนิพพาน ถ้าเรียกอย่างนี้ ภาษาบาลีมันไกลออกไปจากความรู้สึกของคนธรรมดา เราจะเรียกว่า ดับทุกข์ แก้ปัญหาทั้งหมดของมนุษย์ได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ
ขอแสดงความยินดีต่อท่านทั้งหลาย พร้อมกันนั้นขอแสดงความหวังว่าการที่มาที่นี่ ได้ฟังอย่างนี้ คงจะเป็นประโยชน์บ้าง ในที่สุดก็ขอตั้งจิตอธิษฐาน อวยพรให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงเป็นคนกล้าหาญๆ เชื่อตัวเอง ขยันขันแข็ง ในการที่จะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วปฏิบัติตามคำสอนในพระพุทธศาสนา แล้วมีความสุข ความเจริญงอกงาม ก้าวหน้าในหน้าที่การงานในที่ทุกสถาน ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ