แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดี ในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้อีก คืออาตมาชอบบุคคล ที่เรียกกันว่า ครูบาอาจารย์ โดยถือว่าตัวเองก็เป็นครูคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นครูที่ขึ้นสังกัดตรงไปยังพระพุทธเจ้า ซึ่งครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็มักจะขึ้นสังกัดไปยังกระทรวงศึกษาธิการ แต่อย่างไรก็ดี ในความเป็นครูนั้นเรามีความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน มีหน้าที่อย่างเดียวกัน การพบกันก็เป็นสิ่งที่น่าจะพอใจ อาตมารู้สึกยินดีในข้อนี้ เดี๋ยวนี้เรามานั่งกันอยู่ที่นี่ ในลักษณะอย่างนี้ อาตมาขอร้องให้ ทำในใจเป็นพิเศษ เป็นที่ระลึกถึงพระศาสดาทั้งหลาย โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าท่านประสูตรกลางดิน เมื่อตรัสรู้ก็นั่งกลางดิน เมื่อนิพพานก็นั่งกลางดิน นอนกลางดิน สอนอยู่ตลอดเวลาก็สอนกันกลางดิน และกุฏิของท่านก็พื้นดินรายละเอียดเหล่านี้ขอให้ไปหาดูจากหนังสือพุทธประวัติได้ด้วยตนเอง เป็นอันว่าเรามานั่งกันกลางดิน คือนั่งในที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า หรือจะเป็นของพระศาสดาในศาสนาอื่นๆด้วยก็ยังได้ เพราะตามที่ทราบกันมา ท่านเหล่านั้นก็มีชีวิตอยู่กับธรรมชาติ คือกลางดินเป็นส่วนมาก เมื่อเราได้มานั่งกลางดินอย่างนี้ เราพอใจ เราสบายใจ เรารู้สึกเป็นสุขใจ ว่าอย่างน้อยก็ได้ใกล้ชิด โดยทางความคิดนึกอีกครั้งหนึ่ง เพราะเราได้มานั่งกันอยู่บนที่ ที่เรียกกันว่าเป็นที่นั่งที่นอนของพระศาสดาเหล่านั้น การเตรียมจิตใจอย่างนี้ก็มีประโยชน์อยู่มาก ที่จะเข้าใจคำสั่งสอนของท่านเหล่านั้น เพราะเหตุว่าพระธรรมทั้งหลายเป็นเรื่องของธรรมชาติ เราใกล้ชิดธรรมชาติเราก็มีความง่ายที่จะเข้าใจพระธรรม
ขอรบเร้าให้ทบทวนความหมายของคำว่า ธรรม หรือ พระธรรม อยู่เสมอๆ ว่าคำว่า ธรรม ซึ่งเป็นภาษาอินเดียโบราณ แปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้นั้น คำๆนี้มันมีความหมายโดยสิ้นเชิงอยู่ ๔ ประการ
ธรรม คือ ตัวธรรมชาติทั้งหลาย
ธรรม คือ กฎของธรรมชาติทั้งหลาย
ธรรม คือ หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติทั้งหลาย และ
ธรรม คือ ผลที่ได้รับจากปฏิบัติหน้าที่
เมื่อความหมายทั้ง ๔ นี้ แสดงออกมาอย่างนี้ มันก็ย่อมครอบคลุมหมดไม่ว่าอะไร เรามีกฎของธรรมชาติเป็นสิ่งสูงสุด เพราะว่าสิ่งต่างๆต้องเป็นไปตามกฎ พุทธบริษัท มีกฎของสัจจะหรือธรรมชาตินี้ ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด ซึ่งแม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงเคารพธรรมะในความหมายนี้ และพุทธบริษัทก็มี ธรรม ในความหมายนี้ ในฐานะที่เป็นสิ่งสูงสุดที่เรียกกันว่าพระเป็นเจ้า เดี๋ยวนี้เราได้มานั่งใกล้ชิดกับธรรมชาติ นั่งบนดิน บนก้อนหิน เหมือนกับว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติ มันจะง่ายดายในการที่จะเข้าใจ สิ่งที่เรียกว่า ธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติทั้ง ๔ ความหมาย อยากจะแนะนำท่านทั้งหลายว่า จงพยายามเป็นเกลอกับธรรมชาติ และก็จะเข้าใจ ธรรม หรือ พระธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติ พึงหาโอกาสตลอดเวลา ที่จะเข้าใจธรรมชาติ เดี๋ยวนี้เราก็ได้มานั่งใกล้ชิดธรรมชาติในลักษณะอย่างนี้แล้ว จิตใจก็พร้อมที่จะเข้าใจธรรมชาติ ได้ง่ายกว่าที่เราจะนั่งบนตึก บนอาคารอันสง่าผ่าเผย อันสวยหรู
หัวข้อที่จะพูดกันวันนี้ก็อยากจะเรียกว่า ครูกับพระศาสนา อาตมาจะพูดโดยหัวข้อว่า ครู ผู้ที่เรียกกันว่าครู กับสิ่งที่เรียกกันว่า ศาสนา หรือ ครูกับศาสนา นั่นเอง ถ้าเราเข้าใจความหมายหรืออุดมคติของสิ่งทั้ง ๒ นี้ เชื่อว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเราคงจะสะดวกดายขึ้นอีกเป็นอันมาก และเราจะสามารถทำตนให้เป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติได้อีกมากทีเดียว
อยากจะพูดถึงคำว่า ครู กันก่อน ในความหมายของคำๆนี้ ตามภาษาเดิมๆ ในประเทศอินเดียมันก็มีความหมายพิเศษหรือสูงสุด คือ คำนี้ถ้าเป็นเอา เอาภาษาโบราณคำนั้นเป็นหลักแล้ว ก็แปลว่า ผู้เปิดประตู ครู แปลว่าผู้เปิดประตู แต่เป็นเรื่องการเปิดประตูในทางจิต ทางวิญญาณ เพื่อให้คนทั้งหลายได้ออกมา จากเล้า จากคอก ที่คับแคบ ที่มืด และเหม็น หรือที่น่ารำคาญ และทนทรมานทุกอย่างทุกประการ ครู เป็นผู้เปิดประตูคอกหรือเล้านั้นให้สัตว์ออกมาสู่อิสรภาพในภายนอก นี้คือความหมายของอันแท้จริงของคำว่า ครู ผู้เปิดประตูทางวิญญาณ แล้วเราก็เลื่อนความหมายออกมาเป็น ผู้นำในทางวิญญาณ ก็เป็นอันว่า เป็นผู้ที่ทำหน้าที่สูงสุด ที่มนุษย์ จะเล็งเห็นว่าสูงสุดกันได้อย่างไร พระศาสดาของทุกศาสนาก็ได้ชื่อว่าบรมครูด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงเป็นบุคคลสูงสุด ยอดสุด ในการที่จะเปิดประตูในทางวิญญาณ นี้, ครูเปิดประตูในทางวิญญาณ ให้มีการเกิดใหม่แก่จิตใจของคนทั้งหลายในทางวิญญาณ มันก็คือ สร้างโลกใหม่ สร้างโลกที่บริสุทธิ์สะอาด ที่ประกอบไปด้วยคุณค่าอันสูงสุด จึงอยากจะขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายยึดถือความหมายอันนี้ว่า ครู คือบุคคลผู้สร้างโลก จะเป็นโลกทางวิญญาณ หรือจะเป็นโลกทางวัตถุธรรมก็ได้ทั้งนั้น ครูเป็นผู้สร้างโลก มองเห็นได้ไม่ยากเลยว่า โลกนี้มันประกอบกันขึ้นด้วยมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าคนทั้งหลายเหล่านั้นเป็นอย่างไร โลกนี้มันก็เป็นอย่างนั้น นี้, มนุษย์ในโลกจะเป็นอย่างไร มันก็แล้วแต่ครูให้การศึกษาเขาอย่างไร เป็นอันว่าครูเราสร้างเด็กๆขึ้นมาอย่างไร โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว นั่นแหละรวมกันแล้วก็เป็นโลก
ดังนั้นโลกก็จะเป็นไปตามบุคคลที่พวกครูได้สร้างขึ้นมา ได้สอนขึ้นมา ได้อบรมขึ้นมา นี้ก็เรียกว่าครูเป็นผู้สร้างโลก แม้ในด้านวัตถุธรรม แต่ถ้ามองในแง่ของนามธรรม คือทางจิตทางวิญญาณแล้ว ครูก็ยิ่งเป็นผู้สร้างโลก เพราะว่าเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ตามความหมายของคำๆนั้น
ดังนั้นขอให้ถือเป็นอุดมคติกันไว้ตลอดไปว่า ครูนี้คือผู้สร้างโลก ทำนองเดียวกับพระเจ้าผู้สร้างโลกหรือว่า ครูเป็นผู้รับช่วง รับภาระมาจากพระเจ้าอีกทีหนึ่งในการที่จะสร้างโลก เรามองเห็นได้ชัดๆว่า ครูสอนอะไรลงไปให้แก่ประชาชนชาวโลก โลกก็ประกอบขึ้นด้วยบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นโลกชนิดนั้น ดังนั้นครูจะสร้างโลกชนิดไหนก็ได้ ถ้าสอนผิดก็สร้างผิดเป็นโลกที่ไม่น่าดู ถ้าสอนกันถูกก็เป็นโลกที่มีการประพฤติปฏิบัติถูกและน่าดู ด้วยเหตุเช่นนี้แหละ ครูทั้งหลายจึงเป็นปูชนียบุคคล ถ้ากล่าวตามหลักธรรมะหรือหลักพระศาสนาทางฝ่ายตะวันออกก็เรียก ครูว่าเป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้างรับสอนหนังสือเลี้ยงชีวิต แต่ครูเป็นปูชนียบุคคล เพราะทำหน้าที่สร้างมนุษย์ หรือเปิดประตูทางวิญญาณนั้นเอง
ปูชนียบุคคลไม่ใช่ลูกจ้าง ปูชนียบุคคลได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่บุคคลทั่วไปในโลก มากกว่าค่าของวัตถุหรือของเงินที่ชาวโลกเขาตอบแทนให้แก่ครู พูดกันง่ายๆว่าเงินเดือนของครูนั้นน่ะ มันเป็นขี้ฝุ่นไปเลย ถ้ามาเปรียบเทียบกัน กับความดีความงาม ที่ครูได้สั่งสอนคน ให้เกิดเป็นมนุษย์ที่ดีที่งามขึ้นมา ฉะนั้นจึงไม่อาจจะเรียกว่าเป็นค่าจ้าง เพราะว่าสิ่งที่เราให้เขานั้นมันมากเกินไป มีค่ามากเกินไป มากกว่าที่ว่าครูจะได้รับเอามาเลี้ยงชีวิต ดังนั้นครูจึงเป็นปูชนียบุคคลทำประโยชน์ให้เหลือเกินกว่าเงินเดือนที่ได้รับ ดังนั้นจึงเป็นการได้บุญ เรียกตามภาษาไทยของเราก็ว่า ครูนี้ประกอบอาชีพแล้วกลายเป็นได้บุญ มันเป็นอาชีพที่ทำให้ได้บุญ ดังนั้นเราจึง จงเป็นครูเพื่อเอาบุญกันเถิด อาตมาขอร้องว่า เราเป็นครูเพื่อเอาบุญกันเถิด อย่าเป็นครูเพื่อเอาเงินเดือนเลย เงินเดือนนั้นมันไม่ไปไหนเสีย ตามระเบียบมันก็ต้องได้อยู่แล้ว แต่จิตใจของเราอย่าไปมุ่งหมายเอาเงินเดือนเลย ถ้าเป็นครูแล้วก็เอาบุญกันเถิด เพราะมันเป็นความจริงที่สุดที่ว่า เราได้ทำอะไรลงไปแล้ว เป็นบุญเป็นกุศลแก่คนทั้งโลก ก็เลยเป็นอาชีพที่ได้บุญ ถ้าเป็นกรรมกรแบกหามอย่างนี้ มันก็ไม่เป็นอาชีพที่ได้บุญ ครูทำหน้าที่เปิดประตูทางวิญญาณ สัตว์โลกก็ได้รับประโยชน์มหาศาล มันก็เลย ครูนี้ทำอาชีพไปพร้อมๆกันไปในตัว ในหน้าที่การงานนั้น แต่กลายเป็นได้บุญ ถ้าเราเป็นครูชนิดที่เอาบุญกันแล้ว เราก็เป็นปูชนียบุคคลกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าดี ไม่เรียกร้องอะไร มันเป็นของมันเองในตัวของมันเอง ว่าครูที่แท้จริงที่ถูกต้อง ผู้เปิดประตูทางวิญญาณนั้น เป็นปูชนียบุคคล และก็ร่ำรวยไปด้วยบุญ รับใช้พระเจ้าในฐานะที่ว่าช่วยกันสร้างโลก และการสร้างโลกนี้ก็มีความมุ่งหมายให้ตรงตามอุดมคติของพระธรรมหรือของพระเจ้าก็แล้วแต่จะเรียก แล้วแต่ใครจะใช้คำๆไหน นี้คำว่าครูเป็นอย่างนี้
สรุปสั้นๆว่า เป็นปูชนียบุคคล แล้วประกอบอาชีพที่ได้บุญอยู่ตลอดเวลา
ทีนี้ก็มาถึงคำว่า ศาสนา ที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับ ครู เพราะอาตมาได้บอกแล้วว่า วันนี้จะกล่าวโดยหัวข้อว่า ครูกับศาสนา ศาสนา คือระบบธรรมะที่บุคคลจะต้องศึกษาและปฏิบัติให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ สิ่งที่เรียกว่า ศาสนา นั้นในพุทธศาสนานี้นิยมเรียกกันว่า ธรรม หรือ พระธรรม มาแต่เดิม คำว่าศาสนาในความหมายอย่างนี้ เพิ่งมีใช้ในภาษาไทย ในประเทศไทย ถ้าเป็นอย่างในประเทศอินเดียแต่สมัยพุทธกาลเป็นต้นมาแล้วเขาเรียกว่า ธรรม เช่นถ้าจะถามว่าท่านถือศาสนาอะไร อย่างถามกันเดี๋ยวนี้ ถือศาสนาอะไร ในครั้งกระนู้น เขาถามกันว่า ท่านถือธรรมอะไร ถือธรรม ชอบใจธรรมของใคร คำว่า ธรรม กับคำว่า ศาสนา ในกรณีอย่างนี้ ก็คือสิ่งเดียวกัน ศาสนาก็คือคำว่าธรรม ในความหมายทั้ง ๔ ความหมายของคำว่าธรรม ก็ได้ โดยเฉพาะพุทธศาสนาต้องการให้รู้จักธรรมชาติ ต้องการให้รู้จักกฎของธรรมชาติ ต้องการให้รู้หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ และต้องการให้รู้จักผลที่จะพึงได้รับ รวมกันหมดแล้วก็เรียกว่า ศาสนา คำเดียวก็ได้ จะเรียกว่า ธรรม คำเดียวก็ได้
ครู จะต้องมีความรอบรู้ในสิ่งที่เรียกว่า ธรรม หรือ ศาสนา จึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้โดยสมบูรณ์ คือ การเปิดประตูในทางวิญญาณ โดยรู้ รู้จักธรรมชาติ โดยทั่วๆไปว่ามันคืออะไร ทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่าง หรือทั้งสากลจักรวาล ทั้งฝ่ายรูปธรรม และฝ่ายนามธรรม คือทั้งฝ่ายร่างกาย และฝ่ายจิตใจ แล้วก็รู้กฎของธรรมชาติว่า ธรรมชาติทั้งหมดนั้นมันมีกฎเกณฑ์ มีข้อเท็จจริง มีความเป็นจริงอย่างไร ก็รู้ จะรู้หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาตินี้อย่างแตกฉาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้น เล็งถึงความรู้เรื่องหน้าที่ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาตินั่นเอง คำว่า ธรรม ในภาษาธรรมดาสามัญทั่วไปเขาก็แปลว่าหน้าที่ ผู้ใดทำหน้าที่ผู้นั้นเป็นผู้ประพฤติธรรม จะเอาเป็นภาษาธรรมดาในวงแคบๆ คำว่า ธรรม แปลว่าหน้าที่ ก็หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติอย่างที่กล่าวแล้ว แล้วเราก็ต้องรู้จักผล เอ่อ, ที่เกิดจากหน้าที่อยู่เป็นธรรมดา เพราะว่าทำอะไรลงไป ก็ย่อมจะได้ผล อย่างในพุทธศาสนานี้ก็ได้รับผลเป็นความสุขในโลกนี้ ในโลกหน้า และระดับสุดท้ายคือ พระนิพพาน นี้ครูบาอาจารย์รู้จัก เรื่องอันเกี่ยวกับธรรมชาติใน ๔ ความหมายนี้แล้ว ก็เรียกว่า รู้ธรรมะ หรือรู้พระศาสนา หลักในพระศาสนาไหนก็ตาม มีใจความสำคัญอยู่ที่ การปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ หรือตามความประสงค์ของพระเป็นเจ้า อาตมาอยากจะเปรียบเทียบว่า ไอ้ธรรมชาติทั้งหลาย ปรากฏการณ์ทั้งหมดในโลกนี้ เหมือนกับพระกายของพระเจ้า ส่วนกฎของธรรมชาตินั้น ก็เหมือนกับ เอ่อ, พระประสงค์ เอ่อ, ของพระเจ้า ส่วนหน้าที่ เอ่อ, ตามกฎของธรรมชาตินั้น ก็คือสิ่งที่เรากระทำ ตอบสนองพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า ดังนั้น ธรรม ในความหมายสุดท้าย คือผลที่เกิดขึ้นนั้น คือสิ่งที่พระเป็นเจ้าท่านประทานให้แก่บุคคล ตามสมควร แก่การประพฤติ หรือการกระทำของตน ของตน
นี่แหละ ตัวศาสนาทุกๆ ศาสนา จึงมีความหมาย เอ่อ, ตามความหมายของคำว่าธรรม ซึ่งเป็นความหมายที่สาม คือหน้าที่ ที่ทุกคนจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ตรง ตามกฎของธรรมชาติ หรือตามพระประสงค์ของพระเจ้า จำเป็นที่จะต้องพูดอย่างนี้ เพราะว่าในโลกนี้เรามีศาสนาต่างๆกัน เอ่อ, ศาสนาที่มีพระเป็นเจ้าในลักษณะที่เป็นบุคคลนั้น ก็มีอยู่จำพวกหนึ่ง และศาสนาอีกพวกหนึ่งไม่มีพระเป็นเจ้า ประเภทที่เป็นบุคคลอย่างนั้นก็มี พระเป็นเจ้าชนิดที่ไม่เป็นบุคคล คือเป็นนามธรรม อย่างพุทธศาสนาหรือศาสนาที่เครือเดียวกับพุทธศาสนานี้ ก็มีพระเป็นเจ้าชนิดที่ไม่ใช่บุคคล แต่เป็นนามธรรม เรื่องนี้มีปัญหาซึ่งอยากจะทำความเข้าใจ ว่าที่สวนโมกนี้ เอ่อ, มีกิจกรรมที่ล่ำสันมุ่งหมายอย่างยิ่งอยู่อย่างหนึ่ง คือ การทำความเข้าใจกัน ในระหว่างศาสนาทั้งหลาย นี่อาตมามีความมุ่งหมายจะทำความเข้าใจกันในระหว่างศาสนาทั้งหลาย ให้ศาสนาทั้งหลายเข้าเป็นอันเดียวกันได้ เพื่อประโยชน์แก่โลก ถ้าศาสนายังแตกแยกกันอยู่ ก็คือความเสื่อมเสียของโลกนั่นเอง นี้เราจึงต้องทำความเข้าใจกัน ในระหว่างศาสนา จนกระทั่งยอมรับว่า ทุกศาสนามีอะไรเหมือนกันหมด แม้จะเรียกชื่อต่างกัน
ถ้าพูดถึงคำว่าพระเจ้าเป็นหลัก พุทธศาสนา ก็มีพระเจ้าชนิดที่เป็นธรรมหรือเรียกว่าธรรม ถ้าเรียกว่าเอ่อ, เป็น เป็น God ก็ต้องเป็น เอ่อ, Impersonal God หรือ Non Personal God เมื่อศาสนาทั้งหลายอื่น มี Personal God พุทธศาสนามี Non Personal God นี่จะต้องพิจารณากันให้ดี ว่าสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าหรือ God นั้น จะเป็นอย่างบุคคลก็ไม่ใช่ จะเป็นอย่างตรงกันข้ามกับบุคคลก็ไม่ใช่ คือพระเจ้าต้องเป็นอะไรโดยเฉพาะของพระเจ้า ที่ไม่เหมือนอะไร นี่, ขอให้ เอ่อ, คิดนึกกันดูทุกคนว่า พระเจ้าต้องเป็นอะไร อย่างใดอย่างหนึ่งของพระเจ้า ชนิดที่ไม่เหมือนกับอะไร ดังนั้นจะว่าเหมือนกับบุคคลก็ไม่ได้ จะว่าตรงกันข้ามจากบุคคลก็ไม่ได้ มันไม่พอ มันต้องว่าเป็นพระเจ้า ใช้คำๆ นั้น ในความความหมายนั้น แล้วก็มีความหมายที่เป็นคุณลักษณะของท่านโดยเฉพาะ แล้วก็เอาคุณลักษณะโดยเฉพาะนี้มาเป็นเครื่องวัดกัน จัดกัน แล้วก็จะลงกันได้ทุกศาสนา
เช่นว่า เราจะต้องมี เอ่อ, ปฐมเหตุ คือ The first course นี้ต้องมีกันทุกศาสนา แต่ว่าบางศาสนามีเป็นอย่างที่เรียกว่าพระเจ้าอย่างบุคคล ในศาสนาอื่นก็มีอย่างพระเจ้า ชนิดที่ไม่ใช่บุคคล แต่ว่าทุกศาสนาต้องมีต้นกำเนิดซึ่งเป็นที่ออกมาของสิ่งทั้งหลาย คือเป็นผู้สร้างสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง เรามีด้วยกันทุกศาสนา แต่เราเรียกชื่อต่างๆ กัน และในบางศาสนานั้น เรียกทำนองเป็นบุคคล ในอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเรียกเป็นทำนองไม่ใช่บุคคล แต่ก็เป็น The first course หรือเป็นผู้สร้าง เป็น The Creator ทั้ง มีด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นเราไม่ควรจะรังเกียจกัน เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า โดยเห็นว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน มามองเห็นว่ามีพระเจ้าด้วยกันทั้งนั้น
อยากจะเล่าเรื่องพิเศษให้ฟังสักเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเพราะเจ้า คือที่ประเทศอินโดนีเซีย ประชาชนจำนวนเป็นล้านๆคนเหมือนกัน เขาเอ่อ, ไม่ได้นับถือศาสนาคริสเตียนหรือศาสนาอิสลาม ก่อนนี้เขาเคยว่างศาสนาอยู่ และต่อมาเขามาถือพุทธศาสนากัน จำนวนเป็นล้านๆเหมือนกัน ทีนี้รัฐบาลเขาสำรวจ ทำสำมะโนครัว ในประชาชนที่ถือพุทธศาสนานี้ ถูกจัดไว้เป็นพวกที่ไม่มีศาสนา เพราะว่า พุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า ศาสนาที่ไม่มีพระเจ้านั้นไม่เรียกว่าศาสนา ดังนั้นพุทธศาสนาไม่ถูกจัดเป็นศาสนา ประชาชนเหล่านั้นเลยเป็นผู้ไม่มีศาสนา และพวกที่ไม่มีศาสนานี้จะไม่ได้รับเงินช่วย เงิน Subsidy อะไรต่างๆนี้ เพราะว่า กฎหมายเขาระบุให้ แต่ จ่ายให้แต่บุคคลผู้มีศาสนา เมื่อประชาชนที่นับถือพุทธศาสนา ไม่มีพระเจ้า และไม่มีศาสนาก็ไม่ได้รับเงินช่วยอันนี้ ทีนี้หัวหน้าพุทธบริษัทเขาไปโต้แย้ง โดยแสดงให้เห็นว่าพุทธศาสนา ก็มีพระเจ้า แต่ว่าเป็นอย่างที่เรียกว่าไม่ใช่บุคคล เขาอธิบายธรรมะ กฏ เอ่อ, ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ นี่แหละเป็นพระเจ้า และก็ทำหน้าที่อย่างเดียวกับพระเจ้าอย่างที่ถือกันว่าเป็นบุคคล ในที่สุดเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเขายอม ว่ามีพระเจ้า และก็เป็นศาสนา และประชาชนเหล่านั้น ก็เลยได้รับเงินช่วยเหลือ และก็เหมือนกับประชาชนที่นับถือศาสนาอื่น
นี่แหละขอให้สังเกตุดูเถิดว่า เรื่องอย่างนี้มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกันกับการเมือง เรื่องมีพระเจ้า เรื่องไม่มีพระเจ้า แต่ที่จริงนั้น คนทุกคน จะต้องมีความรู้สึกที่มีพระเจ้า ถ้าเกี่ยวกับศาสนาก็มีพระเจ้าอย่างบุคคลบ้าง อย่างไม่ใช่บุคคลบ้าง ถ้าไม่เกี่ยวกับศาสนาเขาก็มีพระเจ้าตามความพอใจของเขาเอง ดังนั้นบางคนจึงนับถือเงินเป็นพระเจ้า บางคนจึงนับถืออำนาจวาสนาเป็นพระเจ้า เขาพอใจที่จะยึดเอาสิ่งใดเป็นพระเจ้า เขาก็มีสิ่งนั้นเป็นพระเจ้า นี่เราเรียกได้ เรากล่าวได้เลยว่า ทุกคนมันมีพระเจ้าตามความรู้สึกของเขาไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ถ้าเขาเป็นคนไม่มีศาสนาซะเลย เขาก็มีเงินนี่แหละเป็นพระเจ้าอย่างนี้เป็นต้น เพราะจิตของคนนั้น มันต้องการที่จะมีสิ่งสูงสุด อะไรสักสิ่งหนึ่ง ซึ่งจะช่วยเหลือเขา เมื่อเขาไม่มองเห็นสิ่งใด เขาเห็นว่าเงินนี้แหละช่วยเราได้ เขาก็ถือเงินเป็นพระเจ้า และถือศาสนาเงินไปเลย ที่พูดนี้ก็หมายความว่า เราจะยอมรับว่า ความรู้สึกของมนุษย์นั้นต้องการจะมีพระเจ้าด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเขามองเห็นอะไรเป็นสิ่งสูงสุด เป็นที่พอใจ เขาก็ถือสิ่งนั้นเป็นพระเจ้า
นี่อาตมามีความมุ่งหมายอย่างยิ่ง ที่จะทำความเข้าใจกันในระหว่างศาสนา ว่าเรามีพระเจ้าด้วยกันทั้งนั้น และเราก็มีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ที่พระเจ้าต้องการ ก็ถือกฎธรรมชาติเป็นพระเจ้า มาใช้คำว่าถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถ้าถือพระเจ้าอย่างบุคคลเป็นหลัก ก็เอ่อ, ก็ปฏิบัติให้ตรงตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ทีนี้เราก็มาดูใจความสำคัญว่า พระเจ้าทุกความหมายนั้น ต้องการอะไร พระเจ้า เอ่อ, มีความมุ่งหมายที่จะให้มนุษย์เป็นอยู่ อย่างมีความสงบสุขหรือสันติภาพ แม้แต่ธรรมชาติมันก็ยังต้องการความสงบ พอ พอไม่ พอไม่สงบก็คือผิดธรรมชาติ ถ้าสงบเงียบก็คือเป็นไปตามธรรมชาติ แม้แต่ทางวัตถุล้วนๆอย่างนี้ ลม ฟ้า อากาศอย่างนี้ ถ้าผิดธรรมชาติ ก็คือปั่นป่วนวุ่นวาย ถ้าถูกตามธรรมชาติเดิมแท้ ก็คือสงบเงียบ ฉะนั้น แม้แต่ธรรมชาติแท้ๆ ก็ต้องการความสงบเงียบหรือความเป็นผาสุกด้วยความสงบเงียบ นี้พระเจ้าอย่างที่เป็นบุคคล มีความรู้สึกคิดนึก อย่างบุคคลก็ยิ่งต้องการอย่างนั้นมากขึ้นไปอีก
เราจึงถือว่า จุดมุ่งหมายของพระศาสนานั้น ก็คือความสงบสุข เราจะต้องมีความรู้ เกี่ยวกับการทำความสงบสุขขึ้นมาในโลก ก่อนนี้มนุษย์ไม่รู้ อยู่ด้วยความไม่รู้ คืออยู่ด้วยอวิชชา จึงมีอาการเหมือนกับอยู่ในคอก ในเล้า ที่มืด ที่เหม็น ที่ทนทรมาน นี่เราก็มีศาสนาเป็นวิธีการ สำหรับจะเปิดประตูในทางวิญญาณ ให้คนออกมาสู่แสงสว่างด้วยความผาสุก นี่ครูทั้งหลายรับหน้าที่อันนี้ ก็คือรับหน้าที่ ที่เป็นอุดมคติของศาสนานั้นเอง เข้ามา ปฏิบัติทำตนให้เป็นครูได้ ดังนั้น การศึกษาที่แท้จริง ต้องเป็นการศึกษาชนิดที่เป็นการเปิดประตู ในทางวิญญาณตามอุดมคติ หรืออุดมการณ์ของสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นเอง
เอาล่ะทีนี้ เราจะลองพิจารณาดูถึง การศึกษาที่ครูทั้งหลายเกี่ยวข้องอยู่ อาตมามีความเห็นว่าเอ่อ, การศึกษานี้มันต้องมีถึง ๓ ระดับ
การศึกษาระดับแรก ก็คือ ทำให้รู้หนังสือและมีความเฉลียวฉลาด ระดับแรกรู้หนังสือ ให้มีความเฉลียวฉลาด เพราะรู้หนังสือ
การศึกษาระดับที่ ๒ คือ รู้เรื่องอาชีพแล้วก็มีอาชีพ
ทีนี้การศึกษาระดับ ๓ มันจะได้แก่อะไร ก็ได้แก่ความรู้เรื่องความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ เป็นเรื่องทางจิต ทางวิญญาณ เหนือไปกว่ารู้หนังสือและรู้อาชีพ คือเป็นความรู้ทางจิต ทางวิญญาณ ที่จะทำให้มนุษย์เป็นอยู่อย่างผาสุกสูงสุด สมกับความเป็นมนุษย์
เดี๋ยวนี้เราคงเห็นได้แล้วว่า เพียงแต่รู้หนังสือ กับมีอาชีพนั้น ยังเป็นอันธพาลอยู่เต็มไปหมด ผู้ที่เรียนหนังสือมามากๆ มีอาชีพดีๆ นั้น ยังเป็นอันธพาลเต็มไปหมด จริงหรือไม่จริง ก็ขอให้ไปสังเกตุดู การศึกษาเพียง ๒ ระดับนี้ยังเป็นหมัน ยังเป็นหมัน ยังไม่เป็นนุษย์ ยังไม่ทำให้เป็นมนุษย์ ยังเป็นหมัน รู้หนังสือและรู้อาชีพนี้ยังไม่เป็นมนุษย์ จนกว่าจะรู้ธรรมะหรือรู้ศาสนาด้วย จึงจะเป็นมนุษย์ มีจิตใจอย่างมนุษย์ รู้เพียงหนังสือและรู้อาชีพนั้น มันสร้างความเห็นแก่ตัว ได้รับประโยชน์จากอาชีพแล้ว ก็เริ่มสร้างความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น จนทำผิด ทำชั่ว เหมือนที่เราเห็นๆกันอยู่ ในหมู่คนที่มีการศึกษาและมีทรัพย์สมบัติดี ยังเป็นคนอันธพาล ยังทำคอรัปชั่น ยังทำการขูดรีด อย่างนี้เป็นต้น
คิดดูแล้วมันก็น่าหัว ว่าเราให้การศึกษากันอย่างไร ถึงระดับวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแล้ว มันก็ยังไปชอบยาเสพติด นี่, การศึกษามันบ้าหลังอย่างไร ที่เรียนแล้วยังไปชอบยาเสพติด สมัยโบราณปู่ยาตายายเขาไม่เรียนกันมากอย่างนี้ แต่ว่าเด็กๆก็ยังเกลียดยาเสพติดได้ด้วยตนเอง สมัยนี้เรียนมาก แต่เด็กๆก็ไปลองยาเสพติด และติดยาเสพติดมากขึ้นทุกที นี้เรียกว่าการศึกษามันสูญเปล่า การศึกษาที่ให้เรียนหนังสือและให้อาชีพนี้ มันยังสูญเปล่า ไม่ทำมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ ข้อเท็จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้มันมีอยู่ว่า สิ่งที่จะห้ามมนุษย์ ไม่ให้ไปทำความชั่ว ความเลวนั้น มันอยู่ที่ความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งที่เรียกว่าศาสนา การจะห้ามกันด้วยกฎหมาย ด้วยคำชี้แจงตามธรรมดา ซึ่งไม่มีความศักสิทธิ์นั้น ไม่พอ ไม่มีฤทธิ์มีแรงพอ ที่จะห้ามไม่ให้คนทำชั่ว
ดังนั้น สมัยก่อนเขายึดมั่นในศาสนา กลัวบาป กลัวพระเจ้าอย่างสูงสุด ดังนั้นพอห้ามอะไรนิดเดียวก็ไม่กล้าทำ เพียงแต่ว่ายาเสพติดนี้เป็นของผิดหลักของศาสนา ผิดหลักธรรมะ พระเจ้าห้ามนี่ เขาก็ไม่ทำ เดี๋ยวนี้คนไม่ถือพระเจ้า คนไม่ถือธรรมะ ไปถือเหตุผลของตัวเอง แล้วการศึกษาเท่าที่ให้กันอยู่ มันไม่พอ เขาก็ฝืนความรู้สึก ไปเสพยาเสพติด การห้ามในทางศีลธรรมใดๆทุกแขนง ห้ามไม่ให้ฆ่า ไม่ให้ลัก ไม่ให้ขโมย ไม่ให้อะไรก็ตาม ทุกๆอย่างนั้นน่ะ มันเคยห้ามกันมาสำเร็จ ด้วยอำนาจของความศักดิ์สิทธิ์ ที่เกี่ยวกับพระศาสนาหรือเกี่ยวกับธรรมะ คือบรรพบุรุษของเราแต่สมัยโบราณนั้นน่ะ ท่านฝากเนื้อฝากตัวไว้กับศาสนา กลัวบาปอย่างยิ่ง กลัวพระเจ้าอย่างยิ่ง เขาไม่กล้าทำบาป พอมาถึงสมัยนี้ เด็กๆเขากลายเป็นคนไม่มีพระเจ้า ไม่กลัวบาป เขาก็เลยทำบาป ทำชั่ว โดยไม่กลัวกฎหมาย ไอ้เรื่องกฎหมายก็กลายเป็นขี้ฝุ่นไปเลย มันไม่สามารถจะห้ามจิตใจของคนไม่ให้ทำชั่วได้ ไม่เหมือนกับความรู้สึกทางพระศาสนา คือความกลัวบาป เป็นต้น มันห้ามคนไม่ให้ทำบาปได้โดยเด็ดขาด นี้คือปัญหาเฉพาะหน้า ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ในโลกนี้ ทั่วทั้งโลกก็ได้ ไม่เฉพาะประเทศไทยหรือ เฉพาะประเทศไทย ก็ยิ่งเห็นได้ง่ายว่า คนในยุคบรรพบุรุษนั้นกลัวบาปอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงไม่ทำชั่ว คนสมัยนี้ไม่กลัวบาป ก็ทำชั่ว เพราะเห็นแก่ประโยชน์ แก่เงิน เป็นต้น แม้จะมีกฎหมายห้ามอยู่ไม่ให้ทำชั่ว เขาก็หัวเราะเยาะ เพราะฉะนั้นจึงเห็นคนทำอาชญากรรมแรงร้ายยิ่งขึ้นทุกที เพราะไม่กลัวกฎหมาย และบาปก็ไม่มีซะแล้ว ไม่กลัวซะแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อนนั้นมีบาปค่อยขู่เอาไว้ คนก็ไม่ทำ
นี่แหละคือปัญหาปัจจุบันนี้ว่า ทำไมสังคมจึงเสื่อมศีลธรรมลงไปอย่างน่าหวาดเสียว อาชญากรรมเต็มไปหมด คอรัปชั่นเต็มไปหมด อะไรๆก็ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น สำหรับมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง ดูเถิด ปัญหายาเสพติดมันก็เพิ่งเกิด และก็เป็นปัญหาใหญ่ จนต้องชักชวนกันทั้งโลก เอ่อ, ให้ช่วยกันปราบยาเสพติด มันเป็นเรื่องบ้าสิ้นดี ให้การศึกษากันอย่างไร จนคนในโลกนิยมยาเสพติด และมาเสียเวลาปราบปรามกันอย่างนี้ นี่แหละเพราะว่าศาสนามันออกไป ความรู้อย่างโลกๆมันเข้ามาแทน น่าเศร้าที่สุด เป็นความผิดของมนุษย์เหลือที่จะกล่าวได้ คือได้แยกสิ่งที่เรียกว่าศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา
ท่านทั้งหลายก็คงจะทราบได้ดีว่า การศึกษาในปัจจุบันนี้ ได้แยกธรรมะ คือศาสนาออกไปเสีย โดยเห็นว่าเรื่องศาสนาไม่เกี่ยวกับการเมือง การศึกษาจัดไปเพื่อประโยชน์แก่การเมือง เพราะฉะนั้นจึงไม่เกี่ยวกับศาสนา จึงเอาเรื่องศาสนาออกไปเสีย เหลือแต่การศึกษาล้วนๆ เพื่อเป็นประโยชน์ทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ เป็นต้น มันก็มีผลให้คนไม่มีศาสนา แม้ว่าจะมีการสอนศีลธรรมกันบ้างในโรงเรียน ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไป จดไว้ในสมุดมากกว่า เด็กๆไม่สนใจเรื่องธรรมะ เรื่องศีลธรรม เพราะได้คะแนนน้อย ไม่คุ้มค่า และความนิยมในเรื่องนี้ก็ลดลงไป ในที่ทุกหนทุกแห่งก็ให้ความหมายแก่เงินมากกว่า ที่จะให้ความหมายแก่ คำว่าบุญ ว่าบาป ว่าดี ว่างาม เป็นต้น การศึกษาเอ่อ, สมัยปัจจุบัน มีวี่แววว่าจะดึงศาสนากลับเข้ามาอีก นี้ก็เป็นเรื่องใหม่ๆหยกๆนี้เอง ยังไม่ได้ทำ ยังไม่ทันจะทำ ยังกำลังจะทำ
อาตมาขอร้องให้นึกทบทวนเปรียบเทียบกันดู ในระยะยาว คือราว ๖๐ ปี ประมาณว่า ๖๐ ปี ไปดูว่าการศึกษาสมัยนั้นกับการศึกษาสมัยนี้ต่างกันอย่างไร การศึกษาเมื่อสมัย ๖๐ กว่าปีมานั้น พระจัด เจ้าหน้าที่ทางศาสนาจัด แม้ในประเทศตะวันตก ประเทศอังกฤษ ประเทศอะไรก็ตาม มหาวิทยาลัยเหล่านั้น พระเป็นผู้จัด มันก็มีศาสนาปนรวมอยู่ในนั้น ครั้นมาบัดนี้การศึกษานี่ชาวบ้านจัด ไม่ใช่พระจัด แล้วก็ยังตั้งข้อรังเกียจศาสนา แยกศาสนาออกไป มาเร่งรัดในเรื่องของชาวบ้าน เรื่องของโลก เรื่องของวิทยาศาสตร์ เรื่องของวัตถุธรรม จนไม่มีเนื้อที่สำหรับเรื่องศาสนา ทางศาสนามันจึงผิดกัน
อาตมาได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่แรกๆว่า มหาวิทยาลัย Oxford , Cambridge ของอังกฤษนี้ เขาเรียนกันเพื่อเป็นสุภาพบุรุษเท่านั้นเอง เพื่อเป็นมนุษย์ที่ดี ที่ไม่มีอันตราย ที่น่าไว้ใจได้ เรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษ การศึกษาสูงสุดอยู่ที่ ความเป็นสุภาพบุรุษ สร้างสุภาพบุรุษ มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาในโลก พอมาถึงปัจจุบันนี้ คำว่าสุภาพบุรุษหายไปไหนหมด ไม่ค่อยได้ยิน ได้ยินแต่ว่าเราจะต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะวิชา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะวิชา เป็นสุภาพบุรุษหรือไม่ ก็ไม่รู้ ให้มันเชี่ยวชาญเฉพาะวิชา แล้วมันก็ทำอะไร ให้เกิดความก้าวหน้าเพื่อประโยชน์แก่การเมือง แก่การเศรษฐกิจ ที่จะเห็นได้ง่ายๆก็ว่า อย่างว่า ไปรวบรวมเอาหนังสือสอนเด็กพวก Reader นี่ ต่างๆ เมื่อ ๖๐ ปีมาแล้ว มาเปรียบเทียบกันดูกับหนังสือ Reader สำหรับเด็กสมัยนี้ ในประเทศทางตะวันตก อาตมาก็เคยทำอย่างนี้ เอามาเปรียบดู หนังสือ Reader สมัยโน้น ทุกๆบท พอจบลง มีเรื่องที่ทำให้รักพระเจ้า ให้เชื่อพระเจ้า ให้กลัวพระเจ้า มันเป็นเรื่องศาสนาอยู่เต็มตัว พอมาถึงสมัยนี้ หนังสือ Reader แม้สำหรับชั้นอนุบาล มันก็มีเรื่องหลักเกณฑ์ทางปรมาณู ความรู้ขั้นรากฐานทาง Atom หรือเรื่องของปรมาณู มันเป็นอย่างนี้ แล้วเด็กๆของเราจะเป็นอย่างไร แล้วการศึกษาจะสร้างมนุษย์ขึ้นมาได้อย่างไร ก็ลองคิดดู เปรียบเทียบดูได้ด้วยหนังสือ Reader เมื่อ ๖๐ ปีมาแล้วกับหนังสือ Reader ของปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นอยู่ว่าไอ้หนังสือ Reader ของเราเรียน อัสสัมชัญ ที่ Father ??? (นาทีที่ ๔๓.๓๘) เขียนไว้นั่นแหละดีที่สุด ไปลองหามาอ่าน มาเปรียบเทียบดู ว่าทุกเล่มจะมีบทหยอดท้ายให้คนรักธรรมะ รักพระเจ้า กลัวพระเจ้านั้น ยังมีเหลืออยู่ก็จะแต่ที่นั่น หนังสือ Reader อื่นๆเป็นอย่างอื่นหมดแล้ว
นี่ คือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการศึกษา ที่ว่าแยกศาสนาออกไปเสียจากการศึกษามากน้อยเพียงไร ทีนี้, อาตมาก็อยากจะพูดต่อไป ถึงเรื่องที่เราควรจะเตรียมตัวกันอย่างไร ปรับปรุงแก้ไขกันอย่างไร เพื่อให้การศึกษามันกลายเป็นสิ่งที่สร้างมนุษย์ ให้ครูเราได้อาศัย การศึกษา สร้างโลก สร้างมนุษย์ที่ถูกต้องตามความหมายของมนุษย์ เราจะต้องเป็นผู้กล้าหาญขึ้นมาแล้ว จะไม่ถูกผูกมัดอยู่ด้วยระเบียบ ระบอบงาน ที่ทำไปอย่างหลับหูหลับตา ชนิดที่แยกศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา นี้, ครูเราเกิดจะเป็นครูเอาบุญกันขึ้นมาแล้ว ครูเราเกิดจะเป็นครูผู้สร้างโลก ตามพระประสงค์ของพระเจ้ากันขึ้นมาแล้ว เราก็เตรียมตัวกันใหม่ เพื่อจะทำให้การศึกษานี้มันมีธรรมะหรือมีศาสนาเข้ามา แม้ว่าเราจะเป็นครูที่จะต้องทำอะไรตามหลักสูตรของกระทรวง ก็ทำไปตามที่มันจะไม่เกิดขัดแย้งกันขึ้น เราสามารถที่จะมีธรรมะหรือมีศาสนามา ในการสั่ง, มาเพิ่มเข้าในการสั่งสอนของเรา โดยที่ไม่ต้องขัดแย้งกัน อะไรกันกับกฎของกระทรวง หรือหลักสูตรของกระทรวง อาตมาขอร้องว่าให้พิจารณากันในแง่นี้
เราจะพยายามทำให้ลูกเด็กๆ ตั้งแต่ชั้นอนุบาล รู้จักสิ่งสูงสุด คือธรรมะ หรือศาสนา หรือพระเป็นเจ้า ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ หรือกฎของธรรมชาติในฐานะที่เป็นพระเป็นเจ้าก็ตาม จะอาศัยหลักทางศีลธรรม คือหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมะ เพื่อมนุษย์จะอยู่กันเป็นปกติสุข นี่, เอามาอบรม สั่งสอนลูกเด็กๆของเรา ให้ได้รับประโยชน์ในข้อนี้
เรื่องนี้ เอ่อ, ก็เคยพูดกันมาบ้างแล้วว่า เดี๋ยวนี้เริ่มมีหลักสูตรศีลธรรมเพิ่มขึ้นมา ในหลักสูตรของการศึกษา แต่ดูมันยังน้อยไป ยังไม่จริงจังอะไร เราจะรอคำสั่งของกระทรวงอยู่ ก็ไม่รู้เมื่อไร เรามาตั้งความปรารถนาของเราเอง ที่จะเป็นครูเพื่อเอาบุญ เป็นครูเพื่อเป็นปูชนียบุคคล แล้วก็ปฏิบัติหน้าที่นี้ ตามหลักของพระธรรม หรือตามความประสงค์ของพระเป็นเจ้า ก็แล้วแต่จะเรียก มันได้ทั้งนั้น คือการทำให้ลูกเด็กๆของเรามีศีลธรรม คือมีศาสนาขึ้นมา คำว่าศีลธรรมเป็นสิ่งที่จำเป็น ที่ต้องมีในโลก ถ้าโลกไม่มีศีลธรรมก็มีกิเลส มีมารร้าย คอยทำลายโลก ถ้ามีศีลธรรมก็มีพระเจ้าคุ้มครองโลก ศีลธรรม แปลว่า สิ่งที่ทำความสงบก็ได้ สิ่งที่ทำความปกติสุข หรือว่าภาวะแห่งความเป็นปกติสุขก็ได้ ภาวะที่เป็นปกติสุขอยู่ตามธรรมชาตินี้ก็ได้ ขอให้เป็นปกติสุขแล้วกัน นี้เรียกว่าศีลธรรม แต่ส่วนที่เราจะทำได้ ก็คือ เหตุที่จะทำให้ปกติสุข ก็คือความรู้ และการปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามหลักของศีลธรรม
ขอให้พยายามศึกษาอย่างละเอียดปราณีตที่สุด จนมองเห็นชัดว่า ที่แล้วมาแต่หลังนั้น โลกรอดมาได้ เพราะธรรม หรือศีลธรรม คือศาสนามีบทบัญญัติชัดเจนอยู่แล้ว มนุษย์เอามาประพฤติปฏิบัติ จนเกิดเป็นสิ่งสามัญ อยู่ที่เนื้อ ที่ตัว อยู่ตลอดเวลา เรียกว่า วัฒนธรรมก็ได้ เรียกว่า ศีลธรรมก็ได้ วัฒนธรรมก็ไม่ใช่อะไรอื่น ก็คือหลักพระศาสนาที่แบ่งแยกเอามา ให้เหมาะแก่เรื่องราวในครอบครัว ในสังคม ในหมู่คณะของประชาชน แล้วประพฤติปฏิบัติกัน จนเป็นปกตินิสัย จนเป็นปกติวิสัย เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีไปเลย อย่างนี้คือตัววัฒนธรรม คือตัวศาสนาที่แบ่งแยกเอามากระทำให้เป็นวัฒนธรรม วัฒนธรรมทุกรูปแบบ แยกตัวออกมาจากพระธรรม หรือศาสนาทั้งนั้น ถ้าจะเข้มข้นสักหน่อย เราก็จะเรียกว่าศีลธรรม เช่นศีลธรรมอันดีของประชาชน ศีลธรรมอันดีของประชาชน ถ้าจะต่ำกว่านั้นลงไปสักหน่อย ก็เรียกว่าวัฒนธรรมทั่วๆไป หรือถ้าจะให้ต่ำลงไปอีกหน่อย ก็เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีทั่วๆไป แต่แท้จริงแล้ว เนื้อหาสาระของสิ่งเหล่านี้ ก็คือตัวธรรมะ คือตัวศาสนานั่นเอง
เมื่อก่อนนี้เรามีศาสนาอยู่ในวัฒนธรรม มันก็มีได้ง่าย เพราะว่า เด็กๆเกิดออกมาก็ได้เห็นการประพฤติปฏิบัติของบิดามารดาจนเคยชิน เป็นปกตินิสัย มีวัฒนธรรมประจำชาติ เด็กนั้นก็มีธรรมะหรือมีศาสนาโดยไม่รู้สึกตัว ด้วยอำนาจของวัฒนธรรมด้วยนั้นเอง เดี๋ยวนี้วัฒนธรรมชนิดนี้มันหายไป หายไป มันมีวัฒนธรรมอื่น เป็นเรื่องวัตถุ เป็นเรื่องเนื้อหนัง เป็นเรื่องกิเลสเข้ามาแทน คือไม่ใช่เป็นเรื่องศาสนาซะแล้ว เราเปลี่ยนวัฒนธรรมเป็นวัตถุนิยมไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าศาสนามันก็หายไปนั้น ดังนั้น เด็กๆเกิดออกมา มันก็ได้รับการชุบย้อมด้วยวัฒนธรรมทางเนื้อหนังอย่างนี้ โตขึ้นมันก็ไม่เป็นคนมีศาสนา เพราะฉะนั้นมันจึงไม่กลัวบาป นี้, ปัญหาหนักของมนุษย์ มันอยู่ที่ตรงนี้ คือวัฒนธรรมมันเปลี่ยน เป็นวัฒนธรรมฝ่ายวัตถุ ส่งเสริมกิเลส ไม่เป็นวัฒนธรรมที่ถอดรูปแบบออกมาจากพระศาสนา ที่ฆ่ากิเลส วัฒนธรรมที่ควบคุมกิเลสหายไป วัฒนธรรมที่ส่งเสริมกิเลสเข้าแทน
ดังนั้นโลกเราจึงเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ คือการเห็นแก่ตัว และก็เบียดเบียนกัน ปัญหามาสรุปรวมอยู่ที่ ความเห็นแก่ตัว อีกทางหนึ่งก็คือ ความไม่เห็นแก่ตัว
มนุษย์มีความเห็นแก่ตัว เพราะไปหลงในความเอร็ดอร่อย ทางวัตถุ หรือทางเนื้อหนัง ถ้าไปพอใจในรสของพระธรรมหรือของพระศาสนานั้น มันไม่เกิดความเห็นแก่ตัว มันกลับกลายเป็นเรื่องไม่เห็นแก่ตัว สลายไปแห่งตัว ชนิดที่เป็นกิเลส แต่ถ้าเรามาหลงใหล ในความเอร็ดอร่อย สวยงาม สนุกสนานในทางวัตถุแล้ว มันก็สร้างความเห็นแก่ตัว ตัวที่เป็นกิเลสมันก็หนาขึ้น หนาขึ้น เดี๋ยวนี้ทั้งโลกกำลังมีปัญหาอย่างนี้ คือประชาชนชาวโลกตกเป็นทาสของความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ซึ่งเป็นที่ตั้งของกิเลสมากขึ้นทุกที ทิ้งพระเจ้ า ทิ้งศาสนาเสียแล้ว ก็ไม่มีอะไรทำให้กลัวบาป ก็ทิ้งบาปเสียแล้ว เพราฉะนั้นจะยากที่กฎหมายจะมาควบคุมคนเหล่านี้ได้ กฎหมาย กฎหมายก็เลยเป็นหมันไป นี้, เรากำลังท้าทายว่าฎหมาย กำลังเป็นหมันไป ไม่สามารถจะควบคุมอาชญากรรม ความเลวร้าย อะไรต่างๆ ที่กำลังมีอยู่ในโลกได้
เมื่อก่อนนี้ควบคุมไว้ได้ ด้วยความเชื่อ ความรักนับถือพระศาสนา คือกลัวบาปและรักบุญ ปัญหามีอย่างนี้จะแก้กันอย่างไร อาตมารู้สึกว่าไม่มีทางอื่นใด นอกจากกลับไปหาพระศาสนากันใหม่ พระเจ้าจะต้องกลับมา พระธรรมจะต้องกลับมา พวกที่พูดว่าพระเจ้าตายแล้ว คือคนบ้าบอที่สุด เพราะว่าพระเจ้าจะตายไม่ได้ พระเจ้าเป็นสิ่งที่ตายไม่ได้ เพียงแต่เขาเปลี่ยนพระเจ้า คนในโลกมันเปลี่ยนพระเจ้าไปถือพระเจ้าเงินตราอย่างนี้เป็นต้น มันก็ว่าพระเจ้าแท้จริงตายแล้ว ที่จริงไม่ได้ตาย เพียงแต่เขาเปลี่ยนพระเจ้า นี้, เราก็ต้องสะสางปัญหาเรื่องนี้กันเสียใหม่ คือให้มีพระเจ้าที่แท้จริงกลับมาใหม่ คือให้ศาสนากลับมาใหม่ ให้ธรรมะกลับมาใหม่ ให้ระบบการศึกษาเต็มไปด้วย สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะหรือศาสนานั้นเอง
เป็นที่น่าสนใจที่ว่า บางประเทศเขามีกระทรวงศาสนา ในประเทศไทยนี้ไม่มีกระทรวงศาสนา มีแต่กระทรวงศึกษาธิการ แล้วก็ฝากกิจกรรมทางศาสนาไว้ อย่างกับเหมือนกับว่า เศษกระดาษอย่างนั้น ไม่มีกระทรวงศาสนาโดยตรง สมัยก่อนโน้น ประเทศไทยมีกระทรวงธรรมการ ฟังดูซิกระทรวงธรรมการ กิจการเกี่ยวกับพระธรรม แล้วต่อมาเปลี่ยนเป็นกระทรวงศึกษาธิการ เรียนหนังสือกันล้วนๆ ก่อนโน้นเรียกว่า กระทรวงธรรมการ ศึกษาธรรมะด้านจิต ด้านวิญญาณ เป็นส่วนใหญ่ การเรียนหนังสือแฝงไว้ในการศึกษาส่วนนั้น นั่นแหละในสมัยที่ประชาชน ยังยึดมั่นในทางธรรม ในทางศาสนา เดี๋ยวนี้เราควรจะมี กระทรวงศึกษาธิการและการศาสนา พ่วงท้ายเข้าไป อาตมาไม่มีอำนาจอะไร ก็ได้แต่พูดอยู่อย่างนี้แหละ มันก็ได้พูด แต่พูด พูดกันอยู่อย่างนี้แหละว่า ว่าเราควรจะมี กระทรวงศึกษาธิการและการศาสนา อย่างน้อยก็คนละครึ่ง เรื่องมันก็จะเป็นไปในทางดี มีหวัง ถ้ายังมีแต่กระทรวงศึกษาธิการ ให้เรียนแต่หนังสือและอาชีพอยู่อย่างนี้ ไม่มีหวังที่ศีลธรรมจะกลับมา นี้, พูดแล้วก็ไม่กลัวใครโกรธ จนกว่าจะมี การศาสนา พ่วงเข้ามา ให้ศึกษาทางจิต ทางวิญญาณ ให้รู้จักความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง และเป็นมนุษย์กันให้ได้ นี่, เมื่อนั้นแหละความสงบสุขจะกลับมาสู่ประชาชนชาวไทย ทั้งโลกก็เป็นอย่างเดียวกัน ควรจะมีกระทรวงศาสนา ที่จัดการให้กิจกรรมของพระศาสนาเป็นไปอย่างถูกต้องและครบถ้วน แล้วคนก็กลัวบาป แล้วคนก็รักพระเจ้า คนก็จะสนองประสงค์ของพระเจ้า ก็ทำความดี ก็มีศีลธรรม ก็อยู่กันอย่างมีศีลธรรม โลกนี้ก็มีความสงบสุข
ในที่สุดก็สรุปความได้ว่า ศีลธรรมต้องกลับมา ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา โลกนี้จะวินาศ จะจริงหรือไม่จริง ขอร้องให้ช่วยเอาไปคิดกันทุกคน ไปพิจารณากันทุกคน ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา โลกนี้จะวินาศ คือคนจะเห็นแก่ตัว ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น มีความรู้ ความสามารถ ความเฉลียวฉลาดเท่าไร ก็ใช้เพื่อความเห็นแก่ตัวทั้งหมดเลย ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว วันหนึ่งก็ได้ฆ่าฟันกันอย่างวินาศ เดี๋ยวนี้เราก็มีเครื่องมือหรืออาวุธ ที่จะฆ่าคน คราวละแสนละล้านได้ ถ้าเผลอบันดาลโทสะ ไม่มีศีลธรรมถึงขีดสุดเข้ามาเมื่อไร ก็ฆ่ากันให้วินาศไปทั้งโลกได้ในทางฝ่ายวัตถุธรรม นี้, ฝ่ายจิตใจก็พลอยสูญหายไปด้วย ก็เรียกว่า หมดทั้งฝ่ายวัตถุและทั้งฝ่ายจิตใจ เป็นความวินาศหมด เพราะว่าศีลธรรมไม่กลับมา นี้, ถ้าศีลธรรมกลับมา โลกนี้ก็เปลี่ยนทันที กลายเป็นโลกที่มีความสงบสุข คือพระเจ้ามาครองโลกอีกที พวกมาร พวกซาตานทั้งหลายก็ออกไป นี่, แล้วแต่ว่าศีลธรรมจะกลับมาหรือไม่กลับมา ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา ความเห็นแก่ตัวก็ครองโลก นี้เรียกว่าพญามารหรือซาตานมาครองโลก ถ้าศีลธรรมกลับมาก็มีความประพฤติถูกต้อง ตามความหมายความเป็นมนุษย์ นี่, ศาสนาก็ครองโลก พระธรรมก็ครองโลก พระเจ้าก็ครองโลก มันมีอยู่อย่างนี้ ว่าศีลธรรมจะกลับมาหรือจะไม่กลับมา
ทีนี้ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ก็มีหน้าที่โดยตรงอยู่แล้ว ว่าจะเปิดประตูทางวิญญาณ นั้นก็คือการทำให้มีศีลธรรมอย่างถูกต้อง และสมบูรณ์ ขึ้นมาในหมู่มนุษย์ เดี๋ยวนี้มนุษย์ จมลงไปในคอกมืด เล้าที่มืด ที่เหม็น ที่สกปรก ไปด้วยบาป ด้วยอกุศลนี้ อย่างยิ่งแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะช่วยกันเปิดประตูทางวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคปัจจุบันนี้ ที่มนุษย์ได้ตกจมเข้าไปในคอก ในเหว ในเหวมืด แห่งวัตถุนิยม เราจะช่วยกันทำให้เขาเข้าใจ รู้จักอันตรายอย่างยิ่งอันนี้ แล้วมาสู่ความถูกต้อง ของความเป็นมนุษย์ มีความถูกต้องทั้งฝ่ายวัตถุ มีความถูกต้องทั้งฝ่ายจิตใจ ต้องถูกต้องทั้ง ๒ ฝ่าย พระศาสนานั้นไม่ได้เป็นเรื่องมโนนิยมหรือจิตนิยม โดยส่วนเดียว พระศาสนานั้น มีความถูกต้องทั้งทางฝ่ายวัตถุและทั้งทางฝ่ายจิตใจ เราเรียกว่าธรรมนิยม หรือสัจจะนิยม จะดีกว่า จะมีความถูกต้อง ทั้งทางฝ่ายวัตถุ และทั้งทางฝ่ายจิตใจ มนุษย์โลกเราจะต้องมีความถูกต้องทั้งทางฝ่ายวัตถุและทั้งทางฝ่ายจิตใจ แล้วเราก็จะประสบความผาสุกหรือความสงบสุข
เดี๋ยวนี้โลกมันเป็นวัตถุนิยมมากเกินไป คนร่ำรวย พวกนายทุน ก็เป็นวัตถุนิยม พวกชนกรรมาชีพ กรรมกรยากไร้ ก็เป็นวัตถุนิยม และวัตถุนิยมนี้ มันไม่มีศีลธรรม มันก็ได้กัดกัน มันก็ได้ต่อสู้กัน มันก็ได้กัดกัน ถ้าศาสนาเข้ามา ก็ทำความเข้าใจกันได้ เลิกความเป็นวัตถุนิยม มีความถูกต้องทางจิตนิยม มันก็ไม่ต้องกัดกัน คนร่ำรวยก็รักและเมตตาคนยากจน คนยากจนก็ทำตนให้เป็นที่น่ารัก น่าเมตตา แล้วมันก็อยู่กันได้ในโลกนี้ แม้ว่าจะมีความเหลื่อมล้ำ ต่ำสูง กันอย่างไร
เดี๋ยวนี้เกิดความเข้าใจผิด ต่างฝ่าย ต่างหน้ามืด มีกู เป็นกู มีมึง เป็นมึง ต่างฝ่าย ต่างเห็นแก่ตัว มันก็จะล้างผลาญกัน ในระหว่างคนที่เหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากัน คือพวกนายทุนกับพวกชนกรรมาชีพ ถ้าว่าคนยังถือศาสนากันอยู่ อย่างถูกต้องแล้ว ลัทธินายทุน ลัทธิชนกรรมาชีพ เกิดขึ้นมาในโลกไม่ได้ อาตมาขอแสดงความคิดเห็นและยืนยันอย่างนี้ว่า ถ้าคนยังถือศาสนากันอยู่อย่างถูกต้องแล้ว มันจะเกิดลัทธินี้ขึ้นมาไม่ได้ ลัทธินี้เพิ่งเกิด เมื่อคนไม่นับถือศาสนาเสียแล้ว พวกคนร่ำรวยก็ไม่มีเมตตากรุณาแล้ว พวกคนยากจนก็มีความแข็งกระด้างเสียแล้ว มันจึงอยู่กันไม่ได้ นี้ถ้าศาสนากลับมา พวกนายทุนก็เลิกทำเป็นนายทุน กลายเป็นเศรษฐีใจบุญ ชนกรรมาชีพก็เลิกเป็นชนกรรมาชีพที่แข็งกร้าว มากลายเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นสัตตบุรุษที่ดี น่ารักน่าเอ็นดู ร่วมมือกันได้ อย่าไปมีความคิดผิดๆหลงตามเขาไป ว่ามันเหลื่อมล้ำต่ำสูงแล้ว มันต้องกวาดให้มันเสมอกัน มันต้องบั่นทอนลงมาให้เสมอกัน อย่างนี้เป็นเรื่องบ้าหลัง พุทธบริษัทถือกฎเกณฑ์ของสัจธรรม หรือกฎของธรรมชาติว่า ในโลกนี้ ต้องมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากัน ช่วยไม่ได้ที่จะไม่ให้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ต้องมีคนร่ำรวย และมีคนยากจน ต้องมีคนโง่ และมีคนฉลาด ต้องมีคนแข็งแรง และมีคนอ่อนแอ นี้มันต้องเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่พระเจ้าสร้างมา หรือว่าเป็นเรื่องที่กฎของธรรมชาติบังคับอยู่ หรือกฎแห่งกรรม มันสร้างขึ้น ให้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากัน เป็นคนร่ำรวย เป็นคนยากจน เป็นคนโง่ เป็นคนฉลาด เป็นคนแข็งแรง เป็นคนอ่อนแอ เป็นคนสวย เป็นคนขี้เหร่ เป็นอะไรที่มันล้วนแต่ต่างกัน ถ้ามันอาศัยความต่างกันนี้มาเป็นเหตุเกลียดชังกัน มันก็อยู่กันไม่ได้ มันก็คิดจะทำลายล้างกัน แล้วในที่สุด มันก็จะวินาศไปด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย
ทีนี้ให้ศาสนาเข้ามา ให้ธรรมะเข้ามา เป็นเครื่องไกล่เกลี่ยให้มันอยู่กันได้ เหมือนท่านนั่งอยู่ที่นี่ ลองคิดดู สังเกตุดูว่า ต้นไม้สูงๆนี่, มันก็มีอยู่ แล้วต้นไม้เตี้ยๆ เป็นหญ้า เป็นบอน เป็นเฟิร์น เป็นตะไคร่ เกาะอยู่ที่รากต้นไม้นั้นก็มีอยู่ เขียวๆนั้นมันเป็นเอ่อ, ตะไคร่ชนิดหนึ่ง มีชีวิตเหมือนกันอาศัยอยู่ที่โคนต้นไม้ แล้วต้นไม้นี้ก็ขึ้นสูง มันก็เกิดความเหลื่อมล้ำกันแล้วระหว่างต้นไม้กับตะไคร่หรือเฟิร์นนั่นเขียวๆ นี้มันอยู่กันได้ ทำไมมันอยู่กันได้ มันต้องมีความถูกต้องที่ทำให้อยู่กันได้ มนุษย์นี้ โง่อะไรนักหนา ที่ว่าจะอยู่กันให้ได้ระหว่างความเหลื่อมล้ำต่ำสูง คือคนจนกับคนรวยอยู่กันไม่ได้ จนคนรวยจะต้องถูกกวาดล้างไปโดยคนจน อย่างนี้ มันเป็นความคิดผิดๆ เราจะดูต้นไม้นี้ก่อน ถ้าว่าต้นไม้ ต้น ลำต้นสูงใหญ่นี้ ถูกตัดลงไป แดดก็เผาตะไคร่เขียวๆนี้ตายหมด สมน้ำหน้ามัน นี้, คิดดูเถิดว่า มันต้องอยู่กันได้ ระหว่างความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ถ้าไม่มี ถ้าไม่มีนายทุนแล้ว กรรมกรจะเอางานที่ไหนทำ กรรมกรจะเอาปัญญาที่ไหนมาลงทุน เราก็ต้องมีนายทุน มีงาน ให้กรรมกรทำ แล้วก็อาศัยกัน โดยหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง ที่ยุติธรรม ก็อยู่กันได้อย่างผาสุก เหมือนกับต้นไม้สูงๆ อยู่กันได้กับต้นไม้ต่ำๆ ต้นไม้เตี้ยๆ ที่เรียก แม้แต่ตะไคร่อย่างนี้ เมื่อถือหลักของพระธรรมหรือของพระศาสนาแล้ว คนโง่ก็อยู่ได้ด้วยความเมตตาปราณีของคนฉลาด คนฉลาดก็รู้จักเมตตาปราณีคนโง่ ให้คนโง่ได้ทำประโยชน์ คนแข็งแรงก็ช่วยคนอ่อนแอ คนอ่อนแอก็ทำตนให้เป็นผู้ที่มีประโยชน์แก่คนแข็งแรง มันก็อยู่กันได้อย่างนี้ นี่คืออานิสงส์สูงสุดของพระธรรม หรือของพระศาสนา ที่จะช่วยขจัดปัญหาอันเลวร้ายของมนุษย์ในโลกในปัจจุบันนี้ คือปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของคนที่อยู่กันในโลก แล้วคิดจะล้างผลาญกัน เดี๋ยวนี้ก็ยังมีความคิด จะล้างผลาญกันอยู่อย่างนี้ ทั้งใต้ดิน ทั้งบนดิน อย่างเลวร้ายที่สุด พระศาสนาไม่มาช่วย
เมื่อไรพระศาสนามาช่วย คนเหล่านี้ก็จะเปลี่ยน เป็นคนที่จะร่วมมือกันได้ อยู่ด้วยกันได้เป็นผาสุก เหมือนกับที่แล้วๆมา คนก็เคยยากจนและร่ำรวยมาแต่ดึกดำบรรพ์โน้น เขาอยู่กันได้ เพราะมีธรรมะและศาสนา แต่ครั้นมาถึงสมัยนี้ ไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนาอย่างนั้น ก็เกิดการอยู่กันไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว ก็จะล้างผลาญกัน ให้วินาศลงไปสักวันหนึ่งเป็นแน่นอน
สรุปความว่า ไอ้ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงนั้น จะหมดปัญหาไป เพราะว่าธรรมะเข้ามา ทำให้คนรักใคร่เมตตา ปราณี ความรักผู้อื่นนั้น เป็นหัวใจของทุกศาสนา ความรักผู้อื่นนั่นแหละ จะแก้ไขปัญหาอันเลวร้าย ในโลกนี้ให้หมดไป คือว่านายทุนก็รักชนกรรมาชีพ ชนกรรมาชีพก็รักนายทุน เลิกความเป็นนายทุน เลิกความเป็นชนกรรมาชีพ มีแต่มนุษย์ที่ดี เป็นลูกของพระเจ้าที่ดี ประพฤติธรรมะโดยสุจริต อยู่กันตามเอ่อ, ที่ว่าจะเหลื่อมล้ำกันอย่างไรก็ตามใจ แต่ความอยู่ร่วมกันได้นั้นต้องมี เพราะว่ามีธรรมะนั่นเอง การที่จะบีบคั้นกัน นี้ มันเป็นสิ่งที่กันไม่ได้ มันต้องทำด้วยความเมตตา กรุณากัน ด้วยความรักกันโดยธรรม นี่, เราจะต้องให้ศีลธรรมอันนี้กลับมา
หัวใจของพระศาสนา ก็คือศีลธรรม ที่จะทำให้มนุษย์อยู่กันเป็นผาสุก โดยส่วนบุคคลก็เป็นผาสุก โดยส่วนรวมเป็นสังคม หรือรวมกันทั้งโลกก็ยังเป็นผาสุก เราเอาศีลธรรมที่เป็นหัวใของพระศาสนาออกมา ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสนใจ ที่จะให้ศีลธรรมออกมาจากพระศาสนา มาคุ้มครองลูกเด็กๆของเรา ให้เป็นคนมีศีลธรรม สร้างลูกเด็กๆชุดนี้กันใหม่ สำหรับเป็นพลโลกที่ดี ที่ทำให้โลกมีความสงบสุข
ศีลธรรมข้อแรก ที่อาตมาอยากจะเสนอให้เอาไปพิจารณา ศึกษา และปฏิบัติ ก็คือข้อที่ว่า มีความรักเป็นสากล ใช้คำว่า ความรักสากล เพื่อจะ มันจะได้สากลจริงๆ จะไม่ ไม่จำกัดอยู่ในวงแคบของศาสนาไหน ใช้คำว่า Universal Love ความรักสากล ตามหลักพุทธศาสนาถือว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่, สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มันก็ไม่ ไม่ผิดแปลกแตกต่างอะไรกันกับ หลักในทางคริสตศาสนา ที่ว่าเอ่อ, สัตว์ทั้งหลายนี้มันออกมา เอ่อ, คนทั้งหลายนี้มันออกมาจากบิดามารดาคู่แรก คู่เดียวกัน มันเลยเป็นพี่น้องกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ความหมายมันก็เหมือนกัน เราควรขยายออกไป ถึงว่าสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลาย ก็จะ จะยิ่งกว้างออกไปอีกว่า ที่มีชีวิตทั้งหลายแล้ว ก็ล้วนแต่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี้, เราก็ฆ่าเขาไม่ลง เบียดเบียนเขาไม่ลง มีควมเมตตาปราณี ถ้านายทุนเขาถือหลักข้อนี้ เขาก็สงสารกรรมกร หรือกรรมกรเขาถือหลักข้อนี้ เขาก็ไม่เกลียดชังนายทุน อะไรๆมันก็จะกลายเป็นความรัก ความเมตตา ความสามัคคีกันไปหมด ลงไปกระทั่งถึงแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ถูกทำลายล้าง เพราะมันก็มีชีวิต มันอยากจะรอดชีวิต มันอยากจะมีความเป็นสุข ดังนั้นเราก็ปลูกฝัง เอ่อ, ธรรมะข้อนี้ลงไป ก็เป็นกฎของธรรมชาติ หรือเป็นพระธรรม หรือเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ว่าให้ทุกคนรักกัน ให้ทุกคนถือว่า ทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เราก็มีความรักสากลครอบจักวาล ไม่ยกเว้นชีวิตชนิดไหน เรามีความรัก
อย่างอุปมา เป็นคำอุปมาว่า เราจะทำจนกระทั่งว่า สิงโตมันเล่นกันได้กับลูกแกะ หรือว่าลูกเนื้อกวางนี้กินนมเสือได้ ชาวฮินดูเขาก็มีภาพหินสลักว่าไอ้ปลาทั้งหลายนี่, เข้าไปเที่ยวเล่นในปากของจรเข้ได้ ก็มีความรักสูงสุดขนาดนี้ ไม่มีการเบียดเบียนแม้แต่เล็กน้อย นี้เราก็มีจิตใจอย่างนี้ เรียกในทางพุทธศาสนาว่า แผ่อัปปมัญญา แผ่เมตตาชนิดที่ไม่มีประมาณ นี่เขาเรียกว่า อัปปมัญญา มีการตั้งใจ อธิฐานจิต มีความรัก มีความเมตตา แผ่ไปในทุกทิศ ทิศข้างหน้า ทิศข้างหลัง ทิศข้างซ้าย ทิศข้างขาว ทิศข้างบน ทิศข้างล่าง นี้รอบตัวว่า สัตว์ทั้งหลาย นี่,เป็นเพื่อน ทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงอยู่ด้วยความสงบสุข ไม่ต้องเบียดเบียนกัน เราก็เป็นคน หมดวิตกกังวล หมดห่วง หมดภัย ไม่หวั่นต่ออันตราย มีความสุขสบายโดยส่วนตัว แล้วทุกคนก็ไม่เบียดเบียนกัน โดยส่วนร่วมหรือคนทั้งโลกก็อยู่เป็นสุข นี้เป็นศีลธรรมข้อแรก ครอบจักรวาล ถอดออกมาจากหัวใจของศาสนาทุกศาสนาเลย เราก็ปฏิบัติอย่างนี้ เราก็สอนลูกเด็กๆนักเรียนของเรา ให้มีความรู้สึกอย่างนี้ แล้วไม่สอนอย่างเดียว เราอบรมเขาให้ประพฤติด้วย คือให้เขาช่วยกันและกัน ตลอดเวลา เราเป็นครูเป็นอาจารย์ มีเด็กนักเรียนเล็กๆอยู่ในการควบคุม เราสอนให้เขาช่วยกันตลอดเวลา แนะนำว่าคนนี้มีสตางค์หน่อย มีเงินบาทหนึ่ง แล้วก็ช่วยแบ่งให้ไอ้คนที่ไม่มี เพื่อนที่ไม่มี สักห้าสตางค์ สักสิบสตางค์ เราเหลือเก้าสิบสตางค์ก็ถมไป จะซื้ออาหารกลางวันกินได้ ที่นี้เมื่อมีการแบ่งกันอย่างนี้ มันก็เฉลี่ยกันไปได้ แล้วก็จะไม่มีเด็กคนไหนที่นั่งหิวแสบท้อง เพราะไม่มีอาหารกลางวัน นี้, ปัญหาเรื่องเด็กไม่มีอาหารกลางวันนี้ ไม่ต้องเป็นปัญหาระดับโลก ให้บ้าๆบอๆให้เสียเวลาหนวกหู ที่ตะโกนกันในเรื่องที่จะช่วยให้เด็กมีอาหารกลางวันกินนี้ มันแก้ปัญหานี้ได้ ด้วยหลักของพระศาสนานิดเดียว หลักของพระศาสนาที่ ให้สงสารผู้อื่น ให้รักผู้อื่น หรือถือว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน นี่, เดี๋ยวนี้มาละเลยศาสนาเสียเอง มันก็เกิด เกิดปัญหานี้ขึ้น แล้วก็วางแผนการณ์กว้างขวางเกะกะจะให้เป็นระดับโลก ที่จะแก้ปัญหาเรื่อง เด็กไม่มีอาหารกลางวันกิน นี้ครูอาจจะแก้ปัญหานี้ได้ โดยที่ขอ ที่ปฏิบัติ ที่อบรมเขา ให้มีการปฏิบัติชนิดช่วยเหลือผู้อื่น ในโรงเรียนของเรา โรงเรียนหนึ่งๆ ก็มีทั้งเด็กขัดสนและเด็กที่มีอันจะกิน หรือเด็กที่พ่อแม่มีเหลือกินเหลือใช้ ถ้าสอนให้เขารักกัน มันก็จะแก้ปัญหาได้ ภายในโรงเรียนนั้นเอง ไม่ต้องไปรบกวนใครที่ไหน เราจะอบรมเด็กๆให้ช่วยกันทุกวิถีทาง เรื่องความขาดแคลนก็ดี เรื่องความเจ็บป่วยก็ดี เรื่องป้องกันอันตรายอะไรก็ดี เราจะให้เขาช่วยเหลือกัน ด้วยความรักใคร่กัน เหมือนกับพี่น้องคลานตามกันมา หรือว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ถ้าครูบาอาจารย์ทำได้อย่างนี้แล้ว ก็เหมือนกับสร้างโลกใหม่แล้ว สร้างโลกใหม่ที่ให้มีมนุษย์ที่ประกอบไปด้วยศีลธรรม นี้เป็นศีลธรรมข้อแรกโดยหัวข้อก็ย่อๆว่า ให้มีความรักษาคน เวลามันไม่มีมากพอที่จะจำ, แจกแจงรายละเอียด เอ่อ, พูดแต่หัวข้อ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็คงจะเข้าใจได้ เราไปเผยแผ่ศีลธรรม โดยคำว่า มีความรักษาคน
ทีนี้ ศีลธรรมข้อที่ ๒ เป็นผู้บังคับตัวเอง คือบังคับความรู้สึก เดี๋ยวนี้ได้ยินว่าการศึกษานี่มันบ้าบออะไรกัน ก็ไม่ทราบ สอนให้ไม่บังคับความรู้สึก สอนให้ปล่อยไปตามความรู้สึก ให้ถือว่าการบังคับความรู้สึกนี้เป็นการทนทรมาน สอนให้ปล่อยไปตามความรู้สึก นี้มันผิดกับหลักของพระศาสนา พระศาสนาทุกศาสนาสอนให้บังคับความรู้สึก อารมณ์หรืออาเวก (นาทีที่ 1.17.04) อะไรที่มันเกิดขึ้นมา เราจะต้องควบคุมมัน ความรู้สึกนี้ มันเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ที่แวดล้อมเข้ามา ทำให้เกิดความรักก็มี ทำให้เกิดความโกรธก็มี ทำให้เกิดความเกลียดก็มี ทำให้เกิดความกลัวก็มี เกิดความโง่ ความหลงใหลก็มี เราต้องบังคับความรู้สึกเหล่านี้ไว้ให้อยู่ในความควบคุมของเรา เรื่องรักก็ไม่รัก เรื่องโกรธก็ไม่โกรธ เรื่องเกลียดก็ไม่เกลียด เรื่องกลัวก็ไม่กลัว มีจิตใจปกติแล้ว ทำอะไรถูกต้องตามที่ควรจะทำ คนเราถ้าไปรัก หรือไปโกรธ หรือไปกลัว อะไรซะแล้ว มันก็เกิดความลำเอียงทันที ทำอะไรไปอย่างลำเอียงทันที แล้วก็มีความผิดพลาด มันก็มีปัญหาเกิดขึ้น เป็นความยุ่งยากลำบากหรือเดือดร้อน เราต้องบังคับความรู้สึก อย่าให้พลุ่งออกไป ด้วยอำนาจของความรู้สึกที่ยังรุนแรงอยู่ ให้มีสติ สัมปชัญญะ เสียก่อน แล้วจึงพูดออกไป แล้วจึงทำลงไป ด้วยสติ สัมปชัญญะ อย่างนี้เรียกว่าบังคับความรู้สึก เดี๋ยวนี้โลกนี้เลวร้ายมากขึ้นทุกที เพราะไม่บังคับความรู้สึก ไปหลงในความเอร็ดอร่อย จนเกิดความเกินขึ้นมา กินเกิน กินดี กินมาก กินตลอดเวลา เหมือนกับยักษ์บ้า ผีบ้า นี่น่ะ, คนในโลกปัจจุบันนี้ มันกินเกิน เพราะมันไม่บังคับความรู้สึก แล้วมันก็แต่งเนื้อแต่งตัวเกิน มันควรจะใช้ผ้าธรรมดา สีธรรมดา ดันไปใช้ผ้าบางๆสวยๆลวดลายเหมือนกับผีเสื้ออย่างนี้ นี้, มันเรื่องเกิน มันไม่บังคับความรู้สึก มันไปหลงใหล ในความสวย ความงาม เรื่องเครื่องนุ่งห่ม มันก็ผิดแล้ว เรื่องเครื่องใช้ไม้สอย บ้านก็ต้องดีเกิน รถยนต์ก็ต้องดีเกิน เครื่องใช้ไม้สอยในบ้านก็ต้องดีเกิน มันยิ่งกว่าเป็นคนบ้า คือมันจะทำลายตัวเองมันก็ไม่รู้สึก นี่, มันไม่บังคับความรู้สึก ดังนั้นถ้าเราบังคับความรู้สึกแล้วก็ไม่มีอะไรเกิน เรื่องกินอาหารนั่นแหละจะเป็นเรื่องแรก เรามันกินเกิน แล้วเดี๋ยวนี้ก็มีอะไรมายั่วให้กินเกิน
อาตมาจะบอกตัวอย่างสักอย่างหนึ่งว่า ไอ้น้ำจิ้มบนถ้วยเล็กๆบนโต๊ะอาหารนั้นแหละ คือตัวซาตาน มันหลอกให้กินเกิน มันหลอกให้กินเกิน น้ำจิ้มเดี๋ยวนี้ก็มีตั้ง ๒๐ ชนิด พออย่างนี้เบื่อแล้ว ก็จิ้มอย่างโน้นอีก ก็กินได้อีกคำหนึ่ง พออย่างนี้เบื่อจิ้มกินอีกคำหนึ่ง จนกินเกิน ยิ่งกว่าตะกละ นั้น, เราไม่บังคับความรู้สึกเท่านั้นแหละ ถ้าเราบังคับความรู้สึกแล้ว เรื่องกินเกินมันก็ไม่มี กินมากเวลามันก็ไม่มี จะนอนอยู่แล้วยังกินอีก นี้มันคนบ้า เพราะว่ามันไม่บังคับความรู้สึก ทีนี้เครื่องนุ่งห่มก็เลิกเถอะ ไอ้สีสันที่เหมือนกับผีเสื้อ เหมือนกับเสือ นั้น, มันไม่มีคุณสมบัติอะไร มันเอาสีไว้ขู่คนอื่น มันไม่สามารถ มันต้องเอาสีแปลกๆนี่ ไว้หลอกคนอื่น เสื้อฮาวาย เสื้ออะไรก็สุดแท้นั่นน่ะ มันเป็นเรื่องหลอกคน หลอกผู้สวมให้คิดว่าสวย แล้วหลอกคนอื่นให้คิดว่าสวย ว่าดี ในที่นี้ก็มีใส่เสื้อลายๆกันมากนะ ไปคิดดูกันก่อนว่า มันเกิน หรือ ไม่เกิน ก็ควรจะเปลี่ยนเสียบ้าง ให้มันมาอยู่ในความพอดี
วันหนึ่งเขาเอาหนัง เอาหนัง เอาภาพยนตร์ที่ถ่ายมาจากจีนแดงมาให้ดู รู้สึกสงสัยที่ว่า มันไม่มีเสื้อตา ลายๆ เลย มีเสื้อซีดๆ สีธรรมดา สีหม่นบ้าง สีฟ้าบ้าง เหมือนกันไปหมด ไม่มีใครใส่เสื้อลาย นี่ทำเล่นกับจีนแดง เขาก็เก่ง เราจะสู้เขาได้อย่างไร ถ้าเรามัวแต่ใส่เสื้อลายๆ บางๆ มันต้องแพงกว่า มันก็ต้องชำรุดเร็วกว่า นี่เรียกว่ามันเกิน
ทีนี้ ที่มันยังเกินอย่างเลวร้าย ก็คือเรื่องบำรุง บำเรอ ฟ้อนรำ ขับร้อง เต้นรำ ดนตรี ลูบทา ประดับประดา ตกแต่ง ที่ไม่ใช่ศิลปะ ที่ไม่ใช่การศึกษา ที่ไม่ใช่เพื่อพลานามัย การฟ้อนรำ ขับร้องอะไรที่มันไม่ใช่ ศิลปะ ไม่ใช่การศึกษา ไม่ใช่เพื่อพลานามัย แต่มันเพื่อกามารมณ์ เดี๋ยวนี้นิยมกันนัก นี้มันเป็นส่วนเกินมาจาก การไม่บังคับอารมณ์ความรู้สึก พอเราบังคับความรู้สึกได้ สิ่งเหล่านี้มันก็เกิดขึ้นไม่ได้ ขอให้ไปคิดดูให้ดีเถอะว่า ไอ้การบังคับความรู้สึกนี้ มันเป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์จะรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้ พอไม่บังคับความรู้สึก ก็กลายเป็นสัตว์ที่เลว ที่ร้าย ที่อันตราย คำว่าบังคับความรู้สึกนี่ เมื่ออาตมาเด็กๆ ได้ยินมากเหลือเกิน ในโรงร่ำ โรงเรียนที่ไหนได้ยินคำว่าบังคับความรู้สึก ไอ้ Self Control อะไรเนี่ย ได้ยินบ่อย เดี๋ยวนี้ก็จะไม่ได้ยินแล้ว เพราะการศึกษามันเปลี่ยนเป็น ไม่ให้บังคับความรู้สึก ให้ปล่อยตามสบาย นี่, บาปในการศึกษามันได้เกิดขึ้น เพราะการศึกษา ละจากศาสนา การศึกษาเลยเป็นไป เพื่อส่งเสริมความรู้สึก ไม่บังคับความรู้สึก
ดังนั้น ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายไปอบรมลูกเด็กๆ ของเรา ให้เป็นคนบังคับความรู้สึก แล้วเขาก็จะเป็นเด็กที่ดี รักษาระเบียบ วินัยของโรงเรียนไว้ได้ รักษา ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม หรือศาสนาไว้ได้ แล้วเขาก็เป็นคนดี ไม่เป็นภัย ไม่เป็นอันตรายแก่สังคม ตัวเขาเองก็จะมีความสุข นี้ข้อที่ ๒ เรียกว่าบังคับความรู้สึก
นี้ข้อที่ ๓ อีกสักข้อเถอะ ไหนๆมันก็พูดมาแล้ว แล้วเวลาก็มากแล้ว ข้อที่ ๓ ที่อยากจะระบุไปยังความเคารพตัวเอง ความนับถือตัวเอง นี่ก็เหมือนกันอีก เมื่ออาตมาเด็กๆ ได้ยินคำนี้ นับถือตัวเอง นับถือตัวเอง วันละหลายๆ ครั้ง หลายๆ หน ตามโรงเรียนต่างๆ หรือในหมู่คนที่เขามีการศึกษา เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยินซะแล้ว คำว่านับถือตัวเองนี่ เพราะว่าเขาไปนับถือเงิน นับถือไอ้, อำนาจ วาสนา ไปนับถือเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติกันซะแล้ว ไม่ต้องเคารพ นับถือตัวเอง เอ่อ, คำว่า นับถือตัวเอง นี้หมายความว่า เรารู้สึกพอใจตัวเอง นับถือตัวเอง ว่าเรามีอะไรดี ว่าในเรานี้ มันมีความดี พอที่จะเคารพนับถือได้ พอที่จะยกมือไหว้ตัวเองได้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายช่วยจำไปด้วย ว่าเราจะต้องกระทำชนิดที่ เราจะยกมือไหว้ตัวเองได้ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว อย่าพูดกันให้มากนักเลย ของใคร ใครรู้ดีกว่า ว่ามีอะไรพอที่จะยกมือไหว้ตัวเองได้ ก็ขอให้สนใจ
เรามีความสุข เมื่อเรารู้สึกว่าเรามีความดี นี่เอากันอย่างนี้ นับถือตัวเองนั้น จะทำให้เรารู้สึกเป็นสุข เมื่อเรารู้สึกว่าเรามีความดี เมื่อเราสอนนักเรียนอยู่ในชั้นเรียน นี่, สบายใจที่สุด นับถือตัวเองได้ ว่าเราได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องและดีที่สุด อย่าไปคิดว่าสิ้นเดือนเงินเดือนออก แล้วเอาเงินมาซื้อหาความสุข ซึ่งเป็นเรื่องบ้าหลัง ในทางกามารมณ์เสียเป็นส่วนมาก และทำให้เลวลงไปเสียอีก อย่าไปคิดจะมีความสุข ต่อเมื่อเงินเดือนออกแล้วมาใช้จ่ายกันให้สนุก คิดว่าเรามีความสุขเมื่อเรากำลังทำหน้าที่ นี่, ความนับถือตัวเอง เคารพตัวเองได้ ทำให้เรารู้สึกเป็นสุข นี่, เป็นหลักธรรมะ ในพระศาสนาโดยตรง หรือในระบบจริยธรรมสากล ก็ได้พูดถึงข้อนี้ไว้ด้วยเหมือนกัน คือ พูดว่า หน้าที่เพื่อหน้าที่ ดีมาก ไม่ใช่ หน้าที่เพื่อเงิน Duty for duty is a safe (นาทีที่ 1.26.43) หน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ ถ้าใครถืออย่างนี้ คนนั้นจะเคารพนับถือตัวเอง ถ้าคำว่า หน้าที่เพื่อเงิน และเพื่อบูชาเงิน เขาก็ไม่เคารพ ความดี ความงาม ความถูกต้อง หรือความเป็นธรรม
ดังนั้น เราจงทำหน้าที่ เพื่อหน้าที่ พอเราได้ทำหน้าที่ เราก็ได้รู้สึกว่าเราได้ทำสิ่งที่ควรทำถูกต้องที่สุด ดีที่สุด แล้วเราก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่เรียกว่าเคารพตัวเอง เขาสอนลูกเด็กๆ เขาให้รักษาสัญชาตญาณแห่งความเคารพตัวเองไว้ให้ได้ อาตมาอยากจะเล่าแล้วเล่าอีก ไม่กลัวใครว่าเล่านิทานเรื่องเดียวซ้ำๆ ซาก ๆ ว่ามนุษย์เรามีสัญชาตญาณแห่งการเคารพตัวเอง พอใจตัวเอง เมื่อทำดี มาแต่กำเนิด ถ้าเราไม่รักษามันไว้ มันก็หายไปจนเราไม่เคารพตัวเอง ไปเคารพ ไอ้, กิเลส ไปเป็นบ่าว เป็นทาสของกิเลสเสีย มันก็หมดความเป็นมนุษย์ ที่ว่าเคารพตัวเองมันเป็นสัญชาตญาณมาแต่กำเนิดนั้น ก็คือขอให้สังเกตุลูกเด็กๆ หรือสังเกตุตัวเอง เมื่อยังเป็นลูกเด็กๆ เราเป็นลูกเด็กๆ เราทำอะไรถูกใจแม่ ถูกใจพ่อ แม่หรือพ่อก็บอกว่า ดี ออกมาคำเดียวนั่นแหละ ไอ้เด็กตัวเล็กๆนั้น ก็พอใจที่สุด ตื่นเต้นที่สุด เอามือทุบท้อง เป๊ะ เป๊ะ เป๊ะ เป๊ะ ทีเดียว กระโดดโลดเต้น เอามือทุบท้อง เป๊ะ เป๊ะ ทีเดียว เพราะว่าเขายังไม่นุ่งผ้า เด็กนี้มันยังไม่นุ่งผ้า แต่มันยังรู้จักยินดี พอใจ ในการชมเชยที่พ่อแม่ว่า ดี นี่มันเป็นเรื่องของสัญชาตญาณมาแต่กำเนิด ประสงค์จะให้ทุกคนยกย่องว่าดี แล้วรู้สึกว่าตัวเองดี แล้วก็สบาย ถึงกับเป็นสุข พอใจ ถึงกระโดดโลดเต้นเอาทีเดียว เรียกว่าสัญชาตญาณแห่งความเคารพตัวเอง นับถือตัวเองนี้ มันมีมาเป็นทุนสำรองที่ดีมาแล้ว แต่ไม่ได้รักษากันไว้
ต่อมา ต่อมา ก็ไม่เป็นอย่างนี้เสียแล้ว ไม่ได้เคารพ ต่อเมื่อ ไม่ได้พอใจ เมื่อรู้สึกว่าได้ดี หรือคนเขาว่าดี ไปดีที่เรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องกิเลสไปเสียแล้ว นี่โตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วมันเปลี่ยนถึงขนาดนี้ ดังนั้น ขอให้รักษาสัญชาตญาณแห่งการเคารพตัวเอง ที่ติดมาแต่กำเนิดนั้นไว้ จนตลอดชีวิตเถิด แล้วจะได้ลาภ เป็นคนได้ลาภ มีลาภที่สุด คือมีความสุขที่สุด เมื่อทำการงานอยู่ คนเราต้องมีการงานเป็นชีวิตจิตใจในตลอดเวลา เมื่อได้ทำการงานแล้ว รู้สึกเป็นสุขเพราะเคารพตัวเองว่า ได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ถูกต้องตามความประสงค์ของพระเป็นเจ้า ล้วนแล้วแต่ว่าจะถูกต้องตามอะไร มันเป็นความถูกต้องทั้งนั้น คือการทำหน้าที่ ที่ดี ที่ถูกต้อง แล้วมีความสุข
สรุปความว่า มีความสุขเมื่อทำหน้าที่ หรือมีความสุข เมื่อรู้สึกว่าตัวได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ส่วนความสุขต่อเมื่อเงินเดือนออกแล้ว ไปหัวหกก้นขวิดกันนั้น อย่าดีกว่า มันจะจับใส่ลงไปในความผิด หรือความบาปหรือลงนรก และก็จะเป็นคนยากจน เงินเดือนไม่พอใช้ ส่วนคนที่มีความสุขได้จากการเคารพตัวเองนี้ เงินจะเหลือใช้ จะเป็นคนร่ำรวย เหลือใช้ จนเอาไปช่วยผู้อื่นได้ จะมีเงินเหลือเอาไปช่วยผู้อื่นได้ นี่, มีความสุขได้ โดยไม่ต้องเสียสตางค์
ในหลักของพุทธศาสนานี้ มีอยู่ข้อหนึ่งว่า พระนิพพาน คือความสุขสูงสุดนั้น เป็นของให้เปล่า ไม่ต้องใช้สตางค์ ไม่ต้องเสียสตางค์ ถ้าเป็นความสุขที่ต้องลงทุนด้วยสตางค์แล้ว เป็นความสุขที่ลวง หลอกลวง ที่เก๊ ที่ไม่ใช่ เอ่อ, ไม่ใช่เรื่องของนิพพาน ถ้าความสุขเกี่ยวกับนิพพานไม่ต้องเสียสตางค์ นี่อยากจะมาเปรียบเทียบกันกับไอ้ความสุขข้อนี้ คือเมื่อรู้สึกว่าได้ทำหน้าที่แล้วก็เป็นสุขที่สุด ไม่ต้องเสียสตางค์ซื้อความสุขนั้นๆ สมมุติว่าเป็นชาวนาก็ขุดดินอยู่ ไถนาอยู่ เหงื่อเต็มตัวอยู่ ก็มีความสุขที่สุด ไอ้ชาวนาโง่ๆ มันก็ต้องรอว่า เมื่อไรข้าวได้มาแล้ว ไปขายที่ตลาดแล้ว เอาเงินมากินเหล้า มาเที่ยว สำมะเลเทเมา แล้วก็จะได้เป็นสุข มันเป็นชาวนาโง่ ชาวนาของพระธรรม ของพระศาสนา ของพระเจ้า เขาจะมีความสุขได้ เมื่อกำลังไถนา หรือขุดนา หรืออะไรอยู่อย่างเหงื่อไหลไคลย้อย นี่เราอบรมลูกเด็กๆ ของเรา นักเรียนของเรา ให้เขารู้จักพอใจ ในเมื่อได้ทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ หน้าที่ของลูกเด็กๆ นั้นก็คือ เรียน นั่นเอง เมื่อเรียนเขาควรจะพอใจ เป็นสุขที่สุด ชอบการเรียนที่สุด เป็นสุขในการเรียน แล้วเคารพนับถือตัวเองว่าเราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุด แล้วเด็กคนนี้จะเรียนเลวได้อย่างไร นี่มันไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น มันก็เบื่อหน่าย มันก็ขี้เกียจ มันก็เป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก มันก็เป็นใช้เงินเปลืองทำพ่อแม่ให้เดือดร้อน นี่นักเรียนที่มันเลว มันเป็นอย่างนี้ นักเรียนที่ดี มันก็มีความสุขในการเรียน พอใจในการเรียน สนุกสนานในการเรียน มันก็เรียนดี นี่เป็นการชักจูงเข้าไปสู่ธรรมะ เข้าไปหาพระศาสนา ที่ครูบาอาจารย์ ก็ทำเองได้ แล้วก็สอนเด็กนักเรียนได้ ให้เป็นผู้มีศีลธรรม
เพราะฉะนั้นอาตมาคิดว่า มันก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว สำหรับพูดโดยใจความ จะพูดโดยรายละเอียดถี่ยิบมันก็ไม่ได้ เวลามันน้อย จะพูดทุกข้อมันก็ไม่ได้ จึงเอามาเป็นตัวอย่างเพียง ๓ ข้อ คือ
มีความรักสากล ทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่หนึ่ง
แล้วก็บังคับความรู้สึก ให้อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ อยู่ใขอบเขตของธรรมะ ของศาสนา นี่ ๒
ให้เคารพตัวเอง มีความสุข เมื่อตัวเองได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องของความเป็นมนุษย์
แล้วไปดูเถอะ มันจะไม่มีอะไรเป็นปัญหาขึ้นมา ศีลธรรมข้ออื่นๆ อีกมากมายหลายสิบข้อ หลายร้อยข้อ ก็มารวมอยู่ใน ๓ ข้อนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อที่ว่า บังคับความรู้สึกนั่นแหละ มันจะเป็นต้นกำเนิด แห่งการประพฤติดี ประพฤติชอบ ทั้งต่อตนเองทั้งต่อผู้อื่น อย่างครบถ้วนทีเดียว ถ้าเราต้องมีความสุขตลอดเวลา เพราะว่าเราทำงานตลอดเวลา เราก็มีความสุขตลอดเวลา เราก็เป็นคนโชคดี ได้รับความสุขอยู่ตลอดเวลา มันก็อยู่กับธรรมะตลอดเวลา อยู่กับพระเจ้าตลอดเวลา มันเป็นคนที่มีโชคดีที่สุด มีลาภดีที่สุด
ขอได้กรุณาจดจำ หัวข้อศีลธรรม ที่เป็นแม่บท ๓ ข้อนี้ไปด้วย เพื่อประพฤติด้วยตนเองก็ดี เพื่อจะอบรมลูกเด็กๆ ของเราก็ดี ให้เขาอยู่ในทำนองครองธรรม ของศีลธรรม ของศาสนา แม้จะสอนวิชาอะไรอยู่ก็สามารถจะแทรกศีลธรรมเหล่านี้เข้าไปได้ ให้เขาเคารพพระธรรม ปลูกฝังความรู้สึกทางศีลธรรมลงไปในวิ เอ่อ, ในการสอนหรือในการเรียนของลูกเด็กๆ แม้แต่เรียนเลข สอนเลข ก็ให้รู้จักว่าเพื่อความเป็นคนจริง เพื่อความเป็นคนตรง เพื่อความเป็นคนถูกต้องแน่นอน เหมือนกฎที่มันเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ นี่เราจะไม่มีทางแก้ตัว ไม่มี