แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาขอแสดงความยินดีเป็นข้อแรกในการที่ได้พบปะกับท่านทั้งหลายที่เป็นครู โดยใจความสำคัญก็คือเราได้ทำหน้าที่อย่างเดียวกัน ขอให้ท่านนึกถึงข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นบรมครู ภิกษุทั้งหลายก็ทำหน้าที่สนองพระพุทธประสงค์ไปตามคำสั่ง ในความหมายของการเป็นครู เมื่อได้พบพวกที่ทำหน้าที่เป็นครูมันก็เลยรู้สึกยินดีเป็นข้อแรก สำหรับการที่จะให้พูดหรือบรรยายเรื่องอะไรนั้น โดยทั่วไปมันก็ต้องนึกถึงเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ครู แม้จะบรรยายธรรมะ มันก็ต้องเป็นธรรมะที่เป็นประโยชน์แก่ครู ก็เป็นอันว่าเราจะพูดกันถึงธรรมะที่เกื้อกูลแก่ความเป็นครูของท่านที่เป็นครูทั้งหลาย จะพูดในแบบปรับปรุงเพื่อนทำงานร่วมกัน ศึกษาหารือก็ได้ หรือในรูปแบบที่เป็นคำแนะนำ สั่งสอน ตักเตือนก็ได้ มันก็มีเรื่องที่จะต้องพูดอยู่เหมือนกัน
ไอ้เรื่องแรกที่สุดที่จะช่วยให้เข้าใจเรื่องต่อไปได้ง่ายๆ ก็คือว่าเรื่องความเป็นครูนั่นเอง ถ้าเราเป็นครูกันอย่างถูกต้อง มันก็จะเป็นที่น่าพออกพอใจ ชื่นใจมาก เพราะเดี๋ยวนี้ก็มองเห็นอยู่แล้วว่าไอ้ครูนี่ต้องมีอยู่ในโลก การที่ครูบังเกิดขึ้นมาในโลก มันก็ด้วยเรื่องธรรมชาติ บังคับให้คนแก้ปัญหาของความเป็นคน ทีนี้ใครไปได้ไกลก็แนะนำผู้อื่นได้ คนบางคนไม่อยู่ในฐานะที่จะคิดนึกศึกษาอะไรได้ตามลำพังสติปัญญาของตนเอง นี่ก็มีอยู่มาก เขาจึงพอใจยินดีที่จะฟังคำแนะนำสั่งสอนจากผู้ที่มีสติปัญญาเหนือกว่า ยังเกิดการเป็นครูเป็นศิษย์กันขึ้นมาในโลกนี้ตั้งแต่ครั้งไหนก็ยากที่จะพูดได้ ที่เป็นครูโดยธรรมชาตินั้นมันก็เรียกว่าครูเหมือนกัน เป็นบิดามารดาก็เป็นครูและเป็นครูคนแรกที่สุด มันก็สอนกันในเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติเป็นส่วนมาก ซึ่งมันสรุปรวมอยู่แต่เพียงว่าให้รอดชีวิต เป็นข้อแรก เป็นพื้นฐาน
ครั้นรอดชีวิตอยู่แล้ว มันมีอะไรที่จะต้องดีต่อไปอีก ให้มีความเป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยมนั้น มันก็จะหมดความสามารถของบิดามารดา มันจึงต้องไปหาครูในทางจิตทางวิญญาณที่มันสูงขึ้นไป อย่างสมัยโบราณมันก็ต้องเป็นฤาษีมุณีดาบสอะไรก็สุดแท้ เพื่อให้มีความรู้ด้านจิตด้านวิญญาณที่สูงขึ้นไป มันก็เรียกว่าครูโดยสมบูรณ์ เพราะว่าคำว่าไอ้ครูในภาษาอินเดียนี้ ตามที่ได้เห็นเขาให้คำแปลว่าผู้นำในทางวิญญาณ ถ้ายังไม่เป็นเรื่องของวิญญาณมันก็ยังไม่เรียกว่าครูนัก แต่มันทุกเรื่องมันก็จะอนุโลมไปในเรื่องทางจิตทางวิญญาณได้ทั้งนั้น แม้แต่การรู้หนังสือก็ทำให้จิตวิญญาณมันสูงขึ้นไป คนที่ไม่รู้หนังสือมันก็ยังโง่หรือมีความต่ำในทางวิญญาณ
แต่ว่าในที่สุดเขาไปเพ่งเล็งถึงเรื่องทางจิตทางวิญญาณจริงๆ คือในระดับสูงสุด คือพ้นจากความทุกข์โดยประการทั้งปวง ฉะนั้น นักศึกษาภาษาเขาพูดกันว่าคำว่าครูนี้ ไอ้รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า เปิดประตู แต่ก็เปิดประตูทางวิญญาณอีกนั่นแหละ คือเปรียบว่าสัตว์ทั้งหลายอยู่ในความมืด อยู่ในอวิชชา มีความโง่เขลาเหมือนกับคอกขังเอาไว้ อยู่ในสภาพที่มืด ที่ร้อน ที่เป็นทุกข์ ทรมาน สกปรก เศร้าหมอง เหมือนกับสัตว์ที่ขังไว้ในคอกที่สกปรก พอเปิดประตู มันก็ได้ออกมาสู่แสงสว่าง สู่ความสะอาด และความเป็นอิสระ นี่ความหมายของครูที่เต็มเปี่ยมหรือสูงสุดมันเป็นอย่างนี้ คือช่วยมนุษย์ออกมาจากคอกเล้า กรงขังของอวิชชา ซึ่งทำให้ทนทุกข์ทรมานอยู่ในที่มืด ที่สกปรก ที่เร่าร้อน ที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นจึงเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์ในขั้นสูงสุดที่มนุษย์จะออกมาเสียจากคอกชนิดนี้ แล้วเขาถือว่าคำว่าครูนั้นมีความหมายว่าผู้เปิดประตูอย่างนี้ แต่มันก็เป็นผู้นำในทางวิญญาณอีกนั่นแหละ ความหมายทั่วไปมันใช้คำว่าผู้นำในทางวิญญาณ
ปทานุกรมธรรมดาให้คำแปลเป็นผู้นำในทางวิญญาณ เป็นมัคคุเทศก์ นำวิญญาณของสัตว์ไปให้ถูกต้อง แล้วมนุษย์ก็ได้รับประโยชน์ถึงที่สุดในการที่เป็นมนุษย์ เราควรจะมองดูให้เห็นชัดจำกัดความได้เลยว่า มนุษย์มันควรจะได้อะไรในฐานะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ ดูโดยหลักธรรมะ หลักศาสนาทั่วๆ ก็ไปคือ มนุษย์ดีที่สุดตรงที่ว่าไม่มีความทุกข์ อยู่ด้วยความไม่ทนทุกข์ อยู่ด้วยความเป็นสุข ถ้าพูดภาษาธรรมดาๆ ก็ว่ามีความสุข แต่ภาษาที่จริงกว่าหรือเป็นปรมัตถ์กว่าก็พูดว่าไม่มีความทุกข์ พูดว่าไม่มีความทุกข์นี่ไม่ค่อยมีใครสนใจ พูดว่ามีความสุขคนสนใจ ก็เลยพูดว่ามีความสุข ให้ตัวเองมีความสุขถึงที่สุดของความสุขที่แท้จริง และก็เป็นอยู่ในลักษณะที่ให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยรอบๆ ตัวเรานั้นพลอยมีความสุขด้วย คือช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้มีความสุขด้วย ดูมันจะพอกันแหละ จะพอกันที ถ้ามันมากกว่านั้นมันก็เกินไป ถ้าเกินมันก็กระเดียดไปในทางบ้า ไอ้ที่เราไม่ได้ต้องการแต่เพียงความสุขหรือดับทุกข์ที่ถูกต้อง ไปต้องการเกินไป มากเกินไปจนเป็นความหลง ไม่ใช่ความสุข กลายเป็นความทุกข์ชนิดที่ซ่อนเร้น อย่างนี้มันก็ผิดแล้ว มันไม่ถูกสำหรับความเป็นมนุษย์แหละ ว่าอย่างนั้นดีกว่า หรือใครจะมีอะไรที่ดีไปกว่านี้ สำหรับมนุษย์ดีไปกว่าที่ว่าคนนั้นมันมีความสุข และทุกคนที่แวดล้อมคนนั้นอยู่ก็พลอยได้รับประโยชน์ด้วย ตามหลักของธรรมะมันก็มีเท่านั้น
ไอ้เรื่องสนุกสนานนั้นมันเป็นเรื่องเกินออกไปที่ต้องระมัดระวัง ถ้าสนุกมันสนุกในทางของธรรมะ ซึ่งจะต้องคิดให้มากเหมือนกันแหละ เดี๋ยวนี้เรามันไปสนุกในเรื่องที่เกิน พูดตรงๆ ก็เรื่องส่งเสริมความเพลิดเพลินทางกามารมณ์ ทางอะไรทำนองนั้น นี่มันเกิน ไอ้ความสุขที่เกิน ที่ไม่จำเป็น ที่เกินนี้จะทำให้เกิดปัญหา อย่างน้อยก็เงินเดือนไม่พอใช้แหละ พูดกันง่ายๆ อย่างนี้ดีกว่า ไอ้ที่เงินเดือนไม่พอใช้อยู่ทั่วๆ ไปนั้น ก็เพราะว่าไปทำอะไรที่มันเกิน ไปต้องการอะไรที่มันเกิน และแสวงหามีไว้ที่ในลักษณะที่มันเกิน เมื่อควรจะลดก็ไม่ลด มันก็เกิดไม่พอขึ้นมา
นี่ถ้าเราจะรู้จักฐานะของตัวเอง ลดลงมาเท่าที่จะลดได้ เข้าใจว่าคงจะไม่มีใครเดือดร้อนเรื่องรายได้ไม่พอใช้ รายได้ไม่พอใช้นี้มันแก้ปัญหาได้จากการลดรายจ่าย ไม่ควรจะหาทางออกไปในเรื่องคอร์รัปชั่น ทุจริต คดโกง มันจะสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาและก็หนักกว่าเก่า มันจะแก้ยากขึ้นกว่าเก่า ฉะนั้นเรามาเอาชนะในข้อนี้ให้ได้ ให้มันเป็นสุขที่แท้จริงโดยไม่เพิ่มปัญหายุ่งยาก และอยู่กันอย่างร่วมมือกัน เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน มันก็ดีเท่านั้นแหละ ทีนี้จะทำได้อย่างไร นั่นแหละมันต้องการความรู้และครูที่สมบูรณ์ ขนาดเป็นพระบรมครู เช่น พระพุทธเจ้านี่ ท่านสามารถจะให้ความรู้ในข้อนี้ แนะนำในข้อนี้ เรียกว่าทำตัวอย่างได้ นำไปได้ในข้อนี้ เราก็เรียกว่าท่านเป็นพระบรมครู ให้มนุษย์หมดปัญหาที่เกี่ยวกับความทุกข์ทั้งหลาย ขอให้สนใจ เข้าใจให้ดี แล้วก็จะเข้าใจธรรมะหรือศาสนาได้โดยไม่ยาก เดี๋ยวนี้ก็อยากจะแยกออกเป็น ๒ ส่วนสำหรับท่านทั้งหลายที่เป็นครู
ส่วนที่ ๑ ก็คือว่าเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง นี้เราก็จะต้องเป็นให้มันถูกต้องและสมบูรณ์
ส่วนที่ ๒ เราเป็นครู ก็ต้องเป็นให้ถูกต้องและสมบูรณ์
ไอ้ปัญหาใหญ่ๆ เรื่องใหญ่ๆ มันจะมีอยู่ ๒ เรื่องนี้ นอกนั้นมันก็จะเป็นเรื่องเล็ก เล็กๆ ลงไป เราเป็นนั่นเป็นนี่เป็นกันอีกหลายๆ อย่าง แต่ที่สำคัญที่สุด ที่ต้องเอาใจใส่ที่สุด ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แล้วก็เป็นครู ทำหน้าที่ครู ทีนี้ในฐานะที่เป็นมนุษย์ ก็ต้องมีธรรมะสำหรับทำความเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง เป็นมนุษย์ให้ถูกต้องและสมบูรณ์ ในฐานะที่เป็นครู ก็เป็นครูให้ได้จริง
พูดกันถึงไอ้ธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ก่อน คือคำว่ามนุษย์นี้มันต้องแปลตามตัวอักษรมันว่า มันสูงเหนือปัญหาโดยจิตใจ ถ้ามันยังมีปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติก็ดี เกี่ยวกับความโง่เขลาของตัวเองก็ดี ก็เรียกว่ายังไม่ได้รับความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ ฉะนั้นเราจะต้องแก้ปัญหาที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติก็ได้ด้วย หรือที่มนุษย์มันสร้างขึ้นมาเป็นปัญหาเองนี้ด้วยก็ได้ เช่น ความทุกข์ที่มันเนื่องด้วยความเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้ตามธรรมชาติ เราก็ต้องแก้ได้ ไม่ต้องเป็นทุกข์ ที่มนุษย์มันสร้างขึ้นมาในโลก เช่น ปัญหาเนื่องด้วยการเบียดเบียน การอะไรต่างๆ ตลอดถึงปัญหาในตัวความก้าวหน้าของความเจริญนั้นเองด้วย และทั้งหมดนี้มันก็สำคัญอยู่ที่จิตใจที่ได้อบรมดี จิตใจอบรมดีก็คืออบรมให้เป็นสมาธิก่อน ใช้จิตที่เป็นสมาธินี่ ดู ค้นคว้า ศึกษา แก้ปัญหาอะไรได้
เราจะเห็นความจริงของไอ้สิ่งที่ลึกๆ ลึกซึ้ง เราต้องทำจิตใจนี้ให้มันเป็นเหมือนกับดวงตาที่สามารถ ที่พิเศษเสียก่อน มันจึงจะมองเห็น จิตตามธรรมดาจะไม่มองเห็นไอ้เรื่องลึกซึ้งชั้นนี้ แต่จิตที่ได้รับอบรมตาม วิถีของสมาธิแล้ว มันก็กลายเป็นจิตที่สามารถจะมองเห็นอะไรได้มากกว่า ลึกกว่า จริงกว่า ถูกต้องกว่า เราก็มีการอบรมจิตในส่วนนี้ตามสมควร ไม่ว่าใคร ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ให้รู้จักอบรมสิ่งที่มันเป็นเพียงธรรมชาตินั้นให้มันดีกว่าธรรมชาติ เช่น จิตมนุษย์นี้ปล่อยไปตามธรรมชาติ มันก็ไม่เท่าไร แต่ถ้าได้รับการอบรมให้ดีถูกวิธีแล้ว มันทำอะไรได้มาก มากกว่าตั้งมากทีเดียว ฉะนั้นควรจะสนใจเรื่องการอบรมจิตให้มีสมรรถภาพ แล้วจะได้มองเห็นไอ้ปัญหาอันลึกซึ้ง จะแก้ไขได้ จนกระทั่งว่าไอ้เรื่องที่เคยเป็นทุกข์กันมาแต่ก่อนก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ คือมองเห็นไอ้ความเป็นเช่นนั้นเองของความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย จิตใจเข้มแข็งสูงขึ้นมา จนเห็นเป็นของธรรมดา คือเช่นนั้นเอง แล้วก็ไม่สะดุ้งกลัว หวาดเสียว เป็นทุกข์ เพราะปัญหาอันเนื่อง อันเนื่องกันกับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายอย่างนี้
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและทรงสั่งสอนนี้ เพื่อให้เราอยู่เหนือปัญหาของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เมื่อมันเกิดขึ้น มันก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ก็รักษาเยียวยาไปโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ มันก็หายไปได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าหายไม่ได้ มันก็ต้องตาย ตายก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เมื่อความตายมันก็ไม่เป็นปัญหาแก่เราแล้ว ก็เรียกว่าผู้นั้นได้บรรลุอมฤตธรรม ธรรมที่ทำความไม่ตาย หมายความว่า ความตายไม่เป็นปัญหา ไม่ได้หมายความคนนั้นร่างกายคนนั้นมันไม่ตาย มันก็ตายไปตามธรรมชาติ แต่ไม่เป็นปัญหา ไม่ทำความทุกข์ให้เกิดขึ้นในใจ จึงถือว่าคนนั้นมันอยู่เหนือความตาย เหนืออำนาจบีบคั้นของความตาย ก็เลยเรียกว่าได้บรรลุธรรมะที่ไม่ตาย จะเรียกเป็นนิพพาน เรียกเป็นอย่างอื่นก็ได้ เราไม่มีความทุกข์ด้วยประการทั้งปวงก็แล้วกัน
หลักธรรมสำคัญอันเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันอยู่ตรงที่ว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นความเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติว่า เช่นนั้นเอง บาลีว่า ตถตา แปลว่า เช่นนั้นเอง นี่เป็นธรรมะสูงสุด สรุปความได้ ๓ พยางค์ แต่ที่เราพูดเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อิทัปปัจจยตา และก็มีอีกมาก พูดได้มาก แต่สรุปความแล้วมันเหลือเพียง ๓ พยางค์ว่า มันเช่นนั้นเอง ถ้าเห็นเช่นนั้นเอง มันก็ไม่ไปโง่ไปหลงในของน่ารัก เอร็ดอร่อย ยั่วให้เกิดกิเลสฝ่ายโลภะ ราคะ เป็นต้น แล้วมันก็เห็นเช่นนั้นเอง แล้วก็ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องพยาบาท ไม่ต้องประทุษร้ายอะไร และเห็นเช่นนั้นเอง ก็ไม่หลงใหลอะไรหมด เพราะฉะนั้น ไอ้โลภะ โทสะ โมหะ มันก็ไม่เกิด แล้วมันก็มีความสุข เพราะกิเลสไม่เกิด คือไม่ร้อน เย็นอยู่เสมอ เป็นนิพพาน นี่ส่วนคน ส่วนที่เป็นมนุษย์ มันควรจะได้อย่างนี้แหละ ถ้าเรายังร้อนอยู่ด้วยอำนาจของกิเลส ก็ให้รู้เถิดว่าความเป็นมนุษย์ของเรายังไม่เป็นที่น่าพอใจ ยังไม่สมบูรณ์ ขอให้สนใจศึกษาธรรมะให้ยิ่งขึ้นไปจนบังคับควบคุมไอ้ความทุกข์ชนิดนี้ได้ตามสมควรเท่านั้น แม้จะไม่ได้ถึงที่สุดสิ้นเชิง ก็ขอให้ได้ตามสมควรนี้ อย่าให้เต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ร้อนเป็นไฟ จนเป็นมนุษย์ที่น่าละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน
มนุษย์เราถือว่าเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการมันสมองสูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉานอย่างที่เปรียบกันไม่ได้ แล้วมนุษย์ก็ก้าวหน้าไปตามทางของมนุษย์ที่ว่ามีมันสมองเจริญงอกงาม แต่ดูเหมือนว่าไปทางไหน จะไปทางไหนกันก็ไม่ค่อยรู้ มนุษย์เหล่านี้ไม่รู้ว่านี้จะเจริญไปทางไหนกัน เดี๋ยวนี้ สมัยนี้ เดี๋ยวนี้ เพราะไม่เคยพูดถึงไปนิพพานหรือไปดับทุกข์อะไรที่ไหนกัน ยังไม่รู้ ขอให้คำนวณดูเถิดว่าไอ้ความก้าวหน้าในโลกนี้ ทางวัตถุ ตั้งแต่เกิดเครื่องจักร เครื่องกล มีความรู้เรื่องไฟฟ้า มีความรู้เรื่องปรมาณู มีความรู้เรื่องอวกาศ กระทั่งเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ อะไรก็ตามเถอะ มนุษย์นั้นก็ยังโง่บรมโง่อยู่นั่นเอง คือไม่รู้จะไปไหนกัน มันก็คงจะตอบตามกิเลสว่าหาความสุขที่สุด แล้วมันได้ที่ไหนกัน ช่วยดูเถิด มนุษย์เวลานี้ก้าวหน้าที่สุด มันได้ความสุขที่ไหน มันยิ่งเป็นปัญหามากขึ้นในการรบราฆ่าฟัน ในการทำสงครามระหว่างชาติ ระหว่างประเทศ ระหว่างครึ่งโลก หาความสงบสุขไม่ได้ ผลสะท้อนเรื่อยๆ จากสงครามนี้ก็ยังมีอยู่ตลอดเวลา ยังไม่สิ้นสุด นี่เรียกว่าทำสันติภาพในโลกไม่ได้ เพราะมนุษย์มันไม่รู้ว่าเราจะไปไหนกัน ใช้มันสมองอันฉลาดนี้ไปทางไหนกัน นี่น่าละอายสัตว์ เพราะว่าสัตว์ไม่ได้ทำสงครามกันอย่างมนุษย์ ไม่ได้เอาเปรียบกันอย่างมนุษย์ ไม่ได้มีปัญหาอย่างมนุษย์
คิดดูกันในส่วนบุคคลให้มันแคบเข้ามา มนุษย์เราที่ไม่เกี่ยวกับสังคม หรือไม่เกี่ยวกับโลกทั้งโลก ในส่วนตัวนี่มันก็ยังมีความทุกข์ คือปัญหาเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้ก็ยังไม่สิ้น เรายังกลัวตาย เรายังดิ้นรน เป็นทุกข์ เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วยังแถมไอ้เรื่องอะไรต่างๆ ที่มันเพิ่มขึ้นมาโดยไม่จำเป็น การกินอาหาร การนุ่งห่ม การอาศัยใช้สอย การอะไรต่างๆ มันเพิ่มขึ้นมามากเกินความจำเป็น เราก็ไม่รู้ เราก็ทนกันไป ในที่สุดเราก็น่าละอายแก่สัตว์เดรัจฉานที่มันไม่ต้องทนไอ้เรื่องชนิดนี้ ที่ง่ายๆ ที่สุดก็เช่นว่า สัตว์เดรัจฉานไม่ได้ปวดหัว ไม่ได้นอนไม่หลับ คุณไปดูสุนัขอย่างนี้เป็นต้นก็ได้ แมว อะไรก็ได้ มันไม่ได้ปวดหัว มันไม่ได้นอนไม่หลับเหมือนคน ไอ้คนนี้ เดี๋ยวปวดหัวๆ กินยาปวดหัวกันเท่าไร กินยานอนหลับให้หลับ นอนไม่หลับ กินยาให้นอนหลับกันสักเท่าไร ทั้งโลกนี้มันคงใช้ยาปวดหัว ยานอนหลับ วันหนึ่งเป็นตันๆ ทีเดียว แต่สัตว์เดรัจฉานไม่ต้อง ยังนอนหลับ นี่มันน่าละอาย
ถ้ามนุษย์มีสติปัญญาจริง มนุษย์ก็ไม่ควรจะมีปัญหาชนิดนี้ ซึ่งสัตว์เดรัจฉานมันไม่มี ฉะนั้นถ้าใครมองเห็นศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์แล้วก็ระวังเถิด อย่าต้องอายสุนัขและแมว ที่ว่าปวดหัวบ้าง นอนไม่หลับบ้าง กระทั่งเป็นโรคประสาท สถิติที่เขาพูดกันเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นโรคประสาทกันเจ็ดแสนคนเป็นอย่างน้อยในประเทศไทย เท่าที่มันจดอยู่ในทะเบียนน่ะ มันเป็นโรคจิตกันถึงสองหมื่น หรือสามหมื่นคน สุนัขกับแมวมันไม่เคยเป็นโรคประสาท ไม่เคยเป็นโรคจิต นี่จะว่ามนุษย์มันดีกว่าอย่างไร ฉะนั้นเราระวังอย่าให้ต้องเป็นอย่างนั้น ระวังอย่าให้ต้องปวดหัว อย่าให้ต้องนอนไม่หลับ ระวังอย่าให้เป็นโรคประสาท โรคจิต ซึ่งมันน่าละอายแก่สัตว์ เช่น สุนัข และแมว เป็นต้น ข้อนี้มันช่วยได้ด้วยธรรมะ ถ้ามีธรรมะพอ มันไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องนอนไม่หลับ ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องเป็นโรคจิต
อาตมาขอร้องว่าให้ทุกคนนี้สนใจธรรมะให้พอ สำหรับที่จะไม่ต้องปวดหัว หรือนอนไม่หลับ หรือเป็นโรคประสาท หรือเป็นโรคจิต ถ้าใครกำลังมีโรคเหล่านี้รบกวนอยู่แล้วก็รีบแก้ไขเถิด แก้ไขด้วยธรรมะ ถ้าไปหาหมอที่มีความรู้จริงๆ เขาจะผลักมาหา ให้มาสนใจกับธรรมะ เพื่อเป็นหลักแก้ไขโรคนี้ ไอ้หยูกยานั้นก็แก้กันไปตามที เป็นเรื่องประทังอาการปัจจุบัน แต่ไม่อาจจะแก้ต้นเหตุอันเป็นต้นเหตุสมุฏฐานอันแท้จริง เช่น โรคนอนไม่หลับ หรือปวดหัว มันมาจากความยึดมั่นถือมั่น มาจากความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ ด้วยความโง่เขลา ถ้าไม่แก้อันนั้น ไม่มีหายปวดหัวหรอก หรือนอนไม่หลับหรอก เอายานอนหลับมากินมันก็ได้เฉพาะคืนนี้ เอายาปวดหัวมากินมันก็ได้เฉพาะคราวนี้ มันไม่ได้แก้ต้นเหตุอันแท้จริงของมัน มันมีธรรมะอย่างเดียวจะแก้ต้นเหตุอันแท้จริง เราจะไม่ต้องปวดหัว เราจะไม่ต้องนอนไม่หลับ จนกระทั่งเป็นโรคประสาท หรือเป็นโรคจิต
เด็กๆ ที่ประพฤติตัวไม่ถูกต้อง มันก็ต้องปวดหัวเพราะการเล่าเรียน มันไม่มีการแนะนำที่ดีที่ให้เรียนโดยชนิดที่ไม่ต้องปวดหัว หรือไม่ต้องกลายเป็นประสาท ส่วนนั้นคือการศึกษาไม่สมบูรณ์ ทีนี้ผู้ใหญ่แล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นพ่อเป็นแม่แล้ว ก็ยังปวดหัวนอนไม่หลับ ยังเป็นโรคประสาท เพราะไม่มีธรรมะในระดับนี้ ทีนี้มันเป็นเศรษฐี ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี มันก็ยังปวดหัวและนอนไม่หลับ หรือเป็นโรคประสาท เป็นบ้าตายไปก็มี เพราะว่าขาดธรรมะด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นไปนึกถึงธรรมะกันให้ถูกต้องและเพียงพอ ไม่ต้องเป็นโรคชนิดนี้ ซึ่งมันละอายแก่สัตว์ เพราะสัตว์มันไม่เป็น เพราะว่ามันสมองมันไม่เจริญงอกงาม คิดไกลไปถึงทำให้เกิดไอ้อาการชนิดนั้น สมองมันอยู่ในขอบเขตจำกัด ก็นับว่าเป็นบุญ
ไอ้มนุษย์นี่มีความเจริญทางมันสมองมาก มันกลายเป็นบาปไป กลายเป็นสัตว์ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ยิ่งกว่าสัตว์ไปเสียอีก เพราะฉะนั้นเราต้องแก้ข้อนี้ให้ได้ แก้ลำมันให้ได้ คือว่าถ้ามีมันสมองดีกว่าสัตว์ มันก็ต้องไม่ต้องเป็นทุกข์เหมือนที่สัตว์มันก็ไม่เป็น แล้วเราต้องทำประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่กันและกันให้มาก และให้พอ เดี๋ยวนี้เราก็ไม่ได้ประพฤติประโยชน์เกื้อกูลกันอย่างเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เรายังมีกิเลสมาก มีกิเลสเพิ่มขึ้นมากตามความเจริญของมันสมอง หรือว่าการก้าวหน้าเจริญในทางวัตถุภายนอก จนเราเห็นได้ว่าปัญหาที่ไม่เคยมีมันก็มีขึ้นมา เช่นว่าเดี๋ยวนี้เขาว่าอันธพาลชุมเหมือนกับยุง ที่ไหนก็ตาม โดยเฉพาะที่กรุงเทพฯ อันธพาลมันชุมเหมือนยุง แล้วมันจะอยู่กันอย่างไรล่ะ แล้วมันอะไรเป็นต้นเหตุให้เป็นอย่างนั้น มันก็คือขาดธรรมะ จึงได้เป็นอันธพาล ปัญหาเศรษฐกิจ เป็นต้น มันก็ขาดธรรมะ จึงเกิดขึ้นมาเพราะคนไม่สนุกในการทำงาน ผลมันก็ไม่พอ แล้วคนหวังที่จะรอดตัวร่ำรวยด้วยการฉ้อโกงเอาเปรียบ เช่น การผูกขาดทางการค้า อย่างนี้มันก็รวยเร็วสิ เป็นการกระทำที่ฉ้อโกง ทำให้เดือดร้อนกันไปหมด มันสมองที่ก้าวหน้ามันเกิดเป็นอย่างนี้ขึ้นมา
ฉะนั้นเราจะต้องมองให้เห็นว่าถ้ามันมีความเจริญก้าวหน้าทางมันสมอง ทางการประพฤติกระทำการผลิต การอะไรมาก ก้าวหน้าแล้วล่ะก็ ต้องมีธรรมะตามขึ้นไปให้พอกัน ความก้าวหน้าทางวัตถุก็ดี ทางจิตใจก็ดี ถ้ามันก้าวหน้าไปเท่าไร ก็ต้องมีธรรมะตามขึ้นไปให้พอ ไม่อย่างนั้นแล้วไอ้ความก้าวหน้านั้นมันจะเกิดเป็นพิษขึ้นมา เกิดเป็นศัตรูอันร้ายกาจเหมือนที่กำลังทำให้มนุษย์ในโลกยุ่งยากลำบากอยู่ในสมัยนี้
เราเป็นครู เราควรจะรู้สิ่งเหล่านี้ดีพอที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ บอกกล่าวเพื่อนมนุษย์กันให้เขารู้ ให้รู้ให้เข้าใจแก้ปัญหานี้ได้ อย่ากลายเป็นผู้ที่ว่าทนทุกข์ทรมานเสียเอง ครูจะต้องเป็นผู้นำในทางจิตทางวิญญาณ แล้วมนุษย์นี้ก็จะมีความสุขสมกับที่ว่ามีมันสมองก้าวหน้าไปไกลกว่าสัตว์เดรัจฉาน
อาตมาเคยพูดว่าไอ้ครูน่ะคือผู้สร้างโลก เป็นพระเจ้าที่แท้จริงที่สร้างโลก ที่เขาว่าพระเจ้าอะไรก็ตามสร้างโลกนั้นมันเป็นเรื่องพูดอย่างไม่มีเหตุผล พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าเราพูดว่าครูนี่คือผู้สร้างโลก มันพิสูจน์ได้ เพราะว่าไอ้โลกทั้งโลกนี่มันจะเป็นอย่างชนิดไหน ดีเลวอย่างไร มันก็แล้วแต่คนในโลก ถ้าคนในโลกมันดี ไอ้โลกนี้ก็ดี ถ้าคนในโลกมันเลว โลกนี้มันก็เลว ทีนี้ใครล่ะที่จะทำให้คนดีหรือเลว มันก็คือครู ถ้าครูสร้างเด็กสร้างมนุษย์ขึ้นมาดี เต็มไปด้วยคนดี โลกนี้มันก็ดี ถ้าครูเหลวไหล มัวแต่เปิดแคตตาล็อกกางเกงยีนส์อยู่อย่างนี้ มันก็สอนเด็กให้ดีไม่ได้ มันก็เลยไม่มีคนดีในโลก โลกนี้มันก็เลว เห็นไหมว่าครูมันสร้างโลกที่แท้จริงนะ มันไม่ใช่พระเจ้าที่ไหน
ทีนี้จะได้พูดต่อไปถึงไอ้ประเด็นที่ ๒ ที่ว่าในฐานะที่เราเป็นครูกันบ้าง ในฐานะที่เป็นมนุษย์นี่พอแล้ว ทีนี้พูดกันในฐานะที่เป็นครูกันบ้างว่า ครูนี้คือผู้สร้างโลก ใครมันเถียง มันพิสูจน์อยู่ชัดๆ โลกจะดีหรือเลว จะมีสันติภาพหรือวิกฤตการณ์ มันก็แล้วแต่คนในโลก ทีนี้คนในโลกมันจะเป็นอย่างไรมันแล้วแต่การศึกษา ใครเป็นผู้ให้การศึกษา มันก็ครู ฉะนั้นถ้าครูตั้งหน้าตั้งตาให้การศึกษาที่ถูกต้องเพียงพอ เด็กๆ มันก็จะดี ผู้ใหญ่ก็จะดี แล้วโลกนี้มันก็จะเป็นโลกของมนุษย์ มีจิตใจอยู่สูงเหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง ทีนี้มันเป็นปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกัน ไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุนี่ถ่วงมนุษย์ให้ตกต่ำไปในทางจิตใจ เราก็เลยไปพลัดหลุมตกเหวนั้น การศึกษามันก็ไม่สมบูรณ์ การศึกษามันเพียงแต่จะเพื่อการเศรษฐกิจ เพื่อการเมือง เพื่ออะไรก็ล้วนแต่เรื่องโลก เรื่องทำให้มีมากในโลก เรื่องทำให้ได้เปรียบทางวัตถุในโลก เหมือนที่กำลังเป็นๆ อยู่เดี๋ยวนี้ ก็เลยไม่มีศีลธรรม การศึกษาของเรามีแต่ให้สอนหนังสือให้ฉลาด เรียนหนังสือให้ฉลาดกับอาชีพให้เพียงพอ แล้วคนก็ชอบในอาชีพ ได้ความรู้ทางอาชีพมันก็ไปหากินได้ด้วย เบาๆ ด้วย ไม่ต้องเหนื่อยมาก แต่ได้เงินมาก
เรามีการศึกษาแต่เพียง ๒ ชนิด คือรู้หนังสือเพื่อให้ฉลาด และก็รู้อาชีพเพื่อดำรงชีวิตอยู่อย่างสบาย มันก็ขาดการศึกษาที่สาม คือว่าจะมีความเป็นมนุษย์กันให้ถูกต้องกันอย่างไร คือศีลธรรม การศึกษาที่สาม คือ ศีลธรรมไม่มีพอ มีนิดหน่อย มีอย่างเหมือนกับไม่มี เราก็เลยเป็นมนุษย์ที่เอาชนะความทุกข์ไม่ได้ เราจึงต้องมีความทุกข์กันมากขึ้น ในโลกนี้ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้น มีผลทรมานจิตใจออกมาจนถึงกับว่านอนไม่หลับบ้าง ปวดหัวทุกวันบ้าง เป็นโรคประสาทบ้าง เป็นโรคจิตบ้าง นั่นน่ะการศึกษาที่สามมันไม่มี
อาตมาเลยพูดไม่กลัวใครโกรธ ตะโกนดังๆ ทางวิทยุก็หลายครั้งแล้วว่า การศึกษาของเราสมัยนี้มันเป็นการศึกษาที่เหมือนกับหมาหางด้วน มันมีแต่เรียนหนังสือกับเรียนอาชีพ มันไม่มีเรียนเรื่องว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร คือไม่มีการศึกษาฝ่ายศีลธรรม อย่างดีที่สุดก็เหมือนกับพระเจดีย์ยอดด้วน มันไม่งาม พระเจดีย์ยอดด้วน ถึงแม้จะมีองค์ มีตัว มีฐาน มันก็ไม่งาม แต่มันจะเป็นเหมือนกับสุนัขหางด้วนเสียมากกว่า คือเดินไม่ตรงทาง มนุษย์ไม่ไปถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ เพราะเรียนแต่หนังสือกับอาชีพ ไม่เรียนธรรมะว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรจึงจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แล้วเป็นกันทั้งโลก ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆ ตามก้นฝรั่ง การศึกษาอะไรไปขนเอาวิชาความรู้ความคิดของฝรั่งมา มันก็ได้เท่านั้น แล้วก็ดูอาจารย์เองสิ คือพวกฝรั่งน่ะ มันมีความผาสุกเป็นสุขที่ไหน มันเอาชนะความทุกข์ได้ที่ไหน กลับจะเป็นไอ้ดงของความทุกข์ ความยุ่งยาก อยู่ที่ประเทศมหาอำนาจเหล่านั้น นี่เราเป็นประเทศเล็ก มันจำเป็นเหมือนกันที่ต้องไปตามก้นประเทศใหญ่ แต่ไอ้เรื่องการศึกษานี้ผิดมาก โดยเอาไอ้ธรรมะหรือศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา
เมื่อก่อนนี้คำว่าการศึกษามันรวมไอ้การศึกษาธรรมะหรือศาสนาเข้าไปด้วย แล้วเมื่อไม่นานมานี้ พวกฝรั่งเขาอุตริกันอย่างไรก็สุดแท้แต่เขา เอาออกไปเสีย ก่อนการศึกษาพวกฝรั่งแต่ก่อนนู้นมันก็มีธรรมะมีศาสนารวมอยู่เต็มที่ พิสูจน์ง่ายๆ ไปซื้อ ไอ้แบบเรียนที่สอนเด็กเมื่อสมัย ๗๐-๘๐ ปีมาแล้ว ที่พวกฝรั่งใช้เรียน หนังสือ Reader ที่เด็กๆ เรียนเมื่อ ๖๐-๗๐ ปีมาแล้วในประเทศอังกฤษนี่มาอ่านดู จะเต็มไปด้วยเรื่องศาสนาทุกบท จากนั้นก็หยอดท้ายด้วยเรื่องพระเจ้าทุกบท เดี๋ยวนี้ไม่มี ขนาดอนุบาลก็จะเรียนเรื่องปรมาณูกันแล้ว มันก็ไม่มี นี่ฝรั่งเขาก็เอาไอ้การศึกษาทางธรรม ทางศาสนา ออกไปเสียจากระบบการศึกษา มันก็เหลือแต่เรียนหนังสือกับวิชาชีพ นี่คือระบบหมาหางด้วน เราก็ไปรับเอามา เพราะว่าเรามันไม่มีสติปัญญาตัวเองหรืออย่างไร อะไรๆ ก็นิยมฝรั่ง เมื่อฝรั่งผิด เราก็ผิด ถ้าฝรั่งเกิดถูกมา เราก็จะพลอยถูกไปด้วย
ไปอ่านนิทานเรื่องสุนัขหางด้วนดู ดูๆ กันก็แล้วกัน รู้สึกจะเป็นนิทานอีสป สุนัขตัวนั้นติดกับหางขาด ก็มาเที่ยวหลอกสุนัขทั้งหลายว่าหางขาดดีกว่าหางอยู่ สุนัขโง่ๆ ทั้งหลายก็พลอยตัดหางไปตามสุนัขตัวนั้น จนสุนัขแก่ตัวหนึ่งว่าไม่จริงโว๊ย เราไม่เชื่อ เราไม่ทำตาม แต่เดี๋ยวนี้ก็ได้มีสุนัขทั้งหลายตัดหางของตัวตามสุนัขตัวนั้นไปมากแล้ว คือเอาเรื่องศึกษา เรื่องศาสนาออกไปเสียจากระบบการศึกษา คุณไปดูบางรัฐในบางประเทศน่ะ มีกฎหมายเลย ถ้าเอาเรื่องธรรมะเรื่องศาสนามาสอนในโรงเรียนนี้ ผิดกฎหมายนะ ถูกลงโทษนะ เพราะเขาออกกฎหมายไม่ให้เอามา เป็นเครื่องถ่วงความเจริญทางการเมือง ทางการก้าวหน้า ไม่ให้เอาเรื่องศาสนามาสอนในโรงเรียน ใครเอาเข้ามาในโรงเรียน คนนั้นทำผิดกฎหมาย อย่างนี้ก็มี คิดดูสิ มันบ้าสักเท่าไร
มนุษย์มันเคยรอดตัวมาได้ก็เรื่องธรรมะเรื่องศาสนา นี้เอาออกไป แล้วตั้งข้อรังเกียจถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นการศึกษาก็ไม่มีเรื่องศีลธรรม มันก็เปลี่ยนไปเรื่อย เรื่อยๆ จนตรงกันข้ามกับหลักศีลธรรม เดี๋ยวนี้สอนให้ฟรีมากเกินไป เด็กๆ ไม่ต้องบังคับตัวเอง ถือว่าบังคับตัวเองนี้เสียอิสรภาพ เป็นความกดดัน ไม่เป็นความสุขสบาย เด็กๆ ก็เลยไม่เคารพครูบาอาจารย์ ไม่บังคับตัวเอง ไม่มีบิดามารดาที่เป็นผู้มีพระคุณ ไม่มีครูบาอาจารย์ที่ควรเคารพนับถือ มันก็ยุ่งกันใหญ่ อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ เกือบจะไม่ต้องพูดแล้ว นี่การศึกษามันก็เพียงแต่รู้หนังสือกับอาชีพ การศึกษาระบบหมาหางด้วนมากขึ้นทุกที แล้วมนุษย์ก็ไม่มีทางที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นี้พูดกันเหมือนกับว่าปรึกษากันเงียบๆ ลับๆ เฉพาะพวกครูบาอาจารย์เรานี้แหละ ถ้ามีอะไรที่จะช่วยให้มนุษย์มันดีขึ้นแล้วก็เอาเถอะ อย่าไปรอระเบียบของกระทรวง หรือว่ารอระเบียบอะไรจากฝรั่งเลย ถ้ามันมีอะไรที่จะทำให้เด็กดีขึ้น ให้มนุษย์ดีขึ้นแล้ว ก็เอาเถิด ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีในระเบียบของกระทรวง ไม่มีในหลักสูตรของกระทรวง ก็ทำได้ จะเป็นอะไรไป มันทำให้มนุษย์ดีขึ้นด้วยเจตนาดี แต่ไม่ต้องกลัว มันไอ้คงจะมีการปรับปรุงแก้ไขให้หมาหางด้วนนี้เป็นมีหางกลับมานะ
ดูเหมือนกระทรวงก็จะนึกถึงเรื่องศีลธรรมกันมากขึ้นแล้ว ในเวลาอันไม่นานนี้ ก่อนนี้ไม่นึกถึง ทิ้งกันนานเกินไป จนมันหลุดหายไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้กำลังคิดว่ามันจะต้องกลับมา ฉะนั้นเราคงได้รับหลักสูตรชนิดที่มีศีลธรรมมากขึ้น แต่อาตมาบอกว่าเขาจะมีไม่มีก็ตามใจ เราในฐานะที่เป็นมนุษย์ เป็นครูที่ถูกต้องตามความหมายของคำๆ นี้แล้ว สนใจกันดีกว่า พยายามให้ศีลธรรมกลับมา ให้เด็กๆ ของเราเป็นผู้มีศีลธรรม ทีนี้ความมีศีลธรรมนั้นมันต้องอบรมให้ปฏิบัติ ไม่ใช่ให้เขาจดไว้ในสมุด ปิดเก็บไว้ หรือท่องจำได้ ตอบคำถามถูก แล้วก็เลื่อนชั้น อย่างนั้นมันไม่มีศีลธรรมได้ เด็กๆ จะมีศีลธรรมแต่ในสมุด หรือว่าอย่างดีก็อยู่ที่ปาก ที่เนื้อที่ตัวมันไม่มี แล้วโตขึ้นจะเป็นอย่างไร คิดดูเองก็ได้ พอจะมองเห็น ทีนี้เด็กๆ ของเราไม่เคารพบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ก่อการทะเลาะวิวาทในโรงเรียน ในระดับวิทยาลัยนั้นแหละ ทะเลาะกันเป็นฝูงๆ เหมือนกับสัตว์ป่าอย่างนี้ก็เพราะความไม่มีศีลธรรม ถ้าว่าศีลธรรมกลับมา อันนี้มันก็จะหายไป
เราหวังดีต่อมนุษย์ เราก็ทำได้ในฐานะที่เป็นครูเปิดประตูทางวิญญาณ โดยจิตใจขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า แม้ว่าทางร่างกายจะขึ้นอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการก็ตามใจ แต่โดยทางจิตใจแล้วขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้าบ้าง แล้วก็ทำได้โดยที่ไม่ต้องเกิดปัญหายุ่งยากลำบากอะไร แล้วจะได้บุญด้วย อาตมาพูดกับครู พูดกับผู้พิพากษา หรือพูดกับข้าราชการบางชนิด แล้วก็พูดถึงอาชีพที่ได้บุญ คืออาชีพของปูชนียบุคคล อาชีพธรรมดามันไม่ได้บุญ เป็นกรรมกรแบกข้าวสารก็ได้เงินค่าแรงพอคุ้มๆ กัน ไม่ได้บุญ อาชีพนั้นไม่ได้บุญ แต่ว่าอาชีพครูนี้เราให้แสงสว่างทางวิญญาณ สร้างโลกนี้ให้สงบ ผลที่เกิดขึ้นมันมากมายมหาศาล ไอ้เงินเดือนไม่กี่ร้อยกี่พันนี้ มันเป็นเศษขยะมูลฝอยไป ไอ้ผลที่เราให้แก่โลกมันมากกว่า เพราะฉะนั้นจึงเป็นปูชนียบุคคล อาชีพชนิดนี้เรียกว่า อาชีพปูชนียบุคคล เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านมีอาชีพเป็นปูชนียบุคคล คือสิ่งที่ท่านทำให้แก่โลกมันมาก แล้วท่านก็รับเพียงว่าอาหารวันละมื้อนี้ มันเทียบกันไม่ได้ มันก็เลยเป็นอาชีพปูชนียบุคคล ได้บุญอยู่ในตัว หรืออีกอย่างหนึ่งก็เรียกว่าอาชีพเจ้าหนี้ เพราะว่าเราทำให้เขามากกว่า เป็นเจ้าหนี้ แล้วเรารับของเขามากินนิดเดียว เราก็เป็นเจ้าหนี้ นี่ที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดี ก็เป็นอยู่อย่างอาชีพเจ้าหนี้ อาชีพปูชนียบุคคล ที่อย่างเดี๋ยวนี้ก็ต้องเรียกว่าได้บุญด้วย อย่างเป็นครูถูกต้องดี มันก็เป็นปูชนียบุคคล เป็นเจ้าหนี้ เพราะเราทำให้มากกว่าที่เรารับเอามา แล้วเราก็ได้บุญ
ฉะนั้นขอให้ครูทุกคนพอใจที่ได้มีอาชีพเป็นครู เพราะว่ามันเป็นอาชีพที่ได้บุญ อาชีพอย่างอื่นก็ไม่ค่อยมีนัก มันมีเหมือนกัน ถ้าว่าเขาประพฤติอย่างถูกต้อง ไม่คดโกง ไม่ขูดเลือด ไม่เอาเปรียบ ไม่อะไร ก็เรียกว่ามันพอจะได้บุญบ้าง แต่ที่มันจะได้บุญมากๆ ก็คือว่าอาชีพที่มันทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์มาก เช่นว่าอาชีพผู้พิพากษา รักษาความเป็นธรรม ยุติธรรมในโลกไว้ให้ได้ อย่าคดโกง อย่ากินสินบนอย่างนี้ มันก็เป็นการทำให้มาก แล้วก็รับประโยชน์ เงินเดือนนี้มันไม่เท่าไรถ้าไปเทียบกับผลที่มันได้แก่โลก มันก็เลยเป็นอาชีพปูชนีบุคคลไปได้เหมือนกัน อาชีพนั้นได้บุญอยู่ในตัว เกือบจะไม่ต้องไปทำบุญอะไรที่ไหนอีก มันเป็นบุญอยู่ในตัว
ฉะนั้นขอให้เป็นครูที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง มันจะได้บุญอยู่ในตัว จะเป็นอาชีพปูชนียบุคคล เป็นอาชีพเจ้าหนี้ ควรแก่การกราบไหว้ของลูกศิษย์ให้มันแน่นอน ก็เลยมีบุญคุณอยู่เหนือลูกศิษย์โดยทั่วๆ ไปโดยแท้จริง ใครจะรู้ไม่รู้ ช่างหัวมัน ไม่เป็นประมาณน่ะ แต่ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไรดีกว่า เมื่อเราทำอย่างนี้แล้วมันก็เป็นปูชนียบุคคลในโลก เป็นเจ้าหนี้ อาชีพเจ้าหนี้ อาชีพที่ได้บุญ แล้วยิ่งกว่านั้นก็เหมือนกับพูดเมื่อตะกี้นี้ ครูน่ะผู้สร้างโลก ครูน่ะเป็นพระเจ้าสร้างโลกที่พิสูจน์ได้ พระเจ้าสร้างโลกที่อื่นพิสูจน์ไม่ได้ ได้แต่ว่าคาดคะเน ขอให้พอใจในการได้มีอาชีพเป็นครูผู้สร้างโลก ฉะนั้นขอให้ไปสนใจให้มากที่สุด ศึกษาธรรมะให้เพียงพอในการที่จะเป็นผู้สร้างโลก ถ้ากระทรวงเขาให้หลักสูตรมาไม่พอ เราไปหาเอาเองก็ได้ เรื่องธรรมะในพระศาสนานี่หาเอาเองได้ในพระคัมภีร์ จากพระคัมภีร์ จากหนังสือหนังหาเรื่องนั้นโดยตรง เอามาใช้ในการสร้างโลกให้สมบูรณ์ แล้วก็เลยเป็นผู้สร้างโลกที่แท้จริง มันไม่ใช่ว่าจะพูดประจบ ไม่มีเรื่องประจบ ไม่มีเรื่องต้องประจบ พูดตรงๆ ว่าครูนี่ เมื่อเป็นครูจริงๆ แล้ว มันเป็นผู้สร้างโลกอย่างนี้
เอ้า, เหลือเวลาอีกนิด ก็พูดเรื่องสร้างโลก สร้างโลกในที่นี้คือสร้างวิญญาณของเด็ก สร้างจิตใจของเด็ก สร้างโลกคือโลกวิญญาณ คือจิตใจของเด็ก สร้างจิตใจให้เด็กเสียใหม่ ให้มันมีศีลธรรม ไอ้คำว่าศีลธรรมนี่มันมากมาย มันกว้างขวางโดยรายละเอียด แต่เราก็เอาเหมือนอย่างที่ว่าเมื่อตะกี้นี้ ให้มันอยู่กันด้วยความเป็นผาสุก ผู้นั้นก็มีความสุข ผู้ที่อยู่ใกล้ๆ เขาก็พลอยได้รับความสุข เพราะเขาว่ามีศีลธรรม
ศีลธรรมแปลว่าสิ่งที่ทำความสงบสุข คือความมีปกติ ไม่วุ่นวาย หลักศีลธรรมที่อาตมาเคยนึกคิดตลอดเวลา หลายๆ ปีมานี้พูดไปเรื่องศีลธรรมนี้เป็นร้อยๆ ครั้งแล้ว ก็สรุปไปจากข้อความที่เคยคิด เคยนึก เคยรวบรวมนั้นมาก็ได้ว่า เดี๋ยวนี้ที่มันเป็นจุดตั้งต้น เป็นหลักหัวข้อใหญ่ๆ ก็เอาสัก ๓ ข้อก็พอ คือทำให้เด็กๆ ของเรายอมรับสภาพที่ว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน นี่ข้อหนึ่ง ให้เด็กเขายอมรับสภาพที่ว่าชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน อบรมเขาให้มันมีความรู้สึกอย่างนี้จนได้
ข้อที่สอง ให้เขายินดีในการบังคับตัว บังคับจิต บังคับกิเลส ซึ่งเราไปตามก้นฝรั่ง ซึ่งเขาไม่มีหลักบังคับจิต บังคับกิเลส เขาว่ามันเสียอิสรภาพ เราเอาตามหลักศาสนาของฝ่ายตะวันออกเราว่า จิต กิเลส ตัวตนนี่เป็นสิ่งที่ต้องบังคับ แม้มันจะเจ็บปวดก็เพื่อความดียิ่งขึ้นไป ฉะนั้นขอให้สนใจบังคับตน จะละความชั่วได้ ทีนี้ปัญหาเกิดมาจากการไม่บังคับตน อันธพาลจึงชุมยิ่งกว่ายุง มูลเหตุที่เป็นอันธพาลก็คือการไม่บังคับตัว ก็ไปเป็นอันธพาล รวยลัด เรียนลัด อะไรกันก็ตาม เขาไม่บังคับตัว เขาทำได้ถึงขนาดว่าข่มขืนแล้วฆ่า คิดดูเถิด ความไม่บังคับตัวมันไปมากถึงนั้น
ข้อที่สามนี่ก็ให้เขาสนุกเมื่อทำหน้าที่การงาน สนุกเมื่อทำหน้าที่ เป็นสุขเมื่อทำหน้าที่ โดยรายละเอียดสักหน่อยก็คือว่าเขายอมรับสภาพว่า ทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน อย่าละอายที่จะพูดประโยคนี้ออกมา มันดูเก่าแก่ครึคระเต็มที คนแก่ๆ เท่านั้นพูด คนหนุ่มๆ ไม่อยากฟัง แต่อันนี้คือ ต้นตอ รกราก รากฐาน สมุฏฐานของศีลธรรมทั้งหมด ถ้าคนเราไม่ยอมรับสภาพว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ไม่มีทางที่จะมีศีลธรรมขึ้นมาได้ ความจริงอันนี้เป็นรากฐานของศีลธรรมทั้งหมด เขาใช้คำว่าชีวิตเท่านั้นเอง ชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เพื่อนมันลดลงไปจากคน ลงไปถึงสัตว์ และลงไปถึงต้นไม้ เพราะต้นไม้มันก็มีชีวิต สัตว์เดรัจฉานก็มีชีวิต คนก็มีชีวิต
ฉะนั้นขอให้ถือว่าชีวิตทั้งหลายได้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ฉะนั้นอย่าไปทำลายสัตว์เดรัจฉาน อย่าไปทำลายต้นไม้ อย่าไปทำลายสิ่งที่มันมีชีวิต แล้วคิดดูว่าโลกนี้มันจะเป็นอย่างไร มันไม่มีการทำลายชีวิตของกันและกัน แล้วมันออกมาเป็นความไม่เห็นแก่ตัว ถ้าเรารักผู้อื่นในฐานะเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็ไม่เห็นแก่ตัว ฉะนั้นกิเลสทั้งหลายเกิดไม่ได้ การเบียดเบียนเกิดไม่ได้ เบียดเบียนเพราะเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ไปดูรายไหนก็รายนั้น ถ้าเบียดเบียนใครมันก็เรื่องเห็นแก่ตัวทั้งนั้น แล้วเกิดความโลภก็เพราะเราเห็นแก่ตัว เกิดความโกรธก็เพราะเห็นแก่ตัว เกิดความหลงก็เพราะเห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัวแล้วปัญหามันจะหมดไปเกือบจะไม่มีเหลือละปัญหาสำคัญ เพราะเราทำความชั่ว เพราะเราเห็นแก่ตัว ทำความทุกข์แก่ตนเอง เท่ากับเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวอย่างโง่เขลา แล้วก็เบียดเบียนผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่น ก็เพราะเห็นแก่ตัว ทำปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ดื่มน้ำเมา นี่เพราะเห็นแก่ตัวทั้งนั้น
มีคำว่าไม่เห็นแก่ตัวเข้ามาเท่านั้นน่ะ อื่นๆ จะมีมาหมดน่ะ ศีลธรรมทั้งหลายจะมีมาได้โดยง่าย เช่น จะไม่มีการขาดศีล ๕ เราถือศีล ๑ คือไม่เห็นแก่ตัว แล้วศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ดี ศีล ๒๒๗, ๓๐๐ อะไรก็ดี มันจะมาเองหมด นี่เราเอารากฐานกันตรงที่อบรมเด็กให้รักผู้อื่น ให้รักเพื่อนมนุษย์ รักสิ่งที่มีชีวิต เพราะว่าเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น หรือที่เรียกว่าอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ มันเข้าไปหาเรื่องเดียวกัน ถ้าเด็กๆ เขามองเห็นข้อนี้แล้ว เขาก็จะยินดี คงจะยินดีที่จะปฏิบัติฝึกฝนไม่ให้เห็นแก่ตัว พุทธบริษัทถือหลักอันนี้กันมาเรียกว่าเป็นหลักใหญ่ เป็นหลักแน่นแฟ้น จนถึงกับว่าบางคนประพฤติอย่างเคร่งครัด ถ้าไม่ได้ให้ผู้อื่นกินก่อนแล้วตัวเองจะยังไม่กิน ถ้าไม่มีคนมาจะให้ได้ก็ให้สัตว์เดรัจฉานกินก็ได้ แม้แต่ว่าหยิบ เคยเห็นแม่ชีเขาหยิบข้าวในบาตรไปวางไว้นิดหนึ่ง ให้มดแมลงกิน เรียกว่าเขาจะได้ถือว่าได้ให้ผู้อื่นแล้วตัวเองจึงจะกิน มันมีการปฏิบัติที่เคร่งครัดรุนแรงถึงขนาดนี้
ถ้าเด็กๆ ของเราจะถือหลักอย่างนี้แล้วมันก็คงจะวิเศษเกินกว่าที่จะพูดได้ จะมีความรักสามัคคี ไม่มีการทะเลาะวิวาท ถ้าเรายังไม่ได้ให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ไปบ้าง เราก็ยังไม่กิน เด็กคนหนึ่งเขามีบาทหนึ่ง เขาให้เพื่อนห้าสตางค์ สิบสตางค์ หรือมีให้เพื่อนกินอะไรสักนิดหนึ่ง ทุกวันๆ เพราะว่าเรามี เพราะว่าเราเผอิญพ่อแม่ของเรามีเงินมีสตางค์ ไอ้เพื่อนของเราบางคนไม่มีเลยอย่างนี้ เราก็ควรจะนึกถึงข้อนี้ แล้วเราต้องอบรมให้เด็กนักเรียนของเรานั่นแหละ รู้จักยึดถือหลักเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย จนกระทั่งว่า ถ้าไม่ได้ให้ผู้อื่นกินแล้วตัวเองก็จะยังไม่กิน นี่ธรรมเนียมไทยเคร่งครัดในข้อนี้จนเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว เช่น ไม่ได้ชวนผู้อื่นกินนี่ตัวเองกินไม่ได้หรอก ซึ่งในพวกฝรั่งอาจจะไม่มี ที่ว่าถ้าไม่ได้ชวนเพื่อนกิน ไม่ให้เพื่อนกินด้วย ตัวเองไม่กิน นี่มันมีมาแต่โบราณกาลในสายเลือดไทย ซึ่งในพวกฝรั่งบางแห่งเขาไม่มี ไม่รู้จักจะทำอย่างนี้ ในวัฒนธรรมไทยมันมีอยู่ในสายเลือด ฉะนั้นไปที่ไหนก็จะได้รับการชักชวนให้กินข้าวตามแบบโบราณ ไปที่ไหนก็ต้องได้กินข้าว
เรามีหลักเกณฑ์ที่จะไปอบรมเด็กๆ ของเราให้ถือหลักอย่างนี้ ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้อื่นในฐานะเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เรากินคนเดียวไม่มีความสุข ต้องเพื่อนได้กินด้วย ไอ้เรื่องให้เพื่อนกินนั้นมันดีกว่าเรากินเอง ถ้าเรากินเองเดี๋ยวมันก็ไปถ่ายอุจจาระ ถ้าเราให้เพื่อนกินมันไปฝังอยู่ในจิตใจของเพื่อนตลอดชีวิต มันไม่ได้ถ่ายเป็นอุจจาระออกไป นี่สอนให้เขามองเห็นไอ้จิตที่คิดจะให้ จิตที่กำลังให้นั้นสบายกว่าจิตที่คิดจะเอา จิตให้สบายกว่าจิตรับ ช่วยสอนให้เด็กๆ สังเกตดูเถิด แต่ทีแรกเขาจะไม่เข้าใจ เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดลึกเกินไป ไอ้จิตที่ให้สบายกว่าจิตที่จะรับ แต่เมื่อยกตัวอย่างหรือว่าชี้ให้เห็นเรื่อยๆ ไปว่ามันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ จิตให้มันเป็นจิตที่กว้าง ที่สะอาด ที่บริสุทธิ์ หรืออิสระ ไอ้จิตที่จะเอามันหมกมุ่นอยู่ด้วยกิเลส จิตที่จะให้ จิตเมื่อให้สบายกว่าจิตเมื่อเอาโดยแท้จริง แต่เด็กๆ มองเห็นยาก ต้องชี้แจง ต้องแนะนำ ต้องสั่งสอนไปตามนั้น เรามีดอกไม้หอมๆ ดอกหนึ่ง ดมเองเดี๋ยวก็เหี่ยว ก็ทิ้งไป แต่ถ้าเราให้เพื่อนมันไปอยู่ในจิตใจของเพื่อนชนิดที่ไม่รู้จักเหี่ยว ไม่รู้จักโรยอย่างนี้ นี่เด็กๆ ของเรารู้จักคิดทำนองนี้กันบ้าง ไอ้เด็กคนนี้ก็จะออกมาเป็นมนุษย์ที่ดีในอนาคต นี่ศีลธรรมข้อที่หนึ่งว่า มันยอมรับสภาพว่าเราต้องเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ข้อที่สอง ให้เขาบังคับตัวเอง บังคับตัวเองคือ บังคับจิต บังคับจิตคือ บังคับกิเลส ฟังดูดีๆ นะ มันสิ่งเดียวกัน ที่ว่าบังคับตัวๆ มันคือบังคับจิต ไอ้ร่างกายมันมาจากจิต ฉะนั้นบังคับตัวนั้นคือ บังคับจิต ทีนี้บังคับจิตคือ บังคับกิเลสที่ครอบงำจิต ฉะนั้นจงบังคับกิเลส อย่าปล่อยตามอำนาจของกิเลสเรื่องโลภ เรื่องโกรธ เรื่องหลง จงบังคับเอาไว้เพื่อความบริสุทธิ์ สะอาด สว่าง สงบ เป็นผลอย่างนั้น เดี๋ยวนี้เราไม่บังคับ อยากจะโกรธก็โกรธ อยากจะรักก็รัก อยากจะเกลียดก็เกลียด โง่ไปถึงว่าอยากจะกลัวก็กลัว อยากจะเศร้าก็เศร้า ไม่บังคับไว้ได้ มีธรรมะ มีสติพอ แล้วก็บังคับไว้ได้ บันดาลโทสะออกไป โกรธออกไปถือว่าเลวมาก เสียใจมาก บังคับไว้ได้ก็พอใจ ก็นับถือตัวเองว่ามีอะไรดี ฉะนั้นขอให้บังคับความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้เป็นนิสัย แต่ถ้าเด็กเขาบังคับได้ เราควรจะให้ความสนใจ สรรเสริญ ให้กำลังใจ เพื่อเขาจะบังคับจิต บังคับกิเลสมากขึ้น
หนังสือสอนเด็กเล็กๆ นิทานเรื่องนับสิบก่อนนั่นน่ะ ไปหาอ่านดูเถิด นั่นน่ะเขามุ่งหมายจะสอนการบังคับจิต เด็กคนนั้นได้รับคำสั่งสอนขอร้องจากแม่ว่าจะไม่พูดเมื่อโกรธ พอโกรธขึ้นมาจะนับ ๑ - ๑๐ เสียก่อนจึงค่อยพูด นี่ก็มีเรื่องอย่างนั้น แทนที่เขาจะโกรธพี่สาวที่ทำกระป๋องเมล็ดพืชหก ก็นั่งนิ่งนับ ๑ - ๑๐ เสียก่อน พอดีมันหายโกรธเลย มันเลยพูดหยาบไม่ได้ หรือว่าดุด่าผู้อื่นไม่ได้ ควรจะมีอุบายวิธีหลายๆ อย่างให้เด็กเขาบังคับตัว บังคับจิต บังคับกิเลส หรือบังคับความรู้สึก อย่าปล่อยไปตามความรู้สึกเหมือนไอ้หลักการศึกษาบ้าๆ บอๆ สมัยนี้ ที่ไม่ให้บังคับความรู้สึก ก่อนนี้ไอ้ฝรั่งตัวเก่งที่สุดในการบังคับความรู้สึก บังคับตัว บังคับอะไร เขาก็ยกเป็นสิ่งสูงสุด เขามาแสดงอวดเรา แต่เดี๋ยวนี้ฝรั่งอย่างนั้นก็หายากแล้ว ก่อนครูบาอาจารย์ที่เป็นฝรั่งจะมาพูดถึงแต่เรื่องบังคับตัวๆ นี้มาก
ทีนี้ข้อสุดท้ายที่ว่า สนุกเมื่อทำหน้าที่ นี่ขอให้รู้ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นคือหน้าที่ ไอ้ธรรมะคือเรื่องธรรมะ คือเรื่องธรรมชาติ เรื่องกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ เรื่องผลที่เกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่ หน้าที่เช่นว่าประพฤติตามหลักพระพุทธศาสนา มันเป็นหน้าที่เพื่อจะบรรลุพระนิพพาน ถ้าหน้าที่ต่ำต้อยก็เช่นว่า จะมีต้องมีหน้าที่หาอาหารกิน กินอาหาร บริหารร่างกายให้ดี เพื่อรอดชีวิตอยู่ได้ นี่หน้าที่ระดับแรก ระดับต่ำ เราต้องมีอาหารกิน เราต้องหาอาหารกิน เราต้องกินแล้วเราต้องบริหารร่างกาย อาบน้ำ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ อะไรก็ตามที่เป็นการบริหารร่างกายให้รอดอยู่ได้นี้เรียกว่าหน้าที่ นี้ก็เป็นธรรมะเหมือนกัน แล้วเมื่อมันรอดชีวิตอยู่ได้แล้วก็ทำหน้าที่สูงขึ้นไปเพื่อจะบริสุทธิ์ สะอาด บรรลุมรรคผลนิพพาน นั้นก็เป็นหน้าที่
ฉะนั้นเด็กๆ เรียนหนังสือก็มี ก็คือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ การเรียนหนังสือให้ดีคือการประพฤติธรรมะอย่างดี ครูก็เหมือนกัน เมื่อสอนศิษย์อยู่อย่างดีก็เป็นการปฏิบัติธรรมะที่ดี ฉะนั้นมีการปฏิบัติธรรมะอยู่ที่การทำหน้าที่ ไม่ว่าอะไรหมด แม้แต่หาอาหารกินมันก็เป็นธรรมะ หน้าที่ บริหารร่างกายดีก็ธรรมะ หน้าที่ บริหารสิ่งของ บ้านเรือน เครื่องไม้ เครื่องใช้ไม้สอยในบ้านให้ดี ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะคือหน้าที่ ฉะนั้นเราควรจะเป็นสุขเมื่อทำหน้าที่ เพราะว่าเป็นการปฏิบัติธรรมะ มันเป็นสุขอยู่ที่หน้ากระดานดำ ถือชอล์กอยู่นั่นแหละเป็นสุข ไม่ใช่ว่าเมื่อไรจะ ๔ โมงเย็น จะออกไปอาบอบนวด จะไปหาความสุขที่นั่น นั่นแหละเรียกว่ามันเป็นเรื่องของกิเลสเป็นที่ชักจูง
ฉะนั้นมันมีความสุขอยู่เมื่อกำลังทำหน้าที่ จงสนใจให้เกิดความสุขเมื่อทำหน้าที่ เพราะว่าการทำหน้าที่นั้นคือการปฏิบัติธรรมะ ซึ่งมันไม่ใช่ง่ายล่ะ ถ้าทำได้มันก็เรียกว่าเป็นปฏิบัติธรรมะสูงสุด เพราะมันบังคับจิตให้พอใจในหน้าที่ซึ่งเป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัว ถ้าเรามีหน้าที่อะไร ก็พอใจยินดีในหน้าที่อันนั้น เป็นชาวนามีความสุขเมื่อทำนา เป็นชาวสวนมีความสุขเมื่อทำสวน เป็นครูก็มีความสุขเมื่อนั่งอยู่ที่โต๊ะครู หรือว่ายืนอยู่หน้ากระดานดำ ทุกอย่างล่ะ แล้วก็ไม่ต้องไปหาความสุขหลอกๆ ความสุขร้อนๆ ที่บูชากันนัก ที่มันสมองของมนุษย์มันเดินไปผิด แล้วความเจริญทางวัตถุมันก้าวไปผิด สร้างสิ่งมอมเมาตัวเองให้หลงใหลในเรื่องกิเลส ภาษาศาสนาเขาเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเรื่องเนื้อหนัง ไปหาความเอร็ดอร่อย สนุกสนานเพลิดเพลินทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง กระทั่งทางจิตใจ เช่น เฮโรอีนนี่เป็นความสุขทางจิตใจ มันก็เลยวินาศ แต่เขาก็คิดว่ามันเป็นความสุข สุขของอวิชชา สุขของความโง่ ความหลง เราถือกันว่าไอ้ “สุก” นี้ ก. สะกด สุกให้สุก เผาให้สุก ต้มให้สุก ให้ร้อนระอุไปหมด นี่ “สุก” นี้ ก. สะกด ก็เรื่องตามใจเนื้อหนัง ตามใจกิเลสตัณหา เป็นทาสของอายตนะ ภาษาธรรมะเขาใช้คำว่าเป็นทาสของอายตนะ คือเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่กิเลสครอบงำเสียแล้ว นี่ไปเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ ให้สิ่งเหล่านี้จูงไป ก็เรียกว่าเป็นทาสของอายตนะ ผลที่ได้มาคือ “ความสุก” ก. สะกด เงินเดือนไม่พอใช้จนต้องคอร์รัปชั่น ไม่มีทางหลีกได้
ทีนี่ว่าเรามันสุขอยู่ที่การงาน พอใจที่การงาน อิ่มอกอิ่มใจอยู่ที่การงาน มันก็ไม่ต้องใช้จ่าย เงินมันก็จะเหลือใช้ แล้วจิตใจก็จะบริสุทธิ์ สะอาด สว่าง สงบ ไม่ต้องเป็นโรคนอนไม่หลับให้อายสุนัข คนที่ทำผิดในเรื่องอย่างนี้ควบคุมไว้ไม่ได้ เดี๋ยวก็เต็มไปด้วยหนี้สิน เต็มไปด้วยความวิตกกังวล มันต้องปวดหัว มันต้องนอนไม่หลับ ต้องเป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต ให้มันอายสุนัข นี่เราท้าให้ดูว่าสุนัขมันยังไม่เคยปวดหัว หมู หมา กา ไก่ ไม่เคยปวดหัว ไม่เคยนอนไม่หลับ ไม่เคยเป็นโรคประสาท ไม่เคยเป็นโรคจิต เราไปทำผิดเข้ามันก็ต้องมี แล้วมันก็ได้อายสัตว์เดรัจฉาน
ฉะนั้นขอให้บูชาธรรมะ บูชาธรรมะ อาตมาใช้คำว่าบูชาธรรมะ คือการงาน หน้าที่ของตนเฉพาะคนๆ นั้นคือธรรมะ ธรรมะก็คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะในพระพุทธศาสนา ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ทั้งพระไตรปิฎกมันคือหน้าที่ทั้งนั้นแหละ หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติเพื่อมนุษย์มันยิ่งขึ้นไป เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง พอได้ทำแล้วก็พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วก็ใช้ได้ ถ้าใครยกมือไหว้ตัวเองได้แล้ว มันก็เป็นมนุษย์ที่ปลอดภัยโดยสมบูรณ์ เป็นพระอริยเจ้าขึ้นมาทันที มันมีทางเดียวที่พูดว่าพอใจในการทำหน้าที่ไม่บกพร่อง มีธรรมะคือหน้าที่ไม่บกพร่อง แล้วก็พอใจตัวเอง ขนาดยกมือไหว้ตัวเองได้ นี้เรียกว่ามีความสุขในการงานคือการปฏิบัติธรรม การงานคือการปฏิบัติธรม การปฏิบัติธรรมคือการทำหน้าที่ ไปดูให้ดี ไม่ได้หลอกคุณหรอก โดยหลักของธรรมชาติก็เป็นอย่างนั้น โดยหลักทางศาสนาก็เป็นอย่างนั้น หน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้นคือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เราทำให้ดี ปฏิบัติธรรมะสูงสุด แล้วก็ไหว้ตัวเองได้ เป็นความสุขสูงสุด โดยไม่ต้องใช้เงินสักสตางค์เดียว ผู้ที่เป็นอยู่อย่างนี้มันเกือบจะไม่ต้องใช้เงินอะไร เพราะมันหาสุขได้ในการทำงาน เมื่อทำงานมันก็ต้องมีผลตอบแทนเพื่อเลี้ยงชีวิต ไม่ต้องกลัว อย่าไปนึกมันก็ได้ มันก็ต้องมีมา ฉะนั้นเราบูชาความเป็นปูชนียบุคคล ทำหน้าที่ของผู้เป็นปูชนียบุคคล ก็เป็นสุขเหลือประมาณ ก้าวหน้าเหลือประมาณ เดินทางไปพระนิพพานโดยรวดเร็ว
ฉะนั้นขอฝากไว้เพียง ๓ ข้อ ช่วยไปอบรมเด็กๆ ลูกเด็กๆ ให้เขารักผู้อื่น เพราะว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่เจ็บ ตาย ด้วยกัน ไปอบรมเขาให้ชอบบังคับตัวเอง ชอบบังคับกิเลส ชอบบังคับจิตให้อยู่ในความถูกต้อง และให้เขาเป็นสุขอย่างยิ่ง ดีใจอย่างยิ่งเมื่อได้ทำหน้าที่ ไอ้เด็กตัวเล็กๆ มันก็มีสัญชาตญาณแห่งการพอใจเมื่อได้ทำหน้าที่ถูกใจพ่อแม่ เขาชอบอวดอยู่เสมอว่าได้ทำหน้าที่ถูกใจพ่อแม่แล้วก็ยินดี เต้นแร้งเต้นกาทีเดียว เด็กเล็กๆ มันก็มีสัญชาตญาณอย่างนี้ ฉะนั้นช่วยส่งเสริมเขาให้เป็นสุขเมื่อได้ทำหน้าที่ หรือทำให้ถูกใจผู้อื่น โดยเฉพาะบิดามารดา ครูบาอาจารย์
เพียง ๓ ประการนี้เท่านั้นมันแจกรูปออกไปเป็นศีลธรรมทั้งหมด กี่สิบอย่าง กี่ร้อยอย่าง มันจะแจกรูปออกไปได้จากหัวข้อทั้งสามนี้ ฉะนั้นจึงว่าสนใจเถิด แล้วมันก็จะสมบูรณ์ การศึกษาจะไม่เป็นหมาหางด้วนอีกต่อไป แล้วพระเจดีย์ก็จะมียอดที่งดงาม สำเร็จได้เพราะครูบาอาจารย์ เอาละ เป็นอันว่าอาตมาได้พูดสนทนากับผู้ที่เป็นครูด้วยกันพอสมควรแก่เวลาแล้ว ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ ก็ไม่บกพร่อง ในฐานะที่เราเป็นครู ก็ไม่บกพร่อง แล้วมันก็หมด เรื่องมันจบ เราจะมีความสุข เพื่อนมนุษย์ของเราจะมีความสุข แล้วเรื่องมันจบ ไม่อย่างนั้นมันไม่มีจบได้ มันมีปัญหายุ่งยากเรื่อยไป เป็นมนุษย์กันให้ถูกต้อง เป็นครูกันให้ถูกต้อง แล้วเรื่องมันจบ
เอาละ ในที่สุดนี้อาตมาขอร้อง ขอวิงวอน ให้ท่านทั้งหลายมีความแน่ใจในการที่จะปฏิบัติธรรมะเพื่อประโยชน์แก่ความเป็นครู และในที่สุดนี้ขอให้พร ขออำนวยพรว่าท่านทั้งหลายทุกคนจงกล้า จงเชื่อและกล้า มีธรรมะเป็นเครื่องดลใจให้มีความเชื่อ โดยเหตุผลที่ถูกต้อง และมีความกล้าหาญ ไม่ต้องกลัวอะไรในการที่จะประพฤติปฏิบัติหน้าที่นี้ให้สำเร็จบริบูรณ์ และโดยที่ไม่ต้องมีใครให้พรที่ไหนอีก มันจะเป็นพรอยู่ในตัวเอง แล้วก็จะมีความเจริญงอกงามก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเป็นแน่นอน ขอยุติการบรรยาย สนทนากันวันนี้