แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาจะพูดกับท่านทั้งหลายตามความจำเป็นที่จะต้องพูด อาตมาเข้าใจว่าเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับวิธีสอน การสอน เรื่องที่จะสอนจัดอะไรอย่างไรซึ่งเป็นเรื่องเทคนิคนั้นเข้าใจว่าได้พูดกันมามากพอแล้วโดยผู้บรรยายคนอื่นๆ ทีนี้อาตมาคิดว่าจะพูดในเรื่องที่เป็นนามธรรมมากไปกว่านั้น จึงอยากจะให้หัวข้อว่า “ความเป็นครูกับเจตนารมย์ของการศึกษา” ที่จริงเราควรจะพูดถึงเจตนารมณ์ของการศึกษาก่อนเรื่องความเป็นครู เพราะว่าครูรู้เจตนารมย์การศึกษาก่อนแล้วจึงจะปฏิบัติหน้าที่ของตัวได้ อาตมาคิดว่าพูดไปพร้อมๆ กันอย่างสัมพันธ์กันไปเรื่อยๆ จะดีกว่า
ในข้อแรกที่จะต้องเข้าใจกันอย่างชัดเจนทั่วถึงตรงกันก็คือเจตนารมณ์การศึกษา เดี๋ยวนี้เจตนารมณ์การศึกษาตามที่เห็นๆ อยู่นั้นมันเพื่อรับใช้เศรษฐกิจ การเมืองหรือการปกครอง เขาว่ากันอย่างนั้นให้ก้องไปหมด แล้วรวมหมดนั้นเรียกว่าประชาธิปไตย ก็เพื่อรับใช้ประชาธิปไตย ในแง่ของเศรษฐกิจ การเมืองและการปกครอง เอาเรื่องเศรษฐกิจมาหน้าก็เป็นปัญหาที่รบกวนประชาชนอยู่อย่างยิ่ง ฉะนั้นรัฐบาลล้มลุกคลุกคลานหรือว่ามีชื่อเสียง มันก็ด้วยเรื่องปัญหาทางเศรษฐกิจ แก้ได้หรือแก้ไม่ได้มากกว่าอย่างอื่น ฉะนั้นคนจึงเป็นโรคเศรษฐกิจขึ้นสมองกันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในคณะรัฐบาลหรือสมาชิกสภาผู้แทนฯ เขาจึงจัดการศึกษาหรือต้องการการศึกษาชนิดที่ส่งเสริมเรื่องทางเศรษฐกิจ ไปดูนโยบายการจัดการศึกษาของกระทรวง ของอะไรต่างๆ ทั่วไปทั้งโลกก็ได้ มันจะเป็นเรื่องของทั้งโลกทีเดียว ยิ่งพูดว่าโลกมันกำลังปั่นป่วนอยู่ด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจ การศึกษาต้องจัดไปให้ ต้องจัดไปในลักษณะที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจและการเมืองหรือการปกครองมันจะได้ดีไปตาม
ทีนี้อาตมาเห็นว่ามันจะเป็นเรื่องหลับตาพูดเสียมากกว่า หลับตาคิดนี่ดีนะ หลับตาคิดนี่คิดได้ลึกซึ้ง แต่หลับตาพูดนี่ดูจะไม่ค่อยปลอดภัย เพราะมันพูดโดยที่ไม่ดูอะไร ไม่เห็นอะไร มันต้องนึกให้ลึกลงไปถึงเรื่องของศีลธรรม ที่เรียกว่าธรรมเฉยๆก็ได้ เรียกว่าศีลธรรมก็ได้ ในประเทศไทยเราคำว่าศีลธรรมมันค่อนข้างจะมีความหมายแคบ คือเป็นเรื่องธรรมะในชั้นต้นๆของสังคม ไม่เลยไปถึงนิพพาน แต่ถ้าดูคำที่พวกฝรั่งเขาใช้แล้ว คำว่า Morality นี่เขาใช้เลยไปถึงพระนิพพานโน่นคือหมดเลย จึงเป็นเรื่องศีลธรรมส่วนบุคคลมันเป็นไปถึงนิพพานได้ ถ้าเป็นเรื่องศีลธรรมส่วนสังคมมันก็ป้วนเปี้ยนอยู่แถวสังคมนี่เอง ฉะนั้นเราจะเรียกว่าศีลธรรมก็ได้ ถ้าตามความหมายในภาษาบาลีคือว่า ธรรมะ คือทำความปกติ ถ้าศีลธรรมไม่มีหรือธรรมะไม่มี ทุกอย่างจะล้มเหลวหมด เศรษฐกิจที่ไม่มีธรรมะนั่นแหละกำลังทำลายโลก ใช้คำว่าอย่างนี้ก็ดูจะไม่แรงเกินไป เศรษฐกิจในโลกปัจจุบันที่ไร้ศีลธรรมนั่นมันกำลังทำลายโลก หันไปดูสิโลกส่วนใหญ่ก็ใช้เศรษฐกิจอันป่าเถื่อนนั่นแหละเป็นเครื่องมือทำลายประเทศอื่น ทำลายพวกอื่น ทีนี้ในประเทศแต่ละประเทศแม้ประเทศเราความไม่มีศีลธรรมทางเศรษฐกิจนี่ พวกเศรษฐกิจที่ไม่มีศีลธรรมทำให้ยุ่ง ทำให้เศรษฐกิจเป็นไปอย่างกอบโกยประโยชน์ของตนหรือของพวกตน ไม่ใช่เพื่อสงบสุขของสังคม ทีนี้ถ้าว่าศีลธรรมมันเข้าไปมีในเรื่องของเศรษฐกิจ เศรษฐกิจมันก็เป็นไปอย่างถูกต้อง คือเพื่อทุกคนจะได้สะดวกสบายด้วยเรื่องกิน เรื่องหา เรื่องใช้ เรื่องทุกอย่างที่เรียกกันว่าเศรษฐกิจ มันก็สบาย ถ้าเศรษฐกิจเกิดไม่มีธรรมะขึ้นมา มันก็กลายเป็นเครื่องขูดรีดนับตั้งแต่คนปลูกผักขาย คนไปซื้อมาขาย คนกลางแม่ค้าขายผัก คนขายต่อขายส่ง มันก็ล้วนแต่เป็นการขูดรีด หรือเป็นการจ้องที่จะเอาเปรียบกันอยู่ทั้งนั้น เพราะความไม่มีศีลธรรมในเรื่องของเศรษฐกิจ แม้เรื่องใหญ่ๆ เช่น สินค้าส่งออกต่างประเทศ มันก็ไร้ศีลธรรมจนเกิดปัญหา ก็แปลว่าเศรษฐกิจที่ไม่มีศีลธรรมนั้นคือสิ่งทำลาย ทำลายโลก ทำลายมนุษย์ ทำลายทุกอย่าง ฉะนั้นถ้าไปบูชาเศรษฐกิจ แล้วพูดว่าจัดการศึกษาเพื่อเศรษฐกิจ แล้วก็ปล่อยไว้หลวมๆ ว่าเป็นเศรษฐกิจของใครก็ไม่รู้ มันก็เป็นเรื่องทำลายโลก ก็เพราะว่าเรื่องเศรษฐกิจล้วนๆนั้นมันเป็นเรื่องหาประโยชน์ของคน เขาจัดเพื่อประโยชน์ของตนและพวกของตนมันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว ยิ่งรวยยิ่งเห็นแก่ตัว โกงคราวนี้น้อยหน่อยไม่สู้รวยมันก็จะโกงให้มากขึ้นกว่านั้น โกงจนรวยแล้วอยากจะโกงให้รวยยิ่งขึ้นไปอีก นี่เศรษฐกิจที่ไม่มีศีลธรรมควบคุมมันก็เป็นอย่างนี้ แล้วโลกนี้หรือมนุษย์เรานี้จะสงบสุขได้อย่างไร ขอให้ท่านลองคิดดูว่าเศรษฐกิจนี้ถ้าปล่อยไปตามเรื่องของมันก็เป็นเรื่องภูตผีปิศาจ เป็นยักษ์ เป็นมารชนิดหนึ่งที่จะทำให้มนุษย์เดือดร้อน ต่อเมื่อมีศีลธรรมเข้าไปควบคุมมันถึงจะอยู่ในระเบียบและทำให้มนุษย์เป็นสุข
เรื่องการเมืองก็เหมือนกันแหละ พวกนักการเมืองนั่นแหละ ก็พวกแสวงหาประโยชน์ เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ วาสนาให้แก่ตนทั้งนั้น ถ้าไม่มีศีลธรรมมันก็แสวงหาผิดๆ มันก็จะเดือดร้อนกันหมด เข้าไปเป็นนักการเมืองเพื่อกอบโกยทั้งนั้นแหละ เว้นเสียแต่ว่ามันจะมีศีลธรรมจึงจะเป็นนักการเมืองเสียสละประโยชน์สุขเพื่อเพื่อนมนุษย์โดยแท้จริง ทีนี้การปกครอง มันก็ลงมาตามลำดับตั้งแต่ระดับสูงสุดถึงระดับต่ำสุด ถ้าไม่มีศีลธรรมมันเป็นอย่างไร ท่านทั้งหลายทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว อาตมาไม่จำเป็นจะต้องเอามาพูดให้มันเสียเวลา การปกครองที่ไม่ประกอบด้วยธรรม ตั้งแต่ระดับสูงสุดจนถึงระดับต่ำสุด ถ้าไม่เป็นไปตามธรรมแล้ว มันก็คือการแสวงหาประโยชน์ของผู้ปกครองทุกระดับลงมาทีเดียว ก็จะต้องมีความยุ่งยากลำบากเดือดร้อนชนิดที่เรียกกันว่าทุกหย่อมหญ้า ลองนึกถึงทุกหย่อมหญ้าดูเถิดมันกี่มากน้อย มันจะเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้าในเมื่อการปกครองมันไม่ประกอบไปด้วยศีลธรรม ยกตัวอย่างเพียง ๓ เรื่องแค่นี้ก็จะพอแล้ว ว่าเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง เรื่องการปกครอง ถ้าไม่มีศีลธรรมมันก็คือเรื่องทำลายโลก ทำลายประเทศ ทำลายมนุษย์ทั้งนั้นแหละ มันจะฆ่ากันวินาศไม่มีเหลือในที่สุดเพราะความไม่มีศีลธรรมที่เรียกกันว่า มิคสัญญีหรือยุคมิคสัญญี ที่จะมาถึงข้างหน้านั้นก็คือจุดสูงสุดของความไม่มีศีลธรรมของมนุษย์ แล้วเขาก็จะฆ่ากันเหมือนฆ่าเนื้อฆ่าปลา
ทีนี้มาดูที่ประชาชนคนธรรมดาสามัญที่ไม่เกี่ยวกับ ไม่ได้เป็นนักเศรษฐกิจ นักการเมือง นักปกครองอะไร คือพวกเราชาวบ้านธรรมดานี่ ถ้าไม่มีศีลธรรมมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ประชาชนที่ไม่มีศีลธรรมนี้จะจัดให้อยู่กันเป็นผาสุกไม่ได้ การปกครองระบอบไหนก็ทำให้คนไม่มีศีลธรรมนี่อยู่เป็นสุขไม่ได้ ถ้าประชาชนมีศีลธรรมแล้ว การปกครองง่ายๆ ก็ทำให้อยู่กันเป็นผาสุกได้เพราะในแต่ละบุคคลมีศีลธรรม เรานึกถึงความไม่มีศีลธรรมไว้ถึงสุด ที่สุดเสียก่อนว่าจะเกิดมิคสัญญี เอากันง่ายๆเดี๋ยวนี้ไม่ต้องรอถึงยุคมิคสัญญี เดี๋ยวนี้นะถ้าว่าไม่มีศีลธรรม ไม่มีธรรมะมากขึ้นๆ ก็หมายความว่าอันธพาลมันมากขึ้น อาชญากรอันโหดร้ายนี่มันจะมีมากขึ้นเพราะธรรมะมันลดลง ธรรมะหรือศีลธรรมมันลดลงเท่าไหร่ อาชญากร อันธพาลมันก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น มากขึ้นเท่านั้น จนเราไม่มีแผ่นดินอยู่ จนพวกคุณๆ นี้ก็จะไม่มีแผ่นดินอยู่ เพราะว่าอันธพาลเหล่านั้นมันโหดร้ายทารุณจนถึงกับบุกรุกเข้าไปทำอันตรายถึงห้องนอน ไม่มีที่หนีแล้ว หนีขึ้นไปบนเรือนเข้าไปอยู่ในห้องนอนปิดประตูแล้วก็ยังไม่พ้น นี่ก็แปลว่าไม่มีแผ่นดินจะอยู่แล้ว ประชาชนไม่มีแผ่นดินจะอยู่แล้วเพราะมันเต็มไปด้วยอันธพาลที่บุกรุกเข้าไปถึงห้องนอน เดี๋ยวนี้มันก็เริ่มจะมีแล้วมั้ง ไม่ใช่มีอยู่แต่ตามถนนหนทาง บนรถเมล์ บนอะไรเหล่านั้น มันจะรุกขึ้นไปถึงบนเรือน รุกถึงห้องนอน แล้วเราก็ไม่มีแผ่นดินอยู่ คำว่าไม่มีแผ่นดินอยู่มันก็มีขึ้นมาได้อย่างนี้ ไม่รู้จะหลบอันธพาลไปที่ไหน นี่แหละความไม่มีศีลธรรม ธรรมะหายไปเท่าไหร่อันธพาลก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งธรรมะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่อันธพาลก็ลดลงไปเท่านั้น ฉะนั้นการจะทำให้ศีลธรรมกลับมามีอยู่ในคนนั้นมันจำเป็นอย่างยิ่ง คือว่าเราจะได้มีที่อยู่ มีแผ่นดินอยู่ และอยู่กันได้อย่างสะดวกสบาย
ทีนี้คำว่า ธรรมะ มันเกิดขึ้นในโลกเป็นคำพูดคำแรกมันเพื่อวัตถุประสงค์อันนี้ คือเมื่อมนุษย์มีกินมีใช้ มีอะไรดีแล้ว แต่ยังมีการเบียดเบียนข่มเหงกันอยู่ เขาจึงค้นหาจนพบระบบว่าต้องมีศีลธรรม จึงมีระบบศีลธรรมเกิดขึ้น ที่เรียกว่า ศีล ๕ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีลอะไรจนเหลือมาอยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เมื่อคนเคารพศีลธรรม ก็มีศีลธรรมมันก็อยู่กันได้ ชนิดที่กล่าวไว้ว่านอนไม่ต้องปิดประตูเรือน ไปไหนไม่ต้องปิดประตูเรือน นอนหลับก็ไม่ต้องปิดประตูเรือน เดี๋ยวนี้จะมีที่ไหนบ้างก็ไม่ทราบ ที่ว่านอนหลับก็ไม่ต้องปิดประตูเรือน ไปไหนก็ไม่ต้องปิดประตูเรือน ไม่มีใครเข้าไปทำอะไรในบ้านเรือน ในเมืองไทยนี้ดูจะหายาก แต่วันก่อนมีผู้ที่พอจะเชื่อได้คนหนึ่งเข้าไปไทรบุรี มลายู รัฐไทรบุรี ไปเยี่ยมคนไทยเก่าๆที่ตกค้างอยู่ที่นั่น เมื่อศึกษาคนเหล่านั้นแล้วปรากฏว่าศีลธรรมยังดีอยู่ ที่นั่นยังถึงกับว่าไปไหนไม่ต้องปิดประตูเรือน เหมือนที่กล่าวไว้ในบาลี ร้องสั่งเพื่อนฝูงข้างบ้านว่าฝากเรือนด้วยแล้วก็ไปได้ตามแบบของคนไทยโบราณโน่นยังเหลืออยู่ที่นั่น นั่นเรื่องของศีลธรรมมันถึงขนาดนั้น ไปไหนไม่ต้องปิดประตูเรือน เดี๋ยวนี้เราก็ต้องใส่กุญแจแล้วก็ยังถูกงัดกุญแจแล้วก็เอาไปหมด และที่ว่าให้ลูกอ่อนเต้นรำอยู่บนอกนั้น หมายความว่ามันหมดปัญหา หมดความเดือดร้อน ในครอบครัวไม่มีความเดือดร้อน แม่ให้ลูกทารกเต้นรำอยู่บนอก หมายความว่าเวลาที่พักผ่อนแล้วมันหมดปัญหา มันไม่มีปัญหาที่ต้องเดือดร้อน ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ว่าแม่ก็ต้องออกไปหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวช่วยพ่อ แล้วก็ปล่อยให้ลูกมันเป็นลิงเป็นค่างไปตามประสาของมัน อย่างนี้ก็ยิ่งไม่มีศีลธรรม ยิ่งเพิ่มความไม่มีศีลธรรม เพราะพ่อนั้นทำหน้าที่เลี้ยงครอบครัว แม่นี่จะต้องอบรมเด็กทุกคนให้เป็นมนุษย์ เมื่อแม่ไปทำหน้าที่อย่างพ่อ ก็ไม่มีใครอบรมเด็กๆ ให้เป็นมนุษย์ มันก็จะเป็นอันธพาลในอนาคต เรามองเห็นว่าศีลธรรมต้องกลับมา ไม่อย่างนั้นโลกาจะวินาศ ถ้าศีลธรรมกลับมา โลกามันก็จะสงบสุข ที่นี้ทำอย่างไรคนจึงจะมีศีลธรรม นี่มันเป็น มันมาถึงปัญหาของการศึกษา คำว่า สิกขา หรือศึกษานี้ทำให้คนมีศีลธรรม ศีลสิกขา สมาธิสิกขา ปัญญาสิกขาเหล่านี้เป็นศีลธรรมทั้งนั้น เราจะต้องทำให้คนมีศีลธรรม จะจำกัดความให้คำจำกัดความแก่คำว่า “การศึกษา” นั้นน่ะคือการใส่ศีลธรรมลงไปในหัวใจของมนุษย์ พูดภาษากระด้างๆ หยาบคายหน่อยแต่มันฟังง่ายดีว่าการศึกษานั้นคือการใส่ศีลธรรมลงไปในหัวใจของมนุษย์ ฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เพียงแต่เรียนหนังสือและเรียนอาชีพ นั่นมันเป็นการศึกษาหมาหางด้วน ไม่มีการใส่ศีลธรรมลงไปในหัวใจของมนุษย์ ดังนั้นเราจึงต้องมีการศึกษาส่วนที่ ๓ เพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่งคือการสอนศีลธรรม จัดให้มีศีลธรรม
การศึกษาที่ ๑ รู้หนังสือ
การศึกษาที่ ๒ รู้อาชีพ
การศึกษาที่ ๓ ให้มีธรรมะในหัวใจของคนที่เป็นพลเมือง
มีการศึกษาเป็นหมาหางด้วนมันมาหยุดอยู่เสียแค่สอนหนังสือและสอนอาชีพ อาตมาก็ขอโอกาสพูดตรงๆ อย่างนี้ บางคนก็ชอบ บางคนก็กลางๆ บางคนก็ด่า โกรธ โดยเฉพาะพวกครูบาอาจารย์ พวกจัดการศึกษานี้เขาด่าอาตมาว่าพูดหยาบด่าเขา นี่ก็พูดไปตามความรู้สึกว่าถ้าการศึกษายังอยู่แต่เพียงรู้หนังสือกับรู้อาชีพแล้วก็เป็นการศึกษาหมาหางด้วนตลอดไปแหละ ไม่มีทางจะเป็นอย่างอื่นได้นอกเสียว่าจะจัดการศึกษาโดยการใส่ศีลธรรมลงไปในหัวสมองของมนุษย์ นั่นแหละการศึกษา ถ้าเขาไม่มีในหลักสูตรของกระทรวงไม่มี เรามีกันก็ได้จะเป็นอะไรไป เพราะเดี๋ยวนี้เราอบรมรู้เรื่องนี้มามากพอสมควรแล้ว เราก็สามารถจะแทรกธรรมะลงไปในวิชาทุกวิชาที่สอน แม้แต่วิชาเลข วิชาวาดเขียน ซึ่งมันไกลมากจากธรรมะ แต่ถ้าอาจารย์มันฉลาดพอมันก็สอนธรรมะแทรกลงไปได้ แม้ในวิชาเลข ๒ กับ ๓ บวกกันเป็น ๕ นี่มันเป็นเรื่องอะไร มันเป็นอำนาจของอะไร มันมีกฏอะไรที่ทำให้เป็นอย่างนั้น นั่นให้รู้ไว้ก่อนเถอะว่ามันมีอะไรอย่างหนึ่งที่ทำให้เป็นอย่างนั้น อย่างพวกที่ถือพระเจ้า เขาก็ว่าเพราะพระเจ้าเป็นผู้วางกฏอย่างนั้น แต่เราก็มีเหมือนกันแหละ แม้จะไม่เรียกว่าพระเจ้า เราก็เรียกว่า “กฏ” ก็ได้ ของธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น กฎของธรรมชาตินั่นแหละคือต้นตอของธรรมะหรือของศีลธรรม สัจธรรมทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ล้วนแต่เป็นกฏของธรรมชาติทั้งนั้น ช่วยจำไว้ดีๆ ท่านไม่ได้ตั้งขึ้นมาได้ มันเป็นกฏธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว จนถึงกับท่านตรัสว่า ตถาคตจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ตามเถิด ธรรมะธาตุ ธรรมะธาตุนั่น ท่านใช้คำว่าธรรมธาตุ ธา-ตุนั่นมันมีอยู่แล้ว ว่านี้ต้องเป็นอย่างนี้ นี่ต้องเป็นอย่างนี้ นี่ต้องอย่างนี้ นี่ต้องเป็นอย่างนี้ โดยกฎอิทัปปัจจยตาว่า เมื่อสิ่งนี้มีก็มี สิ่งนี้ก็มี เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี เมื่อสิ่งนี้..นี่ไม่มีที่สิ้นสุด เรียกสั้นๆ ว่า ตถาตา ตถาตา แปลว่าความเป็นเช่นนั้น แล้วขยายความว่าเป็น อวิตถตา คือไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น แล้วขยายออกไปว่า อนัญถตา ไม่เป็นโดยประการอื่นไปจากความเป็นอย่างนั้น, ธัมมัฏฐิตตา มันเป็นความตั้งอยู่โดยกฏของธรรมดา, ธัมมนิยามตา มันเป็นกฎตายตัวของธรรมดา, อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้มี, เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้มี, เมื่อสิ่งนี้ ไม่มีสิ่งนี้ไม่มี, เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ดับอย่างนี้เป็นต้น นี่คือกฏของธรรมชาติ คือต้นตอของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือศีลธรรม ที่เราต้องรู้ว่าทำอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้น, ทำอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้น,ทำอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้น ก็รู้ธรรมะแล้วก็สอนต่อๆ กันมาจนกลายเป็นรูประบบศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกกันว่าศาสนา ฉะนั้นหลักศาสนาก็คือระบบธรรมะเฉพาะในส่วนที่จะทำให้สังคมอยู่กันเป็นสุขก่อน เพราะมันเป็นปัญหาเฉพาะหน้ากว่า แล้วมันจึงไปถึงปัญหาส่วนบุคคล ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนั้น แล้วก็จะดับทุกข์สิ้นเชิง บรรลุนิพพาน มันก็สมบูรณ์ เมื่อมนุษย์หมดปัญหาไม่มีความทุกข์เลยก็เรียกว่าสมบูรณ์ ทีนี้การศึกษาของเรามันเป็นหมาหางด้วน มันอยากจะร้องไห้สักสิบครั้งว่ามันไม่ไปสุดของการศึกษา อยากจะขอเรียกว่าคนโง่หลับหูหลับตา ที่พูดว่าการศึกษาจบเมื่อวันรับปริญญา นี่บ้าหรือดีกี่มากน้อย การศึกษาจบเมื่อรับปริญญามันเป็นเรื่องบ้า (นาทีที่ 23.09 – 23.17 เสียงหาย) เราจะไม่ถือว่าการศึกษาจบเมื่อรับปริญญา จะจบเมื่อรับปริญญานั้นยังคงเป็นการศึกษาหมาหางด้วน ที่มันจบแค่วันรับปริญญามันด้วนเพียงแค่นั้น การศึกษาที่แท้จริงมันต้องเลยไปถึงเมื่อมีศีลธรรมอยู่ในหัวใจของมนุษย์พลเมืองนั่น การศึกษามันจึงสิ้นสุดหน้าที่จบลงที่นั่น เพราะฉะนั้นเราจึงควรจะมองเห็นได้ว่าเจตนารมณ์การศึกษานั้น มันอยู่ที่ให้พลเมืองมีศีลธรรมอยู่ในหัวใจของเขาสำหรับใช้ไปในทุกแง่ ทุกมุม ทุกกรณีในแห่งหน้าที่การงาน ถ้าเขาไปเป็นนักเศรษฐกิจก็ไปเป็นนักเศรษฐกิจที่ดีมีประโยชน์แก่บ้านเมือง ถ้าเขาเป็นนักการเมืองก็เป็นนักการเมืองที่ดี ถ้าเขาไปเป็นนักปกครองก็เป็นนักปกครองที่ดี เพราะว่าเขามีธรรมะหรือศีลธรรมอยู่ในหัวใจของเขาซึ่งเป็นผลแห่งการศึกษา ทีนี้ข้อแรกเราพิจารณากันถึงข้อที่ว่า อะไรเป็นเจตนารมณ์ของการศึกษา ก็ตอบว่าความที่พลเมืองมีศีลธรรมอยู่ในหัวใจ นี่เป็นเจตนารมณ์ของการศึกษา ถ้ากระทรวงศึกษาเขาไม่หวังอย่างนั้น เขาไม่จัดอย่างนั้น อาตมาขอร้อง ขอวิงวอนว่าท่านทั้งหลายจงถือหลักอย่างนั้น เข้าใจว่าท่านครูบาอาจารย์เหล่านี้คงจะเคยอ่านหนังสือเล่มเล็กๆ ที่แจกเมื่อวันครู ปีนี้ที่คุรุสภามีบทความของอาตมารวมอยู่ในนั้นด้วยว่า “เราจงมาเป็นครูเอาบุญกันเถิด” อยู่เป็นครูเพียงเอาเงินเดือนนี้มันไม่พอแล้ว มันไม่ตรงกับความหมายของคำว่าครู ซึ่งจะได้พูดกันต่อไป มาเป็นครูเอาบุญกันเถิดแล้วก็ครูนั้นก็จะเป็นปูชนียบุคคล ครูที่ถือหลักอย่างนี้เท่านั้นแหละที่จะจัดการศึกษาให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ คือความมีธรรมะอยู่ในหัวใจของประชาชนพลเมือง เราจึงพยายามทำถ้าจะนอกหลักสูตรไปบ้างก็จะเป็นไรไป แต่ที่จริงมันก็แทรกลงไปได้ในเมื่อปฏิบัติตามหลักสูตร อย่างที่อาตมากล่าวแล้วว่าไม่ได้สอนเลข สอนวาดเขียน สอนภูมิศาสตร์ สอนอะไร ก็ถ้าครูสนใจจริง ศึกษาอบรมมาเพียงพอจริงก็สามารถที่จะใส่ความหมายของคำว่าศาสนาลงไปได้ อย่างน้อยก็มันเป็นสิ่งที่เด็ดขาดที่เราจะต้องปฏิบัติตาม เพราะว่ามันเป็นกฎของธรรมชาติ มันจึงมีหลักเกณฑ์ที่เรียกว่าคณิตศาสตร์ล้วนเป็นเรื่องของธรรมชาติ มันจึงมีความงาม ความถูกต้องของความงาม ความที่สร้างขึ้นมาได้เป็นความงามในการวาดเขียนอย่างนี้เป็นต้น
ฉะนั้นโลกนี้มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติตั้งแต่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือโลกยังไม่มี มันมาตามกฎของธรรมชาติ เราเรียกว่า กฎของธรรมชาติ มีเรื่องชวนหัวอยู่เรื่องหนึ่งเมื่ออาตมาไปพูดกับเพื่อนฝูงที่เป็นคริสเตียนพวกบาทหลวง บอกว่าในพุทธเราก็มี God โว้ย แต่เราออกเสียงมันสั้นไป คุณออกเสียงยาวว่า กอด พวกเราออกเสียงสั้นว่า กฎ มันก็คือสิ่งเดียวกันนั่นแหละ เมื่อไปดูความหมาย ดูหน้าที่การงานแล้ว กฎกับกอด นั้นมีหน้าที่สิ่งเดียว อย่างเดียวกันล้วนคือ สร้างโลก คุ้มครองโลก ทำลายโลก ดูแลโลกอยู่ในที่ทั่วไปเป็นใหญ่กว่าสิ่งทั้งปวงนั่นแหละคือกฎของธรรมชาติ ทีนี้เราจะชี้ในแง่ที่ว่ามันเป็นกฎของธรรมชาติที่ใครจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่มันเฉียบขาดอยู่ในทุกเรื่องที่นำมาสอนในหลักสูตรของการศึกษาทุกเรื่องและทุกแขนงของวิชา มันจะแสดงให้เห็นว่ามีอำนาจอันหนึ่งสูงสุดปกคลุมอยู่ทั้งนั้น เราจะทำอะไรขึ้นมาได้ตามเรื่องทางวิทยาศาสตร์นี้มันก็เป็นเรื่องกฎของธรรมชาติ มันจะผลิตอะไรขึ้นมาได้โดยวิชาช่างมันก็เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ อะไรๆ มันก็จะไปรวมอยู่ที่ว่าความจริงของธรรมชาติ เพียงแต่เราไปเรียกเสียใหม่ว่าศาสนาบ้าง ธรรมะชื่อนั้นชื่อนี้บ้าง แต่ทั้งหมดนั้นมันเป็นกฎของธรรมชาติ ขอให้ลูกเด็กๆ ทุกคนเคารพ เชื่อฟังกฎของธรรมชาติอย่างเฉียบขาดเถิด มิเช่นนั้นมันก็จะไม่ประสบความสงบสุข มันก็จะมีแต่ความยุ่งยากลำบากเพราะมันผิดกฎของธรรมชาติ ทีนี่ก็จะชี้ให้เห็นเสียเลยว่าธรรมชาติแท้ๆ นั่นมันต้องการความสงบ เมื่อวุ่นวายนั่นคือผิดธรรมชาติ ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติแท้ๆ อย่ามีอะไรมารบกวนแล้ว แม้แต่ทะเลมันก็เงียบกริบเป็นแผ่นกระจก หรือว่าเมื่อลมไม่พัด พายุไม่มี อะไรไม่มีอย่างเดี๋ยวนี้ มันก็เงียบสงบตามธรรมชาติ ดังนั้นธรรมชาติโดยแท้โดยธรรมชาตินั้นมันก็คือความสงบ ฉะนั้นเราต้องรู้จักทำให้มันสงบเข้ากันกับธรรมชาติ ถ้าไม่อย่างนั้นมันผิดกฎของธรรมชาติ ผิดความมุ่งหมายของธรรมชาติมันก็ยุ่งยากลำบากและเป็นทุกข์ทรมาน เอาละ, เป็นอันว่า ประเด็นที่ ๑ คือเจตนารมย์ของการศึกษามันอยู่ที่การทำให้มนุษย์มีธรรมะอยู่ในหัวใจ ในจิตใจ
ทีนี้ก็มาถึงการศึกษาที่เป็นการกระทำ เช่น การสอนในโรงเรียน การอบรมยุวชน นี่ก็คือการใส่ วิธีการใส่ศีลธรรมลงไปในหัวใจของคน เราจะรอใส่ตอนโตนั้นไม่ได้มันเต็มที่หมด เราจะต้องพยายามใส่ให้เขาตั้งแต่เล็กๆ นับตั้งแต่แรกคลอดออกมาทีเดียว นี่มาเริ่มกันแค่ชั้นอนุบาลนี่ก็ยังสายไปหน่อยแล้ว ควรจะมีการใส่ศีลธรรมซึ่งเป็นตัวการศึกษาตั้งแต่แรกคลอดออกมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก หรือถ้าให้ดีกว่านั้นใส่ตั้งแต่มีครรภ์ดีกว่า ตั้งแต่มารดามีครรภ์ดีกว่า คืออบรมมารดาให้ดีมีศีลธรรม เราได้ยินได้ฟังเรื่องราวในพระคัมภีร์ว่าพอมารดาเริ่มรู้สึกว่ามีครรภ์เขาก็เริ่มถือศีลกันทันที แล้วประพฤติวัตรปฏิบัติที่เรียกว่า คัพภะปริหาร อย่างยิ่งเลยเป็นระบบศาสนาด้วยเหมือนกัน แม้พระนางสิริมหามายาพอมีครรภ์ก็ถือศีลหรือว่าถือศีลเมื่อตั้งครรภ์ด้วยซ้ำไป เป็นคำที่แปลกว่าพระโพธิสัตว์จุติมาบังเกิดในครรภ์ของพระมารดาเมื่อพระมารดากำลังมีศีล ยิ่งถ้าเป็นอุโบสถศีลด้วยแล้วยิ่งอธิบายยาก เอาเป็นว่ามันมีระเบียบมาแต่โบราณแล้วหญิงตั้งครรภ์ก็มีวัตรปฏิบัติที่เรียกว่า คัพภะปริหาร มากมาย นี่ลูกมันต้องดีแน่เพราะแม่มันอยู่ในความดีที่สุดตลอดเวลาที่ตั้งครรภ์ ทีนี้ออกมาแล้วมันก็ได้รับการสั่งสอนอบรมตั้งแต่รู้กิน รู้ถ่าย รู้อะไร ระเบียบ มรรยาทที่ดีไปหมด กว่าจะไปเข้าโรงเรียนอนุบาลนี้มันก็สอนกันมากแล้ว ทีนี้ไปสอนในโรงเรียนอนุบาลก็สอนต่อไปอีก ถึงชั้นประถม มัธยม ก็ควรจะสอนต่อ ต่อไปอีกให้มันมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น อย่าให้หางมันด้วนเพียงแต่รู้หนังสือกับวิชาชีพอย่างนั้นมันจำกัด มันตายตัวและเป็นเรื่องเฉพาะคนเฉพาะเวลา แต่เรื่องมีธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์นั้นไม่จำกัดเฉพาะใคร ไม่จำกัดเวลาอะไร จะต้องเป็นไปทุกคนและตลอดชีวิตโน่น ฉะนั้นขอให้จัดการศึกษาที่มันไม่ด้วน ให้มันไปเรื่อยไปจนตลอดชีวิต คำว่าการศึกษาก็คือวิธีใส่ศีลธรรมลงไปในหัวใจของคน โรงเรียนก็คือวิธีการที่จะใส่ศีลธรรมลงไปในหัวใจของคนเสียตั้งแต่เล็กๆ อย่าให้มันโตมันแน่นเต็มอัดใส่อะไรไม่ลง นี่ขอให้ท่านทั้งหลายดูสิ่งเหล่านี้ให้เข้าใจ แล้วท่านจะรักความเป็นครูว่าได้ทำหน้าที่ประเสริฐสูงสุดในหมู่มนุษย์
ทีนี้ก็จะพูดถึงประเด็นที่ ๒ คือ ความหมายแห่งความเป็นครู คือผู้ที่จะเป็นครูนี่ มันก็คือมีหน้าที่ใส่ธรรมะลงไปในวิญญาณ ชีวิต ดวงจิตของประชาชน ฉะนั้นเขาจึงจัดเป็นบุคคลพิเศษ พิเศษตรงที่ว่าไม่ว่ามนุษย์มันจะรู้หนังสือ จะประกอบอาชีพ จะเป็นคนแกร่งกล้าอะไรในสาขาไหนไปทั้งหมดแล้วมันก็ยังไม่ดับทุกข์ มันยังมีการทรมานตัวเองด้วยกิเลสของตน มันยังมีการทรมานตัวเองด้วยการที่ธรรมชาติภายนอกมันเปลี่ยนแปลง มันไม่เป็นไปตามความต้องการของตนมันมีความทุกข์ ฉะนั้นก็มีความรู้อีกระบบหนึ่งแก้ปัญหาเหล่านี้ ซึ่งครูจะต้องเป็นผู้รู้และสอนให้ ดังนั้นก่อนจะเกิดมีครูคนแรกที่แท้จริงในเรื่องนี้ขึ้นมาในโลกนี่มันนานมาก บุคคลคนแรกมันเพียงแต่จะไปนั่งคิดนึก นั่งคิดๆนึกๆ ในระดับแรกเท่านั้น ไม่รู้เรื่องมรรคผลนิพพานขึ้นมาได้ แต่มันก็มีครูรับช่วงถ่ายทอดกันมา ความคิดเรื่องนี้เจริญก้าวหน้าเรื่อยๆ ขึ้นมา จนมีระบบธรรมะหรือศีลธรรมสูงขึ้นๆ ก็คงจะเป็นเวลานานมากทีเดียวกว่าจะเกิดพระพุทธเจ้าที่รู้เรื่องเหล่านี้ทั้งหมด เรียกว่า สัมมาสัมพุทโธ รู้ครบถ้วนโดยถูกต้องทั้งหมดได้ด้วยพระองค์เอง ฉะนั้นเรื่องธรรมะ..(ฟังไม่ออก)...สูงสุดอยู่ที่การเกิดแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เราพูดอย่างที่เป็นพุทธบริษัท พวกอื่นเขาก็ควรจะพูดได้อย่างนี้ในทำนองเดียวกันแต่มีชื่อเรียกอย่างอื่น เราก็สอนธรรมะให้มนุษย์พ้นจากปัญหาโดยประการทั้งปวง ซึ่งพระบาลีกล่าวว่าทั้งเทวดาและมนุษย์ คำว่าเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ทั้งเทวดาและมนุษย์นี่มันเต็มไปหมดในพระไตรปิฎกนะ ในพระบาลีทรงย้ำว่าทั้งเทวดาและมนุษย์เสมอ จนกระทั่งคนรวยและคนจน เทวดาคือคนที่หมดปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องคือเป็นคนรวย คนจนคือไม่หมดปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องนี้เรียกว่าเป็นมนุษย์ มนุษย์ก็มีปัญหาเรื่องความทุกข์ คนรวยเป็นเทวดาก็มีปัญหาเรื่องความทุกข์เหมือนกันนะ ข้อนี้ต้องรู้ไว้นะ เป็นเทวดาและมนุษย์นี่มันต่างกันแต่ปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง แต่ภายในจิตใจแล้วยังมีปัญหาเหมือนกัน คือการเผาลนของกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโง่ อวิชชาเกิดขึ้น เป็นกิเลสตัณหาแล้วก็เผาลน ทั้งนี้มีได้เท่ากันทั้งเทวดาและมนุษย์ ทีนี้ปัญหาเกิดจากธรรมชาติ เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามที่ต้องการ เช่น ฝนไม่ตกตามฤดูกาลนี่ก็เป็นปัญหาภายนอก นี่ก็มีความทุกข์แล้วก็ต้องแก้ด้วยเหมือนกัน จะต้องแก้ปัญหาได้ทั้งปัญหาภายในคือกิเลสและปัญหาภายนอกคือสิ่งแวดล้อมทางกาย ฉะนั้นธรรมะจึงมีขอบเขตกว้างพอที่จะแก้ปัญหาทั้งของเทวดาและมนุษย์ เดี๋ยวนี้ก็ดูเอาเองก็แล้วกันนะ แม้ในประเทศไทยเราเองนี่ คนร่ำรวยก็มีปัญหา ปวดหัวนอนไม่หลับ คนจนก็มีปัญหา ไม่ค่อยปวดหัวยังนอนหลับกว่าคนรวยซะอีก แต่ก็เรียกว่ามันมีความทุกข์ด้วยกันนั่นแหละ ไม่ว่าคนจนหรือคนรวย ทีนี้ธรรมะจะต้องแก้ปัญหาได้หมดทั้งของคนจนและคนรวย ก็ต้องไม่เกิดคอมมิวนิสต์ ไม่ต้องเกิดการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ไม่ต้องเกิดความยุ่งยากลำบากอันเป็นปัญหาเนื่องกันอยู่กับคนจนและคนรวย ทั่วทุกคนมันรักผู้อื่นเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายกันเสียหมด มันก็ไม่สร้างปัญหาระหว่างวรรณะ ระหว่างชนชั้น ระหว่างอะไรขึ้นมาได้นี่ก็คือธรรมะ ถ้ายังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ก็คือเราไม่มีธรรมะ จะมีกระทรวงศึกษาธิการอีกกี่กระทรวง กี่สิบ กระทรวงถ้ามันแก้ปัญหานี้ไม่ได้ก็คือไม่มีการศึกษาที่ควรจะพอใจ ถ้ามันมีการศึกษาที่ถูกต้องมันก็แก้ปัญหาอันนี้ได้
ที่เขารู้ มีความรู้เรื่องนี้ เป็นมุนี เป็นฤาษี เป็นครูบาอาจารย์สอนต่อๆ ต่อกันมา จนเกิดคำว่า ครู ขึ้นมา ก่อนนี้เราอธิบายคำว่า ครู เป็นแต่เพียงผู้หนัก มีพระคุณหนักอยู่บนศีรษะของประชาชนที่เป็นลูกศิษย์ เดี๋ยวนี้ต่อมาก็พบว่า เขาแปลคำนี้ว่าผู้นำในทางวิญญาณ คือนำให้มีการเดินถูกต้องทางจิต ทางวิญญาณ เรียกว่า ครู เมื่อไม่นานมานี้เกิดมีผู้พบว่ารากศัพท์คำนั้นแปลว่า ผู้เปิดประตู ต่างหาก ผู้เปิดประตูทางวิญญาณ สัตว์อยู่ในคอกอวิชชา ในคอกของอวิชชา มืดมิด เน่าเหม็น สกปรก ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีอิสรภาพในคอกนั้น แล้วคนที่เขาเปิดประตูให้สัตว์ในคอกนั้นออกมานอกคอกได้นั่นแหละ คือคำว่า ครู แปลว่าผู้เปิดประตูแต่เป็นเรื่องทางวิญญาณ อย่างนี้มันตรงกับความหมายในพระพุทธศาสนา จนถึงกับเราจัดพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระบรมครู เพราะเปิดประตูทางวิญญาณสูงสุดยิ่งกว่าใครๆ เอาล่ะ, เป็นอันว่าถ้าจะแปลคำว่า ครู คือผู้มีพระคุณหนักอยู่บนศีรษะของศิษย์ ศิษย์จะต้องสนองนี่ก็ได้เหมือนกัน มันก็ยังดีวิเศษ ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงเถอะ ครูนั้นเป็นเจ้าหนี้ คือเป็นเจ้าหนี้เหนือทุกคนที่เป็นลูกศิษย์ แต่ถ้าว่าครูได้ทำหน้าถูกต้องสมบูรณ์ของคำว่าครูแล้ว มันเป็นเจ้าหนี้ที่สูงสุดเหลือประมาณนั่นแหละ จะเรียกว่าเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดก็ได้ เพราะว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไร จะเป็นโลกดี โลกเลว โลกร้อน โลกเย็นอย่างไร มันก็แล้วแต่ว่าบรรดาชนคนโลกมันเป็นอย่างไร เพราะถ้าคนในโลกทั้งหมดมันไม่มีศีลธรรม โลกนี้ก็เป็นโลกร้อน ทนทรมานทั่วกันไปหมด ถ้าประชาชนคนในโลกมันมีศีลธรรม โลกนี้ก็เป็นโลกที่เย็นมีความสงบสุข ทีนี้คนจะมีศีลธรรมหรือไม่มีศีลธรรมมันขึ้นอยู่กับครู เพราะฉะนั้นในบทความนั้น จงมาเป็นครูเอาบุญกันเถิด นั่นน่ะ อาตมาเขียนลงไปว่า ครูเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกที่แท้จริงยิ่งกว่าพระเจ้าองค์ไหนหมด ใครเขาว่าพระเจ้าสร้างโลกเป็นอย่างนั้นๆ ชื่ออย่างนั้นๆ อาตมาว่าไม่เห็นด้วย พระเจ้าสร้างโลกที่แท้จริงนี่คือครู ครูสอนให้คนในโลกเป็นอย่างไร โลกนี้มันก็เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ นี่มันแน่กว่าว่าครูเป็นผู้สร้างโลก ควรจะได้รับยกย่องว่ามีพระคุณหนักอยู่บนศีรษะของคนทุกคน ฉะนั้นเราเป็นครูให้ถึงขนาดนั้น พอมาพิจารณาถึงคุณค่าอันนี้แล้ว เงินเดือนทั้งหลายมันก็เป็นขี้ฝุ่น เป็นเศษขยะมูลฝอยอยู่ใต้ฝ่าเท้า เงินเดือนทั้งหลายมันเป็นขี้ฝุ่นเป็นเศษขยะมูลฝอยอยู่ใต้ฝ่าเท้า เพราะว่าเราทำหน้าที่สร้างโลก ให้เป็นโลกที่มีค่าเหลือประมาณ เพราะฉะนั้นอย่าเอาเงินเดือนมาไว้บนหัวเลย อย่าทะเลาะวิวาทต่อสู้กันเรื่องเงินเดือนไม่ขึ้น เงินเดือนไม่ยุติธรรมอะไรต่างๆ เหล่านี้เลย มันเป็นขี้ฝุ่นที่ควรจะอยู่ใต้ฝ่าเท้า ไม่ควรเอาขึ้นมาไว้บนหัวบนศีรษะ เดี๋ยวมันก็จะหมดความเป็นครูไปเท่านั้นเอง ยังเหลืออยู่แต่ลูกจ้างสอนหนังสือกินไปวันหนึ่งๆ มันไม่น่าชื่นใจอะไร ฉะนั้นครูนี้จะต้องเป็นปูชนียบุคคลแล้วก็ทำเอาบุญจึงมีค่ามากกว่าเงินเดือน
ที่ว่าเป็นผู้สอนประชาชน นำประชาชน เป็นผู้นำในทางวิญญาณ ก็คือในการทำให้หลุดออกมาจากปัญหา มนุษย์ติดตาราง ติดคอก ติดกรงขังของปัญหาทั้งหลายที่เรียกว่าคอก ว่าเล้าของความโง่ ทีนี้ครูไปช่วยเปิดประตูออกมันมาเหมือนเวลาเราเปิดประตูคอก สัตว์ในคอกก็ชวนกันออกมา แย่งกันออกมาด้วยซ้ำไป ฉะนั้นเราจงทำหน้าที่ให้มันเห็นชัดลงไปว่าได้เปิดประตูคอกเล้าแห่งความโง่ของมนุษย์ออกแล้ว สัตว์ทั้งหลายออกมาสู่แสงสว่าง เพราะฉะนั้นลูกศิษย์ของเราทุกคน มันจะต้องมีแสงสว่างถึงจะรู้ว่าเกิดมาทำไม จะไปไหนกันต่อไป ทำอะไรจึงจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ รายละเอียดเหล่านี้อาตมาเชื่อว่าท่านทั้งหลายได้รับการแนะนำอบรมมามากพอแล้วโดยผู้บรรยายอื่นๆ หรือแม้แต่หนังสือหลายๆ เล่มที่มีให้อ่านให้อะไรกันอยู่ ฉะนั้นจึงพูดในวันนี้ก็เฉพาะแต่ว่าช่วยพิจารณาดูคุณค่าแห่งความเป็นครู หรือความหมายแห่งความเป็นครูนั้นมันคืออย่างไร จะได้สมัครใจอุทิศชีวิตหรืออะไรทั้งหมดเพื่อความเป็นครูทั้งเนื้อทั้งตัว ไม่เหลือไว้สำหรับเป็นลูกจ้างสอนหนังสือกินไปวันหนึ่งๆ ซึ่งเป็นกันอยู่โดยมากแล้วก็เรียกว่าครู แล้วก็ทะเลาะวิวาทแก่งแย่งกันเรื่องเงินเดือนไม่ขึ้น เงินเดือนไม่เป็นธรรม หน่วยนั้น หน่วยนี้ กลุ่มนั้น กลุ่มนี้ กองนั้น กองนี้ ไม่เป็นธรรม นี้มันก็ มันก็เหมือนกับแย่งอาหารอย่างสัตว์ สัตว์ทั่วไปเขาแย่งกัน มันไม่ควรจะมามีอยู่ในหมู่ครูซึ่งเป็นปูชนียบุคคล นี่อาตมาได้พูดถึงความหมายของความเป็นครูคู่กันกับเจตนารมณ์แห่งการศึกษา เมื่อการศึกษามันมีเจตนารมณ์อย่างนั้นๆ ชัดเจนลงไปแล้วว่าใครจะสนองเจตนารมณ์อันนั้นก็คือครู ครั้นเมื่อเรารู้เจตนารมณ์ของการศึกษาเราก็เป็นครูที่ให้สำเร็จประโยชน์แก่การศึกษาแบบนั้น คือแบบที่มนุษย์มีจิต มีวิญญาณสูงขึ้น คือหลุดออกมาจากความโง่ ความหลง ความมืด ซึ่งเป็นเหมือนกับคอกขัง กรงขัง ในความเป็นครูมันมีความหมายมีค่ามีอะไรเหลือที่จะกล่าวได้ จนเขายกไว้ในฐานะเป็นปูชนียบุคคลมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ไม่ใช่เพิ่งจะยกกันเดี๋ยวนี้ ครูเป็นปูชนียบุคคลมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ แล้วคนยุคปัจจุบันมันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงลดค่าลดความหมายเหลือเป็นลูกจ้างสอนหนังสือกินไปวันหนึ่งๆ
ทีนี้ก็มาถึงเรากันแล้ว เราจะเลือกอย่างไร อาตมาอยากจะพูดว่าเราไม่ต้องเสียอะไรไป เราไม่ต้องขาดอะไรไป ขอให้ทำไปเถิด แต่ว่าให้มีความตั้งใจคือเจตนารมณ์ที่ถูกต้อง คือไม่ไปจ่ออยู่ที่เงินเดือน แต่ไปจ่ออยู่ที่ความดีความงามสูงสุดของมนุษย์คือความมีศีลธรรม เราทำหน้าที่นั้นได้เต็มที่ เต็มตามความหมาย ตามคุณค่าของการศึกษาและความเป็นครู ส่วนเงินเดือนนั้นให้เรียกว่ามันมาหาเอง มันวิ่งมาหาเองหรือมันเป็นความยุติธรรมระหว่างสังคมที่จะต้องจุนเจือคนที่ทำหน้าที่ของตนให้เป็นอยู่ได้ ฉะนั้นครูไม่ต้องไปทำมาค้าขายหรือทำอะไรอีกแล้ว อยู่ได้ด้วยเงินเดือนที่ประชาชนเขารู้คุณค่าหรือความหมายเขาอุทิศให้ ฉะนั้นเงินเดือนมันก็ไม่ไปไหนเสีย มันก็ยังคงมีอยู่แต่เราไม่ไปบูชามันเท่านั้น เราไปมุ่งที่จะยกคนขึ้นมาเสียจากนรกแห่งความชั่ว นรกแห่งกิเลสตัณหา นรกแห่งปัญหาท่วมทับ นรกแห่งความทุกข์โดยประการทั้งปวงนี่ เป็นครูอย่างนี้สนุกที่สุด ลองเป็นให้ได้เถิดแล้วพยายามเป็นให้ได้แล้วจะสนุกกว่าเป็นครูที่นั่งคอยรับเงินเดือน หิวกระหายคอแห้งว่าเมื่อไรจะสิ้นเดือน จะรับเงินเดือน แล้วจะไปเที่ยวกันให้สนุก นั่นแหละครูหิว ครูหิว หิวเงินเดือนแล้วก็ทรมานตัวอยู่ตลอดเวลา ส่วนครูอีกพวกหนึ่งนั่นไม่หิวชนิดนั้น แล้วอิ่มอยู่ด้วยการทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องตามความหมายของคำว่าเป็นครู นับตั้งแต่ว่ามีพระคุณหนักอยู่บนศีรษะคนทุกคน แล้วก็เป็นผู้เปิด เป็นผู้นำในทางวิญญาณ กระทั่งว่าเป็นผู้เปิดประตูคอกในทางวิญญาณ ที่ดีมากก็คือครูคนนั้นเองมันจะออกมาจากคอกก่อนลูกศิษย์ ครูต้องมีความรู้จนออกมาจากคอกได้ก่อนลูกศิษย์แล้วจึงไปสอนลูกศิษย์ ดังนั้นเราก็ได้รับประโยชน์สูงสุดคือเรามีธรรมะมีศีลธรรมออกมาจากอวิชชาที่เป็นกรงขังได้ เป็นมนุษย์ที่มีความสะอาด สว่าง สงบเยือกเย็น ซึ่งมีค่าสูงสุดตีราคาไม่ไหว เงินเดือนก็กลายเป็นขี้ฝุ่นไป อาตมาเทียบกันอย่างนี้ จึงมีผลออกมาว่าเงินเดือนเท่ากับขี้ฝุ่น เพราะว่าครูได้รับประโยชน์สูงสุด เป็นความสว่าง สะอาด สว่าง สงบอยู่ในจิตใจเหลือประมาณ มีค่าสูงสุดเหลือประมาณ แล้วมานับประสาอะไรกับเงินเดือนไม่กี่ร้อยกี่พันนี่มันก็กลายเป็นขี้ฝุ่นไปเท่านั้นเอง
พูดไปแล้วรู้สึกว่าคล้ายๆ กับรับจ้างพูดโฆษณาให้อะไรสักอย่างหนึ่ง อาตมาไม่ได้มีความมุ่งหมายจะรับจ้างโฆษณาให้อะไรสักอย่างหนึ่ง คือพูดไปตามความจริง ความตรง ว่ามันมีอยู่อย่างนี้ ขอให้ทุกคนพอใจ ยินดี กล้าหาญ ร่าเริงในการเป็นครู อย่าเปลี่ยนอาชีพเลย อย่าเห็นว่าอาชีพอื่นมันสูงมันดีกว่าอาชีพครูเลย อาชีพครูนี้เป็นปูชนียบุคคลแล้วก็ได้บุญด้วย ได้บุญอย่างยิ่งด้วย มีความสุข สงบอย่างยิ่งด้วย จึงควรจะมองเห็นตามที่เป็นจริง ทีนี้พอมีช่องที่จะไปหาเงินเดือนได้มากก็ทิ้งความเป็นครู ลาออกจากครูไปเข้างานนั้นทันที อย่างนี้ก็เพราะว่าไม่เห็นความประเสริฐของความเป็นครู ฉะนั้นครูที่แท้จริงมันก็มีน้อยแหละ มันก็มีดีขึ้นได้ยากและมันก็มีน้อยไม่พอที่จะทำให้โลกนี้มีความสงบสุขได้ ฉะนั้นโลกยังมีความทุกข์ความวุ่นวายก็เพราะว่าครูที่แท้จริงมันมีไม่พอ อาตมาขออ้อนวอนท่านทั้งหลายทุกคนว่าให้พิจารณาเรื่องนี้ดูให้ดีๆ เพื่อเห็นแก่เพื่อนมนุษย์ด้วย แก่ตัวเราเองด้วย ขอให้ได้ทำหน้าที่ที่ดีที่สุดในหมู่มนุษย์ คือความเป็นครูดังที่กล่าวแล้ว ซึ่งจะทำสำเร็จได้ด้วยการที่จัดการศึกษาให้มันถูกต้อง แม้ว่าหลักสูตรของกระทรวงเขาจะจำกัดบังคับอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง เราก็ยังสามารถที่จะใส่ธรรมะ ใส่ความรู้ทางธรรมะ ใส่การอบรมทางธรรมะ ลงไปได้ในหลักสูตรตามที่เขากำหนดไว้อย่างไร อย่างที่อาตมาขอยืนยันว่าในวิชาอะไรก็ตามถ้าเราฉลาดสามารถสอนแล้ว เราจะแทรกธรรมะเข้าไปได้ทั้งนั้น เหมือนกับเติมชูรสเข้าไปได้ในอาหารทุกอย่าง แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่เรื่องหลอกลวงเหมือนกับผงชูรส มันเป็นของดี ของจริง ที่ควรจะเติมลงไปในทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้มีคุณค่ามากขึ้น เหมือนที่เขานิยมเติมวิตามินลงไปในของกินทุกอย่างแห่งสมัยปัจจุบัน
เอาล่ะ, เป็นอันว่าอาตมาไม่มีอะไรจะพูด จึงได้พูดเรื่องที่เรียกว่าเป็นนามธรรมมากกว่า คือว่ามันเป็นเรื่องทางจิตใจมากกว่าเป็นเรื่องที่มองเห็นได้ด้วยตา เพราะว่าเจตนารมณ์ของการศึกษาคือทำให้มีธรรมะอยู่ในหัวใจของคน และความเป็นครูก็คือเป็นผู้ที่กรอกธรรมะลงไปในหัวใจของคน มันจึงเนื่องกันอยู่กับการศึกษา หวังว่าพวกเราทุกคนเมื่อมองเห็นความจริงอันนี้แล้วคงจะกล้าหาญพอ มีความเชื่อมากพอ มีกำลังใจมากพอที่จะทำหน้าที่อันนี้ให้สำเร็จประโยชน์ได้ อาตมามองเห็นอยู่ว่าไม่ต้องให้พร เพราะว่าพรแปลว่าดี เมื่อทำดีอยู่แล้วก็เป็นพรอยู่นั่นเอง แต่แล้วก็อดทำตามประเพณีไม่ได้ว่าขอให้พร ว่าให้ท่านทั้งหลายได้ทำความดีสูงสุดของมนุษย์ คือความเป็นครูอุดมคติดังที่กล่าวแล้ว มีความสุข ความเจริญงอกงาม ก้าวหน้าอยู่ในหน้าที่การงานของตนทุกแขนง อยู่ด้วยความสุขทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยายนี้ไว้เพียงเท่านี้.