แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่กำลังเป็นและจะเป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย การบรรยายในวันนี้เท่าที่จะทำได้ ก็นึกถึงเรื่องที่เป็นประโยชน์ของความเป็นครู หรือผู้ที่จะเป็นครู ซึ่งอาตมาก็คิดว่ามันควรจะเป็นเรื่องนี้ และท่านหัวหน้าทีมก็พูดว่าอย่างนั้น
ไอ้คุณค่าของความเป็นครูนี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าหากมองเห็น ก็จะรักอาชีพครู พอใจในความเป็นครูอย่างเหลือที่จะประมาณได้ เดี๋ยวนี้เขารู้สึกกันว่า ไอ้ครูหรือความเป็นครูนี้เป็นเพียงอาชีพชนิดหนึ่ง โดยใช้คำว่าอาชีพครู เป็นต้น อย่างนี้มันไม่ถูก เพราะคำว่าอาชีพนั้น ในภาษาไทยหมายถึง การทำเพื่อเลี้ยงชีวิต ส่วนความเป็นครูนั้นมันไม่มีความมุ่งหมายอย่างนั้น ถ้าให้มีความมุ่งหมายอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับว่าเป็นอาชีพที่ไม่อาจจะจ่ายค่าแรงให้มันคุ้มกันได้อย่างที่เราถือว่าเป็นอาชีพของปูชนียบุคคลๆ ถ้าเปรียบให้เป็นอาชีพ ก็เป็นอาชีพที่ไม่มีใครจะตอบแทนค่าแรงให้พอกันได้ เลยกลายเป็นอาชีพที่เป็นเจ้าหนี้บุญคุณของคนทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็จึงเรียกว่าอาชีพเจ้าหนี้ อาชีพที่ทำให้เป็นเจ้าหนี้เหนือคนอื่นอยู่เรื่อยไป
ที่นี้คำว่าครูนี่เราก็ใช้กันทั้งเรื่องชาวบ้าน และเรื่องทางธรรมะ เช่น พระพุทธเจ้าถือกันว่าเป็นพระบรมครู ภิกษุทั้งหลายก็ตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นครู คือสอนตามที่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมครูนั้นประสงค์ให้สอน อาตมาก็เป็นครูกันด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นยินดีที่ว่าได้พบผู้ที่จะทำหน้าที่ครู เดี๋ยวนี้เราอาจจะมองดูได้ว่า ในเมืองไทยนี้ก็มีครู บางคนสังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ และครูบางพวกก็สังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า คือขึ้นต่อพระพุทธเจ้า ทำหน้าที่ตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับครูทั่วไปซึ่งทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีครูบางคนมีสังกัดที่ขึ้นอยู่สองสังกัด คือขึ้นอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการตามระเบียบ ตามกฎเกณฑ์นั้นแหละ และอีกทางหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า โดยต้องการจะสนองพระพุทธประสงค์ด้วยหน้าที่ครูเหมือนกัน ครูอย่างนี้เรียกว่าขึ้นอยู่สองสังกัด เป็นครูสังกัดกระทรวงศึกษาธิการด้วย เป็นครูสังกัดพระพุทธเจ้าด้วย มันก็ยิ่งก็ทำงานมากกว่าใคร
ทีนี่อาจจะมีครูอีกจำพวกหนึ่ง ไม่ขึ้นสังกัดไหนหมด ไม่ขึ้นอยู่ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และไม่ขึ้นสังกัดอยู่ในพระพุทธเจ้า หมายความว่าจะเป็นครูตามอุดมคติของพระพุทธเจ้านี้ เขาก็ไม่เอา ไม่อยากจะเอา และที่ว่าขึ้นสังกัดอยู่กระทรวงศึกษาธิการนั้น ก็ขึ้นแต่ปากน่ะ ด้วยใจจริงมันไม่อยากทำ ไม่ได้ขึ้นอยู่ด้วยความสมัครใจ ด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้น ทำงานด้วยความจำเป็นวันหนึ่งๆ ไปพอได้เงินเดือน ไม่ด้วยจิตใจไม่ได้สังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ คือไม่ได้หมอบกายถวายจิตใจกับอุดมคติของกระทรวงศึกษาธิการก็ว่าได้ เขาไม่ขวนขวาย ไม่พยายามจะทำให้ดีที่สุด ให้ความเป็นครูถูกต้องตามอุดมคติของกระทรวงศึกษาธิการ นี่ครูชนิดนี้เขาไม่สังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ไม่สังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ ก็ต้องมีแน่ แต่เขาสังกัดอยู่กับเงิน เขาเป็นครูที่ขึ้นสังกัดอยู่กับเงิน เงินเดือนที่เขาจะได้รับ แล้วคุณก็ลองคิดดู ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า ไอ้ครูที่ขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้าก็มี ขึ้นอยู่กระทรวงศึกษาธิการก็มี ขึ้นอยู่ทั้งสองสังกัดก็มี และก็ครูที่ไม่ขึ้นสังกัดกับใครเลยก็มี มันจะเหมือนกันได้อย่างไร มันก็ต่างกันมาก ฉะนั้นเราจะเป็นครูชนิดไหนกันดี จึงจะน่าเป็นที่พอใจ
มีคนมาบอกอาตมาฟังว่า ตามความสังเกตของเขา พอถึงวันครู ครูก็เมากันเต็มที่ วันอื่นๆ ครูไม่ได้เลี้ยงกันมากเหมือนวันครู นี้เป็นส่วนจริง พอถึงวันครู เขาพยายามที่จะเลี้ยงกันอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าวันอื่น ครูที่ไม่เคยเมาก็ต้องมามึนด้วยอย่างน้อย นี่แปลว่าวันครูเป็นวันที่ครูเมาเหล้า พอถึงวันเด็ก ก็เป็นวันที่เด็กเป็นลิงทะโมนมากที่สุดกว่าวันไหน เพราะว่าวันเด็กน่ะ เขาปล่อยเด็กกันเต็มที่ แล้วแต่มันจะหัวหกก้นขวิดกันอย่างไร ฉะนั้นวันเด็กก็กลายเป็นวันที่เด็กเป็นลิงทะโมนกันเต็มที่ พอถึงวันแม่ ก็เป็นวันที่แม่โม้กันเต็มที่ แม่ก็โม้กันเต็มที่ อวดว่าลูกของฉันดี ผัวของฉันดี เพชรของฉันแพง เพชรของฉันดีกว่าเพชรของคุณ นี่ก็มาอวดมั่ง อวดมี อวดโม้อะไรกันอย่างนี้ และวันแม่ก็กลายเป็นวันที่แม่เขาโม้ นี่คุณลองคิดดูเถิด แล้วผลมันจะเป็นอย่างไร มันมาจากอะไร เหตุนี้มาจากอะไร
วันครูแทนที่จะเป็นวันที่ทุกคนสำนึกในพระคุณของครู มาพรรณนาพระคุณของครู ยินดีปรีดาในพระคุณของครูด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมด ไม่ใช่ไปมัวเมาเหล้าเสีย พอเมาเหล้าเสียแล้วก็คิดอะไรไม่ได้น่ะ ในทำนองนี้ พอถึงวันเด็กก็เหมือนกัน มันต้องเป็นวันที่เด็กก็มาสำนึกในพระคุณของพ่อแม่ ของครูบาอาจารย์ ให้เต็มที่ ให้อย่างยิ่ง จนน้ำตาไหล น้ำตาออกเลย ไม่ใช่ว่าไปเป็นลิงทะโมน เพราะวันนั้นเขาปล่อยกันเต็มที่ แต่มานั่งลงตรงข้างบิดามารดา ครูบาอาจารย์ สำนึกในพระคุณของท่านเหล่านี้จนน้ำตาไหล นี่มันถึงจะเป็นวันเด็กที่น่าบูชา น่าสรรเสริญ พอถึงวันแม่ แทนที่แม่จะไปโม้กันเสียแต่เรื่องอวดเรื่องโก้อะไรทำนองนั้น ก็มานั่งให้ลูกๆ เขาสำนึกในคุณ พรรณนาพระคุณของแม่ ของพ่อ ของครูบาอาจารย์เรื่อยไปตามลำดับ แต่ว่าโดยส่วนใหญ่ก็ต้องของแม่ เพราะจัดเป็นวันแม่ ทำไมมันไม่ได้อย่างนี้ ก็เพราะว่าเขาไม่รู้จักคุณค่าของการศึกษา หรือของความเป็นครู ถ้าเรามารู้จักค่าของความเป็นครู ก็เรื่องอย่างนี้ก็คงจะไม่เกิด เพราะทุกคนทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง
แล้วเราพูดถึงคำว่า ครู กันให้ละเอียดลออสักหน่อยจะดีกว่า นับตั้งแต่ว่าครูนี่ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือกินไปวันหนึ่งๆ ถ้าครูมีเพียงว่ารับจ้างสอนหนังสือกินไปวันหนึ่งๆ ก็คือกรรมกรชนิดหนึ่งเหมือนกันแหละ เป็นปูชนียบุคคลไปไม่ได้ ฉะนั้นครูทำหน้าที่ของตน ซึ่งเป็นหน้าที่สูงสุด และเป็นอาชีพที่ได้บุญ เป็นอาชีพที่ประหลาดที่ว่าเป็นอาชีพที่ได้บุญ และบุญนั้นมันตีราคากันไม่ไหว เงินเดือนนั้นมันตีราคาได้ไม่กี่ร้อย ไม่กี่พัน จึงไม่แปลก แต่ถ้าว่าได้บุญแล้วมันก็แปลก เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการตีค่า เพราะว่าประโยชน์ที่ครูทำให้แก่คนในโลกนั้นน่ะ มันมาก มันสูง มันประเสริฐ มันมีค่ามากจนตีกันไม่ไหว
อาตมาอยากจะฝากบอกฝากไปแก่ทุกคนว่า ขอให้ถือว่าครูนั้นคือผู้สร้างโลกเหมือนกับพระเจ้าอย่างนั้นแหละ คุณก็พอจะมองเห็น มันไม่ลึกซึ้งอะไร มันพอจะมองเห็นในแบบของรูปธรรมด้วยซ้ำไป คือเห็นว่าโลกนี่มันประกอบขึ้นด้วยคนทุกคนในโลก เราเรียกว่าโลก ที่นี้ถ้าว่าทุกคนในโลกมันเป็นอย่างไร ไอ้โลกนี้มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ที่นี้คนในโลกแต่ละคนมันจะเป็นอย่างไร มันก็แล้วแต่ว่าได้รับการศึกษามาอย่างไร ครูสอนให้คนทุกคนในโลกเป็นอย่างไรโลกก็จะเป็นอย่างนั้น เป็นเหมือนกับที่คนทุกคนได้รับการอบรมสั่งสอนมา เราจะเห็นได้ชัดว่าครูเป็นผู้สร้างโลก โลกจะเป็นอย่างไรมันก็ขึ้นอยู่กับการที่ครูจะสอนคนทุกคนในโลกอย่างไร ถ้าครูสอนคนในโลกทุกคนเป็นคนดี โลกนี้มันก็ดี ถ้าสอนผิดๆ มันก็เป็นโลกบ้า นี่สอนให้คนหลงใหลในเรื่องของกิเลสตัณหา มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ถือความผิดความถูก ถือเอาแต่ประโยชน์เป็นวัตถุโดยส่วนเดียว คนเหล่านี้มันก็บ้า และเมื่อทุกคนในโลกเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นโลกของคนบ้า
แต่ถ้าครูสอนให้คนทุกคนรู้จักว่าเกิดมาทำไม เพื่อประโยชน์อะไร เป็นคนกันให้ถูกต้อง มันก็เป็นคนดี รวมกันทั้งโลกก็เป็นโลกที่ดี นี่ขอให้มองเห็นเถิดว่า ครูโดยเนื้อแท้ก็คือผู้สร้างโลก ยิ่งกว่าพระเป็นเจ้าเสียอีก พระเป็นเจ้าสร้างโลกอย่างไรนั้นมันก็เป็นเรื่องพูด เรื่องบอก เรื่องกล่าว ไม่สามารถจะพิสูจน์ แต่ครูสร้างโลกนี้มันมองเห็น เป็นการพิสูจน์อยู่ในตัว ครูสร้างศิษย์ขึ้นมาอย่างไร ประกอบกันเป็นโลกแล้วมันก็เป็นโลกชนิดนั้น ฉะนั้นครูก็เป็นผู้สร้างโลก
นี่ครูเด็กๆ ก็ง่วงนอนแล้ว หาว่ายัดเยียดให้มากเกินไป ไม่อยากรับ ดูเป็นหน้าที่ที่มันมากเกินไป ไม่อยากจะรับ มันก็ไม่สำเร็จ เรื่องมันก็ล้มละลาย ไม่ยอมรับหน้าที่ที่แท้จริง คือเป็นผู้สร้างโลก และก็ไม่ยอมทำด้วย คงเป็นลูกจ้างสอนหนังสือกินไปวันหนึ่งๆ ครูมันไม่ใช่ผู้สร้างโลกเสียแล้ว มันผิดจากความจริงเลย ทำไมครูจึงเป็นผู้สร้างโลก นี่ก็ว่าเพราะครูสามารถทำให้โลกเป็นอย่างไรได้ตามการกระทำของครู ทีนี่ครูเขาทำอะไรกัน โดยเนื้อแท้แล้วครูนั้นเป็นผู้นำในทางจิตทางวิญญาณ หนังสือปทานุกรมธรรมดาๆ ในประเทศอินเดียนี่ที่คิดคำว่า ครู หรือ ครุ นี่ เขาแปล เขาให้ความหมายว่า ผู้นำในทางวิญญาณ Spiritual Guide เป็นไกด์ในทางวิญญาณ ในที่นั้น ในถิ่นนั้น ในยุคนั้น เขาใช้คำๆ นี้ในลักษณะอย่างนั้น
พอตกมาถึงในเมืองไทย มันเปลี่ยนความหมายมาเป็นลูกจ้างสอนหนังสือกินไปในวันหนึ่งๆ ก็มี แล้วที่ยังทำหน้าที่คล้ายกับว่าผู้นำทางวิญญาณอยู่ก็มี คือว่าสอนเด็กๆ ให้มันรู้เรื่องของการเกิดมาทำไม เป็นอย่างไร ไปทางไหน หรือแม้แต่ว่าสอนให้เขาหายโง่ ก็เรียกว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณได้เหมือนกัน มันยังเป็นขั้นต่ำหรือโดยอ้อมที่ว่าเด็กไม่รู้หนังสือ สอนให้รู้หนังสือ ก็เรียกว่านำวิญญาณนั้นให้รู้หนังสือ พอจะเรียกว่าผู้นำทางวิญญาณได้ เด็กเขาไม่รู้จักทำมาให้กิน ครูก็สอนวิชาชีพให้ ก็พอรู้จักทำมาหากิน แต่เดียวนี้มันไม่พอ การศึกษานี่เพียงแต่ให้คนรู้หนังสือกับรู้อาชีพนี้ไม่พอ มันยังขาดข้างบน คือคนเหล่านี้ไม่รู้จักว่าจะเป็นคนกันอย่างไร คนเหล่านี้รู้จักแต่หนังสือกับรู้จักแต่ประกอบอาชีพ ไม่มีความรู้ในส่วนที่ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรให้ถูกต้องสำหรับจะอยู่ในโลกนี้ เขาก็ใช้วิชาหนังสือ ใช้วิชาชีพ กอบโกยเพื่อตนเอง จนเป็นช่องทางของกิเลส เพราะไม่มีความรู้ในส่วนที่จะป้องกันกิเลส
ทีนี้คนเหล่านี้ก็รู้จักทำเพื่อประโยชน์ตนและง่ายๆ ในทางวัตถุ คือหาเงินหาปัจจัยแห่งการมีชีวิตอยู่ หาความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนัง มันมีอยู่เท่านี้ นี่การศึกษานี้สอนไม่ครบ คือสอนให้รู้แต่หนังสือกับให้รู้อาชีพ ส่วนที่จะเป็นคนกันอย่างไรให้ถูกต้องนั้นไม่ได้สอน มันจึงขาดส่วนใหญ่ ส่วนสำคัญ ถ้าอาตมาบอกว่ามันเป็นระบบการศึกษาชนิดหมาหางด้วน พูดออกไปเมื่อไม่กี่เดือนนี้ทางวิทยุกระจายเสียงด้วย แล้วก็ฮือฮากันพักหนึ่ง มีคนเอาไปพูดต่อก็มีว่า การศึกษาในโลกนี้มันยังเป็นเหมือนกับระบบหมาหางด้วน มันสอนแต่หนังสือ สอนแต่อาชีพ เพราะว่าเรื่องทางจิตใจจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรไม่ได้สอน มีคนบางคนเขาไม่ชอบ หาว่าเป็นคำหยาบ เป็นคำด่าที่หยาบคาย
เดี๋ยวนี้ก็จะไม่พูดว่าการศึกษาระบบหมาหางด้วน แต่จะพูดว่าการศึกษาระบบเจดีย์ยอดด้วน มันก็ยังความหมายเดียวกันแหละ เจดีย์ที่มันไม่มียอด ครึ่งองค์ไปแล้วมันไม่มี มันไม่หน้าดูอะไรหรอก แต่มันไม่สู้จะเจ็บเหมือนกับหมาหางด้วน การศึกษาระบบหมาหางด้วนกับการศึกษาระบบเจดีย์ยอดด้วน โดยเนื้อแท้มันก็อย่างเดียวกัน แต่คำหนึ่งมันหยาบคายไปหน่อย ฉะนั้นครูหรือว่าระบบการศึกษาที่จะมอบให้ครูมันต้องสมบูรณ์ คือว่ารู้หนังสือ รู้วิชาชีพ และก็รู้ธรรมะ ซึ่งเป็นความรู้ที่ทำให้เขารู้จักผิดชอบชั่วดี เป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง และอยู่กันเป็นโลกๆ หนึ่ง ซึ่งมีสันติสุข มีสันติภาพ
ถ้าว่าคนเรารู้จักแต่หนังสือกับอาชีพแล้วรวมกันอยู่ โลกนี้ไม่มีสันติภาพหรอก เพราะว่าการรู้อาชีพนั้นมันก็จูงไปหาความร่ำรวย ความเห็นแก่ตัว มันก็แย่งกันเห็นแก่ตัว ก็มีแต่การฉ้อฉล คดโกง หลอกลวง เอาเปรียบกัน จนโลกไม่มีความสุข คือไม่มีสันติภาพ เหมือนกับที่เราเห็นอยู่ทั่วๆ ไปในเวลานี้ ทั้งโลกก็ว่าได้ เขามีทะเลาะเบาะแว้ง มีสงครามโดยอ้อม สงครามโดยตรง กับสงครามภายในวงของสังคม เป็นสงครามเศรษฐกิจ สงครามยื้อแยงอะไรซึ่งกันและกัน ซึ่งนำไปสู่การเบียดเบียน เต็มไปด้วยอันธพาล เต็มไปด้วยคอร์รัปชั่น ก็จะอยู่กันเป็นผาสุกได้อย่างไร การศึกษาที่กำลังมีอยู่นี้เรียกว่าไม่สมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์เอาอย่างมากๆ เพราะว่าจบการศึกษาชนิดนี้ ชนิดที่มีอยู่เท่านี้ มันออกไปเป็นอันธพาล
เข้าใจว่าต่อไปจะมีปัญหามากขึ้น คอยดูเถิด ข้างหน้านี้ เร็วๆ นี้ มันจะมีปัญหามากขึ้น คือผู้ที่จบประโยคมัธยมศึกษาเป็น ม.ศ. ๕ ที่ไม่ได้รับการศึกษาในเรื่องทางธรรมะอย่างเพียงพอนี่ เขาจะออกมาจากโรงเรียนตามสถิติว่าปีละสองแสนคนเศษ สองแสนเศษ ทีนี้มันเศษเท่านั้นแหละที่จะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย หรืออะไรต่อไป อีกสองแสนนั้นไม่มีโอกาสจะเรียนมหาวิทยาลัย ก็จะได้ออกมาประสบกับปัญหาของชีวิตที่ไม่สามารถจะต่อสู้ให้ลุล่วงไปได้ ไม่สามารถจะควบคุมความรู้สึก เขาก็ปล่อยไปตามอารมณ์ ก็ได้เป็นอันธพาล อันธพาลตามถนนหนทางในเมืองหลวงนี่จะมากขึ้นกว่าเดี๋ยวนี้ กระทั่งคนเสพยาเสพติดจะมากขึ้นกว่าเดียวนี้ คนจะคดโกงคอร์รัปชั่นอะไรต่างๆ มันก็จะมากขึ้น นี่คือการศึกษามันไม่สมบูรณ์
แต่ถ้าเราให้เขาได้เล่าเรียนธรรมะหรือศีลธรรมส่วนที่เป็นเรื่องทางจิตทางวิญาณ ให้เขารู้จักเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง อดกลั้นอดทน เพื่อความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง มันก็จะไม่มีปัญหาอย่างที่ว่า คนที่มีการศึกษาแต่ไม่มีความอดทนนั้นน่ะ มันต้องไปเป็นอันธพาลแน่ เช่น ไปกินยาเสพย์ติด อย่างนี้มันก็ไม่อดทน ถ้ามันอดทน มันก็ทนได้ มันก็ไม่ไปติดยาเสพย์ติด หรือว่าถ้ามันคับความรู้สึกได้ มันก็ไม่ต้องไปเป็นฮิปปี้ ฮิปป้าฮิปปี้อะไรก็เถอะ คือพวกที่ปล่อยตามอารมณ์ ตามกิเลส โดยไม่มีการบังคับ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องควบคุม หรือว่าเขาจะเป็นอันธพาลเลวร้ายตามถนนหนทางที่มีอยู่ทุกวันในหน้าหนังสือพิมพ์นี้ ก็เพราะว่าเขาไม่อดทน เขาไม่ยอมอดทนนี่ เขาจะเอาตามกิเลสของเขาเรื่อยไป นี่ได้ไปเป็นอันธพาลก็มี ได้เสพติดก็มี เป็นฮิปปี้ก็มี โตขึ้นก็ทำคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ บ้านเมืองก็ไม่มีความสงบสุข ไอ้โลกนี้ก็ไม่มีความสงบสุข เพราะการศึกษาไม่สมบูรณ์ ครูยังไม่ได้เป็นผู้นำในทางวิญญาณที่สมบูรณ์ ครูเป็นเพียงลูกจ้างสอนหนังสือกับวิชาชีพเท่านั้น ที่ไหนก็ทำได้ทำอย่างลูกจ้าง ทั่วโลกสอนหนังสือกับสอนวิชาชีพมันทำได้อย่างลูกจ้าง
แต่ถ้าจะเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณจริงๆ แล้ว มันต้องทำมากกว่านั้น สูงกว่านั้น ไม่มีลักษณะแห่งลูกจ้าง เพราะว่าครูต้องทำด้วยความรักความเมตตา สำนึกในหน้าที่ของตน ทำงานเกินกว่าเงินเดือนที่ได้รับ ไอ้ครูที่ทำหน้าที่โดยตรงเป็นผู้นำทางวิญญาณนั้น ผลมันเกิดขึ้นแก่ประชาชน หรือแก่โลก มากเกินกว่าเงินเดือนที่ได้รับ พอเอาเงินเดือนที่ได้รับนี่ไปเปรียบกับผลที่ครูทำให้แก่ประชาชน มันต่างกันลิบ มันจะเหมือนกับขยะมูลฝอยไปเสียมากกว่า ไอ้เงินเดือนพัน สองพัน สามพัน นี้จะเหมือนเศษขยะมูลฝอย จะไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของครูที่เป็นครูโดยแท้จริง มีคุณสมบัติของครูอย่างแท้จริง มีอย่างมากมันก็เป็นเพียงว่า ธูป เทียน ดอกไม้ เป็นเครื่องสักการะบูชาครู เงินเดือนเป็นเพียงธูป เทียน ดอกไม้ เครื่องสักการะบูชาครู ไม่มาอยู่บนหัวครู ไม่มาอยู่บนศีรษะของครู เหมือนกับครูที่บูชาเงินเดือน ครูบางคนก็เหมือนกับลูกจ้างที่บูชาเงินเดือน เห็นเรื่องเงินเดือนเป็นใหญ่ ต่อสู้กันไม่รู้จักสิ้นสุดเพื่อเงินเดือนขึ้น เพื่อมีอำนาจที่จะควบคุมรายได้อะไรต่างๆ นี่ เพราะว่าเขาบูชาเงิน เงินเดือนควรจะเป็นเพียงดอกไม้ ธูป เทียน บูชาคุณของครู หรือว่าให้จริงยิ่งไปกว่านั้นแล้ว เงินเดือนจะเป็นเหมือนขยะมูลฝอยที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของครู ไม่มีโอกาสที่จะขึ้นมาอยู่บนศีรษะครูได้เลย เพราะว่าครูเขาทำหน้าที่อย่างไรอย่างหนึ่งซึ่งมันสูงสุดเกินไป คือเป็นผู้นำในทางวิญญาณ
พูดกันถึงคำว่าครูอีกนิดหนึ่ง ........ต่อไป (นาทีที่ 28.20) เราเคยได้ยินมาว่าคำว่าครูนี้ แปลว่าผู้นำทางวิญญาณ เมื่อไม่นานมานี้พวกนักศึกษาทางศัพท์ทางคำนี้ เขาบอกว่าถ้าเอาภาษาโบราณที่แท้จริงกันตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์โน้น คำว่าครูนี้ รากของศัพท์ๆ นี้แปลว่า ผู้เปิดประตู รากศัพท์ของคำว่าครูนี้แปลว่า ผู้เปิดประตู โดยอธิบายว่า เปิดประตูให้สัตว์ออกมาจากคอก จากเล้า ที่เหม็น ที่มืด ที่สกปรก ที่เต็มไปด้วยอันตราย สัตว์มันถูกกักขังอยู่ในคอก ในเล้า ที่มืด ที่เหม็น ที่สกปรก ที่ไม่มีแสงสว่าง ที่เต็มไปด้วยอันตราย พอเปิดประตู สัตว์เหล่านี้ก็ออกมาจากคอกเหล่านั้น ผู้ที่ทำหน้าที่เปิดประตูนั้นน่ะเรียกว่า ครู ถ้าอธิบายอย่างนี้มันจะกระเดียดไปในทางเรื่องของพระบรมครู คือพระพุทธเจ้าเสียมากกว่า เปิดประตูคอกให้สัตว์ออกมาจากกองกิเลส และกองทุกข์ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอย่างนั้น เขาพูดว่าคำๆ นี้ ศัพท์ๆ นี้ รากศัพท์ของมันมีอยู่ว่า ผู้เปิดประตู ทีนี้เราเอามาชนกันให้มันตลอดสาย ครูที่แท้จริงเป็นผู้เปิดประตูแห่งความโง่ ความโง่มันขังสัตว์ไว้ในคอกของความโง่ ครูก็เปิดประตู การกระทำของครูต้องมีลักษณะอย่างนี้ จึงจะเป็นครูโดยแท้จริง ทีนี้เมื่อเปิดประตูมันก็มีลักษณะเป็นผู้นำในทางวิญญาณอยู่ดี มีแสงสว่าง เดินไปตามแสงสว่าง เดินไปตามหลักเกณฑ์ที่ครูมอบให้ ก็แปลว่าผู้นำทางวิญญาณ
ทีนี้ครูมีบุญคุณมาก มันหนักอยู่บนศีรษะของลูกศิษย์ทุกคน ฉะนั้นครูแปลว่า หนัก มันก็ถูกอีกเหมือนกัน เพราะครูทำบุญทำคุณให้แก่ประชาชนมากจนหนักอยู่บนศีรษะของคนทุกคน คำว่าครูในความหมายนี้แปลว่า ผู้หนัก คือผู้ที่ทุกคนจะต้องหนัก คือให้ความเคารพ หรือจะมองดูกันตรงๆ ก็ได้ว่า บุญคุณของครูมันท่วมทับอยู่บนศีรษะของคน คนมันก็รู้สึกหนัก หนักที่จะต้องพยายามที่จะใช้หนี้ พยายามที่จะสนองคุณ นี่ครูแปลว่าผู้หนัก เพราะมีบุญคุณหนักอยู่เหนือศีรษะของคนทุกคน ครูแปลว่าผู้นำในทางวิญญาณ ให้คนมันเดินถูกทาง ครูแปลว่าผู้เปิดประตูเล้า ประตูคอก เพราะว่าคนมันเปิดเองไม่ได้ เพราะคนเหล่านั้นมันเปิดเองไม่ได้ ครูเป็นผู้เปิดประตูวิญญาณ มันกลายเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณไปเสียหมด ไม่เกี่ยวกับเรื่องทางวัตถุ เช่น เงินเดือน ข้าวของ ของตอบแทนเป็นวัตถุเหล่านี้เลย
ฉะนั้นขอให้ถือว่าเรื่องเกี่ยวกับครูโดยแท้จริงนั้น มันเป็นเรื่องทางวิญญาณ มีบุญคุณในทางจิต ทางวิญญาณ เป็นผู้นำในทางวิญญาณ เป็นผู้เปิดประตูในทางวิญญาณ นี่ความจริงมันมีอยู่อย่างนี้ แต่ว่าครูสมัยนี้เขาไม่ยอมรับ เพราะว่าครูสมัยนี้ ทั้งครูหญิงครูชาย สาระวนแต่จะเปิดแคตตาล็อกกางเกงยีนส์และกระโปรงเท่านั้นแหละ มันมีเท่านี้ แล้วมันจะรู้เรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่ยอมอ่านหนังสือที่สูงขึ้นไปถึงเรื่องทางธรรมะ ทางวิญญาณ สนใจแต่แคตตาล็อกกางเกงยีนส์ แคตตาล็อกกระโปรง หรือเรื่องที่มันคล้ายๆ กันอย่างนี้
เขาก็ไม่ชอบฟังอย่างที่อาตมาพูด เมื่ออาตมาพูดไปอย่างนี้ เขาว่าบ้า เขาว่าเลอะเทอะ เขาว่าพ้นสมัย เต่าล้านปีอะไรไปแล้ว ไม่อยากจะฟัง แต่ทีนี้มันจะทำอย่างไรได้ อาตมาพูดอย่างอื่นไม่เป็นนี่ พูดอย่างอื่นไม่เป็น ก็ต้องพูดอย่างนี้อีกแหละ จะพูดอีกกี่ครั้ง กี่ร้อยครั้ง มันก็พูดอย่างอื่นไม่เป็น มันก็พูดอยู่แต่อย่างนี้ว่า ครูนี้มันคือผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ผู้นำทางวิญญาณ ผู้มีพระคุณหนักอยู่เหนือศีรษะคนทุกคน จนกลายเป็นปูชนียบุคคล ครูกลายเป็นปูชนียบุคคล
จะให้เรียกเป็นอาชีพ ก็เป็นอาชีพที่ได้บุญ เหมือนกับนักบวชทั้งหลาย บิณฑบาตขออาหารของประชาชนมาฉัน มาบริโภค นี้ก็เรียกว่าอาชีพ แต่มันเป็นอาชีพที่ได้บุญแก่บุคคล เขาจึงเรียกว่าอาชีพปูชนียบุคคล ฉะนั้นขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายทราบความข้อนี้ แล้วพิจารณาดูให้ดีว่ามันไม่เสียหายไปไหน แม้เราจะถืออุดมคติของพระพุทธเจ้า เป็นครูที่ขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า มันก็ไม่เสียหายไปไหน มันจะยิ่งสนุกยินดีปรีดาในการทำหน้าที่ครู มีความสุขอยู่เมื่อได้ทำหน้าที่ครู เพราะว่ามันเป็นปูชนียบุคคล เปิดประตูทางวิญญาณ นำทางวิญญาณ กระทำสิ่งที่มีบุญคุณอยู่เหนือศีรษะของคนทุกคน ครั้นเมื่อมีความรู้สึกข้อนี้แล้ว มันก็เกิดปีติ ในภาษาศาสนาเรียกว่า ธรรมปีติ มีปีติเกิดขึ้นโดยธรรม เลยพอใจ เลยเป็นสุข เมื่อทำหน้าที่ เป็นสุขเมื่อทำหน้าที่ครู อย่างว่าเมื่อจับชอล์คเดินไปมาอยู่หน้ากระดานดำนั้นน่ะ เป็นสุขอย่างยิ่งซะแล้ว เพราะมันสำนึกได้ว่าเราได้ทำหน้าที่สูงสุด คือความเป็นครูอย่างถูกต้อง ไม่ต้องรอว่าเย็นลงโรงเรียนปิด แล้วไปหาความสุขกันที่โรงเหล้า ที่อาบอบนวด ที่ไหนต่างๆ น่ะ นี่ครูกำลังรอเวลาโรงเรียนปิด ไปหาความสุขตามสถานที่เริงรมย์กันเสียอย่างนี้นี่ แล้วก็ไปหาความสุขจากการกินเหล้า หรือกามารมณ์
แต่ครูที่แท้จริงมันมีความสุขยิ่งกว่านั้นอีก อยู่ด้วยชอล์คหน้ากระดานดำ อยู่ที่ในห้องเรียน ไม่อยากให้ถึงเวลาสามโมง สี่โมง จะปิดโรงเรียนด้วยซ้ำไป เพราะเป็นเวลาที่เรามีความสุขที่สุด เมื่อมือถือชอล์ค ปากก็พูดอยู่ เขียนในกระดานดำอยู่ ช่วยเหลือทุกอย่างอยู่ มีความสุขอย่างยิ่ง จนกระทั่งว่าเงินเดือนไม่รู้ว่าจะเอาไปไหน เพราะว่าความสุขนั้นมันได้ที่ตรงนี้ มันเพียงพอซะแล้ว อย่างนี้เป็นต้น นี่แหละ ใครจะเอาหรือไม่เอา ก็ลองคิดดู แต่ว่าข้อเท็จจริงมันมีอยู่อย่างนี้ มันเห็นอยู่ได้โดยไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่น รู้สึกได้ด้วยตนเองโดยแท้จริงว่า ความสุขนั้นเกิดจากความพอใจที่เรารู้สึกว่า เราได้ทำสิ่งควรทำหรือดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะทำ แล้วเราก็พอใจในการที่เราเป็นอย่างนั้น แล้วความพอใจนั้นแหละคือ ความสุข
ถ้าเราไม่รู้จักพอใจในอะไรซะเลย เราก็ไม่มีความสุขหรอก แม้แต่เงินนี่ ถ้าเราไม่พอใจ มันก็ไม่มีความสุขเพราะความมีเงิน และไปกินเหล้า ถ้าไม่พอใจ ไม่รู้สึกความพอใจในสิ่งนั้น ก็ไม่มีความสุข จะไปกินของเอร็ดอร่อยอะไรก็ตาม ถ้ามันไม่รู้สึกพอใจในสิ่งนั้นมันไม่มีความสุข ฉะนั้นความสุขมันขึ้นอยู่กับความพอใจ ถ้ามันโง่ มันก็พอใจในสิ่งโง่ๆ ถ้ามันฉลาด มันก็พอใจในสิ่งที่เฉลียวฉลาด และความพอใจนั้นก็ให้ความสุขได้เหมือนกัน ความสุขโง่ให้ความพอใจมาจากความพอใจอย่างโง่ ความสุขที่บริสุทธิ์ก็มาจากความพอใจที่บริสุทธิ์ เราไม่ควรจะเสียเวลาไปหาสุขอย่างโง่เขลามาจากความพอใจอย่างโง่เขลาที่ประกอบอบายมุข ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน นี้กล่าวตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ เขาไปหาความสุขกับสิ่งเหล่านั้น มันก็ได้ความสุขโง่มา ไปพอใจกับสิ่งชนิดนั้น มันก็เป็นการพอใจที่โง่เขลา ไม่ประกอบไปด้วยธรรม ที่เราประสงค์ธรรมปีติ คือปีติประกอบด้วยธรรม ความพอกับใจที่ประกอบไปด้วยธรรม จะเกิดขึ้นต่อเมื่อเราได้รู้สึกว่าเราได้ทำถูกต้อง น่ายินดี ควรแก่ความเคารพนับถือ คือไม่ส่วนที่คดโกง หลอกลวง เคลือบแฝงอะไรเลย
นี่เราเป็นมนุษย์ และทำหน้าที่ของมนุษย์ เราก็พอใจและรู้สึกมีความสุข ที่เราเป็นมนุษย์ชนิดที่เป็นครู เราก็ได้ทำหน้าที่ของครู เราก็พอใจและก็เป็นสุข ฉะนั้นขอให้ทุกคนหาความสุขที่เกิดมาจากความพอใจว่าตนได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง
หน้าที่นี้มันเหมือนกันไม่ได้ มันมีธรรมะเป็นผู้จัด คือมีกรรม มีกฎแห่งกรรมเป็นผู้จัด ฉะนั้นเรามีหน้าที่เหมือนกันไม่ได้ พวกที่เป็นครูก็เป็นครู พวกที่เป็นชาวนาก็เป็นชาวนา ทำสวนก็เป็นชาวสวน เป็นคนค้าขาย เป็นทนายความ เป็นอะไรไป กระทั่งเป็นข้าราชการ กระทั่งเป็นประธานาธิบดี เป็นมหาราชา มหาจักรพรรดิ อะไรก็ตาม มันเป็นหน้าที่ ลงมาถึงคนกวาดถนน คนล้างท่อถนน คนแจวเรือจ้าง คนถีบสามล้อ อย่างนี้มันก็เป็นหน้าที่ทั้งนั้น
ครั้นเราพอใจในหน้าที่ตามที่มันจะมีได้แก่เรา เราก็เป็นสุขเหมือนกันแหละ จะเป็นมหาจักรพรรดิ มันก็พอใจในหน้าที่มหาจักรพรรดิเพราะมันทำได้ ไอ้เราก็ทำได้ในหน้าที่ของเราว่า ต้องถีบสามล้อให้ประชาชนเขาได้รับความสะดวก ก็ควรจะพอใจ เมื่อพอใจเท่าไรก็มีความสุขเท่านั้น เมื่อความพอใจนั้นไม่คดโกง เป็นความพอใจบริสุทธิ์ ความสุขนั้นมันก็บริสุทธิ์
ฉะนั้นครูนี่มีโอกาสดีมากที่จะได้รับความพอใจที่มันสูง คือว่าหน้าที่ของเรามันถือว่าช่วยสร้างโลก เป็นหน้าที่สูงสุด ช่วยสร้างโลกเหมือนกับพระเจ้า มันก็ทำหน้าที่สร้างเด็กเล็กๆ ตาดำๆ นี่ให้มันดี ขึ้นไปตั้งแต่ชั้นอนุบาล ให้มีการศึกษาที่สมบูรณ์
ขอแทรกตรงนี้สักนิดหนึ่งว่า ถ้าสมมตว่าคุณไปเป็นครูเด็กชั้นอนุบาล ก็อย่าเพียงแต่สอนเขาให้รู้หนังสือเลย ก็สอนให้เขารู้สิ่งที่เรียกธรรมะ หรือเรื่องความเป็นมนุษย์ เช่น เด็กอนุบาลแรกเรียนหนังสือนี้ ไม่ต้องสอน ก ข ก กา ให้เสียเวลา มาสอนให้เขารู้ว่าแม่นั้นมันคืออะไร พ่อนั้นมันคืออะไร เรานี่เป็นอะไร เราจะต้องทำอย่างไรให้รู้บุญคุณของพ่อแม่อย่างแน่นแฟ้นเลย แล้วเขาจะรู้จักบุญคุณของครูอย่างแน่นแฟ้นอีกเหมือนกัน เขาจะไม่เป็นเด็กดื้อ เขาจะไม่เป็นเด็กเหลวไหล เขาจะไม่ทำผิดอะไรนี่ นี้มันได้ประโยชน์กว่าที่รู้หนังสือ รู้หนังสือสักเท่าไรมันก็ไม่ดีเท่าที่เขารู้เรื่องนี้
ฉะนั้นเราสอนเขาให้รู้ว่าพ่อแม่คืออะไร ครูบาอาจารย์คืออะไร เกิดมาทำไม เรามาจากไหน เราจะมีชีวิตอยู่ตามลำพังเราได้หรือไม่ จนเด็กๆ ตัวเล็กๆ เหล่านั้นมันมีรากฐานที่ถูกต้อง ฝังแน่นเป็นรากฐานเสียก่อน เสร็จแล้วจึงค่อยเรียนหนังสือ
เดียวนี้ดูว่าจะรีบประกวดกัน สอนหนังสือให้รู้เร็วๆ อาตมาได้ฟังทางวิทยุ โรงเรียนอนุบาลบางแห่งสอนภาษาอังกฤษแล้วก็มี ได้เอาเรื่องของภาษาอังกฤษมาแทรกให้เด็กรู้พร้อมๆ กันไปกับภาษาไทย อย่างนี้มันยิ่งเร็วใหญ่ไปเสียอีก เร็วสำหรับไปลงเหว (ไม่แน่ใจว่า “เร็ว” หรือ “เลว” นาทีที่ 43.15) มาสอนให้เด็กรู้ว่าพ่อคืออะไร แม่คืออะไร เราเกิดมาโดยลักษณะอย่างไร เราจะต้องทำอะไร อย่างนี้ไปก่อนดีกว่า ก ข ก กา นี้ก็ค่อยเรียนไปทีหลังก็ได้ เรียนไปอย่างทีละตัวสองตัวก็ได้ แต่เรื่องความเป็นคนนี่ จะต้องเรียนให้มาก จนกระทั่งรู้ว่าดีคืออะไร ชั่วคืออะไร เขาจะได้เป็นคนที่ถูกต้อง แล้วโตขึ้นเขาก็จะเป็นนักเรียนที่ดี ไม่มาเป็นเด็กประถม เด็กมัธยม ที่เลวร้าย ซึ่งพร้อมที่จะชกต่อยครูอยู่เสมอ
ไปดูเถิด เด็ก ม.ศ. ๕ นี่พร้อมจะต่อยครูอยู่เสมอ แล้วก็หลายสิบเปอร์เซ็นต์ด้วย เพราะว่ารากฐานมันไม่ดี ถ้าว่าได้แต่สร้างรากฐานให้มันดีตั้งแต่อนุบาล อาการอย่างนี้จะไม่มี จะไม่มีเด็กชั้นมัธยมที่เรียนอย่างขอไปที อยากจะเอาเวลาไปเหลวไหล ไปทำความชั่วความเลวเสียเรื่อยไป นี่มันมีปัญหาไม่ตกนะ เดี๋ยวนี้มันแก้ไม่ตกทุกโรงเรียน ที่เด็กชั้นมัธยมปลายเขาเป็นผู้ที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี จะระบุไปยังว่าเขาไม่มีการบังคับตัวเอง เด็กเหล่านี้ปล่อยตามกิเลส ปล่อยตามความรู้สึกใฝ่ต่ำ ไม่มีการบังคับตัวเอง จนเกือบจะไม่มีธรรมะเหลืออยู่เลย การศึกษาของเรามันสอนแต่หนังสือกับอาชีพ มันไม่สอนธรรมะสำหรับจะเป็นคนกันอย่างไร
เมื่อเป็นเด็กอนุบาลน่ะ เขายังเชื่อฟังครู พอเป็นชั้นประถมขึ้นมา ชักจะไม่ค่อยจะเชื่อครูแล้ว พอชั้นมัธยมอย่างนี้แล้วก็ ครูดูจะเป็นลูกจ้างเสียแล้ว ไม่ใช่คุณครูผู้มีพระคุณซะแล้ว ก็หมดกันตอนนี้ คุณธรรมสำหรับความเป็นมนุษย์มันละลายไปๆ เพราะการศึกษาหมาหางด้วน หรือว่าเจดีย์ยอดด้วน ก็แล้วแต่จะเรียก เขาไม่รู้จักตัวเอง นั้นคือความโง่อันใหญ่หลวง นั้นคือเล้า หรือคอก ที่มืดมิด สกปรก เน่าเหม็นอย่างใหญ่หลวง นี่คอกนั้นน่ะ คอกของความโง่ ความไม่รู้ และเขาก็ไม่รู้จักตัวเอง
ตอนแรกอาตมาก็จะจบอยู่แล้ว ก็อยากจะพูดแถมอีกนิดหนึ่งว่า ไอ้เรื่องรู้จักตัวเองนั้นแหละที่ดีสุด ตามหลักของพระพุทธศาสนาก็มีอย่างนี้ ต้องรู้จักตัวเอง และสิ่งต่างๆ จะออกไปจากความรู้จักตัวเอง เรื่องดับทุกข์ เรื่องมรรคผลนิพพาน มันก็ออกไปจากการรู้จักตัวเองว่า มีกิเลสอย่างไร เกิดขึ้นอย่างไร จะดับมันอย่างไร หรือว่าการที่เราจะอยู่กันในสังคมในโลกนี้ ก็ต้องรู้จักตัวเอง ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องกับตัวเอง แล้วเขาก็จะเป็นมนุษย์ที่ดี คือไม่ใช่มนุษย์อันตราย คนไม่รู้จักตัวเอง มันก็ไม่รู้จักผู้อื่น ไม่รู้จักใครหมด คือมันรู้จักแต่กิเลสของตัวเอง เพราะเห็นแก่ตัว และเอาแต่ตามกิเลสของตัวเอง นี้เรียกว่ามนุษย์อันตราย ทางศาสนาก็เรียกว่ามิจฉาทิฐิ ไอ้พวกมิจฉาทิฐิมันไม่รู้จักอะไร
ฝรั่งสมัยโบราณก่อนนู้น คือไม่ต้องเกิน ๑๐๐ ปีละ ราว ๖๐-๗๐ ปีมานี่ เขาก็สอนศาสนาควบคู่กันไปกับการเล่าเรียน ในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยมีเรื่องศาสนา มหาวิทยาลัย เช่น Oxford, Cambridge นี้ก็มีเรื่องศาสนา เพราะว่าพระจัด จัดการการเรียนนี่พระจัดทั้งนั้น ก็ต้องมีเรื่องศาสนาอยู่ดี แม้แต่จะกินข้าวสักที ก็ต้องสวดมนต์ภาษาละตินขอบคุณพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น และก็ได้ยินพวกที่เขาไปเรียนศึกษาจบมาจากมหาวิทยาลัยชนิดนี้ เขามาบอกว่า อู้ย, ประหลาดดี ที่เขาต้องการแต่ความเป็นสุภาพบุรุษ ปริญญาอะไรอย่างนี้เขาไม่ได้สนใจ มันได้ก็มันได้ไป เป็นอาชีพแขนงหนึ่งเท่านั้น และเขาไม่ได้ต้องการเพียงเท่านั้น วัตถุประสงค์คือความเป็นสุภาพบุรุษ เขาจะมีวิทยาลัย ไม่ว่าจะมีปริญญาหรือไม่มีปริญญา แต่ถ้าเขามีความเป็นสุภาพบุรุษแล้วก็พอใจ เรียกว่าจบการศึกษา ถึงแม้ว่าเขาจะมีปริญญายาวเป็นหางหลายปริญญา ยาวกว่าหางลิง แต่เขาไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ก็เรียกว่าไม่จบปริญญา เขาไม่ได้จบปริญญา เพราะเขาไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ พวกที่ไปเรียนมาจาก Oxford, Cambridge ยุคโน้นมาบอกอย่างนี้ทั้งนั้น ยอดสุดของปริญญาคือความเป็นสุภาพบุรุษ มันก็คือความเป็นคนดีตามหลักของพระศาสนานั้นเอง มันไม่เห็นแก่ตัว มันไม่เป็นอันตรายแก่ใคร มันพร้อมจะบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น นี่คือสุภาพบุรุษ ผู้รู้จักตัวเอง
ทีนี้ขอเล่าอีกนิดหนึ่งว่า เมื่อสมัยแรกๆ ที่ฝรั่งเขาจะเข้ามาบ้านเราน่ะ เป็นฝรั่งดีๆ ทั้งนั้น ฝรั่งที่มีการศึกษาดี เข้ามาบ้านเรา แล้วฝรั่งเหล่านี้เขาจะพูดถึงแต่เรื่องรู้จักตัวเอง แล้วก็เชื่อตัวเอง แล้วก็บังคับตัวเอง แล้วก็พอใจตัวเอง แล้วก็นับถือตัวเอง ไม่ใช่คำพูดเล่นๆ พร่อยๆ ปล่อยให้หายไปตามลมนะ คุณช่วยจำสิ มันไม่มากมาย มันสัก ๕ คำเท่านั้นแหละ มันต้องรู้จักตัวเองก่อน แล้วมันก็เชื่อตัวเองว่าเราสามารถทำอย่างนั้นได้ เช่น เรารู้จักตัวเองว่าเราเป็นมนุษย์ จะต้องเป็นมนุษย์ถึงที่สุด นี่เรารู้จักตัวเอง และก็เชื่อตัวเองว่าเราทำได้ เช่น เรารู้จักตัวเองว่าเราเป็นครู เราก็ต้องเชื่อว่าเราสามารถจะเป็นครูที่สมบูรณ์แบบได้
ทีนี้ก็บังคับตัวเอง ข้อที่ ๓ ก็บังคับตัวเองให้ทำอย่างนั้นให้จนได้ พอเสร็จแล้วมันก็พอใจตัวเอง ที่พูดเมื่อตะกี้ว่ามีความสุข พอพอใจตัวเองได้ก็มีความสุข นี่เรียกว่าพอใจตัวเอง พอพอใจตัวเองได้แล้วมันก็นับถือตัวเองได้ ไม่รังเกียจตัวเอง ไม่กินแหนงตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ มันจบลงด้วยนับถือตัวเอง
เดี๋ยวนี้คนสมัยนี้ พอคิดว่าจะไหว้ตัวเองสักที มันไหว้ไม่ลง ไหว้ตัวเองสักทีมันไหว้ไม่ลงนี่ เพราะมันขี้เมาบ้าง ขี้เกียจบ้าง ขี้โกงบ้าง สารพัดอย่าง มันไหว้ตัวเองไม่ลง ฉะนั้นถ้าว่าถึงกับไหว้ตัวเองได้แล้วก็จบหลักสูตรของความเป็นมนุษย์ จบปริญญาสูงสุดของความเป็นมนุษย์ หนังสือแบบเรียนของฝรั่งมันพูดแต่เรื่องเหล่านี้ ในหนังสือแบบเรียนของเมืองไทยยุคที่เขาแต่งกันยุคนู้น เช่น ธรรมจริยาของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์ เป็นต้น เนื้อหาในหนังสือเหล่านั้นก็จะมีอยู่ใน ๔-๕ คำนี้ นับตั้งแต่ว่ารู้จักตัวเอง Self knowledge แล้วก็เชื่อตัวเอง Self confidence และก็บังคับตัวเอง Self control แล้วก็นับถือตัว Self respect มันพอใจตัวเองๆ Self contentment พอใจตัวเอง Self contentment แล้วนับถือตัวเอง หรือไหว้ตัวเอง Self respect นี้มันเป็นหลักที่ตรงกับหลักในพุทธศาสนา ฉะนั้นจึงไม่ข้อรังเกียอันใดที่จะรับเอาไอ้หัวข้อเหล่านี้ของฝรั่งมาแต่ง มาแต่งเป็นแบบเรียนสำหรับนักเรียนไทยที่นับถือพุทธศาสนา เพราะว่าหัวข้อทั้ง ๕ ประการนี้ มันเข้ากันได้กับหลักในพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง อย่างครบถ้วน อย่างสนิทสนม อย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นนี้ก็จะแก้ปัญหาได้ในการเป็นครูก็ดี หรือเป็นอะไรก็ตามใจ จงตั้งต้นรู้จักตัวเองก่อน และก็เชื่อตัวเองว่าต้องทำได้ตามสถานะของเรา แล้วก็บังคับตัวเองให้ทำให้ได้จริงๆ แล้วก็พอใจที่ทำได้อย่างนั้น พอใจตัวเอง และก็เคารพตัวเอง อยู่ด้วยความเคารพตัวเอง มันชั่วไม่ลง มันเลวไม่ลง มันต่ำไม่ลงอีกต่อไป มันมีแต่ยกมือไหว้ตัวเองค้ำเอาไว้ มันชั่วลงมาไม่ได้ เรื่องมันก็จบกัน
ถ้าครูบาอาจารย์ทั้งหลายจำคำ ๕ คำนี้ไว้ได้ ก็จะเป็นการดี มันเป็นหลักในพระพุทธศาสนา ซึ่งพวกฝรั่งเขาเอาไปพูดก่อนเราจนกลายเป็นหลักศีลธรรม หรือจริยธรรม ของพวกฝรั่งไป ฉะนั้นเขาพูดมากกว่าเรา เขาพูดก่อนเรา แต่ยกเว้นปัจจุบันนี้ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยจะพูดแล้ว เขาเริ่มเอาศาสนาออกจากการศึกษา ก่อนนี้มันมีศาสนาแฝงอยู่ในการศึกษาด้วยกันทุกประเทศในโลก ฝรั่งยิ่งเป็นมาก เพราะว่าพระจัดการศึกษา แบบเรียนบางชุด แบบหนังสือสอนอ่าน Reader บางชุดน่ะ มันมีพระเจ้าอยู่ตอนท้ายบททุกๆ บท ทีนี้ต่อมาฝรั่งเขาไปพบไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุ ไปสนใจก้าวหน้าทางวัตถุ ทางเทคโนโลยีอะไรมากขึ้นๆ เห็นว่าไอ้เรื่องทางศาสนานี้มันเกะกะ กีดขวาง ทำความล่าช้าอยู่ เอาออกไปเสีย ค่อยๆ เอาออกไปเสีย เหลือแต่เรื่องทางโลก คือเรื่องรู้หนังสือ รู้เทคโนโลยีก็พอ
ได้ยินว่ารัฐบางรัฐ ในประเทศบางประเทศ มีกฎหมายไม่ให้ครูสอนเรื่องศาสนาในโรงเรียน ถือว่าเป็นการผิดกฎหมาย ผิดกฎหมายอาชญาเลย เอาเรื่องศาสนามาสอนในโรงเรียนนี้ บางรัฐบางส่วนของบางประเทศ อย่าต้องออกชื่อดีกว่า มันกระทบกระเทือน ดูสิ ธรรมะหรือศาสนาถูกกีดกันออกไปถึงอย่างนี้ พอเอามาสอนแล้วผิดกฎหมาย เพราะว่าทำความเนิ่นช้าให้แก่เศรษฐกิจ การเมือง การอะไรของเขา จึงถือว่าผิดกฎหมาย แล้วมันจะไปกันรอดหรือ นี่คือการศึกษาหมาหางด้วน ก่อนนี้มีหางเพราะว่าสอนธรรมะ สอนศาสนาครบ หนังสือก็สอน วิชาชีพก็สอน ธรรมะก็สอน ทีนี้เอาธรรมะศาสนาออกไป หางมันก็ด้วน ทีนี้ตัวแรกหางด้วน ไม่ด้วนคนเดียว ไปหลอกให้เพื่อนพลอยตัดหางอีก ประเทศไทยก็เหมือนหมาตัวเล็กๆ ตามก้นหมาตัวใหญ่ พลอยตัดหางไปเหมือนกัน ฉะนั้นการศึกษาของเราก็เป็นหมาหางด้วนไปด้วย มันก็มีปัญหาขึ้นมาทันที
รีบรู้สึกตัวๆ รีบต่อสู้ รีบทำให้ดี ทำให้เกิดความสมบูรณ์ขึ้นมาในวงการศึกษา ให้เรียนหนังสือหนังหา ศิลปศาสตร์ต่างๆ และก็ให้เรียนเทคโนโลยีวิชาชีพ การใช้เทคนิคให้สำเร็จมันก็จำเป็นทั้งนั้นแหละ อย่ามาเข้าใจว่าเป็นของใหม่ ของวิเศษ ของใหม่อะไรมัน คนป่าสมัยนู้นมันก็รู้ มันก็มีเทคนิคตามแบบของเขา ใช้เทคนิคให้เป็นเรื่องสำเร็จประโยชน์ และเป็นเทคโนโลยีมาแล้วตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์นู้น ไม่ใช่พึ่งมาเดี๋ยวนี้ พูดง่ายๆ เป็นภาษาเราแปลว่า เคล็ด รู้จักใช้เคล็ดให้สำเร็จประโยชน์นั้นแหละ คือเทคโนโลยี ไปใช้กับเรื่องอะไรก็ได้ มันเพื่ออาชีพ ทีนี้มันได้ผลสิ พอได้ผล มันก็หลง หลงในผลของอาชีพ ก็เลยหลงแต่เรื่องของอาชีพ วัตถุ ปัจจัย เงินทอง อำนาจ วาสนา ไม่มีธรรมะแล้วตอนนี้ ธรรมะเป็นของกีดเกะกะ ขวางทางของความเจริญ เอาออกไป ก็มาเป็นโลกที่ไม่มีธรรมะ รู้หนังสือรู้เทคโนโลยีดี ก็เป็นโลกอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ มีแต่ความเดือดร้อนถาวร แทนที่จะมีสันติภาพถาวร มันเป็นมีวิกฤตกาลอันถาวร ก็ผลเท่านี้ เรื่องมันก็จบ ผลการศึกษาชนิดที่หมาหางด้วนมันก็จบลงเท่านี้
ทีนี้ถ้าว่ามาทำให้หางมันมีขึ้นมาอีก อย่าให้ด้วน คือถ้าพระเจดีย์ยอดด้วน ก็เสริมยอดให้สมบูรณ์เสียอีก มันก็มีความรู้ทางธรรมะเข้ามาสอนมาอบรมอยู่ในการศึกษา อย่างที่อาตมาพูดเมื่อกี้นี้ว่า ไอ้ลูกเด็กๆ อนุบาล ๓-๔ ขวบ พอมาโรงเรียน สอนให้มันรู้จักว่า แม่คืออะไรนั้นน่ะ พ่อคืออะไร เราจะต้องทำอะไร เกิดมาได้อย่างไร นี่เรียกว่าสอนรากฐานของความรู้ทางธรรมะ ทางศาสนา ลงไปเป็นรากฐาน ตั้งแต่อ้อนแต่ออกทีเดียว ปัญหามันก็จะหมดไป นี่ขอให้สนใจ และนำไปคิดดูว่าการศึกษาต้องสมบูรณ์ เราจะต้องเป็นครูบาอาจารย์ของระบบการศึกษาที่สมบูรณ์ หมาหางด้วนใช้ไม่ได้ พระเจดีย์ยอดด้วนก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน
เอาละเป็นอันว่าอาตมาได้พูดถึงความหมายของความเป็นครู คุณค่าของความเป็นครู เกรียติยศของความเป็นครู ในฐานะเป็นผู้สร้างโลก หน้าที่ของครูคือเปิดประตูทางวิญญาณ ทำได้แล้วเราก็เป็นผู้ที่มีพระคุณอยู่เหนือศีรษะของคนทุกคน จะไม่ว่ามีบุญจะว่าอย่างไร เกิดมาเป็นชาวบ้านเหมือนกันแหละ แต่ในที่สุดเรากลายมาเป็นผู้มีบุญคุณอยู่เหนือศีรษะของคนทุกคน อย่าไปมัวบูชาเงินเดือนเลย บูชาอุดมคติของครู มันก็จะเปลี่ยนมาเป็นผู้อยู่เหนือศีรษะของคนทุกคน เหมือนสมัยโบราณที่เคารพครูบาอาจารย์ยิ่งกว่าอะไรๆ หมดจนตลอดชีวิตเลย เพราะเขาสำนึกในข้อนี้ หรือว่าเพราะมันมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีเกี่ยวกับข้อนี้ พอมาเดี๋ยวนี้กิเลสมันเป็นใหญ่ วัตถุ เงินทอง ข้าวของ สนุกสนานนี่มันเป็นใหญ่ ก็ไปบูชาสิ่งเหล่านั้นกันเสียหมด ไอ้ครูบาอาจารย์ที่แท้จริงมันเลยไม่มี โลกนี้มันก็ถูกสร้างอย่างเลวโดยผู้ที่มิใช่ครูบาอาจารย์ โลกนี่มันก็มีความเดือดร้อนระสำระสายเป็นวิกฤตการณ์ถาวร
ขอให้โปรดถือว่าไอ้การที่เรามาพบกันวันนี้ นั่งคุยกันอยู่ที่นี่นั้นน่ะ ขอให้มันเป็นประโยชน์เถิด ขอให้มันเป็นสิ่งที่แสดงความมีประโยชน์ว่า เราได้ทำความเข้าใจกันถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ คือครูผู้ที่จะสร้างโลกนี้ และก็จะได้ช่วยกันสร้างให้ตรงตามอุดมคติ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ
เดี๋ยวนี้เรานั่งกลางดิน อย่างนี้เรียกว่านั่งกลางดินได้ พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ครูทุกคนคงจะรู้ เพราะเคยอ่านมาแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็กลางดิน เมื่อนั่งกลางดิน และท่านจะสอนตั้งแต่แรกเริ่มไปจนตลอดชีวิตของท่าน ก็ล้วนแต่สอนกลางดิน เมื่อนิพพาน ท่านก็นิพพานกลางดิน ทีนี้เรามานั่งกันกลางดิน คือนั่งที่ศักดิ์สิทธ์สุดสูง ซึ่งเป็นที่นั่ง ที่นอน ที่เกิด ที่ตาย ของพระพุทธเจ้า เรามีโอกาสที่จะพูดอย่างนี้ ถ้าพูดกันในตึกมหาวิทยาลัยราคาล้าน ราคาโกฏิ คงไม่ได้พูดกันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันมีโอกาสนั่งกลางดินอย่างนี้ จึงได้พูดเรื่องอย่างนี้ ขอให้จำไปเป็นที่ระลึกว่า เราได้นั่งพูดกันในที่อันศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่ง ที่นอน ที่ตาย ของพระพุทธเจ้า พูดกันถึงเรื่องการเป็นครูโดยอนุโลมตามหลักการของพระพุทธองค์ ผู้ทรงเป็นบรมครู ยกเอาการกระทำอันนี้ ความเสียสละอันนี้ ความเหน็ดเหนื่อยอันนี้ เป็นเครื่องบูชาคุณของพระพุทธเจ้า แล้วท่านทั้งหลายทุกคนก็จะเจริญงอกงามในหน้าที่ของตนๆ โดยไม่ต้องให้พรกันอีกแล้ว มันเป็นพรอันประเสริฐอยู่ในตัวมันเอง ขอยุติการพูดจากันในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้
เอาละ สวัสดีทุกคน เมื่อทุกคนรู้หน้าที่ของตน ปัญหาก็ไม่มีเหลือ เชิญตามโปรแกรมที่กะไว้อย่างไร เข้าไปดูในตึกนั้นแล้วหรือ มาถ่ายตรงนี้ดีกว่า หันหน้าไปทางนั้น ...... .......(ถอดเสียงไม่ได้เนื่องจากเป็นภาษาใต้ 1.04.50) ถ้าอยากถ่ายรูปมานั่งที่ขั้นบันได หันหน้าไปทางโน้น ตรงนี้มีแสงสว่างพอ นั่งที่ขั้นบันไดตรงนั้นสว่างพอ นั่งตามลำดับ มานั่งบนนี้ขัดสมาสบ้างก็ได้ แล้วไปถ่ายมาจากทางโน้น เอ้า, แบ่งกันนั่งตามชั้นๆ เอ้า, ผู้ชายมานั่งนี้บ้าง ขัดสมาสบนนี้บ้าง