แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ และกำลังจะเป็นครูบาอาจารย์ ผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายธรรมะกับท่านทั้งหลายในวันนี้ อาตมาอยากจะกล่าวซ้ำเรื่องที่ฟังกันแล้วเมื่อคืนโดยละเอียดออกไป เมื่อคืนนั้นเวลาก็จำกัด ๓๐ นาที พูดอะไรให้ชัดเจนไม่ได้ เดี๋ยวนี้เรามีเวลามากพอที่จะพูดอะไรให้เต็มที่ตามที่เราต้องการ ข้อแรกที่สุดนั้น อาตมาขอร้องให้ท่านทั้งหลายทำไว้ในใจเป็นเบื้องหน้าตลอดเวลาว่า ครู นั้นเป็นบุคคลสูงสุดของมนุษย์ ทำไมว่าเป็นบุคคลสูงสุดของมนุษย์ ถ้ามองดูทีแรกทีเดียว มันก็คือเป็นผู้นำ เป็นผู้สอน เป็นที่เคารพนับถือของมนุษย์ คือเป็นผู้ให้วิชาความรู้ เปิดเผยเรื่องลึกลับในทางจิต ทางวิญญาณ แล้วข้อที่ต้องมองถัดมาในฐานะที่เป็นผลก็คือ มันทำให้ครูนั่นแหละมีฐานะเหมือนกับเป็นผู้สร้างโลก เขาว่าพระเจ้าสร้างโลก ก็ตามใจเขา มันก็ได้เหมือนกัน เขามีคำอธิบาย แต่ที่เราเห็นชัดๆมาด้วยกันได้ทุกคนนั้น ครูมันเป็นผู้สร้างโลก เพราะว่าโลกนี้มันประกอบขึ้นด้วยบุคคล ประชาชนที่เป็นคนโลก ไอ้คนโลกนี้เป็นอย่างไร ไอ้โลกนี้มันก็เป็นอย่างนั้น นี้คนในโลกมันจะเป็นอย่างไร มันก็แล้วว่าแต่ครูนั่นแหละจะอบรมเขาให้เป็นอย่างไร ดังนั้นครูอบรมเด็ก ให้เป็นประชาชน เป็นมาอย่างไร โลกนี้มันก็เป็นโลกของบุคคลชนิดนั้น เราจึงเห็นได้ชัดโดยไม่ต้องเชื่อไปตามคนอื่นว่า ครู เป็นบุคคลที่สร้างโลกไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ถ้าพูดโดยเกียรติ ก็เป็นเกียรติสูงสุด ทำหน้าที่ของพระเจ้า ถ้าพูดถึงความสำคัญ มันก็สำคัญที่สุด คือมันจะทำให้โลกนี้วินาศก็ได้ ทำให้โลกนี้สงบสุขสันติภาพก็ได้
ณ.ที่นี้อยากจะพูดถึงคำว่า ครู ครูนี้โดยเฉพาะเสียชั้นหนึ่งก่อน คำว่าครู เด็กๆเขาก็รู้ว่า คือผู้สอน รู้มากไปกว่านั้นหน่อยก็ว่าผู้ที่ศิษย์จะต้องเคารพ คือความหนัก ทำความหนัก เพราะคำว่าครูหรือครุนั้น แปลว่าหนัก ถ้าเลยไปกว่านั้นอีก ในชั้นดี ของปทานุกรม ที่เป็นเจ้าของภาษานี้ เขาแปลคำว่าครูนี้ว่า เป็นผู้นำในทางวิญญาณ คือเป็น Spiritual Guide ทีนี้เมื่อไปดูไอ้คำนี้ให้มันหนักขึ้นไปอีก เพื่อให้ทางภาษาศาสตร์ ให้ถึงรากศัพท์ของคำคำนี้จริงๆ ตั้งแต่ครั้งโบราณดึกดำบรรพ์โน้น จนกระทั่งว่ามัน มันไกลมากน่ะ
คำว่าครูนี้ก็ถือว่ามันมีรากศัพท์มาจากคำว่า ผู้เปิดประตู จำคำว่าผู้เปิดประตูไว้ก่อน แล้วก็ถามว่า เปิดประตูอะไรกัน ก็เปิดประตูแห่งคอกเล้า แห่งความโง่ หรือความทุกข์ เปรียบอุปมาเหมือนกับว่า สัตว์มันอยู่ในคอก เช่น เป็ด ไก่ หมู อะไรก็ตาม มันอยู่ในคอก ในเล้าที่มืด ที่สกปรก ที่ลำบาก พอมีการเปิดประตู มันก็ออกมาสู่ที่สว่าง ที่สะดวกสบาย เป็นอิสระ เราจะต้องนึกถึงความรู้สึกอันนั้นว่า ถ้าเราถูกกระทำอย่างนั้นแล้วออกมาได้นี่ มันจะมีความรู้สึกอย่างไร นั่นแหละคือค่าของความเป็นครู ครูเป็นผู้เปิดประตูในฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ตรงนี้ก็จะขอแทรกว่า ขอให้ครูทั้งหลายช่วยจำคำว่าฝ่ายวิญญาณกันไว้บ้าง มันคู่กับฝ่ายเนื้อหนังร่างกาย ถ้าเปิดประตูฝ่ายเนื้อหนังร่างกาย ฝ่ายวัตถุ ก็เหมือนกับประตูที่เราเปิด ปิด อ๊อดแอ๊ดๆอยู่ทุกวันนั่นแหละ คือ ประตูในทางวัตถุ
ทีนี้ประตูทางฝ่ายวิญญาณ มัน มันไม่มีบานไม้ บานเหล็ก ที่จะทำเสียงออดแอดอย่างนั้นได้ คือมันเปิดความโง่ เปิดประตูแห่งความโง่ ในจิต ในวิญญาณของคน อย่างนี้เราเรียกว่าประตูฝ่ายวิญญาณ ทีนี้คำว่าฝ่ายวัตถุกับฝ่ายวิญญาณนี้มันเป็นคู่กันอยู่ ขอให้จำไว้ และขอให้เข้าใจ จนถึงแต่ว่านำไปพูดได้ ไปใช้พูดได้ในทุกๆกรณี เพราะไม่มีอะไรอ่ะ ที่มันจะไม่อยู่ในคำคู่ทั้งสองนี้ กินอาหารทางวัตถุ ก็กินอาหารทางวิญญาณก็มี จิตใจมันกินอาหารทางวิญญาณ ร่างกายกินอาหารทางวัตถุ ฉะนั้นเราจึงมีเอ่อ, ที่อยู่ที่อาศัยทั้งทางฝ่ายวัตถุและฝ่ายวิญญาณ บ้านเรือนฝ่ายวัตถุ ทีนี้ธรรมะสำหรับจิตใจอาศัยเป็นบ้านเรือน ฝ่ายวิญญาณ เราจึงมีความสุข ทั้งฝ่ายวัตถุและฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายวัตถุ คือฝ่ายเนื้อหนังเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งสัตว์กำลังหลงใหลกันนัก ส่วนความสุขทางวิญญาณนั้นมันไม่ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ และมันยังต้องการจะปราศจากหรือ พ้นไปเสียจากอิทธิพลของสิ่งเหล่านี้ จิตใจมันถึงจะมีความสงบสุข
สุขทางฝ่ายวัตถุ ต้องเอาเหยื่อทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ป้อนเข้าไป แต่ว่าสุขฝ่ายวิญญาณนั้น ปัดสิ่งเหล่านี้ออกไปเสียให้หมด ให้จิตมันเป็นอิสระ แล้วก็สงบเย็น ที่เราเรียกว่าความสุขทางฝ่ายวัตถุก็มี ความสุขทางฝ่ายวิญญาณก็มี ถ้าเข้าใจแล้ว ก็จะพูดทุกเรื่องได้เป็น ๒ ฝ่าย อย่างนี้เสมอ นี่, ครู เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ หรือจะเรียกว่าเป็นผู้นำในทางฝ่ายวิญญาณก็ได้ นี่, ความหมายคำว่าครู จึงตั้งอยู่ในฐานะเป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้าง นี้ขออภัยที่ต้องพูดว่าครูสมัยปัจจุบันนี้มีความรู้สึกทางจิตใจเหมือนๆกับว่าเป็นลูกจ้าง สอนหนังสือ รับจ้างสอนอะไรตามหลักสูตร เพื่อเอาเงินเดือน เงินเดือนได้มาก็ไปหาความสุขทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนัง ไปเล่น ไปหัว ถ้ายังหนุ่มสาวอยู่ก็เป็นเรื่องที่ไปหาความสุขสนุกสนานตามแบบของหนุ่มสาว ทั้งหญิงทั้งชาย คอยดูหน้าโฆษณาแต่เรื่องกางเกงยีนส์อยู่ทั้งนั้นน่ะ นี่คอยคิดอยู่แต่ว่ามันไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น ทีนี้เราก็จะต้องมาคิดกันเสียใหม่ ว่าเราจะเป็นครูกันสักทีหรือยัง ถ้าเราจะเป็นครูกันสักที แล้วก็เตรียมเถอะสำหรับที่จะเปิดประตูทางวิญญาณ แล้วก็จะพ้นฐานะลูกจ้างสอนหนังสือ ทำเงินเดือนไปกินไปใช้
ถ้าเป็นครูในฐานะที่เป็นลูกจ้างสอนหนังสือ มันก็หิวกระหายจะได้เงินเดือนมากกว่า เมื่อไหร่เงินเดือนจะออก จะไปกินไปเล่นกันให้สนุกสนาน ความสุขมันอยู่ที่นั่น แต่ถ้าเราเป็นครู ทางฝ่ายวิญญาณแล้ว ความสุขมันมีอยู่เมื่อกำลังสอนหนังสือนั่นเอง เมื่อกำลังอยู่หน้ากระดานดำ หรือกำลังทำอะไรที่เป็นการสอนอยู่นั่นน่ะ มันมีความสุขที่นั่น ตรงนั้น ด้วยการกระทำอย่างนั้น เพราะรู้สึกว่าเราได้ทำหน้าที่เปิดประตูในทางวิญญาณ แม้ว่าในขั้นเริ่มต้นคือสอน ก ข ก กา
ขอให้แยกความสุขออกเป็น ๒ อย่าง อย่างนี้ คนธรรมดา มีความสุขต่อเมื่อทำงานได้เงินไปซื้อหาวัตถุอุปกรณ์แห่งการบำรุง บำเรอ แล้วก็ได้ความสุข เป็นความสุขทางวัตถุ ทางเนื้อหนัง แต่ถ้าครูที่เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณนั้น มันมีความสุข เมื่อกำลังสอนหนังสือ เมื่อกำลังทำหน้าที่ ไม่ใช่ว่าตอนเงินเดือนออก เงินเดือนออก ไม่ออก ก็ไม่ค่อยได้สนใจ เพราะความสุขมันอยู่ที่นี่ซะแล้ว ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นครู คือสอนนั้นได้ดีมากกว่า ผู้ที่มีความรู้สึกว่าเป็นผู้รับจ้างสอนหนังสือ หรือ อาศัยอาชีพครูนี้เป็นสะพาน พอให้อยู่ไปได้สักพักหนึ่งก่อน แล้วก็หาโอกาสไต่เต้าไปสู่อาชีพอื่น ละทิ้งอาชีพครูไป โดยที่ไม่เห็นว่าอาชีพครูนี้เป็นอาชีพสูงสุด ทำไมอาตมาจึงพูดว่า อาชีพครูนี้เป็นอาชีพสูงสุด ก็เพราะว่ามันมันอยู่บนหัวคน ถ้าเป็นครูแท้จริงมันอยู่บนหัวคนทุกคน แล้วมันก็เป็นอาชีพที่ เป็นปูชนียบุคคล อาชีพปูชนียบุคคลนี้มีได้จำกัด คือเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์ ยิ่งไปกว่าเงินเดือนหรือว่าเครื่องบูชาที่ตัวได้รับ ถ้าเขาทำอาชีพนี้ก็เรียกว่าเป็นอาชีพของปูชนียบุคคล เช่น พระเจ้า พระสงฆ์ อยู่ในอาชีพปูชนียบุคคล ครูบาอาจารย์อยู่ในอาชีพปูชนียบุคคล แม้แต่ข้าราชการ ตุลาการ หรืออะไรก็ตามที่ทำหน้าที่ในระดับสูงแล้วก็ด้วยจิตใจที่ถึงระดับจริงๆอย่างนี้ รักษาความเป็นธรรมไว้ในโลกนี้ให้คนมันได้รับความเป็นธรรมอย่างนี้ อาชีพนั้นก็พลอยเป็นอาชีพปูชนียบุคคลไปด้วย แต่ถ้าทำอาชีพเป็นกรรมกร แบกกระสอบข้าวนี่ มันก็ไม่ใช่อาชีพปูชนียบุคคลอะไรนะ มันเอามาเปรียบกันไม่ได้กับอาชีพครู ดังนั้นอาชีพครูนอกจากจะเป็นอาชีพปูชนียบุคคลแล้ว มันยังเป็นอาชีพที่ได้บุญพร้อมกันไปในตัว ปัจจัยเครื่องอาศัยเลี้ยงชีพก็ยังได้ ความเป็นปูชนียบุคคลก็ได้ แล้วบุญกุศลก็ได้ เพราะว่าเป็นการเปิดประตูในทางวิญญาณให้สัตว์ในโลกนี้รอดไปจากความทุกข์ มันจึงเรียกว่า ได้บุญ นี่, ขอให้มองอาชีพครูกันในอย่างนี้ ในลักษณะอย่างนี้ แล้วรู้สึกว่าเป็นบุญ เป็นกุศล เหลือเกิน ที่เราเผอิญมาได้รับอาชีพชนิดนี้ เมื่อมองเห็นอย่างนี้แล้ว ก็ตั้งอกตั้งใจ ที่จะทำให้ดีที่สุด คือควบคุมตนเอง อบรมตนเอง ฝึกฝนตนเองให้เป็นครูที่ดีที่สุด
อาตมาจึงขออนุโมทนาด้วย ในการที่ท่านทั้งหลายทุกคน ขวนขวายเพื่อจะอบรมตนให้เป็นครูที่ดีที่สุดอย่างที่มาที่นี่ ก็คงจะด้วยความมุ่งหมายอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงขออนุโมทนาด้วย
ทีนี้ก็จะพูดถึงสถานที่นี้บ้าง มาแล้วจะได้รับประโยชน์อะไร ที่นี่โดยส่วนใหญ่ที่เรียกว่าสวนโมกข์นี้ เป็นสถานที่ที่จัดขึ้นสำหรับให้คนได้รับความสะดวกในการที่จะใกล้ชิดธรรมชาติ ได้เป็นเกลอกับธรรมชาติพูดอย่างนั้นดีกว่า ที่นี่จัดให้เกิดความสะดวกอย่างนี้ ดังนั้นเราจะมีโรงเรียนในลักษณะอย่างนี้ โรงเรียนโดยเฉพาะมันอยู่ที่ไหล่เขาตรงโน้น ก็เหมือนอย่างนี้ มีก้อนหินก้อนหนึ่งก็วางกระดาษ ดินสอสำหรับเขียน คนก็นั่งกลางดิน ใช้อบรมอาจารย์วิปัสสนามาแล้ว ใช้อบรมผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษามาแล้ว อบรมนิสิตนักศึกษามามากมายแล้ว เพื่อให้เขาได้นั่งกลางดิน แล้วก็ใช้ก้อนหินนี่เป็นโต๊ะรองเขียน ก็เพื่อให้ใกล้ธรรมชาตินั่นเอง จำเป็นอะไรที่จะต้องใกล้ธรรมชาติ ก็เพราะว่าเรื่องธรรมะนั้นมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ จำประโยคนี้ไว้เถอะว่า ไอ้เรื่องของธรรมะนั้นมันเป็นเรื่องธรรมชาติ ประโยคสั้นๆว่าอย่างนี้ แล้วก็ไปแตกแยก แตกความหมายดูเองหลายๆแขนง แล้วก็จะพบในที่สุดว่า ไอ้ธรรมะนั้นคือตัวธรรมชาติทั้งหลาย ธรรมชาติชนิดไหนก็ตามนี่ เขาเรียกว่าตัวธรรมชาติ ภาษาบาลีเขาเรียกว่า ธรรม หรือ ธรรมะ ที่ในตัวธรรมชาติทั้งหลาย มันก็มีกฎของธรรมชาติ ไอ้กฎของธรรมชาตินี้ก็เรียกว่า ธรรม หรือ ธรรมะ ทีนี้มันก็มีการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้นให้ถูกต้อง หน้าที่อันนี้ก็เรียกว่า ธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ผลเกิดขึ้นมา ผลนั้นก็ยังคงเรียกว่า ธรรม หรือ ธรรมะ นี่ มันประหลาดอย่างนี้ ท่านเป็นครูทั้งทีก็ช่วยจำคำๆนี้ไว้ว่า มันช่างประหลาดอย่างนี้
ธรรม ในภาษาไทย พยางค์เดียว หรือ ธรรมะ สองพยางค์ ในภาษาบาลี มันมีรูปศัพท์อย่างนี้ และมีความหมายอย่างนี้ มันครอบจักรวาล คือว่า ธรรมคือตัวธรรมชาติ ธรรมคือตัวกฎของธรรมชาติ ธรรมคือตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมคือผลที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ที่เรามาเล่าเรียนธรรมะกันส่วนมากก็เล่าเรียนเรื่องหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะได้รับผลเป็นความสุข เรื่องทาน เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา อะไรเหล่านี้มันเป็นเรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติทั้งนั้น
ฉะนั้นธรรมในหลักของศาสนาจึงเล็งถึงความหมายนี้เป็นส่วนใหญ่ รวบรวมเอาความหมายอื่นๆ ไว้โดยอ้อม เราจึงไม่พูดถึงไอ้อย่างอื่นนัก แต่ถึงอย่างไรก็ดี มันก็รวมกันอยู่ทั้งสี่ความหมายนั้นโดยอัตโนมัติ เข้าใจง่ายๆก็ว่าในคนๆหนึ่ง ตัวบุคคลคนหนึ่งนั้นแหละไอ้ตัวเนื้อหนัง ร่างกาย จิตใจนี้มันเป็นตัวธรรมชาติ ที่ในเนื้อหนัง ร่างกาย จิตใจนี้มันมีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ มันจึงเกิดขึ้นมา มันจึงแก่ชราไป มันจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้นอย่างนี้ ตามกฎของธรรมชาติ เพราะว่ามันเกิดขึ้นด้วยกฎของธรรมชาติ มันตั้งอยู่โดยกฎของธรรมชาติ มันดับไปโดยกฎธรรมชาติ นี่, ในตัวเรามีกฎธรรมชาติอย่างนี้ แม้แต่ในผมเส้นเดียว ซึ่งเป็นตัวธรรมชาติ มันก็มีกฎของธรรมชาติควบคุมผมเส้นนั้นอยู่อย่างนี้เป็นต้น ทีนี้ก็มีหน้าที่ ตามกฎของธรรมชาติ ที่บุคคลคนหนึ่งๆนี้จะต้องปฏิบัติ นับตั้งต้น ตั้งแต่ว่าจะต้องกินอาหาร ต้องถ่ายอุจระ ปัสสาวะ ต้องบริหารร่างกายอย่างนั้นอย่างนี้ จนถึงให้ชีวิตรอดอยู่ได้ ยังมีหน้าที่ที่จะทำให้รับสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้ นั้นก็เป็นหน้าที่สูงสุด เราก็มีหน้าที่อยู่เต็มเนื้อเต็มตัว ถ้าเราเป็นครู เราก็ยังมีหน้าที่ที่จะเป็นครูให้ดีที่สุด นี้เรียกว่ามันหน้าที่ ที่มีอยู่ในตัวเรา ทีนี้เราทำหน้าที่แล้วก็ได้ผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามสมควรแก่หน้าที่ มันก็มีผลอยู่ในตัวเรา
ในตัวคนๆหนึ่งมีธรรมะ สี่ความหมายครบถ้วน คือตัวธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวกฎของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติอย่างหนึ่ง และตัวผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ เรียกโดยภาษาอินเดียโบราณว่า ธรรม คำเดียว นี้ก็ถามพวกฝรั่งว่าคุณช่วยแปลคำว่า ธรรม ให้เป็นภาษาอังกฤษให้มันถูกต้อง เต็มตามความหมายที มันสั่นหัวกันทั้งนั้นเลย ไม่สามารถจะแปลคำว่า ธรรม นี้เป็นภาษาอังกฤษได้ เว้นไว้เสียแต่จะไปแยกเป็นส่วนๆๆๆ แล้วก็ให้คำแปลเฉพาะส่วนนั้น เฉพาะส่วนไป ถ้าขืนทำอย่างนี้ มันก็ได้ความหมาย เอ่อ, ได้คำแปลเป็นภาษาอังกฤษตั้งหลายสิบคำโน่น, จนกว่าจะพอ หรือจนหมดของคำว่า ธรรม เป็นธรรมชาติก็มี เป็นหน้าที่คำสั่งสอนก็มี เป็นกฎก็มี เป็นอะไรก็มี เขาก็เลยยอมแพ้ ไม่มีใครสามารถที่จะแปลคำว่า ธรรม นี้ออกเป็นภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส หรืออะไรได้ ก็เลยยกเลิก
ทีนี้มาดูในภาษาไทยเรา มันก็เหมือนกัน แปลได้เมื่อไหร่ล่ะ เราต้องใช้คำว่า ธรรม อยู่นั้นแหละ เราแปลเป็นภาษาไทยไม่ได้ ดังนั้นขอให้จำไว้ในฐานะเป็นคำประหลาดสูงสุด ศักดิ์สิทธิ์ พิเศษ รู้จักไว้ให้ดีๆ สำหรับว่าคำว่า ธรรม เป็นคำเดียว ถ้าต้องพูดกับฝรั่งเกี่ยวกับคำๆนี้ ก็อธิบายเขาอย่างนี้แหละ ถ้าจะให้หมดครอบจักรวาลแล้วก็ต้องบอกว่ามันมี สี่ ความหมายอย่างนี้ ที่นี้เราเห็นได้ชัดแล้วว่า ไอ้ธรรม นี่มันคือสิ่งที่เกี่ยวกันอยู่กับธรรมชาติ หรือเป็นตัวธรรมชาติโดยตรง ดังนั้นถ้าเราเข้ามาใกล้ ธรรมชาติมันก็เป็นโอกาส หรือเป็นการง่ายที่จะรู้จัก ธรรม ดังนั้นเราจึงจัดให้คนได้รับความสะดวกในการที่จะนั่ง นอน ยืน เดิน เป็น อยู่ กับธรรมชาติ เหมือนในสวนโมกข์นี้ ตามหลักการแล้วไม่ ไม่รับพระภิกษุ สามเณรอื่น นอกจากภิกษุสามเณรที่เรียนปริยัติธรรมมาแล้ว จากกรุงเทพหรือจากที่ไหนก็ตาม แล้วมาอยู่ที่นี่ เพื่อใกล้ชิดธรรมชาติ เพื่อรู้ตามธรรมชาติ ศึกษาธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ ก็ง่าย ก็สะดวก ที่จะเข้าถึงธรรมะซึ่งมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ อย่างท่านทั้งหลายกำลังนั่งอยู่ที่นี่ ก็นั่งอยู่บนทราย บนแผ่นดิน ขอให้ถือเอาโอกาสนี้ ทำวิปัสสนาก็ได้ ระลึกนึกให้ได้ว่าเรากำลังนั่งอยู่กับธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า นี่, ขออภัยใช้คำธรรมดา โสก กระโดก(นาทีที่21.48) ว่าที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า เพื่อประหยัดเวลา ก็ไม่ค่อยใช้ราชาศัพท์ ครูเหล่านี้คงจะเคยอ่านพุทธประวัติมาแล้ว ว่าพระพุทธเจ้านั้นประสูติกลางดิน แล้วเมื่อตรัสรู้ก็นั่งตรัสรู้กลางดิน เมื่อนิพพานก็ประทับนิพพานกลางดิน สอนสาวกทั้งหลายตลอดเวลา ก็สอนกันกลางดิน เพราะมันอยู่กันกลางดิน และกุฏิของพระพุทธเจ้า ก็ยังแถมเป็นพื้นดินไปทุกหนทุกแห่ง ที่จะไปดูได้เดี๋ยวนี้ ฉะนั้นเราควรจะถือว่าดินนี้ เป็นที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า นอกจากมันจะเป็นธรรมชาติแล้ว พระพุทธเจ้าท่านใกล้ชิดธรรมชาติ ถึงกับว่าเกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน ตายกลางดิน อยู่กลางดิน สอนกลางดิน อะไรกลางดินไปหมด เราก็ควรจะเดินตามรอยนั้น ดังนั้นเดี๋ยวนี้เรานั่งกันอยู่กลางดิน ก็ควรจะพอใจว่าได้นั่งอยู่บนที่นั่งที่นอนที่อะไรของพระพุทธเจ้า มีจิตใจเป็นพุทธานุสติ อย่างนี้ดังนี้แล้ว เพียงแต่เชื่อมานั่งอยู่ที่ตรงนี้มันก็เป็นการได้บุญ คือได้ทำ กรรมฐาน บทพุทธานุสติ อย่างน้อยก็ส่วนหนึ่งแหละ แล้วมันก็ได้บุญ มันมีจิตใจผิดแปลกไปจากที่นั่งในห้องเรียนของวิทยาลัย ของมหาวิทยาลัยอันสวยงามโอ่อ่า นั้นมันก็มีแต่จะเคลิ้ม จะหลงไปตามแบบนั้น ไม่มีจิตใจหยุดลง เย็นลง เที่ยงลง เหมือนกับที่มานั่งในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้ามันคือธรรมชาติ ท่านตรัสรู้กลางดิน ท่านสอนสาวกตั้งแปดหมื่นสี่พันธรรมขันต์ ก็กลางดิน นี่เราเรียกว่ามหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า คือ ดิน และนี่มันนั่งในห้องเรียนแห่งมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า ก็ควรได้รับประโยชน์อันนี้ นี่เรื่องของสวนโมกข์ จัดเพื่อให้คนได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ รวมทั้งได้ฝึกฝนต่างๆนาๆ เพื่อความมีธรรมะหรือเป็นธรรมะยิ่งๆขึ้นไป กินง่าย นอนง่าย อยู่ง่าย อะไรต่างๆ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งก็คือ ฝึกการเสียสละเพื่อผู้อื่น ต้อตอของกิเลสนั้นมันอยู่ที่เห็นแก่ตัว ไปคิดดูเถอะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มาจากความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวก็โลภอยากได้มาก เมื่อไม่ได้อย่างใจตัว ก็โกรธ แล้วก็หลงใหลในสิ่งถูกใจตัว นี่มันก็เรื่อง เป็นเรื่องความเห็นแก่ตัว เราต้องมีบทเรียนสำหรับปฏิบัติเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นที่นี่เราจึงหัดให้กินง่าย นอนง่าย อยู่ง่าย ไม่ตามใจตัว ยิ่งกว่านั้น ยังมีโอกาสที่จะฝึกฝนการบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น ขอแสดงความขอบใจ นิสิต นักศึกษาทั้งหลาย ที่อุตส่าห์จับไม้กวาด ระดมกันชั่วโมงเดียวเตียนไปทั้งวัด แต่ก็มีบางพวกที่เห็นแก่ตัวไม่เคยแตะไม้กวาดเลย ขอแสดงความพอใจอนุโมทนาแก่ท่านทั้งหลายที่มุ่งหมายจะฝึกการเอาเหงื่อเป็นเครื่องล้างความเห็นแก่ตัว พวกฝรั่งมาที่นี่ ก็ยังทำอย่างนี้ ก็ขอบใจเขา ฝรั่งบางคนเก็บหมด เสื่อ หมอน ไม้ อะไร แม้แต่เศษขยะสักนิดในห้องที่เขาพักไม่มีเหลือ แล้วยังมารายงานด้วย เป็นโปรเฟส เฟสเซอร์ มาจากประเทศเยอรมัน พอเข้าไป เขามารายงานว่าเขาได้เก็บหมด ทั้งเสื่อ ทั้งหมอน ทั้งไอ้ แม้แต่ฝุ่นละอองในห้องก็ปัดกวาด นี่ฝรั่ง ที่เป็นตัวอย่างที่ดีมันก็มีอย่างนี้
ฉะนั้นเราจึงถือว่าสวนโมกข์นี้เป็นที่สอบไล่ เป็นห้องทดลอง เป็นห้องสอบไล่ เป็นอะไรเสร็จไปในตัวว่า คนจะมีความเห็นแก่ตัวกันซักกี่มักน้อย ฉะนั้นคนที่จะฝึกเพื่อความไม่เห็นแต่ตัวนั้น จะต้องฝึกอย่างไร ขอให้สนใจในการที่จะถือว่า สวนโมกข์นี้เป็นที่ฝึกฝนการทำลายกิเลส คือต้นตอของกิเลส คือความเห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัว ก็มันนอนสายตะวันโด่งแล้วมันก็ไม่ลุกขึ้น ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็ตื่นตั้งแต่ดึกมาไหว้พระสวดมนต์ นี่มันเป็นสิ่งที่ต้องฝึกทั้งนั้นนะ ถ้าไม่ฝึกทำไม่ได้ ถ้าอยู่ที่โรงเรียน อยู่ที่บ้าน ตะวันยิ่งกว่าโด่งแล้วก็ยังไม่ลุกขึ้นก็มี แต่ถ้ามาอยู่ที่นี่ ตามระเบียบของที่นี่แล้ว เขาตื่นกันเมื่อตีสี่ มีตีระฆัง มีติดไฟขึ้นมา แล้วก็ทำอะไรไปตามที่ควรจะทำ มันก็ขูดเกลาความเห็นแก่ตัว เรามันเป็นคนขี้เกียจก็เห็นแก่ตัว เป็นของ เป็นคู่กัน ไอ้ความขี้เกียจนั่นแหละมันทำให้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวมันก็ทำให้ขี้เกียจ นี่ลองคิดดูเถอะว่าเราก็ขี้เกียจเรียนหนังสือนะ นี่อยากจะพูดว่า นักศึกษาทุกคนนี่ขี้เกียจเรียนหนังสือทั้งนั้นแหละ คือมันเรียนแต่เมื่อจำเป็นเท่านั้นแหละ เมื่อไม่จำเป็นมันไม่เรียน โดยเนื้อแท้มันไม่เรียน มันเรียนเพราะความจำเป็นบังคับนี่ เพื่อจะสอบไล่หรือเพื่ออะไรก็ตาม มันจึงเรียน นี้ว่าโดยเนื้อแท้มันไม่ได้สมัครจะเรียน หรือพอใจจะเรียน หรือจะสนุกสนานในการเรียน มันเรียนเพราะความจำเป็น ถึงผู้ที่ทำงานอย่างอื่น เป็นข้าราชการ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นอะไรก็ตามก็ขี้เกียจทำงานทั้งนั้นแหละ ทำต่อเมื่อจำเป็น เพราะมันจำเป็นต้องลงเวลาทำงานหรือรับผิดชอบ มันก็ฝืนลุกขึ้นมาทำงาน โดยเนื้อแท้แล้วก็ไม่ได้อยากจะทำงาน เรียกว่าเรามีความเกียจคร้าน ทำการงาน เป็นต้นทุนกันอยู่ทุกคนแหละ นี่ขอให้แก้นิสัยอันนี้ ให้เปลี่ยนนิสัยอันนี้ ให้กลายเป็นว่าเรารักที่จะทำงาน การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม คือเป็นการแก้ความเห็นแก่ตัว ถ้าเราทำงานก็ต้องมีวิริยะ คือความขยันขันแข็ง แล้วต้องมีความตั้งใจจริง มีสมาธิ มีปัญญา มีสติสัมปชัญญะ มีความอดกลั้นอดทน นี่มันจึงจะทำงานได้
ดังนั้นถ้าใครทำงานได้ คนนั้นก็มีธรรมะ เพราะฉะนั้นการทำงานก็คือ การปฏิบัติธรรม ฉะนั้นขอให้รักการงาน เพราะมันเป็นการปฏิบัติธรรม ทำให้เรามีค่า มีความเป็นมนุษย์สูงขึ้นมา ให้สนุกในการงาน ให้เป็นสุขในการงาน อย่าเป็นสุขต่อเมื่อเอาเงินเดือนไปซื้อหาสิ่งบำรุงบำเรอร่างกายเลย นั้นมันทำให้เป็นทาสของอายตนะ คำนี้อีกคำ ขอความกรุณาช่วยจำไปด้วย ว่ามันเป็นทาสของอายตนะ เป็นบ่าวเป็นขี้ข้า เรียกว่าเป็นทาส เป็นทาสของอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องขวนขวายหาสิ่ง เอร็ดอร่อย สนุกสนาน มาบำรุงบำเรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การทำอย่างนี้เรียกว่า เป็นทาสของอายตนะ ถ้าเป็นทาสของอายตนะ แล้วมันไม่มีทางที่จะทำอะไรให้เป็นธรรมะหรือดีไปได้ โดยเฉพาะที่ยังเป็นนักเรียนนักศึกษานี่ ถ้าเป็นทาสของอายตนะ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจแล้วการเรียนนั้นไม่ดี หรือถึงกับล้มเหลวก็ได้ เพราะมันก็ขี้เกียจ ขี้เกียจเรียน มันก็ใช้เงินเปลือง มันเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็กอย่างนี้ แล้วมันจะเรียนได้ยังไง
ดังนั้นเรื่องความเป็นทาสของอายตนะนี้ พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้ ท่านได้ห้ามไว้ ท่านได้แสดงไว้ ในฐานะเป็นอันตราย เป็นสิ่งไม่พึงปรารถนา ขออย่าได้คิดที่จะไปเป็นทาสของอายตนะ แสวงหาความเอร็ดอร่อย สนุกสนานทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเลย มันจะทำลายความเป็นครูหมดสิ้น ลูกศิษย์จะไม่นับถือ แล้วตัวก็จะทำอะไรไม่ได้ด้วย เพราะมันไปมัวเป็นทาสของอายตนะเสียหมด ฉะนั้นความเป็นทาสอายตนะนี้ อย่าได้มีแก่บุคคลใดเลย ไม่เฉพาะผู้ที่จะเป็นครู ทุกคนในโลกนี่ไม่ควรจะเป็นทาสของอายตนะ แต่นี้มันไปเป็นทาสของอายตนะ มันจึงเกิดปัญหาขึ้นมาทั้งโลก คือการยื้อแย่งกัน การเบียดเบียนกัน การรักกันไม่ได้ การแย่งชิงเหยื่อ เหมือนสุนัขแย่งชิงเหยื่อแล้วก็กัดกันนี่ การเป็นทาสของอายตนะมันเป็นอย่างนี้
เราจะสอนลูกศิษย์ของเราให้รู้จักเรื่องนี้ไปตั้งแต่เล็ก คือสอนธรรมะไปตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่ป.๑ ถึง ป.๖ หรือว่า ป. อะไรก็ตาม ในชั้นประถมชุดหนึ่งนี้จะต้องสอนให้มีธรรมะพอสมควร เมื่อโตขึ้นเขาก็จะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องได้ ถ้าเล็กๆตั้งต้นไว้ผิดเป็นทาสอายตนะ เหมือนกันติดเฮโรอีนเสียแล้ว มันก็ยากที่คนๆนั้นจะประพฤติธรรมะอะไรได้ สิ่งเอร็ดอร่อยทางอายตนะนั้นมันติดยิ่งกว่าติดเฮโรอีน นี้ไม่ได้หมายความว่าคนเราจะไม่แตะต้องสิ่งเอร็ดอร่อยเสียเลย ถ้ามันมีโอกาสให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ มันจะกินของอร่อยก็ได้ ดูของสวยงามก็ได้ แต่อย่าไปเป็นทาสของมัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าเอาไปเป็นทาสของสิ่งสวยงาม ไพเราะ หอมหวล เอร็ดอร่อย นิ่มนวล อะไรต่างๆ นี้ ให้มันเป็นอิสระแก่จิตใจ และจิตใจก็สามารถจะทำหน้าที่ของมันไปตามลำดับ ตามลำดับ จนถึงที่สุดแห่งความสามารถของจิตใจ คือเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ พูดให้ฟังเสียอย่างนี้เลย เราอย่าไปทำลายคุณค่าของจิตใจเสีย อย่าเอามันไปเป็นทาสของอายตนะเสีย เราก็จะสามารถมีโอกาสได้ทำอะไรๆที่จะให้ได้ถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ ได้เป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด ก็คือได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ
เดี๋ยวนี้ในโลกนี้ไม่ค่อยมีมนุษย์ มีมนุษย์น้อยมาก พูดอย่างนี้ หลายคนก็จะหาว่า นี่บ้าแล้ว อวดดีแล้ว เบ่งทับผู้อื่นแล้ว ไม่จริง อาตมาไม่ได้คิดอย่างนั้น คิดว่าให้มองกันจริงๆว่า คนในโลกส่วนมาก หรือแทบทั้งหมดมันเป็นทาสของอายตนะ แล้วก็เห็นแก่ตัว แล้วก็ทำไปตามนั้น ความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็เบียดเบียนกัน มันมีเท่านี้เอง เมื่อคนหนึ่งมีปัญญาก็รวย คนหนึ่งไม่มีปัญญามันก็จน แล้วมันก็ประกาศตน เป็นข้าศึกศัตรูกัน เหมือนลัทธินายทุนกับชนกรรมาชีพที่มีอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ เป็นปัญหายิ่งกว่าปัญหาโลกแตก สำหรับปัจจุบันนี้มันจบลงไม่ได้ เพราะมันไม่มีการศึกษาพอที่จะรู้ว่าความเห็นแก่ตัวนี่ ทำให้มันเป็นอย่างนี้ คือรักกันไม่ได้ ฉะนั้นถ้ามีธรรมะพอแล้ว มันก็จะรักกันได้ นายทุนก็สงสารกรรมกร กรรมกรก็จะภักดีต่อนายทุน มันก็ร่วมมือกันไปได้ไม่เท่าไหร่ ชนกรรมาชีพนั้นก็จะพ้นจากความเป็นคนจนกลายเป็นนายทุนได้ ก็ไปเป็นนายทุนที่ดีอีกที่จะสงเคราะห์ชนกรรมาชีพอีก โลกมันก็ดีเท่านั้น เดี๋ยวนี้มันคอยจ้องจะทำลายล้างกัน ก่อเวรกันไม่มีที่สิ้นสุด
มาพูดถึงตอนนี้ก็อยากจะพูดให้เป็นที่แจ่มแจ้งซะเลยว่า ไหนๆเราก็เป็นครูบาอาจารย์ ที่จะต้องสั่งสอนคนหรือบางทีจะเผชิญปัญหากับการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ก็ขอให้ถือซะว่าเรามีวิธีที่จะแก้ปัญหาของโลกเหมือนกัน คอมมิวนิสต์ ก็ต้องการจัดโลกให้มีสันติภาพ พุทธบริษัทก็ต้องการจะจัดโลกให้มีสันติภาพ มันเหมือนกันตรงนี้ ว่า ทั้งสองฝ่ายต้องการจะจัดโลกให้มีสันติภาพ แต่แล้ววิธีจัดนั้นมันไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นวิธีของคอมมิวนิสต์ หรือ เครือคอมมิวนิสต์ เขาก็จะทำลายนายทุนยกกรรมกรขึ้นมา มันโกลาหลวุ่นวายอย่างยิ่ง มันต้องฆ่ากัน เอาเลือดล้างแผ่นดินอะไรทำนองนั้น ก็จะทำลายนายทุนให้หมดไปยกกรรมกรขึ้นมา
ส่วนพุทธบริษัทไม่มีวิธีอย่างนั้น ไม่มุ่งหมายอย่างนั้น ไปมีวิธีที่จะใช้ธรรมะ ใช้เมตตา ใช้ความรัก ให้นายทุน กรรมกร กับกรรมกรนี้ มันอยู่ร่วมกันได้ ด้วยความเมตตา ด้วยความรักใคร่ ในที่สุดมันก็มีสันติสุข สันติภาพได้เหมือนกัน นี้ใครเป็นคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่า คอมมิวนิสต์ชนิดไหนเป็นคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่า คอมมิวนิสต์ ที่จะต้องทำลายนายทุนด้วยอาวุธ เงื้ออาวุธอยู่เสมอ หรือว่าคอมมิวนิสต์ที่ใช้ธรรมะเป็นเครื่องกวาดล้างอุปัททวะ เสนียดจัญไรเหล่านั้นหมดไปจากโลก ทำโลกให้มีสันติภาพ นี่เราจะเป็นคอมมิวนิสต์ที่เหนือกว่า โดยใช้ธรรมะเป็นอาวุธ ไม่ใช่อาวุธเป็นอาวุธ โดยมุ่งหมายจะให้คนรวยกับคนจนอยู่ด้วยกันได้ ขอให้มองเห็นว่ามันเป็นกฎของธรรมชาติ ตายตัว เด็ดขาด เปลี่ยนแปลงไม่ได้ว่า ในโลกนี้ต้องมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ต้องมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ช่วยจำไว้ด้วยว่า มันต้องมีคนฉลาดกับคนโง่ ต้องมีคนแข็งแรงและคนอ่อนแอ ต้องมี คนมีสมรรถภาพน้อย สมรรถภาพมาก มันจึงต้องมีคนรวย มีคนจน มีคนสวย มีคนขี้เหร่ มันล้วนแต่ว่า มันต่างกัน อย่างตรงกันข้าม แล้วจะเอาไปทิ้งกันเสียที่ไหน จะไปเก็บที่ไหน ถ้าไม่ ไม่ทำให้มันอยู่ร่วมกันได้ในโลกนี้ ดังนั้นมันจึงต้องเอ่อ, มีวิธีการที่จะทำให้อยู่ร่วมกันได้ในโลกนี้ ให้คนร่ำรวยอยู่กันได้ ร่วมโลกกับคนยากจน คนยากจนก็อยู่ร่วมโลกกันได้กับคนร่ำรวย
มาแน่ (นาทีที่ 37.29) ดูธรรมชาติ ว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น มันจับไปอยู่กันได้ อย่างในทะเลนี่ เมื่อก่อนนู้นน่ะ, เต็มไปด้วยปลาใหญ่ ปลาเล็ก ยั้วเยี้ยไปหมด บางเวลาจะไม่เห็นน้ำก็มี ไอ้ปลาตัวเล็กๆมันขึ้นมาเต็มผิวน้ำ แล้วปลาใหญ่มันก็มี แล้วมันอยู่กันได้ทั้งปลาใหญ่และปลาเล็ก เต็มแน่นไปในทะเล มันไม่ ไม่ทำให้อะไรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญหายไปได้ มันเพิ่ง เมื่อมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องนี่ มนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง กวาดล้างหมด ทั้งปลาใหญ่และปลาเล็ก ไม่มีอะไรมันก็เอาปลาเล็กๆมาทำเป็นปุ๋ย เป็นอาหารสัตว์ มาทำเป็นปุ๋ยเลี้ยงต้นไม้ นี่ มันก็หมดทะเล นี่ มนุษย์ต่างหากที่ไปทำให้มันหมดไป ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ แล้วปลาใหญ่กับปลาเล็กมันจะกินกันก็ตามใจ แต่มันยังมากขึ้นด้วยกัน นี่เรียกว่ามันอยู่กันได้ หรือว่าเดี๋ยวนี้ต้นไม้ใหญ่ๆนี่ คุณก็ดูเถอะว่า ก็มีอยู่ที่ตรงนี้ แล้วก็มีต้นไม้เล็กๆ ต้นเฟริ์น ต้นหญ้า อะไรที่มันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทั่วไปทั้งวัด มันก็อยู่ได้กับต้นไม้ใหญ่ๆ ที่สูง แม้แต่ตะไคร่เขียวๆ อย่างนี้ ที่เกาะอยู่ที่โคนไม้นี่ มันก็เป็นพืชมีชีวิตชนิดหนึ่ง แล้วมันก็อยู่ได้ ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทำไมมันอยู่กันได้ ทั้งๆที่มันต่างกันอย่างนี้ เพราะมันมีความประสานสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกัน อย่างถูกต้อง ต้นใหญ่ช่วยบังแดด ให้ต้นเล็ก ต้นเล็กก็ช่วยทำให้ดินดี สำหรับต้นใหญ่อยู่ได้นี่ นี้ถ้าไอ้ต้นเล็กๆนี้มันจะร้องตะโกนขึ้นมาว่า ไอ้ต้นใหญ่นี้เอาเปรียบนัก เอาแสงแดดเสียหมด โค่นลง โค่นลง ไปเกิดโค่นต้นไม้ต้นใหญ่นี่ลง ไอ้ต้นเล็กๆที่ ที่อยู่บนดินมันก็ถูกแดดเผา ตาย ต้นเฟริ์นมันอยู่ไม่ได้ ตะไคร่เหล่านี้ถ้าถูกแดดเผาอยู่ไม่ได้ เราต้องมองเห็นว่าไอ้ต้นใหญ่มันก็อยู่ได้เพราะต้นเล็ก ต้นเล็กมันก็อยู่ได้เพราะต้นใหญ่
ถ้าไม่มีพวกนายทุนและพวกกรรมกร จะเอางานที่ไหนทำ เพราะไม่มีสติปัญญาอะไร ไม่มีทุน ฉะนั้นพวกนายทุนที่มีสติปัญญา และมีทุนเขาก็จัดงานให้ทำ กรรมกรก็ได้ทำ แล้วทำไมไม่ทำกันให้ดีๆด้วยความรักใคร่ เมตตาปราณี ร่วมสหกรณ์กันอย่างเป็นมนุษย์ ช่วยทำให้เกิดความผาสุก นี้เราเห็นว่า เราไม่ต้องทำลายฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง เรามีธรรมะสำหรับประสานร่วมมือกันให้อยู่กันร่วมกันอย่างมีสันติ ทั้งที่มันจะเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันอย่างไร นี่, ขอให้เข้าใจปัญหาในโลกปัจจุบันที่กำลังมีอยู่อย่างนี้ ถ้าจะต่อต้านคอมมิวนิสต์ ก็ขอให้ต่อต้านในความเป็นคอมมิวนิสต์ ที่เหนือกว่ากันมากคือ ไม่ต้องหลั่งเลือด ไม่ต้องเงื้ออาวุธอยู่เสมอ เดี๋ยวมันก็เมื่อยมือ เมื่อยมือมันก็วาง วางเดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาอีก มันก็ต้องเงื้ออาวุธกันอยู่เรื่อยไปอย่างนี้ มันไม่ถูกตามธรรมชาติ นี่ เราสอนให้เด็กๆของเรารู้ว่า เราจะอยู่ร่วมโลกกันด้วยความผาสุกนั้นจะต้องทำอย่างไร นี่คือตัวธรรมะที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จะได้ชี้แจงให้เขาได้รับการตั้งต้นที่ถูกต้องในการที่จะมีธรรมะสำหรับเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง แล้วก็อยู่ในโลกนี้ด้วยการให้การศึกษา
ทีนี้ก็จะพูดถึงคำว่า การศึกษาอีกสักครั้งหนึ่ง ขอให้ช่วยจำว่า ทำอย่างไรเสีย การศึกษาต้องมีอยู่ ๓ ชั้นนั่นแหละ ชั้นที่หนึ่ง ให้รู้หนังสือ ให้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ชั้นที่สอง ให้รู้อาชีพ ให้ประกอบอาชีพได้ ส่วนชั้นที่สาม ก็คือรู้เรื่องทางจิตทางวิญญาณ ทางวิญญาณอีกแล้ว ให้รู้เรื่องทางจิต ทางวิญญาณเพื่อเป็นความ เพื่อความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง และดีที่สุด เพื่อความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องดีที่สุด เรารู้แต่หนังสือเฉลียวฉลาด แล้วก็มีอาชีพ นี่มันยังไม่รับประกันว่าจะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและดีที่สุด มันยังมีความผิดพลาด ทางจิตทางวิญญาณ ความรู้สองประการนั้นไม่พอ จะจัดให้วิเศษอย่างไร ระดม ไปกู้เงินเขามาอีกแสนล้านพันล้านมาจัดอย่างไร ถ้าเพียงแต่ให้เรียนหนังสือกับอาชีพแล้ว ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องได้ ต้องมีการสอนเรื่องธรรมะ เรื่องทางจิต ทางวิญญาณ ให้รู้จักความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เดี๋ยวนี้เราก็เห็นอยู่แล้วว่า ไอ้คนที่มีแค่วิชาความรู้ เฉลียวฉลาด มีอาชีพร่ำรวยนี่ มันไม่เป็นมนุษย์ที่ดีได้ ถ้ามันยังเห็นแก่ตัว ถ้ามันยังไม่มีธรรมะ เป็นมนุษย์ที่ดีไม่ได้ เราจะได้เห็นว่าไอ้สิ่งเลวร้ายทั้งหลายมันก็มีในโลกนี้ ทั้งที่ว่ามีการจัดการศึกษาดี มันมียาเสพติดเป็นปัญหาระดับโลก มนุษย์มันบ้าอย่างไร สอนกันอย่างไร จึงมีปัญหาเรื่องยาเสพติดไปทั้งโลก หรือว่าเรื่องคอรัปชั่นเต็มไปทั้งโลก เรื่องภัยสังคม เอาเปรียบกัน กดขี่กันให้ทั้งโลก หรือแม้ที่สุดแต่ว่าจะให้เด็กๆรู้เรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นี้ก็ไม่พอ ต้องสอนอีกทีหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเด็กๆจึงจะรู้เรื่องชาติด้วยใจจริง รู้จักศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วยใจจริง ไม่ใช่เพียงแต่ร้องเพลงชาติ แล้วถามว่าชาติอะไร ชาติไทย รักชาติไหม รัก อย่างที่เราสอนเด็กๆ แต่เพียงเท่านั้นมันไม่พอให้เด็ก เกิดความรู้สึกซึมซาบในคุณค่าของชาติได้ ต้องพูดอะไรให้มากกว่านั้น แล้วต้องอบรมด้วย ต้องอบรมให้เหงื่อไหลไคลย้อยเพื่อชาติอยู่บ่อยๆ แล้วเด็กมันก็จะรักชาติ เหมือนบ้านเรือนของเรานี่ ถ้าเราอุตส่าห์ปกปักรักษา เหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ทุกวัน ทุกวัน เราก็รักบ้านรักเรือนของเรามาก ชาติ นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำความเข้าใจกันให้ดีๆ เสียสละเพื่อชาติ โดยเหงื่ออยู่บ่อยๆ แล้วมันก็จะมีความรักชาติมากขึ้น ศาสนานั้นคือธรรมะ ถ้าไม่มีแล้วคนมันไม่ต่างจากสัตว์ ไม่มีธรรมะแล้วคนไม่ต่างจากสัตว์ อยากจะแตกต่างจากสัตว์ก็รีบมีธรรมะกันเสียเถิด ถือศาสนา พระมหากษัตริย์นั้นสำคัญมาก เป็นศูนย์กลางแห่งจิตใจ ที่จะเป็นที่ยึดหน่วงของทุกคน ประเทศที่มันไม่มีกษัตริย์ มันก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้เรื่องนี้ หรือเคยมีกษัตริย์ แต่เป็นกษัตริย์อย่างอื่นไม่ใช่กษัตริย์ตามแบบแห่งพุทธศาสนา ที่ประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรม ถ้าประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรม นี้จะเป็นผู้นำทางวิญญาณด้วย
ทศพิธราชธรรม มีอยู่ในแบบหนังสือหนังหา ตำรับตำรา ไปหาอ่านดู โดยหัวข้อมันมี ๑๐ ข้อ ทานัง ศีลัง ปริจาคัง อาชชะวัง มัททะวัง ตะปัง อักโกธัง อะวิหิสัญจะ ขันติญจะ อะวิโรธะนัง รวมกันเป็น ๑๐ ข้อ
ทานัง มีการให้ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ศีลัง มีความประพฤติ เป็นศีลเรียบร้อย ในระเบียบวินัย
ปริจาคัง คือ บริจาคทางจิตใจ ความรู้สึกชั่วร้ายทางจิตใจอยู่เสมอ
อาชชะวัง มีความซื่อตรงอย่างยิ่ง ซื่อสัตย์ ซื่อตรงอะไรอย่างยิ่ง
มัททะวัง มีความอ่อนโยนอย่างยิ่ง
ตะปัง มีอำนาจจิต มีอำนาจความเพียร มีตบะอย่างยิ่ง
อักโกธัง ไม่มีโกรธ
อะวิหิสัญจะ ไม่ทำใครให้ลำบาก
ขันติ อดทนอย่างยิ่ง
อะวิโรธะนัง ไม่มีอะไรพิรุธ ไม่มีอะไรพิรุธ นี่สำคัญมาก ไม่มีอะไรผิดปกติ หรือพิรุธ
ที่ว่าผู้สูงสุดจะต้องอดทนอย่างยิ่ง นี่จำเป็น อย่าเข้าใจว่า ยิ่งเป็นคนสูงสุดแล้วยิ่งไม่ต้องอดทน ขอให้คิดเสียใหม่ มองเสียใหม่ ไปเห็นจริงเสียใหม่ว่า ยิ่งสูงสุดเท่าไหร่ ยิ่งจะต้องอดทนมาก ยิ่งเป็นนายเหนือทุกคนยิ่งต้องอดทนมาก อดทนต่อการทำผิดพลาด การไม่รู้ประสีประสาของคนเหล่านั้น เช่น คุณเป็นครูนี่, คุณจะต้องอดทนต่อไอ้สิ่งรบกวนที่มาจากลูกศิษย์ทุกคน ฉะนั้นครูจึงต้องอดทนกว่าคนธรรมดา ถ้าไม่อดทนบันดาลโทสะ ล้มเหลวหมด เป็นหัวหน้าเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องอดทนมากขึ้นเท่านั้น เป็นหัวหน้าสูงสุดเท่าไหร่ ก็ยิ่งอดทนเต็มตามจำนวนที่ตนเป็นหัวหน้าเขา ดังนั้นขอให้ครูเตรียมอดทน ทนยาก ทนลำบาก ทนหนาว ทนร้อน ทนเจ็บไข้ ทนนินทาว่าร้าย กระทั่งทนจิตกิเลส มันบีบบังคับให้ไปทำไม่ดี ต้องทนได้ พระราชา พระมหากษัตริย์ ประกอบด้วยทศพิธราชธรรม เป็นที่รักใคร่ของทุกคน จึงเป็นจุดหน่วง จุดศูนย์ถ่วง จุดเดียว ใครจะแตกแยกกันก็แตกกันไป แต่ก็ยังมีจุดศูนย์รวมอยู่ที่พระมหากษัตริย์เสมอ ถ้ามีพระมหากษัตริย์ในแบบนี้ เช่นว่ารัฐบาลแตกกับสภาอย่างนี้ มันก็ยังมีพระมหากษัตริย์ เป็นที่ยึดหน่วงไม่ให้ขาดไปจากกันได้ หรือว่าในรัฐบาลในคณะรัฐบาลมันแตกแยกกัน นี้ก็เห็นแก่พระราชา พระมหากษัตริย์ มันก็แตกแยกกันไม่ได้ ในสภา นักการเมืองมันแตกแยกกันเป็นพรรคๆ แต่มันก็ยังเห็นแก่พระราชาองค์เดียว มันก็แตกแยกกันไม่ได้ ันก็ยังเหกับสภา ก็ยังมีพระมหากษัตริย์ เป็นที่ยึดหน่วงไม่ให้ขาดไปจากกันได้ หรือว่าในรัฐบา หรือว่ารัฐบาลขัดใจกับราษฎร มันก็ยังเห็นแก่พระราชาที่ประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรม
นี่เราต้องสอนเด็กให้รู้จักความหมายและคุณค่าของพระมหากษัตริย์ แล้วเขาก็จะจงรักภักดีเองแหละ แล้วก็จะรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ ในสิ่งทั้งสามนี้คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่เขารู้จักยิ่ง จนมาตั้งอยู่ในหัวใจจริงๆ ที่เรียกว่า สถาบัน นั้นแปลว่าการตั้งลงอย่างมั่นคง สถาบันนั้นตั้งอยู่ที่ไหน ตั้งอยู่ในหัวใจของคน อย่าเข้าใจว่า สถาบันนั้นมันตั้งอยู่ตามที่มันตั้งบนแผ่นดิน สถาบันโรงเรียน สถาบันวัดวาอาราม มันก็ตั้งอยู่ตามแผ่นดิน อย่างนั้นมันไม่ใช่ ถ้ามันเป็นสถาบัน แล้วหมายความว่า มันเข้ามาตั้งอยู่ในหัวใจคนซะแล้ว การเรียนก็ดี การศึกษาก็ดี ธรรมะก็ดี ศาสนาก็ดี ถ้าเมื่อไหร่มันเกิดเป็นสถาบันแล้วมันมาตั้งอยู่ในหัวใจคนแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่า ชาติ ก็ตั้งอยู่ในหัวใจคน สิ่งที่เรียกว่าศาสนา ก็อยู่ในหัวใจคน สิ่งที่เรียกว่าพระมหากษัตริย์ ก็อยู่ในหัวใจคน เราเป็นครูบาอาจารย์ ช่วยปลูกฝังสถาบันนี้ลงไปในหัวใจของเด็กๆ ไปเสียตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่ ป.๑ ถึง ป.๖ ควรจะเริ่มมีสถาบันอันมั่นคงตั้งลงไปในจิตใจแล้ว โตขึ้นก็ไม่มีปัญหา เมื่อเขาไม่มีอันนี้ โตขึ้นก็มีปัญหา ก็อยากจะสร้างชาติไทยเสียใหม่ เขาอยากจะเลิกศาสนา เขาเห็นว่าพระมหากษัตริย์ ไม่จำเป็น แล้วปัญหามันเกิดขึ้นเท่าไร คิดดูเถิด หรือจะ จะเป็นพวกที่เขา เราเรียกกันว่า ไป่ไต้.. (นาทีที่๔๙.๑๕) ชาติก็ตั้งได้ใหม่ ศาสนาไม่จำเป็น พระมหากษัตริย์ไม่จำเป็น นี่มันก็มีปัญหาขึ้นเท่าไร แล้วมันตรงกับข้อเท็จจริงหรือเปล่า
โดยแท้จริงแล้วเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นี้ มันได้เกิดขึ้นตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ แล้วมันจึงเป็นสถาบันขึ้นมา อย่าอวดดีว่า ใครมีบัง เอ่อ, มีอำนาจบังคับเอาเองได้ ตั้งเอาเองได้ มันต้องเป็นมาอย่างถูกต้อง ตามกฎของธรรมชาติ ในจิตใจของมนุษย์ มันจึงจะยอมรับ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องทำการศึกษากันเหมือนกัน ช่วยชี้แจงให้เห็น แล้วมันว่า มันก็จะง่ายขึ้น ทีนี้การศึกษาเดี๋ยวนี้ยังไม่พอ อาตมากล้าพูดอย่างนี้ไม่กลัวใครโกรธ เพราะเด็กๆยังไม่รู้จัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รู้แต่เพียงร้องเพลงชาติ ร้องเพลงสรรเสริญบารมี สวดนะโม อิติปิโส เท่านี้มันไม่พอ มันต้องรู้จริงมากกว่านั้น จนจิตใจรักลง ลงไป อุทิศแก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ได้ ฉะนั้นขอให้ไปสอนเด็กตั้งต้นให้รู้จักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่มันเป็นการศึกษาส่วนที่สามในทางจิตทางวิญญาณ เราให้เขารู้หนังสือ ดี มันก็ยังไม่มีสามสถาบันนี้ เราให้เขามีอาชีพ ดี มันก็ยังไม่มีสามสถาบันนี้ เราต้องสอนเขาโดยเฉพาะในเรื่องทางจิตทางวิญญาณ จึงจะมีสถาบันทั้งสามประการนี้อีกทีหนึ่ง ถ้าคิดจะช่วยชาติ ช่วยมนุษย์ ช่วยโลกกันแล้ว ก็ขอให้สนใจ ทำให้มันเกิดความมั่นคงขึ้นในหมู่มนุษย์เรา โดยเฉพาะชนชาติไทย ประเทศไทยนี้มีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไปตามแบบของพุทธบริษัท มีความหมายในทางจิตทางวิญญาณให้ครบถ้วน แล้วก็เป็นอันว่า ครูนี่ ได้ช่วยกันสร้างโลกที่ดี สร้างโลกมนุษย์
สมัยก่อนโบราณโน้น การศึกษาแฝดกันอยู่กับธรรมะหรือ ศาสนา อย่างในประเทศไทยเรานี้ เมื่อจะมีการจัดตั้งกระทรวงตามแผนใหม่ ตามพวกฝรั่งนี่ เรายังเรียกกระทรวงนี้ว่า กระทรวงธรรมการ เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการ ไม่มีคำว่ากระทรวงศึกษาธิการ นี้มันเพิ่งมี หรือจะหลังเปลี่ยนการ เปลี่ยนการปกครองแล้วก็ได้ จำไม่ค่อยแม่น แต่ว่าที่จำได้เมื่อเด็กๆนั้น ก็เรียกกระทรวงธรรมการ อยู่ในมือของพระ เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับศาสนามากกว่าที่จะเรียนวิชาการทางสติปัญญา หรือทางอาชีพ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อะไรเสียหาย เพราะว่ามันมีจิตใจสูงอย่างมนุษย์ นี่กระทรวงธรรมการ เอาธรรมะเป็นหัวใจ กระทรวงศึกษาธิการนี่ เอารู้หนังสือและอาชีพเป็นหัวใจ ขอประท้วงไว้อย่างนี้ ว่ามันยังไม่ถูก มันยังไม่พอที่จะทำให้ประชาชนประกอบไปด้วยธรรมะ เป็นประเทศพุทธบริษัทได้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายไม่มีอำนาจที่จะไปเปลี่ยนแปลง แต่ก็ขอให้รู้ว่าเรามีโอกาส มีหน้าที่ที่จะเพิ่มเติมได้ คือเราจะสอนเด็กๆของเราให้มีการศึกษาส่วนที่สาม คือเรื่องทางจิต ทางวิญญาณเพิ่มขึ้นได้ตามสมควร และจะมีผลดีทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ประเทศชาติก็จะดีขึ้น อาชญากรรมก็จะหมดไป แล้วครูก็จะเคารพสิทธิ์ ขืนสอนแต่หนังสืออาชีพแล้วครูไม่เคารพสิทธิ์ เขารวยกันมา เขาเรียกครูว่า ครูนั่นครูนี่ ไอ้นั่นไอ้นี่ ก็ไม่แน่ แต่ถ้าเราสอนให้เขามีการศึกษาส่วนที่สาม ทางจิตทางวิญญาณ ประกอบไปด้วยธรรมะแล้ว เขาเคารพครูไปจนตาย จนถึงชาติหน้า ชาติต่อๆไปก็ได้ นี่ทางธรรมะมัน มันต่างกันอย่างนี้ ขอให้สนใจด้วย
เรื่องการศึกษามันก็อยู่ที่วิธีการมากกว่าที่จะทำเป็นใช้ เอ่อ, เป็นเรื่องของคำพูด การศึกษาไม่ใช่เรื่องคำพูด ตามหลักพุทธศาสนาคำว่า สิกขา ไม่ใช่เรื่องของคำพูด เป็นเรื่องของการฝึกฝน อบรม ปฏิบัติ ศีลสิกขา สมาธิสิกขา ปัญญาสิกขา นี่ก็เรียกว่าการศึกษาสามเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เรื่องคำพูด เป็นเรื่องปฏิบัติให้ได้จริงตามนั้นเท่านั้น และเมื่อพูดถึงว่าศึกษาแล้วก็อย่าเข้าใจเป็นเพียงคำพูดหรือว่าจดอยู่ในกระดาษ แต่ต้องเป็นเรื่องที่ประพฤติกระทำอยู่ที่เนื้อ ที่ตัวทีเดียว จึงจะได้ชื่อว่า มีการศึกษา แล้วก็อาศัยสติปัญญาของครูบาอาจารย์นั่นเอง ที่จะนำไปได้ อาศัยการเสียสละหรือองค์คุณ ทุกอย่างของครูบาอาจารย์ จึงจะนำไปได้
มันมีเรื่องที่น่าหัว น่าอัศจรรย์ หรือน่าเศร้าอะไรก็ตามเมื่อสองสามวันนี้เรื่องหนึ่งเข้าใจว่า ครูทั้งหลายก็คงจะได้อ่าน คือเรื่องเกิดลัทธิใหม่ ขึ้นมาในอเมริกา ไปอยู่อเมริกาใต้ ชักชวนสาวกให้ฆ่าตัวตายได้ตั้ง ๙๐๐ คน คิดดูซิ เก่งยังไง ชักชวนคนอื่นให้ฆ่าตัวตายก็ได้ตั้ง ๙๐๐ คน การชักชวนนั้นน่ะ มันเป็นศิลปะ หรือการอบรม มันก็เป็นศิลปะ ทำให้คนฆ่าตัวตายได้เป็นตั้งร้อยๆคน เดี๋ยวนี้เราเรียกหาความร่วมมือความสามัคคีของคนสักสี่ห้าคน มันก็ทั้งยาก เขาไม่มีศิลปะหรือไม่มีอะไรลองไปคิดดู แล้วมักเข้าใจเอาเองว่าอ่านหนังสือพิมพ์เหล่านั้นแล้วก็เข้าใจว่า ไอ้นายโยน หัวหน้านั้นน่ะ มันคงจะเก่งในทางเป็นผู้สั่งสอน เป็นอนุศาสนาจารย์ อ้างเอาพระคัมภีร์ แล้วว่าพระคัมภีร์มีอยู่อย่างนั้นเลย คือพระคัมภีร์เขามีว่า เราไปอยู่กับพระเจ้าสบายกว่า ไป ไปอยู่กับพระเจ้า โลกพระเจ้า แล้วเราก็อุทิศชีวิตแก่พระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้ ถ้าเราตายลงต้องไปอยู่กับพระเจ้าแน่ เราก็ไปอยู่กับพระเจ้าที่เป็นการเป็นอยู่ที่ดีกว่า แล้วเราจะมารีรออยู่ทำไมให้มันช้า เราตายไปอยู่กับพระเจ้ากันเสียเดี๋ยวนี้ ชักชวนกันว่า เอ้า, เรามาตาย แล้วไปอยู่กับพระเจ้ากันเสียเดี๋ยวนี้ มีคนเห็นด้วย จึงบอกว่า หมอแกปรุงยาพิษมาที แกจะได้บุญ เพราะว่าแกช่วยให้คนได้ไปอยู่กับพระเจ้าเร็วๆ หมอก็เอาด้วยสิ นางพยาบาลก็เอาด้วย ก็ช่วยกันปรุงยาพิษขึ้นมา สำหรับคน ๙๐๐ คนกินเข้าไป หรือบางคนมันไม่อยากจะกินยาพิษ อยากจะยิงตัวตายก็เอาก็ได้เหมือนกัน นี่ลูกเด็กๆล่ะ มันก็ควรจะได้ดีด้วย ก็เกลี้ยกล่อมมันด้วย ให้มันไป ไอ้เด็กๆนี้ก็พ่อแม่ชักชวนมันก็เอา แต่พอมันเกิดกลัวขึ้นมา มันไม่เอา พ่อแม่ก็บังคับให้มันกิน มันก็เลยตายไปด้วย นี่, คิดดู เขาทำให้คนตายได้ตั้ง ๙๐๐ กว่าคน ด้วยศิลปะแห่งการชักจูง และอ้างพระคัมภีร์ที่สูงสุดและศักดิ์สิทธิ์ด้วย คือเรื่องพระเจ้า ที่มาพูดนี้ไม่ใช่ว่ามีอะไรกับเรา แต่ให้รู้ว่า ให้ระวัง ความสำเร็จนั้นมันอยู่ที่การชักชวน อย่างที่มีวาทะ ศิลปะ เหตุผล logic อะไรก็ตาม มันครบถ้วน ทำให้คนสมัครฆ่าตัวตายได้ แล้วทำไมเรา ครู นี้จะชักชวนเด็กให้ประพฤติดี เพื่อประโยชน์แก่ตัวเขาเองนี่ ทำไม่ได้หรือ ทำไมมันจะทำไม่ได้ เราไม่ได้ชักชวนให้เขาฆ่าตัวตาย เราชักชวนให้เขาประพฤติดี เพื่อตัวของเขาเอง เห็นอยู่อย่างนั้นอย่างนั้น เราก็ควรจะทำได้
ขอให้ได้อาศัยวิชาครูกันจริงๆเถอะ วิชาครูก็คือ ไม่มีอะไรหล่ะ นอกจากว่า ทำให้เด็กมันคล้อยตามความชักชวนของครูได้ เต็มตามความหมาย แล้วก็ใช้วิชาครูนี้ จูงเด็กไปในทางที่ดี ที่มีธรรมะ ที่เป็นการศึกษาประเภทที่สามให้ได้ แล้วท่านทั้งหลายก็จะเป็นครูโดยสมบูรณ์ เป็นปูชนียบุคคล ที่อยู่เหนือเกล้าเหนือหัวของคนในโลก เพราะว่าเราเป็น ผู้สร้างวิญญาณของเขาขึ้นมา สร้างโลกที่ดีที่น่าอยู่ขึ้นมา ความเป็นครูของเราก็จะบรรลุผลสำเร็จเต็มตามความหมายของคำคำนี้ คือเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เป็นผู้นำในทางวิญญาณ แล้วสร้างโลกที่งดงามน่าอยู่ น่าดู น่าอาศัยขึ้นมา โดยน้ำมือของครูแท้ๆ ถ้าครูทั้งโลกมันเป็นอย่างนี้ แล้วทำไมมันจะสร้างไม่ได้ แต่ทีนี้ครูมันทำผิดซะเอง ไม่มีการศึกษาที่สามซะเอง ไม่รู้เรื่องธรรมะเสียเอง รู้แต่เรื่องปากเรื่องท้อง มันก็ทำไม่ได้แน่ แล้วก็มีผลร้ายวกกลับมา เป็นโลกที่เห็นแก่ตัว เป็นโลกที่เต็มไปด้วยเห็นแก่ตัวทั่วไปทั้งโลก มันก็มีวิกฤตการณ์ คือสิ่งเลวร้ายอย่างที่ปรากฏอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ ว่ามันมีสิ่งเลวร้าย มากกว่าแต่ก่อน คนอายุสัก ๖๐ ๗๐ ปีจะสังเกตเห็นและเปรียบเทียบกันได้ว่า เมื่อหกสิบเจ็ดสิบปีก่อนโน้นน่ะ ความปลอดภัยมีมากกว่านี้มาก อาชญากรรมเลวร้าย เรื่องทางเพศ เรื่องข่มขืนแล้วฆ่านี้มันไม่มี หรือมันหายาก มันไม่รู้จักทำ มันไม่บันดาลกิเลสมากเหมือนเดี๋ยวนี้ นี่, การศึกษาดีหรือไม่ก็พิสูจน์กันตรงข้อนี้ ว่าทำไมสิ่งเลวร้ายนับแต่ยาเสพติด อาชญากรรม คอรัปชั่น เรื่องเห็นแก่ตัวอีกร้อยแปดพันอย่าง มันมีขึ้นมาในโลก เพราะว่าเราให้การศึกษาแต่เพียงทำให้รู้ ให้ฉลาด ให้สวย ให้รวย แต่ไม่มีคุณธรรมสำหรับความเป็นมนุษย์ ฉะนั้นจึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้รับ เอาเรื่องนี้ไปพิจารณาดูให้ดีๆ และขอให้อุทิศตนเพื่อความเป็นครู คือเป็นปูชนียบุคคลผู้สร้างโลกให้มีสันติภาพด้วยกันเถิด ก็จะเรียกว่า ไม่เสียทีที่ได้เหน็ดเหนื่อยลำบากมานั่งพูดกันตรงนี้ มาสวนโมกข์ ซึ่งมันก็เป็นเหมือนกับการธุดงค์ คำว่าธุดงค์นั้นหมายความว่าต้องลำบาก แต่ลำบากเพื่อขัดเกลากิเลส นั่นเขาเรียกว่า ธุดงค์ ไม่ใช่ลำบากเปล่าๆ ถ้าลำบากเพื่อการขูดเกลากิเลสแล้วเรียกว่า ธุดงค์ทั้งนั้น จะไปบัญญัติเอาเองก็ได้ ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ทำอย่างโน้น ไหนก็เรียกว่าเป็นธุดงค์ทั้งนั้น เช่นเป็นครูมีเงินเดือนมากแล้ว ลองถูเรือนดูสักชั่วโมง สองชั่วโมง ยอมลำบาก นี่มันก็เป็นธุดงค์ ที่ตรงนั้นทันที มันเป็นขัดเกลาความเห็นแก่ตัว ความโลเล ความอะไรต่างๆเพื่อให้กิเลสเบาบาง มาสวนโมกข์ก็เหมือนกับธุดงค์แหละ ต้องกินอยู่นั่งนอนอะไรอยู่อย่างลำบาก หรือค่อนข้างลำบาก แต่มันไม่ลำบากเปล่า มันลำบากเพื่อให้ขัดเกลากิเลส หรือเพื่อความฉลาดขึ้นมา หรือเพื่อว่าใกล้ชิดธรรมชาติ หรือว่ามานั่ง นอน บนที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า คือกลางดินนี้ แล้วก็มีจิตใจเหมาะสมที่จะรู้ธรรมะ เข้าใจธรรมะ เราจึงอุตส่าห์ลงทุน
ดังนี้ขอให้การลงทุนของท่านทั้งหลายอย่าได้เป็นหมันเปล่าเลย จงได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อผล เพื่อกำไร คือวิวัฒนาการทางจิตใจ ตามลักษณะของความเป็นมนุษย์ ก่อนจะถึงระดับที่สูงสุดที่มนุษย์ควรจะไปถึงได้ อาตามาบอกแล้วว่า ขออนุโมทนา แสดงความยินดี ในการมาของท่านทั้งหลาย จนมาถึงสถานที่นี้ ในที่สุดนี้ก็ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายทุกคน ผู้ตั้งใจจะเป็นครู หรือที่กำลังจะเป็นครูอยู่แล้วก็ตาม จงได้ประสบความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตน อย่างสวยสดงดงาม เคารพนับถือตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองก็ได้ แล้วก็มีความเป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ