แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เท่าที่อาตมานึกออกเดี๋ยวนี้ ก็อยากจะพูดเรื่อง พระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นบรมครู ก็อยากจะให้พวกเรารู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะที่ท่านเป็นบรมครู แต่ว่าโดยที่จริงเขาก็ถือกันอย่างนี้อยู่แล้วในหมู่พุทธบริษัท ว่าพระพุทธเจ้าเป็นบรมศาสดา คือ บรมครู นี่ท่านทั้งหลาย อ้า, ก็เป็นครู แล้วก็มีหัวหน้าครู มันจะเป็นครูอย่างเดียวกันหรือเปล่า เท่าที่อาตมาสังเกตเห็น ดูมัน ครู ของรัฐบาลนี้ จะไม่ยอมรับเอาความหมายของคำว่าครู อย่างของพระพุทธเจ้า ดูลงไปถึงเด็กๆ พวกเด็กๆ เขาไม่มองเห็นว่า เป็นครูชนิดเดียวกัน ในระหว่างครูของรัฐบาลกับ ครูของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นบรมครู พระสงฆ์ทั้งหลายก็เป็นครู อย่างอาตมานี่ ก็ประกาศตัวเองว่าเป็นครู ที่ขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายก็ย่อมจะประกาศตัวเองว่าเป็นครู ก็ขึ้นสังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการอย่างนี้เป็นต้น แล้วสองครูนี้ มันจะไปด้วยกันได้หรือไม่ ยังสงสัยอยู่ อย่างท่านทั้งหลายมาที่นี่ อาตมาก็นึกอยู่เสมอเหมือนกันว่า จะได้อะไร หรือจะมาเอาอะไร หรือคงจะมาเอาอะไร ถ้ามาหาการพักผ่อน เกี่ยวกับสถานที่ตามธรรมชาติ มันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องครู ไม่เกี่ยวกับคำว่า ครู ท่านจะต้องทำความเข้าใจอะไรกันบางอย่างเกี่ยวกับคำว่าครู จะได้ช่วยกันทั้ง ๒ ครู คือ ครูตามความหมายของทางธรรมะ ทางศาสนา กับคำว่าครูตามความหมายของชาวบ้าน ควรจะกลมกลืนกัน แล้วก็ทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์ คือ สันติภาพนั่นเอง เมื่อพูดถึงคำว่าครู มันก็ต้องนึกถึงสิ่งที่เรียกว่า การศึกษา เพราะมีการเรียนการสอน มันจึงมีครู และมีศิษย์ ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า การศึกษา มันก็ไม่ต้องมีครู ไม่มีศิษย์ นี่เราก็มุ่งหมายการศึกษา ว่าเป็นเรื่องสำคัญ ถึงกับยืมเอาคำว่า สิกขา หรืออิกขา ในภาษาศาสนา ภาษาบาลีสันสกฤตนี่ มาเป็นชื่อของคำว่าการศึกษาอย่างของชาวบ้าน อย่างของกระทรวงจัด มันก็เรียกว่าการศึกษาเหมือนกัน นี่แสดงว่าได้ยืมเอาคำว่า การศึกษา มาจากภาษาศาสนามาใช้ แต่แล้วจะได้เอาความหมาย มาด้วยหรือไม่ ยังเป็นที่สงสัยอยู่ ที่อาตมาว่ายังเป็นที่สงสัยอยู่นี้ มันก็หมายความว่า มันไม่ได้ ไม่ได้รับผลของการศึกษา ตามที่เราต้องการ มันคงจะยังไม่ได้รับการศึกษา และไม่ได้มีผลการศึกษาอย่างที่เราหวังกันอยู่ คือความสงบสุขของมนุษย์ การศึกษาที่มีอยู่ในโลก ยังไม่ทำให้มนุษย์ในโลกได้รับสันติภาพ ถ้าว่าไอ้หลักการศึกษาไม่รับรู้ ไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องสันติภาพของโลก ก็ป่วยการ อาตมาคิดว่ามันเป็นเรื่องป่วยการ มันจะทำไปทำไมให้ป่วยการ ถ้าว่าไอ้ระบบการศึกษาไม่ทำไปเพื่อสันติสุขสันติภาพของโลก เดี๋ยวนี้ ไอ้การศึกษามันยังไม่พิสูจน์ว่าได้ทำให้โลกมีสันติภาพ ก็เหมือนอย่างที่ว่ามาแล้ว มันรับเอามาแต่ชื่อ ว่าการศึกษา ไอ้ความหมายการศึกษาจริงๆ มันไม่ได้รับเอามา ใช้ในระบบการศึกษาอย่างของชาวโลก ชาวโลกมีการศึกษาเพียงให้รู้หนังสือ ให้ฉลาด แล้วให้รู้วิชาชีพโดยอาศัยไอ้เทคโนโลยีอันนี้เป็นหลัก แล้วมันก็จบ มันไม่ได้สอนเลยไปถึงว่า เป็นมนุษย์กันอย่างไร นี่การศึกษานี้จึงมันเป็นการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ ไม่เต็มตามความหมายของคำว่าการศึกษาในพุทธศาสนา การศึกษาในโลกสอนแต่ให้รู้หนังสือ กับให้รู้อาชีพที่ดีที่สุด ที่เขาชอบกันที่สุด เอาละเทคโนโลยีทำให้ไปโลกพระจันทร์ก็ได้ ทำอะไรออกมาอย่างเหมือนกับของทิพย์ ของเทวดาก็ได้ แต่แล้วโลกมันก็ไม่มีสันติภาพ เห็นไหม ขอให้มองดูกันตรงนี้ ไอ้วิชาเทคโนโลยี ที่เราจะเอามาเป็นรากฐานของอาชีพนี้ มันก้าวหน้าถึงกับว่าไปโลกพระจันทร์ก็ได้เหมือนว่าเล่น ต่อไปก็คงจะไปกันได้ทุกโลก แล้วอะไรมัน มีสันติภาพที่ไหนที่เกิดขึ้นในโลก มันยังเป็นหมัน นี่การศึกษาชนิดนี้ มันไม่มี การสอนให้รู้ว่าเราจะอยู่กันอย่างไร เราจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร ปัญหาของมนุษย์มันต้องไม่มีความทุกข์ จึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ถ้ายังมีความทุกข์อยู่ และก็ยังไม่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มนุษย์ที่สมบูรณ์ไม่มีความทุกข์เลย เราเรียกว่า พระอรหันต์ คือมนุษย์ที่ถึงจุดที่สมบูรณ์ การศึกษาทำให้ส่วนบุคคลไม่มีความทุกข์ ทำให้ให้ส่วนสังคมอยู่กันอย่างมีประโยชน์ แต่ละคนประพฤติประโยชน์แก่กันและกัน ไม่ใช่เอาเปรียบเบียดเบียนกัน ซึ่งเป็นเรื่องของอันธพาล เดี๋ยวนี้เราได้เห็นนักศึกษาจำนวนมากติดยาเสพติด ยาเสพติดที่ขายในโรงเรียน ในวิทยาลัย การชกต่อยตีรันฟันแทงมีในวิทยาลัย กระทั่งในมหาวิทยาลัย มีกิจกรรมลามกบัดสีในมหาวิทยาลัย อย่างหนังสือพิมพ์สองสามวันนี้ก็มีผู้สำเร็จมาจากเมืองนอก วิทยาลัยยาวเป็นหาง ทำการข่มขืนสตรี มีแผนการลามก การศึกษานี้มันช่วยไม่ได้ มันไม่สร้างความเป็นสุภาพบุรุษเลย นี่ไปเรียนเมืองนอก สมัยนี้ ไม่เหมือนกับสมัยเมื่อ ๕๐ ปีมาแล้ว เมื่อ ๕๐ ปีมาแล้ว การศึกษาที่เมืองนอกเขาสูงสุดอยู่ที่ความเป็นสุภาพบุรุษ เมื่อ น.ม.ส. กลับมาจากเมืองนอก มาแสดงปาฐกถาให้ฟังที่สามัคยาจารย์ ที่โรงเรียนสวนกุหลาบเดี๋ยวนี้ อาตมาก็ไปฟัง ก็จำไม่ลืมว่า ท่านบอกว่า เขาไม่ต้องการอะไรกัน นอกจากสูงสุดอยู่ที่ความเป็นสภาพบุรุษ ปริญญานั้นปริญญานี้ก็มี มีไปเถอะ ไม่มีความหมายอะไร ไปมีความหมายอยู่ที่ว่าต้องเป็นสุภาพบุรุษ คนที่จบวิชามาทุกๆ ปริญญา ต้องเป็นสุภาพบุรุษจึงจะเรียกว่า จบปริญญาที่แท้จริง ที่มันจบวิชาไหน ได้ปริญญาเอกมาแล้ว แต่มันไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ก็ถือว่าไม่ได้รับปริญญา ตามความหมายที่ถูกต้อง ถ้าเป็นสุภาพบุรุษมันก็มีธรรมะพอ สุภาพบุรุษแล้วรู้จักตัวเอง เขาเชื่อตัวเอง บังคับตัวเอง เคารพตัวเอง บูชาตัวเองได้เพราะมันมีอะไรดีจนยกมือไหว้ตัวเองได้ ส่วนคนที่ปริญญายาวเป็นหาง มันก็เป็นหาง หางเหมือนหางช้าง หางหมา หางลิงนี่ มันก็ไม่ช่วยได้ที่จะให้มันมีไอ้ความเป็นสุภาพบุรุษ มันจึงต่างกันมากที่ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา สมัยนี้ กับสมัยเมื่อห้า หกสิบปีมาแล้ว ซึ่งการศึกษานั่น เขาบูชาความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ดังนั้น เรียนจบมหาวิทยาลัยก็ได้ความรู้มาครบ คือหนังสือก็รู้ วิชาชีพก็รู้ แล้วมนุษย์เป็นมนุษย์กันอย่างไร ความรู้สำหรับเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง ให้โลกมีสันติภาพ เขาก็รู้ มันก็เลยมาทำหน้าที่ได้ ทำให้โลกมีสันติภาพได้ จึงขอสรุปความสั้นๆ ให้ท่านครูทั้งหลายนี่ ฟังว่า เราต้องมีการศึกษาถึง ๓ ชั้น ให้รู้หนังสือ ให้รู้อาชีพ ให้รู้ความเป็นมนุษย์ ๓ ชั้น เดี๋ยวนี้สอนแต่หนังสือกับอาชีพ ไม่ได้สอนเรื่องความเป็นมนุษย์กันอย่างไร จึงเรียกว่าระบบนี้ไม่สมบูรณ์ เรียกอย่างหยาบคายก็ว่า การศึกษาระบบหมาหางด้วน นี่ขออภัย พูดมันจำง่ายๆ ว่าระบบหมาหางด้วน ถ้าจะพูดให้สุภาพก็จะพูดว่าระบบพระเจดีย์ยอดด้วน พระเจดีย์มีแต่ฐานกับตัว ไม่มียอด ไหว้แล้วก็ไม่อิ่มใจ พระเจดีย์หางด้วน เอ้อ, ยอดด้วน แต่ถ้าเป็น พูดอย่างหยาบคายก็ ระบบหมาหางด้วน การศึกษาที่รู้แต่หนังสือกับอาชีพ แล้วเป็นมนุษย์กันอย่างไรไม่รู้ มันก็เป็น ระบบ ระบบหมาหางด้วน หรือถ้าว่าจะพูดให้ดีก็เรียกว่า ระบบพระเจดีย์ยอดด้วนก็ได้เหมือนกัน การศึกษาเพียงเท่านี้แหละที่ทำให้นักเรียนเลวลง เลวลง จนมียาเสพติดในวิทยาลัย มีการกระทำไอ้ลามกบัดสีในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย ออกมาก็ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ มีแต่ความเห็นแก่ตัว มีนักเลงเข้ามาบอก หรือเข้ามาคุย เชิงคุยกับอาตมาว่า วันครู ที่จะถึงในไม่กี่วันนี้ วันครูคือวันสำหรับครูเมา เขาเลี้ยงกันใหญ่ วัน วัน วันอื่นไม่เลี้ยงกันนัก หนักเหมือนกับ วันครู สำหรับครู ดังนั้น พอวันครู คือวันที่สำหรับครูเมา ไม่ ไม่เมามากก็เมาน้อย อย่างน้อยก็มึนๆ ไป พอวันเด็ก สำหรับเด็กไปเป็นลิงทโมน เพราะวันเด็ก นั้น ปล่อยกันเต็มที่ ยุกันเต็มที่ วันนั้นเด็กเป็นลิงทโมนมากที่สุดในรอบปี วันเด็ก คือวันที่เด็กเป็นลิงทโมน พอถึงวันแม่ ก็คือวันแม่โม้ เป็นวันสำหรับแม่โม้ อวดลูก อวดผัว อวดเนื้อ อวดตัว อวดเครื่องแต่งกาย เพชรนิลจินดานี่ วันแม่คือวันแม่โม้ แล้วคุณดูเถิด การศึกษามันจะเป็นอย่างไร วันครูคือวันครูเมา ก็เลี้ยงกันเต็มที่ วันเด็ก คือเด็กเป็นลิงทโมน เขาปล่อยกันเต็มที่ วันแม่ คือวันแม่โม้ สำหรับอวดอะไรกันเต็มที่ อวดเรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องอยู่ แล้วการศึกษานี่มันอยู่ที่ตรงไหน ดังนั้น ครูอยู่เป็นครูกันที่ตรงไหน ก็ขอให้พิจารณาดูเถิด เด็กๆ ของเราได้รับการอบรมกันอย่างไร เพราะว่า พอปล่อยแล้วเป็นลิงทโมน วันเด็กควรจะให้เด็กมาพรรณนาพระคุณของแม่ ให้น้ำตาไหลไปเลยดีกว่า ดีกว่าไปยุให้มันนั่นนี่ ชนิดที่เรียกว่า แม้แต่เรื่องรักชาติก็เถอะ มันรักกันแบบลิงทโมน วันเด็ก ให้เด็กมาพรรณนาพระคุณของแม่ หรือร้องเพลงพระคุณของแม่ให้น้ำตาไหลไปเสียยังจะดีกว่า วันครูก็เหมือนกันนะ ก็ต้องเป็นวันที่ระลึกถึงความเป็นครู เปิดประตูแห่งจิตใจของมนุษย์ มาปรึกษากันเฉพาะเรื่องนี้ คือเรื่องความเป็นครู นี้มัน มันผิด เอ้อ, ผิดความหมายของคำว่าครู ของคำว่าบุตร ของคำว่าแม่ เสียอย่างนี้ เพราะว่าการศึกษามันไม่ถูกต้อง นักการศึกษา ชั้นเอก ชั้นเลิศ ชั้นยอดของเรายังพูดว่า การศึกษานี่ไม่อาจจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด คุณช่วยฟังให้ดีเถิด หรือเขาจะจนตัวเข้าหรือยังไงเข้าก็ไม่ทราบ เลยพูดออกมาว่าการศึกษาไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด อาตมาได้ยินคำข้อนี้เข้าแล้ว รู้สึกสะอึก ที่ว่าการศึกษาไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด มันเป็นเรื่องแก้ตัวของพวกครูเสียแล้ว ไม่รับผิดชอบ ที่จริงไอ้การศึกษาต้องแก้ปัญหาได้ทั้งหมด เพราะมัน มันเป็นเรื่องของการศึกษานี่ ทำให้รู้อะไร ไม่รู้อะไร ก็ต้องทำให้รู้ รู้แล้วก็แก้ปัญหาได้ ดังนั้น การศึกษาของมนุษย์ที่ควรจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ปัญหาเรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องวัฒนธรรม เรื่องอุตสาหกรรม กสิกรรม อะไรก็ตามเถิด ทุกแขนง การศึกษาต้องแก้ได้ แต่ถ้าปัญหาที่มันทำให้ยุ่งยากลำบากกันในบ้านในเมืองในอะไรทุกอย่าง การศึกษาต้องแก้ได้ เพราะว่าการศึกษาไม่จำกัด ไม่ถูกจำกัดอยู่ว่าอยู่เพียงเท่านั้นหรือเพียงเท่านี้ มันขยายออกไปเท่าไหร่ก็ได้ อะไรเกิดเป็นปัญหาขึ้นในหมู่มนุษย์เขาก็ต้องใช้การศึกษา อย่างน้อยก็ปรุงขึ้นมาใหม่ เป็นระบบใหม่สำหรับแก้ปัญหาอันนั้น ที่มันเกิดใหม่ แล้วเราก็ปรุงระบบการศึกษาขึ้นมาได้จนครบถ้วน จะแก้ปัญหาของมนุษย์ได้ ดังนั้น ถ้าครู หรือนักจัดการศึกษาจะไปถือหลักว่า การศึกษาไม่ได้แก้ปัญหาของมนุษย์ทุกอย่างแล้วก็ ก็เรียกว่า ทำลายความหวังกันมากทีเดียว และไม่น่าไว้ใจด้วย เพราะเป็นทางออกสำหรับเมื่อบกพร่อง แล้วก็ไม่รับผิดชอบเท่านั้นเอง อาตมาเคยบอกครูบาอาจารย์ทั้งหลายว่า ครูเป็นผู้สร้างโลก เขาพูดกันว่าพระเจ้าสร้างโลก อะไรสร้างโลก เทวดาองค์ไหนสร้างโลก พระพรหมสร้างโลกก็ตามใจ เราไม่เห็นด้วย แต่ที่เรามองเห็นอยู่จริงๆ ว่าครูนั่นแหละคือผู้สร้างโลก โลกมันจะเป็นอย่างไร มันก็แล้วแต่พลโลก พลโลกมันจะเป็นอย่างไร มันก็แล้วแต่ครูนั่น ครูสร้างเด็กๆ ขึ้นมาอย่างไร มันโตขึ้นเป็นพลโลก โลกนี้มันก็เป็นโลกชนิดนั้นนะ ถ้าเราสร้างคนขึ้นมาดี โลกนี้ก็ดี เราสร้างเด็กขึ้นมาชั่ว ไอ้โลกนี้มันก็ชั่ว มันเห็นอยู่ชัดๆ อย่างนี้ว่าครูเป็นผู้สร้างโลก แม้ว่าจะไม่ได้รับการมอบหมายโดยตรง หรือรับผิดชอบโดยตรง แต่ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนั้น ครูสอนคนในโลกอย่างไร โลกนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น อย่างที่คนทั้งหลายเหล่านั้น มันเป็นๆ กันอยู่ เพราะว่าโลกนี้มันประกอบกันขึ้นมาจากไอ้คนทุกคน โลกนี้มันประกอบขึ้นมาจากคนทุกคนในโลก ที่ทุกคนในโลกเป็นอย่างไร ไอ้โลกนี้มันก็เป็นอย่างนั้น ถึงทุกคนในโลกจะเป็นอย่างไร มันก็แล้วแต่การศึกษาที่ครูเขาให้มา ฉะนั้น ครูคือผู้สร้างโลกโดยแท้จริง ไม่ใช่จะจับครูเชิด หรือไม่ใช่จะประจบครู ไม่มี ไม่มีความจำเป็นอะไรที่อาตมาจะต้องเที่ยวประจบครู หรือว่าจับครูเชิดให้มันลำบาก แต่ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนี้ ใครๆ ก็ไปมอง แต่ว่า เราสร้างคนในโลกขึ้นมาอย่างไรโลกนี้ก็เป็นอย่างนั้น คนในโลกจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่การศึกษา ดังนั้น ถ้าการศึกษามันสมบูรณ์ไม่เป็นหมาหางด้วน ไม่เป็นเจดีย์ยอดด้วน โลกนี้มันก็สงบสุขแหละ มีแต่สันติภาพ ก็อยากจะพูดถึงคำว่า ศึกษา กันสักหน่อย เพราะมันคู่กันกับครู คำว่า ศึกษา หรือ สิกขาในทางศาสนานั้นหมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ อย่างนี้เรียกว่า สิกขา ๓ พอครูพูดว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ไอ้เด็กๆ หรือว่าครูสมัยนี้สั่นหัว เห็นเป็นเรื่องเต่าล้านปี ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เพราะมันไม่รู้ว่า ไอ้ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นคืออะไร เมื่อเราเอาความหมายถูกต้องครบถ้วนแล้ว มันจะมีบทนิยามสั้นๆ ง่ายๆ ว่าศีล คือความถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางวัตถุ มีการประพฤติทางกายนี่ถูกต้อง ทางวาจาก็ถูกต้อง ทางวัตถุสิ่งของบ้านเรือนอะไรมันก็ถูกต้อง มีความถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางวัตถุ เหล่านี้ก็เรียกว่ามี ศีล ทีนี้ถ้าว่ามีความถูกต้องทางจิตนี้ ทางจิตนะ ก็เรียกว่ามีสมาธิ คือจิตดีมีอนามัยทางจิตดี มีสมรรถภาพดี มีคุณสมบัติดีในส่วนจิต นี่ก็เรียกว่ามีสมาธิ มีสมาธิสิกขา ทีนี้ถ้ามีความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อ ความคิดเห็นที่ถูกต้อง อย่างนี้เรียกว่ามีปัญญา นี่ศีลสิกขาที่ถูกต้อง ทางกายวาจา จิตตสิกขา มีความถูกต้องทางจิต ปัญญาสิกขา มีความถูกต้องทางสติปัญญา หรือทางวิญญาณ แล้วจะมีปัญหาอะไรเหลือ ลองคิดดู เราเป็นครูกันทุกคน ลองคิดดู ถ้ามันถูกต้อง ทั้ง ๓ ทางนี้ แล้วมันจะมีปัญหาอะไรเหลือในโลกนี้ ดังนั้น จะมีแต่ความสุขส่วนบุคคล มีความสงบสุขส่วนสังคม เรียกว่าบุคคลก็มีสันติสุข ไอ้สังคมก็มีสันติภาพ นั่นนะการศึกษามันสมบูรณ์ มันถูกต้องทางกายวาจา ถูกต้องทางจิต ถูกต้องทางสติปัญญา ความรู้ความคิดความเชื่อนี่ ถ้าการศึกษาครบอย่างนี้แล้วไม่ใช่การศึกษาหมาหางด้วน เป็นการศึกษาที่สมบูรณ์ เป็นพระเจดีย์มียอดครบบริบูรณ์ ทีนี้การเรียนของเรา มุ่งแต่ว่าให้รู้หนังสือ ไอ้ความรู้ถูกต้องทั้ง ๓ นี้ มันก็ไม่พอ เพราะเรามุ่งกันแต่รู้หนังสือ วิชาหนังสือเป็นพื้นฐานก่อน แล้วความรู้ส่วนอาชีพ มันก็หนักไปทางอาชีพ เป็นเรื่องเทคโนโลยี นี่แหละเป็นหัวใจ คือมุ่งหมายจะใช้เทคนิคทั้งหลายให้ถึงที่สุดของมัน แต่ใช้ไปในทางวัตถุหมด ทางจิตทางใจไม่ใช้ อาตมาอยากจะบอกกล่าวให้ทราบกันว่า ไอ้คำว่าเทคโนโลยีนี้เอามาใช้ทางจิตก็ได้ ถ้าเราสามารถ ทำเรื่องทางจิต หรือเทคนิคทางจิตให้มันถูกต้อง ให้มันมีประโยชน์ ก็เรียกว่า เทคโนโลยีได้เหมือนกัน แต่มันเป็นเรื่องทางจิต เดี๋ยวนี้ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครสนใจ ไอ้เทคโนโลยี เลยมีแต่เรื่องวัตถุนะ บางทีเขาจะไม่ ไม่ยอมด้วยซ้ำไปว่า จะเอาคำๆ นี้มาใช้กับเรื่องทางจิต เพราะคนเหล่านั้นมันโง่เกินไป มันสงวน หรือหวงเอาเทคโนโลยีไว้แต่เรื่องทางวัตถุ มันก็มีแต่เรื่องทางวัตถุ ก็ถูกต้องแต่เรื่องที่จะ ผลิต จะหาไอ้สิ่งบำรุงบำเรอ อ้า, ในโลกนี้เท่านั้นแหละ ในโลกนี้จึงเต็มไปด้วยสิ่งบำเรอ เพราะอำนาจของเทคโนโลยี ที่จบ การศึกษาจบเพียง ๒ อย่าง จริยศึกษามีแต่คำพูดเล็กๆ น้อยๆ ให้เด็กจดไว้ในสมุด เด็กๆ ของเราเลยไม่มี ไม่มีความเป็นมนุษย์ เด็กๆ ของเราไม่มีความรักบิดามารดา เหมือนแต่ก่อน วัฒนธรรมโบราณแวดล้อมเด็กตั้งแต่เกิดมาจากท้องแม่ แวดล้อมให้เด็กๆ เหล่านี้รักบิดามารดา เป็นชีวิตจิตใจ เชื่อฟังกตัญญู เด็กสมัยนี้ไม่ได้รับการอบรมอย่างนี้ ทำให้บิดามารดาน้ำตาไหลเรื่อย แม้แต่บิดามารดาน้ำตาไหลอยู่ มันก็ยังรบ รบกวน บิดามารดาในเรื่องกิเลสของเขา ไม่ยอมให้เขาตามใจตัวในทางกามารมณ์ เช่น ไม่ให้แต่งงานอย่างนี้ เขาฆ่าบิดามารดาหมด คอยดูเถอะ ไอ้คนสมัยนี้ นี่ การศึกษามันไม่พอ ทีนี้ศิษย์มันไม่เคารพครูบาอาจารย์เหมือนแต่ก่อน ถ้าเป็นแบบก่อนนั้น เด็กๆ กลัวครูอาจารย์มากกว่าบิดามารดา นี่ที่เรารู้สึกกันอยู่ ในสมัยอาตมาเป็นเด็กๆ ที่พูดกันอยู่ ที่พระพูดกันอยู่ มันกลัวอาจารย์ยิ่งกว่ากลัว ยิ่งกว่ากลัวเสือเสียอีก มันกลัวอาจารย์ยิ่งกว่ากลัวบิดามารดา จึงเคารพเชื่อฟังอาจารย์สุดเหวี่ยง ขนาดอาจารย์ตีได้ ตีเด็ก ตีลูกศิษย์ได้ อาจารย์ของอาตมาเอาร่มตีพระองค์หนึ่ง หักกระจุยกระจายหมด พระองค์นั้นไม่ได้ปริปาก ไม่ได้ต่อสู้ ถ้าเป็นพระสมัยนี้ อาจารย์คงลงนอนกลิ้งอยู่ตามนอกชานแหละ ถ้าเป็นพระสมัยนี้ ไอ้ความเชื่อฟังเคารพครูบาอาจารย์ มันไม่มีมากเท่าสมัยก่อน คือพวกครู ก็คงจะรู้ดี ว่าเด็กๆ สมัยนี้ถ้าไปตีมันเข้าก็เท่ากับไปก่อเวร ไปสร้างเรื่องราว ระเบียบการศึกษา บ้าๆ บอๆ ของสมัยใหม่นี้ไม่ให้ตีเด็กด้วย ก็พอดีกัน ดังนั้น ศิษย์จึงไม่เคารพกลัวเกรงครูบาอาจารย์อย่างแต่ก่อน เพราะไม่ได้รับสั่งสอนอบรมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แล้วเด็กสมัยนี้ไม่ได้รับการสั่งสอนให้บังคับความรู้สึก แต่ก่อนนี้ ถ้าว่าคิด เพียงแต่คิดเลว หรือแสดงอะไรออกมา จากความคิดที่เลวๆ ออกมา เขาว่าบาปอย่างยิ่ง เด็กๆ มันกลัว เพราะบังคับความรู้สึก มันจึงไม่ลัก จึงไม่ขโมย จึงไม่ประพฤติลามกอนาจารทางเพศ ไม่กล้าเป็นชู้กันตั้งแต่เล็กๆ เพราะมันมีการศึกษาที่ควบคุมไว้ดี เด็กๆ กลัวบาปอย่างยิ่ง บ้าบุญอย่างยิ่ง พอทักว่าบาปแล้วก็หยุด เด็กสมัยนี้พอเราทักว่าบาป ไม่หยุด แล้วแลบลิ้นหลอกด้วย ดังนั้น เขาจึงไม่มีอะไรที่ต้องกลัว ไม่กลัวบาป แล้วมันก็ไม่กลัวอะไร บางทีมันกลัวซวย พูดว่าซวย มันยังหยุดบ้างแต่หยุดไม่มาก แต่ยังกลัวกว่ากลัวบาป นี่ครูสอนมาไม่ดี เด็กๆ จึงไม่รู้ว่า ไอ้บาปกับซวยนั้นอันเดียวกัน ถ้าครูสอนมาดี เด็กๆ จะรู้ว่า ไอ้บาปกับสิ่งที่เรียกว่าซวยนั้นนะคืออันเดียวกัน แล้วเด็กก็จะกลัวซวยหรือว่าจะกลัวบาป มันก็จะพูดกันรู้เรื่องง่าย เด็กมายิงนกในวัด พระห้ามว่าไม่ควรจะยิง มันบาป มันก็ยิงหัวพระเลยนี่ หวิด เฉียดหูไปเลย เด็กคนนั้นมันยิงหัวพระ เฉียดหูพระไปเลย เพราะบอกว่าในวัดไม่ควรจะยิงนก นี่การศึกษาให้กันมาอย่างไร เด็กนั้นก็เด็กโรงเรียนทั้งนั้นแหละ เด็กที่เคยอยู่ในโรงเรียน กำลังอยู่ในโรงเรียนทั้งนั้น ไม่มีคำว่าบาป นี้เขาไม่บังคับความรู้สึก ไอ้นิทานเรื่องนับสิบก่อน เรื่องเด็กพี่น้องไปปลูกต้นไม้ กับของหล่น แล้วก็นับสิบอยู่งึมงำนั่น นั้นนะดีที่สุด นั่นคือหลักธรรมะในพระศาสนาว่าต้องนับสิบก่อน ก่อนที่จะโกรธ หรือจะพูด หรือจะตัดสินใจอะไร ให้นับสิบเสียก่อน มันมีเวลาที่จะยับยั้งชั่งใจ อย่างเดี๋ยวนี้อาตมาก็บอกว่าจะทำอะไร ให้ตั้งนะโมเสียก่อน ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเสียก่อน คือตั้งนะโม หมายถึงว่า ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเสียก่อน ก่อนจะจ่ายเงินรายนี้ ก่อนแต่จะทำอะไรขึ้นมา ก่อนที่จะด่าใคร ก่อนที่จะตีใคร ก่อนจะ ทำหน้าที่ของตัวนั่นแหละ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ว่ามันควรทำหรือไม่ แล้วมันจะไม่มีทางผิดนะ เพราะมีเวลาคิดนึกมาก ไอ้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมันมาทัน มันมาช่วยทัน ไอ้เด็กๆ ของเราเดี๋ยวนี้ไม่มีการบังคับความรู้สึก อยากทำอะไรก็ทำทันทีเลย อยากด่าก็ด่า อยากตีก็ตี ความรู้สึกทางเลวเกิดขึ้นมันก็ทำทันที ดังนั้น เด็กๆ จึงมีประพฤติผิด เป็นอันธพาลมากขึ้น มากขึ้น เพราะเขาไม่บังคับความรู้สึก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอที่จะวินาศแล้ว เพราะไม่มีการบังคับความรู้สึก เด็กหญิงก็ตาม เด็กชายก็ตาม มันก็จะมีแต่ความวินาศ การศึกษาหมาหางด้วนนะ ก็สอนว่าการบังคับความรู้สึกนี้มันผิดธรรมชาติโว้ย ให้ส่งเสริม ให้ส่งเสริมความรู้สึก การบังคับความรู้สึกนี้ไม่เป็นประชาธิปไตยโว้ย ไม่ต้องบังคับความรู้สึก แล้วก็ดูมันเป็นอย่างไรบ้าง โลกปัจจุบันมันเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนนี้ฝรั่งเขานิยมมาก ไอ้การบังคับความรู้สึกนี่ เขามาเป็นครู ทีนี้ต่อมาเอาเป็นครูไม่ได้ ฝรั่งเองแหละไม่มีการบังคับความรู้สึก เจ้าตำรับตำราที่มา ให้บังคับความรู้สึกมันกลายเป็นไม่บังคับความรู้สึก เขาก็เปลี่ยนการศึกษา เป็นไม่บังคับความรู้สึก เราก็เป็นไปตามก้นเขา เอาการศึกษาหมาหางด้วนมา สมัยโบราณเมื่อฝรั่งแรกๆ เข้ามาเป็นครูบาอาจารย์นะ เน้นกันแต่เรื่องนี้อย่างที่ว่ามาแล้วว่า เน้นความเป็นสุภาพบุรุษ เพราะเขาจบมหาวิทยาลัยมาด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ เขาก็ออกมาเป็นพลเมืองประกอบอาชีพอะไร มันก็ยังมีลักษณะอย่างนั้นอยู่ ครั้นฝรั่งมาบ้านเราก็มาอวด ไอ้ self knowledge รู้จักตัวเอง self confidence เชื่อตัวเอง แล้วก็ self control บังคับตัวเอง ให้ทำให้มันถูก ให้มันตรง แล้วก็ self respect ไหว้ตัวเอง เคารพตัวเองว่ามีอะไรดี มันก็ดีสิ ถ้าคนเรามีอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ ฝรั่งชนิดนั้นหาทำยาหยอดตาไม่ได้แล้ว นี่อาตมาพูดอย่างนี้ดีกว่า เมื่อสมัยก่อนเขาเป็นอย่างนั้นจริงนะ ฝรั่งมา เขามาภาคภูมิที่สุด จบมหาวิทยาลัยมา อย่างน้อยเขาว่า ไอ้ self control นี้ เขาจะตะโกนอยู่บ่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว หาไม่ได้แล้ว เพราะว่าเขาเปลี่ยนการศึกษาเหมือนกัน ที่เมืองนอกเมืองนา เขาเปลี่ยนการศึกษา เอาคำพระ คำศาสนาเหล่านี้ทิ้งหมดแล้ว เหลือแต่เทคโนโลยีเหมือนกัน เทคโนโลยีขึ้นสมอง ทำอะไรก็ต้องได้ผลตามที่เราต้องการ เพื่อจะเอามาบำรุงบำเรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเรื่องของกิเลสตัณหาทั้งนั้น ดังนั้นเขาจึงตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ผลิตสิ่งที่บำรุงบำเรอกิเลสตัณหา กันเต็มไปทั้งโลก ทีนี้คนมันก็มึนเมา เป็นทาสของไอ้สิ่งชนิดนั้น มันก็บูชากันใหญ่ เรื่องเล่น เรื่องหัว เรื่องไพเราะ เรื่องสวยงามนี่ กลายเป็นของประเสริฐไป ไม่มีการบังคับตัวเอง เพราะว่าส่งเสริมหาแต่เครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์ส่งเสริมตัวเอง ส่งเสริมกิเสสตัณหาตัวเอง ส่งเสริมความใคร่ของตัวเอง แม้แต่ความใคร่ทางเพศนะที่มันมีอยู่ตามธรรมชาตินี้มันไม่พอ ต้องหาวิธีการ หาเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ มาส่งเสริมให้มันมากยิ่งๆ ขึ้นไป จนไม่มีความ ไม่มีหยุด ไม่มีเวลาพักผ่อนไอ้ความรู้สึกทางเพศ นี่มันจึงเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งความรู้สึกทางเพศมีบางครั้งบางคราว บางฤดู และชั่วเวลาอันเล็กน้อย ส่วนมนุษย์คือคน อย่าเรียกว่ามนุษย์เลย คนสมัยนี้ต้องการจะส่งเสริมความรู้สึกทางเพศทั้ง ๒๔ ชั่วโมง และก็ทั้งปี ทั้งปี นี่ความรู้การศึกษาแบบนี้ มันส่งมาอย่างนี้ พูดแล้วก็น่าท้อใจ ว่าเราจะดึงกันอย่างไรไหว พวกครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะดึงมนุษย์ ให้อยู่ในร่องรอยของศีลธรรมอย่างไรไหว เพราะว่าทั้งโลกเลย เขาส่งเสริมไอ้ฝ่ายกิเลส เราจะมาดึงเพื่อมาทางศีลธรรมนี่ มันจะทำกันอย่างไรไหว นึกแล้วมันน่าจะยอมแพ้ แต่อาตมาคิดว่าอย่าพึ่งยอมแพ้ อาตมาก็สนใจ เรื่องนี้ มอบชีวิตจิตใจกับเรื่องนี้ ก็ยังไม่ยอมแพ้เหมือนกัน ก็ดิ้นไปจนกว่าหมดชีวิตนะ เพื่อจะดึงศีลธรรมกลับมา ไอ้การที่จะให้เห็นว่าโลกมันกำลังจะวินาศ เพราะว่ามนุษย์มันไปเป็นทาสของกิเลสตัณหา เพราะว่าการศึกษามันยังเป็นเหมือนหมาหางด้วน มันไม่สอนไอ้การควบคุมบังคับตัวเองให้เพียงพอ ให้เฉียบขาด ไม่มีความหมายของคำ ว่าบาป ว่าบุญ เป็นต้น เอ้า, ก็ขอให้คิดดู ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงพระพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้กำเนิด ให้กำเนิดสิกขา ๓ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้เป็นการศึกษาที่พระพุทธเจ้าท่านได้บัญญัติขึ้น ศีลคือกระทำทุกอย่างให้มันมีความถูกต้อง ที่กาย ที่วาจา จาระไนโดยรายละเอียดมันก็ไม่ไหว มันก็มากแหละ หลายร้อยข้อหลายพันข้อ แต่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายไปคิดเอา ดูเอาเองก็แล้วกันว่า ที่มันไม่มีความผิดพลาดเกี่ยวกับการกระทำด้วยกาย อ้า, แล้วการพูดด้วยปาก ตลอดจนถึงเครื่องใช้ไม้สอย วัตถุสิ่งของ บ้านเรือน ก็อย่าให้มันมีความผิดพลาด นั่นแหละคือ ศีล ศีลสิกขา สิกขาคือ ศีล การศึกษาคือศีล คืออย่างนั้น ที่อบรมจิต ให้จิตปกติ มันก็มีกำลังทางจิต มีกำลังจิตนะสูง คล่องแคล่วว่องไวในการทำงานของจิตเอง จิตนี้ก็ไม่วิปริต จิตนี้ก็ไม่เป็นโรคจิต จิตนี้ก็ไม่เป็นโรคประสาท เหมือนที่กำลังเป็นกันมากขึ้นทุกวัน ๆ นี้เรียกความถูกต้องทางจิต นี้คือ จิตตสิกขา ข้อบัญญัติการศึกษาที่ ๒ คือ จิตตสิกขาอย่างนี้ ที่บัญญัติจิตตสิกขาที่ ๓ คือ ปัญญาสิกขา ให้รู้ตามที่เป็นจริงว่า ธรรมชาติมันเป็นอย่างไร กฎของธรรมชาติมันเป็นอย่างไร หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติมันเป็นอย่างไร ผลที่ได้รับจากหน้าที่ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร มีอยู่หลายหมวดด้วยกัน ไอ้ความรู้ สติปัญญาที่ถูกต้อง เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของธรรมชาตินั้นมันเป็นอย่างไร เรื่องที่โลกมันจะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป เป็นกฎอิทัปปัจจยตา เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี นี่คือกฎวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก เมื่อยังไม่มีโลก มีอะไรก็ตามใจ มันเกิดมีโลก แล้วเกิดมีอะไรขึ้นมานี้ก็เพราะกฎอันนี้ ถ้าความทุกข์แล้วก็ต้องเกิดมาจากความโง่เขลา ไปอยาก ไปยึดถือย่างโง่เขลา กฎของความทุกข์ มารู้เรื่องนี้ก็เริ่มมีปัญญา แก้ไขไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ เรียกว่า ปัญญาสิกขา มนุษย์ก็หมดปัญหา มนุษย์เรามีปัญหาก็คือว่า ไม่ได้รับความสงบสุขส่วนตัว แล้วก็ไม่ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้อยู่กันผาสุก มันมีเท่านี้ พอเรามีความสงบสุขส่วนตัวได้ หมดปัญหาส่วนเรา แล้วก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้เป็นเหมือนกับเรา ก็หมดกันนั่นเอง ทั้งโลกมันเลยมีสันติภาพ ทุกคนมีความสงบสุข และช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้มีความสงบสุข เดี๋ยวนี้การศึกษาสมัยใหม่มันทำให้เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะเอาเปรียบผู้อื่นอยู่เสมอ แย่งชิงด้วยอุบาย ด้วยปัญญา ด้วยความเฉลียวฉลาด แย่งชิงประโยชน์ของกันและกัน เหมือนอย่างที่มันในโลกนี้มันกำลังมีการหมายมั่น ตั้งป้อมมั่นหมายที่จะชิงเอาประโยชน์ส่วนกลางในโลกมาเป็นของตัวให้หมด มันมีแผนการที่จะครองโลก แล้วก็จะได้ประโยชน์ทั้งหมดมาเป็นของเรา ถ้าถือกันอย่างนี้ แล้วใครจะมีความสงบสุขได้เล่า มันมีแต่ผู้ทะเลาะวิวาท มีแต่คนหิวกระหายอย่างเปรต อะไรก็ไม่พอ เท่าไรก็ไม่พอ เท่าไรก็ไม่พอ อย่างนี้ มันจะเป็นเจ้าโลกอย่างนี้ นี่มันผิด มันเป็นความผิดในทางสติปัญญา ไม่มีปัญญาสิกขา ดังนั้น ช่วยกันพิจารณาดูให้ดีว่า ถ้ายืมคำของศาสนามาใช้ว่า ศึกษา หรือ สิกขาก็ขอให้ยืมเอาความหมายมาด้วย เอามาใช้ในโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ วางหลักการศึกษาเสียใหม่ ให้คำว่า สิกขา หรือ ศึกษานะ มันมีความหมายอย่างเดียวกันกับเจ้าของเดิม คำเดิม เจ้าของเดิม ที่เขามีอยู่ในทางศาสนา ในประเทศอินเดีย ถ้ามีการศึกษาจริงแล้วมนุษย์จะมีความถูกต้อง ทางกาย ทางวาจา ที่เรียกว่ามี ศีล มีความถูกต้องทางจิต ที่เรียกว่า มีสมาธิ และถูกต้องทางสติปัญญา ที่เรียกว่า มีปัญญา และมนุษย์ก็หมดปัญหา แล้วคุณก็ลองคิดดูเองว่า พระพุทธเจ้าเป็นบรมครูหรือไม่ พระพุทธเจ้าผู้มีหลักการศึกษาอย่างนี้ ควรจะได้รับความเคารพยกย่องว่าเป็นพระบรมครู หรือหาไม่ ถ้าโดยรู้สึกจริงๆ ใจมันเป็นอย่างนั้นแล้ว เรายังมาตีตัวออกห่างอยู่อีก คือไม่ยอมรับการศึกษาระบบของศาสนาเอามาปน มารวมกันในการศึกษาของเรา หาว่ามันคร่ำครึเต่าล้านปี แล้วก็ไม่สนุกด้วย เพราะมันอยู่ในระเบียบไปเสียหมด อย่างนี้ก็หมด มันไม่มีทางที่จะช่วยกันทำโลกนี้ ให้มีสันติสุข หรือสันติภาพได้ อาตมาจึงขอต่อรองว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อย่าลืมว่าตัวเองจะเป็นครูก็ อย่าเป็นแต่เพียงของรัฐบาล อย่าเป็นแต่เพียงครูที่สังกัดอยู่กับรัฐบาล ขอให้เป็นครูที่สังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้าด้วย เรียกว่าส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งนี้เราเป็นพุทธมามกะ เราเกิดมาจากบิดามารดาที่เป็นพุทธมามกะ ส่วนนี้เราต้องยอมรับพระพุทธเจ้าเป็นครู มีการศึกษาตามแบบของพระพุทธเจ้า ส่วนที่เราเป็นข้าราชการ กินเงินเดือนของรัฐบาลนั่นก็เป็นครูของรัฐบาลไปแบบนั้น อย่างน้อยก็ให้มันทั้งสองแบบควบคู่กันไปก็จะดี ดังนั้น ถ้าเราเป็นครูของพระพุทธเจ้าเราได้บุญ เราเป็นปูชนียบุคคล ถ้าเราเป็นครูของรัฐบาล เราเป็นลูกจ้างรัฐบาลสอนหนังสือให้แก่ประชาชน จะถูกหรือไม่ถูก ก็ช่วยฟังให้ดีใหม่ว่า เราเป็นครูของรัฐบาล ก็คือเป็นลูกจ้างของรัฐบาล กินเงินเดือนของรัฐบาล เป็นลูกจ้างสอนหนังสือให้แก่ประชาชน เราก็ได้ความเป็นลูกจ้าง ถ้าเราบังคับตัวเองไม่ได้ เราไปลุ่มหลงในเรื่องอบายมุข เงินเดือนก็ไม่พอใช้แน่ แล้วเราก็ต้องได้เป็นอันธพาลแน่ ครูที่เงินเดือนไม่พอใช้ แล้วยังไปบูชาอบายมุข นี่ต้องได้เป็นอันธพาลแน่ ถ้าว่าเป็นครูของพระพุทธเจ้าไม่ได้เงินเดือนแบบนั้น แต่ได้บุญ ได้ความเป็นปูชนียบุคคล อยู่บนหัวคนทุกคน หนักอยู่บนหัวคนทุกคน ตามความหมายของคำว่าครู แปลว่าหนัก เพราะเราทำความดี มีบุญมีคุณ อยู่เหนือศีรษะของคนทุกคน เราจึงเป็นปูชนียบุคคล เราก็ได้บุญ ดังนั้น เราจะเอาบุญ เอาความเป็นปูชนียบุคคลกันดีหรือไม่ ไปช่วยคิดดูด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะได้แต่ความเป็นลูกจ้างรัฐบาลสอนหนังสือให้แก่ประชาชนเท่านั้นเอง เพราะเจตนาของเรา ไม่ต้องการจะเอาบุญ หรือเป็นปูชนียบุคคลเลย อาตมาจะพูดว่า ไอ้อาชีพครูนี้ประเสริฐที่สุด ถ้าทำให้ดี ให้ถูกต้อง แล้วเป็นอาชีพที่ได้บุญ แล้วเป็นปูชนียบุคคลอยู่เหนือศีรษะคนทุกคนในโลก เป็นผู้สร้างโลก เป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก อย่างที่ว่ามาแล้ว มันก็ประเสริฐอย่างนี้ ไอ้ครูก็ไม่ชอบใจ ละอาชีพครูไปหาเงินเดือนแพงๆ ในอาชีพอื่นอย่างนี้ เพราะมันไม่มองเห็นไอ้ความประเสริฐของอาชีพครู มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง หรือว่าทนเป็นครูอยู่ ก็เป็นครูของรัฐบาล สอนเอาค่าจ้างมา ใช้หาความสนุกสนาน ตลอดเวลา ครูประเภทนี้สาละวนแต่ว่าเปิดแคทตาล๊อกกระโปรง เปิดแคทตาล๊อกกางเกงยีนส์ ดูอยู่ทั้งวัน ทั้งวันนะ ไม่เคยเปิดตำราวิชาครู มาปรับปรุงไอ้ความเป็นครูอะไรเลย แล้วมันจะได้ผลอย่างไร ช่วยกันลองคิดดู ถ้าแล้วเราพูดกันวันนี้ก็เพียงข้อเดียวสั้นๆ ว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นพระบรมครู ได้ทรงประทานการศึกษาไว้ ๓ อย่าง คือ ศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา เรายืมคำสิกขามาใช้แล้วก็ช่วยเอาความหมายมาด้วย เอาความหมายมาใช้ด้วย ให้การศึกษาของเราสมบูรณ์ พ้นจากความเป็นการศึกษาระบบหมาหางด้วน หรือว่า เจดีย์ยอดด้วน ก็ตาม แล้วเราก็จะชื่นใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ เพราะว่าเราเป็นปูชนียบุคคลตลอดเวลานี้ได้บุญ เป็นผู้สร้างโลกให้เป็นโลกที่งดงาม น่าอยู่ น่าดู เราจงบังคับตัวเอง รักษาความเป็นครูของเราไว้ให้ถูกต้อง โดยทำตนเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนหนึ่งสังกัดพระพุทธเจ้า ไอ้ส่วนที่สังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้านี่จะช่วยเราได้มาก ให้มีความเป็นปูชนียบุคคล ขอร้องว่าอย่าลืมเสีย อย่าลืมเสีย ช่วยเป็นครูที่สังกัดขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้าโดยส่วนจิตใจ เอ้อ, ด้วย ท่านอุตส่าห์มาที่นี่ อาตมาก็รู้สึก หวังอยู่ว่า ท่านคงจะชอบใจสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ หรือพระธรรมของพระพุทธเจ้า จะช่วยกันทำให้การศึกษาหมุนกลับไปหาธรรมะ มีธรรมะ เอาธรรมะมาสั่งสอนลูกเด็กๆ ให้เขามีธรรมะกันอีกครั้งหนึ่ง การศึกษาก็จะสมบูรณ์ สอนให้เขาพอใจในการที่จะ ชนะกิเลส ไม่พ่ายแพ้แก่กิเลส ไม่เป็นทาสของกิเลส ไม่เห็นแก่ความเอร็ดอร่อย สนุกสนานจนลืมความถูกต้อง หรือธรรมะนั่นเอง เดี๋ยวนี้การกีฬาก็เป็นเรื่องของความบ้าหลัง ไม่ได้สร้างน้ำใจนักกีฬา จะสร้างความหยาบคาย เอาเปรียบ มีทะเลาะวิวาท มีแก้แค้นในสนามกีฬา มันก็ไม่มีธรรมะในสนามกีฬา ถ้ามีธรรมะในสนามกีฬา นักกีฬาจะไม่มีคำว่าแก้แค้น จะไม่มีคำว่าทำอันตรายกัน จะไม่มีคำว่าตัดลูกโทษ ใบเหลืองอะไรต่างๆ เหล่านี้ เดี๋ยวนี้ธรรมะมันหายไป หายไป จากมนุษย์ ช่วยกันทำให้กลับมา ต้องยึดธรรมะเป็นหลัก แล้วพอใจที่มีธรรมะ เป็นสุขเพราะมีธรรมะ พอรู้สึกว่าประพฤติหน้าที่ของตัวถูกต้องแล้วก็มีธรรมะ แล้วก็ไหว้ตัวเองได้ ธรรมะคือการปฏิบัติหน้าที่ของตัวอย่างถูกต้อง เป็นครูอย่างถูกต้องนี่ เป็นครูอย่างถูกต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทุกๆ อณู ทุกๆ ปรมาณู อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมะ แล้วก็มีบุญมีกุศลอยู่ในนั้นเสร็จ แม้แต่เป็นชาวนา ชาวสวน ก็เถิด ถ้าเขาทำหน้าที่ของเขาถูกต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง เขามีการปฏิบัติธรรมะอยู่ที่กลางนานั่นแหละ แล้วก็ มีบุญกุศลอยู่ที่นั่น ถ้าเขาเป็นคนถีบสามล้อ แจวเรือจ้าง กวาดถนน อะไรก็ตาม เขาทำหน้าที่ของเขาอย่าง ไม่มีที่ตำหนิ แล้วเขาก็ได้บุญ เขาก็มีการประพฤติธรรมะอยู่ที่นั่น มีบุญกุศลอยู่ที่นั่น ที่กลางถนน หรือที่เรือจ้าง ที่รถสามล้อนั้นเอง มันมีธรรมะอยู่ที่นั่น คือการทำหน้าที่ของตนอย่าให้บกพร่อง นี่เรียกว่าการปฏิบัติธรรม เพราะโลกนี้มันมีหน้าที่การงานร้อยอย่าง พันอย่าง หมื่นอย่าง แสนอย่าง ถ้าใครได้ช่วยแบ่งภาระไปเสียอย่างหนึ่ง แล้วก็ชื่อว่าช่วยกันทำโลกนี้ให้สมบูรณ์ ให้งดงาม ให้มีสันติสุข ให้มีสันติภาพ ดังนั้น จึงชื่อว่าเขาทำบุญ เพราะมีส่วนที่ได้บุญ เพราะทำหน้าที่อันหนึ่ง อันหนึ่ง คนๆ เดียวไม่สามารถทำหน้าที่ทุกอย่างได้ เราจึงแบ่งกันทำ พอใครได้ทำ ก็เรียกว่าทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม มันก็เป็นการได้บุญ เราถือกันอย่างนี้แล้วก็ไม่มีอาชีพไหนที่จะไม่เป็นบุญ มันจำเป็นทั้งนั้น คนกวาดถนนก็จำเป็น บุรุษไปรษณีย์ก็จำเป็น อะไรๆ ก็จำเป็น ถ้าขาดไปเสียแล้ว มันไม่เป็นโลกที่สมบูรณ์ หรือสงบสุข ดังนั้น เราอย่าไปดูถูกคนเหล่านี้เลย เราเป็นครู การงานของเราดีกว่า เหนือกว่าเป็นไหนๆ แต่ก็อย่าลืมว่ามันเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละ ส่วนหนึ่งเหมือนกันที่จะทำให้โลกนี้มีความสงบสุข มารวมสหกรณ์กันเรียกว่า ธรรมะสหกรณ์ สหกรณ์ประพฤติธรรม สหกรณ์ช่วยให้มีธรรม สหกรณ์ สหกรณ์สำหรับอยู่เป็นสุข เพราะความมีธรรม หรือจะเรียกว่า บุญสหกรณ์ก็ได้ สหกรณ์ทำบุญ ร่วมบุญ ทำบุญกันทั้งโลก เป็นบุญเดียวกันทั้งโลก นี้เรียกว่า สหกรณ์ บุญสหกรณ์ สหกรณ์ทำบุญ ธรรมะสหกรณ์ สหกรณ์ประพฤติธรรม ถ้าโลกเราเป็นได้อย่างนี้ ก็เป็นโลกพระศรีอารย์ ศรีอริยเมตไตรย์ ขึ้นมาทันที ครูนี่สร้างโลกให้เป็นโลกชนิดไหนก็ได้ เด็กๆ ของเรา แล้วแต่ครูจะปั้นขึ้นมา เดี๋ยวนี้เราให้เขาเรียนแต่หนังสือกับอาชีพ เขาก็ทำได้เพียงความเห็นแก่ตัว ถ้าเขารู้ธรรมะ เขาก็ทำให้ ไอ้กิเลสไม่มีโอกาสจะเกิดขึ้น เขาก็อยู่ด้วยความรักผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว อาตมาเห็นว่า ไอ้การศึกษานี้มันยังผิด อย่างหลับหูหลับตา ที่ว่าพอเริ่มขึ้นมาก็สอนหนังสือหนังหา กอ ขอ กอ กา อย่างนี้ไม่ถูก ไอ้คำแรกที่จะสอนเด็กอนุบาลตัวเล็ก มันก็สอนให้แม่นั่นคือใคร เกิดมาจากไหน แม่คืออะไร แม่เป็นอะไรกับเรา แม่ให้อะไรแก่เรา นี่ สอนอย่างนี้ก่อนดีกว่า แล้วค่อยสอนหนังสือทีหลัง ค่อยสอนเลขทีหลัง กับสอนอื่นๆ ทีหลัง แต่ว่าไอ้สอนให้รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เป็นมนุษย์อย่างไร เป็นทำไม อะไร ดีที่สุดของมนุษย์ นี่สอนตลอดเวลา สอนตลอดเวลาจนถึงชั้นมหาวิทยาลัย ต้องสอนให้รู้จักพ่อแม่ รู้จักตัวเองก่อนเรียน กอขอ กอกา นี้เรามาสนใจเรื่องให้เรียน กอขอ กอกา จัดวิธีอย่างนั้นอย่างนี้ ไปยืมแบบของฝรั่งมา สอนเร็ว เรียนเร็ว บ้าเลย ไม่มีทางจะรู้บุญคุณของพ่อแม่ มันควรจะตั้งต้นโดยให้รู้จักตัวเอง รู้จักพ่อแม่ แล้วค่อยเรียนหนังสือทีหลังดีกว่า แล้ว แล้ว แล้วก็เชื่อว่าไอ้เด็กๆ หรือโลกนี้มันจะดีกว่าที่กำลังเป็นอยู่ ที่หลงละเมอเพ้อฝัน แต่เรื่องดี เรื่องเด่น เรื่องสนุกสนาน เอร็ดอร่อยของตัว เดี๋ยวนี้เขาบูชาความเอร็ดอร่อยเป็นพระเจ้า ผลของการศึกษาสมัยใหม่ทำให้คนเราบูชาความเอร็ดอร่อยสนุกสนานเป็นพระเจ้า ถ้าการศึกษาแบบเก่าเขาบูชาความถูกต้อง บูชาความจริงความงาม ความยุติธรรม บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บูชาพระเจ้า เดี๋ยวนี้เขาบูชาเงินเป็นพระเจ้า เงินนี้เขาเอามา ทำอะไรก็ได้ เขาคิดว่ามัน เขาจะใช้เงินทำอะไรก็ได้ เขาจึงบูชาเงิน ไม่บูชาพระเจ้า ให้เขารู้จัก ไอ้ความถูกต้อง หรือการศึกษามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ให้รู้ว่าแม่คือใคร พ่อคือใคร เกิดมาทำไม ชีวิตนี้ได้มาจากใคร จะต้องทำอย่างไร ให้ลูกเล็กๆ มันรู้ มันจะได้รักพ่อแม่เป็นชีวิตจิตใจ แล้วต่อมามันจะได้เคารพครูบาอาจารย์เป็นจิตใจ ต่อมามันจะบังคับความรู้สึก ขึ้นชื่อว่าชั่ว ว่าเลว ว่าบาป แล้วไม่เอา มันก็ไม่แตะต้องไอ้อบายมุขทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เด็กวัยรุ่นของเราบูชาอบายมุขเป็นพระเจ้า ครูไม่มีปัญญาจะแก้แล้วเห็นไหม จะเพิ่มครูอีกกี่ร้อยเท่ามันก็แก้ไม่ได้ ถ้ามันมีการศึกษาระบบนี้ ยิ่งทำให้เขาฉลาดสำหรับจะเป็นอันธพาล เขาคงจะเป็นอันธพาลที่ปราบยากที่สุดในอนาคต เด็ก ม.ศ.๕ ปีละสองแสนเศษนี่ มันจะรอดตัวไปได้สักเศษของสองแสน ไอ้สองแสนนี้จะมีปัญหาคอยดูเถิด จะเป็นอันธพาลที่ปราบยาก เพราะการศึกษาหมาหางด้วน ทำให้คนฉลาดแต่ไม่มีธรรมะ แล้วก็จะปราบยาก ขอฝากไว้ให้เป็นอนุสรณ์ แล้วเอาไปคิดนึกดูด้วย ว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะช่วยป้องกันกันไว้อย่างไร เราช่วยกันทำสักอย่างเถอะว่า อย่าให้เด็กๆ ของเราบูชาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังเลย มันเป็นคำพูดทางศาสนา ฟังดูค่อนข้างจะหยาบคายโสกโดก เอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง หมายความว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่มันเอร็ดอร่อย แล้วก็บูชา อย่างนี้เขาบูชาอย่างนี้ อย่างนี้ก็ไม่มี ไม่มี ไม่มีเนื้อที่ให้ธรรมะเข้ามา เขาบูชา ความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนังเสียหมด เขาก็เห็นแก่ตัว ดังนั้น การ ไอ้ข่มขืนแล้วฆ่า จึงกลายเป็นของธรรมดาไปยิ่งขึ้นทุกทีนี่ คนเหล่านี้มันก็เป็นคนเกิดมาจากพ่อแม่ เข้าโรงเรียนมีครูบาอาจารย์ เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอาชญากรด้วยการข่มขืนแล้วฆ่า เพราะเห็นว่ามันดี มันถูกสำหรับเขา มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะว่าเขาเป็นทาสของเนื้อหนัง ภาษาศาสนาเขาเรียกว่า เป็นทาสของ ของกิเลส ของกามารมณ์ เป็นทาสของเนื้อหนัง บูชาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ก็เป็นอาชญากรประเภทนี้ถึงระดับนี้กันมากขึ้น มากขึ้น ทีนี้ครูจะช่วยกันป้องกันไหว หรือไม่ไหว ก็ขอไปคิดดู ความสุขของเขาอยู่ที่การเป็นทาสของกิเลส แต่ความสุขของนักศึกษานะอยู่ที่รู้สึกว่าได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง แล้วไหว้ตัวเอง ผู้มีธรรมะ รู้ตัวปฏิบัติหน้าที่นี้ ถูกต้องตามหน้าที่เป็นการปฏิบัติธรรมะดี แล้วก็ไหว้ตัวเอง มีปีติ เรียกว่า ธรรมะปีติในตัวเอง ไหว้ตัวเอง มีความสุขอยู่ที่การไหว้ตัวเอง ยิ่งกว่าความสุขของไอ้เด็กอันธพาลที่ไปทำการข่มขืนแล้วฆ่า ไอ้เด็กพวกนั้น มันก็มีความสุขของมัน ในการทำการข่มขืนแล้วฆ่า ไอ้ความสุขของมันก็อยู่บนสมองของมันอย่างนั้น แต่ความสุขของเราอยู่ที่ รู้สึกว่าได้ทำความดีถูกต้องหน้าที่ แล้วยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อไหว้ตัวเองได้เป็นความสุขที่สุด ไปเทียบดูเถิด มันเป็นความสุขคนละชนิดนะ แต่ของใครจะดีกว่ากัน ของใครจะถูกกว่ากัน มีอำนาจกว่ากัน อะไรก็ตาม ก็ไปคิดเอาเอง เดี๋ยวนี้การศึกษา ถ้าให้กันถูกต้อง ศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา แล้วมันจะสร้างมนุษย์ชนิดนี้ขึ้นมา มนุษย์ที่มีความสุขเมื่อรู้สึกว่าได้ทำหน้าที่แล้วไหว้ตัวเองได้ แล้วเกลียดชังอบายมุขทุกอย่างทุกประการ เกลียดชังไอ้ความ หลงใหล ทางวัตถุ ทางกิเลส ทางเนื้อทางหนังทุกประการ โลกนี้ก็มีความสงบสุข เพราะมีการศึกษาตามแบบของพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ช่วยฟังอีกประโยคหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ธรรมะของพระองค์เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดา และมนุษย์ มนุษย์คือคนธรรมดานี่ มันต้องการธรรมะเพื่อแก้ปัญหา คือความทุกข์ ทีนี้แม้ว่าไปเป็นเทวดาแล้ว ก็ยังมีปัญหาความทุกข์นั่นแหละ ก็ใช้ธรรมะนี้แก้ นี่มันเรียกว่ามันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีธรรมะ คนจนก็ดี คนร่ำรวยก็ดี ขนาดเป็นเทวดาแล้วก็ดี ยังต้องการธรรมะ ยังต้องการ การศึกษาที่ถูกต้อง คือ ศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขาอยู่ ช่วยกันมองให้ดีๆ เถิด ว่ายังจำเป็นอยู่ ไม่ใช่ว่าเรารู้หนังสือ มีอาชีพเก่งทางเทคโนโลยี รวยจนเหลือรวยแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องรู้ธรรมะแล้ว อย่างนี้ไม่ถูก ยิ่งรวย ยิ่งมีกิเลส ยิ่งมีกิเลส ยิ่งมีความทุกข์ ดังนั้น คนจะรวย แม้จะรวยเป็นเทวดาก็ยังต้องการธรรมะอยู่นั่นเอง จึงเตรียมธรรมะไว้ให้พร้อม ให้สำหรับทุกๆ คนจะได้ใช้ ตามความต้องการของตน ของตน ธรรมะนี้ไม่ต้องลงทุนมาก เหมือนกับไอ้การศึกษาที่บูชากิเลสนั้นต้องลงทุนมาก ต้องไปเรียนเมืองนอกเมืองนาด้วยเงินทองมาก จึงจะได้การศึกษาแบบนั้นมา ถ้าการศึกษาแบบของพระพุทธเจ้านี้ เรียนกันในป่าก็ได้ แล้วก็เรียนจากธรรมชาติด้วย ขอ อ้า, ขอร้องว่าทุกคนที่นั่งอยู่กลางดินนี้ จงนึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนสาวกกลางดิน นิพพานกลางดิน อยู่ตลอดเวลากลางดิน เกือบจะไม่ต้องเล่าเรื่องนี้แล้วกระมัง เข้าใจว่าครูทุกคนนี้คงรู้พุทธประวัติแล้ว ที่ว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดินนะคืออย่างไร ที่สวนลุมพินีกลางดินนั้นประสูติ ไม่ได้ประสูติบนปราสาทราชวัง เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าก็นั่งกลางดิน ในที่สงบสงัด นั่งกลางดินเป็นพระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้เมื่อนั่งกลางดิน แล้วสอนคนตั้งแต่สอนปัญจวัคคีย์เป็นต้นไปก็สอนกลางดินทั้งนั้น พระไตรปิฏก มันเกิดกลางดิน พูดกันกลางดิน อย่างน้อยก็โรงพื้นดิน โรงที่พื้นดิน แต่ส่วนใหญ่ก็กลางดินอย่างที่เรากำลังนั่งอยู่นี่ ในที่สุดพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพาน ก็เมื่อท่านประทับนอนกลางดิน จะมีเตียง เตียงสูงฝ่ามือเดียวหรือแคร่ อย่างนี้ก็ต้องเรียกว่ากลางดิน แต่บาง บางพระสูตรเขียนไว้ชัดเลยว่ากลางดินมีผ้ารองเท่านั้นแหละ พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ดู ดูพระพุทธเจ้าสิ ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน อะไร ก็ล้วนแต่กลางดิน มันธรรมชาติที่สุดเลย สมกับที่ว่าไอ้ธรรมชาตินั่นแหละคือธรรมะ ทีนี้ท่านมาสวนโมกข์ ได้มีโอกาสนั่งกลางดิน ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ว่าเรากำลังนั่งอยู่บนที่นั่งที่นอน ของพระพุทธเจ้า นั่งกลางดิน เอามือลูบดิน บูชาดิน เคารพดิน ที่ประสูติ ตรัสรู้ นิพพานของพระพุทธเจ้า มันก็เลยเนื่องกันไปถึงข้อที่ว่า ไอ้ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลเกิดมาจากหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ดังนั้น เราจึงใกล้ชิดธรรมชาติ แล้วธรรมชาติจะให้อะไรแก่เรา ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าเมื่อคุณนั่งอยู่ตรงนี้นะ ความคิดต้องผิดแปลกจากเมื่อคุณไปขึ้นโรงแรม เอาสิ เมื่อคุณอยู่บนโรงแรม บนปราสาท บนตึก หรือตึกเรียนมหาวิทยาลัยก็ตามเถิด ความคิดจะไม่เหมือนกับเมื่อคุณมานั่งกลางดินตรงนี้ ทำไมความคิดอย่างนี้ไม่ไปเกิดที่โน่น ทำไมความคิดอย่างโน้นจึงไม่อาจจะมาเกิดที่นี่ เพราะว่าธรรมชาติมันเป็นผู้จัดการ นั่งอยู่ตรงนี้มันจะเกิดไอ้ความคิดแต่ชนิดที่ธรรมชาติมันอำนวยให้ ดังนั้น พอเดินเข้ามาตรงนี้ จิตมันเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็น เปลี่ยนจากเต้นรัวๆ มาเป็นหยุด มันเปลี่ยนจากไอ้สกปรกรกรุงรังมาเป็นจิตที่มันเกลี้ยงเกลา ถ้าท่านมาตรงนี้จิตมันเป็นอย่างนี้ ก็รีบศึกษาสิว่าทำไมเป็นอย่างนี้ รีบรู้สึกตรงความรู้สึกกับจิตที่เปลี่ยนใหม่ พอเดินเข้ามาถึงตรงนี้ จิตเปลี่ยน แล้วรีบศึกษาจิตที่เปลี่ยนนั่นแหละ กำลังเปลี่ยนอย่างไร เปลี่ยนเป็นอย่างไร เพราะเหตุอะไร ในที่สุดก็จะรู้ว่าเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุธรรมชาติมันบีบบังคับไว้ ไม่ให้เกิดความรู้สึกประเภท ตัวกู ของกู ประเภทกิเลสนะมันเกิดไม่ได้ เพราะธรรมชาติมันควบคุมไว้ เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้เอง ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้เอง มันไม่ยอมให้เป็นอย่างอื่น ดังนั้น พอเราเข้าไปใกล้ธรรมชาติ จิตมันก็หยุดเอง สงบเอง เย็นเอง เกลี้ยงเอง พระศาสดาทั้งหลายจึงตรัสรู้กันในป่า กลางธรรมชาติทั้งนั้น ทุกศาสนาแหละ ไม่มีศาสดาองค์ไหนตรัสรู้บนมหาวิทยาลัยหรอก ไปศึกษาดู มันศึกษาจากธรรมชาติ ใกล้ชิดธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติ ก็รู้เรื่องกิเลสที่เกิดขึ้นเพราะความคิดประเภทตัวกู ของกู เห็นแก่ตัวแล้วก็มีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง แล้วก็ทำไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็ได้ ก็ได้เรื่องกัน คือเบียดเบียนตนเองด้วย เบียดเบียนผู้อื่นด้วย ร้อนเป็นไฟกันไปทั้งหมด แล้วเราจะมาส่งเสริมไอ้สิ่งเหล่านี้กันได้อย่างไร เอาละ เป็นอันว่า อาตมาขอ อ้า, แสดงความยินดีในการที่ท่านทั้งหลายมาที่นี่ ในฐานะที่เป็นครู อาตมาก็เป็นครูดูเอาเองเถิดว่าแบบเดียวกันหรือเปล่า แล้วขอร้องท่านทั้งหลายว่าช่วยเป็นครูตามแบบของพระพุทธเจ้ากันด้วย แล้วเราจะได้ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้สงบเย็น เกิดมาทีหนึ่ง ได้ทำหน้าที่สูงสุด คือสร้างมนุษย์ ให้เป็นมนุษย์ ให้เป็นโลกของมนุษย์ที่ดี โดยอาศัยหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าผู้ประทานการศึกษาไว้ เป็น ๓ รูปแบบ ว่า ศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ขอตั้งใจอธิษฐานว่าท่านทั้งหลายทั้งปวง จงเจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา สมบูรณ์อยู่ด้วยศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ