แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีหัวข้อ อ้า,ที่ข้องใจไหม หรือว่าอะไรก็ได้ ท่านที่เป็นครู อาจารย์ทั้งหลาย บัดนี้เรามาประชุมกันที่นี่ เพื่อทำความเข้าใจ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับความเป็นมนุษย์ ไม่มีธรรมะแล้วก็ไม่มีความเป็นมนุษย์ เพราะว่าความเป็นมนุษย์มีได้เพราะธรรมะ เพราะว่าธรรมะทำให้เกิดความแตกต่างจากสัตว์และก็มาเป็นมนุษย์ มนุษย์จึงต้องมีธรรมะ แล้วก็จะได้เป็นโลกของมนุษย์ ที่แท้จริงแล้วก็จะหมดปัญหา เดี๋ยวนี้ดูเถิดทั่วๆ ไป เต็มไปด้วยปัญหา กล่าวคือ การประพฤติกระทำ ชนิดที่มนุษย์ไม่ควรจะทำต่อกัน มันเต็มไปด้วยสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรจะกระทำต่อกัน ปรากฏเป็นข่าวทั่วๆ ไป ในสื่อมวลชน เช่นหนังสือพิมพ์เป็นต้น ถ้ามนุษย์กระทำต่อกันอย่างถูกต้องของความเป็นมนุษย์ ปัญหาเหล่านี้ก็ไม่มี นี่สรุปสั้นๆ เรียกว่า คือไม่มีธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ ในโลกปัจจุบันนี้ ครูก็เป็นพวกหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้ธรรมะมีอยู่ในโลกนี้ พระพุทธเจ้าท่านเป็นบรมครู อย่างที่เราทราบกันอยู่ดีแล้ว นั่นก็คือท่านเป็นผู้ที่ประสิทธิ์ประสาท ไอ้ความรู้เรื่องธรรมะให้แก่คนในโลก เป็นอันว่าเราพูดกันถึงธรรมะนี่ มันมีเหตุผลที่จะต้องพูดกัน ไม่ใช่มาทำให้เสียเวลา สิ่งที่เรียกว่าธรรมะแท้ๆ นี้ ก็ยังยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะมองเห็นตัว คือมันเป็นนามธรรม แต่ถึงจะเป็นนามธรรม มันก็เข้ามาเกี่ยวข้องกับวัตถุธรรม มันก็เลยมีเรื่องที่จะต้องประพฤติให้ถูกต้อง ทั้งทางนามธรรมและทางวัตถุธรรม พูดอย่างเอาเปรียบ สั้นๆ ก็ว่า ไอ้ธรรมะนี้มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เกี่ยวกับ อ้า, ธรรมชาติ มีอยู่โดยธรรมชาติ เราใกล้ชิดธรรมชาติเท่าไร ก็ง่ายที่จะรู้เรื่องธรรมะเท่านั้น อ้า,เพราะธรรมะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ แม้ที่สุดแต่เรื่องข้างนอกนี่ อย่างเรามานั่ง กันที่ตรงนี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือนั่งกับพื้นดิน นี่มันยังใกล้ชิดธรรมชาติกว่าที่จะนั่งในตึกเรียน พูดกันกลางดินอย่างนี้ ได้ผลกว่าพูดกันบนตึกเรียนที่สวยที่แพง เพราะว่าคนมันมีจิตใจอย่างหนึ่ง เมื่อมานั่งกับธรรมชาติอย่างนี้ ไอ้คนมันมีจิตใจอีกอย่างหนึ่ง คนที่มีจิตใจอย่างที่มานั่งที่นี่ มันง่ายที่จะเข้าใจธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติ เพราะนั่งกลางดินนี่นั่งตามธรรมชาติ นั่งกับต้นไม้ นั่งกับก้อนหิน นั่งในบรรยากาศที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ถูกรบกวน เพราะฉะนั้นจิตจึงเข้าใจธรรมะได้ง่ายกว่า อีกประการหนึ่ง อ้า, ในทางจิตใจขอให้ระลึกไว้ทุกคราวไป ที่ได้นั่งกลางดิน คือ ทำพุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่ประสูติกลางดิน ตรัสรู้ก็กลางดิน นิพพานก็กลางดิน กว่าจะนิพพานหลังจากตรัสรู้แล้ว ก็ล้วนแต่สั่งสอนอยู่กลางดิน เป็นอยู่ด้วยชีวิตแบบกลางดิน เช่น กุฏิก็พื้นดิน ง่ายที่สุด ไปดูได้ อ้า, ตามซากที่เหลืออยู่ เป็นเจ้า เป็นนาย เป็นกษัตริย์ แต่แล้วก็มาประสูติกลางดิน ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่งที่สวนลุมพินี ตามประวัติเป็นอย่างนี้ ตรัสรู้ก็นั่งกลางดิน ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่ง ริมลำธาร ริมแม่น้ำ แล้วก็ยังนิพพานกลางดิน เพียงแต่สาม ไอ้กาละนี้ ก็มากพอแล้ว ที่เราจะระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า พอใจในการนั่งกลางดิน เอามือจับดินดู เป็นเครื่องระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ประเดี๋ยวนี้เราได้นั่งบนที่นั่งที่นอน ที่ประทับนั่ง ประทับนอน อ้า, ของพระพุทธเจ้า นี่แหละเราจึงจัดกันในรูปนี้ ต้อนรับท่านทั้งหลายผู้ที่มาศึกษาธรรมะในรูปแบบอย่างนี้ เพราะนั่งลงที่ดินจิตใจมันก็คงจะคล้ายดิน อย่างน้อยที่สุดก็นั่งลงที่ดิน จิตใจมันก็เกลี้ยงไปกว่าที่จะนั่งบนที่ๆ ผิดธรรมชาติ นี่เรียกว่าจิตใจมันพร้อมที่จะศึกษาธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติ ถ้าเราเรียกธรรมะว่า ศาสนา เป็นศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาอะไร อะไร ก็ได้เหมือนกัน แต่ฟังดูแล้วมันก็ไกลธรรมชาติ อันนี้เป็นการบัญญัติชื่อ กันทีหลัง แล้วก็ทำให้ยึดติดในชื่อ ยึดติดในบุคคลเจ้าของชื่อ เหมือนกับปิดบังธรรมชาติได้ ถ้าเราเรียกว่าธรรมะ มันยังเป็นธรรมชาติอยู่มาก ไม่เรียกว่าชื่อใคร อยากจะให้ผู้สนใจ จะศึกษาธรรมะนั้น เรียกว่าธรรมะก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสเรียกธรรมะด้วยชื่อนี้ คือชื่อว่าธรรมะ ไม่ได้ตรัสเรียกด้วยชื่อว่าศาสนา ศาสนาพุทธ ศาสนาของฉัน ศาสนาอะไร ทำนองนั้น ท่านใช้คำว่าธรรมะเฉยๆ เรา ศึกษาค้นคว้ากันมานานหนักหนาแล้ว หรือนานพอสมควรแล้ว พบว่า ควรจะแบ่งความหมาย อ้า, ของคำว่าธรรมะมาศึกษากันง่ายๆ เป็น ๔ ความหมาย คือ ตัวธรรมชาติ ล้วนๆ นี่ก็เรียกว่า ธรรม หรือ ธรรมะ เหมือนกัน ศึกษาเรื่องร่างกาย เรื่องส่วนประกอบของร่างกาย เรื่องจิตใจ เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทางจิตใจ ให้รู้เรื่องร่างกายและจิตใจดี อย่างนี้เรียกว่ารู้จักธรรมะในฐานะที่เป็นตัวธรรมชาติ แล้วศึกษาต่อไปถึงว่าทำไม ร่างกายนี้เกิดขึ้นได้เพราะเหตุอะไร เป็นอยู่อย่างไร เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ทำไมมันจึงเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ก็รู้ได้ว่ามันมีกฎอันหนึ่งของธรรมชาติ ที่ทำให้สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนไป ร่างกายจิตใจเปลี่ยนไป เพราะกฎของธรรมชาติ เช่น กฎเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่ก็ ทำให้ร่างกายจิตใจเปลี่ยนไป กฎเรื่องอิทัปปัจจยตา คือ การเปลี่ยนนั่น ต้องเปลี่ยนไป อย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น ตามรูปแบบของอิทัปปัจจยตา หรือว่าถ้าเกี่ยวกับความทุกข์และความดับทุกข์แล้ว ก็เป็นไปตามกฎ อ้า,ของอริยสัจ ๔ กฎเกณฑ์ของธรรมชาติเหล่านี้ มีประจำอยู่ในธรรมชาตินั้นเอง ไม่ใช่ตัวเดียวกับตัวธรรมชาติ นั่นอย่างหนึ่ง ตัวกฎของธรรมชาติที่ครอบงำไอ้ธรรมชาตินั้นก็เป็นอีกอันหนึ่ง เราเรียกส่วนนี้ว่า กฎของธรรมชาติ ในร่างกายนี้ก็หาพบ ทั่วไปหมด ตลอดเวลาว่ามันมีกฎธรรมชาติ ที่ทำให้ร่างกายมันเป็นอย่างนั้น อย่างนั้น และเป็นไปอย่างน่าประหลาด อัศจรรย์ที่สุด ทำไม หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงทำงานได้อย่างประหลาดที่สุด แล้วทำไมมันจึงต้องเกิดผลเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วแต่ว่าทำลงไปอย่างไร นี่เพราะว่ามันมีกฎเกณฑ์ของมันอยู่ ทีนี้ก็มาถึงส่วนที่ ๓ คือ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เราจะต้องปฏิบัติให้ถูก ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ สำหรับจะอยู่ด้วยความสงบสุข ถ้าเราปฏิบัติผิดกฎของธรรมชาติส่วนนี้ เราจะต้องเป็นทุกข์ มีเท่านั้นแหละ ปฏิบัติให้ถูกตามกฎเกณฑ์สำหรับจะเป็นสุข เราก็เป็นสุข ปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์สำหรับให้เกิดทุกข์ มันก็เป็นทุกข์ นี่เป็นตัวธรรมะที่สำคัญ ในความหมายที่สำคัญ คือ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วสุดท้ายก็คือผล นี่เกิดมาจากหน้าที่ เมื่อทำหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่แล้วย่อมจะมีผล ธรรมะนี้เป็นส่วนผลจากการปฏิบัติ แล้วแต่ว่าปฏิบัติอย่างไร เราต้องได้รับผลเป็นที่พอใจ เมื่อเราปฏิบัติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ในส่วนที่พึงปรารถนา เพราะฉะนั้นเราจึงได้คำสั้นๆ ๔ คำ สำหรับความหมายของธรรมะพยางค์เดียว ว่าตัวกฎของธรรมชาติ เช่น ร่างกาย จิตใจของเรา ว่าตัว เอ้อ, ว่าตัวธรรมชาติล้วนๆ เช่น ร่างกายจิตใจของเรา และว่ากฎของธรรมชาติ คือกฎธรรมชาติที่บังคับร่างกายจิตใจของเราอยู่ เป็นหน้าที่ที่เราต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎประจำวัน ตลอดไป แล้วก็ผลที่มันเกิดขึ้นในความเป็นอยู่ของเรา มันก็มีไปตามกฎนั่นแหละ นี่ท่านจะเห็นได้ว่า เรื่องของธรรมะนี้ เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องนิยาย งมๆ งายๆ บ้าๆ บอๆ หรือว่ามี ล้าสมัยแล้ว พ้นสมัยแล้ว หรือว่าไม่จำเป็นกับเราเลย นั่นนะคนโง่มันพูด มันจะล้าสมัยได้อย่างไรนะ เพราะว่าไอ้ตัวธรรมะก็คือตัวเนื้อหนังร่างกาย และกฎที่ครอบงำเนื้อหนังร่างกายจิตใจอยู่ และก็หน้าที่ที่เราจะต้องปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา ไม่ทำก็ไม่ได้ สุขทุกข์ของเราก็เป็นผลมาจากการปฏิบัติหน้าที่นั่นเอง มันเป็นเนื้อเป็นตัวซะเลยก็ว่าได้ แล้วมันก็อยู่ที่การปฏิบัตินั้นด้วย เราควรจะศึกษาให้เข้าใจแจ่มแจ้งเพื่อจะได้ปฏิบัติ ไม่ผิดพลาดแล้วจะได้ผล มันมีทั้งฝ่ายรูปธรรมและนามธรรม ฝ่ายรูปธรรมนี้ เอ้อ, มันเป็นเรื่องทั่วไป ไม่ต้องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้านักก็ได้ เป็นความรู้เกี่ยวกับร่างกายล้วนๆ ทั่วๆ ไป เพราะจะต้องกิน ต้องอาบ ต้องถ่าย ต้องพักผ่อน ต้องกระทำแก่ร่างกายอย่างไร ในทางฝ่ายวัตถุนี้ ไม่ต้องถึงกับว่าเป็นตัวพุทธศาสนาก็ได้ แต่ก็ยอมรับกันเอาไว้ในหลักของพระพุทธศาสนา โดยหลักกว้างๆ แต่เพียงว่า เราจะต้องประพฤติกระทำต่อสิ่งที่เรียกว่าร่างกายนี่ให้ถูกต้อง อย่าให้เป็นปัญหาขึ้นมา ให้ถูกต้องในที่นี้ กินความไปถึงว่า ให้ร่างกายนี้มันเหมาะสม สำหรับจะเป็นเครื่องรับใช้ หรือเป็นที่ตั้งอยู่อาศัยแห่งจิตใจ นี่ เมื่อร่างกายดีมีอนามัยเป็นต้น มันก็พร้อมที่จะเป็นที่ตั้งอยู่แห่งจิตใจที่ดี แล้วก็มีร่างกายและจิตใจที่ดีได้โดยง่าย แต่ถ้าเอากันโดยรายละเอียด แยกเป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไอ้นี่นะ เป็นต้น ก็ไปศึกษาจากวิชาแพทย์ ก็ได้ละเอียดกว่าที่จะมาหาจากตำรับตำราทางพุทธศาสนา แต่เอาเป็นว่ามันเนื่องกันอยู่นะ ไม่ ไม่ได้ตัดออกไป ทีนี้ก็มาถึงเรื่องทางจิตใจ ที่ลึกลับ ก็บังคับยาก ควบคุมยาก รู้จักได้ยาก ก็ต้องศึกษากันเป็นพิเศษ ทีนี้มันก็มีแง่ มุม ปม มาก เราจะไม่เอาแต่ทั้งหมด มันก็มากเกินไป เอาแต่ที่เกี่ยวกับปัญหาของมนุษย์ เอาแต่ที่เกี่ยวกันกับสันติภาพ หรือสันติสุขของมนุษย์ก็พอ ถ้าเราจะรู้ให้หมดให้สิ้น มันก็ ก็ ก็เสียเวลามากไป หรือมันเป็นเรื่องที่มากเกินไป ขอให้นึกถึงคำที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เรื่องที่พระองค์ตรัสรู้นั้นเปรียบเท่ากับใบไม้ทั้งป่า และเรื่องที่ทรงนำมาสอนนี่เท่ากับใบไม้กำมือเดียว ลองเปรียบเทียบดูเถอะ คือท่านจะสอนแต่เรื่องที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ มันก็คือเรื่องดับทุกข์นั่นเอง แต่จะพูดให้หมดทุกเรื่อง แม้จะเป็นเรื่องจริงมันก็มีมากจนเราจะลำบาก จนเราจะเรียนไม่ไหว แล้วก็ไม่ๆ ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น อย่ารู้ให้มากไปกว่าที่มันจะดับทุกข์ได้เลย ที่จริงเรียนเรื่องเกี่ยวกับจิตใจเท่าที่มันจะดับทุกข์ได้ ทั้งส่วนตัวเรา และส่วนสังคม คือเพื่อนมนุษย์ของเรา ธรรมะจึงมีความมุ่งหมาย ที่จะตัดปัญหาของมนุษย์ ทั้งในส่วนตัวและส่วนสังคม นี่เป็น เอ้อ, เป็นหัวข้อแรกที่สุด นี่จึงมีการศึกษาค้นคว้าในทางฝ่ายจิตใจ ซึ่งมันมีอำนาจเหนือวัตถุ คือมีอำนาจที่จะปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงวัตถุ ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เราจะยกเอาปัญหาเฉพาะหน้าขึ้นมาพูดกัน ว่ามันเป็นปัญหาที่จะต้องขจัดไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เรามีปัญหาอย่างไรบ้าง ปัจจุบันนี้ เอาตัว เอาของจริง เอาตัวจริง เรื่องจริง พูดกันก็แล้วกัน เพราะทั้งโลก มีแต่การกระทบกระทั่งที่เรียกว่าสงคราม เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ปรากฏให้เห็นบ้าง ไม่ปรากฏให้เห็นบ้าง ที่เรียกว่าสงครามใต้ดิน สงครามเย็นนี้ มีอยู่ในโลกนี้ ไม่ตรงนั้นก็ที่ตรงนี้ ตลอดเวลาเลย เรานั่งพูดกันอยู่อย่างสงบเย็นที่นี่ ในที่แห่งอื่นนั่นนะ ฆ่ากันตายเลือดแดงฉานไปเลย นี่กำลังทุกข์ยากลำบาก วิ่งหนีความตาย วิ่งหนีอาวุธอยู่ นี่เรียกว่าปัญหา อ้า, ของมนุษย์ที่เป็นส่วนรวม คือของโลกหรือระหว่างชาติ ก็คือสงคราม ซึ่งไม่มีผลเพียงว่าทำให้คนตาย แต่มันมีผลอย่างอื่น สืบทอดกันมาอีกหลายๆ อย่าง ทำให้เกิดความยุ่งยากลำบาก ในทางเศรษฐกิจของคนทั้งโลก เราได้รับความลำบาก ทั้งๆ ไม่มีส่วนแห่งการทำสงคราม แต่ได้รับผลสะท้อนที่สะท้อนออกมาจากการทำสงคราม มากมายหลายอย่างหลายแขนง นี่ก็เป็นปัญหา ทีนี้ แคบเข้ามา ภายในประเทศ เราก็มีปัญหาที่กระทบกระทั่งกันเองภายในประเทศ จะแยกดูเป็น ๒ สัก ๒ ชนิดก็ได้ คือระหว่างคนที่ไม่เรียกว่าอันธพาล เรียกว่านักศึกษา เรียกว่าผู้มีการศึกษา ปัญญาชนนี่ มันก็ยังกระทบกระทั่งฟัดเหวี่ยงอย่างจะกินเลือดกินเนื้อกัน เช่นการมุ่งมาด อาฆาต หวังทำลายร้างกันระหว่างพรรคการเมือง เพื่อจะขึ้นมาครองเมืองอย่างนี้ มันก็คือการกระทบกระทั่งกัน ระหว่าง คนที่เรียกตัวเองว่า ผู้มีปัญญาหรือเป็นนักศึกษา นี้ ต่ำลงไปมันก็มีอันธพาล คือคนพาล หรืออันธพาล ที่คอยทำความยุ่งยากลำบาก เป็นอันตรายแก่สาธุชนคนดี ทั่วๆ ไป ท่านก็ได้ข่าวอยู่ทั่วไปทุกวันถึงเรื่องอันธพาล เรื่องลัก เรื่องขโมย เรื่องปล้น เรื่องจี้ เรื่องข่มขืน เรื่องการข่มขืนแล้วฆ่า หรืออะไรก็ มันมี อ้า, ครบทุกอย่าง มากมายเกินที่เรานึก แปลกประหลาด และรุนแรงเกินกว่าที่เราเคยนึก จนหาที่ปลอดภัยไม่ได้แล้ว เดี๋ยวนี้ ก่อนนี้นะบ้านเรือน เมื่อเราเข้าไปอยู่ในบ้านเรือน ปิดประตูลงกลอนแล้วก็ปลอดภัย เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ปลอดภัย ในเมืองหลวงก่อนนี้มันปลอดภัย เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ปลอดภัย กลางวันแสกๆ บนรถประจำทางนี้ก็มีอันตรายขนาดปล้นจี้ หรือเลวร้าย นี่คิดดูเถอะว่ามัน มันเป็นปัญหา อ้า,สักเท่าไร แล้วการที่คนไม่เห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น ทำความเกะกะรุงรัง อย่างที่ว่า ทางเท้ามีไว้เดิน ก็ทำให้เกะกะไปด้วยการขายของอย่างนี้ ก็เรียกว่าเป็นปัญหา เพราะมันไม่สมควรแก่ความเป็นมนุษย์ มันไม่สมควรจะมี ถ้าจะเข้าใจธรรมะให้ง่ายขึ้น ก็จะต้องดูที่ตัวปัญหา ที่ว่าทำไมจึงต้องมีธรรมะนี่กันเสียก่อน ที่เป็นฝ่ายสังคมก็มีปัญหาอย่างที่ว่ามาแล้ว มันเนื่องด้วย ด้วยบุคคลอื่น มันกระทำผิดต่อกันและกัน นี่แหละปัญหาฝ่ายสังคม มีคนกระทำผิดต่อกันและกัน จำนวนน้อยจำนวนมากก็แล้วแต่กรณี ทีนี้ก็มาถึงปัญหาส่วนบุคคล คือว่าไม่ต้องมีใครมาทำให้ คนๆ เดียวก็ทำได้ คือทำผิดในทางความนึกความคิด แล้วมันก็เกิดสิ่งที่เรียกว่ากิเลส เผาลนคนเหล่านั้น ให้เร่าร้อนตามลำพังตนเอง ไม่ต้องมีใครมาเกี่ยวข้องมันก็ทำได้ เกิดโลภะเป็นไฟ เกิดโทสะเป็นไฟ เกิดโมหะเป็นไฟ ขึ้นมาเผาคนๆ นั้น นี่ก็เป็นความทุกข์ที่เป็นปัญหาส่วนบุคคล คนเดียว ไม่ต้องมีใครมาทำให้ แล้วมันก็ทนทุกข์นะ หนักเข้ามันก็เป็นโรคประสาทบ้าง หนักเข้ามันก็เป็นบ้า หนักเข้ามันก็ฆ่าตัวเองตาย แล้วฆ่าบุคคลที่เกี่ยวข้อง ด้วยนั้นตาย ซึ่งแท้ที่จริงมันก็ไม่ควรจะเกี่ยวข้อง เมื่อไม่นานมานี้ อาตมาก็อ่านหนังสือพิมพ์ เรื่องครูคนหนึ่งเขาอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ บ้านนั้นมีลูกสาว ลูกสาวเขาไม่รักครูคนนั้น เขาตกลงจะแต่งงานกับคนที่เขาต้องการ ครูคนนั้นเอาปืนมา แล้วก็ยิง ยิงสาวคนนั้นตาย แล้วก็ยิงตัวเองตาย เขารู้ดีว่ามันถึงที่สุด นี่มัน อ้า, มันเป็นอย่างไร มันสมกับความเป็นครูหรือไม่ แล้วมันเป็นครูมันยังทำอย่างนั้น และเดี๋ยวนี้ไอ้ความไม่มีธรรมะ มันมีมากขึ้นมาถึงอย่างนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อน ก็คงจะไม่มีเรื่องถึงกับอย่างนี้ ไม่รักก็แล้วไป คนอื่นก็ยังมี เดี๋ยวนี้ยังว่าเมียเป็นชู้นี่ เขาก็ยิงตายกันหมด ทั้งเมียทั้งชู้ ทั้งตัวเอง มันบ้ากี่มากน้อย ถ้าเป็นสมัยโบราณก็ช่างหัวมัน แล้วก็ไปแก้ปัญหาอย่างอื่น ไม่ต้องมายิงใครให้ตาย นี่ใครจะมีธรรมะมากกว่ากันในข้อนี้ ขอให้ลองคิดดู อย่าเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้โลกมันเจริญด้วยวิชาความรู้แล้วธรรมะมันจะมีมาก มันตรงกันข้ามเอาเสียเลย ไปคิดดูเถอะก็จะเห็น เดี๋ยวก็จะพูด ให้มองเห็น สมัยก่อนคนไม่ค่อยรู้หนังสือหรือไม่รู้เป็นส่วนมาก ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ๙๘ เปอร์เซ็นต์ ไม่รู้หนังสือ ก็ยังมีอาชญากรรมน้อยกว่าเดี๋ยวนี้ เมื่อเทียบส่วนตามเปอร์เซ็นต์ มันยังมีอาชญากรรมน้อยกว่านี้ เดี๋ยวนี้คนจะรู้หนังสือกันเกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มันก็เพิ่มอาชญากรรม มัน มัน มันไม่ขึ้นอยู่กับรู้หนังสือหรือไม่รู้หนังสือ อ้า, มันขึ้นอยู่กับที่มีธรรมะหรือไม่มีธรรมะต่างหาก ถ้ามันมีธรรมะแล้วไม่ต้องรู้หนังสือก็ได้ ในตึกหลังนี้ที่เรียกว่าโรงมหรสพทางวิญญาณนี่เรารวบรวมรูปภาพมาไว้สำหรับสอนธรรมะ ถ้าท่านทั้งหลายเข้าไปดู ก็ขอให้รู้สึกสักอย่างหนึ่งว่า คน ประชาชนไม่รู้หนังสือเขาก็ยังสอนธรรมะกันได้นี่ เขาเก่งกว่าเรา หรือเรารู้หนังสือมากแล้วเราสอนธรรมะกันไม่ได้ ทำให้คนมีธรรมะมากเท่าที่กับรู้หนังสือนั้นไม่ได้นี่ ไอ้ธรรมะกับเรื่องรู้หนังสือนี่มันคนละเรื่องกันอยู่จะต้องดูให้ดี ทีนี้ก็ดูต่อไปว่า ไอ้ธรรมะ เอ้อ, ที่จะทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ สังคมสงบ บุคคลสงบนั้น มันอยู่ที่เรื่องของจิตใจ แล้วก็เป็นเรื่องที่อาจจะน่าหัวก็ได้ คือเรื่องของธรรมะนี้ หัวใจ เอ้อ, แท้ๆ ของเรื่อง ของธรรมะทั้งหมด ของธรรมะทุกๆ ศาสนา มันกลายเป็นว่า มันขึ้นอยู่กับประโยคสั้นๆ นิดเดียว ว่า ความไม่เห็นแก่ตัว บางคนอาจจะโห่ฮาเลยก็ได้ ธรรมะอะไรมีเพียงเท่านี้ นี่ทั้งหมดนี้เป็นหัวใจของธรรมะของศาสนาได้อย่างไร หรือท่านทั้งหลายอาจจะเห็นว่าเรื่องนี้ได้ยินผ่านไปผ่านมา จนขี้เกียจจะฟังเสียแล้ว ความไม่เห็นแก่ตัว แล้วทำไมดี วิเศษ ขนาดถึงกับเป็นหัวใจของศาสนา แบ่งแยกออกเป็น ๒ ฝ่ายตามเคย คือฝ่ายสังคม กับฝ่ายบุคคลคนหนึ่งๆ ดังนั้น ถ้าเราไม่เห็นแก่ตัว ฝ่ายสังคม ผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัวมันก็รักผู้อื่น แล้วมันก็จะประหลาดยิ่งขึ้นไปอีกว่าคำว่ารักผู้อื่น ๓ พยางค์เท่านั้นแหละ มันพอ มันหมด กินความของธรรมะไว้หมด ถ้าเรารักผู้อื่น สังคมมันก็ไม่มีปัญหา มองดูก็เห็นได้โดยไม่ต้องเชื่อใคร มองดูเองก็เห็นได้เองว่ารักผู้อื่นแล้ว มันก็ฆ่ากันไม่ได้ การทำปาณาติบาตมันมีไม่ได้ เพราะมันรักผู้อื่น มันฆ่ากันไม่ได้ ถ้ารักผู้อื่นแล้ว มันก็ขโมย ถือเอา เอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ก็ไม่ได้ เพราะมันรักเขา มันจะไปขโมย ไปปล้น ไปจี้เขาได้อย่างไร ถ้ารักผู้อื่นแล้วประพฤติผิดกาเมในของรักของใคร่ของผู้อื่น บุตร ภรรยา สามีของผู้อื่นนี้ทำไม่ได้ เพราะมันรักผู้อื่น แล้วมันก็โกหกไม่ได้เพราะมันรักเขา แล้วก็ปล่อยตัวให้มึนเมา ให้ผู้อื่นคอยได้รับความยุ่งยากลำบากนั้นก็ทำไม่ได้ แล้วมันก็ช่วยเหลือผู้อื่น ตามที่ว่ามันจะมีความรักผู้อื่นมากน้อยเท่าไร ไปคิดดูสิว่ามันไม่มีการเบียดเบียน แม้แต่สักปรมาณูเดียว มีการช่วยเหลือกันเต็มที่ อย่างนี้สังคมทั้งโลกนี่มันก็อยู่กันเป็นผาสุก ไม่มีสงคราม ไม่มีการเบียดเบียน ไม่มีการเบียดเบียนภายในประเทศ ไม่มีการเบียดเบียนภายในครอบครัวหรือระหว่างบุคคล ลัทธิเลวร้าย เช่นลัทธิคอมมิวนิสต์ก็มีไม่ได้ ถ้ามันมีคำว่ารักผู้อื่น คุณไปศึกษาประวัติการเกิดแห่งคอมมิวนิสต์ดูว่า ที่นั่นมันกำลังไม่มีศาสนา ไม่มีธรรมะ ไอ้คนมั่งมีเอาเปรียบสูบ ดูดเลือดในคนยากจน มันจึงเกิดลัทธิต่อต้านขึ้นมาที่นั่น เวลานั้น ยุคนั้น เรียกว่า ลัทธิ ไอ้ มาร์กซิสต์ หรือคอมมิวนิสต์ ก็แล้วแต่จะเรียกนะ แต่มูลเหตุมันมาจากที่ตรงนั้น เวลานั้น ไม่มีความรักผู้อื่น ถ้าตรงนั้น มีความรักผู้อื่น เวลานั้น มีความรักผู้อื่น มันเกิดลัทธินี้ขึ้นมาในโลกไม่ได้ แล้วปัญหามันก็ไม่มี แล้วลัทธินี้มันก็อยู่ได้เรื่อยๆ มาจนบัดนี้ ร้อยกว่าปีมานี้ มันก็เพราะมันไม่มีความรักผู้อื่นเข้ามาแก้ไข ถ้าธรรมะมีขึ้น คนรักผู้อื่น คอมมิวนิสต์ตายหมด นี่ ก็ถ้านายทุนรักชนกรรมาชีพ ชนกรรมาชีพก็รักนายทุน เท่านี้ ไอ้คอมมิวนิสต์ก็ตายหมด คือมันเหลือเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์อยู่ไม่ได้ เพราะมันมีความรักผู้อื่น ก่อนนี้ เมื่อมีธรรมะ สมัยที่มีธรรมะ คนมั่งมีนี้เขาเป็นเศรษฐีใจบุญ ฟังให้ดีเอาความหมายให้ถูกต้องนะ คนมั่งมีที่มีธรรมะนั้นนะมันเป็นเศรษฐีใจบุญ ทีนี้ พอมันไม่มีธรรมะ เศรษฐีใจบุญก็กลายเป็นนายทุนกระดาษซับ นี่พูดด้วยอุปมา นายทุนกระดาษซับ ซับเป็นหยดสุดท้าย ไม่มีอะไรเหลือ คือสูบดูด เพราะมันไม่มีธรรมะ คือรักผู้อื่น ถ้าเบื้อง เอ้อ, ทางอีกฝ่ายตรงกันข้ามก็เหมือนกัน เมื่อไม่มีธรรมะ ไอ้คนจนก็เป็นชนกรรมาชีพผู้อาฆาตแก้แค้น คนจนทั้งหลายก็เป็นไอ้คนอาฆาตแก้แค้นมุ่งจะทำลายคนมั่งมี พอธรรมะเข้ามา ชนกรรมาชีพอัน อันอาฆาตมาดร้ายนั้นก็ไม่มี มันก็กลายเป็น ไอ้คนที่ เหมือนกับลูกกับหลาน พึ่งพาอาศัยคนมั่งมี มันก็เป็นพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง เขาเรียกกันว่าพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงคือคนมั่งมีที่เอื้อเฟื้อคนจนนี่ คนจนก็หยุดเป็นไอ้ชนกรรมาชีพผู้โหดร้าย ผู้อาฆาตมาดร้าย กลายเป็นลูกหลาน เป็นลูกบุญธรรมของคนมั่งมี เพราะว่าเขาประพฤติต่อกันด้วยความรัก ที่จริงเขาก็ควรจะมีความรักซึ่งกันและกัน เพราะมันเห็นอยู่ชัดๆ ว่า ถ้าไม่มี ไอ้ชนกรรมาชีพ หรือกรรมกร นายทุนก็ไม่มีแรงงานที่จะใช้งานทำงานได้ หรือว่าถ้าไม่มีนายทุน กรรมกรก็ไม่มีงานทำ ก็มองเห็นอยู่อย่างนี้ ไม่มีนายทุน กรรมกรจะเอางานที่ไหนทำ ไม่มีกรรมกร นายทุนจะเอาแรงงานไหนใช้ เพราะฉะนั้นมันจึงควรจะรักกัน สามัคคีกัน ร่วมมือกัน อย่างในสมัย หรือในถิ่นที่มีธรรมะ คนมั่งมีก็มีคนจนอาศัยอยู่ด้วย ทำมาหากินด้วยกันไป ไม่มีการเอาเปรียบ มันก็เลยรักกันเหมือนกับพ่อแม่ มันมีทาสชนิดหนึ่งยินดีอยู่กับนาย เพราะว่านายรักเหมือนลูกเหมือนหลาน นายจะเป็นเศรษฐี รักบ่าวไพร่กรรมกรเหมือนลูกหลาน ทำงานด้วยกัน กินด้วยกัน ไปวัดไปวาด้วยกัน และก็ช่วยกันหาเงิน หาทรัพย์มาสะสมไว้ให้มาก เพื่อจะเลี้ยงโรงทาน เพราะว่าเศรษฐีต้องมีโรงทาน แล้วก็ช่วยกันหาเงินมาไว้บำรุงโรงทานให้มันตั้งอยู่ได้ มันก็ยิ่งรักกันเพราะเป็นการประกอบกุศลด้วยกัน เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้หาเงินมาตั้งโรงทาน ถ้าเขาได้เงินมา เขาก็เอามาใช้เป็นทุน เพิ่มทุน สำหรับเป็นนายทุนกระดาษซับให้มันมากยิ่งขึ้นไปอีก มันต่างกันอย่างนี้ ดังนั้น ขอให้มองเห็นว่า ถ้าว่าไอ้ความรักผู้อื่นมันเข้ามา ปัญหานี้ก็จะหมดไป เรียกว่า คอมมิวนิสต์ตายหมด เพราะธรรมะข้อเดียวคือความรักผู้อื่น นี่ความรักผู้อื่นนี่ถ้าคุณไปศึกษาในศาสนา หลักทุกศาสนาก็จะพบว่า ทุกๆ ศาสนามีหัวใจแห่งคำสอนทางสังคมอยู่ที่รักผู้อื่นทั้งนั้นแหละทุกศาสนา ไอ้รักผู้อื่นนี่คือหัวใจของศาสนาทุกศาสนา เพราะฉะนั้น เรามองเห็นได้ด้วยตัวเองว่าไอ้ศาสนานี่มิใช่ยาเสพติด อย่างที่คอมมิวนิสต์เขาว่า แต่ว่าศาสนานี่เป็นยาพิษสำหรับฆ่าคอมมิวนิสต์ให้ตายหมด พวกคอมมิวนิสต์เขาว่าศาสนาเป็นยาเสพติด หลอกให้ประชาชนโง่เขลา งมงาย เป็นการถ่วงความเจริญ เป็นการฝังคนทั้งเป็นให้ติดอยู่ที่นั่น เป็นยาเสพติด แล้วมันก็ไป เล็งถึงศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนา ไม่ใช่ศาสนาที่แท้จริง หรือเป็นศาสนาที่ในระยะเสื่อม ระยะเปลี่ยนแปลง จนมันไม่เป็นศาสนา ไม่มีหลักแห่งพระศาสนา เจ้าหน้าที่ทางศาสนาก็กำลังขบถต่อศาสนา ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ ขายบัตรเบิกทางไปสวรรค์อย่างนี้ มันก็เป็นศาสนายาเสพติดเหมือนคอมมิวนิสต์เขาว่า แต่ถ้ามันเป็นศาสนาที่ถูกต้อง มันมีหัวใจอยู่ที่รักผู้อื่นแล้ว ศาสนาก็คือยาพิษสำหรับจะฆ่าคอมมิวนิสต์นั่นเอง คือนายทุนรักชนกรรมาชีพ ชนกรรมาชีพรักนายทุน เลิก เลิกเป็นนายทุน เลิกเป็นชนกรรมาชีพ ให้มากลายเป็นผู้ที่ร่วมมือกันทำสิ่งที่ควรจะทำตามหน้าที่ของมนุษย์ ปัญหาเรื่องคอมมิวนิสต์ก็หมดไปเอง ดังนั้น หัวใจพระศาสนาคือธรรมะข้อเดียว ว่ารักผู้อื่น แล้วคำว่ารักผู้อื่นนี่มีคำแทนกันได้ คือว่าไม่เห็นแก่ตัว ถ้าทุกคนในโลกไม่เห็นแก่ตัวก็มีความรักกัน แล้วปัญหาก็หมดไป โลกนี้ก็เป็นสุข สบายเหมือนกับโลกพระศรีอารย์ โลกพระศรีอริยเมตไตรย์นั่นนะ คือโลกที่เต็มไปด้วยความรักผู้อื่น เพราะว่าไอ้คำว่า เมตไตรย์ เมตไตรย์ นี่มันแปลว่า รักผู้อื่น มันคือเมตตานั่นเอง เมตตา ความรักในรักผู้อื่น เมตไตรย์ เมตไตรยะ นี่ คือเนื่องอยู่กับเมตตา เมตไตรย์คือเนื่องกันอยู่กับเมตตา ศรีอารยะนี้มันประกอบให้มันมีน้ำหนักมากหรือสูงขึ้นไป ฉะนั้น คำว่า ศรีอริยเมตไตรย์ ก็หมาย ก็แปลความตามตัวหนังสือนั้นว่ารักผู้อื่นสุดเหวี่ยง ปัญหาก็หมดไปในสังคม ทีนี้มาดูอีกซีกหนึ่ง ส่วนบุคคลแท้ๆ คนหนึ่ง คนหนึ่ง ถ้าเขารักผู้อื่นได้ก็หมายความว่าเขาทำลายความเห็นแก่ตัว ความรู้สึกที่เป็นตัวกู ของกู นั่นแหละคือความเห็นแก่ตัว เมื่อรักผู้อื่น ไอ้ความรู้สึกตัวกู ของกู มันก็ ถูกทำให้ถอยกำลัง ที่ลดลง ลดลง ลดลง ความเห็นแก่ตัวลดลงเท่าไร คนก็เป็นพระอริยะเจ้ามากขึ้นเท่านั้น นี่คนหมดความเห็นแก่ตัวโดยสิ้นเชิงก็เป็นพระอรหันต์ไปเลยนี่ โดยหลักอันนี้พระอรหันต์ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าผู้หมดกิเลส คือความเห็นแก่ตัว หมดความเห็นแก่ตัวก็หมดกิเลสทุกประการ นี่โดยส่วนบุคคล มันก็รอดพ้นหลุดไปได้ หรือว่าไปถึงที่สุดได้เพราะความรักผู้อื่น คือไม่เห็นแก่ตัว โดยส่วนโลกเป็นส่วนรวม เราก็ อาศัย ไอ้รักผู้อื่นนี่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงโลกให้มันอยู่กันอย่างผาสุก ดังนั้น ช่วยกันนึกถึงธรรมะที่เป็นหัวใจของศาสนาทุกๆ ศาสนาว่ามันมีอยู่อย่างนี้ นั่นแหละคือธรรมะสำหรับทำความเป็นมนุษย์ ทั้งที่เป็นส่วนรวมและเป็นส่วนตัว มีธรรมะคือรักผู้อื่นแล้ว ก็เรียกว่าปัญหาในโลกนี้มันหมดไป ปัญหาในโลกนี้มันอยู่ได้เพราะมนุษย์เห็นแก่ตัว จนกระทั่งว่าไม่เห็นแก่ธรรมะ ถ้ามันรักกิเลสแล้วมันก็ไม่รักธรรมะ ถ้ามันรักธรรมะแล้วมันก็ไม่อาจจะไปรักกิเลส เดี๋ยวนี้ในโลกนี่มันกลายไปรักกิเลส จนไม่รักธรรมะ ไอ้ธรรมะมันก็หายๆ ไปจากโลก ไอ้กิเลสมันก็ครอบคลุมโลก เท่าที่ได้ เอ้อ, ศึกษาค้นคว้ามา มันก็พบว่า สมัยก่อนโน้น มนุษย์ในโลกถือศาสนาของตน ของตนกัน อย่างพอตัวทีเดียว ที่นับถือคริสต์ศาสนาก็ปฏิบัติคริสต์ศาสนา ที่นับถือ อิสลามก็ปฏิบัติอิสลาม ถือฮินดูก็ปฏิบัติอย่างฮินดู ถือพุทธก็ปฏิบัติอย่างพุทธ ยึดมั่นในพระศาสนามาก จนยอมสละไอ้สิ่งที่เป็นข้าศึก ก็คือ สิ่งที่เป็นที่ตั้งของกิเลส ทีนี้ต่อมา มนุษย์ได้ ประดิษฐ์สิ่งที่เป็นเหยื่อสำหรับกิเลสนั้นนะ มากขึ้น ก้าวหน้ามากขึ้น คือสิ่งที่จะให้เกิดความเอร็ดอร่อย สนุกสนาน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางจิตนี่ มากขึ้น แล้วมนุษย์ก็หลงไหลในสิ่งเหล่านี้ เหมือนกับขุดบ่อขึ้นมาสำหรับฝังตัวเอง ก็เลย เป็นธรรมดาหรือว่าโดยอัตโนมัตินะ ที่จะห่างเหินต่อธรรมะหรือต่อศาสนา มาสาละวนกันแต่เรื่องเหยื่อของกิเลส เพราะจะหาเงินให้มาก เพื่อจะหาวัตถุปัจจัยแห่งความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางเนื้อทางหนังนี่แหละให้มาก แล้วมันก็มากจริงๆ ด้วย แล้วก็มาก มากเข้าจนกระทั่งว่าเกลียดธรรมะ เกลียดศาสนา เกลียดการอยู่อย่างสันโดษหรือพอดี มาบูชา ความฟุ่มเฟือยด้วยความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุหรือทางเนื้อหนัง นี่คิดดูเถิดว่ามันเป็นความผิดของใคร มันจะเป็นความผิดของธรรมะ หรือเป็นความผิดของมนุษย์เอง มนุษย์เคยมีธรรมะ มีศาสนา กลัวบาปที่สุดรักบุญที่สุด ที่มีพระเจ้าก็กลัวพระเจ้าที่สุด ปฏิบัติเคร่งครัดที่สุด ต่อมาไม่กลัว ไม่กลัวพระเจ้า แล้วพาลหาว่าพระเจ้าตายแล้ว มาถึงสมัยนี้ไม่มีพระเจ้าที่มาควบคุม อะไรเรา บุญบาปก็ไม่มี ก็เลยไม่ต้องกลัว ก็เลยทำไปตามความรู้สึกที่เห็นแก่ตัว ที่เห็นแก่ความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทีนี้ต่อมา มันมีปัญหาทางการเมือง ปัญหาทางเศรษฐกิจ ที่มันเนื่องกันอยู่ เศรษฐกิจก็ช่วยให้มีปัจจัยสำหรับเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังมากขึ้น การเมืองก็ใช้ไปเพื่อว่าหลอกลวงเอาประโยชน์จากประเทศอื่นๆ มาใช้สำหรับสร้างความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังในประเทศของตัวมากขึ้น ให้รู้ว่าการสงครามนี่เขาก็ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับปล้นเอาประโยชน์ของผู้อื่นมา ใช้เป็นปัจจัยแห่งความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยของตัวมากขึ้น ฉะนั้น การสงครามก็ดี การเมืองก็ดี การเศรษฐกิจก็ดี การศึกษาก็ดี กลายเป็นเครื่องมือ สำหรับแสวงหาความเอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนังไปหมดสิ้น นี่เป็นเรื่องที่ต้องสังเกตให้เห็น ไม่ฉะนั้นจะไม่รู้จักธรรมะ จะไม่รู้จักพระคุณของธรรมะ เดี๋ยวนี้มนุษย์มาบูชา เนื้อหนัง ใช้คำว่าอย่างนี้ บูชาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังแทนบูชาพระเจ้า แทนบูชาธรรมะ เมื่อก่อนนี้ก็บูชาธรรมะ รักษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ เดี๋ยวนี่เขามาบูชาเนื้อหนัง บูชาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ก็เลยบูชาวัตถุที่เป็นที่ตั้งแห่งความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง นี่เรียกกันง่ายๆ ว่าบูชาวัตถุ ก็เกลียดธรรมะมากขึ้น ก็ละเลยธรรมะโดยไม่รู้สึกตัวหรือโดยอัตโนมัติ ฉะนั้น การศึกษาที่มนุษย์จัดขึ้นในระยะนี้ ระยะหลังที่บูชาวัตถุนี้ มันก็ไม่มีธรรมะ ธรรมะก็น้อยลง น้อยลง ลดลง ลดลง จนไม่มีความรู้ธรรมะ อยู่ในระบบการศึกษา ระบบการศึกษายุคหลังนี้จึงมีลักษณะเหมือนกับหมาหางด้วน ลองจำไว้ง่ายๆ ว่ามันเหมือนกับหมาหางด้วน เราเรียนกันแต่สอง สอง อ้า, ๒ กลุ่ม คือรู้หนังสือ ฉลาดนี่อย่างหนึ่ง แล้วก็รู้อาชีพสุดเหวี่ยงนี่อย่างหนึ่ง มันมี ๒ อย่างเท่านี้ แต่ความรู้ธรรมะเพื่อเป็นมนุษย์ถูกต้องนั้น ไม่มี คือไม่มี ไม่มีอีกกลุ่มหนึ่ง มันมีแต่ ๒ กลุ่ม รู้หนังสือกับรู้อาชีพ กลุ่มที่รู้ธรรมะสำหรับเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องซึ่งมันเคยมีนะ มันถูกตัดออกไป มันจึงเหมือนกับหมาหางด้วน จับหมาตัวหนึ่ง มาตัดหางทิ้งเสียแล้วปล่อยให้มันวิ่งหรือเดินนะ มันเดินไม่เหมือนเดิม เดินปัดๆ เป๋ๆ ไม่เหมือนเดิม เพราะไม่มีหาง นี่มนุษย์เมื่อไม่มีธรรมะเป็นหาง มันก็เดินโซเซ เดินไม่เรียบร้อย ทำไม จึง พูดว่าการศึกษา ในระบบปัจจุบันนี้เหมือนหมาหางด้วน มันก็เพราะไม่มีส่วนที่เป็นธรรมะ เอาไปฝากไว้นิดๆ หน่อยๆ ในส่วนวิชาหนังสือ เรียกว่าสังคมศึกษา สำหรับเด็กจดใส่สมุดแล้วก็ปิดเก็บไว้ ไม่มีการเรียน ไม่มีการปฏิบัติ ในกลุ่มที่เรียกว่ารู้หนังสือหรือฉลาดนั้นนะ ก็ไม่มีธรรมะเจืออยู่ในนั้น หรือมีบ้างก็พอเป็นพิธีไม่มีประโยชน์อะไร ในระบบที่เป็นเรื่องวิชาชีพ ก็ยังไม่มีธรรมะรวมอยู่ในประเภทวิชาชีพ มันก็เลยขาดความรู้ทางธรรมะ มันเหมือนกับหมาหางด้วน เหมือนกับเรือไม่มีหางเสือ ทำนองอย่างนั้น แล้วทำไมจึงเปรียบกับหมาหางด้วน คนที่เคยอ่าน แบบสอนอ่านนิทานอีสป สมัยโน้นนะ สมัยนี้จะมีหรือไม่ก็ไม่ทราบ อาตมาไม่ทราบ นิทานอีสปเขาจะมาเรียนกันหรือไม่ สมัยอาตมาเรียนมันมี ในนิทานอีสปนั้นมันมี บทหนึ่งว่าหมาตัวหนึ่งไปติดกับของชาวบ้านหางขาด แล้วมันก็มีอุบาย เที่ยวบอกหมาทั้งหลายว่าหางขาดดีกว่าโว้ยอตัดหางกันโว้ย ไอ้หมาโง่ๆ มันก็ พลอยตัดหางตามกันไปเป็นจำนวนมาก จนกว่าจะมาถึงหมาไอ้ตัวที่มันฉลาด หมาแก่ตัวหนึ่ง ไม่ถูกโว้ย มันหลอกกันโว้ย ไม่เอาโว้ย แต่หมาหางด้วนหมดไปทั้ง ทั้งเมืองแล้ว นี่เราจะพูดว่า ก่อนนี้ประเทศในโลกทุกๆ ประเทศ มี ไอ้ ธรรมะมีศาสนาอยู่ในระบบการศึกษา การศึกษาเป็นระบบครบดีว่ารู้หนังสือ รู้อาชีพ และมีธรรมะ คือมีศาสนา ทีนี้ต่อมาไอ้หมาตัวหนึ่ง ตัวแรก คือประเทศ ประเทศหนึ่ง ประเทศแรกที่มันไปหลงในวัตถุ ประดิษฐ์วัตถุ บูชาวัตถุ จนไอ้พระเจ้าตายไปเสียแล้ว ไม่มีธรรมะนี่ หมาตัวนี้คือหมาตัวที่ติดกับ หางด้วนเป็นตัวแรก ไปบูชาเรื่องวัตถุ เรื่องอาชีพ เรื่องอะไรก็ตาม แล้วก็มาชวนประเทศทั้งหลาย ให้แยก ให้แยกธรรมะหรือศาสนาออกจากระบบการศึกษา ประเทศเหล่านั้นก็เหมือนหมาโง่ที่มันยอมตัดหางเพราะหมาตัวแรกชักชวนนี่ ประเทศไทยรวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยหรือเปล่า ท่านทั้งหลายลองไปคิดดู ถ้าว่าได้ตัด ไอ้การศึกษาธรรมะ ศาสนานั้นออกไปมันก็รวมอยู่ในกลุ่มนั้นแหละ คือหมาโง่ที่ไปพลอยสมัครตัดหางกับเขาด้วย ก็ไม่มีหาง มันก็เรียนกันแต่หนังสือ เรียนกันแต่อาชีพ มันก็ไม่มี เอ้อ, ความรู้ธรรมะที่จะทำให้มีความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง นี่จึงเรียกว่าระบบการศึกษาที่เป็นเหมือนกับหมาหางด้วน ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะทำอย่างไร อยู่ในชุดหมาหางด้วนหรือเปล่า อาตมาคิดว่า เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ศาสนา เห็นแก่บุญแก่กุศลแล้ว มาช่วยกันดีกว่า แม้จะไม่อยู่ในหลักสูตรของกระทรวง คือถ้าคิดจะสอนเลข สอนวาดเขียน สอนอะไรก็ตาม ถ้ามันจะใส่ธรรมะเข้าไปได้ แล้วใส่เข้าไปเถิด ให้มันมีไอ้ความรู้สึกคิดนึก เป็นเรื่องของธรรมะไว้ให้ได้ก็แล้วกัน เช่นวิชาเลขอันแน่นอน อันเที่ยงแท้นี้ ก็เหมือนกับธรรมะที่มันแน่นอนและมันเที่ยงแท้ หรือว่าจะเรียนวิชาภูมิศาสตร์ ให้รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของธรรมชาติ ไม่ว่าวิชาไหน ให้มันรู้เรื่อง ของธรรมชาติ ของธรรมะ เรียนเรื่องโลก เรื่องแผ่นดิน เรื่องดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เรื่อง สุดแท้ไม่ว่าเรื่องไหน มีปัญญาและก็สามารถจะสอดแทรกคติของธรรมะเข้าไปทุกเรื่อง ถ้าว่าเป็นครูสอนอาชีพ ก็ให้มีธรรมะ ว่าไอ้เรื่องต่างๆ มันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติซึ่งเป็นตัวธรรมะ เครื่องจักรมันจะเดินได้ ก็เพราะมันถูกตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ หรือว่าจัดการที่จะผลิตอะไรออกมาได้ มันก็เป็นเรื่องการเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ และก็ดูให้ดีๆ ว่าสิ่งเหล่านี้มันจะทำปัญหาอะไรให้เกิดขึ้น นี่ทำให้เด็กๆ รู้จักธรรมะ มีธรรมะเข้าไปในการศึกษา ถ้าเป็นครูสอนชั้นอนุบาลแล้วก็ยิ่งมีทางที่จะทำได้มาก คือเด็กเล็กๆ นี่เขารู้จักกลัวบาป รักบุญ สอนอย่างวิธีคริสต์เตียนก็ได้ คือว่าพระเจ้าสร้างเรามา ลูกเด็กๆ เล็กๆ เขายังไม่เคยมีความคิดอะไร เราสอนให้เขารู้ว่ามีพระเจ้า สร้างเรามา พระเจ้ารักเรา เราต้องรักพระเจ้า ถ้าเรารักพระเจ้า เราต้องทำตามพระเจ้าต้องการ พระเจ้า ไม่ เอ้อ, พระเจ้าไม่ต้องการอะไรนอกจากต้องการให้รักผู้อื่น พระเจ้าต้องการให้เรารักผู้อื่น เหมือนที่พระเจ้ารักเรา ฉะนั้น เด็กๆ ก็ จะค่อยมีความคิดเรื่องรักผู้อื่นและไม่เห็นแก่ตัว นั่นนะเป็นการตั้งต้น ธรรมะหรือศาสนาที่ประเสริฐที่สุดลงไปในหัวใจเด็ก ทีนี้เขาก็จะค่อยๆ รักผู้อื่น การทะเลาะวิวาทก็จะไม่มี การขโมยก็จะไม่มี การล่วงละเมิดของรักของผู้อื่น แม้แต่ตุ๊กตาอันเป็นที่รักของเขาก็จะไม่มีใครไปล่วงเกิน ไม่โกหกไม่ทำอะไรทุกอย่างที่กระทบกระทั่งผู้อื่น ก็เป็นเด็กที่มีธรรมะ มีศาสนา วันสุดสัปดาห์ก็เรียกมาสอบมาถามมาให้รางวัลอะไรกันบ้างว่าได้แสดงความรักผู้อื่น ออกไปโดยแท้จริงอย่างไร มีใครเป็นพยาน มีใครรับรองนี่ สอนเรื่องให้เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ไว้ใจตัวเอง ควบคุมตัวเอง บังคับตัวเองให้ได้ เหมือนกับนิทานเรื่องนับสิบก่อน เรื่องในบทเรียนเด็กๆ นั่นนะ มันก็เป็นเรื่องบังคับตัวเองซึ่งเป็นหลักของพระศาสนา ถ้าเราไม่มีการบังคับตัวเอง แล้วไม่มีธรรมะไหนตั้งอยู่ได้ ธรรมะทั้งหมดจะตั้งอยู่ได้เพราะเรามีการบังคับตัวเอง เช่นเราจะไม่สูบบุหรี่ จะไม่กินเหล้านี่ มันตั้งอยู่ได้บนการบังคับตัวเอง ถ้าไม่มีการบังคับตัวเอง มันทำไปไม่ได้ แล้วเราก็ นับถือตัวเองว่ามันมีอะไรดี ถ้าบังคับตัวเองได้ ก็นับถือตัวเองว่ามีอะไรดี ก็ไว้ใจตัวเองว่านี้เราต้องทำได้ ก่อนนี้พวกฝรั่งเขามาพูดลั่นไปหมดเลย เรื่องไอ้ เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง บังคับตัวเอง สมัยอาตมาเด็กๆ นี่ คนไทยบูชาฝรั่งกันด้วยเพราะเขาพูดถึงเรื่องเหล่านี้นะ เขารักตัวเอง นับถือตัวเอง บังคับตัวเอง เดี๋ยวนี้ก็หาไม่ได้ในพวกฝรั่ง เมื่อกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ที่เราเรียกกันว่า น.ม.ส. กลับมาจากเล่าเรียนในประเทศอังกฤษ จากเคมบริดจ์นะ ท่านมาแสดงปาฐกถาให้ฟังที่สามัคคยาจารย์ ที่กรุงเทพ ที่โรงเรียนสวนกุหลาบ ติดๆ กันนั่นนะ ว่าการศึกษาในอังกฤษ ในวิทยาลัยนั้นเป็นอย่างไร แล้วก็พูดมากละเอียดนะ แต่ที่น่าประหลาด น่าอัศจรรย์ที่สุดว่า จบการศึกษาแล้วเขาต้องการเพียงความเป็นสุภาพบุรุษ คำที่เด็กๆ มันก็พูดว่า Gentleman Gentleman นี่ สุภาพบุรุษนะ จบการศึกษาต้องการเพียงความเป็นสุภาพบุรุษนะ ไม่ใช่ต้องการปริญญายาวเป็นหางอย่างหางลิงนะ นั่นมัน มันก็ไม่ทำอะไรได้ ถ้ามันไม่เป็นสุภาพบุรุษ มันจะมีปริญญาอะไรยาวเป็นหางไปเถอะ มันก็ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ แล้วไม่ ไม่ใช่ความประสงค์ หรือวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หรืออ๊อกซฟอร์ดก็ตาม เพราะว่าถ้ามันเป็นสุภาพบุรุษแล้วมันมีอย่างที่ว่า มันมีว่าเคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ควบคุมตัวเองตามหลักศาสนาไปหมด ถ้าตามนั้น พระยังจัดอยู่ พระยังมาเป็นเจ้ากี้เจ้าการ นักศึกษาจะนอนจะกินอาหาร อะไรต้องสวดมนต์เป็นภาษาละตินอยู่ เมื่อสมัยที่กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ไปเรียน เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้ว เพราะเอาออกไปหมดแล้ว โดยก็ถือหลักตามๆ กันไปหมดว่า ศาสนาไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ เอาออกไปเสียจากการศึกษา ให้เป็นเรื่องส่วนตัว ใครอยากได้ใครก็ไปศึกษา ไปหาเอาเอง ให้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่บังคับ นี่เป็นเหตุให้ศาสนาหรือธรรมะออกไปจากระบบการศึกษาโดยสิ้นเชิง เป็นหมาหางด้วน ระบบการศึกษาจะเป็นเหมือนหมาหางด้วน คือไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนา เราเมืองไทยรีบรู้อันตรายนี้ ช่วยกันกอบกู้ไว้ให้ได้ ช่วยกันต่อหางหมา ต้องใช้คำว่าอย่างนี้ เดี๋ยวจะไม่เอาเสียอีกกระมัง ช่วยกันต่อหางหมาคือว่าเราสมัครใจไม่ต้องเป็นหลักสูตรของกระทรวงหรอก เราสมัครใจ ที่จะทำให้มันมีไอ้ ธรรมะ มีศาสนาสอนอยู่ ปฏิบัติอยู่ ในเด็กๆ ในลูกศิษย์ของเรา เช่นว่าเราสอนให้บังคับตัวเอง ให้นับถือตัวเอง เคารพตัวเอง นี่ตั้งแต่เล็กๆ เลย ตั้งแต่ลูกเด็กๆ เลย ถ้าเราทำดี ก็หมายความว่า เรามีส่วนที่จะเคารพตัวเอง ถ้าเราทำชั่ว เราก็เคารพตัวเองไม่ลง ให้ใช้คำว่าให้ไหว้ตัวเองได้ ทำอย่างไรจึงจะไหว้ตัวเองได้ ก็เมื่อทำดีพอ ที่จะชอบใจตัวเองและก็ไหว้ตัวเองได้ พอถึงวันสุดสัปดาห์ ก็มาสอบกันทีหนึ่ง เด็กคนไหน ตลอดสัปดาห์นี้ ได้ทำอะไรชนิดที่เป็นการไหว้ตัวเองได้ ให้เขารายงานมา แล้วมีใครรับรองก็ยิ่งดี ว่าเขาได้ทำกี่อย่างที่เป็นเหตุให้ไหว้ตัวเองได้ ถ้าทำกันอย่างนี่ ทดสอบกันทุกคน ทุกสัปดาห์ ไม่เท่าไหร่เด็กๆ ของเราก็จะมีความเคารพตัวเอง แล้วก็เชื่อไว้ใจตัวเองว่าเราต้องปฏิบัติได้ แล้วก็บังคับตัวเอง ให้ปฏิบัติ มันก็มีศาสนากลับมา นี่เรียกว่าช่วยกันต่อหางหมา แต่อย่าเอาหางลิงมาต่อนะ มันจะยุ่งกันใหญ่นะ ถ้ามันเป็นเรื่องที่มันยังขาดอยู่จริงๆ นะ มันๆ ขาดพุทธศาสนา ขาดคริสต์ศาสนา ขาดอิส อะไรก็ตาม มันก็ต้องเอาไอ้หางนั่นมาต่อ อย่าเอาหางลิงมาต่อหางหมา มันจะยุ่งกันเป็นปัญหาอื่นขึ้นมาอีก เมื่อมันขาด อ้า, พุทธศาสนาอยู่ เห็นอยู่ชัดๆ ก็เอาพระธรรมในพุทธศาสนามาต่อ แต่ทีนี้มันเป็นโชคดีเหลือประมาณอย่างที่อาตมาว่ามาแล้วว่า ศาสนาไหนก็ตามมีหัวใจเหมือนกันหมด คือรักผู้อื่น มันเอาเรื่องรักผู้อื่นนั้นมาต่อ มันจะไม่ ไม่ ไม่เป็นหางลิงไปได้ มันจะเป็นหางที่ยังขาดอยู่มาแต่แรกนะ ช่วยสอนให้เด็กๆ ถือศาสนารักผู้อื่น แล้วก็จะเป็นทั้งพุทธ ทั้งคริสต์ ทั้งอิสลาม ทั้งอะไรก็ตาม บางคนก็ไม่ค่อยยอมเชื่อ ว่าศาสนาอิสลามก็รักผู้อื่น อาตมาไปสอบดูอยู่ แล้วไอ้คำ คำกล่าวในคัมภีร์อัลกุรอานนั้นมีมากเหลือเกินที่แสดงความหมายแห่งการเห็นแก่ผู้อื่น จะเห็นแก่ตัวไม่ได้ มากเหลือเกิน ยอมรับว่าเป็นศาสนาที่มุ่งหมายเพื่อความรักผู้อื่นเหมือนกัน ถ้าเขา บางคนเขากล่าวหาว่าศาสนาอิสลามนี้ถือดาบ เอ้า, ถือดาบก็ไม่เป็นไร มาดูว่าเขาถือดาบทำไม ถ้าเขาๆ ถือดาบให้คนมันรักกัน แล้วก็ใช้ได้ เขาถือดาบให้รักผู้อื่นแล้วก็ใช้ได้ บางทีจะยิ่งดีกว่าที่เราถือเพียงไม้เรียวนะ ให้มันเกิดความรักผู้อื่นขึ้นมาให้ได้ โดยอุบายใดๆ ก็ตาม นี่เรียกว่าต่อหางหมา ฆ่าคอมมิวนิสต์ พ้องกันในตัวเลย ทำให้คนมันรักผู้อื่นได้นี่ ก็มีศาสนากลับมา แล้วความรักผู้อื่นนี่มันฆ่าคอมมิวนิสต์ตายโดยอัตโนมัติ ฉะนั้น เราทำพร้อมกันไปได้ ทั้งต่อหางหมาและฆ่าคอมมิวนิสต์ แล้วก็จะเลยไปถึงอีกเรื่องหนึ่งว่า ไอ้ที่ประเทศชาติต้องการนะ ให้จิตมีสถาบันทั้งสาม คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่ ถ้ามันไม่รักผู้อื่นแล้วมันมีไม่ได้หรอก ไปคิดเถอะ ถ้ามันเห็นแก่ตัวแล้วมันมีไม่ได้ ถ้ามันเห็นแก่ตัวแล้วมันจะเห็นแก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไม่ได้ ถ้ามันหมดความเห็นแก่ตัว จนเห็นแก่รักผู้อื่นแล้ว มันก็มีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยแท้จริง หมายความว่าในใจ มี ความรู้ ความเข้าใจ ความเห็น เห็นแก่คุณค่า อานิสงส์ ให้มีความเลื่อมใส ให้มีความจงรักภักดี ในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะว่าหัวใจนั้นมันมีที่ว่างให้เป็นอย่างนั้น ถ้าหัวใจมันเต็มอัดอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว มันก็ไม่ ไม่มีเนื้อที่สำหรับจะเห็นแก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แล้วมันจึงพูดหลอกลวงกันอยู่เรื่อยไป ร่ำไป เพราะในหัวใจมันไม่มีจริง คือไม่มีไอ้ความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์จริงๆ มันจึงได้แต่พูดว่า ข้าพเจ้าจะ ใช้ว่าข้าพเจ้าจะอยู่นั่นแหละ จะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันจะๆ อยู่นั่น ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะมีซักที เพราะว่าในจิตใจของมันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว มันก็ไม่มีไอ้ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันจึงได้แต่พูดว่าจะๆ ข้าพเจ้าจะจงรักภักดี ข้าพเจ้าจะ จะ จะ อยู่นั่นแหละ มันไม่มีสักที เพราะมันเต็มอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว หมดความเห็นแก่ตัวเมื่อไร ก็จะมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์โดยแท้จริงตั้งอยู่ในจิตใจ สถาบันนี้เป็นนามธรรม คือ คือมีคุณธรรม มีคุณค่า มีความสำคัญ ที่ว่าเราจะต้องมีความรักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ เป็นหลักการที่เหมาะแล้วสำหรับคนไทย ที่แล้วมาและต่อไป ชาตินี้เปรียบเหมือนร่างกาย เราต้องมีร่างกาย ศาสนาเปรียบเหมือนกับจิตใจ ถ้าร่างกายกับจิตใจ มันแยกกันอยู่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันต้องมีอะไรที่เชื่อมร่างกายกับจิตใจให้ถึงกันอยู่ นั่นคือระบบประสาท ระบบประสาทเชื่อมจิตใจกับร่างกายให้สัมพันธ์กันแล้วก็ทำอะไรได้ ฉะนั้น เรามีระบบพระมหากษัตริย์เชื่อมชาติกับศาสนาให้ติดกันอยู่ ให้สำเร็จประโยชน์คือทำงานได้ จึงต้องรู้คุณ รู้ทุกเรื่อง เข้าใจ แล้วพอใจ แล้วเลื่อมใส แล้วฝังใจ ลงไปในสิ่งที่เรียกว่าชาติ ในศาสนาก็เหมือนกัน ในพระมหากษัตริย์ก็เหมือนกัน ถ้ามันลงมีจิตใจแจ่มแจ้งอยู่ในคุณค่าเหล่านี้ มีศรัทธา มีความจงรักภักดี มีความเสียสละเพื่อสิ่งนี้แล้วก็ เขาเรียกว่าปลอดภัย แต่ถ้าความเห็นแก่ตัวอัดอยู่ในใจแน่นแล้วก็ ไม่มีช่อง ไม่มีเนื้อที่ว่าง สำหรับความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะมันอยู่ในสิ่งอื่นหรือผู้อื่น ฉะนั้น เราจะต้องทำลายความเห็นแก่ตัวและก็รักผู้อื่น ได้ นั่นจะเป็นทั้งหมดของการแก้ปัญหาของมนุษย์ ไอ้รักผู้อื่นนี้ต้องผู้อื่นจริงๆ เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลายนั่นคือผู้อื่น รักลูก รักเมีย รักผัว นี่ไม่ได้รักผู้อื่น นั่นมันคือตัวเราที่ออกไปอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง รักเพื่อนกินเหล้า รักเพื่อนคอร์รัปชั่น รักเพื่อนสำมะเลเทเมานี้ไม่ใช่รักผู้อื่น นั่นมันเป็นตัวเราที่มออกไปอยู่ในรูปแบบนั้น ฉะนั้น คำว่ารักผู้อื่นต้องรักผู้อื่นจริงๆ เขาเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีปัญหาอย่างเดียวกัน มีหัวอกอย่างเดียวกัน มีความน่าสงสารสังเวสอย่างเดียวกัน พอเรามองเห็นความทุกข์ของผู้อื่น เราก็จะเกิดความรักผู้อื่นได้ ถ้าเรามองไม่เห็นข้อที่ว่าเราเป็นทุกข์ด้วยกันแล้วเราก็จะรักผู้อื่นยากเหลือประมาณ ฉะนั้น จงมองดูให้ดีๆ ว่า มันเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน มองเห็นความจริงนี้ด้วยใจจริงแล้ว ความรักผู้อื่นก็จะตั้งต้นขึ้นมา จงมองดูไอ้ข้อที่เพื่อนมนุษย์ของเรากำลังมีความทุกข์เหมือนเรา หรือว่าเขาจะมีความทุกข์ไปตามแบบของเขา ก็สุดแท้แล้วว่าเขาก็อยู่ในสภาพที่น่าสงสาร แล้วเราก็สงสารเขา นี่คือความรักผู้อื่น จะพูดไปในทำนองว่าเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ เราต้องรักผู้อื่นนี่ก็ถูกเหมือนกัน แต่รากฐานยังไม่ค่อยจะแน่นแฟ้น เพราะมันมีมูลเหตุ แต่ไปจากประโยชน์ของเรา เราจะต้องเล็งถึงไอ้ความจริงของธรรมชาติที่ว่ามันเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เราควรจะรักผู้อื่น ถ้าเราไม่รักผู้อื่น เราก็จะมีกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว แล้วเราก็จะ ทำลายตัวเราเอง มีกิเลส คือความเห็นแก่ตัวเท่าไร ก็จะเป็นความทุกข์เกิดขึ้นแก่ตนเองเท่านั้น โลภะก็เพราะเห็นแก่ตัว โทสะก็เพราะเห็นแก่ตัว โมหะก็เพราะเห็นแก่ตัว นี้เป็นหลักการเบื้องต้นที่จะต้องเข้าใจในระยะเริ่มแรก เราเห็นแก่ตัวนี่เราจึงต้องการเกิน เมื่อต้องการเกิน มันต้องลุกล้ำขอบเขตแห่งประโยชน์ของผู้อื่น เรียกว่าโลภะ ถ้าเราไม่ต้องการเกิน มันก็ไม่ต้องกระทบกระทั่งใคร เราต้องการด้วยสติปัญญา เราไม่ได้ต้องการเพราะความเห็นแก่ตัว อย่างนี้ความโลภเกิดไม่ได้ ทีนี้โทสะนั้นมันเกิด เมื่อมันไม่ได้ตามที่มันโลภ หรือมันอยาก ดังนั้น เมื่อไม่มีความอยากหรือความโลภ ต้องการอะไรแล้ว โทสะเกิดไม่ได้ มันเกิดจากความอยากทีแรกแล้วไม่ได้ตามที่มันอยาก นะมันจึงเกิดโทสะ แล้วการที่มัน ไม่รู้จักรักผู้อื่น มันเป็นโมหะ ความรักผู้อื่นมันจึงเป็นอโมหะ คือไม่หลงอยู่แล้ว เป็นปัญญาอยู่แล้ว ดูจะ จะง่ายที่สุดแล้วสำหรับจะสรุปว่ารักผู้อื่นคำเดียว เป็นความหลุดรอดของมนุษย์ทั้งส่วนสังคมและส่วนบุคคล เดี๋ยวนี้เราติดคุกติดตะรางของความเห็นแก่ตัว รักผู้อื่นไม่ได้ ความเห็นแก่ตัวเหมือนกับคุกตะราง ผูกมัดเราไว้แน่นหนา เราจะโผล่หัวออกไปรักผู้อื่นไม่ได้ เพราะมันถูกขัง ถูกผูก ถูกมัด ถูกล่าม ถูกครอบไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว นี่เรียกว่าเวียนว่ายอยู่ในความทุกข์หรือวัฏสงสาร พอทำลายความเห็นแก่ตัวให้จิตมันออกไปได้ นี่เขาเรียกว่าวิมุติ หลุดพ้นออกไปสู่พระนิพพาน ฉะนั้น ทำลายไอ้คุก คือความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็จะมีความหลุดรอดออกไปเป็นความรักผู้อื่น นั่นคือผล หรือมรรคผล หรือนิพพาน คือความอยู่กันเป็นผาสุก ทุกๆ คน นี่คือธรรมะสูงสุด ทุกคนเป็นอยู่อย่างผาสุกนี้คือธรรมะสูงสุด ไม่มีธรรมะไหนจะสูงสุดไปกว่านี้ นี่เรามันเห็นแต่ตัวเรา เราไม่รับรู้เรื่องของผู้อื่น เราจะเอาให้มากเอาให้เกิน ฉะนั้น เราก็เป็นคนที่ไม่มีธรรมะ และจะเป็นอยู่ในส่วนเกิน ชอบเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางใจ เกิน ในลักษณะที่เกิน มันก็กระทบกระทั่งกันในทางเศรษฐกิจ ในทางอะไรต่างๆ หาความสงบสุขไม่ได้ อาตมาจึงสรุปความสั้นๆ ว่ามันอยู่ที่ความไม่เห็นแก่ตัว ที่เรียกว่าอัตตา อัตตานั่น ทำลายเสีย ไม่มีความเห็นแก่ตัว เป็นอนัตตา และก็ว่าง และก็หลุดออกไปได้ ไปสู่แสงสว่างแห่งมรรคผลนิพพานได้ นี่คือหัวใจของธรรมะ มันเป็นอย่างนี้ ทีนี้เดี๋ยวนี้ โลกมันเป็นอย่างนี้เพราะการศึกษาเป็นหมาหางด้วน โลกต้องทนทรมานอยู่ในลักษณะอย่างนี้เพราะว่าการศึกษาในโลกนี้เป็นเหมือนกับหมาหางด้วน กระทรวงจะสั่งหรือไม่สั่งก็ช่วยกันต่อหางหมาสักที ทำไปตามสติกำลัง คือหยอดพระธรรมพระศาสนาลงไปในการศึกษา จะสอนหนังสือก็ได้ จะสอนวิชาชีพก็ได้ ในระดับอนุบาลก็ได้ ระดับวิทยาลัยก็ได้ ขอให้หยอดธรรมะลงไปในตัวการศึกษาโดยอุบายอันฉลาดของครูบาอาจารย์นั่นเอง เรื่องมันก็จะเข้ารูปนะ เมื่อมีธรรมะ ใช้ธรรมะ ให้เป็นประโยชน์ มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องตามความหมายของความเป็นมนุษย์ เราก็ได้มีโอกาสทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับความเป็นมนุษย์ ซึ่งอาตมาจะกล่าวว่า ครูนี่ได้เปรียบผู้อื่น เพราะว่าครูนี่ ความเป็นครูนี้เป็นอาชีพที่ได้บุญพร้อมกันไปในตัว อาชีพอื่นไม่ได้บุญพร้อมกันไปในตัว อาชีพแบกข้าวสารกับโรงสี มันก็ได้แต่ค่าจ้างเท่านั่นแหละ มันไม่ได้บุญ ไอ้ครูนี้มันทำอาชีพครูแล้ว มันทำให้มนุษย์มีแสงสว่าง มนุษย์หลุดรอด เป็นการงานอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า อาชีพครูจึงได้บุญพร้อมๆ กันไปกับการได้เงินเดือน อาชีพที่ได้บุญพร้อมๆ กันไปกับการได้เงินเดือนนี้ไม่ค่อยมีนะ แล้วถ้าจะมีมันต้องเป็นอาชีพที่ทำดีที่สุด ไม่มีมลทิน ไม่มี ไอ้ คอร์รัปชั่นนะ เช่น อย่างว่าอาชีพตุลาการอย่างนี้ ถ้าเขาทำดี ไม่มีคอร์รัปชั่นนะ มันจะเป็นอาชีพที่ได้บุญพร้อมกันไปกับการได้เงินเดือน เหมือนกับอาชีพครู เพราะตุลาการเขาทำให้ ให้โลกมันมีความยุติธรรมอยู่ เป็นความร่มเย็นของโลกอยู่ ส่วนนี้มันได้บุญ ทีนี้อาชีพครูของเรา ให้แสงสว่างสำหรับมนุษย์จะได้เป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง ถ้าเราสอนให้เขามีธรรมะมีศาสนา เขาก็เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง โลกนี้ก็มีสันติสุข เราก็ได้บุญ อาตมาพูดว่าครู คือผู้สร้างโลก ใครจะโห่กี่คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ใครจะโห่กี่คน ยกมือก็ได้ ไม่ต้องอาย ไม่ต้องอาย ไม่ต้องเกรงใจ ครูคือผู้สร้างโลก ไม่ใช่พระเจ้า เพราะว่าครูนี่เขาสร้างคน คือสร้างคนขึ้นมา คือเขาสอนเด็กๆ นั่นนะ ก็คือสร้างวิญญาณของเด็กๆ คือเด็กๆ โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ แล้วประกอบรวมกันเข้าเป็นโลก ฉะนั้น ไอ้โลกนี้มันต้องเป็นไปตามบุคคลที่มันมีอยู่ในโลก ทีนี้บุคคลที่มันมีอยู่ในโลกมันจะเป็นอย่างไร มันก็แล้วแต่ครูสร้างเขาขึ้นมาอย่างไร ถ้าว่าทั้งโลกนี้ชวนกันสร้างเด็กๆ ให้มีธรรมะมีศาสนามาแต่เล็ก เขาโตขึ้นก็เป็นโลกที่มีความสงบสุขเหมือนกับโลกของพระศรีอารย์นี่ ที่ว่าครูผู้สร้างโลกนี่พูดความจริง ไม่ใช่ประจบพวกครู อาตมาไม่มี ไม่มีประจบแน่ พูดนี่พูดด้วยใจจริงว่า ไอ้ครูมันคือผู้สร้างโลก เพราะเขาสร้างวิญญาณเด็กๆ เด็กๆ โตขึ้นเป็นอย่างไร โลกนี้มันก็เป็นอย่างนั้น มันจะสร้างโลกนี้ให้เลวก็ได้ สร้างโลกนี้ให้ดีก็ได้ สร้างโลกนี้ให้ขี้เมาก็ได้ เอ้า, ว่าไง ให้ครูทุกคนกินเหล้า ไม่ยอม ไม่ยกเว้นเลย แล้วเด็กๆ มันก็กินเหล้า แล้วโลกนี้มันก็เป็นโลกขี้เมา อย่างอื่นๆ ก็เหมือนกัน จะมัวแต่เรื่อง สูบบุหรี่ เอ้า, ก็ทำให้โลกนี้เป็นโลกของควันคลุ้งไปหมดก็ได้ ถ้าทุกคนสูบบุหรี่ ปอดมันอยู่ดีๆ เอาควันไฟไปรมนี่ คิดดูนะ มันฉลาดหรือมันโง่ ว่าปอดมันอยู่ดีๆ ของมันตามธรรมชาติ เอาควันไฟเข้าไปรมปอด แล้วมันจะเป็นอย่างไร ผลมันจะเกิดขึ้นอย่างไร ไปคิดดูเสียใหม่ ฉะนั้น ครูจะต้องเป็นผู้นำในทางวิญญาณเสมอไป พูดเป็นนักภาษาศาสตร์ ภาษาอินเดียโบราณนะ เขาเกิดบอกกันขึ้นว่า เดี๋ยวนี้เขาพบว่า ไอ้คำว่าครูนี่ มาจากไอ้ ไอ้ธาตุ root ของศัพท์คำหนึ่ง แปลว่าผู้เปิดประตู ผู้เปิดประตู เปิดประตูหมายความว่า ให้คนมันออกมาได้ อ้า, จากกองทุกข์ เปิดประตูคอก เปิดประตูเล้า เปิดประตูอะไรก็ตาม ให้สัตว์มันออกมาเสียได้จากภาวะที่ทนทรมาน เช่นมืด เช่นเหม็น เช่นสกปรก คับแคบ อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันออกมาเสียได้จากคอก จากเล้าเพราะว่ามีการเปิดประตู คำว่าครูคำนี้ ไอ้ root ของศัพท์แปลว่าเปิดประตู เป็น เป็นงานที่สูงสุดสำหรับมนุษย์นี่ คือปลดปล่อยอย่างยิ่ง ปลดปล่อยทางวิญญาณ ให้หลุดรอดออกมาจากความทุกข์ ทางจิต ทางวิญญาณ ฉะนั้น ขอให้ครูเป็นครู โลกนี้ก็หมดปัญหา แล้วควรจะพอใจในความเป็นครู เพราะว่ามีอาชีพ เป็นอาชีพที่ได้บุญ พร้อมกันไปในตัว แล้วเป็นอาชีพที่มีเกียรติสูงสุด คือเป็นผู้สร้างโลก นี่จะเป็นครูกันอย่างไร ก็ขอให้เอาถ้อยคำที่ได้บรรยายแล้วเหล่านี้ไปใคร่ครวญดู ไปพิจารณาดู ท่านอุตส่าห์มาถึงที่นี้ด้วยความยากลำบาก มาให้อาตมาพูดอะไรให้ฟัง แล้วก็พูดอย่างอื่นไม่เป็น มันก็ได้แต่พูดอย่างนี้ พูดอย่างที่กำลังพูดนี่ ให้ ให้พูดอีกกี่ทีมันก็พูดอยู่อย่างนี้แหละ พูดอย่างอื่นไม่เป็น ว่าครูนี้ต้องช่วยกันต่อหางหมาฆ่าคอมมิวนิสต์ ทำให้จิตมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แล้วประเทศไทยก็จะหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง นี่ชั่วโมงครึ่งแล้วพอทีแล้วกระมัง เอาละ ขอตั้งจิตอธิฐานให้ท่านทั้งหลาย มีความกล้าหาญเพียงพอ ตัดสินใจในการที่จะเป็นครูปูชนียบุคคลของโลก แล้วขออวยพรให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน พร้อมกับมีความสุขจากการงานนั้นๆ อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.