แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เราได้มานั่งกันที่นี่ ในลักษณะอย่างนี้ ขอให้ถือว่า เป็นการศึกษาอะไรบางอย่างอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน และมาขอร้องให้จัดให้เป็นการกระทำพุทธานุสติ คือ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า คือ ระลึกถึงข้อที่พระพุทธเจ้าประสูติกลางพื้นดิน ตรัสรู้ก็เมื่อนั่งกลางพื้นดิน สอนโดยทั่วไปทั้งหมดก็ว่าได้ เมื่อสอนก็เมื่อนั่งกลางพื้นดิน แล้วในที่สุดก็เสด็จปรินิพพานกลางพื้นดิน มีชีวิตอยู่ก็เรียกได้ว่ากลางดิน กุฏิก็พื้นดิน ตามที่ปรากฏอยู่เป็นซากโบราณสถาน ขอให้เอามือคลำพื้นดิน ทำความรู้สึกระลึก ว่าเรากำลังนั่งบนที่ของพระพุทธเจ้า ที่นั่ง ที่นอน ที่ประสูติ ที่ตรัสรู้ ที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ถ้าทำได้อย่างนี้ มันก็เป็นการศึกษาอย่างลึกซึ้งข้อหนึ่ง แล้วก็เป็นการปฏิบัติพุทธานุสติ ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ขอให้ท่านทั้งหลายได้บันทึกความรู้สึกอันนี้ติดตัวไปด้วย ถ้าอย่างไรก็จะได้ระลึกนึกถึงเมื่อนั่งที่ตรงนี้ แล้วจะได้มีอารมณ์ในใจอย่างนี้ แวดล้อมด้วยบรรยากาศอย่างนี้ มีความรู้สึกอย่างไร ตามปกติ เมื่อถูกแวดล้อมด้วยธรรมชาติโดยบริสุทธิ์ตามธรรมชาตินะ ก็ทำให้จิตของเราเกลี้ยง คือ ไม่อาจจะเกิดความรู้สึกประเภทกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ทำให้เกิดความรู้สึกประเภทตัวกูของกูได้โดยง่าย แม้ว่ามีกลัดกลุ้มมาด้วยกิเลสประเภทใดประเภทหนึ่ง พอมานั่งในที่อย่างนี้มันก็หายไป เรียกว่า ทำให้จิตเกลี้ยงได้โดยง่าย สถานที่นี้ก็มีความประสงค์อย่างนี้ จึงได้ตั้งชื่อว่า โมกขพลาราม ป่าไม้เป็นกำลังของโมกขะหรือโมกษะก็แล้วแต่จะเรียก โมกษะก็แปลว่าเกลี้ยงเหมือนกัน หลุดพ้นจากสิ่งใดมาผูกพัน มันก็เกลี้ยง เรามุ่งหมายจะให้สะดวกแก่ผู้ที่ต้องการจะมีจิตเกลี้ยง ก็มานั่ง สักว่ามานั่ง มาเสพพบกับบรรยากาศชนิดนี้ จิตใจมันก็เกลี้ยง จึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้รับประโยชน์ในข้อนี้ตามสมควร มีพุทธานุสติ ทำในใจเหมือนกับว่า เราได้ไปเห็นสถานที่การเป็นอยู่ของพระพุทธเจ้าแบบในป่า ระลึกนึกถึงข้อที่พระพุทธเจ้าท่าน เรียกว่ามีชีวิตอยู่อย่างง่าย เราเคารพนับถือ บูชาท่านอย่างสูงสุด แต่แล้วเราก็ลืมไปว่า เราไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ เหมือนกับท่าน พระพุทธเจ้าไม่มีรองเท้า ไม่มีร่ม ไม่มีมุ้ง ไม่มีอะไรเหล่านี้ ซึ่งพวกเรามันมีกันอย่างพิเศษ ดูมันสวนทางกันอย่างไรอยู่ จึงถือว่าเดี๋ยวนี้ก็ได้มานั่งในที่อย่างนี้ ให้มีบรรยากาศคล้ายๆ กับครั้งพุทธกาล เผื่อว่าจะมีจิตใจลดต่ำลงไป เข้าใจความเป็นอยู่ตามแบบครั้งพุทธกาลก็จะเป็นการดี ที่พูดทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เข้าใจคำว่าพระพุทธเจ้า หรือเข้าใจความหมายของคำว่า พุทธะ มันก็เป็นจุดตั้งต้นของการศึกษา ท่านทั้งหลายกำหนดให้อาตมากล่าว หรือแสดงปาฐกถาในหัวข้อว่า การจัดการศึกษาในทัศนะของท่านพุทธทาส ทีนี้อาตมาก็ต้องการให้เข้าใจคำว่า พุทธะ และก็คำว่า ทาส จัดการศึกษาตามแบบที่พวกที่เป็นทาสของพระพุทธเจ้าเห็นสมควร ท่านคงจะฉงนบ้างว่า ทำไมมาใช้คำว่า ทาส และอ้างตัวเองเป็นพุทธทาส นี่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องทราบด้วยเหมือนกัน มันเกี่ยวข้องกันอยู่กับเรื่องที่เรากำลังจะพูด คำว่า ทาส ชนิดนี้ไม่ใช่ทาสอย่างที่เขาซื้อไปใช้อย่างวัว ควาย นั่นคือเป็นทาสชนิดที่ต้องเลิก ต้องชวนกันเลิกทั้งโลก ในประเทศไทยก็มีการเลิกทาส แต่ทาสอย่างของอาตมานี่ เลิกไม่ได้ ยืนยันว่ามันเลิกไม่ได้ และไม่ควรจะเลิก เป็นผู้ต้องการด้วยความสมัครใจที่จะรับใช้พระพุทธเจ้าอย่างกับว่าทาส แล้วใครจะมาเลิกได้ หรือจะเลิกได้อย่างไร มีคนเขียนกระแนะกระแหนอาตมาในหน้าหนังสือพิมพ์หัวเอียงซ้าย ว่ายังมีคนบ้าหลงอยู่ที่นี่คนหนึ่ง ไม่อยากจะพ้นจากความเป็นทาส เขามุ่งหมายด่าอาตมา ว่ายังสมัครที่จะเป็นทาส ยังนิยมระบบทาส นี่มันเข้าใจกันคนละทาง เป็นทาสพระพุทธเจ้า เพื่อจะรับใช้พระองค์ตามพระพุทธประสงค์ เขานั่นแหละจะเป็นทาสอะไรที่เลวร้ายไปกว่าเรา เป็นทาสของลัทธิอะไรบางอย่าง อย่างไม่เงยหัวเลย ก็เป็นทาสเหมือนกันน่ะ มันเป็นทาสลัทธิ อุดมคติ หรืออะไรก็ตาม อาตมายังคงถือว่าเป็นพุทธทาส สมัครที่จะเป็นพุทธทาส สนองพระพุทธประสงค์ ทีนี้อาตมา ทีนี้ท่านทั้งหลายขอร้องให้อาตมาแสดงทัศนะเกี่ยวกับการศึกษาตามความรู้สึกของคนที่เป็นพุทธทาส มันก็ไม่มีอะไร นอกจากจะพูดถึงการศึกษาที่เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ คำว่า ศึกษา ในภาษาไทยก็คือคำว่า สิกขา ในภาษาบาลีหรือ ศิกษา ในภาษาสันสกฤต สำหรับในประเทศอินเดียแล้ว คำว่า ศิกษา หรือสิกขา นี่ก็หมายถึงการประพฤติปฏิบัติที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญากันทั้งนั้นแหละ ไม่ได้หมายถึงการเล่าเรียนหนังสือหนังหาเป็นโรงร่ำโรงเรียน ทีนี้ภาษาธรรมดามันก็หมายถึงการอบรมศึกษา อบรมให้เกิดความรอดจากปัญหา รอดจากความทุกข์ เราเป็นพุทธบริษัท เราถือเอาตามแนวนั้นตลอดมา จัดการศึกษาก็จัดเพื่อให้คนรอด ให้บุคคลก็รอด ให้สังคมก็รอด การศึกษาต้องจัดให้มีผลอย่างนั้น จึงจะเป็นการศึกษาที่ถูกต้อง บุคคลรอดก็คือ หมดจากความทุกข์ และกิเลส สังคมรอดก็คือ มีสันติภาพเต็มที่ในสังคม เราทำอย่างไรจึงจะเกิดผลอย่างนี้ จะมัวแต่ให้เรียนหนังสือ กับเรียนวิชาชีพนี่มันจะรอดได้อย่างไร อย่างเมื่อตอนกลางวันก็ได้พูดกันทีหนึ่งแล้วถึงเรื่องระบบการศึกษาหมาหางด้วนว่า เรียนแต่หนังสือ กับเรียนวิชาชีพนี่ยังรอดไม่ได้ บุคคลก็ยังรอดไม่ได้ คือ ไม่มีจิตใจอยู่เหนือความทุกข์ได้ สังคมก็ยังไม่มีสันติภาพ เพราะการศึกษาเพียงเท่านั้น มันไม่ได้ทำให้มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง อาชีพยิ่งเป็นคนดีเท่าไร ยิ่งทำให้คนเห็นแก่ตัว จะยิ่งเห็นแก่ตัวมากไปเสียกว่าเมื่อยังไม่มีอาชีพ หรือยังไม่มีอาชีพก้าวหน้าด้วยซ้ำไป ลาภผลนี่มันไม่ได้ทำให้คนคลายความเห็นแก่ตัว มันกลับไปเห็นแก่ตัวมากขึ้น การให้การศึกษาเพียงเท่านั้นก็ไม่ทำให้คนรอดจากความบีบคั้นของกิเลส เมื่อแต่ละคนเห็นแก่ตัว สังคมก็เป็นสังคมที่ไม่มีความรักผู้อื่น มันก็มีสันติภาพไม่ได้ เราจึงมานึกกันในข้อนี้ว่า การศึกษาที่จะทำให้บุคคลก็รอด สังคมก็รอดนั้นมันจะต้องเป็นอย่างไร อาตมาก็ขอยืนยันตามเดิมว่า จะต้องมีการศึกษาที่ตรงตามความหมายของคำว่า สิกขา ในภาษาบาลีนั่นเอง คำว่า สิกขา ในภาษาบาลีก็แจกออกไปเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ทีนี้อาตมาเชื่อว่าท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้ยินคำ ๓ คำนี้มาก่อนแล้ว และก็คงไม่ชอบ คงรู้สึกมันเป็นเรื่องครึๆ คระๆ เป็นคำวัดคำวา ครึๆ คระๆ ไม่สนใจ ไม่สนใจในคำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา มันก็เลยเข้าใจไม่ได้ เพราะไม่ชอบ และไม่สนใจ แต่ทีนี้อาตมาก็มาฝืนความรู้สึก ว่าขอให้สนใจ ว่านี่ล่ะคือตัวการศึกษา น่าจะเป็นการศึกษาชนิดที่สากล รอบตัว ใช้ได้ทั่วโลก ขอให้สนใจคำว่า ศึกษา หรือ สิกขา ตามแบบนี้ให้มากที่สุด คำว่า ศีล หรือ ศีลสิกขา คือ การศึกษาในส่วนศีล ทีนี้ศีล คือ ความถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทั้งเพื่อบุคคล และเพื่อสังคมด้วย ศีล คือ การประพฤติกระทำที่ถูกต้องทางกาย ทางวาจา ไม่มีการผิดพลาดทางกาย ทางวาจา ดังนั้นจึงไม่มีการกระทบกระทั่งกันในทางกาย ทางวาจา มีแต่การประพฤติที่เป็นประโยชน์ หรืออย่างน้อยก็ไม่เบียดเบียน ไม่ทำอันตรายทางกาย ทางวาจา ทั้งเพื่อบุคคล และเพื่อสังคม คือ มันไม่ผิด แม้แต่ส่วนบุคคลคนหนึ่งๆ แล้วก็มันไม่ผิดแม้ในส่วนสังคมที่เป็นส่วนรวม ก็เป็นอันว่าไม่มีบุคคลที่กระทบกระทั่งกัน ประทุษร้ายกันโดยทางกาย วาจา และไม่มีสังคมที่ประทุษร้าย เบียดเบียนกันด้วยกาย และวาจา เรียกว่า เป็นความประพฤติถูกต้องทั้งหมดทั้งสิ้นทางกาย ทางวาจา ทีนี้ก็ลองใคร่ครวญดูว่า มันสากลสักกี่มากน้อย มันไม่ใช้อยู่แต่ในวัดในวา มันใช้นอกวัดก็ได้ แล้วก็มันไม่จำกัดว่าจะต้องใช้อยู่แต่ในหมู่พุทธบริษัท นอกออกไปจากพุทธบริษัท ให้ทั่วโลกเลย ไม่ว่าคนชาติไหน ภาษาไหน มันก็ยอมรับได้ และต้องการ ต้องการจะมีความถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทั้งเพื่อปัจเจกชน และเพื่อสังคม ศีลนี่เป็นความถูกต้องที่ควรปรารถนา ครอบจักรวาลเลย ในหมู่มนุษย์ก็ต้องการศีล ในหมู่เทวดาก็ต้องการศีล ทั่วทั้งโลก ทั้งจักรวาลมันก็ต้องการศีล คนที่เป็นมนุษย์รู้จักคิดรู้จักนึก ทีนี้การศึกษาอะไรที่มันทำให้เกิดความถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทั้งส่วนบุคคล และส่วนสังคมนั่นแหละ ไปจัดกันเถิด จะเป็นยอดสุดของการศึกษา ทีนี้ก็มาดูถึงสิกขาที่สอง คือ สมาธิ เคยได้ยินกันว่า สมาธิ ตั้งจิตมั่น ทำความเพียรภาวนาอย่างนั้น อย่างนั้น สมาธิน่ะมันมีความหมายที่สรุปเป็นใจความได้ก็ว่า จิตที่มีสมรรถนะ และเป็นประโยชน์แก่บุคคลนั้นๆ ถึงที่สุดตามที่ธรรมชาติจะอำนวยให้ได้ สมาธิมันหมายความว่าอย่างนี้ คือ ถ้าประพฤติสมาธิ ปฏิบัติสมาธิ หรือมีสิกขาในสมาธิแล้ว มีความเป็นสมาธิแล้วก็คือ ความที่จิตนั่นมันมีสมรรถนะ คือสมรรถภาพเต็มที่สูงสุดตามที่มันจะมีได้ตามธรรมชาติกำหนดให้ และมันจะมีประโยชน์แก่บุคคลนั้นสูงสุดเต็มที่ตามที่ธรรมชาติมันกำหนดให้ว่าจิตนี่มันจะเป็นได้อย่างไร ธรรมชาติมันสร้างมา และมันก็มีอะไรที่พอจะกำหนดได้ กำหนดไว้ว่าจิตของเรานี้จะอบรมให้ดีที่สุด ให้สูงที่สุดได้อย่างไร นี่เราก็อบรมอย่างนั้น มันก็เกิดเป็นสมาธิ เรียกว่าสมาธิ ถือตามหลักในพระบาลีโดยตรง จิตเป็นสมาธินั้นก็คือ จิตนั้นกำลังบริสุทธิ์ ว่างจากกิเลส และจิตนั้นตั้งมั่น มีกำลังสูง และก็จิตนั้นคล่องแคล่วว่องไวในหน้าที่การงานของมัน จิตนั้นบริสุทธิ์ หมายความว่า กำลังว่าง กำลังเป็นอิสระ ไม่มีกิเลสรบกวน จิตนั้นเป็นสมาหิโต คือ ตั้งมั่น ไม่มีอะไรมากระทบกระทั่งให้หวั่นไหววอกแวก หรือถอยกำลังได้ มันมีกำลังตั้งมั่นสูงสุด และมันเป็นกัมมนีโย เรียกภาษาที่พูดกันมากๆ ก็คือเป็นแอ็คทีฟ (active) คำว่า กัมมนีโย แปลว่า แอ็คทีฟ (active) ว่องไว คล่องแคล่วต่อหน้าที่การงานของมัน จิตเป็นอย่างนี้ คือ จิตเป็นสมาธิ เมื่อเราอบรมให้มีความเป็นสมาธิได้ก็หมายความว่า ความที่จิตนั้นมีสมรรถนะสูงสด จิตนั้นมีประโยชน์ที่สุดแก่มนุษย์ เต็มตามที่จะอบรมได้อย่างไร ตามที่จิตมันมีธรรมชาติที่ให้เราอบรมมันได้อย่างไร ลองคิดดู จิตชนิดนี้ จิตที่เป็นอย่างนี้ คน ใครบ้างที่ไม่ต้องการ อาตมาเชื่อว่าคนทั้งสากลจักรวาลต้องมี มันต้องการจิตชนิดนี้ ไม่ใช่เฉพาะสำหรับภิกษุสามเณรอยู่ในวัด หรือไม่ใช่เฉพาะพวกพุทธบริษัทที่นับถือพุทธศาสนา แม้ชนพวกอื่น เหล่าอื่นที่มันเป็นมนุษย์ มีสติปัญญา มันก็พอใจยอมรับในการที่จะมีจิตชนิดนี้ที่เรียกว่า สมาธิ การศึกษาอบรมทำให้เกิดจิตชนิดนี้ เราเรียกว่า สมาธิสิกขา เป็นการศึกษาที่ ๒ ทีนี้ก็มาถึงสิกขาที่ ๓ คือ ปัญญาสิกขา คำว่า ปัญญา นี่ ในปัญญาสิกขานี้ หมายถึง ความรู้ สิ่งที่จำเป็นจะต้องรู้ และก็อย่างถูกต้อง และก็อย่างเพียงพอ เราไม่ต้องรู้เตลิดไปถึงสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องรู้ ขอให้รู้อยู่แต่ในสิ่งที่ต้องรู้ ที่มันจำเป็นจะต้องรู้ มันควรจะรู้ มันก็เป็นความรอดได้แล้ว ทีนี้อย่างถูกต้องนะ มันต้องรู้อย่างถูกต้องจริงๆ และมันต้องอย่างเพียงพอด้วย คือ สมบูรณ์ รู้ในสิ่งที่ควรรู้อย่างถูกต้อง และสมบูรณ์ นี่คือ จิต นี่คือ ปัญญาสิกขา เป็นสิกขาที่ ๓ ก็ลองเปรียบเทียบดูอีกนะ ลองใคร่ครวญดูว่า คนชาติไหน ภาษาไหน ศาสนาไหนที่จะรังเกียจสิ่งนี้ มันจะมีความรู้สึกรังเกียจสิ่งนี้ได้อย่างไร ความรู้ในสิ่งที่ควรจะรู้ ก็ถูกต้องและสมบูรณ์ ก็เลยเป็นของที่ต้องการกันทั่วสากลจักรวาล จิตเหมือนกัน นี่ขอให้สนใจไว้ว่า สิกขา หรือการศึกษาในพระพุทธศาสนามันเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านให้การศึกษาอย่างนี้ และอาตมาก็เป็นทาสของพระพุทธเจ้าก็เลยอุทิศชีวิตร่างกายทั้งหมดนี้เพื่อเผยแผ่การศึกษาอย่างนี้ เพื่อให้เกิดความรู้ การปฏิบัติ และการได้รับศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อได้แล้วจะเป็นความรอดของมนุษย์ คือ ไม่มีความทุกข์เหลืออยู่สำหรับมนุษย์ ทั้งส่วนบุคคล และทั้งส่วนสังคม ทีนี้ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายฟังดูให้ดี สังเกตดูให้ดี เพราะการศึกษาในทัศนะของอาตมานั้นเห็นว่า อย่างนี้แหละดีที่สุด ฉะนั้นเราทำให้มันเป็นอย่างนี้ได้ล่ะก็ เรียกว่า เป็นการให้การศึกษาที่ดีที่สุด ที่ถูกต้องที่สุด เดี๋ยวนี้เราให้การศึกษาแต่เพียงให้รู้หนังสือ และให้อาชีพ มันก็เป็นเพียงเบื้องต้น เป็นเพียงบุพพภาคเบื้องต้น สำหรับจะมีชีวิตอยู่เพื่อศึกษาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป หรือถ้าเราสามารถเอามาผนวกเข้ากันเสียเลยว่า หนังสือก็ให้เรียน อาชีพก็ให้เรียน และธรรมะที่เป็นรูปไตรสิกขานี่ก็ให้เรียน ให้ปฏิบัติ และให้มี ถ้าการศึกษานี่มันมีเสร็จสำเร็จไปได้ถึงอย่างนี้ มันจะสมบูรณ์สักกี่มากน้อย ขอให้ลองคิดดู ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายช่วยจำไปด้วย เพราะอาตมาท้าทายได้เลยว่า เอาไปอวดพวกฝรั่งก็ได้ พวกฝรั่งที่มีสติปัญญารู้สึกคิดนึกพิจารณา เราก็บอกว่า พุทธบริษัทมีหลักการศึกษาอย่างนี้ ท่านจงพิสูจน์ความไม่มีประโยชน์ ความไร้สาระ ความไม่มีเหตุผลนี่ดูสิว่า ศีลนั่นน่ะ คือ ความถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทั้งเพื่อบุคคล และสังคม ท่านลองพิสูจน์ความไม่มีเหตุผล ความไร้สาระไร้ประโยชน์ดูสิ เมื่อสมาธิสิกขานั้นคือ มีจิตที่มีสมรรถนะสูงสุดมีประโยชน์สูงสุดแก่บุคคลนั้นเต็มที่ตามที่ธรรมชาติจะมีให้ได้ ท่านลองพิสูจน์สิว่ามันเสียหายที่ตรงไหน มันไร้สาระ ไร้เหตุผลที่ตรงไหน และปัญญาสิกขาก็คือ รู้สิ่งที่มนุษย์ควรจะรู้ ถูกต้องและสมบูรณ์ ที่ควรจะรู้นั้นหมายความว่า ไม่เฟ้อ เดี๋ยวนี้คนในโลกมีการศึกษาเฟ้อ คือ ไปเสียเวลาเรียนที่มันไม่ต้องเรียนเสียมากมาย ก็เลยไม่ได้เรียนที่จำเป็นจะต้องเรียน ครูบาอาจารย์ทั้งหลายย่อมรู้ดี ว่าหลักสูตรที่มันจัดให้เรียนสิ่งที่ไม่ต้องเรียนเสียมากมาย และสิ่งที่ต้องเรียนไม่ได้เรียนนี้ มันเป็นหลักสูตรที่บ้าบอสักเท่าไร และมันก็ยังมีอยู่ในการศึกษาของประเทศไหน ในวงการศึกษาที่เราจัดอยู่ ในการอำนวยการของเราอยู่นี่มันมีไหม สิ่งที่ไม่ต้องเรียนแล้วเอามาให้เรียนเสียมากมาย สิ่งที่จำเป็นมนุษย์ควรจะเรียนจะรู้กลับไม่ได้เรียน นั่นแหละ ไปนึกดูว่า การศึกษามีลักษณะวิปลาสอย่างไรบ้าง ไปดูหลักสูตรที่เขาจัดให้เรียน หนังสือนี่นักเรียนแทบจะต้องแบกเข้าไปแล้ว จะหนีบรักแร้ไม่ไหวอยู่แล้ว มันก็กลายเป็นยังไม่ได้รู้ไอ้สิ่งที่ควรจะรู้ ยังเป็นนักเรียนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ให้พ้นจากความเหลวแหลก อยู่ในโรงเรียนมันก็ยังมีความเป็นอันธพาล เลิกเรียนแล้วไปเป็น เรียนจบแล้วไปเป็นฮิปปี้ ไปติดยาเสพติด เรียนอยู่นี่ก็โต้แย้งที่จะนุ่งกางเกงยีนส์ ให้ไว้ผมยาว ให้สูบบุหรี่ได้ อย่างนี้คิดดูเถอะเป็นนักเรียนชนิดไหนกัน มันได้เรียนอะไรเฟ้อมากเกินไป และมันไม่ได้เรียนอะไรที่มันควรจะเรียนก็เกิดอาการอย่างนี้ขึ้นมา ขอให้ได้โปรดจำคำว่า ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา มีกาย วาจาถูกต้อง มีจิตถูกต้อง มีปัญญา หรือความคิดเห็นที่ถูกต้อง พอแล้ว เดี๋ยวนี้มันเรียนกันจนมีปริญญายาวเป็นหาง แล้วมันก็ไม่มีความถูกต้องที่กาย ที่วาจา ที่จิต หรือที่ปัญญา หรือที่ทิฐิความคิดความเห็น ถ้ามันมีมันก็ไม่ทำอะไรชนิดที่น่ารังเกียจ เกลียดชัง ไม่ออกมาเป็นอันธพาล หรือไม่ออกมาเป็นข้าราชการที่ทำคอรัปชั่น เป็นต้น เรามองในส่วนนี้กันให้มากเถิด ไปจัดให้ได้เรียนสิ่งที่จำเป็น และก็ให้เพียงพอ ให้ถูกต้อง รวมกันแล้ว ๓ อย่างนี้รวมกันแล้วจะเรียกสั้นๆ ว่า ธรรมะ ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ อย่างนี้ถูกต้องสมบูรณ์ดีแล้ว มารวมเรียกกันโดยคำสั้นๆ เพียงคำเดียวว่า ธรรมะ หรือธรรม หรือพระธรรมก็แล้วแต่จะชอบ ทีนี้คำว่า ธรรมนั้นจะรวมความหมายของคำ ๓ คำนั้นไว้ได้หมด คือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออื่นๆ ด้วย ขอได้โปรดจำไว้ด้วย อาตมารู้สึกว่าเป็นคำนิยามที่มีประโยชน์ที่สุด ใช้ได้รอบด้าน คำว่า ธรรม นี่คือ ระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ทั้งทางสังคม ทั้งทางส่วนตัว และทั้งทางสังคม ขอให้จดให้จำไว้ด้วย อาตมาขอยืนยัน หรือท้าทายก็ได้ว่ามันมีประโยชน์ที่สุด คำนิยามนี้ สำหรับคำว่า ธรรม หรือพระธรรม หรือศาสนานี่ ขอย้ำอีกทีว่า ธรรม คือ ระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ทั้งในทางส่วนตัวบุคคล และทั้งในทางสังคม มีเท่านี้เอง ถ้าพวกฝรั่งชาวต่างประเทศ เขาเกิดมาถามเราว่า ธรรมะของท่านน่ะ คืออะไร เราก็ตอบเขาอย่างนี้ เขาจะไม่มีทางคัดค้าน หรือรังเกียจ หรืออะไร แม้แต่ประการใด ไม่สามารถจะพิสูจน์ความผิดพลาด ไม่สามารถจะพิสูจน์ความไม่มีประโยชน์อะไรได้ ทีนี้อธิบาย ธรรม คือ ระบบการปฏิบัติ ธรรมะนี่ไม่ใช่เป็นคำพูดหรือคำสอนล้วนๆ ต้องเป็นการปฏิบัติ และการปฏิบัตินั้นมันไม่เดี่ยว มันต้องเป็นระบบ คือ รวมกันอยู่เป็นระบบๆๆ ระบบน้อยรวมกันเป็นระบบใหญ่ เป็นระบบปฏิบัติทั้งหมด ในพระศาสนา เราจึงต้องใช้คำว่า ระบบของการปฏิบัติ ไม่ใช่คำสอน ไม่ใช่หนังสือ ไม่ใช่ใบลาน ไม่ใช่เสียงพูด ธรรมะนั้นคือ ตัวระบบของการปฏิบัติ และก็ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ คือ เหมาะสมจำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์ของมนุษย์นั่นแหละ มันถูกต้องเพื่อความเป็นมนุษย์ และไม่ใช่ถูกต้องแต่ระยะใดระยะหนึ่ง ถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์ ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ถ้าแม่เขาประพฤติธรรมแล้วก็ลูกในครรภ์นั้นน่ะ จะได้รับประโยชน์ด้วย ปลอดภัยสบายด้วย นี่ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จนคลอดออกมาเป็นทารก เป็นเด็ก เป็นเด็กวัยรุ่น เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นผู้ใหญ่ เป็นคนแก่คนชรา จนกว่าจะเน่าเข้าโลงไป ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการนี้ต้องการความถูกต้อง ต้องมีความถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ได้ด้วยการปฏิบัติ นี่เรียกว่าทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ทั้งในทางส่วนตัว จะได้รับประโยชน์เป็นส่วนตัวบุคคล กระทั่งในทางสังคม คือ สังคมนั้นๆ สังคมนั้นจะได้รับประโยชน์ นี่คือ ความหมายของคำว่า ธรรม หรือพระธรรม หรือพระศาสนาสุดแท้ อาตมาขอร้องว่าช่วยจำไว้เถิด จะมีประโยชน์ในการศึกษาธรรมะต่อไป และจะมีประโยชน์ในการที่จะตอบโต้สนทนากันกับบุคคลในศาสนาอื่นว่า ธรรมะในพระพุทธศาสนานั้นมันเป็นอย่างนี้
ทีนี้ก็จะพูดถึงคำว่า ถูกต้อง ให้ชัดออกไปอีก คำว่า ถูกต้องในบาลีเรียกว่า สัมมา ฉะนั้นสิ่งที่ถูกต้องจะมีคำว่า สัมมา นำหน้า ทีนี้ขอให้นึกถึงองค์มรรคทั้ง ๘ องค์ จะมีคำว่า สัมมา นำหน้า
สัมมาทิฏฐิ ความคิดเห็น หรือความเข้าใจถูกต้อง
สัมมาสังกัปโป ความปรารถนา หรือความใฝ่ฝันอันถูกต้อง
สัมมาวาจา คือ การพูดจาถูกต้อง
สัมมากัมมันโต การประกอบการงานถูกต้อง
สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิต หรือดำรงชีวิต อาชีพให้มันถูกต้อง
สัมมาวายาโม มีความพากเพียรถูกต้อง
สัมมาสติ มีความระลึกถูกต้อง
สัมมาสมาธิ มีความตั้งใจมั่นถูกต้อง คือมีสมาธิถูกต้อง
มันก็คือ มีกาย วาจาถูกต้อง มีจิตถูกต้อง มีปัญญาถูกต้อง เป็นความถูกต้อง ๘ ประการ รวมกันเข้าเป็นหนทางรอด หนทางรอดอันนี้จะตั้งอยู่ตรงกลาง คือ ไม่สุดโต่งข้างโน้น ข้างนี้ ข้างซ้าย ข้างขวา มันจะอยู่ตรงกลางเป็นความถูกต้อง เป็นความสมดุล ไอ้ถูกต้อง หรือกลางนี่มันมีความสมดุล คือ มันจะต้องมีอะไรที่พอดีแก่กันและกัน จึงจะสำเร็จประโยชน์เต็มที่ได้ ธรรมะมีลักษณะเป็นมัชฌิมาปฏิปทา คือ ข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง หรือพอดีประกอบอยู่ในความถูกต้องทั้ง ๘ นี้ คือ เป็นตัวระบอบปฏิบัติอย่างที่ว่ามาแล้ว ลูกเด็กๆ นั้นก็มีมัชฌิมาปฏิปทาไปตามแบบของลูกเด็กๆ คนโต หนุ่มสาว แก่เฒ่า มันก็มีระบอบมัชฌิมาปฏิปทาถูกต้องไปตามวัยนั้นๆ ฉะนั้นเราจึงใช้คำพูดที่เป็นกลางที่สุดว่า ระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา นี่เราจะจัดการศึกษาในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย ให้มันมีความถูกต้องอย่างนี้ได้หรือไม่ ให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา เราเหลือบดูไปทั่วๆ โลก ก็ยังไม่พบว่าประเทศไหนเขาวางหลักที่จะจัดระบบการศึกษาให้มันมีความหมายอย่างนี้เพื่อให้มีความถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ทั้งเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และส่วนสังคม ขอฝากท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายช่วยเอาไปพินิจพิจารณาด้วยว่า ตามทัศนะของอาตมารู้สึกว่าการศึกษาอย่างนี้ถูกต้องสมบูรณ์ พิสูจน์ความมีประโยชน์ถึงที่สุด ถ้าเราชอบชะเง้อมองพวกฝรั่ง เอาฝรั่งเป็นครู ทำอะไรก็ตามฝรั่ง ก็น่าจะพิสูจน์พวกฝรั่งกันเสียบ้างว่า พวกฝรั่งเขามองการศึกษาอย่างไร เขาจัดการศึกษาอย่างไร เขาเพ่งเล็งถึงศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งรวมกันแล้วเรียกว่า ธรรมเพียงคำเดียวนี้หรือไม่ เรากำลังจัดการศึกษาของเราอย่างตามก้นฝรั่ง หรือว่าอย่างตามหลักพระพุทธศาสนา อาตมาตั้งปัญหาถามครูบาอาจารย์ทั้งหลายจากนี้ว่า ท่านกำลังจัดการศึกษาของท่านอย่างตามก้นฝรั่ง หรือว่าตามหลังพระพุทธเจ้า พูดอย่างนี้ก็ได้ ก็ไปเรียนเอามา ไปขนเอามา วิชาความรู้ทางการศึกษาจากประเทศฝรั่ง แล้วก็มาจัดการศึกษา แล้วผลมันเกิดขึ้นอย่างไรก็ควรจะตั้งจิตใจให้เป็นธรรม มองดูพิสูจน์ดูว่า มันเหมาะแก่เรา หรือไม่ มันให้ประโยชน์แก่เราเต็มตามที่เราต้องการ หรือไม่ ทีนี้เราจะดูว่าการศึกษาของเราตามก้นฝรั่ง หรือว่าตามหลักของพระพุทธศาสนา ทีนี้ก็จะดูว่าความถูกต้องนี่ เราจะต้องไม่เชื่อผู้อื่น คือ ไม่เป็นทาสทางสติปัญญาของผู้อื่น พูดตรงๆ เสียแล้วก็แล้วกันว่า เราจะไม่เป็นทาสปัญญาของพวกฝรั่ง เราจะมีปัญญาของเราเอง พวกฝรั่งนั้น เขามีอะไรไปตามแบบฝรั่ง บางทีมันก็ดีเกินไปก็ได้ บางทีมันก็ขาดเอามากๆ อาตมาเคยนึกว่า สนทนากับพวกฝรั่ง เขาก้าวหน้าในทางเทคโนโลยีเหลือประมาณ เก่งเหลือประมาณ โดยเปรียบเทียบแล้วก็เก่งยิ่งกว่าพระวิษณุกรรมในเรื่องนิยายของเราเสียอีก เขาทำอะไรเหมือนกับวิ่ง ดูเอาเถอะ เขาก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหมือนกับวิ่ง ทีนี้เราก็ถามเขาว่า นี่คุณจะวิ่งไปไหนกัน เขาบอกว่า ฉันก็ไม่รู้ว่าจะวิ่งไปไหนกัน ต้องไปถามคอมพิวเตอร์ดู ยังไม่ได้ถามคอมพิวเตอร์ ยังไม่รู้ว่าวิ่งไปไหนกัน เราก็ถามต่อไปอีกหน่อยว่า อะไรมันดีที่สุดที่เราควรจะได้ ที่มนุษย์ควรจะได้ เขาก็บอกว่าไม่ทราบ ยังไม่ได้ถามคอมพิวเตอร์ว่าอะไรดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เราก็ถาม อ้าว แล้วอย่างนั้นคุณจะจัดให้ถูกเรื่องได้อย่างไร เพราะไม่รู้ว่าจะไปไหน จะไปเอาอะไรที่ไหน คุณก็จัดอะไรให้มันถูกเรื่องไม่ได้สิ เขาก็บอกว่า ไม่รู้ ยังไม่ได้ถามคอมพิวเตอร์ นี่เราจะเอาฝรั่งเป็นครูกันไปถึงไหน เราจะเป็นทาสสติปัญญาของฝรั่งไปถึงไหนกัน เดี๋ยวมันก็ไปจบอยู่ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่เสียทีที่เป็นมนุษย์ และได้พบ มันจะเสียทีที่เป็นมนุษย์ และได้พบพระพุทธศาสนา อะไรๆ ก็ควรจะเป็นการศึกษาชนิดที่พิสูจน์ความมีประโยชน์เห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่น เรามีความรู้สึกได้ด้วยจิตใจของเราเอง ไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่น เราพิสูจน์ทดลองได้ว่า อย่างนี้มันมีประโยชน์ เราก็เอาตามนี้กันดีกว่า นี่เรียกว่า การศึกษาตามหลักของพระพุทธศาสนาจะเป็นอย่างนี้ สำหรับอาตมานั้นเป็นทาสของพระพุทธเจ้า ไม่มีความคิดเป็นอย่างอื่นได้ มันมีแต่อย่างนี้ ทีนี้ก็ดูให้ดีเถิดว่า อย่างนี้แหละ ไม่ใช่อย่างอื่นหรอก ที่จะมีความถูกต้องเป็นของสากล ถูกต้องแก่ทุกคน เพราะมันถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ถ้าว่าเราจะถือเสียว่าสิ่งที่คนแต่โบราณเขาได้คิดแล้ว วางไว้แล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องคิดใหม่ เราเอามาคิดต่อ หรือเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เราก็จะพบการศึกษาในแบบนี้ วิชาความรู้นี่มันจะต้องถ่ายทอด และก็สืบต่อกันไปทั้งนั้น เช่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในโลกปัจจุบันที่มันไปไกลลิบ จนรู้เรื่องปรมาณู ไปสู่อวกาศได้ มันก็อาศัยความรู้วิทยาศาสตร์เด็กอมมือขั้นต้นๆ เมื่อหลายร้อยปี หรือตั้งพันปีมาแล้ว เป็นวิทยาศาสตร์เด็กอมมือสูงขึ้นมา สูงขึ้นมา มันก็ขยายออกไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนมาเป็นวิทยาศาสตร์สูงสุด รู้เรื่องปรมาณูบ้าง สามารถออกไปสู่อวกาศนอกโลกบ้างอะไรบ้าง การศึกษานี้ก็เหมือนกันแหละ มันเคยพิสูจน์ว่ามีประโยชน์แก่คนเมื่อร้อยปี พันปี หมื่นปีมาแล้ว มันก็รับทอดๆ กันมา เอามาพิสูจน์ดู เห็นความมีประโยชน์ก็จัดให้ได้รับประโยชน์เต็มที่สูงขึ้นไป จนกระทั่งว่ามนุษย์ได้ไปถึงจุดสูงสุดที่มนุษย์ควรจะไปได้ เช่น ลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้านี่ อาตมายอมรับ และเชื่อว่ามันเป็นจุดสูงสุดที่มนุษย์ควรจะเป็นไปได้ ไม่มีอะไรสูงไปกว่านั้น ท่านทั้งหลายก็ไปลองคิดดู เดี๋ยวจะหาว่าอาตมาพูดเอาเอง นับถือพระพุทธเจ้าอย่างหลับหูหลับตา แล้วก็ไปชวนคนอื่นให้นับถือ แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ กล้าท้าทายได้ ขอให้ไปพิสูจน์ว่ามันมีอะไรสูงยิ่งไปกว่าความเป็นมนุษย์อย่างพระพุทธเจ้า มนุษย์สูงสุด มนุษย์จะไปสู่ที่สูงสุดได้ก็คืออย่างนั้น เพียงเท่านั้น เราก็ควรจะได้ไปในทางนั้น อย่าให้เราได้รับประโยชน์น้อย อย่าให้เราได้รับประโยชน์จากความเป็นมนุษย์ของเราน้อยไป เราควรจะได้รับประโยชน์ให้มันมากยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะเราเกิดทีหลังนี่ เราได้เปรียบ เขารู้แล้วอย่างไร เขาสอนไว้อย่างไร เราเอามาใช้หมด แล้วเราก็ต่อมันออกไป ขยายมันออกไป เราก็รู้มากกว่า เราควรจะได้รับประโยชน์มากกว่า เราควรจะได้รับความสุขมากกว่าบรรพบุรุษ ถ้าเราได้รับความสุข หรือสงบสุขน้อยกว่าบรรพบุรุษของเรา เราก็คือคนโง่ คนเลว คนเหลวไหล คนใช้ไม่ได้ เพราะว่า บรรพบุรุษเขาได้สร้างวิชาความรู้การศึกษาไว้ให้เราตามที่เขาได้รับแล้ว มีความพอใจแล้ว มีความสุขแล้วอย่างบรรพบุรุษ เราได้รับมา เราก็ควรจะทำให้มันก้าวหน้าสูงขึ้นไป คือ ควรจะได้รับความสุข ความสงบ สันติสุข สันติภาพยิ่งกว่าบรรพบุรุษ นั่นน่ะมันจึงจะถูก หรือว่ายุติธรรม เดี๋ยวนี้มนุษย์มีความตกต่ำทางจิตทางวิญญาณ มนุษย์ปัจจุบันนี้ได้รับความสุข สันติสุข สันติภาพน้อยกว่าบรรพบุรุษ บรรพบุรุษของเราเคยอยู่กันด้วยสันติสุข และสันติภาพยิ่งกว่านี้ บรรพบุรุษเหล่านั้นไม่รู้หนังสือด้วยซ้ำไป เอ้า ถอยหลังเข้าไปหาบรรพบุรุษสมัยหินเลย สมัยอายุหิน ใครบ้างที่จะอวดตัวได้ว่าไม่ได้สืบสายมาจากบรรพบุรุษสมัยหิน มันก็ไม่มี มนุษย์ปัจจุบันนี้มันวิเศษอย่างไร มันก็เป็นลูกหลานของมนุษย์สมัยหินทั้งนั้นน่ะ แล้วก็ดูเถิดว่า เรา มนุษย์สมัยนี้ มีความสงบสุขยิ่งกว่าบรรพบุรุษสมัยหิน หรือเปล่า มนุษย์ยุคปัจจุบันนี้มีความรู้หนังสือ รู้อะไรมากมาย แล้วเต็มไปด้วยความเดือดร้อน เต็มไปด้วยอันธพาลอย่างไม่น่าเชื่อ และความเป็นอันธพาลยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที ไปเอาหนังสือพิมพ์ปีนี้เปรียบเทียบดูกับหนังสือพิมพ์เมื่อสี่ห้าปีมาแล้ว จะพบว่าความเป็นอันธพาลเลวทรามนี่ของมนุษย์ปีนี้มันเลวร้ายกว่ามนุษย์สี่ห้าปีก่อนนู้น นี่มันไม่น่าจะเป็น บรรพบุรุษสมัยหินอยู่กันอย่างผาสุก ไอ้ลูกหลานที่ออกมาจากบรรพบุรุษสมัยหินนั้นกลับอยู่ในกองไฟ มีความเร่าร้อนเหมือนกับนอนอยู่ในกองไฟ และการศึกษานั้นมันใช้ไม่ได้ มันรู้หนังสือ มันรู้เทคโนโลยี มันรู้อะไรมากกว่าบรรพบุรุษสมัยหิน แต่แล้วมันก็มีความระทมทุกข์เหมือนกับนอนอยู่ในกองไฟ ลองไปเปรียบเทียบดู อาตมามองเห็นอย่างนี้ ยิ่งคิดยิ่งเห็นอย่างนี้ ศตวรรษนี้เป็นศตวรรษแห่งความเครียด มนุษย์ในศตวรรษนี้มันเป็นมนุษย์ที่เครียด จนเป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต จนบ้าจนตายไปเลย มันเป็นศตวรรษแห่งความเครียด เพราะว่าการศึกษามันเป็นพิษขึ้นมา ทำให้เกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้สิ่งนู้น ซึ่งล้วนแต่ทำให้มีปัญหา ทำให้มนุษย์นอนไม่หลับ เรื่องยั่วยวนก็ยั่วยวนเกินไป ที่ทำให้หมดเปลืองมันก็หมดเปลืองมากเกินไป ที่ทำให้หวาดกลัวมันก็หวาดกลัวมากเกินไป เรื่องบ้าๆ บอๆ สกายแลปอะไรพวกนี้ กำลังกลัวกันทั้งโลก มันเป็นเรื่องอะไร มันเป็นเรื่องร้ายกาจเลวทรามยิ่งกว่ารู้มากยากนานเสียอีก รู้มากยากนานนั้นมันก็แย่มากแล้ว แต่นี่มันยิ่งไปกว่ารู้มากยากนานเสียอีก มันจะบ้าตายกันหมดแล้ว มันไม่เพียงแต่ยากนาน นี่เพราะว่าการศึกษามันไม่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา หมายความว่าเราไม่ได้ก้าวหน้าไปในทางที่จะมีความสงบสุข เราทำผิด ย้อนกลับในทางที่จะมีวิกฤตการณ์เดือดร้อน กระวนกระวาย ระส่ำระสาย จนศตวรรษนี้กลายเป็นศตวรรษแห่งความเครียดก็สมน้ำหน้ามัน สมน้ำหน้ามนุษย์ที่เกิดอยู่ในศตวรรษนี้ เพราะการศึกษาการประพฤติการกระทำอย่างนี้ทำให้เกิดความเครียดเต็มไปหมด ไปคิดดูเอาเองว่าเครียดอย่างไรบ้าง นี่อาตมามีความคิดอย่างนี้ มีทัศนะอย่างนี้ ที่เกี่ยวกับการศึกษา อาตมาได้บอกแล้วตั้งแต่ตอนกลางวันว่า ถ้าให้อาตมาพูดก็ต้องให้พูดตามความพอใจ ตามความรู้สึกคิดนึกของตนเอง เดี๋ยวนี้ก็ได้พูดไปแล้วตามความพอใจรู้สึกคิดนึกของตนเอง จะเป็นที่พอใจแก่ครูบาอาจารย์หรือไม่ ข้อนี้ไม่อาจจะรับรอง มันพูดได้แต่อย่างนี้ มันเห็นอยู่อย่างนี้ และก็พูดออกมาอย่างนี้ว่า เราจงมีการศึกษาที่เดินไปตามหลักของพระพุทธศาสนา ตามหลังพระพุทธเจ้าดีกว่าตามก้นฝรั่ง ขออภัย ขออภัยที่พูดหยาบคายอีกแล้ว มันก็รู้สึกอย่างนี้จริงๆ จึงขอฝากท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายไปช่วยกันพินิจพิจารณาดู เมื่อได้จัดการศึกษาให้สำเร็จประโยชน์ เป็นสันติสุขส่วนบุคคล เป็นสันติภาพส่วนสังคมแล้วก็เป็นอันว่าใช้ได้ ถูกแน่ สันติสุขส่วนบุคคล สันติภาพส่วนสังคม มันต่างกันนิดนึงนะ สันติสุข กับสันติภาพ กว้างแคบกว่ากันบ้าง แต่ขอให้จัดการศึกษาที่ให้เกิดสันติสุขแก่บุคคล ให้เกิดสันติภาพแก่สังคมเถิด ถูกแน่ ถูกจนว่าพระเจ้าจะมาพิสูจน์อย่างไรก็ไม่พบความผิด เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าว่าเราได้ทำให้มีการศึกษาถูกต้อง และมนุษย์ก็รักกัน มนุษย์มีความสุขอยู่ด้วยกัน รักกัน ไม่เกลียดชังกัน ไม่เอาเปรียบกัน เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่ได้รักกัน มันผิดกี่มากน้อย มนุษย์ไม่ได้รักผู้อื่น ขอให้ทุกคนนี่ช่วยสอดส่อง ช่วยคิดสอดส่องไปดูว่ามันมีความรักผู้อื่นอยู่ที่ตรงไหนบ้างในโลกนี้ รักลูก รักเมีย รักผัว รักชู้ รักเพื่อนกินเหล้า นี่ไม่ได้รักผู้อื่น มันรักตัวมันเองในความหมายอื่น ในความหมายหนึ่ง ไอ้รักผู้อื่นน่ะมันต้องรักผู้อื่นจริงๆ ในโลกนี้มันมีใครที่ตรงไหนที่มันมีความรักผู้อื่น ถ้ามันจะมีอยู่ หลงหูหลงตาอยู่ มันก็มีแต่ในหมู่บุคคลที่เชื่อพระเจ้า เชื่อศาสนาเท่านั้นแหละที่มันจะรักผู้อื่นได้ เพราะมันชวนกันทิ้งศาสนาหมดแล้ว ทิ้งธรรมะหมดแล้ว การรักผู้อื่นมันก็ไม่มี อาตมาคิดสอดส่องใคร่ครวญอยู่ตลอดเวลาว่า เอ๊ะ นี่เราจะไปดูความรักผู้อื่นที่ตรงไหน คิดไปๆ มันก็ไม่มองเห็น จึงเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เดี๋ยวนี้ในโลกนี้ ไม่มีความรักผู้อื่น เราจะหาความรักผู้อื่นในโลกนี้มาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้ ยาหยอดตามันมีมากน้อยแค่ไหน ลองคิดดู อาตมาพูดว่า สอดส่องไปทั้งโลกจะหาความรักผู้อื่นที่มีอยู่ในโลกมาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้ นี่มันไม่มีเหลืออยู่ มันไม่เหมือนกับในสมัยที่มนุษย์ยังยึดมั่นในพระธรรม ในพระศาสนา เชื่อฟังพระเจ้า เกรงกลัวพระเจ้า เป็นผู้กลัวบาป และก็เป็นผู้กล้าในบุญ ในกุศล สมัยนั้นน่ะมันมีความรักผู้อื่น เมตตากรุณา ช่วยเหลือกันและกัน เดี๋ยวนี้มันผิดหมดแล้ว การศึกษาตกไปเป็นทาสของเศรษฐกิจ การศึกษาเป็นทาสของการเมือง คนมันก็ไปเป็นผู้เห็นแก่ตัว ถ้าการศึกษามันรับใช้ธรรมะ รับใช้ศาสนา คนมันก็รักผู้อื่น เดี๋ยวนี้การศึกษามันไปรับใช้การเมือง รับใช้เศรษฐกิจ คนมันก็เห็นแก่ตัว มันแข่งขันกัน มันไม่รักกัน โลกนี้มันแบ่งเป็น ๒ ค่าย ค่ายประชาธิปไตย ค่ายคอมมิวนิสต์ มันรักกันไม่ได้สองค่ายนี้ มันตั้งใจจะเข่นฆ่ากันให้พินาศไม่ให้เหลือหลอ มันจะรักกันอย่างไรได้ และมันก็ยิ่งมีอำนาจ มีความรู้สึกกว้างขวางออกไป มันก็ไม่มีความรักผู้อื่นจนกว่าเมื่อไรธรรมะมันกลับมา ศึกษาธรรมะเป็นที่เข้าใจ เมื่อนั้นคนก็จะรักกัน คนมั่งมีก็จะรักคนจน คนจนก็จะรักคนมั่งมี ลัทธิที่จองล้างจองผลาญกันก็จะหมดไป คนก็จะอยู่ด้วยกันได้ทั้งที่ว่ามันมั่งมีหรือยากจนยิ่งกว่ากัน เพราะมันมีความรักเข้ามาเป็นสื่อประสาน เหมือนในยุคโบราณกาลโน้น คนเขารักกัน คนมั่งมีก็รักคนยากจน คนยากจนก็รักคนมั่งมี มันอยู่กันได้อย่างนี้ เพราะอำนาจของพระธรรม หรือการศึกษาที่ถูกต้องนั่นเอง เราดึงเอาศีล สมาธิ ปัญญา เป็นการศึกษา ๓ อย่างนี้กลับมา มันก็จะมีความรักผู้อื่นโดยง่ายดาย มีความเห็นถูกต้อง มีความปรารถนาถูกต้อง อะไรก็ถูกต้อง ก็อยู่กันด้วยความรัก รักผู้อื่น ถ้ามันมีความรักผู้อื่นแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะไปฆ่าใครที่ไหนได้ ไม่มีโอกาสที่จะไปขโมยของใครที่ไหนได้ เพราะมันรักผู้อื่น ไม่มีโอกาสที่จะล่วงของรักของใคร่ในทางกามของผู้อื่นได้ มันโกหกใครไม่ได้ มันจะขี้เมาให้เพื่อนรำคาญก็ไม่ได้ เพราะมันรักผู้อื่น มันก็สามัคคีกัน ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ก็อยู่กันเป็นผาสุก พิเศษ ถ้ามันเกิดขึ้นในยุคนี้ก็คือ โลกพระศรีอาริยเมตไตรนั้นเอง หมายความว่า ความรู้ทางเทคโนโลยีมันทำให้เรามีความสะดวกสบาย แต่เราไม่ได้รักผู้อื่น ก็เกิดเป็นผลร้ายขึ้นมา ทีนี้ลองเปลี่ยนเป็นรักผู้อื่น มีความรักผู้อื่นด้วย สมบูรณ์ด้วยวัตถุปัจจัยให้ความสะดวกเกี่ยวกับเทคโนโลยีทั้งหลายด้วย เราก็เลยมีความสุขสบายยิ่งกว่ายุคสมัยที่แล้วๆ มา จึงเรียกว่า ยุคพระศรีอาริยเมตไตร สมบูรณ์ทั้งทางจิตใจ สมบูรณ์ทั้งทางวัตถุ ขอให้การศึกษาเป็นอย่างนั้น อาตมาหวังอย่างนั้น จึงแสดงออกมาให้ท่านทั้งหลายทราบว่า การจัดการศึกษาในทัศนะอาตมาควรจะเป็นอย่างนี้ นี่ก็ได้พูดมาสมควรแก่เวลาแล้ว ชั่วโมงกว่าแล้ว ก็จะขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ว่า เราจัดการศึกษาตามหลังพระอริยเจ้ากันเถิด อย่าไปตามหลังผู้ที่ก้าวหน้าแต่ในทางวัตถุ หล่อเลี้ยงกิเลสตัณหาโดยส่วนเดียวเลย ขอตั้งจิตอธิษฐานว่า ท่านทั้งหลายคงจะมีสติปัญญา มีความกล้าหาญของตนพอที่จะวินิจฉัยความผิดความถูกของตน และร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกันจัดการศึกษาของประเทศชาติ หรือของมนุษย์นี้ให้ได้รับผลดีถึงที่สุดตามที่จะทำได้ ขอยุติ