แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พูดกับคณะครูส่วนบริหารจากกรุงเทพ ที่หินโค้ง เมื่อตอนบ่ายวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๓
จะให้พูดเรื่องอะไรไม่ทราบ
คณะผู้ฟัง: “พวกเราทั้งหมดเป็นข้าราชการครู และก็มีรายการอบรมตามหลักสูตรว่า จะต้องได้ฟังธรรมะสำหรับข้าราชการด้วยครับ”
จะให้พูดเรื่องอะไร
คณะผู้ฟัง: “ธรรมะสำหรับข้าราชการ”
ไม่ใช่สำหรับครูหรือ
คณะผู้ฟัง: “ข้าราชการครูครับ”
ข้าราชการครู
คณะผู้ฟัง: “ครับ”
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายจนถึงสถานที่นี้ ในสภาพอย่างนี้ ท่านทั้งหลายก็เป็นครู อาตมาก็จัดตัวเองว่าเป็นครู แต่ว่าขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ผู้เป็นจอมบรมครู ท่านทำงานตามคำสั่งและอุดมคติขององค์การที่ท่านสังกัดอยู่ อาตมาก็ทำงานตามความมุ่งหมายหรือพระพุทธประสงค์ แต่ก็เข้าใจว่า ท่านทั้งหลายบางคน แม้จะเป็นครูของ กทม. ก็ยังขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ก็ยังมี ถ้าหากว่าท่านทำหน้าที่ของครู เพื่อการมีอยู่แห่งธรรมะในหัวใจของประชาชน คำว่าการศึกษานี้ สำหรับอาตมานั้น หมายความว่า การทำให้มีธรรมะอยู่ในหัวใจของประชาชนพลเมือง นั้นละคือการศึกษา พระพุทธประสงค์เป็นอย่างนี้ การศึกษาของพระองค์ก็เป็นอย่างนี้
ที่ในโลกนี้เขามีระบบการศึกษา มักจะมีแต่เพียงว่าสอนให้รู้หนังสือกับรู้วิชาชีพ ส่วนที่จะมีธรรมอยู่ในหัวใจของพลเมืองหรือไม่นั้น ไม่แน่และชักจะเลื่อนลอย เพราะว่าการศึกษาแยกตัวออกมาจากศาสนามามากขึ้นทุกที ในบางที่บางแห่งก็ไม่มีแล้ว ในบางประเทศถึงกับมีกฎว่า การสอนศาสนาหรือศีลธรรมในโรงเรียนนั้นเป็นการผิดกฎหมาย นี่คิดดูเถิดว่ามันไปไกลสักเท่าไร แต่สำหรับอาตามานี้เป็นครูที่ขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า ก็มุ่งหมายการศึกษาที่จะทำให้ธรรมะมีอยู่ในหัวใจของคน และก็รู้สึกว่าการศึกษาที่มีแต่ให้รู้หนังสือกับวิชาชีพนั้น มันเหมือนกับหางด้วน เคยตะโกนบอกทางวิทยุว่า การศึกษาแบบนี้ มันเป็นการศึกษาระบบหมาหางด้วน เขาก็ฮือฮากันบ้าง โกรธก็มี อาตมาบอกว่าถ้าอย่างนั้นเอาเป็นพระเจดีย์ยอดด้วน ค่อยยังชั่วหน่อย เจดีย์มีแต่ฐานมีแต่องค์ ไม่มียอด มันก็ไม่น่าดูเหมือนกัน
นี่เราจะต้องพูดกันในข้อนี้ก่อนว่าอาตมากับท่านทั้งหลายนี่จะพูดเรื่องเดียวกันหรือไม่ เพราะว่าเราพูดถึงการศึกษาด้วยกันทั้งนั้น อาตมาขอยืนยันว่าการศึกษาที่แท้จริงต้องเป็นการกระทำให้มีธรรมะหรือศีลธรรมอยู่ในหัวใจของพลเมือง ให้พลเมืองมีธรรมะ ประเทศชาติมีธรรมะ โลกมีธรรมะ แล้วมนุษย์ก็จะอยู่ได้ มีสันติสุขทั้งส่วนบุคคล และมีสันติภาพในส่วนโลกหรือส่วนสังคม ถ้าไม่มีธรรมะ โลกนี้จะวินาศ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ลองเอาไปคิดเถิด ถ้ามันไม่มีธรรมจริงๆ แล้ว โลกนี้จะวินาศ หรือพูดให้แคบเข้ามา ก็ว่าถ้ามันไม่มีธรรมะแล้ว พวกเราจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ถ้ามันไม่มีธรรมะแล้ว จะไม่มีแผ่นดินอยู่ หมายความว่าถ้าไม่มีธรรมะ มันก็คือเพิ่มอันธพาล ถ้ามันไม่มีธรรมะเลย อันธพาลก็ขึ้นสูงสุดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเราจะอยู่ที่ไหน อยู่ในห้องนอนก็ไม่ปลอดภัยจากอันธพาลสูงสุดเหล่านั้น นี้เรียกว่ามันไม่มีแผ่นดินอยู่
เดี๋ยวนี้อันธพาลยังไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ธรรมะยังมีอยู่บ้าง เป็นเครื่องต้านทาน ก็มีอันธพาลระบาดทั่วไปหมดกลางถนนหนทาง กลางวันแสกๆ อาการเลวร้ายเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ก็มีอยู่ทั่วๆ ไป ในถนนหนทาง บนรถประจำทาง อะไรต่างๆ นี่ นี้แต่เพียงว่าธรรมมีอยู่บ้างในหัวใจคน อันธพาลมันก็ยังขึ้นมาถึงขนาดนี้ ถ้าธรรมะหมดไป อันธพาลก็สูงสุด เราก็ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แม้จะนอนอยู่ในห้องนอนก็ไม่พ้น บ้านเรือนของเราเองก็คุ้มครองอะไรไม่ได้ เรียกว่ามันไม่มีแผ่นดินจะอยู่จริงๆ ถ้าธรรมไม่กลับมา โลกาก็ต้องวินาศ โดยการทำลายล้างกันเอง ก็อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ มันพูดกันไม่รู้เรื่อง มันพร้อมจะทำสงครามมหาประลัยกันอยู่ตลอดเวลา ถ้ามันเผลอให้สักนิด มันก็จะจุดชนวนขึ้นมา แล้วก็ห้ามไว้ไม่อยู่ โลกก็วินาศโดยส่วนวัตถุคือแผ่นดินโลก แต่ส่วนโลกในทางจิตใจนั้น มันก็ไม่แน่ แล้วแต่ว่าจะเอากันไว้ได้เท่าไร
ถ้าแม้แผ่นดินโลกมันจะวินาศไป ถ้าคนยังอยู่ จิตใจของคนยังถูกต้องอยู่ด้วยธรรมะ ในโลกวิญาณของมนุษย์มันก็ยังอยู่ เดี๋ยวนี้เรามีปัญหาเฉพาะหน้าว่า เราจะกำจัดไอ้สิ่งเลวร้ายหรือวิกฤตกาลเหล่านี้ออกไปได้อย่างไร ที่จริงมันก็มีเป็นแบบฉบับตายตัวมาแล้วว่า ต้องขจัดสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ออกไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือพระธรรม หรือพระธรรมเจ้า เดี๋ยวนี้พระธรรมหรือธรรมะนี้ค่อยๆ หายไป ค่อยๆ หายไปจากความสนใจของมนุษย์ เพราะว่าเกิดนิยมความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง เข้ามาแทนที่ พระธรรมก็เลยไม่ค่อยมีที่ แล้วก็ถูกมองไปในแง่ว่าเครื่องกีดขวางความสำราญของมนุษย์ไป ธรรมะก็จะต้องค่อยๆ สูญสิ้นไป เมื่อไรสูญสิ้นแล้ว เราก็ไม่มีแผ่นดินอยู่ หรือว่าโลกาจะวินาศดังที่กล่าวแล้ว
ที่นี้คงจะมีคนบางคนฉงนอยู่ว่า ธรรมะนั้นคืออะไร ธรรมะที่ต้องมีอยู่ในหัวใจของพลเมืองน่ะ มันคืออะไร บทนิยามที่ดีที่สุดสำหรับคำนี้ก็คือว่า ธรรมะนั้นคือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกๆ ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการตั้งแต่คลอดจากท้องแม่ โตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น หนุ่มสาว ผู้ใหญ่ แก่เถ้า ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ต้องมีการถูกต้อง มีความถูกต้อง สำหรับมนุษย์นั้น ซึ่งเป็นการกระทำ ไม่ใช่หนังสือในเล่มสมุด หรือว่าพิธีรีตอง หรือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ อย่างนี้ไม่ใช่ธรรมะ
ธรรมะต้องเป็นระบบแห่งการกระทำ คือการกระทำที่จัดไว้เป็นระบบอย่างถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ อย่างไรเรียกว่าความถูกต้อง ถ้าพูดอย่างปรัชญา มันก็เพ้อเจ้อ ไม่มีเหตุผล ทำตามแบบปรัชญาจะเสียเวลาเปล่าๆ พูดตามแบบธรรมดาหรือว่าตามหลักของศาสนากันดีกว่า ว่าความถูกต้องนั้นคือความเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย เป็นความสงบสุข เป็นประโยชน์ เป็นผลดี แก่ทุกฝ่าย คือตัวผู้นั้นด้วย และทุกๆ คนที่อยู่ร่วมโลกกันด้วย ถ้ามันเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของคนทุกฝ่ายแล้ว ก็เรียกว่าความถูกต้องหรือบุญกุศล แล้วแต่จะเรียก แต่ถ้ามันเป็นไปเพื่อความทุกข์ยากลำบากแก่ทุกฝ่าย ก็เรียกว่ามันเป็นความผิด คือไม่ถูกต้อง เป็นบาป เป็นอกุศล ที่นี้การประพฤติกระทำที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ก็หมายความว่า ให้ความเป็นมนุษย์นั้นมีความสงบสุข จะถูกต้องไปกว่านี้ ก็ไม่รู้ว่าจะถูกต้องไปทำไมกัน เป็นความถูกต้องแบบปรัชญาเพ้อเจ้อ ไม่ต้องพูดถึงก็ได้ พูดถึงอย่างธรรมดาสามัญว่าถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ก็คือมนุษย์อยู่กันผาสุก ทั้งตนเองและผู้อื่น นี้เรียกว่าธรรมหรือพระธรรม ซึ่งเป็นตัวจริง คือตัวระบอบการปฏิบัติ แล้วผลมันก็มี ขอให้มีการปฏิบัติเถิด ผลมันก็มี เป็นปฏิกิริยาขึ้นมาเอง
ทีนี้เมื่อมีความถูกต้องในบุคคล ก็หมายความว่ามันมีธรรมะในบุคคล มีศีลธรรมอยู่ในบุคคล ฉะนั้นจึงถือว่าเป็นหน้าที่ของการศึกษาที่ต้องจัดให้มีธรรมะอยู่ในหัวใจของบุคคล มันจึงจะเป็นบุคคลที่จะทำอะไรด้วยกันได้ มีธรรมะในใจของบุคคลแล้ว ระบบการปกครองก็จะดีไปหมด ไม่ว่าระบบการปกครองไหนที่มันหวังดีต่อมนุษย์ ไอ้ระบบการปกครองที่พูดกันส่งเดช ว่าประชาธิปไตยนั้น คือของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน นี่มันหลับตาพูด ถ้ามันไม่ใช่ประชาชนที่มีธรรมะแล้ว มันก็วินาศแหละ คุณไปคิดดูเถอะ ถ้าประชาชนเหล่านั้นมันไม่มีศีลธรรม ไม่มีธรรมอยู่ในใจของมัน แล้วก็เพื่อประชาชน โดยประชาชน ของประชาชน แล้วก็คือความวินาศเป็นแน่นอน เพราะเขาต้องทำด้วยความรู้สึกที่เป็นกิเลส ที่มิใช่ธรรมะ แล้วปล่อยไปตามอารมณ์ มันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ถ้าบังคับความรู้สึกให้อยู่ในร่องในรอยได้ มันจึงจะเป็นธรรมะ ไม่เป็นกิเลส
ฉะนั้นอย่าเห่อสงเดชไปตามคำพูดที่ว่า เพื่อประชาชน โดยประชาชน ของประชาชน แล้วก็เป็นประชาธิปไตย เป็นประชาธิปไตยสำหรับจะวินาศมากกว่า ฉะนั้นต้องทำให้ประชาชนนี่มีหัวใจเป็นธรรมะ แล้วเมื่อนั้นจะใช้ได้ เพื่อประชาชน โดยประชาชน ของประชาชนที่มีหัวใจเป็นธรรมะ ให้ท่านเอาไปคิดดูเอาเองว่า ธรรมะมันจำเป็นอย่างไร แล้วจำเป็นเท่าไรสำหรับมนุษย์ นี่เราเป็นครูจัดการศึกษาซึ่งมีอุดมคติอย่างไร ถ้าจัดการศึกษาเพื่อสนองความต้องการของเศรษฐกิจ ของการเมือง ของอะไรทำนองนั้น มันไม่แน่ มันจะเป็นไปเพื่อความเลวร้ายก็ได้ ถ้าเศรษฐกิจนั้นมันไม่มีธรรมะ เพราะนักเศรษฐกิจนั้นมันไม่มีธรรมะ ไอ้เศรษฐกิจนั้นก็เป็นเครื่องทำลายโลก ถ้าการปกครองโดยนักปกครองที่ไม่มีธรรมะ การปกครองนั้นมันก็ทำลายโลก การเมืองที่ไม่มีธรรมะเพราะนักการเมืองไม่มีธรรมะ การเมืองนั้นก็เป็นไปเพื่อความวินาศฉิบหายของมนุษย์ ฉะนั้นการจัดการศึกษาเพียงเพื่อรับใช้การเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจนี้ มันไม่พอหรอก มันเป็นความหมายที่เลื่อนลอยเต็มที
มาจัดการการศึกษาเพื่อความมีธรรมะในหัวใจของมนุษย์กันดีกว่า แล้วธรรมะมันก็จะเข้าไปอยู่ในหัวใจของนักเศรษฐกิจ นักเศรษฐกิจเหล่านั้น หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเศรษฐกิจเหล่านั้น มันก็จะมีธรรมะสำหรับดำเนินการเศรษฐกิจ แล้วมันก็จะไม่เป็นอย่างที่ทุกวันนี้ ที่เอาเปรียบกันในทางเศรษฐกิจ แล้วก็ใช้เศรษฐกิจนั้นแหละเป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น คอยดูให้ดีเถอะว่าในโลกกำลังใช้เศรษฐกิจเป็นเครื่องทำลายผู้อื่นอย่างลับลมคมใน นี้มันนักเศรษฐกิจป่าเถื่อน นักเศรษฐกิจเลวร้าย ที่มันไม่มีธรรมะ แล้วการศึกษาจะไปสนองเศรษฐกิจในรูปนี้ได้ที่ไหน มันไม่คอยบ้าตามกันไปอีกหรือ มันต้องไปทางที่ถูกต้องว่า มีธรรมะจัดเศรษฐกิจให้เป็นธรรมะ แล้วทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจก็จะมีธรรมะ นับตั้งแต่ผู้ผลิต แล้วก็ผู้ซื้อคนกลาง ผู้ขาย ผู้ส่งออก ผู้อะไรต่างๆ มันก็จะประกอบไปด้วยความถูกต้อง แล้วมันก็เจริญ มิฉะนั้นมันก็จะมีการคดโกงเอาเปรียบไปตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้ซื้อ แล้วมันก็ยุ่ง นี่เอาธรรมะเข้ามา ก็แก้ปัญหาเหล่านี้ได้
การปกครองหรือการเมืองก็เหมือนกันอีกแหละ เดี๋ยวนี้ในกลุ่มนักการเมืองมีแต่เห็นแก่ประโยชน์ของตนและพรรคพวกของตน ที่ชุมนุมการเมืองอย่างองค์การสหประชาชาติก็ไม่มีคำว่าธรรมะ ไม่มีคำว่าศาสนา มีแต่คำว่าเศรษฐกิจการเมือง แล้วก็เพื่อประโยชน์ของตนๆ ของแต่ละประเทศ หรือกลุ่มประเทศ เพราะที่นั่นไม่มีธรรมะ มีแต่การยื้อแย่งประโยชน์ให้แก่ประเทศของตน หรือกลุ่มประเทศของตน ที่องค์การสูงสุดนั้นไม่อำนวยให้เกิดธรรมะขึ้นในจิตใจของประชาชน แล้วมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันมีสักร้อยองค์การขนาดนั้น มันก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ เพราะมันไม่สร้างความมีธรรมะขึ้นมาในหัวใจของประชาชนในโลกนั้นเอง เป็นที่สำหรับทะเลาะวิวาทอย่างสุภาพ เพื่อรักษาประโยชน์ของตนบ้าง เพื่อรุกล้ำประโยชน์ของผู้อื่นบ้าง มันเป็นเสียอย่างนี้ คือไม่มีธรรมะ
ขอให้พวกเราทุกคนที่เรียกตนว่าเป็นครูนี้ เป็นครูกันเถอะ เป็นครูให้จริงเถอะ แล้วก็เป็นครูที่ชนิดที่เรียกว่า จะช่วยแก้ปัญหาของโลกได้ โลกนี้มันสร้างโดยพวกครู ครูเป็นพระเจ้าสร้างโลก คือว่าโลกนี้มันแล้วแต่คนที่อยู่ในโลกเป็นอย่างไร ถ้าคนอยู่ในโลกเป็นอย่างไรโลกมันก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้คนอยู่ในโลกจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่ว่าได้รับการศึกษามาอย่างไร ได้รับการศึกษาก็รับมาจากครู แล้วแต่ครูจะให้การศึกษาอย่างไรไอ้คนมันก็เป็นอย่างนั้น แล้วคนทั้งหมดนั้นรวมกันเป็นโลก โลกก็ต้องเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นพูดอย่างเห็นได้ชัดเลยว่าครูเป็นผู้สร้างโลก เขาก็จึงจัดไว้เป็นปูชนียบุคคล
คำว่าครูแปลว่า หนัก คือมีบุญคุณหนักอยู่บนศีรษะของคนทุกคน แต่พวกอินเดียเขาว่าครูนี้แปลว่า ผู้นำทางวิญญาณ ปทานุกรมธรรมดาสามัญที่ใช้อยู่ในอินเดีย เปิดดูสิ คำว่า ครู ก็จะพบว่า Spiritual Guide คือผู้นำทางในวิญญาณ เดี๋ยวนี้มีนักศึกษาบางคน เมื่อเร็วๆ นี้ก็พบว่า Root คำรากศัพท์คำนี้แปลว่า ผู้เปิดประตู หมายความว่าไอ้สัตว์โลกนี่มันโง่ มันหลง มันมืด อยู่ในคอก ในเล้า ที่เหม็น ที่ไม่มีอิสรภาพ แล้วครูเปิดประตูให้มันออกมาสู่โลกที่สว่างและมีอิสรภาพ คำว่าครูแปลว่า ผู้เปิดประตู แล้วสัตว์ก็ออกมาจากคอกที่กักขัง ที่มืด ที่เหม็น ที่สกปรก หรืออะไรต่างๆ ให้ได้รับอิสรภาพ ฉะนั้นครูเป็นผู้โปรดสัตว์ ให้ออกมาจากคอกแห่งความทุกข์ มันจึงถูกจัดไว้ในฐานะเป็นปูชนียบุคคล เดี๋ยวนี้เราไม่สอนกันอย่างนี้ สอนครูเพียงว่าให้มีความรู้สอนหนังสือ สอนอาชีพ เอาเงินเดือนมากๆ แล้วก็ไปสนุกกันใหญ่ก็แล้วกัน มันก็เป็นอาชีพธรรมดาสามัญอาชีพหนึ่งเท่านั้น มันไม่มีความเป็นปูชนียบุคคลรวมอยู่ในนั้น อาตมาจึงขอชักชวนท่านทั้งหลายว่ามาเป็นครูกันเถอะ เป็นครูให้ถูกต้องตามความหมายของคำว่าครู เท่านั้นแหละมันพอ ไม่ต้องมากไปกว่านั้น
เงินเดือนให้ถือว่าขยะมูลฝอย มาบูชาอยู่ใต้ฝ่าเท้า ไม่ใช่ของที่ยกขึ้นทูนไว้บนหัว แล้วทะเลาะวิวาทกันเพราะเหตุนั้น นี่มันเป็นเรื่องไขว้กันอยู่ มาเป็นครู เอาความเป็นครูกันดีกว่า คือเป็นบุญกุศลสูงสุด ให้เงินเดือนเป็นเหมือนกับว่าดอกไม้ ธูปเทียน ซึ่งมันก็กลายเป็นเศษขยะมูลฝอยอยู่ตามพื้น อย่ามาอยู่บนหัวครู อย่ามาเป็นเครื่องครู เข็นครูให้ทำหน้าที่อย่างนั้นอย่างนี้ไปตามกิเลสตัณหาเลย ถ้าเราไปบูชาเงินเดือน เราก็จะสูญเสียความถูกต้อง เพราะเห็นแก่เงินเดือน แล้วเราก็จะไม่ทำอะไรให้ดีที่สุด เพราะเราทำเพื่อเงินเดือน ไม่ต้องทำก็ยิ่งดี ดูให้จริงลงไปสักหน่อยว่าทุกคนยังเกียจคร้าน ครูก็ตาม ข้าราชการอื่นก็ตาม ทั้งหมดนั้นนะ มันยังเป็นคนเกียจคร้านที่สุด ทำงานเพราะความจำเป็นบังคับ เพื่อจะเอาเงินเดือน ถ้าไม่ให้เงินเดือนก็ไม่ทำ จะโกงเวลาได้เท่าไรก็จะโกงเวลากันเท่านั้น เพราะมันไม่อยากทำ ไม่อยากทำงาน เป็นคนเกียจคร้านในการทำงาน นี่เพราะไม่มีเจตนารมณ์แห่งความเป็นครูอยู่ในดวงวิญญาณของคนเหล่านั้น
ถ้ามองเห็นว่าครูเป็นบุคคลสูงสุด ประเสริฐอยู่เหนือเกล้าเหนือเศียรของคนทั้งหลายแล้ว ก็จะสนุกในการทำงาน เป็นสุขอยู่ในการทำงาน เงินเดือนไม่มีความหมายอะไร อย่างมีก็เป็นไอ้มูลฝอย ขยะมูลฝอยอยู่ใต้ฝ่าเท้า จิตใจของครูมันอยู่สูง จะช่วยให้มนุษย์มีแสงสว่าง ให้มีธรรมะอยู่ในจิตใจ ให้เป็นมนุษย์ที่ดี ที่จะสร้างโลกแห่งสันติสุข สันติภาพ เหมือนอย่างว่าครูเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกดังที่กล่าวแล้ว ถ้าอย่างนี้เขาก็เป็นปูชนียบุคคล มีความเป็นปูชนียบุคคล ยกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วก็เป็นสุขอยู่ที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ คนประเภทนี้เห็นว่าการทำงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมะ การทำหน้าที่ของตนนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมะ ฉะนั้นจึงชอบใจในการทำงาน ไม่ขี้เกียจทำงาน ไม่เอาเปรียบเวลางาน และขยันทำเต็มที่ เพราะความรักในการงาน ซึ่งเป็นการปฏิบัติธรรม
กล่าวตามหลักพระพุทธศาสนาก็ว่า การทำหน้าที่ของตนนั้นแหละคือการปฏิบัติธรรม จงทำหน้าที่ของตนให้สุดความสามารถของตน ก็จะเป็นการปฏิบัติธรรมเสมอกันหมด เราไม่สามารถทำงานเหมือนกันทุกคน เพราะว่าธรรมชาติมันสร้างมาแตกต่างกัน มีสมรรถนะทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ อะไรมันต่างกัน ดังนั้นเราจึงไม่สามารถจะเหมือนกันทุกคน หรือจะทำงานได้เหมือนกันทุกคน คนไหนเหมาะสำหรับจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นก็แล้วกัน เหมาะสำหรับจะแจวเรือจ้าง ก็แจวเรือจ้าง เหมาะสำหรับจะกวาดถนน ก็กวาดถนน เหมาะสำหรับจะล้างท่อถนน มันแสนจะเหม็นจะสกปรกก็ทำ กระทั้งว่ามันจะเหมาะสำหรับจะเป็นแม่ค้า เป็นข้าราชการ เป็นนักการเมือง เป็นอะไรก็สุดแท้ ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตน และเรียกว่าปฏิบัติธรรม
การทำหน้าที่ด้วยความเคารพต่อหน้าที่นั่นแหละคือตัวการปฏิบัติธรรม เป็นบุญเป็นกุศลอยู่ในนั้น ที่เขาว่าต้องไปที่วัด ต้องออกเงิน ต้องทำอะไรอย่างนู้นอย่างนี้ จึงจะเป็นธรรม เป็นบุญ เป็นกุศลนั้นน่ะ คนนั้นเขาว่า แต่ถ้าว่าตามหลักแห่งพระธรรม ธรรมะโดยแท้จริงแล้ว มันไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อทุกคนได้ทำหน้าที่ของตนเต็มที่ที่จะทำได้แล้ว ก็เรียกว่าคนนั้นมีการปฏิบัติธรรมเท่าๆ กันกับการปฏิบัติธรรมอย่างอื่นของคนอื่น ซึ่งก็ต้องล้วนแต่ทำหน้าที่เหมือนกัน อย่างคนนี้มันสามารถเป็นประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรี แกก็ทำไปสิ ต่อเมื่อทำเต็มที่ ซื่อตรงต่อหน้าที่ จึงจะเป็นการปฏิบัติธรรม
ฉะนั้นเราสามารถที่จะมีการปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาชีพครูต้องถือว่าอาชีพสูงสุด คืออาชีพปั้นวิญญาณมนุษย์ อาชีพเปิดประตูทางวิญญาณให้แก่มนุษย์ อาชีพสร้างโลกนี้ให้เป็นโลกที่ดี ที่มีความสงบสุข หรือเป็นโลกที่น่าอยู่ ดังนั้นเมื่อครูทำหน้าที่อย่างนี้ของตนแล้ว มันก็สูงสุดในหน้าที่ หรือในการปฏิบัติธรรม คือมันช่วยมนุษย์ให้รอด
ฉะนั้นจึงขอร้องให้ท่านทั้งหลายเอาไปพิจารณาดูว่า เราเป็นครูนั้นคือเป็นอะไร เป็นครูของ กทม. นั้นอย่างไร เป็นครูของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไร และบางคนอาจจะเป็นคราวเดียวพร้อมกันทั้งสองอย่าง แล้วมันใครควรจะยกมือไหว้ตัวเองได้ก่อนกว่ากัน ถ้ารู้สึกว่าเรามีอะไรดีเป็นที่พอใจ ไม่น่าตำหนิ มันก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่คือความเป็นปูชนียบุคคล มันตั้งต้นมาตั้งแต่การทำงานที่บริสุทธิ์ ตัวเองก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วทำไมคนทั้งโลกจะไม่ไหว้บุคคลนั้นได้
ขอให้ย้อนระลึกนึกไปถึงสมัยดึกดำบรรพ์ว่า ครูนั้นเป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้าง ไม่ใช่ลูกจ้างรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ หนึ่ง แต่มันเป็นปูชนียบุคคล ผู้สร้างดวงจิตดวงวิญญาณของมนุษย์ในโลก เพื่อทำโลกนี้ให้สงบสุข แล้วมันก็ได้บุญได้กุศล ซึ่งเมื่อตีราคาแล้ว มันมากกว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้นมากนัก หลายร้อยเท่า หลายพันเท่า หลายหมื่นเท่า จนกระทั้งว่ามันตีราคาไม่ได้ สิ่งที่เรียกว่าบุญหรือความดีนั้นน่ะ เขาเรียกว่ามันตีค่าไม่ได้ อยู่เหนือวิสัยของการตีค่า เงินเดือนนี่มันนับได้ กี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น มันนับได้ คำนวณค่าได้ เรามีความดี ความงาม ความประเสริฐ บุญกุศล ที่เกิดมาจากการเป็นครูเหนือค่าเหล่านั้น แล้วจะห่วงอะไรกันนักหนาเรื่องเงินเดือนที่มันเป็นของที่ตีค่าได้ สำหรับกิน สำหรับอยู่ สำหรับเล่นหัวสนุกสนาน แล้วเงินเดือนนั่นแหละเป็นเหตุปัจจัยสำหรับทำให้คอร์รัปชั่น เมื่อทำอะไรผิดไปจนเงินเดือนไม่พอใช้แล้วก็ต้องคอร์รัปชั่น นี่ก็รู้กันดีๆ อยู่ ฉะนั้นอย่าไปบูชาเงินเดือนกันนัก บูชาผลอันแท้จริงที่เกิดมาจากความเป็นครู คือความเป็นปูชนียบุคคล หรือบุญกุศลอันสูงสุด ให้รู้สึกว่าเป็นโชคดีที่สุดแล้วที่ได้มีอาชีพครู
อาชีพอื่นนั้นมันไม่ได้บุญพร้อมๆ กันไปด้วย หรือว่าถ้าจะได้บุญพร้อมๆ กันไปด้วย มันน้อย มันน้อยกว่าอาชีพครู อาชีพครูนี้ได้ค่าตอบแทนเลี้ยงชีวิตด้วย แล้วได้บุญกุศลสูงสุดกว่าอาชีพอื่นด้วย คนก็ยังไม่ค่อยจะรักอาชีพครู เป็นเพราะว่าหมดท่า ไปหาอาชีพอื่นไม่ได้ มาเป็นครู อย่างนี้มันก็ไม่นับเข้าในข้อนี้ และเขาก็ไม่ได้บูชาอาชีพครู แล้วก็ไม่ได้ทำตนเป็นปูชนียบุคคล อาตมาขอร้องว่าเรามาเป็นครูเอาบุญกันเถิด อย่าคิดว่าเป็นครูเอาเงินเดือน เอาเกียติยศชื่อเสียงอะไร ซึ่งมันเหลาะแหละ หลอกลวง มายามากนัก เอาบุญเอากุศลกันเถิด มันไม่หลอกลวงอะไร แล้วจะชื่นอกชื่นใจไปจนตลอดชีวิตได้
ทีนี้ธรรมะสำหรับความเป็นครู จะเป็นข้าราชการ หรือไม่ข้าราชการก็สุดแท้ ท่านทั้งหลายเป็นข้าราชการของรัฐบาล แต่อาตมาก็เป็นข้าราชการของพระพุทธเจ้า ขอยืนยันอย่างนี้ เราเป็นข้าราชการ ก็ต้องทำให้ประชาชนได้ร้องออกมาว่า พอใจ ยินดี วิเศษ คำว่า ราชาๆ คำนี้แปลว่า ยินดีๆ พอใจๆ ออกมาจากปากมนุษย์เป็นครั้งแรกเมื่อมีบุคคลดำเนินการปกครองเป็นที่พอใจของประชาชนทั้งหลาย จนประชาชนพลั้งปากออกมาเองว่า ราชาๆ ๆ แปลว่า พอใจๆ ยินดีที่สุดๆ เขาเลยเอาคำๆ นี้เป็นชื่อของผู้ปกครอง แล้วก็เรียกว่าพระราชา
ข้าราชการก็คือผู้ที่ทำงานของพระราชา เราต้องทำงานชนิดที่ให้ประชาชนร้องออกมาได้ว่า พอใจๆ ยินดี วิเศษที่สุด ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว อย่างนั้นจึงจะมีความหมายตรงกับคำว่าข้าราชการ ผู้ทำงานของพระราชา คือผู้ที่ทำให้ประชาชนต้องร้องออกมาว่า ราชาๆ และพอใจๆ ยินดีๆ
ราชามาจากรากศัพท์ว่า รัชชะ แปลว่ายินดี ถ้ายินดีมากในทางอวิชชาก็คือ ราคะ กิเลสตัณหานั่นเอง คำเดียวกัน ราคะ ก็มาจากคำว่า รัชชะ ซึ่งแปลว่า ยินดีๆ แต่นั่นมันไปฝ่ายกิเลสตัณหา ที่นี้ฝ่ายที่มันถูกต้องสะอาด มันหมายถึง ยินดีๆ อย่างประกอบไปด้วยธรรมะ คือความถูกต้อง ครั้นเราเป็นครูด้วย เป็นข้าราชการด้วย ก็ใช้ความเป็นครูนั่นแหละให้เป็นที่พอใจของประชาชน จนถึงกับร้องออกมาได้ว่า พอใจๆ ท่านเป็นครูของราชการ ของทางราชการ ของรัฐบาล มันก็มีขอบเขตจำกัด แต่ว่าเราก็ไม่ถึงกับหมดเวลา หมดโอกาส หมดหน้าที่ ที่จะเป็นครูของพระพุทธเจ้าพร้อมกันไปด้วย คือทำให้มีธรรมะอยู่ในใจของคน ของประชาชน ของพลเมือง ฉะนั้นเราจึงต้องสอนศีลธรรมด้วย อย่าสอนแต่หนังสือและวิชาชีพ เป็นการศึกษาหมาหางด้วนอยู่เลย มันไม่พอ มันไม่ยกมือไหว้ตัวเองได้ จะต้องสอนให้เขามีธรรมะด้วย การศึกษาที่หนึ่งคือ รู้หนังสือ การศึกษาที่สองคือ รู้อาชีพ การศึกษาที่สาม มีธรรมะอยู่ในหัวใจ รู้ว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไรจึงจะถูกต้อง
การศึกษาที่สามนี่มันถูกตัดออกไปจากวงการศึกษาทุกที เป็นกันทั้งโลก กระทรวงศึกษาธิการของแทบทุกประเทศกำลังตัดธรรมะหรือศาสนาออกไปจากการศึกษา บางประเทศก็ตัดมาก บางประเทศก็ตัดน้อย บางประเทศก็ตัดหมดเลย เพราะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะมันก็ค่อยๆ หายไป อันธพาลก็เกิดขึ้นมาแทนที่ ธรรมะหมดไปเมื่อไร อันธพาลก็เต็มโลก เราก็ไม่มีแผ่นดินอยู่ สู้หน้าอันธพาลไม่ไหว การที่จะทำให้ธรรมะยังอยู่ในโลกนี้ มันเหมือนกับช่วยโลกทั้งโลกไปเลย ขอให้ท่านทั้งหลายนึกดู เห็นด้วย แล้วก็ช่วยกันทำตามอุดมคติที่ว่า ธรรมะต้องกลับมา โดยเฉพาะในโลกปัจจุบันนี้ ถ้าธรรมะไม่กลับมา โลกาวินาศ ถ้าธรรมะกลับมา โลกาก็มีความสงบสุข แต่ที่มันใกล้ตัวที่สุดนั้นน่ะ คือว่าถ้าธรรมะไม่กลับมา แล้วเราจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ไม่ใช่พูดเล่นลิ้นตลกๆ ลองธรรมะไม่กลับมา ไม่มีธรรมะ มีแต่อันธพาล แล้วเราก็ไม่มีแผ่นดินอยู่ ถ้าเขาจะรุกรานถึงห้องนอน เขาจะทำลายหมด เราก็ไม่มีแผ่นดินอยู่ ขอให้ช่วยกันคิดว่าเราจะทำให้มนุษย์ยังมีแผ่นดินอยู่กันก็แล้วกัน อาชีพครูก็จะเป็นอาชีพปูชนียบุคคล ที่ทุกคนจะต้องยกมือไหว้ มีบุญคุณอยู่เหนือเศียร เหนือเกล้า จึงสมกับคำว่าครู ซึ่งแปลว่า หนัก มันมีพระคุณหนักอยู่บนศีรษะของคนทุกคนในโลก หรือว่าครูเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก โลกนี้ก็จะต้องเป็นไปตามความเป็นไปของมนุษย์ตามที่ครูทั้งหลายสร้างขึ้นมาอย่างไร
ถ้าท่านนับถือพระพุทธศาสนา ท่านคงได้ยินได้ฟังและยอมรับในข้อที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระบรมครู คือสอนให้มนุษย์เอาตัวรอดจากความทุกข์ทั้งปวงได้ รู้หนังสือหรือไม่รู้หนังสือไม่เป็นประมาณ คนครั้งพระพุทธกาลก็แทบจะไม่รู้หนังสือกันทั้งนั้นแหละ แต่เขาเอาตัวรอดได้ เอาชีวิตรอดได้ เรานับถือพระบรมครู เราก็เป็นครูแบบของพระพุทธเจ้า หรือขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้ากันด้วยก็ได้ มันไม่ขัดกับระบบราชการที่ไหน สอนหนังสือ สอนอาชีพ ก็สอนไป แต่ว่าในหนังสือหรือในวิชาชีพนั้น จะแทรกธรรมะเข้าไปด้วยเสมอตามมากตามน้อย ให้เด็กๆ เขาได้สัมผัสธรรมะ
อาตมาอยากจะพูดว่า แม้แต่วิชาวาดเขียนนี่ ก็สามารถจะแทรกธรรมะเข้าไปได้ ถ้าครูฉลาดพอ เดี๋ยวนี้ครูไม่ขวนขวายว่า ธรรมะคืออะไร จะแทรกเข้าไปในทุกวิชาได้อย่างไร ครูไม่ขวนขวายนี่ ถ้ามีเวลาว่างบ้าง ครูก็ไปเปิดดูแคตตาล็อคกางเกงยีนส์ซะมากกว่าที่จะมาสนใจศึกษาธรรมะนี่ เรามองเห็นกันอยู่อย่างนี้ ก็เลยไม่มีสติปัญญาความรู้ที่จะว่าจะแทรกธรรมะเข้าไปในวิชาวาดเขียน วิชาเลข ทุกวิชาได้อย่างไร ฉะนั้นเดี๋ยวนี้มันอยู่ในระยะที่ต้องเลือกเอา จะเลือกเอาอย่างไร เท่าไร จะเลือกความเป็นครูอย่างไร แต่อย่าลืมว่ามันไม่ขัดข้องกันนะที่เราจะเป็นครูพร้อมกันทั้งสองฝ่าย คือเป็นครูของรัฐบาลก็ได้ เป็นครูของพระพุทธเจ้าก็ได้ เป็นครูของรัฐบาลก็สอนหนังสือ สอนวิชาชีพไป เป็นครูของพระพุทธเจ้าก็สอนธรรมะลงไปอย่างที่ว่ามาแล้ว
ลงความว่าถ้าเรายังนับถือ เคารพ บูชา พระพุทธเจ้าอยู่ ก็จงทำตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านประสงค์อะไร ท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า การเกิดขึ้นแห่งตถาคตในโลกนี้ จงเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ทั้งเทวดาและมนุษย์ การมีอยู่แห่งธรรมวินัยของตถาคตในโลกนี้ จะเป็นประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์ ทั้งสาวกทั้งหลายของตถาคตจะช่วยกันรักษาสืบต่อธรรมวินัยไว้ในโลกนี้ ก็เพื่อประโยชน์ความสุขแก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์ ท่านไม่ได้เน้นอะไร ไม่ได้หวังอะไร นอกจากว่าจงช่วยกันกระทำให้เกิดประโยชน์สุขแก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์ นี่ท่านหวังอย่างนี้จนตลอดพระชนมายุของท่าน แล้วก็เสด็จปรินิพพานไปด้วยความหวังอย่างนี้
ทีนี้เราก็ทำให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ ให้เกิดประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ เพราะด้วยธรรมะเท่านั้นแหละ ทำให้ธรรมะมี จะเกิดประโยชน์สุขทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ มนุษย์นี้ก็รู้จักกันดีแล้ว สำหรับเทวดานั้น จะเชื่อว่าเทวดาในสวรรค์อยู่ในที่ไหนก็ตามใจ ก็ได้เหมือนกัน แต่คำว่าเทวาดานั้นหมายถึงมนุษย์ ที่ไม่มีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง ถ้าคนยังมีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง ก็เรียกว่าคนธรรมดาหรือมนุษย์ ถ้าคนหมดปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องนั้น คนนี้เรียกว่าเขาเป็นเทวดา แต่ว่าต่อให้มันเป็นเทวดาไปสักเท่าไรๆ มันก็ยังมีความทุกข์ ด้วยอำนาจของกิเลสของเขา ด้วยอำนาจของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเขา ดังนั้นทั้งคนรวย ทั้งคนจนและคนรวยยังมีความทุกข์ คือทั้งมนุษย์และเทวดายังมีความทุกข์ สิ่งที่แก้ความทุกข์ได้หมดนี้มีแต่ธรรมะ ฉะนั้นธรรมะจึงต้องสอนทั้งแก่คนจนและคนรวย ทั้งแก่มนุษย์และแก่เทวดา นี่พระพุทธประสงค์ แล้วเราก็ช่วยกันสนองพระพุทธประสงค์ ด้วยการที่เป็นครูที่อุทิศชีวิตจิตใจต่อสมเด็จพระบรมครู คือพระผู้มีพระภาพเจ้านั้น จะเป็นว่าหมดปัญหาทุกปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จนถึงที่สุดแห่งงความเป็นครู ยกมือไหว้ตัวเองได้จนไม่รู้ว่าจะไหว้กันอย่างไร เพราะมันเต็มไปด้วยความดี
พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน อาตมาขอย้ำว่า อาตมาต้อนรับท่านทั้งหลายด้วยที่นั่งที่นอนอย่างของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน แม้ว่าเป็นลูกพระราชามหากษัตริย์ ก็ไม่ได้ประสูติบนปราสาทราชมณเฑียร พระพุทธเจ้านี่ประสูติกลางดิน แล้วพระพุทธเจ้านี่ก็ตรัสรู้กลางดิน นั่งตรัสรู้กลางดิน ไม่ได้ตรัสรู้ในมหาวิทยาลัยไหน ท่านตรัสรู้กลางดิน แล้วพระพุทธเจ้าก็สอนสัตว์ทั้งหลาย สาวกทั้งหลาย กลางดิน ไม่ได้บนตึกราคาเป็นล้านๆ เหมือนที่เราสอนกันอยู่เดี๋ยวนี้ กลางดินอย่างนี้ แล้วในที่สุดพระพุทธเจ้าท่านก็ปรินิพพานกลางดิน ดับขันธ์ไปในท่ามกลางดิน ใครมันเป็นอย่างนี้บ้าง เดี๋ยวนี้อย่างน้อยมันก็ตายบนเรือน ตายบนโรงพยาบาล นี้ท่านประสูติก็กลางดิน ตรัสรู้ก็กลางดิน สอนก็กลางดิน เป็นอยู่ตลอดเวลาก็กลางดิน กุฏิของท่านก็พื้นดิน ในที่สุดเมื่อจะดับขันธ์ปรินิพพาน ก็กลางดินในอุทยานแห่งหนึ่ง ไม่ใช่บนปราสาทราชวังที่ไหนเหมือนกัน
ลองนึกถึงข้อนี้เถิดว่า มันไม่มีค่าใช้จ่ายสูงในเรื่องของธรรมะ ไม่มีค่าใช้จ่ายสูง มันเป็นชีวิตต่ำสุดจนหมดปัญหาเกี่ยวกับการเป็นอยู่ ในบางคราวพระพุทธเจ้าท่านต้องเสวยอาหารเลี้ยงชีวิตประทังไปวันหนึ่งๆ ด้วยข้าวตากเลี้ยงม้าปลายมือเดียว เราเคยมี เราเคยมีที่ไหนละ เรามีเงินเดือนเป็นพันเป็นหมื่นกันทั้งนั้น จะกินอาหารด้วยข้าวตากเลี้ยงม้าปลายมือเดียวที่ไหนได้ แต่นี่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎกเล่มแรก เล่มหนึ่ง เล่มแรก เล่มหนึ่ง คุณไปขอยืมเขามาอ่านดูเถิด จะพบพระไตรปิฎกเล่มหนึ่งหน้าแรกๆ นั้นน่ะ จะมีเรื่องที่พระพุทธเจ้าจำพรรษาที่เมืองหนึ่งที่ไม่มีใครสนใจ นอกจากพ่อค้าม้าเอาม้าไปขายเมืองไกล มาติดฤดูฝนอยู่ที่นั่น เห็นพระสงฆ์ไม่มีอาหารฉัน ก็แบ่งข้าวตากสำหรับเลี้ยงม้าถวายองค์ละฝ่ามือ เอาไปทำให้ชุ่มๆ แล้วก็ฉัน ไม่มีแกง ไม่มีกับ พระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างนี้ได้ แล้วพวกเราเป็นได้หรือ คงโวยกันให้ไม่มีที่โวย
มันไม่ได้อยู่ที่ว่า ต้องจ่ายเงินมาก จ่ายเงินน้อย ไม่ต้องสร้างสถานที่ศึกษาราคาล้าน ต้องมีปริญญายาวเป็นหาง มันจึงจะสอนใครได้ อย่างนี้มันไม่ใช่ความจริง คือเป็นผู้รู้เรื่องดับทุกข์โดยถูกต้องสิ้นเชิง แล้วก็สอนให้ผู้อื่นได้ทราบ เมื่อเขามองเห็นลู่ทางที่จะเป็นไปได้เช่นนั้น เขาก็ลองดูว่าดับทุกข์ได้จริง เขาก็ปฏิบัติต่อๆ ไปจนดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ฉะนั้นอย่าไปหวังกันนักไอ้เรื่องต้องใช้เงินมากๆ แล้วจึงจะทำอะไรได้อย่างนี้ มันเป็นโรคโง่ หรือโรคเสพติด หรืออะไรของคนสมัยนี้ อะไรก็เงิน อะไรนิดหนึ่งก็เงินๆ แล้วก็มาชะงักกันอยู่ด้วยเรื่องเงิน มันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นสำหรับเรื่องดับทุกข์ของมนุษย์เรา มันเป็นเรื่องของสติปัญญา มันจะถ่ายทอดสติปัญญากันได้อย่างไร ก็ขอให้ทำไปด้วยสติปัญญา พยายามที่จะไม่ใช่เงินมากเท่าไรนั้นจะเป็นพุทธศาสนายิ่งขึ้นเท่านั้น
อาตมายังยืนยันเรื่องนี้อยู่ตลอดไปว่า ยิ่งไม่ต้องใช้เงินในการสร้างนั่นสร้างนี่ ทำนั่นทำนี่ ยิ่งไม่ต้องใช่เงินเท่าไรนั้น จะยิ่งเป็นพุทธศาสนามากเท่านั้น ถ้ายิ่งต้องใช้เงินแล้วก็ยิ่งไม่เป็นพุทธศาสนามากขึ้นเท่านั้น พระพุทธบริษัทนี่มันรุ่งเรื่องอยู่ด้วยปัญญา มันสำเร็จประโยชน์ด้วยปัญญา มันไม่ต้องสำเร็จประโยชน์ด้วยเงินเหมือนกับที่เขายึดถือกันในสมัยนี้ พุทธะแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ได้แปลว่า ผู้มีเงินมาก หรือผู้มีอำนาจวาสนามาก ครูก็สงเคราะห์รวมอยู่ในคำว่าพุทธะคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีความรู้ แล้วก็ตื่นนอน คือตื่นจากหลับ ไม่หลับด้วยความโง่หรืออวิชชา นี่เขาเรียกว่าผู้ตื่น คือตื่นมาจากหลับ รู้แล้วก็ตื่น ตื่นแล้วก็เบิกบาน คือไม่มีความทุกข์ แล้วก็ทำหน้าที่ของตนเพื่อให้บุคคลอื่นๆ เป็นพุทธะตามๆ กันมาจนเต็มไปทั้งโลก นี่อาตมาจึงเชื่อมั่นว่าธรรมะกลับมา โลกาก็มีสันติสุข ธรรมไม่กลับมา โลกาก็วินาศ
ขอฝากไว้กับท่านทั้งหลายว่าช่วยจำไปด้วย แล้วมีการพิจารณามองให้เห็นว่า การศึกษานั้นคือการจัดให้มีธรรมะอยู่ในหัวใจคน ประชาชนพลเมือง แล้วก็จะมีความสงบสุข การศึกษาต้องไม่รับใช้กิเลสของนักการเมือง ของนักเศรษฐกิจ หรืออะไรหมด การศึกษานั้นเพื่อบรรจุธรรมะลงไปในหัวใจของพลเมือง แล้วพลเมืองก็สามารถดำเนินกิจการของเมืองไปในทางที่ถูกต้องและเป็นสุขโดยทั่วกัน เรื่องนี้จริงไม่จริง เป็นไปได้ หรือไม่เป็นไปได้ ขอฝากไว้ให้ท่านทั้งหลาย ผู้มีอิสรภาพเสรีภาพ ไปคิดนึกศึกษาดูเอาเอง
อาตมาเห็นว่าการปราศรัยกับท่านทั้งหลายในวันนี้ก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว ในที่สุดนี้ขอแสดงความยินดีต่อท่านทั้งหลายที่เป็นครูที่มาถึงที่นี่อีกครั้งหนึ่งว่า อาตมายินดีในการได้พบปะกับท่านทั้งหลายผู้เป็นครู ซึ่งอาตมาก็อ้างตัวเองว่าเป็นครู ซึ่งขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ขอให้เรามาทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ดำเนินการศึกษาชนิดที่บรรจุธรรมะลงไปในดวงจิต ดวงวิญญาณ ของประชาชนในโลกนี้ ให้ครบถ้วนทุกประการ แล้วก็จะมีความสุขความเจริญ โดยไม่ต้องมีใครมาให้พรที่ไหนอีกแล้ว ในตัวธรรมะนั้นมันเป็นพรของมันเองอยู่อย่างเต็มที่แล้ว และก็จะอำนวยให้ท่านทั้งหลายทุกคนเหล่านี้เป็นผู้เจริญงอกงามไปด้วยความสุข เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไปในหน้าที่การงาน มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอบรรยายกันเพียงเท่านี้
คงจะได้เข้าไปดูภาพฝาผนังในตึกนี้แล้วด้วยกันทุกคน คือเรายังชอบวิธีโบราณ สอนธรรมะด้วยรูปภาพ เมื่อประชาชนไม่รู้หนังสือ ครั้งพุทธกาลประชาชนไม่รู้หนังสือ มีการสอนธรรมะด้วยการสลักภาพที่หน้าผา ที่ภูเขา สมัยสุโขทัยก็เชื่อว่าประชาชนรู้หนังสือน้อยมาก ก็ใช้รูปภาพสอนธรรมะ สมัยกรุงศรีอยุธยาก็ใช้วิธีการอันนี้ ไปดูโบสถ์ที่สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา จะปรากฏว่าผนังโบสถ์เขียนภาพธรรมะ สอนธรรมะ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์นี่จึงเปลี่ยนหลักการไปเขียนภาพชาดกบ้าง ภาพพุทธประวัติบ้าง ซึ่งไม่ใช่ภาพธรรมะ มันก็มีประโยชน์ไปอีกทางหนึ่งเหมือนกัน แต่เห็นว่าไอ้สอนธรรมะด้วยรูปภาพนี่ จำง่าย สนุกด้วย แล้วไม่ลืม ก็เป็นวิธีการอันหนึ่ง เลยเอามาใช้ที่นี่ ในตึกหลังนั้นน่ะ ภาพทุกภาพมันสอนธรรมะ ถ้าเราเข้าใจความหมายของภาพเหล่านั้น หรือว่าถ้าคนเข้าใจความหมายของภาพเหล่านั้น มันก็จะด่าคนนั้นทันที ด่าคนที่ดูภาพทันที
ยกตัวอย่างภาพคน ดอกไม้จัดคน มีดอกไม้จัดคน ไอ้คนนั่นจัดดอกไม้ แต่ภาพนี้เขาบอกว่าดอกไม้จัดคน ดอกไม้มันจัดหัวใจคนข้างในก่อน คนจึงมาจัดดอกไม้อย่างนั้นอย่างนี้ ก็เลยดอกไม้จัดคน ถ้าเราดูภาพนี้ออก ภาพนี้มันก็ด่าเราว่า ไอ้ชาติโง่ ดอกไม้จัดคนต่างหาก ไม่ใช่คนจัดดอกไม้ ความมุ่งหมายของเขาเป็นอย่างนี้ โดยเฉพาะภาพเซนทุกภาพ มันก็จะมีลักษณะด่าคนดู คนว่าเต่าโง่ มีพระธรรมอยู่บนหลังยังไม่รู้ ไอ้เต่ามันก็ตอบว่า ไอ้คนโง่ นั่นมันกระดาษต่างหาก พระธรรมคือตัวฉัน ซึ่งเป็นตัวเต่า แล้วฉันจะไปสนใจอะไรกับกระดาษที่อยู่บนหลัง ทุกภาพถ้าดูออก มันจะสวนกลับออกมาว่าเราเป็นคนโง่ ไม่รู้ความจริง ข้อเท็จจริงอะไรของสิ่งเหล่านี้
ภาพเซนก็มีแยะ ผนังด้านทางนู้น แต่ละภาพนี่คมคาย เราไม่ได้ใช้รูปภาพสอนธรรมะลึกซึ้ง เราใช้รูปภาพประกอบการศึกษาสอนเด็ก ก็เป็นเรื่องต่ำๆ เตี้ยๆ ผนังโบสถ์มันควรจะเปลี่ยนเป็นรูปภาพธรรมะกันอีกที เปลี่ยนจะพุทธประวัติหรือเรื่องชาดกมาเป็นสอนธรรมะ ภาพช้างกินน้ำ ๓ สระ งูกินช้าง นกกินหนูนี่ มีอยู่ที่โบสถ์วัดโพธิ์บางโอ คลองบางหลวง ไปดูเถิด เพราะว่าไอ้โบสถ์ที่เขาสร้างกันสมัยกรุงศรีอยุธยา นิยมเขียนภาพธรรมะ ไม่ใช่ภาพพุทธประวัติหรือภาพชาดก
เขาให้หนังสือพุทธคุณ ช่วยเอาไปให้เด็กร้องเพลงไทย เป็นคำกลอนที่พอจะใช้ร้องเพลงไทยได้ แล้วก็จะรู้พระพุทธคุณเพิ่มขึ้นเป็นร้อยบท ไม่ใช่ ๙ บท
เอ้า, เชิญเถิด ๑๔ น. แล้ว คุณว่าจะออก ๑๔ น.