แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาจะได้กล่าวคำบรรยายในครั้งนี้โดยหัวข้อว่า “ครูกับปัญหาของมนุษย์” รู้สึกว่าเรื่องใหญ่ที่สุดสำคัญที่สุดที่เราจะต้องรู้เป็นหลักพื้นฐานทั่วไปก็คือ เรื่องปัญหาของมนุษย์ แล้วครูก็มีหน้าที่โดยตรงหรือว่าอย่างน้อยก็มีส่วนแห่งหน้าที่ในการที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ ถ้ามนุษย์ยังมีปัญหาก็หมายความว่ามันไม่มีความสงบสุขจากมนุษย์จากความเป็นมนุษย์ ปัญหาของมนุษย์เมื่อดูโดยผลมันก็คือ ความทุกข์ยากลำบาก หรือแม้แต่เพียงระส่ำระสาย ที่มีอยู่ทั่วๆไปในหมู่มนุษย์ นี่เรียกว่าปัญหา มูลเหตุของมันคืออะไรนั่นแหละเราจะได้พิจารณากัน หรือพูดซะได้เลยก็คือว่ามันขาดสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ก็คือธรรมะ ถ้ามีธรรมะมนุษย์ก็หมดปัญหา ครูเป็นพวกหนึ่งหรือสำคัญที่สุดก็ว่าได้ในการที่จะทำให้มนุษย์มีธรรมะแล้วก็หมดปัญหา นี้การศึกษาจะต้องมีธรรมะในการศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมะรวมอยู่ด้วย มนุษย์จึงจะหมดปัญหา เดี๋ยวนี้การศึกษาในโลกยังเป็นระบบหมาหางด้วน ประเทศไทยเล็กๆ ก็ตามก้นประเทศใหญ่ก็รับเอาระบบการศึกษาหมาหางด้วนมา ระบบการศึกษาชนิดนี้ไม่มีธรรมะ เพราะว่าตัดธรรมะออกไปหางมันจึงด้วน คือเรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพเพียง ๒ อย่าง อย่างที่ ๓ คือธรรมะ ที่เรามาเรียกกันว่า จริยศึกษาหรืออะไรทำนองนี้นั้นมันไม่มี อยากจะมีก็มีแต่ตัวหนังสือที่จดไว้ในสมุด คนก็เลยไม่มีการศึกษาธรรมะหรือไม่มีธรรมะ มันก็เกิดปัญหาขึ้นมาเป็นวิกฤตกาล อาตมาอยากจะให้ตั้งข้อสังเกตแม้เรื่องเล็กๆน้อยๆ ว่าคนเรานี่ยังเลวกว่าแมวหมาอยู่ในประเด็นที่สำคัญ คือเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานในประเด็นที่สำคัญ สัตว์เดรัจฉานไม่ปวดหัว ไอ้คนมันปวดหัวต้องกินยาแก้ปวดหัวกันเป็นส่วนมาก แมวไม่รู้จักยาแก้ปวดหัวเพราะมันไม่เคยปวดหัว และมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน คนนอนไม่หลับต้องกินยานอนหลับ ทั้งโลกนี้มันยังมีคนที่กินยานอนหลับรวมกันแล้วกับยาปวดหัวนี่คงจะมากเป็นตันๆ หมาแมวไม่มีโรคนอนไม่หลับ นี่คนยังน่าละอายหมาละอายแมวที่ยังนอนไม่หลับเพราะความเป็นคน สัตว์ไม่เป็นโรคประสาท ซึ่งคนเป็นกันเดี๋ยวนี้เฉพาะในประเทศไทยนี่ หมอนี้ว่าตั้งเจ็ดแสนคน เป็นโรคประสาท แล้วสองหมื่นคนเป็นโรคจิต หมาแมวไม่มีเลย มันน่าละอายหมาน่าละอายแมวที่คนเป็นโรคประสาทกันตั้งเจ็ดแสนคน นี่เรียกว่าส่วนตัว ที่นี้ส่วนสังคม คนเอาเปรียบคดโกง ทำให้ผู้อื่นลำบากกระทั่งทำคอร์รัปชั่นนี่เต็มไปหมด หมาแมวทำไม่เป็นแล้วคนก็ทำการเบียดเบียนสงครามกันเดี๋ยวนี้ อิรักก็กำลังรบกับอิหร่านจะเป็นสงครามใหญ่ แต่โดยปกติแล้วทั่วไป มันมีสงครามที่กำลังทำอยู่อย่างที่เรียกว่าใต้ดิน นี่ในโลกมีสงคราม หมาแมวทำไม่เป็น ที่เบียดเบียนกันอยู่เป็นปกติประจำวันไม่ถึงสงครามนั้น ยิ่งทั่วไปทั่วทุกหัวระแหงอ่านดูหนังสือพิมพ์ก็แล้วกัน นี่เรียกว่าหมาแมวทำไม่เป็น ทำเป็นแต่คน อันที่ทำให้คนอื่นลำบากโดยไม่มีเหตุผล เช่นว่าวางหาบเร่เกะกะทางเดินเท้าเดินไม่สะดวก ไล่กันเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักสำเร็จ นี่หมาแมวทำไม่เป็น ที่จะเห็นแก่ตัวทำให้ผู้อื่นลำบากนั้นหมาแมวทำไม่เป็น
อาตมาเห็นว่าถ้าเราไม่มองกันที่ปัญหานี้แล้วคนก็ไม่มีทางที่จะดีขึ้นได้ เราไอ้คนนี่มันยังไม่ถึงความเป็นมนุษย์คือไม่มีธรรมะอย่างมนุษย์ มันก็ทำอย่างนี้ ไม่มีธรรมะมันก็ต้องปวดหัว ไม่มีธรรมะมันก็ต้องนอนไม่หลับ แม้แต่โรคภัยไข้เจ็บอย่างอื่นก็เนื่องมาจากขาดธรรมะที่เห็นง่ายๆ เช่น โรคความดันสูง โรคหัวใจ แม้แต่โรคมะเร็งนี่หมอก็ยังพบว่าความไม่ปกติแห่งจิตเป็นมูลเหตุบ้าง เป็นเครื่องสนับสนุนบ้าง แม้แต่ที่เราจะเจ็บป่วย บาดเจ็บธรรมดาหกล้มหกลุกหรือว่าไอ้เรื่องเล็กๆน้อยๆ นี้ก็มาจากความสะเพร่า ความขี้เกียจ ยากจนก็มาจากความขี้เกียจ แล้วก็เป็นเหตุให้เบียดเบียนกัน นี่มันก็ขาดธรรมะ คนที่ไม่ทำหน้าที่อันถูกต้องของตนนั่นแหละคือคนไม่มีธรรมะ ขอให้ครูบาอาจารย์ศึกษากันเสียให้ถึงที่สุดของหลักเกณฑ์ว่าศีลธรรมนั้นคืออะไร การไม่ทำหน้าที่ของตนที่ถูกต้องทำหน้าที่ของตนนั้นคือการไม่มีธรรมะ หรือไม่มีศีลธรรม ชาวนาไม่ทำนา ชาวสวนไม่ทำสวน คนถีบสามล้อไม่ถีบสามล้อ คนแจวเรือจ้างไม่แจวเรือจ้าง ขี้เกียจในหน้าที่ของตนไอ้นี่แหละคือความไม่มีศีลธรรม แต่คนทั่วไปอาจจะคิด อ้าว,มันเป็นสิทธิของเขาไม่ผิดกฎหมายนี้ว่าฉันไม่มีศีลธรรมอย่างไร เรื่องกฎหมายก็กฎหมาย เรื่องเศรษฐกิจก็เรื่องเศรษฐกิจ แต่เรื่องทางศีลธรรมนี้เขามีบัญญัติไว้ว่ามันไม่มีศีลธรรม แม้แต่ศาสนาที่มีพระเจ้ามันก็ยังสอนว่ามันต้องมีต้องทำงานจึงตรงตามประสงค์ของพระเจ้า เมื่อขี้เกียจทำงานคือไม่มีศีลธรรมในข้อนี้มันก็จนแหละ แล้วจะไปโทษนั่นโทษนี่เป็นปัญหาเศรษฐกิจ เป็นปัญหาอะไรก็ไม่รู้หลับหูหลับตากันทั้งโลก ในข้อที่ว่าอะไรๆก็ปัญหาเศรษฐกิจ ทำไมไม่มองดูให้จริงให้แท้ลงไปว่ามันเป็นปัญหาทางศีลธรรม ถ้าทุกคนประพฤติธรรมมีศีลธรรมทำหน้าที่ของตนมันก็ไม่มียากจน ก็ไม่เดือดร้อนที่จะให้คนนั้นคนนี้ต้องมาช่วย เดี๋ยวนี้มันยังขี้เกียจไม่มีอะไรจะกินมันก็ขโมย มันก็เพิ่มปัญหาที่ ๒ ขึ้นมา มันก็ยุ่งไปหมด ธรรมชาติกำหนดมาให้เรามีสภาพแตกต่างกัน นั้นเราจึงทำงานเหมือนกันไม่ได้ เช่น จะเป็นชาวนาทุกคนมันก็ไม่ได้ จะเป็นข้าราชการทุกคนก็ไม่ได้ เป็นพ่อค้าทุกคนไม่ได้ เป็นนายจ้างกันทุกคนมันก็ไม่ได้ มันก็ต้องแตกต่างกันจนอย่างที่เดี๋ยวนี้เรียกกัน ช่องว่างอันใหญ่หลวง คือนายทุนกับชนกรรมาชีพ มันก็ต้องแตกต่างกันโดยธรรมชาติ แต่แล้วคนมันโง่เอง คือมันแตกต่างเพื่อเป็นศัตรูกัน เป็นนายทุนกับชนกรรมาชีพมันมีความแตกต่างเพื่อเป็นศัตรูกัน นี่มันคือความโง่ของมนุษย์ ไอ้แตกต่างเป็นเรื่องของธรรมชาติจะเรียกว่าเรื่องของพระเจ้าก็ได้ มันต้องแก้ปัญหาความแตกต่างด้วยความรักใคร่กันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกัน นายทุนเขาก็มองเห็นว่าเพื่อชนกรรมาชีพเพราะถ้าไม่มีนายทุนชนกรรมาชีพก็ไม่มีการงานทำ ไม่มีชนกรรมาชีพนายทุนก็ไม่มีเครื่องมือจะทำ มันก็ล้มกันหมด ล้มละลายกันหมด เพราะมีชนกรรมาชีพนายทุนก็มีแรงงานทำงานก็ได้ประโยชน์ เพราะมีนายทุนชนกรรมาชีพก็มีงานทำ ถ้ามันร่วมมือกันอย่างเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ปัญหามันก็ไม่เกิด ที่นี้มันมีมึงเป็นมึงมีกูเป็นกู อันนี้มันหยาบคายสักหน่อย ที่เรียกกันโดยหลักธรรมะทั่วไปว่าความเห็นแก่ตน นั้นขอให้ครูทุกคนสนใจไปยังสิ่งๆหนึ่ง ที่เรียกว่า ความเห็นแก่ตน ซึ่งธรรมะ มุ่งหมายจะทำลาย หรือว่าการศึกษามุ่งหมายจะทำลาย การศึกษาระบบไหนไม่มีการมุ่งทำลายความเห็นแก่ตนแล้ว การศึกษานั้นไม่ใช่การศึกษา เอาไปทิ้งเสียก็ได้ ในระบบการศึกษาที่มันขาดความมุ่งหมายที่ทำลายความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ คือการศึกษาหมาหางด้วน มันไม่สมบูรณ์ที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ได้
ที่นี้เรามาพูดกันถึงปัญหาของมนุษย์โดยตรงกันดีกว่า ต้นเหตุของมันก็คือ ความเห็นแก่ตนนั่นเอง ผลของมันก็คือความอยู่กันไม่เป็นสุข นี่ความเห็นแก่ตน ผลของมันออกมาเป็นความอยู่อย่างไม่เป็นผาสุก ทั้งส่วนตนและส่วนสังคม มนุษย์ยังน่าละอายหมาน่าละอายแมวที่มนุษย์ปวดหัวนอนไม่หลับ เป็นต้น หมาแมวไม่มี นี่ผลของมันที่จะเกิดมาจากการเห็นแก่ตน ซึ่งเป็นปัญหาๆที่เป็นต้นเหตุก็คือ ความเห็นแก่ตน ๆ เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาของมนุษย์ ที่ทำให้มนุษย์ทำผิดไปหมดทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น ฟังแล้วมันไม่น่าเชื่อว่าเห็นแก่ตนทำไมมันจึงไปทำลายตน เพราะความเห็นแก่ตนนั้นเป็นความโง่เป็นกิเลส เกิดโลภะ โทสะ โมหะ แล้วก็ทำลายตนเองน่ะก่อน ความเห็นแก่ตนมันทำลายตน เหมือนที่เขาพูดไว้เป็นหลักแต่โบรมโบราณว่า ไอ้เหล็กมันให้เกิดสนิมๆ มันก็เกิดที่เหล็กๆมันก็ถูกกัดโดยสนิมๆมันก็กัดเหล็ก มันเกิดมาจากตนแล้วมันกลับทำลายตน มันเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดแล้ว ความเห็นแก่ตนนี่ก็เหมือนกัน เกิดที่ตนไหนแล้วมันก็ทำลายความเห็นแก่ตนนั้น ตัวตนผู้นั้นแหละ เพราะนั้นไอ้ทางที่ดีแล้วมันต้องควบคุมได้ ต้องควบคุมความเห็นแก่ตนนั่นแหละคือระบบของธรรมะหรือการศึกษา ไอ้ความเห็นแก่ตนนี่มันมีความจำเป็นที่ต้องมีในสิ่งที่มีชีวิต ครูบาอาจารย์ก็เรียนพวกชีววิทยา หรือว่าวิทยาศาสตร์แขนงนั้นกันมาแล้ว คงจะพบเรื่องเกี่ยวกับสัณชาตญาณทั้งหลายที่มีแก่สิ่งที่มีชีวิต แล้วขอให้อย่าลืมว่าสังเกตสัณชาตญาณอันแรงร้ายอันเป็นต้นตอทั้งหมดสักข้อหนึ่ง คือความรู้สึกว่ามีตนและเห็นแก่ตน ถ้าไม่เห็นแก่ตนมันก็ไม่ทำอะไรเพื่อตนรอดอยู่ได้ สิ่งที่มีชีวิตรักตน ไม่อยากตายอยากอยู่ก็ดิ้นรนเพื่อจะรอดชีวิตอยู่ได้ นับตั้งแต่ชีวิตต่ำที่สุด พืชพันธุ์ไม้ พืชนับตั้งแต่ตะไคร่น้ำขึ้นมา มันต้องมีความรู้สึกที่เห็นแก่ตน มันจึงต่อสู้เพื่อได้กินอาหาร ต้นไม้นี้ต้องอุตส่าห์หาน้ำกินจนได้ หาแร่ธาตุกินจนได้ ต้องออกไปหาแสงแดด ชะโงกไปหาแสงแดด ถ้าเพื่อนมันบังมันก็ต้องชะโงกออกไปจนได้เพื่อได้แสงแดด เพื่อปรุงสิ่งที่เป็นอาหารเลี้ยงลำต้น ไปฟันมันเข้ามันก็พยายามงอกใหม่ออกมาปิด หรือไปทำให้มันเหมือนกับจะตายมันก็มีการต่อสู้ กระทั่งต่อสู้ด้วยการออกดอกออกลูกไว้เพื่อไม่ให้สูญพันธุ์อย่างนี้ แม้แต่ต้นไม้มันก็ยังมีความรู้สึกเป็นมีตนและเห็นแก่ตน นี้สัตว์เดรัจฉานมันก็เห็นได้ง่ายขึ้นกว่านั้น ไอ้ความรู้สึกเห็นแก่ตน กระทำอะไรเพื่อตนทำได้ทุกอย่างกระทั่งการสืบพันธุ์เพื่อไม่สูญสิ้นแห่งความมีตัวตน
นี้มาถึงคนก็เหมือนกันแหละ เราจะแยกไอ้ความเห็นแก่ตนนี้ออกเป็น ๓ ชั้นนะ คอยสังเกตดูให้ดี ที่มันติดมาในสัณชาตญาณ อยู่ในสัณชาติญาณที่ติดมากับมนุษย์นี่มันก็ต้องเห็นแก่ตนต้องรักตนต้องต่อสู้เพื่อตน โดยไม่มีใครต้องสอนนะ ดูลูกไก่ตัวเล็กๆ เพิ่งออกมาจากไข่วันนี้มีการกระทำหลายอย่างที่ต่อสู้เพื่อมีตนเพื่ออยู่รอดเพื่ออะไรต่างๆ มาโดยสัญชาตญาณยังไม่ได้รับการเสี้ยมสอนอะไรเลย ความเห็นแก่ตนโดยสัญชาตญาณติดมาในธรรมชาติเรียกว่า ติดมาในธรรมชาติ นี่ชั้นที่ ๒ นี่กล่าวตามหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาก็คือว่า พอเด็กทารกนั้นเขาได้กินนมแม่กินอะไรก็ตาม ที่ทำให้อร่อยก็รู้สึกอร่อย ความรู้สึกอร่อยนี่จะสร้างความรู้สึกว่ามีตนและเห็นแก่ตน ตามหลักของธรรมะแล้วพออร่อยเกิดความอยาก ในสิ่งที่อร่อยอยากให้มีอยากให้อยู่ตลอดไป สิ่งที่อร่อยนั่นเองแหละคือความอยาก คืออุปาทาน มันเป็นตัณหาแห่งความอยาก พอรู้สึกอยากจะรู้สึกว่าฉันอยากฉันอร่อย ฉันได้ฉันมีฉันจะเอาไว้เป็นของฉัน นั้นความเห็นแก่ตนนั้นมันก็สอนเองได้โดยธรรมชาติ เมื่อเด็กทารกนั้นรู้จักความอร่อย นี่ความเห็นแก่ตนอันดับที่ ๒ ความยึดถือตนความเห็นแก่ตนอันดับที่ ๓ ก็คือทุกคนที่แวดล้อมเด็กทารกนั้นจะสอนความมีตน อะไรก็ของหนู อะไรก็หนู อะไรก็ของหนูจนเด็กมันก็มีคำว่าฉันว่าตัวฉัน พ่อแม่ของฉัน บ้านเรือนของฉัน ตุ๊กตาของฉัน อะไรของฉัน นี่ทุกคนที่แวดล้อมเด็กทารกอยู่มันก็สอนความเห็นแก่ตน นั้นความเห็นแก่ตนความมีตัวตนจึงเหนียวแน่น ข้อ ๑ มันติดมาในสัญชาตญาณ ข้อ ๒ เมื่อมันรู้สึกอร่อยแล้วมันสร้างขึ้นมาได้เอง ข้อ ๓ ทุกคนที่แวดล้อม ละก็ดู ล้วนแต่พ่นไอ้คำว่าตน ว่าของตน ตัวกู ตัวฉัน ของหนูตัวหนูอะไรจนเด็กนั้นมีตัวตนแน่นแฟ้น
นี่เรามีพื้นฐานแห่งความมีตัวตนกันมาอย่างนี้แล้วก็มากขึ้นๆ พอโตเป็นหนุ่มเป็นสาวก็มากขึ้นเพราะมีเรื่องเอร็ดอร่อยมาก มีเรื่องที่ให้เกิดความต้องการมีความอยากมีความเอร็ดอร่อยมาก แล้วก็ส่งเสริมกันแต่เรื่องตัวตน การศึกษาหมาหางด้วนก็ส่งเสริมเรื่องตัวตนเรื่องของตนเพราะไม่ได้เรียนธรรมะ ที่นี้พอพูดถึงธรรมะก็มีคำอยู่คำหนึ่ง อาตมาสังเกตมานานแล้วก็เห็น ก็อยากจะให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจำไปด้วยคำนี้ มันยาวหน่อยนะ อหังการะ มมังการะ มานานุสัย อหังการะ มมังการะ มานานุสัย ต่อกันเป็นคำเดียว อหังการ แปลว่า กระทำความรู้สึกว่าฉันมันคือตัวกู มมังการะ ทำความรู้สึกว่าของฉันคือของกู มานานุสัย คือกิเลสที่สะสมไว้เป็นความเคยชิน สำหรับจะมีมานะว่ากู ว่าของกู ความเคยชินแห่งการยึดถือว่ากูว่าของกู บาลีว่า อหังการะ มมังการะ มานานุสัย ความเคยชินแห่งกิเลสก็จะมีมานะยึดถือว่าตัวกูของกู นี่ทุกคนมีก็มีอย่างลักษณะที่ว่าเมื่อตะกี้คือมันติดมาในสัญชาตญาณ แล้วพอมารู้อร่อยมันก็สร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติ พอทุกคนแวดล้อมให้เด็กๆ นี้ก็มี อหังการะ มมังการะ สมบูรณ์ ก็โตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวมีอะไรมาก มันก็เป็นอหังการ มมังการะ มานานุสัย ที่แข็งกระด้าง ที่นี่ก็พูดได้เลยธรรมะทั้งหมดในพระพุทธศาสนาก็เพื่อทำลายสิ่งนี้ทั้งนั้นเลย ถ้าทำลายสิ่งนี้ได้ก็เป็นพระอรหันต์แหละ มนุษย์ธรรมดาก็มี อหังการะ มมังการะ กันอยู่ ก็ทำลาย เมื่อมองเห็นเป็นโทษทนไม่ได้ก็ทำลายไปตามมีตามได้ ถ้ามันยังไม่ถึงที่สุดคือทำได้พอสมควรก็เป็นพระอริยบุคคล โสดา สกิทาคา อนาคา อะไรก็ตาม ถ้าทำลายมันหมดนั่นก็คือเป็นพระอรหันต์
นั้นขอให้ศึกษาธรรมะโดยตรงจากตัวจริงคือคุณไปศึกษาในใจของคุณเองให้มองเห็นอหังการะ มมังการะ มานานุสัย ว่ามีอยู่อย่างไร เมื่อไรมันเกิดๆ แล้วมันอาละวาดอย่างไร อย่ามัวแต่อ่านหนังสือแล้วมาเขียนหรือมัวแต่ฟังอาตมาพูดนี่มันจะโง่เท่าเดิมนะ ขอใช้ขออภัยคำหยาบๆ หน่อย ถ้ามัวแต่ฟังพูดอ่านเขียนอยู่นี้มันอาจจะโง่เท่าเดิมได้ เพราะว่ามันเป็นตัวหนังสือไปหมดเป็นเสียงไปหมดเดี๋ยวก็ลืม ที่นี้ก็ไปสังเกตอย่างดีที่สุดจะรู้จักว่าเมื่อไรมันเกิดตัวกูของกูนี้ คำนี้มันหยาบคายหน่อย อาตมาพูดสัก ๑๕ ปี เดี๋ยวนี้พวกหนังสือพิมพ์ก็ไปใช้ คือมันง่ายดี เมื่อไรที่มันเกิดความรู้สึกประเภทตัวกูประเภทของกูนั่นแหละคือ อหังการะ มมังการะ มานานุสัย มันแสดงออกมา ความเคยชินอันนี้มันสะสมไว้ในสันดานตั้งแต่คลอดจากท้องแม่เรื่อยมาๆ จนบัดนี้แล้วมันจะมีหนาแน่นต่อไปอีกข้างหน้า นั้นขอให้สังเกตเมื่อไรมันเป็นความรู้สึกมั่นหมายขึ้นมาเป็นตัวกูของกู สิ่งนั้นในพระบาลีเรียกว่า อหังการะ มมังการะ มานานุสัย ความเคยชินที่จะมีมานะถือตัวว่ากู ว่าของกู อันนี้เป็นเหตุให้เราเห็นแก่ตัว รู้จักความเห็นแก่ตัวเต็มที่ พอเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ต้องมีกิเลส โลภะๆก็เกิดตัว ไอ้โกรธะโกรธเพราะไม่ได้ตามที่ตัวต้องการ ไอ้โมหะนี่มันก็หลงไปตามอำนาจความเห็นแก่ตัว จึงเป็นทุนเดิมเต็มอัดอยู่ในสันดาน เราเรียกว่าโมหะ ความโง่ ความมืดความเขลา มันไปเนื่องอยู่ที่ตัวหรือความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น นั้นไปดูอย่ามัวแต่อ่านหนังสือว่าโลภะคืออย่างไร คืออย่างไร เมื่อไร คืออย่างไรเดี๋ยวจะพบว่า โอ้, มีเรื่องอยากได้อยากนั่นมากเกินไปจนไม่คำนึงผิดชอบชั่วดี ความอยากไอ้ความโง่เขลานี่คือโลภะ เราก็มี ถ้าว่าความฉลาดไม่เรียกว่าโลภะ ความต้องการด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาดไม่เรียกว่าโลภะ แต่สำนักอื่นครูบาอาจารย์สำนักอื่นเขาไม่สอนอย่างนี้นะ เขาจะพูดว่าถ้าอยาก ต้องกลายเป็นโลภะหมด เราพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ที่นี่เราจะสอนกันแต่เพียงว่าต้องอยากด้วยความโง่เขลา ไม่มีเหตุผลไม่มีความถูกต้องอะไรจึงจะเรียกว่าความโลภ ถ้าเราอยากด้วยสติปัญญามีเหตุผล เช่น อยากจะดับทุกข์ อยากจะทำดี นี่มันไม่ใช่โลภะนะ นี่ถ้าอยากด้วยความโง่เหมือนกับที่เขาอยากๆกันอยู่ เพราะความเห็นแก่ตนมันจึงอยากชนิดนั้น นี่โทสะมันต้องจากโลภะหรือมาจากความอยากโดยปกตินั้น ในกรณีที่อยากแล้วไม่ได้ตามที่อยากนี่จะมีโทสะ จะโกรธใครก็เพราะคนนั้นมันไม่ทำตามใจเราหรือเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้น แม้เป็นไปตามธรรมชาติมันไม่เป็นตามใจเราที่เราต้องการเราก็โกรธได้ โกรธแมวโกรธสุนัข โกรธก้อนหินโกรธถ้วยชามได้ นี่มันไม่ได้ตามที่ความเห็นแก่ตัวมันต้องการ มันก็มีโทสะ นี่โมหะส่วนใหญ่ก็เป็นการรบกวนอยู่ด้วยความสงสัย ด้วยความกังวล ด้วยความมืดมัวนั่นแหละ มันก็มีความเห็นแก่ตนนั่น มีตัวตนบ้างละ เป็นรากฐานเป็นแกนกลางอยู่ลึก นี่ถ้าเราทำลายความเห็นแก่ตัวได้ ความเห็นว่ามีตัวตนของตนได้ละก็ ไอ้โลภะ โทสะ โมหะไม่อาจจะเกิดแล้วก็ไม่มีปัญหา สังคมของเรามีแต่มนุษย์ที่ควบคุมความเห็นแก่ตัวได้ เราก็มีความสงบสุข เดี๋ยวนี้ไม่มีใครควบคุมนี่ โลภเมื่อไม่ได้ก็ทุจริตก็ขโมยก็คอร์รัปชั่น หรือไปฆ่าฟันคนอื่นเลยเอามาเป็นของเรา นี่เมื่อไม่ได้อย่างใจเราก็อึดอัดกลัดกลุ้มตัวเองก็นอนไม่หลับ ก็ปวดหัว ถ้าทนไม่ได้มันก็ต้องไปทำลายไปฆ่าคนนั้นคนนี้อีก นั้นมนุษย์ยังไม่เป็นมนุษย์ตรงนี้แหละ คือยังมีจิตใจต่ำ มีความเห็นแก่ตัวมาก แล้วก็ปวดหัว มันเลวกว่าแมวก็นอนไม่หลับก็เลวกว่าแมว เป็นโรคประสาทก็เลวกว่าแมว เป็นโรคจิตก็เลวกว่าแมว ขออภัยถ้าใครยังต้องกินยาปวดหัวอยู่ ก็นึกข้อนี้ให้มาก อาตมาพูดตรงๆ เลยนะ ถ้าใครยังต้องกินยาปวดหัว กินยานอนหลับ กินยาประสาท นี่ก็ขอให้นึกถึงข้อนี้ให้มากว่าเรามันมีอะไรที่สู้แมวก็ไม่ได้ ก็รีบไปหายา ยาทันใจของพระพุทธเจ้า กินแล้วหายทันใจ แล้วไม่ต้องเป็นอย่างนี้ ไอ้ยาทัมใจที่ขายตามตลาดนั้นต้องกินซ้ำๆ ซากๆ มันหายเดี๋ยวเดียวๆ ไม่ใช่โฆษณายาทัมใจนะ จะบอกให้รู้เป็นตัวอย่างว่า ต้องไปหายาของพระพุทธเจ้ากินแล้วก็จะหายปวดหัวตลอดกาล จะนอนหลับตลอดกาล จะไม่เป็นโรคประสาทจะไม่เป็นโรคจิต เพียงเท่านี้ก็จะพอแล้วกระมังที่เห็นว่าธรรมะจำเป็น ธรรมะนี่มันจะแก้ปัญหาของมนุษย์ในส่วนตัวทำให้เราไม่ต้องละอายแมว ในส่วนสังคมเราก็ไม่ต้องเบียดเบียนกัน ฆ่าฟันกันให้ละอายสัตว์เดรัจฉาน เอาละเป็นอันว่าธรรมะนี้จำเป็น
ที่นี้มาๆ สนใจคำว่าธรรมะ เพื่อจะแก้ปัญหาของมนุษย์ๆ จะไม่มีคำไหนดีกว่าคำนี้หรอก ปัญหาของมนุษย์คือปัญหาที่ทำให้มนุษย์ไม่เป็นมนุษย์หรือปัญหาที่ทำให้มนุษย์ไม่มีความสงบสุข เราจะแก้กันอย่างไรปัญหานี้ นั่นก็คือเอาพระธรรมมาเพื่อทำลายความเห็นแก่ตนนี้เท่านั้น เรื่องศาสนาไม่มีเรื่องอื่น มันมีเรื่องทำลายความเห็นแก่ตน ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ อิสลาม ศาสนาทุกศาสนา ถ้าเป็นศาสนาแล้วหลักใหญ่จะมีอยู่ที่ทำลายความเห็นแก่ตน ให้เห็นแก่ความถูกต้องคือพระธรรม ให้เห็นแก่พระเจ้าก็คือเพื่อกระทำ ถ้าเห็นแก่พระเจ้าคนเราก็ทำผิดไม่ได้ พระเจ้าไม่ต้องการ มันก็ทำถูก ถ้าเห็นแก่พระธรรมก็ตรงๆ เลย พระธรรมบัญญัติไว้ชัดเจนแล้วก็ไม่อาจจะเห็นแก่ตนได้ พูดแล้วมันคงจะไม่มีใครเชื่อกี่คนที่ว่าศาสนาทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้นทุกๆศาสนา และแต่ละศาสนามันมุ่งทำลายความเห็นแก่ตน แล้วเราก็ไม่ค่อยสนใจเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เด็กๆ ก็พูดได้ ฉันไม่สนใจคำพูดเหล่านี้ นั้นมันคนโง่ เด็กๆ พูดได้จริงนะแต่ว่าคนแก่ก็ปฏิบัติไม่ได้ เราจะมองดูข้อนี้ ทำลายความเห็นแก่ตนนั้นมันยากหรือง่าย เอาไปคิดเถอะ ช่วยเอาไปคิดดเถอะว่ามันง่ายหรือยากในการทำลายความเห็นแก่ตน ดูมันจะยากกว่าสิ่งใดๆ ในโลกที่เราถือว่าเป็นเรื่องทำยาก ไปโลกพระจันทร์ไปโลกพระอังคารก็เป็นเรื่องขี้ผงไปเลยแหละ ถ้าเอามาเปรียบกับเรื่องทำลายความเห็นแก่ตนนี้ การทำลายความเห็นแก่ตนมันยาก มันละเอียดเพราะว่าผู้เห็นแก่ตนมันก็ไม่รู้จักตน แล้วเดี๋ยวนี้มันก็ยังไม่มองเห็นโทษอันร้ายกาจของความเห็นแก่ตน กลับไปเอามาเป็นของดี เรียกว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว แล้วเราก็ส่งเสริมความเห็นแก่ตน สติปัญญาของมนุษย์สมัยนี้ดูจะใช้เพื่อส่งเสริมความเห็นแก่ตนไปเสียทั้งนั้นเลย ส่งเสริมการกินดีอยู่ดี การมีอำนาจวาสนาการครองโลกไปเลย ไอ้ที่มันมีอยู่เป็นประจำก็คือความก้าวหน้าทางวัตถุ บูชาความก้าวหน้าทางวัตถุ เอาธรรมะไปโยนทิ้งทะเล เอาพระเจ้าไปโยนทิ้งทะเล เอาศาสนาไปโยนทิ้งทะเล มันบูชากันอยู่แต่ความก้าวหน้าทางวัตถุ คุณอ่านหนังสือพิมพ์ดูข่าวๆที่เหลวไหลที่สุดที่วางนี้ก็มีอยู่ เรื่องทัวร์ทะเล ทัวร์ในแม่น้ำเปลือย ที่เลวที่สุดของไอ้มนุษย์ที่จะคิดขึ้นมาได้ หนังสือพิมพ์เมื่อวานมี นี่ทำไมจึงไปบูชาอย่างนั้นขึ้นมาได้เพราะความไม่ ไม่มี ไม่เอาละไปเถอะ เพราะว่ามันมีความลุ่มหลงเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ไปบูชาความก้าวหน้าทางวัตถุ คือความเอร็ดอร่อยสนุกสนานเพลิดเพลินไม่มีขอบเขต ไปหลงกันแล้วมันก็ไม่ได้ๆ มันก็ปวดหัว มันก็นอนไม่หลับที่จะปวดนอนไม่หลับยิ่งขึ้นสำหรับคนปัจจุบันนี้ก็คือเรื่องไม่ได้ตามที่ตัวต้องการในความเจริญงอกงามก้าวหน้าทางวัตถุ เมื่อคนมันไม่ควรจะมีตู้เย็น ไม่ควรจะมีโทรทัศน์สี มันก็ไปกู้เงินมาซื้อจนได้มันก็ปวดหัวนอนไม่หลับ มันก็เลวกว่าหมาซึ่งมันไม่ปวดหัวเลย นี่จะขอให้ดูให้ดีเถอะว่าไอ้เรามันทำผิดกี่มากน้อย ไอ้เรื่องเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ถ้ายังไงๆก็ เอาข้างที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ไว้ก่อนเถอะมุ่งผลคือว่าไม่เป็นทุกข์ ตรงกันข้ามกับเดี๋ยวนี้โลกมีวิกฤตกาลคือเต็มไปด้วยความทุกข์ ถ้าถือหลักพุทธศาสนาแล้วมันก็มีคำพูดง่ายๆว่า เอาข้างดับทุกข์ เอาข้างไม่มีทุกข์ไว้ก่อนอย่างอื่นไม่สำคัญ จะมั่งมียากจนอะไรไม่สำคัญเอาข้างที่จะไม่เป็นทุกข์ไว้ก่อนคือปรับปรุงจิตใจในภายในให้มันถูกต้องแล้วมันก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้าไม่ถูกต้องมันก็เป็นทุกข์ เศรษฐีมีเงินล้านฆ่าตัวตายได้ มันมีมากกว่านั้นมันก็ยังนอนไม่หลับปวดหัวได้ เพราะฉะนั้นความมั่งมีมันดับทุกข์ยังไม่ได้ ถ้าว่าตั้งใจไว้ไม่ถูกต้องความมั่งมีก็ดับทุกข์ไม่ได้ ถ้าตั้งใจไม่ถูกต้องและอำนาจวาสนาล้นฟ้าแล้วดับทุกข์ไม่ได้ สมมุติว่าจะเป็นผู้ครองโลกอยู่ในกำมือของตัวคนเดียว มันก็ยังมีความทุกข์นั่นแหละ เพราะมันตั้งใจไว้ผิด นั้นความดับทุกข์มันอยู่ที่ตั้งใจไว้ถูกคือธรรมะ พระบาลีพระพุทธเจ้าตรัสมีว่า ไอ้จิตที่ตั้งไว้ผิด มันทำลายคนนั้นอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบได้ ให้โจรให้ศัตรูให้คนเกลียดรุมๆๆกันมาทำอันตรายเรา มันก็ไม่มากเท่าจิตเราเองตั้งไว้ผิดมันทำอันตรายเรา ที่นี้ในทางที่ตรงกันข้าม จิตที่ตั้งไว้ถูกมันทำผลดีให้แก่เรา มากกว่าที่ว่าญาติมิตรสหายผู้รักใคร่ผู้หวังดีทุกคนมารวมกันทำให้เราก็ยังไม่เท่าที่ว่าจิตของเราที่ตั้งไว้ถูกมันทำให้แก่เรา เดี๋ยวนี้เราไม่เห็นอย่างนั้น เราไปกลัวโจรกลัวขโมย กลัวศัตรูคู่อาฆาตแล้วก็ไม่กลัวกิเลสของเราเอง นั้นเราก็ไปหวังที่จะให้ผู้อื่นช่วยโดยไม่หวังที่ตัวเองจะช่วยตัวเองมันเป็นเรื่องผิดหมด นั้นเราก็แก้ไม่ได้เราก็ต้องปวดหัวละ
สรุปความสั้นๆ ก็คือว่าเราไม่กลัวกิเลสซึ่งเป็นต้นเหตุของความชั่วร้ายทั้งหลาย อาตมาพยายามมาถึง ๕๐ ปี นะที่จะสอนธรรมะเผยแผ่ธรรมะ มาประสบปัญหาอยู่เดี๋ยวนี้ข้อเดียวเท่านั้น ที่ว่าท่านทั้งหลายไม่กลัวกิเลส คำสอนก็เป็นหมัน มันสอนให้ละกิเลส แต่คนมันไม่กลัวกิเลส เอากิเลสเป็นเพื่อนเสียอีกแล้วก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร สอนให้ละ โลภะ โทสะ โมหะ ไม่สำเร็จจนบัดนี้ พระองค์อื่นๆ ก็เหมือนกันประสบปัญหาเดียวกัน คนไม่กลัวกิเลสหรือเรียกเสียว่ามันไม่กลัวความทุกข์ มันเอาความทุกข์เป็นของเอร็ดอร่อย เห็นกงจักรเป็นดอกบัว จนนอนไม่หลับจนปวดหัวเป็นโรคจิตเป็นโรคประสาท มันก็ไม่เห็นโทษของกิเลสไปดูให้ดีนั่นนะมันเป็นโทษของกิเลส เราเป็นทุกข์เพราะไม่มีกิเลสมันก็ไม่มีทุกข์ จนเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้จะทำอย่างไรจะให้ทุกคนกลัวกิเลส ที่จริงมันก็มีอยู่ในหนังสือสอนเด็ก ให้มีหิริโอตัปปะ ให้ละอายความชั่วให้กลัวความชั่วคือ กิเลส ให้ละอายกิเลส แล้วก็ไม่สำเร็จ ไอ้เด็กๆ ทั้งหลายก็ไม่รู้จักกลัวความชั่วไม่รู้จักกลัวกิเลส การศึกษาอย่างอื่นเป็นหมันหมด เพราะมันเรียนจบมันมีสติปัญญามากมันไม่กลัวกิเลสว่าเป็นอันตราย มันใช้กิเลสทำลายผู้อื่นกระทั่งทำลายตัวเอง นี่ช่วยกันคิดหน่อยครูบาอาจารย์ทั้งหลายว่าทำอย่างไร ลูกเด็กๆ ของเราจะกลัวกิเลสยิ่งกว่ากลัวผี กลัวเสือ กลัวอะไรที่มันกลัวๆกัน มันไม่มีอะไรที่น่ากลัวเท่ากับกิเลส ซึ่งมันฆ่าเจ้าของอย่างเลือดเย็นอยู่ทุกวันๆ นี่ไปศึกษาเรื่องโลภะ โทสะ โมหะ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ป้องกันอย่างไร เกิดขึ้นแล้วจะกำจัดอย่างไรนั่นแหละจะเป็นการศึกษาที่ดีที่สุด มันก็ไปรวมอยู่ที่คำพูดกำปั้นทุบดินว่า ทำลายความเห็นแก่ตนนั่นแหละ แต่ว่ารายละเอียดมันมีอยู่มากแต่ว่าศึกษาว่าไม่เห็นแก่ตนคือทำอย่างไร ความเห็นแก่ตนเกิดขึ้นมาด้วยอาการอย่างไร แล้วจะมีสติป้องกันกระแสแห่งการเกิดของความเห็นแก่ตนนั้นได้อย่างไร นี่คือศาสนา ซึ่งไม่มีในระบบการศึกษาหมาหางด้วน เรียนแผนหนังสือก็เก่งๆทางหนังสือ จนเป็นยอดอักษรศาสตร์ ยอดกวีไปก็ได้ แต่มันก็ไม่ทำลายความเห็นแก่ตน แล้วมันก็เรียนอาชีพ มีอาชีพดี อาชีพรวยเร็ว อาชีพเบาสบาย มันก็ไม่ทำลายความเห็นแก่ตน ยังคดโกง ที่นี้ผู้มีอำนาจเขาเห็นเป็นปัญหาเศรษฐกิจ เขาไม่เห็นนี้เป็นปัญหาทางศีลธรรม คือขาดศีลธรรม เขาไปเห็นเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจต้องแก้ไขทางเศรษฐกิจ คนเหล่านี้จึงจะไม่โกง ฟังๆดู ครูทุกคนจงฟังดู การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้แล้วคนเหล่านี้จะไม่โกง อาตมาว่ามันบ้าที่สุด เมื่อวานนี้ยังได้ยินคำของไอ้คนมีอำนาจในราชการคนหนึ่งว่าต้องแก้ทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้น คนจึงจะไม่โกงคนจึงจะไม่เบียดเบียนกัน คนจึงจะไม่ทำชั่วนั่นแหละ แก้แต่ปัญหาทางเศรษฐกิจแล้วไม่รู้ว่าเศรษฐกิจยิ่งดีมันยิ่งเห็นแก่ตัวนะ ขอให้ฟังให้ดีหน่อยว่าเศรษฐกิจยิ่งดีคุณจะยิ่งเห็นแก่ตัวนะ ถ้าธรรมะไม่เข้ามาเศรษฐกิจนั่นแหละจะส่งเสริมให้คนเราเห็นแก่ตัวจัดยิ่งไปกว่าเดิม แล้วจะเป็นยังไง เห็นแก่ตัวยิ่งกันไปกว่าเดิม ถ้ามีศีลธรรมเข้าควบคุมไอ้เรื่องของเศรษฐกิจ คนก็จะอยู่ในทำนองครองธรรมไม่ล่วงละเมิดผู้อื่น อาตมาก็ได้ยินว่าไอ้ที่เขาพิจารณาปัญหาแม่ค้าวางหาบเร่เต็มทางเท้าเกะกะไปหมด เขาว่าปัญหาทางเศรษฐกิจไอ้เราก็สะดุ้งไอ้เรามองดูว่าเป็นปัญหาทางศีลธรรมอยู่เรื่อย ไอ้แม่ค้าคนนั้นมันไม่มีศีลธรรม มันวางหาบของมันกีดทางเท้า แต่ตำรวจนายของตำรวจกระทั่งถึงชั้นสูงของเขามันเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ ต้องช่วยแก้เศรษฐกิจให้แม่ค้าคนนั้นมันจะได้ไม่วางหาบให้เกะกะทางเท้า ดูๆไปกันไม่ได้เสียแล้ว ไอ้เราจะยึดถือศีลธรรมไอ้เขาจะยึดถือเศรษฐกิจ นี่ท่านทั้งหลายช่วยเป็นผู้พิพากษาอยู่ตรงกลาง ไปพิจารณาดูทีมันเป็นปัญหาอะไร ที่มนุษย์เบียดเบียนกันอยู่นี้ปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาศีลธรรม อันธพาลเต็มไปทั้งกรุงเทพฯนี่ มันเป็นปัญหาเศรษฐกิจหรือเป็นปัญหาศีลธรรม อันธพาลเหล่านั้นก็พอมีกินมีใช้แต่มันก็ยังทำ ฉกชิ่งวิ่งราว แล้วมันฉกชิงวิ่งราวเพื่อไปอาบ อบ นวด ไปคิดดูดีๆ มันไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ มันปล้นมันจี้มันอะไรเพื่อจะไปใช้จ่ายในการเข้าบาร์ ไนท์คลับ อาบ อบ นวด อะไรต่างๆ นี่ปัญหาเศรษฐกิจอะไรอย่างนี้หรือ มันเป็นปัญหาศีลธรรม มันขาดศีลธรรม คือความไม่เห็นแก่ตัว เมื่อก่อนโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย เขาสอนธรรมะ สอนศาสนากันเป็นหลัก อ้างพยานหลักฐานได้โดยที่ว่า ไปซื้อหนังสือแบบเรียนสอนเด็กที่เขาใช้อยู่ในประเทศอังกฤษสำหรับอ่านออกมาดู เมื่อ ๖๐ ปี ขอให้ใช้เวลา ๕๐-๖๐ ปี ไปซื้อหนังสือ Reader พวกนั้นมาอ่านมาดูพิจารณาดู จะเห็นทุกบทมันมีเน้นเรื่องศีลธรรมไปจบลงด้วยเรื่องพระเจ้ารักพระเจ้ากลัวพระเจ้าทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ไม่มีไปซื้อหนังสือ Reader เช่นเดียวกันมาเปิดดูมันจะไม่มี บทที่ ๑ อาจจะเรื่องปรมาณู ก็ได้ สอนลูกเด็กๆ เรื่องดวงกลมๆ แดงๆ ขาวๆ เขียวๆ อะไรหลักเกณฑ์ของปรมาณู นี่เรื่องบทที่ ๑ ถ้าครั้งกระนู้นแล้วไปดู Royal reader นั่นเลย บทที่ ๑ เริ่มมีทุกบท หนังสือชุดนี้มี ๖ เล่ม อาตมาเคยมี มันจะจบลงด้วยความรักความกลัวพระเจ้าทั้งนั้นเลย ในมหาวิทยาลัย Oxford, Cambridge นี่ ที่ นมส.ไปเรียนกลับมาแล้วมาเล่าให้ฟัง มันเต็มไปด้วยวิธีที่ให้คนมีศาสนามีธรรมะ เรียนจบคือความเป็นสุภาพบุรุษ ปริญญานั่นปริญญานี่ไม่มีความหมาย มันมีความหมายอยู่ที่ความเป็นสุภาพบุรุษ นมส. เขามาแสดงที่สามัคยาจารย์ อาตมายังเป็นพระอยู่ยังอุตส่าห์ไปฟังทั้งเป็นพระนะไม่ละอายเลยไปฟังมันก็ได้เรื่อง เอ้อ,นี่มันอย่างไรวะ มันเรียนเพียงเพื่อเป็นสุภาพบุรุษ ไปอย่างนี้ไม่ต้องไปถึงเมืองนอกหรอกไปเรียนของพระพุทธเจ้าก็ได้ จะเป็นสุภาพบุรุษที่ดีกว่าเสียอีก นั้นที่เขาพูดว่ากีฬายกย่องนักกีฬาเขาก็มุ่งหมายความเป็นสุภาพบุรุษ ถ้าเป็นนักกีฬาจริงเป็นสุภาพบุรุษจริง แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นนักกีฬาโกง มันโกงในสนามกีฬา โกงทุกกระเบียดนิ้วในหมู่นักกีฬายังชกต่อยทำอันตรายกันอีกดูนักกีฬาสิ มันไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ นั้นการศึกษาที่มุ่งศีลธรรมมุ่งที่เรียกว่าความเป็นสุภาพบุรุษก็คือมีศีลธรรมใช้ได้ เดี๋ยวนี้มันตัดออกไป อาตมาจึงเรียกว่าการศึกษาหมาหางด้วนตัวโตๆ คือพวกฝรั่งที่มันมีอำนาจมีอะไรมันนำก่อน มันตัดศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา แล้วมาหลอกให้ไอ้ตัวเล็กๆอย่างประเทศไทยนี่ตัดตาม เรื่องหมาหางด้วนนี่นิทานอีสป หรือสุภาษิตนี่ มีรูปภาพด้วยอาตมาจำได้ติดตาว่าเด็กๆ เคยอ่านหมาหางด้วน หมาตัวหนึ่งไปติดกับของชาวบ้านหางขาด มันเที่ยวบอกหมาทั้งหลายว่าหางด้วนสบายกว่า หางด้วนดีกว่า พวกเรามาตัดหางกัน ไอ้หมาโง่ๆ ก็ตัดหางกันใหญ่ หมาแก่ตัวหนึ่งบอกกูไม่เอา กูไม่เชื่อมึง ไม่ยอมตัด นี้หมาตัวแรกก็คือพวกฝรั่งที่เอาศาสนาออกไปจากการศึกษาแยกศาสนาออกจากชาวบ้าน เดี๋ยวนี้มีคนบอกกันมาว่าในรัฐบางรัฐของประเทศบางประเทศ อย่าออกชื่อเดี๋ยวจะไม่ดี มีกฎหมายห้าม ถ้าใครเอาศาสนาหรือศีลธรรมมาสอนในห้องเรียนถือว่าครูคนนั้นผิดกฎหมายๆ ต้องรับโทษตามกฎหมายนะคิดดู ถ้าเอาศาสนาหรือธรรมะมาสอนในโรงเรียนถือว่าคนนั้นทำผิดกฎหมาย แล้วมันจะไปถึงไหนกัน ขออย่าให้ไอ้โรคนี้มาถึงเมืองไทย ไม่ไหว เดี๋ยวนี้เรากำลังอยากจะมีศาสนามีธรรมะในโรงเรียนไม่ผิดกฎหมายยิ่งดีเสียอีก นี่คือปัญหาจะต้องให้ลูกเด็กๆ ของเราเรียนหนังสือ แล้วก็เรียนอาชีพ แล้วก็เรียนธรรมะนี่ว่าเราจะเป็นคนกันอย่างไร เราจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร การศึกษาที่ ๓ นี่ถ้าตัดออกไปแล้วการศึกษานั้นจะมีลักษณะเหมือนกับหมาหางด้วน ไม่น่าดูเดินตรงก็ไม่ได้ แม้ว่าพระเจดีย์ยอดด้วนมันก็ยังไม่น่าดู อย่าว่าแต่หมาเลย ถ้าพระเจดีย์มันยอดมันด้วนมันก็ไม่น่าดูเหมือนกัน ไปดูมีอยู่หลายแห่ง ไอ้เจดีย์มันพังยอดด้วน นั้นอะไรที่ส่วนสำคัญด้วนไม่ได้ หางมันมีลักษณะสำคัญที่ว่าให้มันถูกต้องให้มันตรงทาง เหมือนกับหางเสือหางเรือหางนก นี่สำคัญที่สุด พอจับนกมาถอนขนหางออกหมดปล่อยให้บินเป็นวงกลมเลยไปไม่ได้ นี่หางมันสำคัญอย่างนั้นสำหรับไปข้างไปซ้ายไปขวาลงขึ้นมันด้วยหางทั้งนั้น พอขาดหางแล้วมันก็ไปไม่ได้ เรามีธรรมะในระบบการศึกษาเพื่อให้ลูกเด็กๆของเรารู้ทิศทางของชีวิต ให้คนสูงขึ้นมาเป็นมนุษย์เพียงแต่เกิดมามันก็เป็นคน ต่อมีธรรมะจึงจะเป็นมนุษย์ ถ้ายังเป็นคนอยู่แล้วก็ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน มีหลักว่า รู้กิน รู้นอน รู้วิ่งหนี รู้ขี้ขลาด รู้ประกอบกรรม ประกอบกิจกรรมระหว่างเพศ นี้ไม่ดีไปกว่าสัตว์เดรัจฉาน เป็นเพียงคน ต่อเมื่อมีธรรมะสูง ควบคุมสิ่งเหล่านั้นได้ดำรงอยู่ในความถูกต้อง นี่ก็เป็นมนุษย์ แปลว่ามีจิตใจสูง นี่จึงจะดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน ถ้ายังเป็นคนอยู่จะต้องละอายแมว อย่างที่แมวไม่ปวดหัวไม่เป็นโรคนอนไม่หลับ ไม่เป็นโรคประสาทไม่เป็นโรคจิต คนที่ยังไม่เป็นมนุษย์นี่ยังต้องละอายแมว ขอให้สนใจเอาธรรมะมาใส่ลงไปในระบบการศึกษา คือทำลายความเห็นแก่ตนหรือควบคุมสัณชาตญาณที่เป็นความเห็นแก่ตนให้มันเดินถูกทาง ความเห็นแก่ตนนั้น ถ้าประกอบด้วยธรรมะมันก็มีประโยชน์ คือมันอยากให้ตนดี ให้ตนถูก ให้ตนดับทุกข์ แต่ถ้าไม่มีธรรมะแล้วมันก็กิเลสทั้งนั้นแหละเห็นแก่ตัวทำตามกิเลสทั้งนั้น มันท่าจะมีตนมีสัญชาตญาณแห่งความมีตัวตน ก็ต้องควบคุมให้ได้หรือสร้างญาณที่ถูกต้องขึ้นมาควบคุมไอ้ญาณสัญชาตญาณนี้ อาตมาเรียกญาณหรือความรู้ที่ถูกต้องนี้ สำหรับมาควบคุมสัญชาตญาณนี้เรียกเอาเองว่า ภาวิตญาณ ไม่มีในปทานุกรมไม่มีในไหนทั้งนั้น เพราะคำที่ตั้งเอาเองตามโดยชอบใจ แต่พูดไปหลายๆ คำมีคนได้ยิน ภาวิตะ แปลว่า อบรมแล้วทำให้เจริญแล้ว ภาวะๆ นี่แปลว่าทำให้เจริญ ภาวิตะ แปลว่าถูกกระทำให้เจริญแล้ว ตรงกับคำอังกฤษ ว่า develop develop แล้ว นั่นแหละคือภาวิตะ ญาณของเราต้องภาวิตะแล้วเขาก็เรียกว่า ภาวิตญาณ มันก็มาควบคุมไอ้สัญชาติญาณที่เป็นไปตามธรรมชาติซึ่งเห็นแก่ตัว นี้ภาวิตญาณดึงมาเห็นแก่ธรรมะมันก็ถูกมันก็ปลอดภัย นั้นการศึกษาที่ถูกต้องนี้จะให้เกิด ภาวิตญาณ เรียนหนังสือเพื่อเป็นเครื่องมือได้เบื้องต้นโบราณเขาเรียกว่า ศิลปศาสตร์ เรียนหนังสือ เรียนเลข เรียนวาดเขียน เรียนอะไรต่างๆ ทั้งหมดนี้มันเป็นศาสตร์เบื้องต้นสำหรับจะไปประกอบความเป็นมนุษย์ที่สูงขึ้นไป นี่เราเรียกว่าวิชาหนังสือ เรียนไปๆ กี่แขนงก็เรียนไป เรียนเลข เรียนวาดเขียน กระทั่งเรียนภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ มันก็เป็นเรื่องหนังสือทำให้คนฉลาด สุดแล้วก็มาเรียนอาชีพ ให้ได้ผลิตที่มีผลิตแรงงานของเราให้มีประโยชน์ มีค่ามีค่าทางวัตถุมากกินอยู่สบาย อ้าว,ทีนี้มันเห็นแก่ตน ส่งเสริมการเห็นแก่ตนเสียอีก ต้องเอาธรรมะมาควบคุมไว้อย่าให้เห็นแก่ตนด้วยการที่มันผลิตเก่งฉลาดผลิตเก่งให้มันตั้งอยู่ในธรรม นี่ธรรมะมันมีหลักที่ว่าควบคุมความเห็นแก่ตน กระทั่งทำลายความเห็นแก่ตนได้หมดสิ้นเป็นพระอรหันต์ อย่าลืมคำที่บอกเมื่อตะกี้นะ อหังการะ มมังการะ มานานุสัย อหังการะว่าตัวกู มมังการะ ว่า ของกู มานะ แปลว่า ถือตัว อนุสัย แปลว่า ความเคยชินแห่งกิเลส ความเคยชินแห่งกิเลสที่จะถือขึ้นมาว่ากูว่าของกู ถ้าเด็กๆ ของเราได้รับการอบรมสั่งสอนมาถูกต้องตั้งแต่อ้อนแต่ออกก็จะดีมาก แต่มันไม่มีขนมธรรมเนียมประเพณี อย่างที่ว่าใครจะสอนเด็กๆ ว่าไม่ใช่ของกู ไม่ใช่แม่ของแก ไม่ใช่พ่อของแก ไม่ใช่บ้านของแก มันไม่มีขนมธรรมเนียมประเพณีมันมีแต่อะไรก็ของแก ตุ๊กตาก็ของแก ขนมก็ของแก พ่อของแก แม่ของแกบ้านของแก อะไรก็ของแกไปหมด เด็กมันก็อัดมากขึ้นๆ ด้วย อหังการะ มมังการะ มานานุสัย แล้วมันยากที่จะถอน มันจึงยากที่เราจะเกลียดกิเลส มันจึงยากที่เราจะเป็นพระอรหันต์ แต่ความดับทุกข์มันอยู่ที่นั้นมันอยู่ทางนั้น ทางอื่นมันไม่มี นี้เอาไปพิจารณา ปัญหาของมนุษย์นี้หนักยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะเราพอคลอดมาก็ถูกเพิ่มๆๆ ด้วยสิ่งนี้ ด้วยกิเลส ด้วย อหังการะ มมังการะ มานานุสัย จนโตจนหนุ่มสาวจนคนแก่ แล้วจะให้มาเลิกๆ เพื่อเป็นพระอรหันต์นี่มันลำบากเท่าไหร่ มันไปเลิกสิ่งที่เพิ่มๆๆๆๆๆตั้งแต่แรกคลอดมาจนบัดนี้ จะไห้เลิกๆ นี่ยากเท่าไหร่ นั้นถึงว่าการเป็นพระอรหันต์มันยากเท่าไร มันคำนวณได้อย่างนี้ แต่มันไม่เป็นหมันหรอก
คำสอนของพระพุทธเจ้าท่านมี มีวิธีมีอุบายที่จะแก้ไขไอ้สิ่งที่มันยากนี้ได้ ไอ้เรื่องมีระบบของท่านเรียกว่า อัฏฐังคิกมรรคประเสริฐที่สุดไปรู้จริงในเรื่องของธรรมชาติ เป็นสัมมาทิฐิ แล้วปรารถนาที่จะแก้ไขอย่างถูกต้องแล้วก็ทำไปๆๆครบ อริยมรรคมีองค์ ๘ แล้วมันก็แก้ไขได้ นั่นคือตัวศาสนา คือตัวพรหมจรรย์ เราเอามาให้เป็นการศึกษาเรียกว่าอะไรจริยศึกษาหรืออะไรก็ตาม ให้มันมีเถอะ ให้มันมีการศึกษาที่ ๓ สำหรับแก้ไข ไอ้เหตุร้ายมี่มีอยู่ใน สิ่งร้ายที่มันอยู่ในสันดานคือความเห็นแก่ตน
อยากจะบอกนิดว่าความยุ่งยากลำบากก็ขึ้นอยู่กับคำพูดคือภาษาที่ใช้ ไอ้การบัญญัติภาษานี้ไม่ได้บัญญัติโดยที่ประชุมใหญ่ของผู้รู้รวมกัน มักจะบัญญัติแต่โดยบางคนคนใดคนหนึ่งแล้วมันขาดนั้นเกินนี่ มันยุ่งไปหมด เช่น คำว่า จริยศึกษานี่ เมื่อเอาไปเป็นคู่กับคำแปลว่าของคำว่า Ethic Ethic Ethic จริยศึกษาก็เป็นเพียงปรัชญาของศีลธรรม ไม่สำเร็จประโยชน์เพราะเป็นเพียงปรัชญา เป็นข้ออ้างโดยเหตุผล คำนวณโดยเหตุผล นี่อีกคำหนึ่ง คำว่า Morality นั่นแหละตัวที่จะสำเร็จประโยชน์ ที่เราเรียกว่ากันว่าศีลธรรม หรือมันนิยมแปลกันว่า ศีลธรรม นั้นสนใจศีลธรรมให้มาก ไอ้ถ้าสนใจจริยศึกษา จะกลายเป็นปรัชญาเพ้อเจ้อก็ได้ ปรัชญาทางศีลธรรมที่เพ้อเจ้อ คือมันไม่ไปในรูปของการปฏิบัติ มันไปในรูปเรียนศึกษาเหตุผลของศีลธรรม แล้วมันไม่ได้ปฏิบัติ จริยศึกษาระวังให้ดี แต่เราจะใช้คำนี้แล้วให้หมายถึงศีลธรรม มันก็ตีกันยุ่งแน่ในระหว่างภาษาที่ผู้ยึดถือตามตัวหนังสือ เพื่อความปลอดภัยขอให้ยึดถือคำว่า Morality แล้วก็แปลเป็นไทยว่า ศีลธรรม ถ้ายึดถือคำว่าจริยศึกษามันก็จะไปตรงกับคำว่า Ethic ซึ่งเป็นปรัชญา นั้น Morality มันเป็นตัวการปฏิบัติ ตัวการกระทำไม่ใช่ปรัชญา แต่ถ้าเอาไปพูดในทางปรัชญา มันก็กลายเป็น Ethic หรือ จริยศึกษา นั้นเรามันเป็นเรื่องศึกษาจริงๆ ไม่มีการปฏิบัติเลยไม่สำเร็จประโยชน์ เด็กๆ อาจจะรู้เรื่องศีลธรรม ๆ มาก แต่ไม่มีการปฏิบัติ นี่คือไม่มีศีลธรรมแต่มีจริยศึกษา มีการศึกษามากในเรื่องศีลธรรม นั้นคำคู่ของมันคือคำว่า ไอ้ศีลธรรมนี่ต้องการ ไอ้ปรัชญาของศีลธรรมนั้นเอามาใช้เท่าที่จำเป็นเถอะอย่าให้มันเฟ้อ เดี๋ยวนี้มันจะเฟ้อ ต้องถามว่าทำไมต้องอย่างนั้นๆ ทำไม่ต้องอย่างนี้เรื่อยไป ถ้าศีลธรรมมันไม่ถามว่าทำไม มันจะถามว่าทำอย่างไรที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ฉันจะต้องทำอย่างไร นี่แหละคือศีลธรรม ถ้าไปมัวถามว่า ทำไมต้องทำอย่างนั้น มันเป็นปรัชญา แล้วมันจะเพ้อเจ้อในที่สุด นั้นขอให้ครูบาอาจารย์เอาศีลธรรมกลับมาสู่วงการศึกษา ให้สมกับที่ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมีกระทรวงธรรมการ บางคนอาจจะไม่เคยได้ยิน คำว่ากระทรวงธรรมการ ถ้าเป็นครูหนุ่มๆ เกินไปจะไม่ได้ยินคำว่ากระทรวงธรรมการ เมื่ออาตมาเกิดมีกระทรวงธรรมการ ไม่มีกระทรวงศึกษาธิการ เพราะนั้นมันจึงมีเรื่องของธรรมะมาก แล้วก็จะจัดโดยพระเป็นใหญ่เสียด้วย เพิ่งมาเปลี่ยนเป็นกระทรวงศึกษาธิการเมื่อเรามาเน้นหนักเรื่องการศึกษาให้ทันฝรั่ง การศึกษาก่อนอยู่ที่วัด พระท่านสอนด้วยไม้เรียว อาจารย์สอนด้วยไม้เรียว ไม่ค่อยบอกกี่คำหรอกให้รู้เอาเองโดยมากทำผิดก็ตีเลยไม่ต้องบอก กลับเร็วกว่า ศักดิ์สิทธิ์กว่า จริงกว่าเสียอีก เด็กสนใจที่รู้เอง คอยสอบถามเองว่า ทำอย่างไรจะไม่ถูกตี นี่เด็กขวนขวายกันเองไม่ต้องบังคับ เอาเรื่องไม่ถูกตีเป็นความถูกต้อง นั้นเด็กๆ ที่เคยอยู่วัดจึงมีการบังคับตัวเองมากกว่าเด็กๆสมัยนี้ซึ่งอยู่แต่โรงเรียน ไม่บังคับตัวเอง ต่อมาจัดระบบการศึกษาใหม่ตามแบบฝรั่งแบบใหม่ สมัยนั้นกรมพระยาดำรงฯ จะเป็นผู้จัด แล้วก็สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่เป็นพระ เป็นหัวหน้าพระสมัยนั้น เป็นผู้ออกความคิดความเห็น กระทั่งในหลวงรัชการที่ ๕ มอบให้องค์นี้ให้จัดทั่วประเทศ ทั้งที่เป็นพระแล้วก็สมเด็จกรมพระยาฯ ทั้งที่เป็นพระก็จัดการศึกษาทั่วประเทศ ระบบใหม่ระบบอย่างปัจจุบัน ไม่ใช่เล่นอย่างกระดานไม้มูลบทบรรพกิจอย่างก่อนโน้น ในจดหมายพระราชหัตเลขาฉบับหนึ่ง ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงมีไปถึงกรมพระยา วชิรญาณฯ เรื่องจัดการศึกษานี้ พูดกันมากเรื่องเทคนิคของการจัด จะมีตอนท้ายท่านหยอดว่า การจัดการศึกษาระบบใหม่นี้ก็ดีอยู่ มันฉลาด แต่ว่าต่อไปนี้มันจะโกงกันอย่างวิตถาร ประโยคนี้อาตมาอุตส่าห์จำไว้ ต่อไปนี้มันจะโกงกันอย่างวิตถาร เมื่อเราจัดการศึกษาระบบใหม่นี้แล้ว นี่แสดงว่าท่านเหล่านั้นมีปัญญา ท่านรู้นะว่าการศึกษาชนิดนี้มันทำให้ฉลาดแต่ควบคุมไม่ได้ มันจะโกงกันอย่างวิตถาร ที่แล้วมามันโกงกันอย่างไม่วิตถารไม่น่ากลัว พอเราเรียนกันแบบใหม่นี้แล้วมันจะโกงกันอย่างวิตถาร แล้วคุณก็ดูซิว่ามันจริงหรือไม่จริง เดี๋ยวนี้คนมันฉลาดมันก็โกงกันอย่างวิตถารจริงเหมือนกัน หลังจากระบบเปลี่ยนการปกครองมาแล้ว มันก็โกงกันอย่างวิตถารยิ่งขึ้น เพราะมันไปรับเอาอะไรๆ ของฝรั่งมามากเกินไป ความโกงกันอย่างวิตถารมันก็เพิ่มขึ้น เราจะพูดเรื่องศีลธรรมสักนิดนึงว่า อบรมเด็กๆ ลูกเด็กๆ ให้มันมีศีลธรรม นั้นข้อที่ ๑ ของศาสนาที่ต้องดึงเอามา ก็คือให้มันรักผู้อื่นแหละ เพราะรักผู้อื่นมันตรงกันข้ามกับเห็นแก่ตัว ทุกศาสนาสอนเรื่องรักผู้อื่น อบรมเด็กให้รักผู้อื่นเห็นแก่ผู้อื่นด้วยการกระทำให้มันช่วยเหลือกัน ให้มันแบ่งปันกัน ให้มันคุ้มครองกัน อะไรกันมันเป็นการกระทำที่ว่ามันรักผู้อื่น คนหนึ่งมีบาทหนึ่ง อีกคนหนึ่งไม่มีเลย นี้ให้คนหนึ่งสักห้าสตางค์ก็ได้ เอาอันนี้เป็นบทเรียนไม่ใช่จดไว้ในสมุดว่า รักผู้อื่น พลีชีพเพื่อผู้อื่น มันเป็นเรื่องตัวหนังสือไปหมด ให้ทำเลย เช่น มาวันนี้กวาดโรงเรียน นี่ก็เพื่อผู้อื่นได้รับประโยชน์ มีอะไรก็แบ่งปันกันกิน แล้วก็ไม่มีละเรื่องจะด่าผู้อื่นชกต่อยทะเลาะวิวาทกันอย่างในสนามกีฬานั้นมีไม่ได้ เพื่อมันจะรักผู้อื่น ไปคิดเอาเองเถอะทำอย่างไรเด็กรักผู้อื่นได้ ข้อที่ ๒ ให้มันบังคับตัว เด็กสมัยนี้ไม่มีการสอนให้บังคับตัวระบบของฝรั่ง เขาไม่ให้บังคับตัว เขาถือว่ามันเสียอิสระในการที่จะสบาย นี่ศาสนาต้องการให้บังคับตัวคือบังคับจิต คือบังคับกิเลส บังคับตัวเองคือบังคับจิตๆคือบังคับกิเลส ถ้าเรามีการบังคับกิเลส มันก็ไม่ลุอำนาจแก่กิเลส นั้นมันจึงไม่โกรธเร็ว รักเร็ว อะไรเร็ว สะเพร่าไปหมด แล้วก็ทำผิดหมด นั้นขอให้เขามีการบังคับตัวบังคับจิต บังคับกิเลส นี่หัวใจของพุทธศาสนา ก็เพื่อจะทำลายความเห็นแก่ตัว จะทำลาย อหังการะ มมังการะ มานานุสัย ด้วยการบังคับกิเลส จัดการกับกิเลสให้แหลกลานไปเลย อบรมเด็กให้บังคับความรู้สึก เดี๋ยวนี้มันไม่บังคับความรู้สึกนี่ อย่างที่พูดว่า แจ็คมาก็แจ็คไปไม่มีการบังคับความรู้สึก มันจึงเกิดการตีรันฟันแทงชกต่อยขโมย ล่วงละเมิดทางกามารมณ์อะไร เพราะมันไม่บังคับความรู้สึก ไปหาบทเรียนเอาเองให้เด็กๆ บังคับความรู้สึก แล้วข้อที่ ๓ ให้มันสนุกเป็นสุขเมื่อทำหน้าที่ ไม่เฉพาะเด็กๆนะผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน ให้เป็นสุขเมื่อทำหน้าที่ คำว่าหน้าที่นี้เป็นกฎของธรรมชาติๆคือตัวธรรมชาติๆคือกฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ นั้นคือหน้าที่ เป็นเรื่องของธรรมชาติ ถ้าไม่ทำหน้าที่มันก็ตายแล้ว เช่น ต้นไม้ไม่กินอาหาร สัตว์ไม่กินอาหาร คนไม่กินอาหาร ไม่หาอาหารมากินไม่บริหารร่างกายตามที่ควรบริหาร มันก็ตายแล้วคือมันไม่ทำหน้าที่ นั้นเราต้องทำหน้าที่ เมื่อได้ทำหน้าที่แล้วควรจะพอใจและเป็นสุข ถ้าทำหน้าที่สมบูรณ์แล้วก็คอยรู้สึกเป็นสุข มันก็ไม่ต้องไปเที่ยวอาบ อบ นวด ไม่ต้องไปทำอบายมุข เพราะมันเป็นสุขอยู่ที่โต๊ะทำงาน นักเรียนก็เป็นสุขอยู่ที่โต๊ะเรียน ครูก็เป็นสุขอยู่ที่โต๊ะครู เมื่อถือชอล์กอยู่ที่หน้ากระดานดำจะเป็นเวลาที่มีสุขที่สุด เพราะทำดีที่สุดจนยกมือไหว้ตัวเองได้ ขอให้ถือหลักว่าคนที่มีความสุขแท้จริงคือคนที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ นอกนั้นเป็นสุขสกปรกเป็นเรื่องพญามาร สุขที่ไปซื้อหาตามตลาดอยากให้เงินเดือนออกเร็วๆ แล้วไปซื้อหาตามตลาดนั่นแหละ สุขสกปรก สุขหลอกลวง สุขเมื่อถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำ เมื่ออยู่กับโต๊ะครู ยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นแหละสุขที่แท้จริง นั้นเราให้ทุกคนมีความสุขเมื่อทำหน้าที่ ไอ้หน้าที่นั้นต้องถูกต้องนะไม่ใช่หน้าที่ผิดๆนะ ถ้าโจรมีหน้าที่โจรทำหน้าที่นี้ไม่ใช่ข้อนี้ หรือว่าคนที่มันเลวทรามอย่างอื่นมันมีหน้าที่ของมันอย่างอื่นนี้มันก็ไม่ถูก คนสูบกัญชามีหน้าที่สูบกัญชาๆนั้นกัญชานี้ ไม่ใช่หน้าที่ในที่นี้ๆ หน้าที่ในที่นี้หมายถึงหน้าที่ที่ถูกต้องตามของกฎธรรมชาติว่า ถ้าเราทำกันอย่างนี้แล้วอยู่กันอย่างมีความสุข นั้นคือหน้าที่ นั้นคนแจวเรือจ้างก็เป็นสุขเมื่อแจวเรือจ้าง คนกวาดถนนก็เป็นสุขเมื่อกวาดถนน ล้างท่อถนนที่สกปรกก็เป็นสุขเมื่อล้างท่อถนน นี่คือพอใจในหน้าที่เป็นสุขในหน้าที่ มีการประพฤติธรรมะ เมื่อทำหน้าที่ นี่คือธรรมะอันแท้จริงของธรรมชาติ ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติแล้วเป็นสุขเมื่อทำหน้าที่ เป็นบุญเมื่อทำหน้าที่ เป็นกุศลเป็นธรรมะเมื่อทำหน้าที่ ที่นี้ก็อย่าประหลาดใจในข้อที่เราต้องทำหน้าที่ต่างกัน เพราะธรรมชาติมันสร้างมาให้เหมาะต่างๆ กัน คนนี้เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ อย่างเหมาะที่สุด อ๊ะ,กวาดถนนมันก็ต้องกวาดถนน มันก็ควรจะพอใจมันหน้าที่ของเรา ธรรมชาติมันกำหนดมาอย่างนี้ นี่มาแจวเรือจ้าง มาถีบสามล้อ มากวาดถนน มันมาล้างท่อ ไอ้ธรรมชาติมันกำหนดเรามาอย่างนี้เราอย่าไปฝืน มันฝืนไม่ได้หรอก เราไม่ต้องไปขโมย ไม่ต้องไปปล้นหน้าที่ของใคร เมื่อได้ทำแล้วมันก็เป็นบุญเป็นกุศลแท้จริง นั้นกวาดถนนเหงื่อไหลอยู่ก็พอใจในการได้ทำหน้าที่ มันเป็นสุขอยู่ข้างในแม้ว่าเหงื่อมันไหล อาตมาเคยเห็นคนแจวเรือจ้างตั้งชั่งโมงกว่า มันก็เป็นสุข มันร้องเพลงอยู่เมื่อแจว แล้วมันก็แกว่งเท้าข้างหนึ่งอยู่กลางอากาศ ไอ้เท้าข้างที่มันแกว่งได้ สมัยนู้นอาตมาไปกรุงเทพฯ นั้นไม่มีรถแท็กซี่ไม่มีรถสามล้อ มันใช้เรือจ้างกันเป็นส่วนมาก ลงรถไฟที่บางกอกน้อย แล้วนั่งเรือจ้างมา กว่าจะถึงทางตำบลปทุมคงคานี่มันแจวตั้งชั่วโมงกว่า มันไม่บ่นมันไม่ด่าเหมือนกะคนเดี๋ยวนี้ กรรมกรทำงานด่าไปพลาง รถแท็กซี่ทำงานด่าไปพลาง เมื่อก่อนมันไม่มี มันหัวเราะแล้วบางทีก็คุยกับคนโดยสาร แล้วก็ร้องไม่มีหงุงหงิงๆ อยู่ในใจ แล้วก็แกว่งเท้าข้างหนึ่งอยู่ จนมาถึงที่เราจ้าง ๒ บาท นั้นเอง ตั้งสองตั้งชั่วโมงกว่า อย่างนั้นแหละมันมีความสุข ที่มันจะยกมือไหว้ตัวเองได้
นั้นช่วยไปทำความเข้าใจว่า ไอ้เมื่อทำหน้าที่นั่นแหละคือทำบุญทำกุศลประพฤติธรรมควรจะมีความสุข เมื่อชาวนากำคันไถอยู่หรือกำจอบอยู่นั่น รู้สึกมีความสุข แต่คนโบราณเขาเป็นอย่างนั้นจริงอะ แต่คนเดี๋ยวนี้ไม่เอา บอกก็ไม่เชื่อไม่เห็นว่ามีความสุขเมื่อกำไถกำจอบ คนโบราณเขาเป็นอย่างนั้นจริง เขาจึงไม่มีอาชญากรรม เขาไม่ต้องการมากก็ไม่มีขโมย ไปไหนไม่ต้องปิดประตูเรือนคนโบราณไปไหนก็ไม่ต้องใส่กุญแจเรือน ไม่มีใครขโมยใครเพราะจิตใจมันอิ่มพออยู่ด้วยความสุขในการที่ทำหน้าที่ แล้วขอฝาก ๓ ข้อนะ ว่าไปสอนเด็กๆ ให้รักผู้อื่น เป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปสอนเด็กๆ ให้บังคับความรู้สึก คือบังคับจิตบังคับกิเลสเรียกว่าบังคับตน แล้วก็ไปสอนให้มีความสุขเมื่อทำงาน นักเรียนก็เรียนเป็นสุขเมื่อเรียน ผู้ใหญ่ก็เป็นสุขเมื่อทำการงาน ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อทำหน้าที่ดีที่สุดเวลานั้นมีความสุขที่สุด ถ้ายกมือไหว้ตัวเองไม่ได้ มีแต่ความขยักแขยงตัวเองแล้วอย่าไปหาเลยความสุข มันต้องปวดหัวจนอายแมวเรื่อยไป เอ้า, นี้เกินชั่วโมงมาแล้วคุยมาชั่วโมง เอาละยินดีที่ได้พบครูบาอาจารย์พูดกันอย่างเปิดอกเป็นเพื่อนครูบาอาจารย์ อาตมาไม่มีใครตั้งๆตัวเองเป็นครูบาอาจารย์โดยธรรมะวินัย เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู มีสิทธิเรียกตัวเองว่าครูบาอาจารย์เหมือนกัน ไม่ได้กินเงินเดือนของกระทรวง อ้อ,มีบ้าง เขาให้นิตยภัต เดือนละ ๒๐๐ บาท ลิงอุรังอุตังที่สวนสัตว์ได้นิตยภัต เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ก็อย่าเอาอะไรกับอาตมานัก พูดเท่านี้ก็จะพอแล้ว อ่านหนังสือพิมพ์ได้ความว่าอย่างนั้น ลิงอุรังอุตัง ที่เขาส่งมาจากอินโดนีเซีย เขาให้นิตยภัตเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท อาตมาได้ ๒๐๐ บาท นั้นขอให้ช่วยกันหน่อยครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าเป็นบรมครูทรงสอนไว้อย่างนี้ ทรงหวังไว้อย่างนี้ ทรงฝากไว้อย่างนี้ ช่วยกันทำให้ทรงตามพระพุทธประสงค์ ความว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทั้งเทวดาและมนุษย์จะอยู่กันจนผาสุก พอละขอยุติการบรรยาย หมดเวลาที่กำหนดไว้ ที่มานี้ใครได้เงินเดือนนิตยภัตมากกว่าลิงอุรังอุตังบ้าง มากยังนี้ นั้นอย่าเอาอะไรมากนักเลยกะคน