แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาได้รับคำขอร้องให้พูดเรื่องอะไรก็ได้ ก็เลยคิดว่ามันก็ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นครู โดยจะให้หัวข้อตามความพอใจ อ่า, ของตัวเองว่า “เรามาเป็นครูเอาบุญกันเถิด” หัวข้อจะพูดว่า เรามาเป็นครูเอาบุญ อ่า,กันเถิด
เมื่อเรามองดู เอ่อ,ให้มันลึก เราจะพบว่าอาชีพครูนี่ไม่ควรจะเป็นเพียงอาชีพเฉยๆ เหมือนอาชีพทั่วๆไป เพราะว่ามันเป็นอาชีพ เอ่อ, ที่ได้บุญ เป็นบุญเป็นกุศลอยู่ในตัว เดี๋ยวนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยนึกกันถึงข้อนี้ เห็นเป็นอาชีพธรรมดาไปเสียหมด ก็เลยกระทำเหมือนกับว่าเป็นอาชีพตามธรรมดา มันก็เลยไม่ได้บุญเพราะว่าจิตมันไม่ได้คิดว่าจะทำบุญ บุญมันจะได้ต่อเมื่อเรามีความรู้สึกหรือตั้งใจว่า อ่า,จะทำให้เป็นบุญ ไม่ว่าจะทำบุญชนิดไหน มันต้องมีความรู้สึกอย่างนี้ทั้งนั้นจึงจะเป็นบุญ ทีนี้อาชีพครูเป็นบุญอยู่ในตัวโดยอัตโนมัติ แต่แล้วเราก็ไม่คิดว่ามันจะทำเพื่อเอาบุญมันก็เลยไม่ได้บุญอีกเหมือนกัน ที่ว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่ได้บุญนี่มองเห็นโดยไม่ยาก แต่ว่าไม่เห็นมีพูดถึงอยู่ในไอ้หลักการศึกษา หรือปรัชญาของการศึกษา อ่า, หรืออะไรเป็นต้นทำนองนั้น คือไม่พูดว่าอาชีพครูนี่เป็นอาชีพที่ได้บุญ คนพูดไม่กล้าพูด เพราะมันโง่มันไม่รู้ หรือ อ่า,เพราะมันกระดากมันละอายกลัวเขาจะหาว่าเรียกร้องอะไรกันมากเกินไป แต่อาตมาคิดว่าผู้วางระบบการศึกษา หรือผู้กล่าวปรัชญาของการศึกษานั่นแหละมันโง่ ขออภัยใช้คำตรงไปตรงมาหยาบคายหน่อย มันโง่มันไม่มองเห็นว่าอาชีพครูนี่เป็นอาชีพที่ได้บุญ มันจึงไม่ป้ายหัว เอ่อ, เท่าที่ไอ้เรื่องราวต่างๆ ระบบการศึกษา วิธีจัดการศึกษา หรือปรัชญาการศึกษาให้ทุกคนมองเห็นเสียแต่ทีแรกว่าอาชีพครูนี้เป็นอาชีพที่ได้บุญ
ถ้าลองเอาไปเทียบกันดูกับอาชีพกรรมกรขนข้าวของแรง เอ่อ, ออกแรงอาบเหงื่อต่างน้ำ มันก็จะผิดกับอาชีพครูมาก เพราะว่าครูเมื่อทำหน้าที่ของตนแล้ว ทำให้เกิดผลอะไรขึ้นมา ก็คือทำให้มีคนที่เป็นคนที่ดี เป็นมนุษย์ที่มากขึ้น เพื่อมนุษย์จะได้อยู่กันเป็นผาสุก อาตมาเคยพูดแล้วก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อ บางคนโห่เอาด้วยซ้ำไป คือพูดว่าไอ้โลกนี่มันสร้างขึ้นมาด้วยครู หรือว่าครูนั่นแหละเป็นผู้สร้างโลก เหมือนกับพระเป็นเจ้า อ่า,ทีเดียว ถ้าคุณคิดดูเองก็มองเห็นนี่ว่าไอ้โลกนี้มันเป็นอย่างไร โลกนี้มันเป็นไปตามพลโลกที่มันมีอยู่อย่างไร หรือมันเป็นอยู่อย่างไร พลโลกเลว โลกมันก็เลว พลโลกดี โลกมันก็ดี พลโลกมีมนุษยธรรม โลกนี้มันก็มีมนุษยธรรม นั้นโลกนี้มันจะเป็นอย่างไร มันก็แล้วแต่ว่าคนในโลกมันเป็นอย่างไร ทีนี้ไอ้คนในโลกจะเป็นอย่างไร มันก็แล้วแต่ว่าครูสร้างหรือปั้นมันขึ้นมาอย่างไร ระบบการศึกษานั่นแหละเป็นหลักที่ว่าเราจะปั้นมนุษย์ในโลกกันอย่างไร นี่ถ้าครูทำหน้าที่ของตนถูกต้อง สอนให้คนทุกคนในโลกเป็นคนที่ดี ไอ้โลกไอ้พลโลกมันก็ดี โลกนี้มันก็ดี ถ้าครูมันสอนผิดๆ เด็กเลวไปหมด โตขึ้นเป็นพลโลกทั้งโลกมันก็เป็นโลกที่เลวนั่น นั้นโลกจะดีหรือโลกจะเลวมันก็อยู่ที่ครู หรือการศึกษาซึ่งครู อ่า,เป็นผู้ดำเนินงาน
ทีนี้ เอ่อ,เราก็เห็นกันอยู่แล้วว่าเราพยายามอย่างยิ่งที่จะให้เด็กดี อาตมากล่าวตามพอใจตัวเอง ก็กล่าวออกไปเป็นหลักๆว่า ครูหรือการศึกษา อ่า,ที่ครูได้รับมอบหมายให้ทำนั้น มันทำให้เด็กรู้หนังสือ มีมันสมองฉลาด และข้อที่ ๒ ทำให้เด็กรู้อาชีพ ประกอบอาชีพโดยสมควรแก่อัตภาพ ข้อที่ ๓ทำให้เด็กมีความรู้ที่จะเป็นมนุษย์ อ่า,กันให้ถูกต้อง นี้มันคือเรื่องจริยศึกษา ความรู้ที่ทำให้เป็นมนุษย์กันอย่างถูกต้อง พุทธิศึกษาทำให้มีความรู้หนังสือและฉลาด อ่า, จริยศึกษา หัตถศึกษา ถือว่าเป็นเรื่องของอาชีพที่ถูกต้อง ทำไมถึงจริยศึกษาก็ เพื่อให้มันเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ถ้ามันครบ ๓ ถูกต้องอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นนักเรียนที่ดี โตขึ้นเป็นพลเมืองที่ดี โลกนี้ก็เป็นโลกที่ดีน่าชื่นใจ ทำไมจะไม่กล่าวว่าครูเป็นผู้สร้างโลก สร้างให้เลวก็ได้ สร้างให้ดีก็ได้ และเมื่อเป็นผู้ถึงกับสร้างโลกให้ดีได้อย่างนี้ ทำไมจะไม่เรียกว่าเป็นบุญ เป็นกุศล นี้อาชีพครูเป็นอาชีพที่ได้บุญได้กุศล ถ้าเราเป็นครูกันจริงๆ เดี๋ยวนี้เราก็ไม่รู้ไม่มองข้อนี้ แล้วก็ไม่อยากจะมองด้วย เพราะว่าเราต้องการแต่ค่าตอบแทนในแรงงานของเรา ไม่นึกที่จะเอาบุญเอากุศล นั้นครูก็สาละวนแต่เรื่องเกี่ยวกับรายได้เกี่ยวกับเงินเดือน ต่อสู้ทะเลาะวิวาทยื้อแย่งกันกับหน่วยนั้นหน่วยนี้ กับรัฐบาลก็มี แล้วแต่จะยื้อแย่งกับใคร เพื่อให้ได้รับประโยชน์เป็นเงินเป็นเงินเดือนเป็นอะไรที่มันมากขึ้น ก็มัวสนใจกันอยู่แต่เรื่องอย่างนี้ ก็เลยไม่นึกถึงเรื่องว่ามันได้บุญมากกว่า ไอ้บุญมันมีค่าสูงกว่าจนตีค่าไม่ไหวนะ สิ่งที่เรียกว่าบุญนี้ไม่มีใครกล้าตีค่ามันน่ะว่าเท่าไร ไอ้เจ้าเงินเดือนน่ะมันของนิดเดียว มันตีค่าได้ประมาณค่าได้เท่านั้นเท่านี้ แต่ถ้าเอาความดีความประเสริฐความสูงสุดไปเทียบกันแล้ว เงินเดือนมันก็เท่ากับขี้ฝุ่น บุญกุศลเป็นเรื่องใหญ่โตใหญ่หลวงประมาณค่าไม่ได้ เงินเดือนมันก็เท่ากับขี้ฝุ่นเราก็ไปบูชาขี้ฝุ่น เราก็ไม่สนใจเรื่องบุญ อ่า,ที่มีค่าอันใหญ่หลวง นี่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเลยไม่ได้เป็นครูเอาบุญ เพราะไม่รู้เรื่องที่ว่ามันได้บุญได้อย่างไร ก็เลยหวังแต่จะได้เงินเดือน เดี๋ยวนี้มาๆชักชวนเสียใหม่ว่าเป็นครูเอาบุญกันดีกว่า แล้วเงินเดือนมันก็ไม่ไปไหนเสียน่ะ มันก็คงจะได้ไปตามระเบียบ ตามเรื่องตามราว ตามที่เขามีกันอยู่ มันไม่ไปไหนเสีย เราไปจดจ่อเรื่องว่าได้บุญเหมือนกับ สร้างโลก สร้างโลกนี้ให้เป็นโลกที่งดงามน่าพอใจ นั่นแหละมันจะทำให้เราก็เป็นสุขสบายใจ มีคุณธรรมทางจิตใจสูง ไม่ได้บูชาเงินเดือน เพื่อเอาไปแสวงหาความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ซึ่งสร้างปัญหาทางกามรมณ์ ทางอาชญากรรม อ่า,ทางอะไรได้อีกมากทีเดียว
เป็นครูเอาบุญมันเป็นเรื่องที่ทำได้ อยากจะพูดว่ายังมีอาชีพบางอาชีพอีกเหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะอาชีพครูน่ะ ที่ว่ามันเป็นอาชีพที่ได้บุญไปในตัว ถ้าอาชีพใดมันเสียสละเพื่อความสุขความเจริญความ อ่า,ปลอดภัยของผู้อื่นแล้ว ก็บอกว่าได้บุญทั้งนั้น แต่มันไม่เท่ากับอาชีพครู บรรดาอาชีพทั้งหลายที่ๆเรียกว่าได้บุญกันบ้างแล้วก็ อาชีพครูเป็นได้บุญมากที่สุด ไปคิดดูอาตมาไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องประจบพวกครู แล้วก็มาพูดยกย่องกันต่อหน้าอย่างนี้ มันไม่มีความจำเป็นอะไร แต่ว่าบอกให้ทราบความจริงหรือข้อเท็จจริงว่ามันมีอยู่อย่างนั้น และบอกให้ทราบถึงโอกาสที่ว่าเราควรจะทำได้อย่างนั้น เราควรจะเป็นผู้ที่ได้บุญเหลือประมาณในฐานะเป็นผู้สร้างโลกให้ดี ไอ้เงินเดือนก็เหมือนกับขี้ฝุ่น เป็นเครื่องที่เขาบูชาคุณของเรา เขาเอามาบูชาคุณของเราที่ประกอบคุณงามความดีสูงสุด ไม่ใช่ค่าจ้าง เอ่อ, เราไม่ใช่ลูกจ้าง ง้องอน อ่า,ขอค่าจ้าง เราทำหน้าที่ของเรา เราก็ได้บุญ แล้วก็อยู่เหนือ อ่า,ความเป็นลูกจ้าง นี่ก็เป็นระธรรมเนียมเป็นหลักทั่วไปที่ว่า คนที่ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์นั้นจะต้องได้รับการสนับสนุน ให้มันรอดอยู่ได้ ให้มันมีอาหารกิน ให้มันมีปัจจัยเครื่องดำรงชีวิต เขาก็เอามาให้ นี่ก็เรียกว่าเงินเดือน เงินเดือนไม่ๆควรจะมาสุมอยู่บนหัวเรา คือเราไม่ได้บูชาเงินเดือน ไม่ได้หวัง เอ่อ,พึ่งเงินเดือนเป็นพระเจ้า เราให้เงินเดือนเป็นเครื่องที่เขาบูชาเรา มันก็ควรจะมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าเรามากกว่า ไอ้บุญที่เราจะได้รับจากการเป็นครูนั่นแหละจะมาอยู่บนหัวเรา เงินเดือนหรือสิ่งตอบแทนนั้นให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าเราจะดีกว่า และเราก็จะเป็นครูที่แท้จริง คือเป็นปูชนียบุคคล
คำว่าครูเป็นปูชนียบุคคลนี้ สมัยนี้ก็จะไม่ได้เห็นหรือไม่ได้ยินกันเสียแล้ว ถ้าเป็นสมัยโบราณแล้ว ครูนี่เป็นปูชนียบุคคลอย่างยิ่ง อยู่เหนือเกล้าเหนือเศียรของคนทั่วไป นับตั้งแต่คนธรรมดาสามัญจนกระทั่งพระราชา มหากษัตริย์ จักรพรรดิ์ อะไรก็ตามเขามีครูกันทั้งนั้นแหละ แล้วเขาก็บูชาครู นั้นคำว่าครู ครูนี้เมื่อ เอ่อ, คือสวนไปตามทางของประวัติศาสตร์ของคำของถ้อยคำนี้ คำว่าครูไม่ใช่ไม่ใช่คนสอนหนังสือ และไม่ใช่คนรับจ้างสอนหนังสือ แต่คำว่าครูนั้นน่ะ เขาหมายถึงผู้นำทางวิญญาณ ผู้นำสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในทางวิญญาณ แต่ถ้าดู เอ่อ,ให้ถึงไอ้ภาษาศาสตร์ที่ลึกซึ้ง เขาก็อธิบายไว้ว่า ไอ้คำว่าครุคำนี้กลายเป็นว่าผู้เปิดประตู คือว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมันหลงอยู่ในคอก ติดอยู่ในคอก ที่กักขังที่มืดมิดที่สกปรกที่ทนทรมาน คำว่าครุเป็นผู้เปิดประตูนั้น แล้วสัตว์ก็ออกมาจากคอกจากไอ้ความมืดมิดทนทรมาน คำว่าครูแปลว่าผู้เปิดประตู แต่หนังสือชั้นหลังโดยมากในประเทศอินเดียแปลคำว่าครูๆนี่ว่าผู้นำทางวิญญาณ เป็นไกด์เป็นผู้นำแล้วก็ทางวิญญาณ คือทาง Spiritual เดี๋ยวนี้ก็อยากจะใช้ภาษาไทยว่าผู้นำทางวิญญาณ เอ่อ, ทางความรู้ในด้านจิตใจชั้นสูง แต่ถึงแม้ว่าจะทำหน้าที่สอนหนังสือ สอนชั้นประถมหนึ่ง สอนชั้นเตรียม สอนชั้นอนุบาล สอนหนังสือก็ตามใจ มันก็พอจะมองเห็นว่าเป็นผู้นำทางวิญญาณอยู่ด้วยเหมือนกันไม่มากก็น้อย เพราะว่าการไม่รู้หนังสือนั้นเป็นความตกต่ำทางวิญญาณมืดมิดทางวิญญาณ ทำให้เขารู้หนังสือ ก็เป็นทำเป็นการทำความสว่างในทางวิญญาณ แม้จะไม่สูงสุด ไม่สูงสุดเป็นเรื่องของมรรคผลนิพพาน มันก็เป็นเรื่องนำทางวิญญาณอยู่นั่นแหละ ถ้าเป็นครูที่ดี แม้สอนชั้นอนุบาลมันก็ยังมีการนำในทางมรรยาท ความประพฤติ วัฒนธรรม ประเพณีอะไรอยู่หลายอย่าง ไม่ใช่เพียงแต่สอนหนังสืออย่างเดียว นั้นครูก็คือผู้ที่นำทางวิญญาณเรื่อยมาตั้งแต่ว่าเด็กชั้นอนุบาล ชั้นประถม ชั้นมัธยม ชั้นอุดม ก็สุดแท้แหละ มันก็นำทางวิญญาณสูงขึ้นมาทุกที เขารู้หนังสือมีความฉลาด แล้วเขารู้อาชีพที่เหมาะสมแก่อัตภาพของเขา จนกระทั่งเขามีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง
ถ้าว่าหลักสูตรของเราดี ถ้าหลักการศึกษาของประเทศไทยเราดี จะต้องมีจริยศึกษาที่ถูกต้อง คือให้เด็กๆเขารู้เรื่องทางจิตทางวิญญาณเพื่อจะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เดี๋ยวนี้สอนกันแต่หนังสือกับอาชีพ หลักสูตรการศึกษาในโลกนี่มันมีแต่สอนหนังสือกับสอนอาชีพ ไม่เน้นในเรื่องความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ไม่มีเรื่องธรรมะ ไม่มีเรื่องทางศาสนา อาตมาเลยตะโกนดังๆว่า ไอ้ระบบการศึกษาในโลกนี้ยังเป็นเหมือนกับระบบหมาหางด้วน มันคงจะจำง่ายดีว่าหมาหางด้วน มันถูกตัดหางหรือหางมันขาดไปโดยวิธีใดก็ตามน่ะ มันก็วิ่งเปะๆปะๆไม่ตรงทาง นั้นสอนแต่หนังสือสอนแต่อาชีพ มันก็ไม่มีความรู้ในทางธรรมะ ไม่มีหลักธรรมะ นั่นแหละคือความเป็นหมาหางด้วน มันอยู่ที่นั่น มันอาจจะอ้วนพีมีกำลังอะไรดี แต่ว่ามันไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับหมาหางด้วนไม่มีความเป็นหมาที่สมบูรณ์ ใครๆก็ไม่ชอบ มันไม่เป็นหมาที่ถูกต้อง มันไม่เป็นหมาที่สมบูรณ์เพราะหางมันด้วน คนเราก็เหมือนกันน่ะ ถ้าว่าไม่มีความรู้สำหรับทำความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง มันก็ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ถ้าการศึกษาเขายกเลิกธรรมะ ยกเลิกศาสนา ยกเลิกศีลธรรมออกไปมันก็ไม่มีการสอนเรื่องความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เป็นการศึกษาแบบหมาหางด้วนช่วยจำไว้ด้วย แล้วถ้าครูก็เป็นหมาหางด้วน แล้วก็จะสอนลูกศิษย์ให้เป็นหมาหางดีได้อย่างไร เพราะครูมันก็เรียนมาอย่างที่เป็นหมาหางด้วน เรียนแต่รู้หนังสือกับอาชีพ ไม่มีความรู้ทางธรรมะ ที่จะเป็น อ่า,มนุษย์ให้ถูกต้อง เราถือหลักโดยตัวหนังสือกันบ้างเปล่าว่าศึกษา ศึกษานี่มันมาจากคำบาลี คำสันสกฤตที่ว่า ศึกษา หรือ สิกขา มันเป็นภาษาไทยแปลงมานี่ก็เรียกว่า ศึกษา รูปศัพท์คล้ายสันสกฤตแต่เป็นคำเดียวกับบาลีที่ว่าสิกขา นั้นถ้าเราอย่า เอามาแต่ตัวหนังสือจะดีมาก เอาความหมายมาด้วย
คำว่า สิกขา หรือศึกษานี่ มันมี ๓ ศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา นี่คนที่เคยบวชได้ยินแล้วรู้แล้ว คนที่เคยไม่เคยบวชเรียนเคยเรียนธรรมะศึกษาก็รู้แล้วว่าสิกขามี ๓ คือ ศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ศีลสิกขา ทำให้เกิดความถูกต้องทางกาย ทางวาจา คุณช่วยๆกำหนดไว้ให้ดีนะ ว่าศีลสิกขานี่มันทำให้เกิดความถูกต้องทางกาย ทางวาจา ไม่มีความผิดพลาดทางกาย ทางวาจา ไม่มีโทษอะไรจะเกิดขึ้น โดยการกระทำทางกาย ทางวาจา ทีนี้ก็จิตตสิกขา คือความถูกต้องทางจิต เขาจะต้องมีจิตที่สมประกอบ ไม่บ้าไม่บอไม่ขาดไม่เกิน และก็มีกำลังจิตที่เข้มแข็งว่องไว อดทน มั่นคง หรือบริสุทธิ์ ขนาดนี้เขาเรียกว่า ความถูกต้องในทางจิต ซึ่งจำเป็นที่สุดสำหรับเป็นมนุษย์ คือมันจะไม่เป็นคนบ้านั่นเอง ถ้าจิตผิดปกติแล้วมันก็เสื่อมไปถึงทางกาย ทางวาจา นั้นต้องมีจิตที่ถูกต้อง นี้ปัญญาสิกขา มีความถูกต้องทางสติปัญญา วิชาความรู้ ความเชื่อ ความเข้าใจอะไรต่างๆ ที่รวมเรียกว่าทางสติปัญญา มีความคิดเห็นถูกต้อง มีความเชื่อถูกต้อง มีความยึดถือหลักทางจิตทางวิญญาณที่ถูกต้อง มันไม่เหมือนกันนะ ศีลสิกขา ถูกต้องทางกาย ทางวาจา กระทั่งทางวัตถุสิ่งของบ้านเรือนเครื่องใช้ไม้สอยอะไร นี่ถูกต้องทางวัตถุ ทางกาย ทางวาจา อย่ามีโทษลองคิดดูว่าเรามีความถูกต้องข้อนี้หรือยัง ถ้ายังก็ยังไม่เป็นการศึกษา นี้จิตตสิกขา ถูกต้องทางจิต เราสั่งสอนกันมาดีรู้จักอบรมจิตให้เข้มแข็ง ให้มีสมาธิ ให้มีความเฉียบแหลมว่องไว นี่เป็นเรื่องของจิต ถ้าเรายังไม่มีเรื่องนี้ เรายังไม่มีสุขภาพทางจิต ไม่มีสมรรถภาพทางจิต ก็เรียกว่ายังไม่มีการศึกษา เอ้อ,ทางจิตน่ะ นี้เรื่องความถูกต้องทางปัญญาทางสติปัญญา รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้คิด รู้นึกเรื่องความทุกข์ ความดับทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทางให้ถึงความดับทุกข์ต่างๆเหล่านี้ ถูกต้อง ไม่มานั่งหลงงมงายด้วยเรื่องไสยศาสตร์เป็นต้นอยู่ นี่เรื่องเป็นความรู้ที่ถูกต้อง นี่เรียกว่าปัญญาสิกขา ถ้าเรายังไม่มีความถูกต้องทางสติปัญญา ก็ยังไม่มีสิกขา ไม่มีการศึกษา นั้นมองดูแล้วมันน่าๆกลัว น่าเศร้า น่าสลดสังเวช จากการศึกษาในโลก การศึกษาในโลกไม่เฉพาะประเทศไทย มันยังไม่ได้ผลอย่างนี้ ศึกษาตั้งแต่อนุบาล จนถึงมหาวิทยาลัย มันก็ยังไม่มีผลอย่างนี้ มันไม่ยังไม่มีผล อ่า,คือความถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางวัตถุสิ่งของ และไม่มีความถูกต้องทางจิต และไม่มีความถูกต้องทางวิญญาณ เรียนจบมัธยม อุดม ก็ยังเป็นอันธพาล ยังคดโกง ยังคอรัปชั่น แล้วที่ประหลาดที่สุดคือไปหลงยาเสพติด คนที่เสพยาเสพติดในโลกนี้ที่กำลังมากขึ้น จนเป็นปัญหาใหญ่ คนเสพยาเสพติดเหล่านั้นเคยเข้าโรงเรียน เคยเป็นนักเรียนชั้นประถม ชั้นมัธยม ชั้นอุดมศึกษากันมาแล้วก็มี พวกฮิปปี้ติดยาเสพติดนั่นผ่านมหาวิทยาลัยมาแล้วโดยมาก นี่ดูซิมันมีความถูกต้องอย่างไร มีความถูกต้องทางกาย ทางวาจาอย่างไร มีความถูกต้องทางจิตอย่างไร มีความถูกต้องทางสติปัญญาอย่างไร มันไม่มีความถูกต้อง นั้นโลกนี้มันไม่มีการศึกษาที่สมบูรณ์ เพราะมันมีการศึกษาแบบหมาหางด้วน มันรู้หนังสือก็ทำให้ฉลาดแล้วก็ออกไปเป็นอันธพาล แล้วก็ยิ่งแก้ไขยากล่ะ คนที่เรียนหนังสือฉลาด แล้วออกไปเป็นอันธพาลนี่ปราบยาก นั้นการที่ให้การศึกษาไม่สมบูรณ์นั้นน่ะ จะเป็นการทำลายโลกเสียเอง จะไม่ช่วยกันสร้างโลกให้ เอ่อ,มีความสงบสุขหรือสันติภาพ สันติสุข มันจะเป็นการทำลายโลกเสียเอง ฉะนั้นคุณช่วยคิดให้ดีๆว่าถ้าการศึกษาถูกต้อง แล้วก็จะไม่ต้องมีอันธพาล จะไม่ต้องมีอาชญากรเลวร้าย ไม่ต้องมีแม้แต่ว่าผู้เสพยาเสพติด
เดี๋ยวนี้ปัญหายาเสพติดมีมาก เงินค่ายาเสพติดนี่มันมากจนจะนับไม่ไหวกันแล้ว เป็นปัญหายุ่งยากไปทั้งโลก เสียเวลา เสียไอ้แรงงานเสียอะไรต่างๆเพราะเรื่องยาเสพติดนี่ การศึกษามันไม่พอถึงอย่างนี้การศึกษามันผิด มันไม่พอที่จะคุ้มครองมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เพราะไม่ให้การศึกษาชนิดที่เพียงพอนั่นเอง ที่เราก็มาดูเราก็นับเนื่อง อ่า,อยู่ในการศึกษา ถูกผูกพันอยู่กับการศึกษา เพราะว่าเราเป็นครู นักๆการศึกษา ผู้จัดการศึกษา ผู้ได้รับมอบหมายให้วางหลักการศึกษา เมื่อเขาพบปัญหามากขึ้น เขาเขียนลงไปว่า มิใช่ว่าการศึกษานี้จะแก้ปัญหาทุกอย่างของมนุษย์ได้ เพราะว่าการศึกษาไม่สามารถจะแก้ปัญหาทุกอย่างของมนุษย์ได้ อาตมาขอยืนยันที่ตรงนี้ว่า ไม่จริง หลับตาพูด พูดผิดๆ คืออยากจะพูดอย่างตรงกันข้ามว่า การศึกษาจะแก้ปัญหาทุกอย่างของมนุษย์ได้ หากขอแต่ให้เป็นการศึกษาที่สมบูรณ์น่ะ สมบูรณ์อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ทางกาย ทางวาจาก็ถูกต้อง ทางจิตก็ถูกต้อง ทางสติปัญญาก็ถูกต้อง ถ้ามันมีการศึกษาจริงอย่างนี้ปัญหาของมนุษย์ในโลกนี้จะไม่มี จะไม่มีทางเกิดขึ้น ปัญหาอาชญากรรมเลวร้ายยิ่งๆขึ้นทุกทีที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ วัน อ่า, ฉบับละหลายๆเรื่องต่อวันน่ะ ปัญหาเลวร้ายอย่างนั้นมันจะไม่มีน่ะถ้ามันมีการศึกษาถูกต้อง แล้วปัญหาที่เนื่องกันน่ะ ปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาขูดรีด ปัญหาเอาเปรียบ ปัญหาอะไรต่างๆ จนเกิดความยุ่งยากลำบากในหมู่การค้า เอ่อๆ, การอุตสาหกรรม ที่กำลังเอาเปรียบกันจนหาความสงบสุขไม่ได้ แม้แต่เรื่องน้ำมันอย่างนี้เป็นต้น มันทำไปโดยคนที่ไม่มีการศึกษา มันก็มีแต่การเอาเปรียบ มันก็ยุ่งยากไม่มีที่สุด จนนอนตาไม่หลับ แม้แต่เรื่องอาหารการกินที่ตลาด เอ่อ, สดหรืออะไรก็ตาม มันล้วนแต่เป็นปัญหาไปหมดถ้าคนมันไม่มีศีลธรรม เพราะไม่มีการศึกษา แล้วก็มีเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆเพิ่มขึ้นๆ เพราะมันไม่มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ มนุษย์ก็ทำไปอย่างที่เรียกว่าไม่มีเหตุผลน่ะ
อย่างวันนี้มันก็มีปัญหาเรื่องที่อิหร่าน เรื่องที่อาหรับ เรื่องที่อัฟกานิสถานนี่ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ทำไปอย่างไม่มีเหตุผลไม่สมควรแก่ผู้ที่มีการศึกษาทั้งนั้นน่ะ ถ้ามีการศึกษาจริงอย่างว่า มีธรรมะมีศาสนา แล้วสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นไม่ได้ เรื่องที่ครูมีปัญหาถูกจับไปเรียกค่าไถ่บ้างอะไรบ้างนี่มันก็จะไม่มี มีขึ้นไม่ได้ นี่ขอให้ลองคิดดู ถ้ามนุษย์มันเป็นมนุษย์จริง เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ปัญหาเหล่านี้ก็ไม่มี ก็เดี๋ยวนี้เขาไม่เป็นมนุษย์ที่จริงไม่เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ก็เพราะอะไร เพราะการศึกษามันไม่สมบูรณ์ ถ้าการศึกษามันถูกต้องและสมบูรณ์เสียแต่ทีแรก มันก็ไม่มีคนที่ทำอะไร เอ่อ, เลวร้ายอย่างนี้น่ะ ขอให้คิดดูให้ดี เพราะการศึกษาไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์มนุษย์ในโลกก็อยู่ด้วยความทนทรมาน ไม่มีความรักใคร่เมตตาปราณี นี่เป็นรากฐานอันใหญ่อันต้นอันแรกเพราะไม่รักใคร่เพื่อนมนุษย์ นี่มันจึงทำอะไรที่เลวร้าย หรือถ้ามันเกิดรักใคร่เพื่อนมนุษย์ขึ้นมามันก็เป็นรากฐานของความสงบสุข เราไม่ได้มีการศึกษาที่ทำให้มนุษย์ทุกคนรักกันอย่างกับว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันตามบทบัญญัติทางศาสนา ไม่ว่าศาสนาไหนสอนอย่างนี้ทั้งนั้น ให้ทุกคนรักกันอย่างเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ให้เขาอดกลั้นอดทนต่อๆการบีบบังคับของกิเลสที่มันๆผลักดันให้ไปทำความชั่ว นี่เด็กๆของเรา อ่า,ไม่มีความรู้เรื่องนี้เพียงพอ มันก็ทำความชั่วความไม่ดี ทำความเสื่อมน่ะหลายๆอย่าง หลายๆประการเพราะว่าการศึกษามันไม่พอ นี่ขอให้ช่วยมองดูกันข้อนี่แหละ แล้วจะพบว่า เอ่อ, การเป็นครูนี่มันเป็นอาชีพที่ได้บุญ ทำให้การศึกษาถูกต้อง เป็นไปอย่างถูกต้อง แล้วทุกอย่างก็เป็นไปเพื่อความสงบสุขของประชาชน ก็เป็นอาชีพที่ได้บุญ เช่นว่าเรา (34.50)เป็นครูเอาบุญกันเถิด ใครจะโห่ก็ตามใจ อาตมาก็ยังชักชวนอย่างนี้ ว่าเป็นครูเอาบุญกันเถิด เงินเดือนนั้นไม่ไปไหนเสีย มันก็เป็นขี้ฝุ่นที่มาบูชาคุณของเราอยู่นั่นแหละ เอาหลักเกณฑ์ที่ไหนมาพูดอย่างนี้ ก็ด้วยเหตุผลสามัญที่เห็นได้โดยสามัญสำนึก มองเห็นๆกันอยู่หรือว่าเอาหลักเกณฑ์ตามทางพระศาสนาของพระศาสดามาจับมานั่นแล้ว มันก็เป็นอย่างนี้จริงๆน่ะ ว่าไอ้ความสูง เอ่อ, ไอ้ความถูกต้อง เอ่อ, ในทางวิญญาณนี้ที่มันจะช่วยให้มนุษย์รอดอยู่ได้ เป็นของดีเป็นของประเสริฐ เป็นสิ่งที่จะทำให้โลกนี้ อ่า, มันเป็นโลกที่น่าอยู่ นั้นเราเป็นครูเพื่อทำโลกให้เป็นอย่างนี้เพื่อสร้างโลกชนิดนี้ขึ้นมา เรียกว่ามันได้บุญ
ไอ้เรื่องได้บุญนี้อาตมายังมองไกลไปถึงว่ามันได้บุญกันทั้งนั้นแหละ ถ้าหากว่าใครทำหน้าที่ของตนนะ ก็ได้บุญทั้งนั้นแหละ ไอ้ที่ยกเอาครูมาเป็นเรื่องแรกนี่เพราะว่ามันเป็นได้บุญใหญ่ ได้บุญจริง ได้บุญเห็นชัดๆ เพราะว่ายกสถานะทางวิญญาณให้สูงขึ้น เพราะว่าเปิดประตูคอกประตูเล้าที่มืดมิดสกปรกนั้นให้สัตว์ทั้งหลายมันได้ออกมา นั้นเรียกว่าเป็นบุญชัดๆอย่างยิ่งและสูงสุด แต่ทีนี้อยากจะพูด เอ่อ, เป็นพื้นฐานไปอีกชั้นหนึ่งว่าขอให้ทุกคนทำหน้าที่ของตนเถอะ เป็นบุญทั้งนั้น เป็นบุญเป็นกุศลทั้งนั้น แล้วแต่ว่าใครมีหน้าที่จะต้องทำอย่างไร ขอให้ทำหน้าที่ของตนของตน เพราะว่าโลกนี้ทั้งโลกน่ะคุณก็รู้อยู่แล้วว่ามันกว้างใหญ่เท่าไหร่ มันต้องการอะไร มันต้องการความสงบสุขของบุคคล มันต้องการสันติภาพของสังคม นั้นโลกนี้ เอ่อ, มันต้องช่วยกันสร้างสันติสุข สันติภาพกันคนละไม้คนละมือ ให้โลกมันมีอะไรครบ มีความสะดวกครบ มีความสบายครบ มีความพอใจครบน่ะ ถ้าโลกนี้ก็เรียกว่าเป็นโลกที่สมบูรณ์ นี่เราก็ต้องมีหน้าที่ต่างๆกัน เอ่อ, คนที่เป็นชาวนาก็มีหน้าที่ทำให้คนอื่นๆมีๆข้าวกินคือคนที่เขาต้องทำหน้าที่อย่างอื่นน่ะ เขาไม่ต้องมาทำนา แล้วเขาก็มีข้าวกินเพราะชาวนาทำนาให้มีข้าวขึ้นมาอ่า, คนที่เป็นชาวสวนก็ทำให้พืชผลในเรือกสวนนี่เกิดขึ้นมา เพื่อจะให้คนเหล่านั้นได้มีกินมีใช้พืชผลในเรือกในสวน ทีนี้คนที่ อ่า, เอาไปขายก็เพื่อให้ความสะดวก เพราะไอ้คนๆโน้นน่ะมันไม่ต้องมาซื้อถึงที่นาที่สวน เพราะคนที่มันเอาไปให้มันก็ได้ความสะดวกสบาย ถ้าขาดคนที่เอาไปขายไปสู่ตลาดอย่างนี้มันก็ลำบากยุ่งยากน่ะ ก็เป็นปัญหาเป็นความทุกข์ด้วยเหมือนกัน ทีนี้คนที่จัดการเรื่องค้าเรื่องขายคงให้ (39.09)สะดวกแก่การแลกเปลี่ยนเป็นอยู่สบายมากขึ้น หรือว่าคนที่มันทำงานธนาคารเป็นนักการธนาคาร ทำให้เงินหมุนไปหมุนมา ถ้ามันไม่โกง ถ้ามันเป็นคนจริงทำหน้าที่ซื่อตรง มันก็ทำให้ประชาชนนี่ได้รับความสะดวกในการที่จะหมุนเงินไปหมุนเงินมา อ่า, เขาก็ไม่หน้าเลือดไม่เอากำไร ๑๐๐ เท่า ๑,๐๐๐ เท่า ๑๐,๐๐๐เท่า ๑๐๐,๐๐๐เท่า เขาเอากำไรตามสมควรน่ะ เช่นเดียวกันชาวนาทำนา มีกำไร ๒๐% ชาวสวน ๒๐% คนค้าขาย ๒๐% นักการธนาคารที่ค้าเงินมันก็ลองเอากำไรแต่เพียง ๒๐%ซิ นอกนั้นก็เป็นความสุขสะดวกสบายแก่ประชาชน มันก็เรียกว่ามีส่วนที่ได้ทำความดีความงามในโลกนี้ คนที่เป็นข้าราชการก็เหมือนกัน ถ้าเขาทำหน้าที่ดีตรงมันก็ได้บุญ เพราะทำให้โลกนี้มันสมบูรณ์ขึ้นมา
นี้คนที่เป็นทหาร ถ้าเขาทำหน้าที่ของเขาถูกต้อง มันก็เป็นผู้ช่วยให้โลกนี้มันปกติสุข มันก็ได้บุญ มันไม่ใช่ตั้งใจจะฆ่าใคร มันตั้งใจจะรักษาความสงบสุข นี้คนอื่นๆนั้น ไอ้คนกวาดถนนถ้ามันตั้งใจกวาดถนนมันก็ได้บุญเพราะว่าทำให้บ้านเมืองมันดูได้ คนถีบสามล้อมันก็ได้บุญช่วยให้เกิดความสะดวกสบายแก่คนในบ้านในเมือง มันก็ไม่หน้าเลือด มันไม่ขูดรีด มันเอาแต่พอสมควร คนแจวเรือจ้างมันก็ทำให้เกิดความสะดวกสบายแก่บ้านแก่เมือง มันก็ได้บุญ นั้นใครจะทำงานชนิดไหนน่ะก็เรียกว่าได้บุญ ถ้าทุกคนทำหน้าที่ของตนลงไปในโลกตามสัดส่วนที่แบ่งปันกัน ทำแล้วมันได้บุญทุกคน เป็นจักรพรรดิ์ เป็นราชา มหากษัตริย์ทำหน้าที่ของตนก็ได้บุญ เป็นนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ของตนบริสุทธิ์ผุดผ่อง มันก็ได้บุญ เป็นรัฐมนตรี เป็นอธิบดี อ่า, เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นนายอำเภอ มันก็ได้บุญ ถ้ามันทำหน้าที่ของตนถูกต้อง เป็นกำนัน เป็นผู้ใหญ่บ้าน ถ้ามันทำหน้าที่ของตนถูกต้องมันก็ได้บุญ กระทั่งมันเป็นราษฎร เป็นประชาชน ถ้ามันทำหน้าที่ของตนถูกต้องมันก็ได้บุญ นี่เป็นประชาชนเอาบุญกันเถิด ถ้าประชาชนทุกคนทำหน้าที่ของตนถูกต้อง ไอ้โลกนี้มันก็มีสันติสุข มีสันติภาพ นั้นทุกคนทุกส่วนแห่งหน้าที่การงานในโลกนี้น่ะ ถ้าทำแล้วมันเป็นการช่วยให้โลกมีสันติสุขสันติภาพ เราจึงถือว่าเป็นการได้บุญ ได้ผลได้กำไร อ่า, แต่พอเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ ให้ทำหน้าที่ของตนได้อย่างนี้มันก็ได้บุญ แต่ถ้าถือโอกาสขูดรีดน่ะ เอาประโยชน์เกินกว่าที่ควรจะได้ ๑๐๐เท่า ๑,๐๐๐ เท่า ๑๐,๐๐๐เท่า ๑๐๐,๐๐๐ เท่า มันก็เป็นการทำบาป ไม่ใช่ทำหน้าที่ของตนเพื่อให้โลกนี้มันสมบูรณ์อยู่ด้วยความสะดวกสบาย เอ่อ, ตามที่มนุษย์ควรจะมี นั้นขอให้ถือว่าทุกคนมีหน้าที่อย่างไร เอ่อ, ขอให้ทำหน้าที่ของตนเท่านั้นแหละมันจะเป็นบุญขึ้นมาทันที เพราะเป็นการทำประโยชน์ลงไปในโลกของมนุษย์ เพื่อความอยู่สะดวกสบายเป็นสุขของมนุษย์ ปันหน้าที่กันตามแต่ที่ใครจะทำได้ นั้นเราต้องให้เกียรติยศเขาเสมอกัน คนถีบสามล้อ คนแจวเรือจ้าง คนกวาดถนน ก็มีเกียรติเท่ากันในฐานะที่เขาทำหน้าส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกนี้มันเป็นปกติอยู่ได้ จะเป็นชาวนา ชาวสวน จะเป็นไอ้กรรมกร เป็นไอ้พ่อค้าเป็นแม่ค้าเป็นสุดแท้ ทุกคนทำหน้าที่ของตนก็ถือว่ามีส่วนทำโลกนี้ให้ปกติสุขอยู่ได้ ทุกคนได้บุญ แม้แต่เป็นพลเมืองเป็นประชาชนที่ดีที่ถูกต้องก็ยังได้บุญ
นับภาษาอะไรกับที่ว่าเป็นครูผู้นำทางวิญญาณนี่จะไม่ได้บุญยิ่งๆขึ้นไปเป็นพิเศษ นั้นถ้าผู้ใดทำงานที่ทำให้มนุษย์ประสบความสุขความปลอดภัย อ่า, ชั้นสูงขึ้นไปเขาก็ได้บุญมาก อาชีพของเขาก็ได้บุญมากโดยเฉพาะเช่นอาชีพเป็นครูที่ถูกต้อง เป็นตุลาการที่ถูกต้อง เป็นอะไรที่ถูกต้องอย่างนี้ นี่ก็ล้วนแต่เรียกว่าเป็นปูชนียบุคคลประกอบหน้าที่อยู่ เป็นบุญเป็นกุศล อาตมาเคยพูดอย่างนี้ ถ้าเป็นกันเองแล้วก็ชวนอย่างนี้ว่าเป็นนายอำเภอเอาบุญดีนะ เป็นกำนันเอาบุญกันดีนะ ถ้าเป็นผู้ใหญ่บ้านน่ะก็เป็นผู้ใหญ่บ้านเอาบุญกันดีนะ ยังเหลือแต่จะชวนเป็นประชาชนเป็นราษฎรเอาบุญกันดีนะ เขาก็มักจะสั่นหัว เขาไม่รู้จักคำว่าบุญว่าบาปนั่นเอง แล้วก็มักจะสั่นหัว ชวนผู้ใหญ่บ้าน อ่า, บางคนนะก็ยังๆยอมรับว่าครับ จะชวนกำนัน ชวนนายอำเภอ ชวนผู้ว่าราชการ เป็นเอาบุญนี้ไม่มีใคร เขายิ้มเขาไม่เชื่อว่ามันจะเป็นสิ่งที่จะทำได้ นี้ก็ขอเชิญ เอ้า, ครูบาอาจารย์ทั้งหลายว่าเป็นครูเอาบุญกันเถิด พอเราเป็นครูเพื่อเอาบุญกันเถิด ไม่ใช่เพื่อเอาเงินเดือน ครูเป็นผู้สร้างโลก โลกจะดีจะเลวอย่างไรก็เพราะครูสร้างคนขึ้นมาในโลกอย่างไร ไม่มีใครสร้างคนในโลกนอกจากครู ครูมันคือผู้สร้างโลกเหมือนกับพระเจ้าผู้สร้างโลก สร้างให้เลวก็ได้สร้างให้ดีก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นที่รู้ยอมรับกันแล้วว่าเราจะสร้างให้ดี เราจะสร้างให้ดี อ่า, มันก็ตั้งใจสร้างให้ดี ไม่ใช่สร้างเพื่อเอาเงินเดือน บอกแล้วว่าให้เงินเดือนน่ะมันเป็นขี้ฝุ่น เป็นเครื่องบูชาคุณอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา เงินเดือนอย่ามาอยู่บนหัวบนศีรษะของเราเลย เพราะว่าเราทำหน้าที่นี้เอาบุญ เงินเดือนไปเป็นขี้ฝุ่นอยู่ใต้ฝ่าเท้าคอยเลี้ยงชีวิตเรา ถ้านึกกันอย่างนี้แล้วก็จะสนุกในการทำงาน
ครูคนไหนถือหลักเป็นครูเอาบุญอย่างนี้แล้ว คนนั้นจะสนุกในการทำงานอยู่หน้ากระดานดำถือชอล์กอยู่น่ะมีความสุขที่สุด ไม่ต้องรอว่าเลิกเรียนแล้วไปอาบอบนวดไปที่นั่นที่นี่แล้วจึงจะมีความสุข อ้า, นั้นมันเป็นเรื่องสุขบ้าง สุขผีปีศาจ สุขบ้า สุขเร่าร้อน สุขเผารน ไอ้ความสุขที่แท้จริงนั้นมันคือความพอใจที่เกิดขึ้น เมื่อตนได้ทำหน้าที่ของตนที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ นั้นทุกคนควรจะมีความสุขอยู่ในขณะที่ทำงานเหงื่อไหลไคลย้อย อย่างชาวนาไถนาอยู่กลางแดดนี่ ไถนาอยู่กลางแดดนี่จะสุขในใจ พอใจที่ได้กระทำหน้าที่ของตนในฐานะที่เป็นชาวนา เป็นมนุษย์ประเภทหนึ่งซึ่งรับภาระหน้าที่อันนี้ เมื่อทำหน้าที่ของตนแล้วก็พอใจ รู้สึกเป็นบุญเป็นกุศลชอบใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองก็ยังได้ เพราะว่าได้ทำหน้าที่ของตน นั้นชาวนาคนนี้ไม่ต้องไปเที่ยวกามารมณ์สถานเริงรมย์ ไม่ต้องทำอบายมุขหาความสุขอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะความสุขอยู่ในการงาน ชาวสวนก็เหมือนกัน พ่อค้าก็เหมือนกัน กรรมกรก็เหมือนกัน ข้าราชการก็เหมือนกัน เมื่อได้ทำหน้าที่ของตนอยู่แล้วก็พอใจเป็นสุข นี่จิตใจมันสูงมากนะมันจึงจะรู้สึกอย่างนี้ได้
ถ้าจิตใจมันต่ำมันรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้ เช่นแมลงวันมันจะต้องไปกินของเน่าเสมอ ตามประสาของแมลงวันเป็นอย่างนั้น ไม่เหมือนแมลงภู่แมลงผึ้งที่ว่าจะไปกินของหอม เพราะใจมันต่างกัน นี้คนเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าใจมันต่ำมันทราม มันก็ไปหาของต่ำของทรามเป็นความสุข ถ้าใจมันสูงมันก็พอใจในไอ้ของสูงในความบริสุทธิ์สะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือบุญกุศล แล้วบุญกุศลเกิดทันทีเมื่อตนได้ทำหน้าที่ของตน เอ้า, ทีนี้คนมันจะมีใจต่ำใจสูงก็มันอยู่ที่ครูอีกนั่นแหละ แต่ครูมันสอนคนให้ใจต่ำหรือใจสูงได้ ไม่สอนหรือสอนผิดๆ ลูกศิษย์ก็ใจต่ำหมด สอนดีสอนจริงสอนถูกต้องลูกศิษย์มันก็ใจสูง ก็เป็นพลเมืองที่มีจิตใจสูง มันก็ไม่ต้องหาความสุขอย่างสกปรกคืออบายมุขทั้งหลาย ไปดื่มน้ำเมาไปเที่ยวกลางคืนไปดูการละเล่น ไปเล่นการพนันไปคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นคนสำรวยไม่ชอบทำการงาน นี่ก็เรียกว่าอบายมุข ก็มีความสุขกันนักน่ะอบายมุข คือของเลวทรามของรนเป็นสุขกันนัก เงินเดือนออกก็เอาไปซื้อเหล้ากิน มันได้ประโยชน์ที่ตรงไหน มันก็ทำให้ตายเร็ว เอาไปซื้อบุหรี่สูบ มันก็คือเอาควันไฟเข้าไปรมปอด ทำให้มันตายเร็ว ก็สมน้ำหน้ามันคนโง่ วันหนึ่งเด็กนักเรียนมาที่นี่หลายร้อยคน อาตมาถามว่าเด็กทั้งหลายนี่อยากให้คุณครูสูบบุหรี่ไหม ใครอยากให้คุณครูสูบบุหรี่ยกมือ เด็กเหล่านั้นไม่ได้ยกมือแม้แต่สักคนเดียว พออาตมาเอามาถามอีกใหม่ว่าเด็กคนไหนอยากให้คุณครูไม่สูบบุหรี่ยกมือ แหมยกกันหมดเลย นี่เด็กๆเป็นอย่างนี้น่ามาบอกครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เดี๋ยวนี้อย่างนี้นะ แม้แต่เด็กๆเขาก็ยังต้องการอย่างนั้น ไม่ให้คุณครูโง่ถึงขนาดไปเอาควันไฟรุมปอด ด้วยบุหรี่ อ่า, ซองละ ๘ บาท ๑๐ บาท แล้วเงินเดือนไม่พอใช้ แล้วก็บอกว่าถ้าเพียงแต่งดบุหรี่กับเหล้าอย่างเดียวนี่ เงินเดือนที่ไม่พอใช้มันจะพอใช้ขึ้นมาทันที
ทีนี้มันยังมีเรื่องอื่นอีกมาก โน่นดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน คือมันเป็นอยู่ด้วยส่วนเกินที่ไม่จำเป็นสำหรับชีวิต ถ้าเลิกส่วนเกินเถอะ อะไรที่มันเป็นเรื่องเกิน อ่า, ชีวิตไม่ต้องการ ธรรมชาติของชีวิตไม่ต้องการ เราเรียกว่าส่วนเกินอย่าเอาเลย เหล้าเป็นส่วนเกิน บุหรี่เป็นส่วนเกิน แต่งเนื้อแต่งตัวบ้าๆบอๆมันก็เป็นส่วนเกิน กินมากกินดีกินสูงกินไอ้คำละ ๑,๐๐๐ บาทมันก็เป็นเรื่องบ้า มีเครื่องใช้ไม้สอยก็ต้องเอาแพงเอาทอง รถยนต์คันละ ๑๐,๐๐๐ บาทมันขี่ไม่ได้มันต้องมีรถยนต์คันละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท นี่มันเป็นคนบ้า มันเป็นหลงส่วนเกิน มันก็ทรมานตัวเองให้เดือดร้อน เหมือนกับตกนรก นั้นถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็ไม่เอาส่วนเกิน ถือว่าไปเอาส่วนเกิน ไปแตะต้องส่วนเกิน ก็คือบาป บาปเลยต้องเดือดร้อน ศีลอุโบสถศีล ๘ นั่นแหละ พระพุทธเจ้าได้ตรัสขึ้นไว้ เป็นเรื่องตามรอยพระอรหันต์ อย่าไปเอาส่วนเกิน ไอ้ศีล ๕ นั้นก็ต้องถือไว้แล้ว เป็นหลักไว้ถือเป็นๆๆหลักตลอดเวลา มันก็อยู่ในพวกที่ว่าไม่เอาส่วนเกินเหมือนกัน แต่เราถือสิทธิมากเกินไป ไปฆ่าเขาไปตีเขานี้มันก็เป็นเรื่องเกินในการถือสิทธิ ถ้าเราไม่เอาเราถือสิทธิมากเกินไป ของของใครเราไม่เอามาเป็นของเราถืออำนาจบาตรใหญ่นี่ก็ใช้สิทธิเกิน ล่วงเกินเหมือนกัน เราก็ไม่เอาของรักของพอใจของผู้อื่น เราไม่ไปล่วงละเมิด เพราะมันเกินเราก็ไม่เอา เราไม่โกหกที่มันรุกล้ำสิทธิอันชอบธรรมของผู้อื่น มันก็เกิน เราไม่กินเหล้าเพราะเหล้ามันเป็นส่วนเกิน มันประทุษร้ายสติปัญญาของเราเอง ธรรมชาติไม่ต้องการ เราก็ไม่เอา นี่ศีล ๕ นะลองไปคิดดูเถอะ อย่าไปแตะต้องมันดีกว่า มันเป็นเรื่องเกิน
ทีนี้พอมาถึงส่วนของศีล ๘ เพิ่มมาอีก ๓ ข้อ ไม่กินอาหารส่วนเกิน อาหารที่ดีเกิน แพงเกิน มากเวลาเกิน จะนอนแล้วก็ยังไปซื้อมากินอีก นี่เลิกเถอะเลิกอาหารส่วนเกิน แล้วก็ข้อ อ้า, ข้อที่ ๗ น่ะ การฟ้อนรำ ขับเพลง ดีดสีตีเป่า เอ่อ, ประดับประดาตกแต่งซึ่งมันไม่จำเป็นโดยธรรมชาติเรียกว่าเป็นส่วนเกินอย่าเอาเลย เอ่อ, แล้วก็ที่นั่งที่นอนสูงใหญ่อันสูงใหญ่ เครื่องใช้ไม้สอยอันสูงใหญ่ เครื่องอุปกรณ์บ้านเรือนที่สูงใหญ่น่ะไม่เอา เพราะมันเกิน ส่วนเรื่่องคอข้อที่ ๓ เปลี่ยนกาเมเป็นอพรหมนะก็เรียกว่ากิจกรรมทางเพศนั้นไม่ต้องทำทุกวัน เว้นเสียบ้างมันเป็นส่วนเกิน ก็เรียกว่าไม่เอาส่วนเกินไม่แตะต้องส่วนเกินก็ดีนะ ก็ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น คือมันไม่แพงเกิน มันไม่หมดเกิน มันไม่ทรมานจิตใจเกิน มันไม่ส่งเสริมกิเลสเกิน มันก็อยู่กันสบาย ศีล ๘ ศีลอุโบสถนี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียกว่าเป็นการตามรอยพระอรหันต์ คือไปหาความสงบสุข นั้นอย่าถือกันอยู่แต่ศีล ๕ เลย วันไหน อ้า, เหมาะๆเหลือเกิน ถือศีล ๘ ศีลอุโบสถกันบ้าง มันก็จะดีขึ้นเร็ว คือยิ่งถือศีล ๘ ศีลอุโบสถแล้ว มันก็ไม่แตะต้องส่วนเกิน
ขอให้ถือเป็นหลักไว้สักอย่างหนึ่งว่า ไอ้สิ่งส่งเสริมความเอร็ดอร่อยนั้น เป็นส่วนเกินธรรมชาติแท้ๆชีวิตไม่ต้องการส่วนเกิน คือไม่ต้องการให้อร่อย เรื่องอร่อยนี่คนมันพบทีหลัง แล้วมันโง่มันบ้ามันหลงไปบูชาความเอร็ดอร่อย ปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่า ไอ้เครื่องแต่งรสชูรสปรุงรสสมัยนี้น่ะ สมัยนี้ซึ่งไม่มีสมัยโน้นน่ะ นี่เป็นของทำให้เกิดส่วนเกินจะระบุไปยังไอ้น้ำจิ้มทั้งหลายที่คุณรู้จักกันนั้น ไอ้น้ำจิ้มถ้วยเล็กๆที่เขาเอามาวางก่อนที่โต๊ะอาหารนั้นแหละ ระวังให้ดีเถอะเพราะมันเป็นเสือบ้าจะกัดเอา เพราะมันทำให้กินมากเกิน ถ้าอย่ามีน้ำจิ้มชนิดนั้นเราจะกินแต่พอที่ร่างกายมันต้องการน่ะ แต่พอไปจิ้มน้ำจิ้มเข้าไปอีกกินได้อีกหลายคำ มันๆเรื่องหลอกอย่างนั้น เพราะนั้นไอ้น้ำจิ้มเครื่องชูรสทั้งหลายน่ะ เป็นเครื่องทำให้กินส่วนที่เกิน ถ้าเราไม่มีไอ้สิ่งหลอกอย่างนี้ เราจะไม่กินเกิน เราจะกินข้าวหรือกินผักกินกับอะไรแต่พอดี ไม่เกิน พอไปปรุงรสใส่มะนาวใส่น้ำตาลใส่พริกไทย ไอ้น้ำจิ้มทั้งหลาย มันก็กินเกินกว่าที่ควรจะกิน นี่เรามันๆโง่ให้แก่ใครก็ไม่รู้ ที่รู้อยู่ก็คือโง่ให้แก่เจ้าของร้านที่ขายอาหารนั่นแหละ เขาทำให้เรามันต้องกินมากกว่าที่ควรจะเป็น นี่บาปอันลึกซึ้ง อ่า, ของมนุษย์คือมาหลงในรสอร่อยที่ทำให้กินเกิน แต่งเนื้อแต่งตัวเกิน เครื่องใช้ไม้สอยเกิน
นี่ลองคิดดูเถอะเสื้อนี่เราไม่ต้องทำให้มันสวยหรอก มันธรรมดาๆมันหนาๆทนๆก็ได้ ไม่ต้องไปเสียค่าทำให้มันสวย แต่เรามันชอบอร่อยทางตาทางสวย เราก็ยอมเสียเงินแพงๆซื้อเสื้อสวยๆ ประดิดประดอยตกแต่งกันสวยๆ จนครูหนุ่มครูสาวเปิดแคตตาล็อคกางเกงยีนส์ แทนหนังสือวิชาครูเห็นไหม แทนที่จะเปิดหนังสือวิชาครูดันมาเปิดแคตตาล็อคกางเกงยีนส์ แคตตาล็อคเสื้อผ้าอย่างนั้นอย่างนี้ นี่เพราะว่ามันชอบอร่อยทางตา มนุษย์ตามธรรมชาตินี่มันก็เหมือนกับสัตว์ทั้งหลาย เช่นควายกินหญ้านี่ เขาไม่ต้องเติมเกลือไม่ต้องเติมปรุง เอ้อ, สิ่งชูรส มันก็กินหญ้าพออยู่ได้น่ะ สัตว์ทั้งหลายมันกินอาหารตามที่มันจะอยู่ได้ มันไม่ต้องเติมสิ่งชูรส มนุษย์เราก็เหมือนกัน เมื่อสมัยแรกเป็นมนุษย์ขึ้นมาในโลกเป็นคนป่าน่ะ มันก็กินผลไม้อย่างกับสัตว์หรือมันไปได้เนื้อสัตว์มา ไปฆ่าสัตว์ได้เนื้อสัตว์มามันก็กินดิบๆ แล้วมันจะกินได้เท่าไหร่ลองคิดดู ได้สัตว์มาตัวหนึ่งแล่เนื้อกินดิบๆมันก็กินไม่ได้เท่าไหร่หรอก มันหาความอร่อยยาก มันก็กินเท่าที่ท้องมันหิวแล้วมันก็อิ่ม เมื่อท้องมันหายหิว นี้บังเอิญต่อมามนุษย์พบไฟ รู้จักใช้ไฟย่างเนื้อให้สุก มันเลยอร่อยกว่า มันเลยกินมากกว่าเมื่อกินเนื้อดิบ ต่อมามนุษย์มันพบเกลือหรือพบ เอ้อ, ของเปรี้ยวมาๆจิ้มเนื้อที่ย่าง แล้วมันอร่อยกว่ามันกินมากไปกว่าที่ไม่มีเกลือ ไม่มี เอ้อ, ของแต่งรส นี่มนุษย์เริ่มหลงในความเอร็ดอร่อยจนปรุงนั่นปรุงนี่ แล้วเขาก็เรียกมันว่าวัฒนธรรม อาตมาเห็นว่าเป็นเรื่องบาปน่ะ ไอ้วัฒนธรรมแบบนี้นี่มันเป็นเรื่องบาป กินอร่อยยิ่งๆขึ้นไป ปรุงให้สวยให้งามล่อหลอกให้กินมากนี้ มันเป็นเรื่องบาปไม่ใช่เรื่องบุญ บาปที่ว่าคนๆแรกมันหลงเนื้อย่างสุขกินมากกว่าเนื้อดิบ เนื้อจิ้มเกลือกินมากกว่าเนื้อไม่จิ้มเกลือ น้ำส้มรสเปรี้ยวรสเผ็ด เอ่อ, มันก็ตามขึ้นมา มันก็กินเนื้อมาก มันจึงเป็นโรคเพราะกินเนื้อมาก หาความสุขไม่ได้อยู่เดี๋ยวนี้ นั้นเราระวังเถอะ อย่าให้มันถูกหลอกด้วยความโง่ของเราเอง ไปหลงบูชาในความเอร็ดอร่อย แล้วมันก็ทำเกิน อาหารการกินเยอะไป นี่เป็นเรื่องเกิน
เรื่องนุ่งเรื่องห่มก็กลายเป็นเรื่องเกิน เรื่องที่อยู่อาศัยเครื่องใช้ไม้สอยก็เป็นเรื่องเกิน แม้แต่เรื่องหยูกยา อ้า, เครื่องบำบัด อ้า, โรคนี่มันก็ยังเกิน มันเป็นไปในทางเกิน เรียกว่าปัจจัย ๔ ของมนุษย์มันเริ่มเกินๆๆ เดี๋ยวนี้เขาผลิตไอ้ของสวยงามยั่วยวนเป็นอุตสาหกรรมเป็นอะไร อ่า, คนก็หลงใหลในเรื่องสวยงามเอร็ดอร่อย ไม่ๆรู้สึกว่าเกิน มันก็ไม่พอ เงินเดือนมันก็ไม่พอใช้น่ะ ทุกคนเงินเดือนจะไม่พอใช้ ให้ครูมีเงินเดือนๆละ ๑๐,๐๐๐ เดือนละ ๒๐,๐๐๐ มันก็ไม่พอใช้นะ เพราะส่วนที่ทำให้เกินมันยังมีอีกมาก นั้นเราอย่าไปหลงเป็นทาส อ่า, ของไอ้ความหลอกลวงเรื่องส่วนเกิน เงินเดือนมันก็จะเหลือใช้ แล้วเราไปอิ่มอยู่ด้วยบุญกุศลได้ทำหน้าที่ของครูแล้วก็อิ่มอยู่ด้วยบุญกุศลในการทำหน้าที่ของครู ไม่ต้องมาอิ่มด้วยเรื่องไอ้สวยๆงามๆเอร็ดอร่อยทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย ทางที่เรียกว่าทางอายตนะ คือทางกิเลสน่ะไม่ต้อง ไปทำเข้ามันก็ทรมาน มันทำให้ร้อน มันทำให้เป็นทุกข์ มันทำให้เงินเดือนไม่พอใช้เสมอล่ะ นั้นอาตมาจึงพูดวันนี้ว่าเรามาเป็นครูเอาบุญกันเถิด ไม่ต้องเป็นครูเอาเงินเดือนล่ะ เงินเดือนไม่ไปไหนเสียมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าเราเองแหละ เราเป็นครูเอาบุญกันเถิด เงินเดือนมันวิ่งมาอยู่ใต้ฝ่าเท้า ถ้าเราไม่เป็นครูเอาบุญ เป็นลูกจ้างสอนหนังสือ เอ่อ, เงินเดือนมันก็มาอยู่บนหัวเราแหละ แล้วบังคับเราให้ออกใบสุทธิปลอมบ้างอะไรบ้างนั่นแหละ คิดๆดูซิเป็นครูเอาบุญนะกันมันผิดกันอย่างไรกับเป็นครูเอาเป็นลูกจ้างสอนหนังสือ นั้นจึงหวังว่า อ่า, ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะฟังอาตมาพูดนี้เข้าใจ แล้วอาตมาก็พูดได้แต่ตรงๆอย่างนี้น่ะ พูดอ้อมๆค้อมไม่ได้แล้วก็ยังถือวิสาสะอีกสักหน่อยว่าอาตมาก็เป็นครู ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเรียกว่าเป็นครู เพราะว่าพระพุทธเจ้าเป็นบรมครู เอ่อ, ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเป็นครูลูกน้องขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า เราก็เรียกว่าเราเป็นครูเหมือนกันเพราะว่าเรามีความชอบธรรมหรือมีเสรีภาพที่จะพูดเพื่อความถูกต้องของความเป็นครู อ่า, จึงได้พูดกับท่านทั้งหลายอย่างนี้ จะมาชักชวนกันว่ามาเป็นครูเอาบุญกันเถิด จะได้มีสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ไม่ต้องสังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ หรือทบวงอะไรที่กำลังยื้อแย่งจะเอากันให้ได้น่ะ นั่นมันเป็นเรื่องของมนุษย์มากเกินไปเป็นครูสังกัดพระพุทธเจ้ากันเถิด แล้วก็ได้บุญ ซึ่งมีราคามากกว่าเงินเดือน และไอ้เงินเดือนที่เป็นสังกัดของชาวบ้านนี่มันก็ไม่ไปไหนเสียล่ะ มันก็มาอยู่ที่หน้าที่ตามหน้าที่ของมันเหมือนกัน นั้นจึงหวังว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็จะรับฟังเรื่องนี้ด้วยจิตใจที่เป็นธรรม คือปกติน่ะ ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องด่าว่าหรือไม่เห็นว่าเป็นเรื่องประจบประแจงอะไร ครูมีอาชีพที่ได้บุญนี้แน่นอน เป็นอาชีพที่ได้บุญ ขอให้พอใจ แล้วก็ทำให้มันสมกันน่ะ ได้บุญอยู่ที่หน้ากระดานดำถือชอล์กสอนนักเรียนอยู่หรือว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม เป็นเวลาที่ได้บุญ พอใจที่ว่าตัวได้ทำหน้าที่ในโลกที่ได้บุญ ไหว้ตัวเองได้เพราะว่าได้ทำบุญ แล้วก็ไม่ไปเป็นทาสของกิเลส เอ่อ, ไม่ใช้เงินเพื่ออบายมุขอีกต่อไป เพราะหมดตัวก็หมดปัญหาแล้วอาตมาก็เห็นว่าเป็นการพูดที่สมควรแก่เวลา ก็ขอฝากความหวังไว้ว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จงได้ทำหน้าที่ของตนให้สมกับคำว่าครู คือผู้นำทางวิญญาณหรือความหมายที่ลึกไปกว่านั้นก็คือผู้เปิดประตูคอกที่ขังสัตว์ไว้ในกองทุกข์ ให้หลุดออกมาเสียจากกองทุกข์ ก็ได้บุญแน่ๆ
ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนจง อ่า, ได้ประสพความสำเร็จ อ่า, สูงสุดในหน้าที่การงานของตน คือความเป็นครูนั่นเอง ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้อยู่เพียงเท่านี้ ใครรู้สึกอย่างไรบ้าง คงจะไม่เคยนั่งกลางดินอย่างนี้ เพราะต้อนรับด้วยเก้าอี้ต้อนรับด้วยอะไรต่างๆ ที่นี่ให้นั่งกลางดิน ครูผู้ยกสถานะทางวิญญาณต้องนั่งกลางดิน ต้องนั่งกลางดินจำไว้อย่าไปคิดนั่งบนตึกบนอาคารราคา ๑๐๐,๐๐๐ ราคา ๑,๐๐๐,๐๐๐ หรือจะไปอยู่บนสวรรค์วิมานที่ไหน มันต้องนั่งกลางดินมันถึงจะยกจิตใจของไอ้ลูกเด็กๆขึ้นไปได้ กลางดินนี้มันมีความหมายมากพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อนั่งกลางดิน พระพุทธเจ้าสอนเมื่อนั่งกลางดิน พระพุทธเจ้านิพพานน่ะก็เมื่อนั่งเมื่อนอนกลางดิน นี่ดินนี้เป็นที่เกิด ที่ตรัสรู้ ที่ตาย ที่อะไรของพระพุทธเจ้า เราลองพอใจในการนั่งกลางดิน พอได้นั่งกลางดินก็นึกถึงพระพุทธเจ้า นี่ความเป็นครูก็จะสมบูรณ์ทันที ถ้าเป็นอิสลามก็นึกถึง เอ่อ, พระมูฮัมหมัด อะไรก็ได้เหมือนกันแหละไปดูเถอะ พระศาสดาทุกองค์น่ะเรียกว่าอย่างน้อยก็ตรัสรู้กลางดินกันทั้งนั้นแหละ พระเยซู พระมูฮัมหมัด พระอะไรก็สุดแท้แต่ ก็ตรัสรู้กลางดิน อยู่กลางดิน ชีวิตกลางดิน ไม่มีสตางค์สักสตางค์หนึ่งด้วยกันทั้งนั้นน่ะ นี้เราดีเกินไปสร้างปัญหาที่ไม่ควรจะมี เช่นเอาควันไฟรมปอด เป็นต้น นี่โปรแกรมของคุณมีอย่างไรต่อไปนี้ หือ ถัดจากนี้โปรแกรมอย่างไร ที่จะทำต่อไป กลับไปที่พัก