แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านทั้งหลาย ได้ยินว่าท่านทั้งหลายมากันที่นี่ในนามแห่งสมาชิกกลุ่มวัฒนธรรมของวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จฯ ได้ขอร้องให้อาตมาพูดถึงสิ่งที่จะพอเป็นประโยชน์แก่กิจการนั้นๆ ดังนั้น อาตมาก็คิดว่าจะเป็นการดีถ้าเราจะพูดกันในหัวข้อว่า “การศึกษากับวัฒนธรรม” การตั้งกลุ่มวัฒนธรรมก็เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าทางวัฒนธรรม การก้าวหน้าทางวัฒนธรรมมันก็อาศัยการศึกษาที่ถูกต้อง การศึกษามันก็เป็นวัฒนธรรมด้วยเหมือนกัน แต่ดูให้มันเป็นส่วนที่เป็นเหตุ มันจะนำมาซึ่งวัฒนธรรมส่วนที่เป็นผล และก็ขอให้เข้าใจว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นเหตุโดยส่วนเดียวเป็นผลโดยส่วนเดียว เป็นเหตุและเกิดผลและผลก็จะกลายเป็นเหตุ เมื่อเกิดผลๆก็กลายเป็นเหตุ ส่งเสริมกันเรื่อยไปในลักษณะอย่างนี้วัฒนธรรมทั้งหลายมันเกิดขึ้นเป็นลำดับมา มันก็เป็นเหตุเป็นผล เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน เดี๋ยวนี้เราก็พอจะมองเห็นว่าการศึกษาซึ่งเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งนั้นมันก็เป็นเหตุให้เกิดวัฒนธรรมอย่างอื่นที่เป็นผล เป็นความสงบสุขโดยตรง อาตมาถือว่าไม่มีอะไรที่เป็นความก้าวหน้าของมนุษย์แล้วจะไม่เป็นวัฒนธรรม จึงตั้งต้นมาตั้งแต่เรื่องง่ายๆ จนกระทั่งเรื่องสูงสุด คือเรื่องพระศาสนา ศาสนาก็เป็นวัฒนธรรม เป็นวัฒนธรรมยอดสุดสำหรับมนุษย์ เมื่อมนุษย์ยังไม่เรียกตัวเองว่ามีวัฒนธรรม ก็คือทำอะไรไม่คอยจะเป็นไม่ค่อยจะได้ มันยังคล้ายๆสัตว์เดรัจฉานอยู่ ทางตะวันตกจะถือเอาไถนา คันไถ เป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรม ไม่รู้จะเป็นคำเดียวกันด้วย คือคำว่า culture มันหมายถึง คันไถ ที่ไถนา ส่วนทางตะวันออกเรานี้จะหมายเอาวงล้อ เอาลูกล้อ เป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรม เพราะเราเล็งที่การเคลื่อนไหวมากกว่าที่จะเพียงรู้จักการไถนา ทำอาหารกิน เมื่อไม่รู้จักไถนาก็กินอาหารตามธรรมชาติ เมื่อรู้จักไถนาจะมีอาหารที่ทำขึ้นมาเองกิน แล้วจัดเป็นวัฒนธรรมตั้งต้นจุดแรกซึ่งจะเป็นเรื่องปากมากกว่า ที่นี้ทางฝ่ายตะวันออกโดยเฉพาะอินเดียนี่เอาวงล้อเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมที่มันเลื่อนเคลื่อนไหวไปได้โดยเร็ว และยังหมายถึงทางจิตใจด้วย นั้นเราพอใจที่จะมีวงล้อเป็นสัญลักษณ์จุดตั้งต้นของวัฒนธรรม นับตั้งแต่วัฒนธรรมทางวัตถุคือเคลื่อนๆไหวไปได้เร็วทางวัตถุ ถ้าเคลื่อนไหวไปอย่างเร็วกว่านั้นในทางจิตใจ ดังนั้นวงล้อธรรมจักรจึงเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรม เอาเป็นว่าเรามีวัฒนธรรมกันก็แล้วกัน สำหรับมนุษย์ซึ่งก้าวขึ้นมาสูงกว่าความเป็นสัตว์เดรัจฉาน นี่ก็ขอให้คิดดูว่ามนุษย์เริ่มสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานอย่างไร เมื่อไร ก็เพื่อผลอะไร เมื่อพูดถึงความรู้หรือการศึกษามันก็มีได้ทั้งโดยธรรมชาติ คือธรรมชาติสอน และต่อมาก็ดีกว่านั้นเร็วกว่านั้นคือว่าคนด้วยกันสอน คนคิดค้นระบบต่างๆ ขึ้นมาแล้วก็สอน ไอ้ธรรมชาติมันสอนก็มักเป็นไปตามสัญชาตญาณดีขึ้นนิดหน่อย ฉะนั้นคนมีความรู้เพียงพอมันก็สูงกว่ามาก แล้วก็สอนไปมากก็เพื่อความเจริญ ในภาษาบาลีหรือภาษาบุราณของประเทศอินเดีย เราเรียกสิ่งนี้ว่า ธรรมะ วัฒนธรรมก็คือธรรมะ ธรรมะเป็นคำกลาง เป็นคำที่ใช้เรียกสิ่งๆ หนึ่งซึ่งเรียกอย่างอื่นไม่ได้ต้องเรียกว่าธรรมะ ในฐานะที่วัฒนธรรมก็เป็นธรรมะ เราสนใจคำว่าธรรมะกันก่อน ขอให้ถือเป็นหลักอันแรกว่าธรรมะนั่นคืออะไร สอนลูกเด็กๆ ในโรงเรียนว่าธรรมะ คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่มันยังบอกอะไรมันน้อยเกินไป เช่นยังไม่ได้บอกว่า สอนว่าอย่างไร อาตมากก็มารวบรวมดูเท่าที่ได้ค้นคว้าศึกษามาเห็นว่า เห็นว่าคำว่าธรรมะนี่มันเป็นคำพิเศษจะแปลเป็นภาษาอะไรก็ไม่ได้ แปลเป็นภาษาไทยก็ไม่ได้ ต้องใช้คำว่าธรรมะเป็นภาษาเดิม
ธรรมะเป็นเรื่องของธรรมชาติ แบ่งออกได้เป็นพวกๆว่า เรื่องตัวธรรมชาติอย่างหนึ่ง เรื่องตัวกฎของธรรมชาติอย่างหนึ่ง เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ผลที่จะได้รับจากการทำหน้าที่นั้นก็อีกอย่างหนึ่ง ทั้ง ๔ อย่างนี้ เรียกว่าธรรมะเหมือนกันหมดด้วยคำๆ เดียว ว่าธรรมหรือธรรมะ หมายถึงสิ่งทั้ง ๔ นี้ นั่นน่ะคิดดูว่าไม่อาจจะแปลเป็นภาษาอะไรได้ ภาษาไทยก็ยอมรับเอาคำเดิมมาใช้ในภาษาไทย แต่นี้ภาษาต่างประเทศทั้งหลายก็ยอมรับเอาคำนี้ไปใช้ในภาษาของตน บรรจุในปทานุกรมแห่งชาติของตน ขอให้นักเรียนนักศึกษานี่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะไว้ในลักษณะอย่างนี้เป็นพื้นฐาน สำหรับจะศึกษาสิ่งที่เรียกว่าธรรมะให้ละเอียดลออชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อพูดถึงธรรมะต้องให้นึกถึงธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ผลที่เกิดมาจากหน้าที่เข้าใจแจ่มแจ้งแตกฉานดี จนพอเรานึกถึงเรื่องอะไรขึ้นมาได้เราก็บรรจุเข้าไปได้ในความหมายหนึ่งความหมายใด แห่ง ๔ ความหมายนี้ ถ้าใครสามารถจะบรรจุความความคิดนึกอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าไปได้ในธรรมะ ๔ ความหมายนี้ ก็เรียกว่าเขาพอจะรู้ธรรมะ ถ้ามิฉะนั้นแล้วมันก็ยังงงๆ อยู่ว่านี่ธรรมะอะไร ธรรมะชนิดไหน ประเทศไหน มันเป็นเรื่องของธรรมชาติหรือมันเป็นกฎของธรรมชาติ มันเป็นเรื่องของหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ หรือว่ามันเป็นเรื่องผลที่มันเกิดมาจากหน้าที่นั้นๆ ไอ้ธรรมชาติทั่วไปในสากลจักรวาลนี่ มันก็คือความจริงที่ปรากฏอยู่เป็นไปเองตามธรรมชาติ ซึ่งวิชาวิทยาศาสตร์ก็ศึกษาเรื่องนี้เป็นหลัก แล้วก็มารู้เรื่องกฎของธรรมชาติมีอะไรอันหนึ่งลึกลับเหลือประมาณไม่เหมือนอะไรทั้งหมดหรืออยู่เหนืออะไรทั้งหมด มีอำนาจอยู่ในที่ทุกแห่งทั้งปวงครบหมดทุกเรื่องทุกราวนี่เราเรียกว่า กฎของธรรมชาติ ในตัวเราทุกคนนี้ก็มีกฎของธรรมชาติครอบงำกำกับอยู่ ไม่เฉพาะว่าทั่วจักรวาลภายนอก ในจักรวาลภายในเล็กๆ ตัวคนคนหนึ่งก็มีกฎของธรรมะเล็กๆควบคู่อยู่ ของธรรมชาติควบคุมอยู่อย่างเด็ดขาด เราก็เรียกว่าธรรม ธรรมะเหมือนกัน พวกอื่นเขาจะเรียกว่าพระเป็นเจ้าก็ได้ก็ตามใจเขาแล้วแต่สมัครจะเรียกกันอย่างนั้นหรือเขาสอนกันมาอย่างนั้น ความหมายของพระเจ้าก็เท่ากับกฎของธรรมชาติ มันทำให้สิ่งต่างๆ เป็นไปเป็นอยู่หรือเป็นไปอย่างตามกฎของธรรมชาตินั่นเอง เมื่อธรรมชาติมันมีอำนาจสิทธิ์ขาดอยู่อย่างนี้มันก็ต้องเกิดความรู้อีกอย่างเพื่อสนอง คือความรู้ว่าจะปฏิบัติกันอย่างไร อย่าให้ขัดกันกับกฎของธรรมชาติจึงมีหน้าที่ต้องทำอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น ให้เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เพื่อไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าว่าถือพระเจ้าก็ต้องตามประสงค์ของพระเจ้า เรามีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามความประสงค์ของพระเจ้า เราก็ไม่เป็นทุกข์เหมือนกัน ฉะนั้นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็คือพระธรรม ที่มีความหมายมากที่สุดจำเป็นที่สุด จะต้องศึกษามากที่สุดกว่าธรรมะในความหมายไหน แต่แล้วมันก็เนื่องกันทั้งนั้นแหละ มันเนื่องกันอยู่ว่าตัวธรรมชาติเป็นตัวยืนโรงอยู่ กฎของธรรมชาติมันควบคุมอยู่ ไอ้สิ่งที่อยู่ใต้อำนาจกฎนี้ก็จะต้องสนองความต้องการหรือความมุ่งหมายใดก็ตามของกฎธรรมชาติ ดังนั้นจึงต้องเคลื่อนไหวคือทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสิ่งที่มีชีวิตจิตใจ มันต้องทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาติมันจึงจะรอดชีวิตอยู่ได้ สำหรับสิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ เช่น ก้อนหินนี่มันก็ยังเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ คือมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่เปลี่ยนไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ แต่เมื่อมันไม่มีชีวิตจิตใจมันก็ไม่เป็นปัญหาเรื่องความสุข-ความทุกข์ มันก็ไม่ต้องปฏิบัติอะไรมากมาย แต่สิ่งที่มีชีวิตนับตั้งแต่พืชพรรณไม้ขึ้นไปแม้แต่ว่าเป็นเพียงเซลล์เดียวสองเซลล์อะไร ก็ตาม เป็นต้นไม้ต้นไร่อยู่อย่างนี้แล้ว มันก็ต้องทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ รู้จักหากิน รู้จักต่อสู้ รู้จักทำทุกอย่างเพื่อให้รอดชีวิตอยู่ได้ เรียกว่าหน้าที่ แม้แต่ต้นไม้กระทั่งมาถึงสัตว์เดรัจฉาน กระทั่งมาถึงมนุษย์ก็รู้จักหน้าที่ ทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติจะรอดชีวิตอยู่ได้
ทีนี้เราไม่ได้ต้องการเพียงแต่รอดชีวิตอยู่ได้ เราต้องการให้ดีที่สุดสำหรับความเป็นมนุษย์ เราต้องรู้หน้าที่ที่สูงขึ้นไป คือประพฤติปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้รับผลอันนั้น ที่เราเรียกกันในหมู่พุทธบริษัทว่าการบรรลุมรรคผลนิพพาน เพื่อจะไม่มีทุกข์ มันก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง คือนี้มีสุขอย่างยิ่ง กว่าจะถึงที่สุดเราต้องรู้และเราก็ต้องทำ เพียงแต่รอดชีวิตอยู่เฉยๆ ซึ่งก็ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมันก็รอดอยู่ได้และบางทีก็ดีกว่าคนเสียอีก สัตว์เดรัจฉานรอดชีวิตอยู่อย่างที่ไม่ค่อยจะมีปัญหา มนุษย์เราโดยเฉพาะปัจจุบันนี้มีปัญหามากเหลือเกิน ไม่ต้องบอกก็พอจะเข้าใจกันได้ เรารู้เรื่องราวทั่วโลกได้โดยง่ายสำหรับยุคนี้เพราะความเจริญในทางนี้ จะเห็นได้ว่ามนุษย์มีปัญหาเหมือนกับทุกข์ทรมานทางจิตใจยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานยังสบายอยู่ตามเดิมเหมือนที่มันมีมาแล้วตั้งหมื่นปี แสนปี โกฏิปี กี่ล้านปีก็ตามใจ แต่มนุษย์นี่เปลี่ยนมาสู่ปัญหายุ่งยาก เดี๋ยวนี้มนุษย์มีโรคภัยไข้เจ็บแปลกออกไป มีเครื่องทรมานใจแปลกออกไป จนมนุษย์ปวดหัวทั้งวันนอนไม่หลับทั้งคืนอย่างนี้ สัตว์เดรัจฉานเขาไม่มี เราก็เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานในข้อนี้ เราเป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตกันมาก ซึ่งมนุษย์มันมีมากแต่สัตว์เดรัจฉานมันไม่มี เราก็เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานในข้อนี้ คิดดูให้ดีอย่ามองข้ามไปเสีย ถ้ายังต้องปวดหัวยังต้องกินยานอนหลับนี่ก็เป็นโรคประสาทอยู่แล้ว อย่าอวดดีว่ามันดีไปกว่าสัตว์เดรัจฉานเลย มันควรจะละอายสัตว์เดรัจฉานอย่างยิ่ง ทีนี้ก็เพื่อจะกู้หน้า หรือแก้หน้าในข้อนี้ให้มีอะไรเข้ามา มาทำให้เราไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องนอนไม่หลับ ไม่ต้องเป็นประสาท ไม่ต้องเป็นโรคจิต สิ่งนั้นแหละก็คือ ธรรมะ ธรรมะ ความหมายที่ ๓ หน้าที่ที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันก็ทำหน้าที่ถูกต้องแล้ว มันก็ไม่ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องนอนไม่หลับ ไม่ต้องฆ่าตัวตาย หรือไม่ต้องไปทนเป็นโรคประสาท โรคจิตอยู่ นี่ความจำเป็นที่ว่าธรรมะที่ต้องเข้ามา เมื่อเราได้รับถ่ายทอดความรู้อันนี้สืบๆกันมา ตั้งแต่แรก ตั้งแต่ยุคแรกดีขึ้นๆ รู้จักแสวงหาความสุขที่ดีขึ้นจนถึงกับดีสูงสุด ไม่มีอะไรดีกว่าที่เรียกว่าการบรรลุนิพพานในทางพุทธศาสนา ศึกษาโดยธรรมชาติบ้าง โดยมนุษย์ด้วยกันสอนกันบ้างมันดีขึ้นๆจนรู้ นี่ก็เรียกว่ามันเป็นสายแห่งวัฒนธรรมของมนุษย์ ตั้งแต่รู้จักไถนาหรือรู้จักทำล้อเกวียนใช้อย่างนี้ จนกระทั่งมารู้เรื่องทางจิตใจ ไอ้ทางวัตถุนั่นมันสุดอยู่เพียงแค่มีกินมีใช้อย่างสะดวกสบาย ทางจิตใจยังมีปัญหามีความพอทนทรมานต้องแก้ปัญหาทางจิตใจ อีกส่วนหนึ่งที่มีการศึกษาในทางจิตใจที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นการศึกษาในด้านจิตใจเพื่อให้มนุษย์สมบูรณ์ เราหากจะดูให้ดีว่าศึกษาเพื่ออะไร ศึกษาเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าจะตอบว่าศึกษาเพื่อประโยชน์แก่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างนี้แล้ว อาตมาเห็นว่ามันเป็นประโยชน์แค่หางอึ่งเท่านั้นแหละ อย่าไปบูชาสนใจเพียงเท่านั้น ถ้าศึกษาเพื่อประชาธิปไตยเพื่อเศรษฐกิจของชาติในที่สุดก็เพื่อประโยชน์แก่ประชาธิปไตย แล้วมันเป็นประโยชน์แค่หางอึ่ง มันไม่มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อยู่กันด้วยความเป็นผาสุกสงบสุข เดี๋ยวนี้ปัญหาประชาธิปไตยรบกวนโลกมากที่สุดไม่มีความเป็นสุขเลย เพราะจะมีความมุ่งหมายการศึกษายิ่งกว่านั้นก็คือ เพื่อความเป็นมนุษย์ที่มันถูกต้อง คือมีธรรมะ ธรรมะคืออะไร มีบทจำกัดความ ชนิดที่จะเรียกว่ากำปั้นทุบดินก็ได้ แต่ไม่ๆเป็นกำปั้นทุบดินที่ไร้ประโยชน์นะ เป็นกำปั้นทุบดินที่ทุบแล้วถูกทุกทีแหละ แต่ธรรมะนี่จำกัดความว่า การประพฤติกระทำหรือว่าระบอบแห่งการประพฤติกระทำของมนุษย์ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา อาตมาขอร้องนักเรียนนักศึกษา โดยเฉพาะที่ว่าสมาชิกกลุ่มวัฒนธรรมนั่นแหละช่วยจำคำนี้ไว้ให้แม่นยำ เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้ว เราอย่ามัวล้าหลังหลับตาคลานอยู่เลย นักศึกษาธรรมะหรือนักศึกษาพุทธศาสนาก็ตามในโลกเดี๋ยวนี้มันยุติกันแล้วว่า คำว่าธรรมะนั้นคือระบบแห่งการปฏิบัติไม่ใช่การเรียนนะ ไม่ใช่การท่องจำไม่ใช่การเรียน course of conduct ระบอบหนึ่งแนวหนึ่งแห่งการปฏิบัติ และก็ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ Right ถูกต้อง for a man สำหรับมนุษย์ ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา at the every……. of each evolution (นาทีที่ 20.32) ถูกต้องทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์นั่นเอง มนุษย์มันจะมีวิวัฒนาการกันทุกกี่ขั้นกี่ตอนมันต้องมีอะไรอย่างหนึ่งที่ถูกที่สุด แต่วิวัฒนาการทุกขั้นทุกตอนอย่างมนุษย์สมัยหินที่มีการกระทำที่ถูกต้องแก่มนุษย์สมัยหิน สมัยต่อมาๆ จนกระทั่งบัดนี้มันก็ต้องมีการกระทำที่ถูกต้องทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา แม้จะเป็นเด็กก็ถูกต้องแห่งความเป็นเด็ก ความเป็นหนุ่มสาวก็ถูกต้องแก่ความเป็นหนุ่มสาว เป็นผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า ผู้ชรา ก็ถูกต้องตามขั้นตอนนั้นๆ เดี๋ยวนี้เรามีความถูกต้องชนิดนั้นหรือเปล่า ก็ดูที่ผลที่มันปรากฏอยู่มันมีปัญหาแก่เยาวชน ปัญหาแก่คนวัยรุ่น ปัญหาแก่คนหนุ่มสาว พ่อบ้านแม่เรือน จนกระทั่งว่ามันเป็นโรคประสาทนอนไม่ค่อยจะหลับเต็มไปทั่วทั้งบ้านทั้งเมืองแล้ว นี่มันไม่ถูกขั้นตอนไปศึกษากันเถิดให้มันถูกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ เราก็จะมีความสุขถูกต้องไปตั้งแต่เด็กๆ เรื่อยขึ้นไปจนเป็นคนเฒ่าคนแก่ เมื่อถูกต้องในทางฝ่ายร่างกายแล้วก็จะต้องถูกต้องในทางฝ่ายจิตใจด้วย เพราะฉะนั้นเราอย่ามัวให้การศึกษากันแต่ในทางร่างกายเลย เรียนหนังสือแต่เพียงอาชีพนั้นมันถูกต้องในทางร่างกาย ทางจิตยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน นี่มันมาเรียกการศึกษาเพียงเท่านี้ว่า การศึกษาระบบหมาหางด้วน มนุษย์ไม่เคยมีเพียงมาเท่านี้ มนุษย์เริ่มการศึกษาเรื่องจิต เรื่องวิญญาณยิ่งแก่กว่าทางวัตถุเสียอีกในสมัยโบราณนู้น มันตั้งต้นด้วยความรู้ทางจิตมันจึงมีความเป็นมนุษย์ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นสัตว์นะ ถ้ามีความรู้แต่เรื่องทางกายทางปากทางท้องนี่มันก็เป็นสัตว์ มนุษย์เริ่มตั้งต้นแห่งความเป็นมนุษย์ เมื่อเขารู้เรื่องทางจิตใจ เอาล่ะถ้าจะเอาลงทางเรื่องวัตถุก็ได้ ก็เป็นเรื่องแห่งความถูกต้อง ถึงจะมีความถูกต้องแห่งความเป็นมนุษย์ ทีแรก มันก็ไม่ต้องนุ่งผ้าแล้วมันรู้จักนุ่งผ้า มันไม่มีบ้านเรือนอยู่มันก็รู้จักมีบ้านเรือนอยู่ มันรู้จักเครื่องนุ่งห่มที่ดีขึ้นจนเปลี่ยนหมด จนมนุษย์เดี๋ยวนี้มีเนื้อหนังนิ่มนวลอ่อนแอไม่เหมือนกับมนุษย์สมัยโน้น นี่มันเปลี่ยนด้วยความต้องการด้วยความอยากนี่การศึกษามันนำไป ก่อนนี้เราเคยเป็นมนุษย์ที่ไม่นุ่งผ้าด้วยกันทั้งนั้น แล้วเริ่มก้าวหน้าในทางฝ่ายวัตถุและปัจจัย ๔ นี้ก่อน แล้วจึงค่อยมารู้เรื่องทางจิตใจ วัฒนธรรมทางร่างกายจำเป็นก่อนมันก็มีมาก่อน ต่อมามันก็มีปัญหาทางจิตใจ มันก็มีวัฒนธรรมทางจิตใจ เรารู้สึกคิดนึกให้ดีขึ้นจึงมีความก้าวหน้าทางจิตใจ วัฒนธรรมทางจิตใจของมนุษย์ตั้งต้นเมื่อมนุษย์รู้จักแยกให้รู้จักสิ่งที่เป็นคู่ๆ หรือความชั่ว ความดี ความได้ ความเสีย ความไม่สูง ความต่ำ บุญ บาป นั้นเป็นต้น รู้จักแยกเป็นคู่ๆ เมื่อไม่รู้จักแยกเป็นคู่ๆ มันก็ปล่อยไปตามยถากรรมเหมือนกับที่สัตว์เดรัจฉานมันมี นี้เราก็รู้จักเป็นคู่ๆ ตรงนี้ในคัมภีร์ของพวกคริสเตียนเขาเขียนไว้ดีมาก คนได้ไปกินผลไม้ชนิดหนึ่งซึ่งกินเข้าไปแล้วจะทำให้รู้จักดี รู้จักชั่วหรือ รู้จักแยกความดีความชั่ว ก่อนนี้มันไม่รู้แยกอะไรดีอะไรชั่ว มันก็ปล่อยไปตามยถากรรม ต้นไม้ต้นนั้นมีผลกินเข้าไปแล้วถ้าไม่รู้จักดีรู้จักชั่วลืมตาขึ้นมา นี่ถ้าเราแปลความหมายของคำพูดอุปมาหรือนิยายอันนี้ออก เราก็พอจะกล่าวได้ว่าเมื่อมนุษย์มันรู้จักแยกเป็นดีเป็นชั่ว ทีแรกมันไม่ๆได้ไม่มีอะไรเลย มันไม่ได้นุ่งผ้า คัมภีร์เขาว่าอย่างนั้นต่อมามันไปกินผลไม้ต้นนั้นเข้า มันก็รู้ว่า อ้าว,นี่ไม่ได้นุ่งผ้าก็ไปหาที่ซ่อนมันละอาย จนพระเจ้ามาจับได้ว่ามนุษย์นี่มันไปกินผลไม้ มันรู้ดีรู้ชั่วเข้าแล้วรู้ว่านุ่งผ้าหรือไม่ได้นุ่งผ้ารู้จักละอายหรือไม่ละอายเข้าแล้ว จึงพิพากษามนุษย์ว่าฝืนคำสั่งว่าอย่าไปกินผลไม้นี้เข้า กินแล้วจะตายหรือลำบาก รู้จักรู้ดีรู้ชั่ว มันก็ทำไปตามจะเป็นดีเป็นชั่ว มันก็มีความลำบากในการปฏิบัติอันนี้ คือมันดีกว่าสัตว์เดรัจฉานมันตั้งต้นกันตรงนี้ มันก็ต้องมีความลำบาก คือลงทุนเพื่อจะดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน เมื่อเราเอามานึกคิดกันบ้าง นี่มันจะช่วยให้เรารู้จักเรื่องเหล่านี้ดีขึ้นแม้กระทั่งทุกวันนี้ ในคัมภีร์ฝ่ายพุทธศาสนาก็มี อธิบายคำว่า บ้านเรือนเคหะ ตอนที่มนุษย์อยู่กันอย่างสัตว์เดรัจฉานสืบพันธ์กันอย่างสัตว์เดรัจฉานในที่โล่งแจ้ง ทีนี้มนุษย์เกิดรู้ว่าละอาย ไม่ละอาย ดีชั่วอะไรขึ้นมาแล้ว มนุษย์ที่มันรู้ว่าทำอย่างนี้มันน่าละอาย มันก็เลยเอาก้อนหินท่อนไม้ขว้างไปที่สืบพันธุ์ในที่โล่งแจ้งอย่างสัตว์เดรัจฉาน ผู้ที่จะไปสืบพันธุ์ก็ต่อไป ก็เลยต้องไปหาที่แอบที่บัง แล้วต่อมาก็รู้จักสร้างบ้านสร้างเรือนที่จะปกปิดการกระทำอันนี้ ถ้าฟังดูแล้วก็น่าหัว บ้านเรือนครั้งแรกมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่กำบังปกปิดการกระทำอันน่าละอายอันนี้ แต่อย่างไรก็ดีมันก็เป็นจุดตั้งต้นของวัฒนธรรมของมนุษย์ที่รู้จักละอาย
แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่รู้จะเป็นอะไรเสียอีก กับนิยมวัฒนธรรมแก้ผ้ากันมากขึ้นในโลกนี้ ในกรุงเทพก็ได้ยินว่ากำลังเจริญ ทำไมมันจะย้อนกลับไปอย่างนั้นอีกล่ะ มันจะลงเหวหรือมันจะขึ้นสวรรค์ก็ไปคิดดูเองเถิด มันจะกลับหลังหรือจะอย่างไร นี่เรื่องอาหารการกินนี่ก็เหมือนกันแหละทีแรกมันก็ไม่มีปัญหามันกินเนื้อดิบๆ กันได้ เอ้อ,มนุษย์ที่ ยังเหลืออยู่ในทวีปออสเตรเลียเขาถ่ายหนังมาให้ดู มันจับสัตว์กินจับแย้กินจับอะไรกินดิบๆ ก็ได้ หมกไฟนิดหน่อยแล้วก็กิน ทีแรกมันก็คงเป็นอย่างนั้นแหละทั้งจักรวาลมนุษย์ ต่อมามันรู้จักทำให้สุก ต่อมามันก็รู้จักทำให้อร่อย นี่จุดตั้งต้นของความเจริญก้าวหน้าที่เราเรียกว่าวัฒนธรรม แต่พร้อมกันนั้นมันก็เป็นจุดตั้งต้นของความทุกข์ เมื่อมนุษย์รู้จักอร่อยแต่ลิ้น คือเอาเนื้อดิบๆมากิน มันก็กินมากไม่ได้หรอก มันก็กินเท่าที่ความหิวมันจะบังคับ แต่ต่อมาบังเอิญรู้จักทำให้สุกไปโยนลงไปในกองไฟ เมื่อเอามากินอร่อยกว่ามันก็กินมากกว่ามันก็กิน กินมากกว่าธรรมดา ต่อมาบังเอิญไปพบเกลือในดินเอามาจิ้มเนื้อที่ย่างไปแล้วอร่อยกว่ามันก็กินมากกว่าเป็นธรรมดา นี่ความเจริญมันอยู่นี่กินมากกว่าเป็นธรรมดา แต่บังเอิญมันไปพบเผือกในดินเอามาจิ้มเนื้อที่ย่างไฟแล้วนี่มันอร่อยกว่านี่ก็ยิ่งกินมากไปกว่าธรรมดา นี่ธรรมชาติมันสอนให้มนุษย์ก้าวหน้า เดี๋ยวนี้เรามีน้ำจิ้มกี่สิบชนิดไปดูที่ร้านอาหารที่เขาทำสำหรับจะหลอกคนนะ มันมีน้ำจิ้มกี่สิบชนิด จิ้มน้ำจิ้มนี้เอือมระอา จิ้มน้ำจิ้มอย่างอื่น จิ้มน้ำจิ้มอย่างอื่น จนกินมากเกินกว่าธรรมดา นี้มันเป็นอะไรก็แล้วแต่จะมอง เป็นวัฒนธรรมหรือเป็นหายนะธรรม นี่มันกินมากกว่าธรรมดามันก็ต้องเป็นปัญหานะ ทีนี้ความอร่อยนั้นล่ะเป็นจุดตั้งต้นของปัญหา เดี๋ยวนี้เขานิยมกันหนักหนานะอร่อยนี่ สมาคมบางสมาคมของคนชั้นสูงประชุมกันเพื่อปรุงอาหารให้อร่อย ทำขนมให้อร่อยมาอวดกันมากินกันให้อร่อย นี่บ้าหรือดียังไม่แน่นะ ถ้ามันกินมากเกินเข้าไปมันก็เป็นเรื่องบ้า ถ้าพอดีมันก็ดีแหละ ของเราไปนึกถึงว่าเมื่อก่อนมนุษย์มันไม่ได้กินอะไรมากเพราะมันกินเนื้อดิบๆ พอมันรู้จักทำให้สุกด้วยไฟ มันอร่อยกว่ามันก็กินมาก มันรู้จักน้ำจิ้มมันก็กินมากแล้วปรุงกันจนเดี๋ยวนี้เราปรุงแกงปรุงอะไรกัน เพื่อจะกินเนื้อกัน นี่ก็กินมากก็เป็นวัฒนธรรมหรือเป็นหายนะธรรม เขาเรียกว่าวัฒนธรรมมันเจริญ มันก็เจริญในแง่ที่ว่ามันแปลกมันอร่อยมากขึ้น แต่หายนะธรรมมันก็คือเป็นต้นเหตุให้มนุษย์เป็นทาสของความอร่อยและเห็นแก่ตัว ความอร่อยทำให้มนุษย์เห็นแก่ตัวมันก็เลยตั้งหน้าตั้งตาเอาเปรียบกัน ล้างผลาญกันด้วยความเห็นแก่ความเอร็ดอร่อย หลักธรรมะในพุทธศาสนาชี้ไปยังเวทนาที่อร่อย เวทนาที่เป็นสุข นั่นล่ะเป็นตัวร้ายที่สุด เพราะถ้าไปตกอยู่ในอำนาจของมันแล้วมันก็ต้องทนทุกข์ทรมาน จึงชนะเอาชนะความเอร็ดอร่อยให้ได้ ภาษาวัดนี่เขาเรียกว่าอย่าเป็นทาสของอายตนะ อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันอร่อยได้ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเราเป็นทาสของความอร่อยเรียกว่าเป็นทาสของอายตนะ เดี๋ยวนี้มนุษย์ทุกคนในโลกเป็นทาสของอายตนะเพราะบูชาความอร่อยทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกวัฒนธรรมหรือหายนะธรรม ไปคิดดูให้ดีเถิด ถ้าลงเป็นทาสแล้วก็มันก็ต้องฉิบหาย เป็นทาสของกิเลสก็ยิ่งฉิบหายมากขึ้นไปอีก แล้วก็เรียกกันว่าวัฒนธรรม นี่ดูบ้านเรือนเครื่องใช้ไม้สอย แต่งเนื้อแต่งตัวที่สมัยนี้นิยมเรียกกันอย่างไร นั่นมันเป็นวัฒนธรรมหรือเป็นหายนะธรรม ถ้ามันตกไปเป็นทาสของกิเลสที่มันเกินจำเป็นเกินพอดีเกินต้องการแล้วมันก็เป็นหายนะธรรม คือทำความฉิบหายให้แก่มนุษย์ ถ้ามันถูกต้องพอดีแล้วเราก็เป็นวัฒนธรรม
คำว่าวัฒนธรรมตามตัวหนังสือนี่มันกำกวม คือมันมากขึ้นไปก็แล้วกัน มันแปลกออกไปก็แล้วกัน มันก็เป็นวัฒนธรรม แล้วไปดูให้ดีว่ามันเพื่ออะไร ถ้ามันยุ่งยากลำบากแล้วก็เป็นเรื่องหายนะธรรมมากกว่า ผู้ที่บูชาวัฒนธรรมดูให้ดีๆ การศึกษายังไม่พอมันก็ยังไม่ได้สอนให้รู้จักวัฒนธรรมที่ถูกต้องได้ ฉะนั้นการศึกษาต้องเพื่อความสมบูรณ์แห่งวัฒนธรรมดีกว่า ถ้าการศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแล้วมันแค่หางอึ่ง แล้วมันยังเป็นอันตรายเมื่อใดก็ได้มันเห็นแก่ตัวเป็นมึงเป็นกูอะไรขึ้นมาในโลกนี้มันแข่งขันกัน แต่สำหรับการศึกษาเพื่อความสมบูรณ์แห่งวัฒนธรรมโดยถูกต้องแล้วนี่มันจะเลยไปถึงเรื่องจิตใจ ความเป็นมนุษย์ก็จะสมบูรณ์ในทางจิตใจด้วย ทางร่างกายทางวัตถุนี้ก็สมบูรณ์ ทางจิตใจก็สมบูรณ์ด้วย ขอแยกปัญหาออกเป็น ๔ ระดับเถอะ ทางวัตถุก็ถูกต้องเช่น บ้านเรือนที่อยู่อาศัยใช้สอย เสื้อผ้าอะไรก็ทางวัตถุนี่ก็ทำให้ถูกต้อง นี้ทางร่างกายแท้ๆ นี่ร่างกายที่เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ เนื้อหนังร่างกายนี่มันเป็นวัตถุที่มีชีวิตก็ทำให้ถูกต้อง ทีนี้ทางจิตใจการเป็นอยู่แห่งจิต มีอยู่แห่งจิตนี้ก็ต้องถูกต้อง เป็นจิตที่ถูกต้องอย่าไปทำให้มันผิด ระดับสุดท้ายระดับที่ ๔ คือสติปัญญา ซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิตก็ต้องถูกต้อง จิตปกติอาจเฉยๆ ไม่มีความรู้อะไรก็ได้ที่ต้องมีเรื่องของสติปัญญาให้ถูกต้อง ให้จิตบรรลุสิ่งสูงสุดคือพระนิพพานได้ แล้วจะมีปัญหาทางวัตถุมีปัญหาทางร่างกาย มีปัญหาทางจิตใจ มีปัญหาทางสติปัญญาที่จะเรียกว่าทางวิญญาณ วัตถุ ร่างกาย จิตใจ วิญญาณมันถูกต้อง นั่นละคือยอดของวัฒนธรรมไม่ใช่อร่อย สวยงาม สนุกสนาน แล้วเป็นวัฒนธรรม เดี๋ยวนี้เราไปหลงเรื่องเอร็ดอร่อยสวยงาม อร่อยทางตาก็เรียกว่าสวยงาม อร่อยทางลิ้นก็เอร็ดอร่อย ก็หลงกันมากจนไม่ดูหน้าใคร เห็นแต่ความอร่อยส่วนตัว เมื่อไม่ได้ก็ต้องคดโกงก็ต้องเป็นอันธพาล อันธพาลที่เกิดขึ้นมาทั้งหลายนี่ เพื่อประโยชน์แก่ความเอร็ดอร่อยของเขาทั้งนั้นแหละ เขาไม่มีปัญญาไปหาทั้งเงินและทรัพย์สมบัติด้วยวิธีที่ถูกต้อง เขาก็ต้องหาด้วยวิธีคดโกง นี่เขาจึงขโมยจี้ปล้น หรือเขาไม่มีเงินไปซื้อหากามารมณ์ที่ถูกต้องตามระเบียบตามกฎหมาย เขาก็ข่มขืน เพื่อจะปกปิดเรื่องราวเขาก็ฆ่าให้ นี่แหละความเลวร้ายมันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ เพราะว่าเขาเป็นทาสแห่งความอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ วัฒนธรรมที่ส่งเสริมความเอร็ดอร่อยทางนี้ไม่ใช่วัฒนธรรม เป็นหายนะธรรม แม้พวกฝรั่งที่เขาเก่งที่เขาเป็นครูของโลกเป็นผู้นำโลกก็ระวังให้ดีเถอะ มันมีแต่หายนะธรรมก็ได้ ถ้ามันส่งเสริมความอร่อยใน 6 ประการนี้ นี่ธรรมะในพระศาสนาทุกศาสนาเลย สอนให้ควบคุมอย่าเป็นทาสของความเอร็ดอร่อยอันนี้เชื่อพระเจ้า เชื่อพระธรรมให้อยู่กันอย่างถูกต้อง ไม่บูชาความเอร็ดอร่อย แล้วก็อยู่กันอย่างมนุษย์มีจิตใจสูง มีความสงบสุข ซึ่งเดี๋ยวนี้เรากลับจะเกลียดหาว่าครึคละพ้นสมัยไม่สวยไม่งามไม่เอร็ดอร่อยไม่สนุกสนาน ไปคิดดูให้ดีอันไหนมันจะฆ่าเรา อันไหนมันจะส่งเสริมให้เราอยู่กันจนผาสุก อย่าลืมว่าเราอาจจะไปหลงเอาสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่เราโดยไม่รู้สึกตัวก็ได้ มันเป็นมาตั้งแต่แรกจนกระทั่งวันนี้เราไม่รู้สึกตัว เราไปหลงเข้าโดยไม่ต้องรู้สึกตัว แล้วก็ไม่ต้องกลัวแล้วก็ไม่ต้องรับผิดชอบ ก่อนนี้เราไม่ได้ใส่เสื้อสวยๆ เขียวๆ แดงๆ ลวดลายอย่างนี้ก่อนนี้ บรรพบุรุษเราใส่เสื้อผ้าเฉยๆ ผ้าฝ้ายหนาๆ เฉยๆ ไม่ต้องทำลายไม่ต้องทำอะไร ต่อมาก็รู้จักทำลายให้มันสวย เดี๋ยวนี้เราก็ต้องการใส่เสื้อสวยๆ ทั้งนั้นแหละ พวกครู ครูหนุ่มครูสาวก็มัวแต่เปิดแคตตาล็อคกางเกงยีนส์ทั้งนั้นแหละ เขาไม่เปิดตำราวิชาครูหรอก นี่มันเป็นเรื่องจริงที่เห็นๆ อยู่ เขาไปเปิดแคตตาล็อคเสื้อผ้า แคตตาล็อคนั่นนี่แล้วจะมีเสื้อผ้ามีรองเท้ามีอะไรที่แพงที่สุด แพงได้จนเงินเดือนไม่พอใช้แล้วเขาก็ต้องโกงถ้าเขาอยู่ได้เขาก็ต้องโกงแน่ๆ ทั้งที่เป็นครูแล้วเขาก็จะโหดร้ายทารุณอย่างอื่นอีกมาก เพราะเขาเป็นทาสของอายตนะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ไม่มีวัฒนธรรมเลยจะจดทะเบียนกันขึ้นมา คิดวัฒนธรรมอย่างไรๆ ก็ไม่มีวัฒนธรรมเลย ธรรมะมันคือระบอบของการปฏิบัติไม่ใช่ว่าเรียนหนังสือแล้วท่องจำจดไว้ เป็นการกระทำด้วยกาย วาจา ใจ ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา คำจำกัดความนี้อาจจะยากไปสักหน่อย ก็ขอร้องให้ช่วยจำไว้เถอะ มันคุ้มค่านั่นแหละ การกระทำที่มันเป็นระบอบๆ ที่มันถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้น ทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา การศึกษาควรจะให้ในรูปแบบนี้มีการกระทำที่ถูกต้องแห่งวิวัฒนาการทุกขั้นทุกตอน อย่างในโรงเรียนอนุบาลก็ต้องสอนวิชาที่ให้เขาประพฤติด้วยความถูกต้อง หากแต่เป็นวิวัฒนาการในขั้นเป็นเด็กอนุบาล เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยมี มันสอนอะไรไม่รู้ไม่ถูกต้องแก่ความเป็นเด็กแม้ในขั้นอนุบาล การศึกษาหมาหางด้วนเป็นอย่างนั้น ทีนี่พอมาถึงขั้นประถม เด็กขั้นประถมมันต้องสอนให้ถูกต้องในวิวัฒนาการในเด็กขั้นประถม มัธยม ขั้นอุดมศึกษา กระทั่งจะออกไปเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ หัวหน้าครอบครัวก็ต้องมีความรู้ถูกต้อง นี้จึงจะเรียกการศึกษาสมบูรณ์แบบไม่เป็นสุนัขหางด้วน เอาเรื่องธรรมะออกไป เอาเรื่องศาสนาออกไป เหลือแต่เรื่องหนังสือกับเรื่องอาชีพไม่มีอะไรมาควบคุมจิตใจของมนุษย์ มันก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ตามสัญชาตญาณซึ่งบูชาความอร่อย ใช้คำอร่อยตำเดียวพอนะคือ ตาอร่อยแต่สวย หูอร่อยแต่ไพเราะ อร่อยแต่จมูกคือหอม อร่อยแต่ลิ้นคืออร่อย อร่อยแต่ผิวหนังคือนั่นแหละก็รู้กันดี แล้วอร่อยกับจิตใจ ทุกอย่างนี้เป็นไปเพื่อกิเลสทั้งนั้น เพราะคำว่าอร่อยพวกนี้ไปทางเรื่องกามารมณ์ ความหมายทางเพศทั้งนั้น เขาเรียกว่าบูชาความอร่อยน้อมจิตไปเพื่อความอร่อยโดยไม่ต้องดูว่าธรรมะเป็นอย่างไร ความถูกต้องเป็นอย่างไร แล้วก็อยู่กันอย่างนี้เต็มไปด้วยอันธพาล อันธพาลนี่ชุมยิ่งกว่ายุง บางคนจะไม่เชื่อก็ไปดูเองก็แล้วกัน อันธพาลจะชุมยิ่งกว่ายุงในอนาคต เพราะการศึกษาไม่สมบูรณ์แบบ มนุษย์ไม่รู้จักความเป็นมนุษย์ของตัว ไปบูชาความอร่อยมันเป็นคำรวมดี ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นี่ไปเปลี่ยนเสื้อกันเสียบ้างอย่าให้มันสวยงามนักอย่าให้มันแพงนัก ลำบากในการที่มีเสื้อมีผ้า ในเรื่องกินนี่อย่าไปชอบน้ำจิ้มกันนัก มันหลอกให้กินมากกว่าจำเป็นน้ำจิ้มอย่างนั้น น้ำจิ้มอย่างนี้ คนขายก็มาวางก่อนเสมอล่ะ แล้วคนมันก็กินจนกว่ากินไม่ลงนะ กินจนอยากจะอาเจียนออกมาแล้วกินใหม่ เพราะว่ามันปรุงดี น้ำจิ้มมันดี อะไรมันดี นี่คือความเจริญที่เขาเรียกกัน แต่ที่แท้มันคือความวินาศไม่ใช่ความเจริญ ให้บูชาวัฒนธรรมโดยรู้จักวัฒนธรรมกันเสียบ้าง การที่จะเป็นสุขมันต้องรู้ มีความรู้เพียงพอที่จะไม่ไปหลงเอาความทุกข์มาเป็นความสุข จะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เอาอันหนึ่งมาเป็นอันหนึ่งอย่างตรงกันข้าม
วันนี้อาตมาส่งวิทยุกระจายเสียงตามสายวันอาทิตย์ที่ ๓ โดยจะพูดในหัวข้อ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ขอให้ช่วยฟังกันหน่อยเวลา ๘ โมง เพื่อประกอบคำอธิบายตรงนี้ไม่ต้องเสียเวลามาก เวลา ๘ โมงที่จะถึงนี้ นี่จะพูดเรื่อง เห็นกงจักร เป็นดอกบัว ก็คือพวกเราเองที่จะเห็น อร่อยๆทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าเป็นความเจริญเป็นความดีวิเศษของมนุษย์ระวังให้ดี มันจะเป็นหายนะธรรมไม่ใช่วัฒนธรรม แต่เราก็เรียกว่าวัฒนธรรม ทีนี้ฝรั่งเขาก็นำเราไปทางนี้ทั้งนั้นแหละ ที่เขาก้าวหน้ามหาศาลในโลกนี้เขาไปเอาวินาศนะธรรม เอาหายนะธรรมมาเป็นวัฒนธรรม เราก็ไปตามก้นเขาได้ลงนรกอย่างเดียวกัน ไปบูชาความอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เขาผลิตอะไรขึ้นมามากส่งเสริมให้มันหลงมากยิ่งๆขึ้นไป จนเราทนไม่ไหวจะไปตกไปเป็นเหยื่อของเขาไปซื้อหามากินมาใช้เปลืองเปล่าๆ เพิ่มความทุกข์ไม่ได้เพิ่มความสงบสุข ขอให้ศึกษาธรรมะในการที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ในทุกแง่ทุกมุมอย่าให้มีความทุกข์ ถ้ามีความทุกข์แล้วมันน่าละอายแมว ถ้าจะพูดว่าน่าละอายหมามันก็หยาบไปนัก น่าละอายแมว แมวไม่ปวดหัวแมวไม่ต้องกินยานอนหลับ แมวไม่ต้องเป็นโรคประสาท แมวไม่ต้องเป็นโรคจิต แมวไม่ต้องฆ่าตัวเองตาย นี่มนุษย์กำลังเป็นอย่างนี้ ฆ่าตัวเองตายนี่เพิ่มขึ้น นี่หนังสือพิมพ์เขาลงว่า ๒-๓ วัน นี่เพิ่มเป็นเท่าตัว แล้วก็เป็นผู้หญิงมากเสียด้วยนะ ผู้หญิงมีหลายคน ลูกผู้หญิงอายุน้อยๆ ลงไปด้วยที่ฆ่าตัวตาย ตามสถิติเขาเป็นอย่างนั้น นี่ถ้ามีธรรมะพอ แล้วไม่ต้องมีเหตุการณ์อย่างนี้ นี่เราอย่าละอายแมว แมวมันไม่ฆ่าตัวเองตาย พูดถึงสัตว์เดรัจฉานทั่วไปก็ไม่มีใครเห็นสัตว์เดรัจฉานตัวไหนไปกินอะไรให้มันตาย มันก็อยู่อย่างปกติตามธรรมชาติไม่ปวดหัวอย่างน้อย มนุษย์นี่ต้องไปซื้อยาแก้ปวดหัว ยาแก้นอนไม่หลับมากินกันมากมาย กองเป็นภูเขาทั้งโลกนี้รวมกันแล้ว ยาแก้ปวดหัว ยาแก้นอนไม่หลับนี่คงเป็นตันๆ ที่มนุษย์กินอยู่ในวันๆ ซึ่งสัตว์มันไม่ต้องกิน นี่เรียกว่าอย่าให้ละอายแมว ที่บ้านคงมีแมว คงจะมีแมวกันทุกบ้าน เอาแมวมาดูไว้บ่อยๆ มันไม่ทำอะไรให้ละอายใจนะ ทุกคนมีแมวเลี้ยงไว้ดู ที่นี่ก็เลี้ยง ๔-5 ตัว เหมือนกัน ดู ทำอะไรอย่าให้มันละอายแมว อย่าให้ละอายสุนัข อย่าให้ละอายไก่ ซึ่งเขาไม่มีปัญหาอย่างนี้ ไอ้เรานะอวดดีมีวัฒนธรรมก้าวหน้าแล้วก็ไปหาความทุกข์ นี่มันเป็นหายนะธรรม ที่ผลิตที่สร้างที่เรียกว่าอะไรล่ะที่เรียกว่าประดิษฐ์ ทำอุตสาหกรรมที่ทำกันเป็นการใหญ่และก็เร็วที่สุด นี้เพื่ออะไรของเขาก็ไม่รู้คนทำคนคิดก็ไม่รู้ แต่ไอ้คนขายมันต้องเอาเงินนะ แต่ในนามของมนุษย์นี่ทำเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ทำเพื่อให้มนุษย์วินาศ เราสร้างเครื่องมือเครื่องใช้หรืออะไรที่ทำให้มนุษย์เกิดปัญหายุ่งยากลำบากแล้วก็วินาศในที่สุด สร้างระเบิดปรมาณูสร้างอะไรอย่างนี้ก็เพื่อทำให้มนุษย์วินาศ ไม่มีธรรมะควบคุมแล้วมันก็ใช้สิ่งเหล่านี้พิฆาตทำลายมนุษย์ด้วยกันเอง รู้ไว้เถิดมันไม่ได้วัฒนธรรมหรอก อย่าไปหลงเรียกตามเขาว่าวัฒนธรรม ถึงแม้ที่เรียกว่าวัฒนธรรมอยู่แท้ๆก็ระวังให้ดี บางอย่างมันเป็นไปเพื่อความเขลาความงมงาย ไม่จำเป็นจะต้องทำก็มี อาตมาไม่อยากจะพูดเพราะมันเป็นการก้าวร้าวมากเกินไป ไอ้ที่เรียกกันว่าวัฒนธรรม วัฒนธรรมระวังให้ดี เห็นไหมที่สุดแต่วัฒนธรรมวันลอยกระทงที่ทำมาเมื่อ ๒ วันนี้ระวังให้ดี ให้มันเป็นไปเพื่อมนุษย์มีความสงบสุขและก็ได้ แต่ถ้ามันเป็นไปเพื่อมนุษย์ยุ่งยากลำบากโดยไม่จำเป็นแล้วมันก็ไม่ไหว มันเป็นวัฒนธรรมไปไม่ได้
คำว่าวัฒนธรรมแปลว่ามากขึ้น น้ำแห้งขึ้น ดีกว่าได้ ไม่ดีก็ได้ ภาษาบาลีคำนี้มันแปลว่าอย่างนั้น วัฒนะ นี่มันมากขึ้นก็แล้วกัน ในทางไหนก็ตามใจ มันมากขึ้นอย่างครึกครื้นมากขึ้นเรียกว่าวัฒนธรรม ที่นี้บางทีมันก็เป็นไปในทางยุ่งยากลำบากเป็นทุกข์ก็ยังเรียกว่า วัฒนธรรม ทีนี้เขาจะเปิดไอ้สถานที่ที่ทำให้มนุษย์ยุ่งยากลำบากและเป็นทุกข์กันมากขึ้นในเมืองไทยก็ดี ในโลกที่ไหนก็ดี สถานที่ที่เปิดขึ้นเพื่อให้มนุษย์หลงใหลในความอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กำลังนิยมกันทั่วโลกก็จะเปิดกันมากขึ้น แล้วก็ใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือเรียกเงินดูดเงินของต่างประเทศมาหาประเทศของตัว เพราะมันเป็นเหยื่อล่อที่ดี และก็เรียกกันว่าวัฒนธรรมด้วย ที่จริงมันจะเป็นหายนะธรรมเสียมากกว่า เราดูให้ดีก็แล้วกันอย่าตกเป็นเหยื่อของเขาก็แล้วกัน เพราะเราเป็นสมาชิกกลุ่มวัฒนธรรมมันจึงควรจะรู้จักป้องกันตัวให้อยู่ในขอบเขตของวัฒนะที่เป็นความเจริญจริง คือเป็นความสงบสุขจริง มีธรรมะแล้วจะป้องกันได้หมด เรื่องอาหารการกินก็จะถูกต้อง เรื่องเครื่องนุ่งห่มก็จะถูกต้อง ที่อยู่อาศัยใช้สอยก็จะถูกต้อง การบำบัดโรคภัยไข้เจ็บก็จะถูกต้อง เดี๋ยวนี้เรากินอาหารเกินกว่าที่ควรจะกินมันก็มีปัญหาขึ้นมา เงินเดือนไม่ค่อยพอใช้ นี่ก็แต่งเนื้อแต่งตัวเกินกว่าที่จำเป็น มันก็ยุ่งยากลำบาก เงินเดือนก็ไม่พอใช้ นี่เรามีที่อยู่อาศัย บ้านเรือนเครื่องใช้ไม้สอย มีรถยนต์ อะไรต่างๆ นี่มันก็เกินความจำเป็น ที่ไม่ควรจะมีมันก็จะมีขึ้นมาให้ได้มันก็ยุ่งยากลำบาก ทั้งเรื่องโรคภัยไข้เจ็บมันจะมีหยูกยาพอดีถูกต้อง มันก็จะเลยเตลิดไปถึงยาเสพติด นักเรียนที่เรียนจบมาแล้วยังมาติดยาเสพติด นี่น่าละอายหมาสักกี่มากน้อย จงคิดดู เรียนจบมหาวิทยาลัยมาแล้วก็ยังไปติดยาเสพติดมีในโลกนี้มันยังมีอยู่น่าละอายหมา น่าละอายแมวสักกี่มากน้อย ไปคิดดูให้ดี นี่มันทำผิดเรื่องปัจจัย ๔ คือมันไม่มีวัฒนธรรมในเรื่องของปัจจัย ๔ ในทางวัตถุให้เอาปัจจัยสี่เป็นหลักของการมีวัฒนธรรม ส่วนทางจิตใจนั้นก็ต้องเอาเรื่องทางจิตใจเป็นหลักคือ มีความรัก มีความเมตตาปรานี ช่วยเหลือผู้อื่นไม่เห็นแก่ตัว อยู่กันอย่างเพื่อนเกิดแก่เจ็บ บังคับตายความรู้สึกไว้ไม่ให้เป็นไปในทางที่จะเป็นกิเลสและเป็นทุกข์ ไปเรียนธรรมะในส่วนนี้เอา เพื่อให้มีวัฒนธรรมทางจิตใจ วัฒนธรรมทางร่างกาย ทางวัตถุไม่พอไม่พอทำให้มนุษย์เป็นสุขได้ รู้แต่หนังสือรู้แต่อาชีพไม่พอที่จะทำให้มนุษย์เป็นสุขได้ ต้องมีความรู้ทางจิตใจซึ่งเป็นวัฒนธรรมสูงสุด วัฒนธรรมทางจิตใจ อย่างที่ได้พูดแล้วว่ามันตั้งต้นมาตั้งแต่รู้จักไถนา รู้จักทำล้อเกวียน กระทั่งรู้จักศาสนาในทางจิตใจ นี่ยอดสุดของวัฒนธรรมมันอยู่ที่นี่ ให้ศึกษาความเป็นมาแห่งวัฒนธรรมของมนุษย์ดูเถิดว่า มันจะมาสูงสุดอยู่ที่เรื่องของพระศาสนา รู้จักทำมนุษย์ให้ไม่เป็นทุกข์มันก็พอแล้วทำมาสุดอยู่ที่เรื่องของพระศาสนาหรือของพระธรรม มันเหลืออยู่ว่าให้พระธรรมมันถูกต้อง ให้พระธรรมมันถูกต้องเป็นพระธรรมจริง แล้วจะไม่เกิดความทุกข์นะมันก็จะไม่เกิดแม้แต่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ถึงว่าเกิดความทุกข์ แต่มันก็เป็นความทุกข์ถ้ามันยุ่งยากก็ถือว่าเป็นความทุกข์ อาตมาขอชักชวนจะเรียกว่าปลุกระดมก็ได้ ปลุกระดมให้ท่านทั้งหลายทุกคนให้ช่วยเห็นแก่พระธรรม มีพระธรรม เอาพระธรรมมาช่วยกันเผยแผ่พระธรรม ช่วยชี้แจงว่าธรรมะเท่านั้นแหละมันจะรอด ถ้าพวกเราทุกคนเรียกร้องพระธรรมรัฐบาลก็ต้องอำนวยให้ แต่นี่เราไม่เรียกร้องเราหลับตาอยู่ไม่เรียกร้องรัฐบาลก็เฉยอยู่เช่นนั้น การศึกษามันก็ไม่ไปเป็นในทางธรรมะ ถ้าลองพวกเราทุกคนเรียกร้องธรรมรัฐบาลก็ทนอยู่ไม่ได้ กระทรวงศึกษาก็ทนอยู่ไม่ได้ก็ต้องจัดการศึกษาขึ้นมาให้มันมีธรรมะหนักขึ้น ไปบอกเขาทีเถิดว่าถ้าเรามีธรรมะกันบ้าง เดี๋ยวนี้วันนี้ถ้ามีธรรมะกันบ้าง ไม่ต้องสั่งน้ำตาลสีแป้งมากินแทนน้ำตาลสีรำ คุณคงจะฟังถูกนะ เราต้องสั่งน้ำตาลสีแป้งมากินแทนน้ำตาลสีรำเพราะเราไม่มีธรรมะนะ ถ้าเรามีธรรมะบ้างคือไม่ยึดมั่นถือมั่นเกินไป ไม่เห็นมานะทิฐิเกินไป ไม่มีความอดทนขันติกันเสียบ้าง มีความสันโดษเสียบ้างธรรมะเท่านั้นพอ ไม่ต้องสั่งน้ำตาลสีแป้งมากินแทนน้ำตาลสีรำ ได้ยินเขาว่าเสียเงินเป็นร้อยล้านมาแลกกันได้อย่างนี้นะ เสียเงินเป็นร้อยล้านเพื่อสั่งน้ำตาลสีแป้งมากินแทนน้ำตาลสีรำ พอได้มาแล้ว แหมมันยิ่งยุ่งยากลำบากยิ่งควบคุมไม่ให้มันรั่วไหลอีก ลำบากอย่างยิ่ง ลำบากยิ่งกว่าจับปูใส่กระด้ง ที่จะควบคุมน้ำตาลสีแป้งหรือควบคุมน้ำตาลสีรำก็ตาม เห็นเขาว่าปีหน้าจะบีบราคาอ้อยของชาวไร่อ้อยให้ลดลงมาอีก ก็แย่เลยนี่น้ำตาลสีแป้งมันทำพิษขนาดนี้ ถ้าเราไม่มีธรรมะสักหน่อยหนึ่งเท่านั้นล่ะเราจึงต้องสั่งน้ำตาลสีแป้งมากินแทนน้ำตาลสีรำ แล้วก็สร้างปัญหามากมาย แล้วประชาชนราษฎรผู้รับความลำบากยุ่งยากอันนี้ มีธรรมะกันเสียบ้าง เมื่อสงครามอินโดจีนแถวนี้เขาชงกาแฟด้วยน้ำตาลหม้อ รู้จักน้ำตาลหม้อไหม ที่ทำจากต้นตาลโตนด ต้นตาลมะพร้าว เป็นน้ำตาลหม้อไม่มีน้ำตาลทรายเลย กาแฟแต่ละร้านต้องชงด้วยน้ำตาลหม้อไม่เห็นมีใครว่าอะไร ไม่ด่ากันอย่างเดี๋ยวนี้ ใครกินกาแฟชงด้วยน้ำตาลหม้อ เดี๋ยวนี้มากินน้ำตาลสีรำแล้วก็ด่าๆๆๆ กัน จนต้องสั่งน้ำตาลสีแป้งมาแทน นี่มันไม่มีธรรมะสักนิดหนึ่ง ช่วยกันคิดเถิดแล้วมันจะเกิดเป็นประโยชน์แก่ประชาชนนั่นแหละ แก่พลเมืองแก่มนุษย์ในโลกไม่ต้องลำบากเกินกว่าจำเป็น ไม่ต้องลำบากเกินกว่าจำเป็นในเรื่องปัจจัย ๔ ลำบากสุดทรมานทางจิตทางวิญญาณ เรื่องกิเลสตัณหาทอนลง ถ้าเรามีธรรมะแล้วเราก็จะไม่มีปัญหา เราลดลงมาได้เรื่องอาหาร เรื่องที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม รักษาโรคลดลงมาได้จนพอดี จนเงินเดือนพอใช้ มันก็เย็นในทางหนึ่ง แล้วทางจิตใจ กิเลสไม่เกิดมันก็เย็นในทางจิตใจ เย็นกายเย็นใจ คือ พระนิพพาน ไม่ใช่แกล้งหลอกคุณไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อ คำว่านิพพาน แปลว่าเย็น ร้อนหายไปมันก็มีเย็น ดับคือดับร้อนแล้วก็เป็นเย็น แก้ปัญหาทางกายให้ถูก มันก็เย็นทางกาย แก้ปัญหาทางจิตให้ถูกมันก็เย็นทางจิต เย็นนี่ก็เรียกว่านิพพาน มีสั้นๆ ระยะสั้นๆ ก็เรียกว่านิพพาน มีน้อยๆ ก็ยังเรียกว่านิพพาน นี่อุตส่าห์ทำไปให้มันยาวออกไปให้มันใหญ่ออกไป ให้มันมากขึ้นไปมันก็เป็นนิพพานสมบูรณ์ได้ เราควรจะอยู่ด้วยความเยือกเย็น เย็นกาย เย็นใจ ต่อไปอีก เดี๋ยวนี้เราก็อยู่ได้ด้วยสิ่งนี้ มิฉะนั้นเราตายแล้ว ถ้าทุกคนนี่ไม่เคยเย็นกายเย็นใจบ้าง มันก็ตายหมดแล้ว เป็นบ้าหรือตายหมดแล้วมันมีความเย็นกายเย็นใจอยู่บ้างโดยบังเอิญก็ได้ โดยวัฒนธรรมที่โบราณเขาวางไว้ให้ ดีแล้วก็ได้มันมีเย็นกายเย็นใจอยู่บ้าง จึงไม่เป็นบ้าตายหรือไม่ตายนี่ในโลกที่เหลือที่จะรักษาได้ ขอร้องว่าทุกท่านน่ะจงขอบใจพระนิพพาน คือความเย็นกายเย็นใจที่เราเคยได้รับมาตั้งแต่แรกเกิดจนรอดชีวิตอยู่ได้เดี๋ยวนี้เอาไว้ให้ได้ ส่งเสริมให้มันมากขึ้นไป ขอบคุณพระนิพพาน คือความเย็นกายเย็นใจที่มันมีอยู่บ้างกระทั่งบัดนี้ ให้เราไม่ต้องเป็นบ้า ให้เรามีชีวิตที่รอดอยู่ได้ แล้วเราก็สนองคุณพระธรรมนี่ที่ทำให้เรามีอย่างนี้มากขึ้นไปๆ นี่คือสนองคุณพระพุทธเจ้า สนองคุณพระธรรม สนองคุณพระสงฆ์ ด้วยการปฏิบัติให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ อยู่กันด้วยนิพพานยิ่งๆ ขึ้นไปจนกว่าจะสมบูรณ์ นั่นนะยอดสุดของวัฒนธรรม การศึกษาต้องเป็นไปเพื่ออย่างนั้น ถ้าศึกษาเพื่อประชาธิปไตยนั้นแค่หางอึ่งในโลกนี้ไม่มีวันสงบสุข ถ้าการศึกษานี้จัดไปเพียงเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมันไม่มีอะไรแน่นอนมันขึ้นอยู่กับความต้องการของคน ถ้าโลกนี้เต็มไปด้วยคนที่มีกิเลสประชาธิปไตยมันก็ทำลายโลกนี้ทันที นี่คนมันต้องมีความรู้ มีธรรมะแล้วประชาธิปไตยที่คนเหล่านี้สร้างขึ้นก็จะพอดูได้ จะพอมีความสงบสุขกันได้ ถ้าเราให้การศึกษาชนิดที่ให้คนมีกิเลสมากขึ้นแล้วประชาธิปไตยนี้ทำลายโลกแน่นอน ประชาธิปไตยของคนมีธรรมะจึงจะไปรอด เพราะประชาธิปไตยนี้มันมีไว้สำหรับคนมีธรรมะ ประชาธิปไตยไม่ได้มีไว้สำหรับคนที่ไม่มีธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะมันก็สร้างประชาธิปไตยเชือดคอตัวเองมันก็วินาศหมด ขอให้เรามีการศึกษาที่จะสร้างคนให้ถูกต้องแต่ความเป็นมนุษย์ แล้วมันก็มีประชาธิปไตยขึ้นมาเองในธรรมะก็อยู่กันจนผาสุก
ทีนี้การศึกษาควรจะมุ่งหมายความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ยอดสุดของวัฒนธรรมอยู่ที่นั่น นี่การศึกษาต้องเพื่อวัฒนธรรมผลัดกันเป็นเหตุและผลัดกันเป็นผล การศึกษาให้เกิดวัฒนธรรมคนมีความสุขและคนมีความสุขนี่จัดการศึกษาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก การศึกษาที่ดียิ่งขึ้นไปอีกก็ให้ผลเป็นวัฒนธรรมที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ก็ย้อนกลับมาจัดการศึกษาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก สลับกันไปอย่างนี้ ผลัดกันเป็นเหตุ ผลัดกันเป็นผลก็จะถึงที่สุดจุดหมายปลายทางของมนุษย์ได้ ขอวิงวอนท่านทั้งหลายที่เป็นสมาชิกกลุ่มวัฒนธรรมนี่ ดูสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมให้ดีๆ ให้เป็นไปเพื่อผลเป็นที่น่าพอใจควรจะพอใจ อย่าให้ย้อนกลับมากัดเอาอย่างที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว นี่อาตมาพูดท่านทั้งหลายโดยหัวข้อว่า การศึกษาและวัฒนธรรม ให้การศึกษาเพื่อวัฒนธรรม ให้วัฒนธรรมปรับปรุงการศึกษาให้ดียิ่งขึ้นไป การศึกษานั้นก็เพื่อวัฒนธรรมดียิ่งขึ้นไป การศึกษาดีขึ้นไปวัฒนธรรมดีขึ้นไป มนุษย์ก็ถึงจุดสุดยอดของความเป็นมนุษย์ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ แต่เดี๋ยวนี้มันน่าเศร้าที่มันเกิดการถอยหลังเข้าคลอง มันไม่ไปข้างหน้าอย่างนั้นมันถอยหลังเข้าคลอง คือมันเป็นทาสของกิเลสเป็นทาสของอารมณ์ มาเป็นทาสของอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันถอยหลังเข้าคลองหรือมันจะเลวร้ายยิ่งกว่าถอยหลังเข้าคลอง คำว่าถอยหลังเข้าคลองนี้เป็นคำพูดที่เขาตั้งไว้สำหรับความหมายที่ดี คืออย่าออกไปหาอันตราย ออกจากปากคลองไปสู่ทะเลเห็นพายุมาก็ถอยหลังเข้าคลองเสียให้พ้นจากอันตราย ไม่มีพายุออกไปอีกมันก็ได้ ฉะนั้นคำว่าถอยหลังเข้าคลองเป็นสิ่งที่ถูกต้องไม่ใช่น่าเกลียดน่าชัง ทีนี้กลัวว่าคนหนุ่มสาวทั้งหลายจะเกลียดคำว่าถอยหลังเข้าคลอง จึงหนีเตลิดเปิดเปิงไปออกนอกทะเลจมหายไปเลยด้วยการกินอยู่เกินไป แต่งเนื้อแต่งตัวเกินไป บ้านเรือนเครื่องใช้ไม้สอยมันมากเกินไป กระทั่งหยูกยาบำบัดโรคภัยมันก็มากเกินไป จนใช้ยาเสพติดไม่เป็นวัฒนธรรม แต่เป็นการทำลายเป็นหายนะธรรม นี้เราจัดให้ถูกต้องแม้จะต้องกลับไปแบบเดิมบ้าง ก็อย่าเห็นว่าถอยหลังเข้าคลองเลย ถ้าเราใส่เสื้อม่อฮ่อมกันหมดนี่ค่าใช้จ่ายจะลดลงเท่าไร ทั้งหญิงทั้งชายใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ ไม่ต้องย้อมสี ไม่ต้องย้อมลาย ไม่ต้องปักอะไรกันหมดนี่มันจะลดลงเท่าไรค่าใช้จ่าย การกินอยู่ก็เหมือนกัน เครื่องใช้ไม้สอยก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ดูสิที่ข้อมือทุกคนมีนาฬิกามันตั้ง ๔0 ล้านเรือนแล้วกระมัง มันตั้ง ๔๘ ล้านเรือนที่เราซื้อลงไป ถ้าเราไม่ต้องใช้ก็คงจะได้นะ แต่ใช้เท่าที่จำเป็น แต่นี้กลัวว่าคนหนึ่งจะต้องมี 2 เรือน 3 เรือนไว้เปลี่ยนไว้อวดกันเหมือนมีเสื้อผ้าหลายๆ ชุดไว้อวดกันเท่านั้น จะเป็นวัฒนธรรมหรืออะไรก็ไม่รู้ดูกันเสียใหม่ สรุปกันว่าถ้าเราไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหาแล้วนั่นคือวัฒนธรรมล่ะ ถ้าเป็นทาสของกิเลสตัณหา ไม่มีทางเป็นวัฒนธรรม มันจะลงเหวมันจะถอยหลังลงเหว แบ่งความยุ่งยากลำบากไม่มีที่สิ้นสุด จะสร้างอันธพาลขึ้นมาเต็มโลกคือคนที่เห็นแก่ตัว คนที่เห็นแก่ตัวทุกคนเป็นอันธพาลทั้งนั้นแหละ และวัฒนธรรมสมัยใหม่นี่สร้างๆคนเห็นแก่ตัวหรือแม้แต่การศึกษาหมาหางด้วน มันก็สร้างคนเห็นแก่ตัว มันต้องมีการศึกษาให้สมบูรณ์ ไม่สร้างคนเห็นแก่ตัวในโลกนี้จึงจะเป็นสันติสุข มีสันติสุขสันติภาพ นี้ก็เป็นวัฒนธรรมจริงเพราะอยู่ด้วยสันติสุขสันติภาพ การศึกษาส่งเสริมวัฒนธรรม วัฒนธรรมส่งเสริมการศึกษายิ่งขึ้นไป การศึกษายิ่งขึ้นไป ส่งเสริมวัฒนธรรมยิ่งขึ้นไปไปถึงยอดสุด อย่ามีการศึกษาเพียงเพื่อว่าทำงานง่ายๆ เบาสบายได้เงินเดือนมากแล้วเป็นทาสกิเลสกันเต็มที่ ได้เงินเดือนมากเพื่อไปเป็นทาสกิเลสกันเต็มที่ อย่าไปคิดอย่าไปบูชาเลย เป็นครูที่เอาบุญกันดีกว่าอย่าเห็นแก่เงินเพื่อเอาไปซื้อวัตถุปัจจัยของกิเลสเลย มันไม่เป็นวัฒนธรรมได้เรามีความสุขได้เมื่อทำการงาน อาตมาพูดชนิดที่ให้เขาโห่แล้วก็มีคนโห่แล้ว อาตมาพูดหาความสุขเมื่อทำการงานเมื่อคุณเล่าเรียนอยู่ก็ดี เมื่อทำการงานอยู่ในหน้าที่ก็ดีให้มีความสุข เมื่อมันทำการงาน คือพอใจตัวเอง นับถือตัวเอง ชอบใจตัวเองว่ามันสามารถทำการงาน เมื่อไรยกมือไหว้ตนเองได้เมื่อนั้นมีความสุขที่สุด ช่วยจำไว้ด้วยว่าเมื่อใดเราทำงานดี พอใจตัวเองยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้นคือความสุขที่สุด ไม่ใช่ว่าปิดออฟฟิตเอาเงินไปหาสถานเริงรมย์ กามารมณ์ แล้วเป็นสุขที่สุดนั้นมันดูไม่ดีมันเป็นเรื่องบ้า เป็นเรื่องเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของกิเลส เป็นทาส เป็นบ่าว เป็น ขี้ข้าของกิเลส กิเลสมันไสหัวไสคอไปหาไอ้สถานเริงรมย์จะเป็นสุขกันยังไงล่ะ เราใช้สุก “ก” เป็นตัวสะกด แต่สุขเย็นสุขจริงๆ รู้สึกตัวเองเป็นผู้ทำถูกต้องที่สุดดีที่สุดมีประโยชน์ที่สุดแล้วก็พอใจ หาความสุขได้เมื่อถูเรือนสะอาดดีพอใจแล้วก็ถูต่อไป หาความสุขได้เมื่อล้างจาน ล้างชามในครัวนั่นแหละ ถ้าล้างสะอาดดีก็พอใจเป็นสุข นี่มันมีข้อเท็จจริง มีเรื่องจริงอันลึกลับอยู่อย่างนี้ ความสุขที่แท้จริงจะหาได้เมื่อเราทำหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เมื่อเราอาบน้ำเมื่อเราชำระกายสะอาดดีเราควรจะพอใจและมีความสุขไม่ต้องเมื่อไปเต้นรำ เมื่ออาบน้ำชำระกายสะอาดดีตามหน้าที่ของธรรมชาติ เมื่อกินอยู่ดีถ่ายอุจจาระปัสสาวะอะไรถูกต้องเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาทางร่างกายก็ควรจะพอใจ แล้วเมื่อจิตใจไม่เกิดกิเลสมีความสงบสุขนี่เป็นสุขอย่างยิ่งก็ควรจะพอใจ เป็นอยู่ให้ถูกต้องอย่างนี้เรียกว่าถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์คือธรรมะ ธรรมะนี้เป็นวัฒนธรรมสูงสุดเมื่อเราประพฤติแล้วนะ ฉะนั้นการศึกษาต้องเพื่อสิ่งนี้อย่าเพื่อสิ่งอื่นเลย ขอได้โปรดจำคำว่าการศึกษากับวัฒนธรรม สัมพันธ์กันไปอย่างนี้จนกว่าจะถึงที่สุด เวลาที่ๆกำหนดไว้ให้หมดแล้ว เขาบอกว่าอย่างนั้น อาตมาก็เลยจะยุติการบรรยาย
นี้เมื่อตะกี้ขอร้องเรื่องสมาธิบ้าง อาตมาก็จะบอกว่าไอ้สมาธิมันไม่มีอะไรหรอก สมาธิคือการที่เอาจิตไปเกาะไว้ที่สิ่งที่มันบริสุทธิ์สะอาดจนกิเลสมารบกวนจิตไม่ได้ ถ้าเราปล่อยจิตตามธรรมดา กิเลสตัณหามารบกวนจิตได้ ถ้าเราเอาจิตไปผูกไว้กับสิ่งที่บริสุทธิ์ด้วยธรรมะ ด้วยแม้แต่วัตถุเฉยๆ เช่น ลมหายใจนี้ เอาจิตไปผูกไว้ที่นั่น กิเลสก็รบกวนไม่ได้นี่ก็เรียกว่าสมาธิ มีอะไรอย่างหนึ่งก็แล้วแต่จิตไปอยู่ที่นั่นก็มีความเป็นสมาธิ ที่เขาดูดวงไฟ ดูดวงเทียนมาแต่โบราณนั่นก็เป็นสมาธิ แล้วกำหนดลมหายใจอานาปานสติก็เป็นสมาธิ ดูเรื่องที่เหมาะสมสำหรับจิตไปเกาะอยู่ที่นั่นมันก็เป็นสมาธิ ทีนี่เราก็ทำไม่ได้จิตของเราไม่ยอมเกาะอยู่ที่นั่น จิตของเราไปหากิเลสไปหาเหยื่อของกิเลสมันก็ไม่เป็นสมาธิก็เป็นความล้มเหลว สู้ สู้ เพื่อจะให้เอาจิตไว้ที่นี่ก็ต่อสู้พยายามต่อสู้ แล้วปฏิบัติไปเถอะไม่ต้องกลัวว่าจะบ้า ถ้าเราต้องการเพียงให้จิตเป็นสมาธินี่ไม่มีบ้า แต่ถ้าต้องการให้มีฤทธิ์มีเดช มีปาฎิหารย์อะไรระวังให้ดี จะเป็นบ้าไม่ทันรู้อย่าไปทำสมาธิเพื่อปาฏิหารย์ เพื่อฤทธิ์ เพื่อเดชเลย ทำๆ เพื่อให้จิตมันหยุดสงบ คำจำกัดความของคำว่าสมาธิที่ เป็นผล ก็คือจิตบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสรบกวน จิตตั้งมั่นเข้มแข็ง อะไรมากวนไม่ได้ เมื่อจิตพร้อมที่จะทำหน้าที่ของจิตที่มีอยู่ ๓ ความหมาย จิตบริสุทธิ์ สบาย เป็นสุข ให้จิตแข็งพอที่จะไม่หวั่นไหวในอารมณ์ จิตว่องไวในการที่จะทำหน้าที่ของจิต จะคิดจะนึกอะไรก็ตามว่องไว นี่คือเป็นสมาธิ ถ้าจิตเป็นสมาธิแล้วมันจะมีคุณสมบัติ ๓ อย่างคือ บริสุทธิ์ ปริสุทโธ คือบริสุทธิ์ สมาหิโต คือ ตั้งมั่นเข้มแข็ง และ กัมมนีโย เหมาะสมแก่การงาน ศึกษาพอรู้เรื่องแล้วก็ไปทำ อย่าหวังว่าต้องมีอาจารย์มาควบคุมอยู่ข้างๆ นั่นมันเป็นความเพ้อฝัน หมายความว่าไอ้เรื่องนี้ไม่มีใครสอนได้ นอกจาก ตัวมันเองจะสอนลงมือทำแล้วไอ้การกระทำมันจะสอน คนมาสอนให้ไม่ได้ ยกตัวอย่างเหมือนหัดพายเรือไม่มีใครสอนได้ นอกจากเรือกับพายมันจะสอนให้แล้วพายคดไปคดมา คดไปคดมา มันจะสอนให้จนกว่าจะพายได้ตรง นี่พายมันสอนเรือมันสอน ถ้าพวกคุณขี่รถจักรยานเป็นแล้วก็นึกถึงความหลังเถอะว่าใครมันสอน ใครมันสอนได้มันก็เห็นแล้วว่าทำอย่างนี้ๆ เคยสอนไปแล้วไปขี่เข้ามันล้ม แล้วทำอย่างไรมันจะไม่ล้ม ไอ้รถมันสอนให้ พูดถูกที่สุดไอ้ความล้ม การล้มนั่นมันสอนให้ ยอมหัวเข่าถลอกปอกเปิกสักสองสามครั้งมันสอนให้เดี๋ยวมันก็ขี่ได้ ไม่กี่วันมันก็ขี่ได้ เขาเรียกว่ารถจักรยานมันสอน มันถูกกว่าคนสอน หรือพูดว่าไอ้การล้มมันสอนยิ่งถูกกว่าที่จะพูดว่ารถจักรยานมันสอน ก็คือเราเองเราขยับอย่างนี้ขยับอย่างโน้นเรื่อยไปจนมัน balance ก็ทำให้รถน่ะไปได้กระทั่งปล่อยมือก็ขี่ได้นะ เมื่อมันทำจนถึงที่สุดปล่อยมือหมดมันก็ยังพาจักรยานไปได้ให้มันสอนได้ไม่มีใครสอนนอกจากตัวมันเองสอน ฉะนั้นหัดไปบังคับจิตให้พอดี พอดีอย่าให้มากทางโน้นอย่าให้มากทางนี้ อาตมาคิดว่าไอ้เรื่องเล่นทอยลงหลุม หยอดหลุมทอยกองอะไรไม่รู้เรียกว่ายังไง ไอ้หยอดโยนอะไรลงในหลุมเล็กๆ ฝึกเถอะ ฝึกความพอดีไม่มากไม่น้อยแล้วก็โยนลงหลุม ทุกที หรือว่าเอาไอ้ถ้วยเล็กๆ กะลาเล็กๆ บ่อเล็กๆ วางตรงนั้นแล้วบ้วนน้ำลายจากที่ปลายห่างกัน ๒ เมตร ให้มันลงหลุมทุกที adjust ในร่างกาย ประสาทร่างกายเพื่อความเป็นสมาธิ ไปลองดูเถอะไม่ได้หรอกทีแรกมันไม่ได้ เพราะจิตเรามันหวั่น หวั่นว่าจะไม่ถูกมันมากเกินไป หวั่นว่ามันจะไม่ลงมากเกินไปมันก็ไม่ลงจริงๆ มันลืมๆ ทำอย่างเหมือนกับไม่มีสติปัญญา ทำอย่างตั้งใจจะทำมันก็ทำของมันเอง มันก็จะ adjust ของมันเองด้วยตัวมันเองมันก็จะลงทุกที นี่น่าประหลาด ช่องเล็กๆ นี่บ้วนน้ำลายให้ลงนั้น ในระยะห่างสัก ๒ เมตร แบบฝึกหัดที่ดีมาก ประสาทของเรามันฉลาด คือมันไวเกินไปที่เราคิดไวเกินไปเลยไปทางนี้ เลยไปทางนี้เลยไปทางโน้นไม่พอดี ลืมมันเสีย นี่อย่างคนจะยิงปืนให้แม่นลืมไปว่ากูเป็นผู้ยิงจิตเป็นปืนเสียเอง จิตเป็นลูกปืนเสียเอง ยิงให้ถูกทุกทีมันลืมอะไรหมด ทีนี้เราจะทำงานทำการหรือศึกษาอะไรก็ตามทำด้วยจิตอย่างนี้จะได้ผลประโยชน์ของสมาธิ พูดสั้นๆ ว่าสมาธิคือจิตที่ไปเกาะอันใดอันหนึ่งแล้วทำให้ได้จิตยังทำได้ ถ้าทำได้มันอยู่ในอำนาจเรา ต่อไปนี้มันจะสะอาดมันจะเข้มแข็ง มันจะเหมาะสมที่จะทำการงาน มนุษย์ได้รับประโยชน์สูงสุดทางด้านจิตใจเพราะเราทำสมาธิได้ คุณบอกว่า ๕ นาทีมันก็หมดแล้ว พูดเรื่องสมาธิ ๕ นาที มันก็หมดแล้วจริงๆ ต่อไปนี้ก็ไปฝึกเข้าแล้วมันก็สอนเอาเองแหละ อ่านหนังสือพอรู้เรื่องก็ได้ รับคำอธิบายพอรู้เรื่องก็ได้ ก็ไปทำแล้วมันสอนเองไม่มีใครสอนได้ ก็เป็นผลดีมีสมาธิดีขึ้น แล้วก็ขอยุติในการบรรยายเท่าที่มีโอกาสในวันนี้
ขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายเพื่อร่วมกันทำประโยชน์แก่ความเป็นมนุษย์ แก่พระศาสนา แก่พระธรรม มานั่งกลางดินซึ่งเป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สอนของพระพุทธเจ้า นิพพานของพระพุทธเจ้าล้วนแต่กลางดิน นี่มันก็เป็นเรื่องของสันโดษ คุณเคยนั่งบนตึกเรียนราคาล้านแล้วได้ประโยชน์อะไรกว่าที่มานั่งกลางดินที่พระพุทธเจ้าซึ่งไม่มีราคาเลย ฉะนั้นมาหัดนั่งนอนในที่ตรงพระพุทธเจ้าคือกลางดินดูเสียบ้าง อย่ารู้จักแต่จะอยู่ในตึกเรียนราคาล้าน มันจะจูงจิตใจไปทางไหนก็ไม่รู้มันมีแต่จะเกิน มันมีแต่จะเป๋ไปในทางที่จะเป็นทาสของกิเลส อดทนให้มันคล้ายกับธรรมชาติ ศึกษาธรรมะให้มันคล้ายกับธรรมชาติแล้วต้องฝึกฝนต้องอดทน ต้องอย่ากลัวลำบาก มีคนพูดว่าห้องส้วมในมหาวิทยาลัย วิทยาลัยครูอะไรนี่สกปรกกว่าห้องส้วมที่นี่ เพราะว่าที่นั่นไม่ได้สอนให้ล้างส้วม นักศึกษาหัวแข็ง หัวสูงจนไม่ยอมล้างส้วม ที่นี่ก็สอนให้พระก็ช่วยล้างส้วมที่ฆราวาสมาทำสกปรกไว้ พระก็ยังช่วยล้างนะ ฉะนั้นส้วมที่นี่มันก็สะอาดกว่าส้วมของมหาวิทยาลัยนะ นี่เขาว่ากันอย่างนี้ คุณๆ ก็รู้ดีล่ะ อาตมาไม่ต้องบอก ทะเลาะวิวาทอะไรกัน นี่เพราะว่าเรายอมลดลงมา ลดตัวกูของกูลงมา ประพฤติปฏิบัติธรรมะ เห็นวันนี้เป็นหน้าที่ที่มนุษย์ควรจะกระทำ แล้วก็ทำเถอะ อดทนเถอะ เพราะสันโดษเถอะ แล้วก็พอใจเถอะ ที่ได้ล้างส้วมที่คนอื่นทำสกปรกไว้แล้วก็ไหว้ตัวเองได้ มันไหว้ตัวเองได้มันก็ลดตัวกูลงไป ทีนี้ไม่ทำ ส้วมของมหาวิทยาลัยก็จะสกปรกกว่าส้วมของสวนโมกข์อีกต่อไปแหละ สวนโมกข์ก็ไม่ใช่สะอาดร้อยเปอร์เซ็น แต่ก็ยังดีกว่าของมหาวิทยาลัยทุกมหาวิทยาลัย นักศึกษาได้รับการสั่งสอนว่าล้างส้วมมันได้บุญ ลดตัวตนในการปฏิบัติธรรม นักศึกษาเพื่อไปเป็นรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดีจะมาล้างส้วมนี่ยังไงได้ นี่เป็นตัวอย่างที่ต้องเอาไปพิจารณากันแล้ว อันไหนจะมีวัฒนธรรมมันล้างส้วมได้บางคนล้างส้วมไม่ได้ คนไหนมีวัฒนธรรม ความหมายต้องแตกแยกกันรวมกันไม่ได้ เพราะว่าเรามีหลักวัฒนธรรมต่างกัน ฉะนั้นขอให้ได้รับประโยชน์จากการมาที่นี่ เป็นอยู่อย่างง่าย เป็นอยู่อย่างอดทน กระทั่งว่านั่งกลางดิน นี่ติดไปก็จะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย อย่าให้ขาดทุนว่ามาที่นี่แล้วไม่ได้อะไรคุ้มกันมันต้องเสียเงินเสียเวลาต้องเหน็ดเหนื่อย ถ้าท่านมาที่นี่แล้วไม่ได้รับประโยชน์อะไรคุ้มกัน ยมบาลเขาก็เล่นงานอาตมาทำให้คนเสียเวลาไม่คุ้มค่าของตน อาตมาก็แย่ ช่วยกันหน่อย เก็บๆๆๆๆๆ อะไรไปให้มันได้รับประโยชน์คุ้มค่า อุตส่าห์มาที่นี่ ค่าของเงิน ค่าของเวลา ค่าของเรี่ยวแรง ค่าของอื่นๆ ให้มันคุ้มค่า อาตมาก็แนะว่าอย่างนี้แหละรู้จักธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติ ใกล้ชิดธรรมชาติ รู้ธรรมะได้โดยง่าย เพราะว่าธรรมะมันเป็นเรื่องของธรรมชาตินั่นเอง มาอยู่กับธรรมชาติแล้วธรรมชาติมันก็บีบบังคับอยู่ให้เย็นให้สงบ นี่เราได้รับประโยชน์จากธรรมชาติอย่างนี้ พอมาที่นี่จิตมันว่าง เกลี้ยงจากตัวกูของกู โอ้, มันเป็นสุขวิเศษจริงโว้ย, ไม่ใช่เป็นสุขเพราะมีเงินมาก มีอะไรมากเลย ไม่ใช่มีความสุขเพราะบำรุงบำเรออะไรนักหนาโว้ย, มีความสุข เพราะจิตมันเกลี้ยงจากความคิดนึกว่าตัวกูของกู สบายที่สุดทางจิตใจ อย่าเอาแต่ว่าสะดวกสบายทางร่างกายอย่างเดียวมันไม่พอหรอก เพราะว่าไอ้คนที่สบายเหลือประมาณอย่างมหาเศรษฐี มันก็ยังเป็นโรคประสาท มันยังฆ่าตัวตายทั้งที่เป็นมหาเศรษฐี เราเป็นมหาเศรษฐีทางจิต ทางวิญญาณกันเสียบ้างมันก็สบายแน่ ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายทุกคนเชื่อแน่ในตนๆ ก็คือเชื่อแน่ในพระธรรมให้มีความกล้าหาญพอที่จะปฏิบัติธรรมอย่าขลาดอย่ากลัว อย่าอ่อนแอในการที่จะปฏิบัติธรรม แล้วก็จะได้รับผลเป็นความสุขเป็นความเจริญในการปฏิบัตินั้นๆ นี่ก็เรียกว่า พร พร แปลว่าดี ดีที่ให้กันไม่ได้ นอกจากแนะให้ทำดี ให้ทำดีตามที่แนะ แล้วก็มีพรแล้วก็ได้รับผลตามที่ตัวต้องการ ขอให้สำเร็จตามนี้ แล้วเจริญงอกงามตามหน้าที่ในการงาน เป็นสุขทุกทิพาราตรีกาลเทอญ