แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายในวันนี้ ในสถานที่นี้ ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นครู มีการงาน ซึ่งมีอุดมคติอย่างเดียวกันกับพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบรมครู การที่ขอร้องให้อาตมากล่าวถ้อยคำอะไรบ้างนี้ก็ ไม่มีอะไรที่จะกล่าวได้ นอกจากเรื่องให้เกียรติกับความเป็นครู กับ ที่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าธรรม
เมื่อพูดถึง คำว่าครู รู้สึกว่า แม้ในประเทศไทยเรา ก็ยังรู้จักความหมายของคำๆนี้ไม่สมบูรณ์ เรามักจะไม่ค่อยพิจารณากันเสียด้วยซ้ำไป อาตมาพูด แล้วก็ ไม่ต้องกลัวใครโห่ว่า ครูนั้น คือ ผู้ที่สร้างโลก ต้องคิดกันบ้างจึงจะเห็น ก็ไม่ลึกซึ้งอะไร คือ ข้อที่ว่า มนุษย์ในโลกมันประกอบกันขึ้นเป็นโลก ถ้ามนุษย์มันเป็นอย่างไร โลกมันก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้มนุษย์จะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่ว่าครูเขาสร้างเด็กๆขึ้นมาอย่างไร แล้วก็โตเป็นผู้ใหญ่ เป็นพลเมืองของโลก ที่นี้ โลกมันก็เป็นไปตามคนที่ครูช่วยกันสร้างขึ้น
ดังนั้น จึงกล้าพูดว่า ครู คือ บุคคลผู้สร้างโลก แต่แล้ว พวกครูเองก็ไม่เคยนึกถึง เออ, หรืออยาก ไม่อยากจะเป็นเช่นนั้นเสียด้วยซ้ำไป คือ รู้สึกว่ามันจะผูกมัดตัวเองมากเกินไป ขอให้สนใจกันเสียใหม่ บางทีจะชอบความเป็นครูมากขึ้น มากยิ่งขึ้นไปกว่าที่แล้วมา
ในภาษาไทย เขาพูดกันว่า คำว่า ครู แปลว่า ผู้ที่คนอื่นจะต้องเคารพ มีความหนัก ผู้ที่รู้ภาษาอินเดียโบราณ เขาพูดว่า ที่เป็นภาษาโบราณจริงๆแล้ว คำว่า ครู นี้ แปลว่า ผู้เปิดประตู คือ เปิดประตูในทางวิญญาณ ให้สัตว์โลกออกมาเสียจากเล้า หรือ คอกที่แคบ ที่มืด ที่เหม็น ซึ่งเป็นคอกของอวิชชา ให้ดวงวิญญาณออกมาเสียจากคอก หรือ เล้าชนิดนี้ บุคคลผู้ ผู้เปิดประตูคอกเล้าชนิดนี้ เรียกว่า ครู ดูแล้วก็น่าเลื่อมใส ที่ว่าเป็นบุคคลสูงสุดสำหรับมนุษย์จริงๆ เราควรจะดูให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณเสียมากกว่าที่จะเป็นเพียงเรื่อง อาชีพ เดี๋ยวนี้ครูสอนกันแต่เพียงความรู้ ๒ ระดับ ระดับที่ ๑ ให้รู้หนังสือ มีสติปัญญา ระดับที่ ๒ ให้รู้อาชีพ และมีอาชีพ ส่วนระดับที่ ๓ คือ เรื่องทางจิต ทางวิญญาณ ให้มีความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงนั้น เกือบจะเรียกได้ว่า ไม่มี เพราะเหตุมันเกิดมีความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเกี่ยวกับการศึกษาของโลก
ก่อนหน้านี้การศึกษาในโลก จัดโดยพวกพระ ฝ่ายตะวันตกก็ดี ฝ่ายตะวันออกก็ดี การศึกษาจัดโดยเจ้าหน้าที่ที่เป็นพระในทางศาสนา โดยมุ่งหมายที่จะสนองคุณของสิ่งสูงสุด คือ พระเจ้า ถ้าเป็นพวกที่ถือพระเจ้า ก็จัดโรงเรียน แต่ก็จัดเพื่อประสงค์ของพระเจ้า หรือ เพื่อสิ่งสูงสุดของมนุษย์ ไม่ใช่จัดเพียงสักว่าได้รับประโยชน์เป็นเรื่องปากเรื่องท้องเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ การศึกษามันจึงไม่เหมือนกัน ถ้าใครจะเอาหนังสือแบบเรียนที่เรียกว่า Reader ของพวกฝรั่งสมัยเมื่อประมาณสัก ๖๐ ปีมาแล้ว มาเปรียบเทียบดูกับแบบเรียน Reader สมัยปัจจุบันนี้ มันต่างกันลิบ อาตมาก็เคยเอามาเปรียบเทียบดู แบบเรียนสมัยโบราณนั้น หยอดเรื่องพระเจ้าไว้ทุกบท จนกระทั่งว่า อะไร อะไรมันก็ เอ่อ, เป็นเรื่องของพระเจ้า เป็นการบันดาลของพระเจ้า คนก็มีความเชื่อในพระเจ้า ก็กลัวพระเจ้า ไม่กล้าทำชั่ว
มาบัดนี้ แบบเรียนแม้แต่ชั้นอนุบาล ก็จะมีเรื่องรากฐานของวิชาอันเกี่ยวกับปรมาณูไปแล้ว ลองไปเปรียบเทียบกันดูเถิดว่า คนมันจะมีจิตใจเป็นอย่างไร เด็กอนุบาลได้อ่านหนังสือ เกี่ยวกับทาง เอ่อ, เจืออยู่ด้วยเรื่องทางศาสนา ทำให้กลัวพระเจ้า กลัวบาป กลัวกรรม นี่เป็นรากฐานที่ดีของมนุษย์ที่จะเป็นมนุษย์ การที่จะเว้นจากความชั่ว แม้ที่สุดแต่ยาเสพติดนั้น ถ้าเว้นด้วยความกลัวพระเจ้า หรือกลัวบาปกลัวกรรมนั้น เว้นได้ดีกว่า คือ เว้นได้จริงกว่า ถ้าเพียงแต่จะบอกเขาว่า ยาเสพติดมันทำให้เสื่อมเสียทางอนามัย หรือว่า เป็นเรื่องเสื่อมทางเศรษฐกิจ เป็นอันตรายอย่างนี้ ไม่ค่อยมีใครเชื่อ คือ มันไม่ เอ่อ, สร้างความกลัวที่ลึกซึ้ง
คนสมัยโบราณไม่เสพติด หรือไม่ทำความชั่วอย่างอื่นเพราะว่ากลัวบาป หรือว่าถ้าเชื่อพระเจ้า ก็กลัวพระเจ้า การที่คนสมัยก่อนไม่ทำบาปนั่นน่ะ เพราะกลัวบาป กลัวพระเจ้า ไม่ใช่ว่ากลัวจะติดคุกติดตะรางหรือถูกจับ เดี๋ยวนี้เมื่อเรื่องความกลัวบาป กลัวพระเจ้า หายไปแล้ว เหลือแต่เรื่องติดคุกติดตะราง คนก็ไม่เห็นว่ามันน่ากลัวอะไร เราจึงได้เห็น อันธพาลเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง แม้ในเมืองหลวง กลางวันแสกๆ ในเมืองหลวงเอง มันก็เต็มไปด้วยอันธพาล นี่นะ motif ที่ทำให้เว้นจากการทำความชั่วนั้น มันเปลี่ยนมาก ก่อนนี้เพราะความเชื่อ กลัวความชั่ว กลัวพระเจ้าจริงๆ เดี๋ยวนี้มันเพียงแต่กลัวตำรวจจับ
ขอให้คิดกันใหม่ เสียใหม่ว่า ถ้าการศึกษาที่ไม่เกี่ยวกับศาสนายังเป็นไปอย่างนี้ เราจะมีปัญหามากอย่างนี้อยู่ตลอดไป คือ คนไม่มีศีลธรรม ไม่กลัวบาปกลัวกรรม เห็นแต่ประโยชน์ ถือเอาวัตถุ ประโยชน์ทางวัตถุเป็นหลัก ทำให้โลกนี้เลวทรามลงไปมาก ถึงแม้ในประเทศที่เป็นมหาประเทศใหญ่โต ที่เมืองไทยเล็กๆไปตามก้นเขานี้ มันก็ยังเต็มไปด้วยอาชญากรรมที่เลวร้ายของอันธพาล ได้ยินว่าแม้ในมหานคร กลางวันแสกๆ มันก็ยังมีอาชญากรรมเลวร้าย
นี่แสดงว่าการศึกษามันสูญเปล่า การศึกษาในโลกนี้ กำลังจัดไปในลักษณะที่มันเป็นการสูญเปล่า มองดูกันง่ายๆ ก็คือว่า ไม่คุ้มครองมนุษย์ให้มีความเป็นมนุษย์ ลดลงเป็นคน และเป็นคนที่เลว ศึกษาถึงชั้น ชั้นวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแล้ว มันก็ยังไปชอบยาเสพติด หรือบูชายาเสพติด ไม่ต้องพูดถึงพวกฮิปปี้ พูดถึงคนที่ไม่เรียกว่าฮิปปี้ ยังเป็นนักเรียน นักศึกษาอยู่ซ้ำไป ก็ยังไปเป็นทาสของยาเสพติด ยังนิยมยาเสพติด นักเรียน นักศึกษายังฉีดยาเสพติดให้ตนเองอยู่ นี่ว่าการศึกษามันสูญเปล่า มันไม่ทำให้คนรู้ว่า ยาเสพติดนั้น มันเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง มีคอรัปชั่นทั่วไปหมด ระดับเล็ก ระดับน้อย ระดับในบ้านเมือง ระดับชาติ ระดับโลก คอรัปชั่นระดับโลกก็มี นี่แสดงว่า การศึกษามันยังสูญเปล่า ไม่ได้ทำให้คนเกลียดคอรัปชั่น เรื่องอันธพาลก็มีทุกระดับ อันธพาลเล็กน้อย อันธพาลสูงสุดขึ้นไป เช่น อันธพาลข่มขืนแล้วฆ่าอย่างนี้ มันก็มากขึ้น
นี้มันก็พิสูจน์ถึงการศึกษาสูญเปล่า ไม่ทำให้คนกลัวบาป กลัวกรรม เพราะว่า การศึกษามันสอนกันอยู่ จัดกันอยู่ แต่ใน ๒ ระดับ อย่างที่กล่าวแล้ว คือให้รู้หนังสือ มีความเฉลียวฉลาด และให้รู้อาชีพ ส่วนระดับที่สามที่จะทำให้รู้ดีชั่วผิดชอบทางนามธรรม ทางจิตใจ เป็นมนุษย์กันอย่างไรจึงจะถูกต้องนี้ ไม่ได้สอนกัน ถ้าเป็นสมัยก่อนมันก็สอนกันอยู่ เพราะว่าการศึกษามันจัดโดยพวกพระ ให้ลองไปค้นคว้าประวัติสถาบันการศึกษาในประเทศฝรั่งแต่ก่อนนั่นแหละ ก็จะพบว่าจัดโดยพวกพระ มันก็มีอะไรอย่างที่เกี่ยวกับศาสนา เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ได้ยินว่า สั่งให้ยกเลิกไม่มีเหลือ แม้แต่จะกล่าวคำบูชาเป็นภาษาลาตินกับพระเจ้าแค่ ๒-๓ คำก็ยกเลิก ถ้าประเทศเรายังคงไปตามก้นเขา ก็คงจะเลิกบทสวดก่อนเข้าเรียน อรหังสัมมาสัมพุทโธสักคำหนึ่ง เลิกไปหมดตามกันอีก ก็แปลว่าเกลี้ยงเลย ไม่ต้องมีเหลือ
ทีนี้เราลองคิดดูว่า การศึกษาที่เพ่งผลในทางวัตถุล้วนๆอย่างนี้มันเป็นอย่างไร เมื่อก่อนนี้รวมอยู่กับศาสนา เพิ่งแยกออกไปเสีย เมื่อการศึกษามาตกอยู่ในมือของชาวบ้านล้วนๆ เมื่อการศึกษาตกอยู่ในมือของพระก็มีเรื่องของศาสนา พวกฝรั่งเขานำก่อน แยกการศึกษาจากศาสนา หรือแยกศาสนาจากการศึกษา เราพวกตามก้นก็ทำตาม แล้วก็เห็นๆกันอยู่ ว่ามันมีผลเกิดขึ้นอย่างไร เรื่องทางจิตใจเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะว่ารากฐานมันอยู่ที่จิตใจ เดี๋ยวนี้เรานิยมกันแต่เรื่องวัตถุ มันก็สอนกันแต่เรื่องวัตถุ อย่างสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่ สอนกันแต่ในแง่ของวัตถุหรือบุคคล ไม่ได้สอนถึงความหมาย หรือ คุณค่าอันลึกซึ้งซึ่งเป็นนามธรรรม ซึ่งมันจะต้องตั้งอยู่ในจิตใจ สถาบันทั้งหลายต้องตั้งอยู่ในจิตใจ ไม่ใช่ตั้งอยู่ตามพื้นดิน หรือ ที่ตัวบุคคล
ทีนี้ เรายังไม่ได้ทำให้เด็กๆของเรารู้จักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยแท้จริง อาตมาเชื่อเหลือเกินว่า ถ้าประชาชนของเรามีสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประดิษฐานลงไปในหัวใจอันแท้จริงแล้ว ประเทศไทยจะต้องรอดแน่ ไม่รู้จักพังทลาย แต่ถ้าสถาบันเหล่านี้จะตั้งอยู่เพียงสักว่าที่ปากพูดหรือบนดินหรือที่ตัวบุคคล ซึ่งมันผิวเผินเกินไป มันก็รับประกันไม่ได้ จะละทิ้งเสียโดยง่าย จะยอมแพ้เสียโดยง่าย ไม่สมกับที่เป็นชนชาติไทยอันเข้มแข็ง
ทีนี้การศึกษา ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะไม่ทำให้เยาวชนของเรามีสถาบันเหล่านี้ฝังแน่นลงไปในจิตใจ เพียงสักว่า ให้เอากันที่ธงชาติ หรือ ที่โบสถ์วิหาร พระเจดีย์ หรือ ที่ตัวบุคคลนี้มันไม่พอ ไม่เหมือนกับสมัยโบราณ ที่มันตั้งฝังลงไปในจิตใจ มันจึงมีความเข้มแข็ง เสียสละชีวิตได้ อะไรได้
เดี๋ยวนี้ เอ่อ, เราจะเห็นได้ว่า การศึกษานี้จัดไปเพื่อประโยชน์แก่การเมือง แก่การเศรษฐกิจ การ เอ่อ, อะไรต่างๆที่มันเป็นเรื่องทางวัตถุ ไม่ได้จัดเพื่อธรรมะโดยแท้จริง ไม่ได้จัดเพื่อพระเจ้าอย่างสมัยโบราณ ดังนั้นมันจึงมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ อุดมคติ หรืออะไรต่างๆ ความเชื่อที่มั่นคงแน่นแฟ้นในทางธรรมะมันจึงหายาก ถ้าเป็นสมัยก่อน การศึกษาต้องเป็นไปเพื่อสันติสุขส่วนบุคคลหรือสันติภาพของสังคมโดยแท้จริง มุ่งหมายให้โลกโดยส่วนรวมมีสันติภาพ เพราะว่ามีธรรมะที่แท้จริงที่ทำให้ไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันให้เรียนกันแต่เรื่องของตัว เพื่อประโยชน์แก่พวกตัว การศึกษาเพียง ๒ ประเภทข้างต้น ไม่กำจัดความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในโลกได้ มนุษย์ในโลกก็แย่งกันเป็นผู้เห็นแก่ตัว จึงได้เกิดวิกฤตการณ์ คือ การเบียดเบียนกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าจัดการศึกษาที่ถูกต้องตามความมุ่งหมายของการศึกษา มันก็ต้องเป็นเรื่องกำจัดความเห็นแก่ตัว ให้เขาเรียนหนังสือ หรือเรียนอาชีพอย่างเดียว ไม่สามารถจะกำจัดความเห็นแก่ตัว มีแต่จะเพิ่มความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ตามสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดมากขึ้น คนที่ฉลาดนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องมีธรรมะ เป็นคนปราศจากธรรมะและเห็นแก่ตัวอย่างยิ่งก็ได้
ดังนั้น การให้การศึกษาแต่เพียงทำให้คนฉลาดนี้ไม่พอ ไม่ปลอดภัย และจะไม่สมตามอุดมคติของการศึกษาซึ่งอย่างน้อยที่สุด ก็ต้องให้เป็นสุภาพบุรุษ ถ้าเป็นสุภาพบุรุษ หรือ เป็นสัตบุรุษแล้วเห็นแก่ตัวไม่ได้ การศึกษาสมัยโบราณของพวกฝรั่งนั้น มุ่งหมายเพียงความเป็นสุภาพบุรุษ เพียงเท่านั้นมันพอจริงๆ เพราะมันดีในทางจิตใจ สุภาพบุรุษจะมีความเห็นแก่ตัวเหลืออยู่สักนิดหนึ่งไม่ได้
เดี๋ยวนี้การศึกษาไม่ได้เพ่งเพื่อความเป็นสุภาพบุรุษ มันเพ่งเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางการทหาร การอะไรไป คำว่าสุภาพบุรุษนี้ ก็เลยหายไป คนที่อายุมากสักหน่อย เมื่อสี่สิบ ห้าสิบปี หกสิบปีมาโน้น วันหนึ่งๆจะได้ยินคำว่าสุภาพบุรุษตั้งหลายๆครั้ง เดี๋ยวนี้เราจะไม่ได้ยินคำว่าสุภาพบุรุษเลย แม้สักครั้งเดียวในวันหนึ่งๆ เพราะความนิยมในความเป็นสุภาพบุรุษนั้น มันหายไป เพราะมันถือศาสนาวัตถุ มันถือศาสนาเงิน มีวัตถุเป็นพระเจ้า ก็ไม่ต้องการความเป็นสุภาพบุรุษ หรือ ความเป็นสุภาพบุรุษ แม้ในพวกฝรั่งเองก็เป็นอย่างนี้
พูดนี้ไม่ใช่ด่าใคร แต่บอกตามความจริงใจว่ารู้สึกอย่างนี้ ที่การศึกษาในโลกมันเปลี่ยนแปลง แยกตัวออกมาจากศาสนาเป็นเรื่องทางวัตถุมากขึ้น แล้วก็ยังไม่สำเร็จประโยชน์ เราดูการศึกษาที่จัดไปแล้ว เราได้สภาผู้แทนอย่างไร เราได้ราษฎรที่เลือกสมาชิกสภาอย่างไร ประชาชนยังเลือกผู้แทนตามประโยชน์ที่จะพึงได้รับ ผู้ที่เป็นผู้แทนเข้าไปนั่งในสภา ก็ยังเหมือนกับคนขี้เมา หาความสงบไม่ได้ ในรัฐสภายังมีอาการของคนเมา ยังมีการขว้างปากันด้วยสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่อยู่ใกล้มือ
นี่เรียกว่าการศึกษาสูญเปล่า ทำให้ราษฎรรู้จัก เลือกผู้แทนก็ไม่ได้ ถ้าไม่ได้สมาชิกสภาที่ดี พอที่จะเป็นสภาก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เนสา สภา ยัตถะ นะ สันติ สันโต ที่ประชุมใดไม่มีสัตบุรุษที่ประชุมนั้นไม่เรียกว่าสภา เป็นแต่กลุ่มของบุคคลบ้าน้ำลาย ขอให้คิดดูอย่างนี้ก็แล้วกัน
นี่ในโลกกำลังเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย นี่เรียกว่าการศึกษามันสูญเปล่า ถ้าจะพูดว่าการศึกษาเพื่อประชาธิปไตย มันก็ได้แต่ปากพูด โดยแท้จริงมันยังไม่ได้ เรื่องทางโลกๆอย่างนี้ ก็ยังไม่ได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ เรื่องทางธรรมที่สูงยิ่งขึ้นไป ก็ยังไม่มี
ดังนั้น ขอให้เรามานึกดูกันในข้อนี้ ว่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จะช่วยกันทำให้โลกนี้เป็นโลกของมนุษย์ที่ประกอบไปด้วยศีลธรรมกันได้อย่างไร ให้มนุษย์มีความเป็นมนุษย์ตามความหมายของคำว่ามนุษย์ที่มีจิตใจสูง สามารถที่จะแก้ปัญหาทั้งหลายได้ แล้วคนเราก็อยู่กันเหนือปัญหาทั้งปวง คือ อยู่กันด้วยสันติสุขและสันติภาพนั้นเอง
ถ้าธรรมะไม่กลับมาสู่วงการของการศึกษา ก็ดูจะไม่มีหวัง ก่อนนี้ เราเรียกกระทรวงศึกษาธิการนี้ว่า กระทรวงธรรมการ เพิ่งมาเปลี่ยนชื่อเป็น กระทรวงศึกษาธิการเมื่อไม่นานนัก ลองคิดดูว่าทำไมก่อนนี้มาเรียกชื่อว่า กระทรวงธรรมการ เพราะเขาเห็นว่า ไอ้เรื่องของธรรมะน่ะ มันสำคัญกว่าเรื่องของรู้หนังสือหนังหา เดี๋ยวนี้มาเปลี่ยนเป็นศึกษาธิการ มันก็เป็นเรื่องหนังสือหนังหาล้วน มันก็ไม่มีธรรมะ น่าขายหน้าประเทศชาติ คือว่า ยังมีประเทศบางประเทศ เขามีกระทรวงการศึกษาและการศาสนาพ่วงท้าย หรือ มีกระทรวงวัฒนธรรมและการศาสนา พ่วงท้าย เดี๋ยวนี้เราไม่มี เรามีคำว่า กระทรวงศึกษาธิการ ไม่มีคำว่า และการศาสนาพ่วงท้ายเลย
ความคิดมันเปลี่ยนไปอย่างไร อะไรมันเป็นเครื่องดลใจให้เป็นอย่างนั้น ก็ไปคิดดูเถิด ถ้าการศึกษายังเป็นเรื่องศึกษาล้วนๆ ที่ให้คนฉลาดและมีอาชีพอย่างนี้ หวังยากที่จะเกิดความสงบสุขขึ้นในบ้านเมือง หรือ แม้แต่ในโลก คนในโลกควรจะมองเห็นความจำเป็น ที่จะต้องเอาธรรมะหรือศาสนากลับมาผูกพันกันกับการศึกษา วิกฤตการณ์ทั้งหลายก็จะค่อยๆหมดไป สันติภาพก็จะเข้ามาแทน
เดี๋ยวนี้ ในประเทศไทยเรา ก็ยังเห็นได้ชัดว่า ยังไม่มีการศึกษา หรือ การอบรมทางธรรมหรือทางศาสนาพ่วงอยู่กับการศึกษาอย่างเป็นที่น่าพอใจ เมื่อก่อนนี้ เรามีสิ่งประเสริฐสูงสุด คือ วัฒนธรรมไทย ที่มันคลอดออกมาจากพระพุทธศาสนา สิงอยู่ในจิตใจของประชาชนทุกคน ดังนั้นประชาชนมันก็กลัวบาปรักบุญ บิดามารดาเหล่านั้นกลัวบาปรักบุญ แสดงอาการอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา ลูกคลอดออกมาตาดำๆก็เห็นอยู่ มันก็พลอยมีนิสัย กลัวบาปและรักบุญ ความรู้สึกอันนี้สิงอยู่ในจิตใจ ดังนั้น จึงเป็นการง่ายที่จะอยู่กันอย่างมีธรรมะ มีศาสนา ไม่เบียดเบียนกัน
เมื่อสัก ๕๐ ๖๐ ปีมานี้ คนไม่เบียดเบียนกันมากอย่างนี้ ประตูเรือนไม่ต้องปิดก็ยังได้ หรือ จะไปป่าก็ร้องสั่งฝากคนข้างบ้านไว้ว่า ช่วยดูเรือนฉันด้วย แล้วคนยังนอนบนแคร่ใต้ถุนบ้านได้โดยสบายจนสว่างและปลอดภัย แต่เดี๋ยวนี้ ทำอย่างนั้นไม่ได้ มีคนมายิงตาย คนใจดำอำมหิตกันถึงขนาดนี้ ก็เพราะความเปลี่ยนแปลงในทางจิตใจ ความรู้สึกที่เป็นวัฒนธรรมมันหายไป หายไป กลายเป็นคนธรรมดาสามัญที่มีความรู้สึกเห็นแก่ตัว เราจึงหาความสงบสุขอย่างที่เคยมีมาแล้วเมื่อ ๕๐ ๖๐ ปีโน้น ไม่ได้
ทำอย่างไรจะกลับมา วัฒนธรรมอย่างนั้น มันก็หวังยากที่จะกลับมา เพราะคนบูชาวัตถุ ไม่ได้บูชาบุญกุศลอย่างคนในสมัยก่อน มันจะกลับมาได้ มันก็ต้องเปลี่ยนระบบของการศึกษา ให้แฝดอยู่กับธรรมะหรือศาสนาต่อไปตามเดิม ให้ลูกเด็กๆตั้งแต่ชั้นอนุบาลได้ยินได้ฟังหลักของพระธรรมพร้อมกับการอบรม ทำลายความเห็นแก่ตัวที่มันจะค่อยก่อขึ้น ก่อขึ้น เด็กชั้นประถมควรจะเข้าใจธรรมะหรือศาสนาอย่างพื้นฐาน จนกระทั่งว่า มันเกลียดบาปและรักบุญ
เด็กๆสมัยอาตมา พอได้ยิน ได้ยินคำว่าบาปแล้วก็สะดุ้ง เด็กสมัยนี้พอได้ยินคำว่าบาป ก็แลบลิ้นหลอก เหมือนอย่างว่าเด็กคนหนึ่งเขาจะขว้างสัตว์ ปานก พอได้ยินเสียงดังมาจากทางหลังว่า บาป มันก็สะดุ้ง มันก็ ก็โยนทิ้งไม้ค้อนก้อนดิน ถ้าเด็ก เด็กสมัยนี้ มันแลบลิ้นหลอก แล้วมันก็ขว้างต่อไป อะไรทำให้เกิดความแตกต่างอย่างนี้ เด็กๆสมัยอาตมายังเล็กมาก เห็นคนสูบกัญชาเดินมา พากันขยะแขยงและถ่มน้ำลาย มองดูเหมือนกับเป็นสัตว์สกปรก แล้วทำไมนักเรียนนักศึกษาสมัยนี้ชอบสูบกัญชาและชอบลองกัญชา อะไรทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงถึงขนาดนี้
นี่แหละ ประโยชน์ของคำว่า เกลียดบาป กลัวบาป และ รักบุญ น่ะ มันสำคัญ
หนังสือสมุดข่อยโบราณที่เขาให้เด็กๆเริ่มสอนอ่าน หลังจากเรียน นอ โม กอ กา เสร็จแล้ว มันล้วนแต่เป็นเรื่องศีลธรรม อย่างภาคใต้นี้มีหนังสือที่เรียกว่าเรื่องสุบิน เด็กๆอ่านเข้าแล้ว มันฝังจิตใจไปในทางที่ให้เกลียดบาปและรักบุญ เขาเรียกว่า กลัวบาป แล้วก็กล้าบุญ หนังสือเรื่องนั้น ย้อมนิสัยจิตใจให้เป็นอย่างนั้น แล้วฝังความรู้สึกลงไปว่า บวชเณรโปรดแม่ บวชพระโปรดพ่อ ฉะนั้นคนจึงชอบบวช เพราะว่าบวชเณรโปรดแม่ บวชพระโปรดพ่อ เขาสร้างรากฐานทางศีลธรรมลงไปในส่วนลึกของสันดานของคนกันในรูปแบบอย่างนี้
เดี๋ยวนี้มันไม่มี หาไม่ได้ ถ้าเอาหนังสือสุบินอย่างว่านั้น มาใช้เป็นหลักสูตรให้เด็กเรียนสมัยนี้อีก ก็คงจะโห่กันเลย เพราะเขาถือว่ามันเป็นเรื่องที่โง่เขลางมงายอะไรไปเสียแล้ว แต่ขอให้พิจารณาดูกันให้เป็นธรรมสักหน่อย เพราะว่า การที่จะกลัวบาปกล้าบุญนั้น มันต้องอาศัยความเชื่อมั่น แม้จะอยู่ในรูปของความงมงายบ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะมันได้ผลเกินคาด อยากจะพูดว่าสมัยนี้แหละ ถ้าจะเอาความงมงายชนิดไหนมาทำให้คนกลัวบาปและกล้าบุญได้เหมือนสมัยก่อนอีก ก็ควรจะเอาเถอะ ไม่ต้องกลัวว่าจะงมงาย แต่เมื่อเราจะย้อนกลับไปหาวิธีการอย่างนั้นไม่ได้อีก เราก็หาทางออกต่อไปข้างหน้า คือช่วยกันแก้ไขส่งเสริมให้การศึกษามันประกอบอยู่ด้วยธรรมะหรือศาสนาสืบต่อไป ก็คือ ระบบศีลธรรมในพระพุทธศาสนาที่ประพฤติปฏิบัติกันมาแต่โบร่ำโบราณ จนกระทั่งกลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ
เกี่ยวกับข้อนี้ ก็อยากจะบอกว่า หลักธรรมะหรือหลักศาสนา ถ้าจะมาอยู่ในสภาพที่คุ้มครองมนุษย์ได้จริงแล้ว มันต้องเปลี่ยนรูปแบบมาอยู่ในวัฒนธรรมประจำบ้าน ประจำเรือน ประจำชาติ คือ มันได้มีโอกาสลูบคลำอยู่ตลอดเวลา มากลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่เรียกว่าวัฒนธรรมที่ดีไปแล้ว มันก็มีโอกาสจะใช้หลักธรรมะนั้นๆโดยสะดวก มิฉะนั้นมันจะอยู่แต่ในพระคัมภีร์ มันจะอยู่แต่ในวัดวาอาราม ไม่มาอยู่ตามบ้านเรือน หรือจะพูดอีกทีหนึ่งก็ได้ว่า ถ้าหลักธรรมะในพระศาสนาข้อใดถูกนำมาใช้มากจนเคยชินแล้ว มันจะเปลี่ยนรูปมาอยู่ในรูปแบบของวัฒนธรรม ประชาชนชาวไทยเรา มีวัฒนธรรมที่ถอดรูปแบบออกมาจากพระพุทธศาสนามากมายเหลือที่จะกล่าวได้ ที่เคยช่วยชนชาติไทยให้รอดมาจนกระทั่งบัดนี้ มันก็คือสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น ต่อไปนี้ก็ขอให้ระวังให้ดี เมื่อวัฒนธรรมเหล่านั้นมันหมดไป มีการศึกษาแผนใหม่ซึ่งรังเกียจศาสนา ไม่ยอมให้มีปนอยู่ในการศึกษาแล้ว คนไทยจะเป็นอย่างไร ก็ดูจะอธิบายยาก จะพูดยาก แต่คงจะเดากันได้ว่า คงจะมีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่น้อยเต็มที คือ มีความเห็นแก่ตัว ผิดจากคนไทยสมัยบรรพบุรุษ
เอาเป็นว่า เราครูบาอาจารย์ทั้งหลาย มาระลึกนึกถึงข้อนี้แล้ว รับผิดชอบด้วยความสมัครใจ ฉันก็ยังได้ แม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการเขาจะไม่ออกหลักสูตรหรือระเบียบอะไรมา ในฐานะที่เราเป็นครู เราเคารพต่อความเป็นครูของเรา เรามาทำกันตามความพอใจก็ได้ โดยมองเห็นว่า ครู คือ ผู้สร้างโลกอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เราทำเด็กให้เป็นอย่างไร โลกของเราก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเรารับผิดชอบในเรื่องนี้ สร้างโลกที่ดีให้เป็นที่น่าพอใจกันเสียดีกว่า คือ สร้างเด็กๆ ให้เป็นเด็กๆที่ดีมีธรรมะมีศาสนานั่นเอง แล้วครูก็จะต้องรู้สึกว่า เรามีอาชีพสูงสุดของปูชนียบุคคลและเป็นอาชีพที่ได้บุญ
ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย กระทำในใจถึงข้อนี้ไว้ให้มากเป็นพิเศษ ว่าอาชีพครูนั้นมันเป็นอาชีพที่ได้บุญพร้อมกันไป ไม่เหมือนกับอาชีพกรรมกรแบกกระสอบข้าวสารตามโรงท่าเรือนี้ มันไม่ใช่เป็นอาชีพที่ได้บุญ แต่ครูมีอาชีพอีกชนิดหนึ่ง เป็นอาชีพที่ได้บุญเหมือนกับอาชีพของภิกษุ คือว่า ประกอบกิจกรรมตามหน้าที่แล้ว ก็มีอาชีพรอดชีวิตอยู่ได้ แต่พร้อมกันนั้นมันได้บุญ ถ้าเป็นครูจริง เต็มตามความหมายของคำว่าครูจริงๆ คือเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณของมนุษย์แล้ว มันก็เกินกว่าที่จะได้บุญ เงินเดือนเพียงเดือนละสองสามพันบาท น่ะ มันเป็นขี้ฝุ่นไปทันทีเพราะว่า ค่าของงาน หรือผลงานที่ครูทำให้ในการเปิดประตูทางวิญญาณนั้น มันตีค่าไม่ไหว
ด้วยเหตุนี้แหละ ครูทั้งหลายจึงถูกจัดเป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่เป็นลูกจ้างสอนหนังสือเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันหนึ่งๆเหมือนกับที่เข้าใจ ถ้าเคยถูกล่าวหา แล้วมันก็เป็นจริงอย่างนั้นเสียด้วย คือ เรามีครูจำเป็นรับจ้างสอนหนังสือเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันหนึ่งๆนี้มากขึ้น มากขึ้น แล้วมีครูชนิดที่ยึดเอาอาชีพครูเพียงสักว่าเป็นสะพานเพื่อจะเล่าเรียนอย่างอื่นไปประกอบอาชีพการงานอย่างอื่น เป็นนายอำเภอ เป็นผู้ว่าราชการ เป็นผู้พิพากษาอย่างนั้น มากกว่าที่จะสมัครไปเป็นครูจนตาย นี้มันไม่ใช่ครูที่แท้จริง ไม่ได้ตั้งใจจะเปิดประตูทางวิญญาณของมนุษย์เลย
อาตมาขอร้องวิงวอนผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลายว่า อย่าเปลี่ยนอาชีพเลย อาชีพครูเป็นอาชีพที่ได้บุญและเป็นปูชนียะบุคคลอยู่ในตัว เราทำงานสร้างโลก คือ สร้างมนุษย์ให้ดี แล้วโลกนี้มันก็ดี เป็นผู้ที่มีคุณค่าอย่างเดียวกันกับพระเจ้าผู้สร้างโลก เราควรจะยกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วก็พอใจในการที่มีอาชีพอย่างนี้ เมื่อได้ทำหน้าที่ครูก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ เงินเดือนไม่มีความหมาย ความสุขมีอยู่ในตัวการงานที่ได้กระทำลงไปที่โรงเรียน หรือที่สถานศึกษาวันหนึ่งๆ ไม่ใช่ว่า เงินเดือนออกแล้วไปหัวหกก้นขวิดกันให้เต็มที่แล้วมีความสุข นั้นมันเป็นความสุขอย่างภูตผีปีศาจ มันไม่ใช่ของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ต้องมีความสุขอยู่ในเวลาที่ทำงานสอน ยังไม่สิ้นเดือน เงินเดือนยังไม่รู้อยู่ที่ไหน แต่เราก็มีความสุข มีความพอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่แหละคือครูที่แท้จริง
ทีนี้ ก็จะพูดถึงหลักศีลธรรมที่เราจะเอามาช่วยกันอบรมเด็กๆของเรา แม้ว่ามันจะไม่มีอยู่ในหลักสูตรเพราะว่ากระทรวงยังไม่ได้สั่งมา ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเราเป็นครูเอาบุญ อาตมากำลังพูดว่า ขอให้ครูทั้งหลายนี่เป็นครูเอาบุญกันเถิด อย่าเป็นครูเพื่อเอาเงินเดือนกันเลย แม้ว่าจะตั้งใจเป็นครูเอาบุญ เงินเดือนมันก็ไป ไม่ไปไหนเสีย มันก็คงมีอยู่นั่นแหละ แต่ว่าขอให้เกิดความรู้สึกไปในทำนองที่ว่า เป็นครูเอาบุญกันเถอะ แล้วหน้าที่ครูมีอยู่อย่างไรก็ทำ สรุปใจความอยู่ที่ว่าเป็นผู้เพื่อเปิดประตูในทางวิญญาณ หรือเป็นผู้นำในทางวิญญาณ ประธานอบรมชาวบ้านของประเทศอินเดีย คำว่าครูนี่ คำว่าครูนี่ก็แปลว่า Spiritual Guide ก็เป็นผู้นำในทางวิญญาณอยู่โดยตรง ไม่ใช่เป็นอาชีพสอนหนังสือเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เป็นผู้นำในทางวิญญาณของบุคคลชั้น นับตั้งแต่พระราชา มหากษัตริย์ลงมาจนถึงบุคคลธรรมดา นี่เรียกว่าครู
ทีนี้ เราทำตนเป็นผู้นำในทางวิญญาณ ให้เต็มตามความหมายของคำๆนี้ ถูกแล้ว การสอนหนังสือให้รู้หนังสือ มันก็นำวิญญาณบ้างเหมือนกัน แต่มันยังน้อยไป ทำให้เฉลียวฉลาดขึ้นมา มันก็เป็นผู้นำในทางวิญญาณเหมือนกัน แต่มันยังน้อยไป เพราะว่าคนฉลาดนั้น ยังเห็นแก่ตัวมาก วิญญาณยังไม่แจ่มใส ยังไม่สว่างไสว คนฉลาดแบบไหนกันที่ไปบูชายาเสพติด ไปบูชาคอรัปชั่น ทำตนเป็นอันธพาล เป็นภัยสังคมเสียเอง นี่มันไม่พอ เพียงแต่ว่าทำให้ฉลาด ไอ้คนฉลาดนั่นแหละ เมื่อปราศจากธรรมะแล้วเป็นอันตรายมากยิ่งกว่าคนโง่ เพราะมันมีความคิดเก่ง เราจึงต้องควบคุมความฉลาดของมนุษย์ในโลกให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง คือ ให้ไม่เห็นแก่ตัว เพียงคำเดียวเท่านั้น คำพูดเพียงคำเดียวว่าไม่เห็นแก่ตัวนี่ เป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนา เป็นหัวใจของวัฒนธรรมทุกๆระบบ ขอได้ไปคิดดู ไปพิจารณาดู ไปทดสอบดู อาตมากล้ายืนยันอย่างนี้ หลังที่ หลังจากที่ได้สอบสวน ค้นคว้าทดสอบมาดูแล้วมันพบอย่างนี้ ทำลายความเห็นแก่ตัว ในทางสังคมก็อยู่กันเป็นผาสุก ในทางศาสนาก็บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์ไปเลย เพราะไม่ยึดถือว่าตัวว่าตน อย่างนี้ จึงถือว่า ความไม่เห็นแก่ตัว นั่นแหละ เป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนา
ทีนี้ หลักศีลธรรมที่หวังว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะนำไปใช้ได้ง่ายๆ ใช้ได้เลย เพื่อทำความเป็นครูให้เป็นครูปูชนียบุคคล เป็นครูเอาบุญกันบ้าง ก็คือ หลักศีลธรรมทั่วไปในศาสนานั่นเอง เราจะไม่เห็นแก่ตัวได้อย่างไร จะขอยกเอาหลักศีลธรรมง่ายๆมาสักสามอย่าง ขอได้โปรดพิจารณา นำเอาไปพิจารณา
อย่างแรกก็คือ หลักทั่วไปในพระศาสนาที่ถือว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่บางคนพอได้ยินคำนี้ ก็ว่าครึคระเต็มที ถูกแล้ว มันจะครึคระสำหรับคนที่เตลิดเปิดเปิงไปไหนเสียแล้ว แต่ถ้าคนที่ยังอยู่ในร่องในรอยของธรรมะหรือศาสนาแล้วไม่ครึคระ ปู่ย่าตายาของเราบ่นประโยคนี้อยู่เสมอ ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนก็จะเน้นประโยคนี้ หรือพูดอะไรออกไปมันก็จะมารวมความอยู่ที่ว่า เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน แล้วก็เบียดเบียนกันไม่ลง
ทีนี้ เราจะทำให้เด็กๆของเรา ตั้งแต่ชั้นอนุบาลนี่ เข้าใจความหมายอันนี้ ยินดีรับนับถือหลักการอันนี้ว่า เราเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ถ้าเป็นสมัยโบราณมันง่าย เพราะคนยังเชื่อศาสนา ฝากตัวไว้กับศาสนา ศาสนาเขาสอนอย่างนั้น มันก็รับเอามาทันที แต่เมื่อเอาศาสนาไปทิ้งเสียหมดแล้ว มันคงจะลำบากบ้างที่จะให้ความรู้สึกอันนี้กลับมาอีก ถ้าถือศาสนามีพระเจ้า เช่น ศาสนาคริสเตียน เป็นต้น เขาก็ยอมรับถือกันว่าพระเจ้าสร้างบิดามารดาคู่แรก คือ ผัวเมียคู่แรกซึ่งเป็นต้นกำเนิดของมนุษย์ทั้งหมดในจักรวาลนี้ ก็เข้าใจได้ง่ายว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน หรือ เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ศาสนาที่ถือพระเจ้า ที่เชื่อพระเจ้าจะมีหลักอย่างนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่ ไม่เชื่อพระเจ้าไม่ถือพระเจ้าอย่างบุคคลเช่นนั้น เช่น พุทธศาสนา ก็มีคำพูดว่าเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน คนธรรมดาสามัญที่เป็นปุถุชนนี้น่ะ เป็นเพราะอำนาจของ อวิชชา ตัณหา อุปาทานด้วยกัน มันก็ร่วมบิดามารดาเดียวกันในทางวิญญาณ แล้วมาเป็นทุกข์อยู่ด้วยกัน แล้วมาเป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บเพื่อนตายด้วยกัน มันก็เบียดเบียนกันไม่ลง
เมื่ออิทธิพลทางศาสนาหมดไป จะมาตั้งกันใหม่ด้วยเหตุผลนี้ มันก็ยากอย่างที่ว่ามาแล้ว แต่ถึงจะยากอย่างไร เราก็ต้องทำ ถ้าเราเรียกเอาความเชื่อในพระศาสนากลับมาได้อีก มันก็ง่าย แต่แม้จะเรียกมาไม่ได้ เราก็ต้องทำด้วยเหตุผลอย่างธรรมดาสามัญว่า เราจะต้องสร้างความรู้สึกว่า เราทุกคนในโลกนี้ เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อย่างเด็กชั้นอนุบาล สอนให้มีจิตใจอย่างนี้ แล้วก็ต้องอบรมให้เขาเป็นอย่างนี้ ให้เขารู้จักเผื่อแผ่ เช่นว่า เด็กคนหนึ่ง เขามีเงินตั้งบาท เขาก็แบ่งให้เพื่อนที่ไม่มีเลยนั้น สักห้าสตางค์ สิบสตางค์ แล้วเด็กๆที่ไม่มีอะไรจะกินเวลากลางวันนั้น ก็จะมีอะไรกินขึ้นมา เพราะว่าในโรงเรียนโรงหนึ่งนั้น ก็มีเด็กที่ยากจนกับเด็กที่มีอันจะกิน มันก้ำกึ่งกัน ถ้าเด็กที่มีอันจะกิน มีเงินบาทหนึ่ง แบ่งให้เพื่อนห้าสตางค์ สิบสตางค์ตามมีตามได้ มันก็ทำให้หมดปัญหาเรื่องว่าเด็กบางคนไม่มีอาหารกลางวันกิน ไม่ต้องตั้งเป็นองค์การของโลกให้มันบ้าบอ เพียงแต่อาศัยหลักพระศาสนานิดเดียว ก็สามารถจะแก้ปัญหาเรื่องเด็กไม่มีอาหารกลางวันกินได้ เราจะต้องทำให้เด็กๆของเรารู้จักรักเพื่อน ในฐานะว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย แล้วเขาก็ไม่ทะเลาะกัน ไม่ด่ากัน พร้อมที่จะช่วยเหลือกัน ก็สามัคคีกันได้ไปตั้งแต่เล็กๆ โตขึ้นก็จะเป็นการง่าย ที่จะเรียกความสามัคคีในระดับชาติ เดี๋ยวนี้เราเรียกความสามัคคีในระดับชาติไม่ได้ เรียกกันจนเสียงแหบเสียงแห้ง ก็ยังหาความสามัคคีในชาติไม่ได้ เพราะมันขาดรากฐานที่จะถือว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันนั่นเอง
ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เพาะนิสัยมาจากความรู้สึกว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย นี้ ลงไปในเด็กๆทุกคนเถิด นี้เป็นข้อแรก ถ้าข้อแรกนี้สำเร็จ ข้อต่อไปมันจะง่าย จะแก้ปัญหาต่างๆได้ มันจะทำให้คนกลัวบาปแล้วก็รักบุญ ได้ไม่ยากเลย
หลักปฏิบัติข้อที่สองก็อยากจะแนะว่า การบังคับความรู้สึก นี่เป็นหลักพระศาสนาทุกพระศาสนาด้วยเหมือนกันว่า คนเราต้องบังคับความรู้สึก ความรู้สึกส่วนใหญ่ ก็เป็นไปตามอำนาจของสัญชาติญาณ ฉะนั้นจึงมี ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความอิจฉาริษยา อะไรต่างๆนานา เรียกว่าความรู้สึก สรุปแล้ว ก็เหลือแต่ โลภะ โทสะ โมหะ ๓ คำ นี้ เป็นสิ่งที่ต้องบังคับควบคุมให้อยู่ในการควบคุมของเรา การบังคับความรู้สึกนี้ ดูจะมีปัญหามากที่ว่า การศึกษาในยุคปัจจุบันนี้ สอนกันอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ได้ความว่า ไม่บังคับความรู้สึก เพราะถือว่าเป็นความเครียด เป็นความกดดัน เป็นความหนัก ขอให้ปล่อยตามความรู้สึก อย่างนี้เข้าใจยาก และจะควบคุมยาก เผลอเป็นความผิดพลาดได้โดยไม่ทันรู้ตัว เรื่องไม่บังคับความรู้สึกนี่แหละจะเป็นปัญหาใหญ่ เราดูสิ ชนชาติ ประเทศชาติ ที่อ้างว่าตัวเองเจริญแล้ว นำหน้าประเทศอื่นนั้น มันยิ่งเต็มไปด้วยการไม่บังคับความรู้สึกมากขึ้นทุกที วัฒนธรรมใหม่ๆแบบตะวันตกนั้น มันไม่บังคับความรู้สึกมากยิ่งขึ้นทุกที มันก็นำความรู้สึกต่ำทราม มีจิตทราม นิยมลามก อนาจาร นิยมอะไรต่างๆ ซึ่งไม่เป็นธรรมะ ไม่เป็นศาสนา นี่เรียกว่า ไม่บังคับความรู้สึก
ขอให้เด็กๆของเราเป็นผู้มีบัง เอ่อ, มีการบังคับความรู้สึก ก่อนแต่จะพูดอะไรลงไป ก็บังคับความรู้สึกให้ปกติเสียก่อน จึงจะพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ ดีใจ เสียใจ โกรธแค้นอะไรก็ตาม เขาต้องบังคับความรู้สึก ควบคุมความรู้สึก
หนังสือแบบเรียนสมัยก่อน เช่น นิทานสุภาษิตนี้ก็มี เรื่องนับสิบเสียก่อน จึงค่อยพูดออกไป ที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องยืมของฝรั่งเขามา ฝรั่งสมัยโบราณโน้น ที่ว่านับสิบก่อนแล้วจึงพูดออกไป ฝรั่งเขาก็ละทิ้งหลักเกณฑ์เหล่านี้ ละทิ้งแบบเรียนเหล่านี้ เมืองไทยรับเอามาใช้พักหนึ่งแล้วก็ละทิ้งไป เดี๋ยวนี้ก็จะหานิทานสุภาษิตอย่างนี้ยาก แล้วก็ยกเลิกแบบเรียนชนิดนี้ไปเลย อาตมาก็เป็นคนบ้าบอไปคนเดียว ที่จะขอร้องว่า เอาแบบเรียนชนิดนี้ปัดฝุ่นขึ้นมาใช้กันอีกเถิด คือเพื่อว่า เด็กๆของเราจะได้เป็นผู้บังคับความรู้สึก เรื่องโลภก็ดี เรื่องโกรธก็ดี เรื่องหลงใหลมัวเมาก็ดี เดี๋ยวนี้เขาไม่บังคับความรู้สึก เขายิ่งฉลาด เขายิ่งทำไปตามความรู้สึกที่โลดโผน เราจึงเห็นนิสิต นักศึกษา นักเรียนนี้ ทำสิ่งที่ไม่น่าดู ทำสิ่งที่เป็นอันธพาล เป็น อาชญากรรม อาชญากรรมทางเพศที่เลวร้ายขึ้นทุกที ก็มีมูลมาจากการไม่บังคับความรู้สึกนี่เอง ถ้าบังคับความรู้สึกไว้ได้ สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
ฉะนั้น ขอให้สังเกตดูทุกอิริยาบถ ฉวยโอกาสที่จะอบรมเด็กๆของเราให้บังคับความรู้สึก ในชั้นเรียนนั้นเอง มันก็มีหลายอย่าง หลายสิ่ง หลายโอกาสที่เด็กๆจะบันดาลความรู้สึกพลุ่งออกไป ในเรื่องของ โลภะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดี เราคอยหาหนทางป้องกันให้เป็นผู้บังคับความรู้สึก ต่อไปเขาก็จะทำผิดทำชั่วไม่ได้ จะตั้งตนอยู่ในความดีความงาม เขาจะเชื่อฟังรักใคร่กตัญญูต่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์สูงขึ้นไปตามลำดับ เขาก็จะเป็นเด็กที่ดี เพราะว่าเขาบังคับความรู้สึกได้
เด็กสมัยนี้บิดามารดาไม่มีบุญคุณ ครูบาอาจารย์ไม่มีบุญคุณ พระเจ้า พระสงฆ์ หรือศาสนาไม่จำเป็นอะไร นี่เพราะว่ามันฝืนความรู้สึกที่เป็นกิเลสของเขา เขาไม่ควบคุมกิเลสปล่อยไปตามกิเลส มันก็เห็นบิดามารดาครูบาอาจารย์ เป็นบุคคลที่ไม่เป็นเพื่อน ไม่เป็นมิตร ไม่เป็นอะไรซะแล้ว บางทีก็พาลหาเรื่องว่าเขาซะเองเป็นผู้มีบุญคุณต่อบิดามารดา เพราะว่าเขาเล่าเรียนดี เขาไปเรียนเมืองนอกเมืองนามา ทำให้บิดามารดาพลอยได้เกียรติได้ลาภ หรือว่าเขามีบุญคุณต่อบิดา เอ่อ, ต่อครูบาอาจารย์ เพราะว่าเขาทำให้โรงเรียนเปิดได้ให้ครูบาอาจารย์ได้เงินเดือน เขามีบุญคุณต่อครูบาอาจารย์อย่างนี้ก็เลยต้องไปคิดดู ว่ามันไปในรูปไหนกัน
การไม่บังคับความรู้สึกนั้น มันอยากทำเลว ถ้าบังคับความรู้สึกนั้น มันก็อยากจะทำดี ทีนี้ขอให้จำคำสั้นๆไว้อีกสักคำหนึ่งเถิดว่า มนุษย์จะต้องบังคับความรู้สึก จึงจะรักษาความเป็นมนุษย์ของตนไว้ได้ นี้เป็นหัวข้อศีลธรรมที่สอง ที่อาตมาขอฝากไว้กับท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายว่า จงบังคับความรู้สึก ต่อจากหัวข้อที่หนึ่งว่า จงถือว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ทีนี้หัวข้อที่สามสุดท้ายนี้ ก็จะเรียกง่ายๆว่า รู้สึกเป็นสุขเมื่อได้ทำหน้าที่ของตน รู้สึกเป็นสุขเมื่อรู้สึกว่าได้ทำหน้าที่ของตน ใครมีหน้าที่ทำอะไร ก็พอได้ทำหน้าที่นั้น ก็รู้สึกเป็นสุข อย่าเป็นสุขต่อเมื่อได้เงินมาแล้วไปซื้อหาวัตถุปัจจัยแห่งกามารมณ์เลย ชาวนามีความสุขเมื่อกำลังไถนา พอใจอย่างยิ่งเมื่อกำลังฟันดิน เมื่อกำลังไถนา อย่าไปหวังความสุขว่าขายข้าวได้เมื่อไร แล้วจะเมาเหล้ากันให้เต็มที่ นั้นเป็นเรื่องความสุขของภูตผีปีศาจ ไม่ว่าใครมีหน้าที่อย่างไร เมื่อทำหน้าที่ของตนแล้วก็มีความสุข อย่างที่เรียกว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เมื่อลงมือสอน มือเปื้อนฝุ่น เปื้อนอะไร เปื้อนชอล์ก อะไรอยู่นี้ ก็มีความสุขอย่างยิ่ง ไม่ต้องพะวงถึงว่าเมื่อไรเงินเดือนจะออก เด็กนักเรียนก็เหมือนกัน ให้เขามีความสุขพอใจตัวเองอย่างยิ่ง เมื่อเขากำลังเรียนอยู่ เมื่อเขากำลังเรียนได้ดี เขาควรจะพอใจ มีความสุขที่เรียกว่า มาจากการเคารพตัวเอง เมื่อเขามีความดีพอที่จะเคารพตัวเองได้สักนิดหนึ่งก็เถอะ ก็ควรจะพอใจ ยินดี มีความสุขในการเคารพตัวเอง เรียกว่ายกมือไหว้ตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไร ก็มีความสุขเมื่อนั้น
อันนี้อยากจะพูดว่า เรามีทุนรอนกันมาแล้วแต่เดิมๆในสัญชาตญาณ ที่รู้สึกพอใจเมื่อรู้สึกว่าได้ทำดี แต่เราได้ปล่อยให้ความรู้สึกนี้สูญเสียไป หรือ สัญชาตญาณอันนี้ไม่ถูกพัฒนาการขึ้นมาให้ดีเต็มที่ คนเราพอโตขึ้น โตขึ้น ก็เลยไม่นิยมไอ้ความเคารพตัวเอง เพราะว่าไปเคารพเงิน ไปเคารพเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติกันเสียหมด ไม่เคารพความดีความงามที่ได้กระทำแล้วมีความสุข เพราะรู้สึกว่าได้ทำหน้าที่ ที่อาตมาพูดว่ามันเป็นสิ่งที่มี เป็นต้นทุนอยู่ในสันดานเหมือนกับสัญชาตญาณนั้น ก็คือ อยากจะ ก็อยาก เอ่อ, ก็คือ ข้อที่ว่าเด็กๆตัวเล็กๆนี่ เขาก็มีความรู้สึกอันนี้ เมื่อเขาได้ทำอะไรเป็นที่พอใจของพ่อแม่ พ่อแม่บอกว่าดีๆๆเท่านั้นแหละเขาก็ดีใจเหมือนว่าเนื้อเต้น ไม่ได้กินอะไร ไม่ให้รางวัลอะไร เพียงแต่แม่บอกว่าดีสักคำเท่านั้นแหละ บอกว่าหนูเป็นคนดี หมายความว่าอย่างนั้น บอกว่าดีๆ เขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น เอามือตบพุงเป๊าะแเป๊ะๆ เพราะว่าเขายังไม่นุ่งผ้า เขายังเป็นเด็ก ยังไม่นุ่งผ้า แต่ก็รู้จักยินดีเมื่อพ่อแม่ว่าดี นี้มันเป็นโดยอำนาจของสัญชาตญาณดั้งเดิม ที่มนุษย์เรานี้ ชอบความดี ประสงค์จะให้ใครมองตัวว่าดี หรือ นับถือตัวว่าดี แต่แล้วสัญชาตญาณอันนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนให้มากขึ้น แล้วมันก็ค่อยเลือนไป จนกระทั่งว่าโตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาว ใครว่าดีก็ไม่ค่อยจะแยแสอะไร สู้เด็กๆที่ยังไม่ทันจะนุ่งผ้าก็ไม่ได้ รู้จักเคารพตัวเองถึงขนาดว่าเป็นสุข เมื่อมีใครบอกว่าดี
ขอให้เราสนใจความจริงข้อนี้ สนับสนุนความรู้สึกเคารพตัวเองอันนี้ให้แก่ลูกเด็กๆตั้งแต่ชั้นอนุบาลขึ้นมาตามลำดับจนชั้นประถม ชั้นมัธยม ชั้นอุดมอะไรก็ตาม ให้ยังคงนับถือตัวเอง เคารพตัวเอง รู้สึกเป็นสุขเมื่อรู้สึกว่าตัวเองได้ทำหน้าที่ที่ดี เท่านี้ก็เป็นพอ อย่าไปเห็นแก่เงิน แก่อามิส แก่สินจ้าง แก่ความเอร็ดอร่อยทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ นั้นน่ะ มันเป็นที่ตั้งของกิเลส จงยึดถือความดีล้วนๆ ที่ว่ามีแล้ว ก็ไหว้ตัวเองได้นี่แหละเป็นหลัก แล้วเราก็จะมีเด็กที่ดีสำหรับจะเป็นพลโลกที่ดี จะช่วยกันสร้างโลกนี้ให้เต็มไปด้วยมนุษย์ที่ดี นี้เรียกว่าเป็นหลักศีลธรรมข้อที่ ๓
ข้อที่หนึ่ง ให้เขารู้สึกว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เบียดเบียนกันไม่ลง
ข้อที่สอง ให้เขาบังคับความรู้สึกที่มันจะพลุ่งขึ้นมา ตามความรู้สึกอย่างคนธรรมดา ตามสัญชาตญาณ
อย่างคนธรรมดา ต้องควบคุมมันให้ได้
ข้อที่สาม ให้บูชาตัวเอง เคารพตัวเอง รู้สึกเป็นสุขเมื่อได้ทำหน้าที่ที่เรียกกันว่า ถูกต้องหรือ ดี
เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้เป็นการสร้างโลกขึ้นมาใหม่ เป็นโลกของสัตบุรุษ เป็นโลกของคนดี ให้มันแฝดฝังกันอยู่กับการศึกษาสองประเภทข้างต้น คือ ทำให้รู้หนังสือเป็นคนฉลาด ให้รู้อาชีพและประกอบอาชีพได้ แล้วเขาก็มีความสูงในทางจิต ทางวิญญาณ ทางธรรมะ ทางศาสนาเป็นประการสุดท้าย ก็เรียกว่าเป็นการศึกษาที่สมบูรณ์ที่จะสร้างโลกกันใหม่ ให้เป็นโลกที่มีสันติสุขมีสันติภาพ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ก็ได้ชื่อว่าได้เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เป็นผู้นำในทางวิญญาณ เป็นปูชนียบุคคลในโลก มีบุญคุณอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของคนทั้งหลายทั่วไปได้จริง เรียกว่า เป็นอาชีพของปูชนียบุคคล เป็นอาชีพที่ได้บุญ อาตมารู้สึกว่า เป็นสิ่งที่ควรจะสนใจอย่างยิ่งสำหรับครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
ในที่สุดนี้ การบรรยายนี้ ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอฝากความหวังไว้ว่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะได้พยายามให้สุดฝีไม้ลายมือ ในการที่จะทำหน้าที่ของตนในฐานะเป็นปูชนียบุคคลของโลก อย่าให้ถูกหาว่า ครูหนุ่มๆสาวๆสมัยนี้ คอยแต่จะดูแจ้งความขายกางเกงยีนส์ มันมีซะอย่างนี้ ทำไมเราจะต้องไปคอยดูแต่โฆษณาขายกางเกงยีนส์ นั่นมันเรื่องอะไร มันเป็นเล็กน้อยเกินไป เราควรจะสนใจที่ว่า หน้าที่ของครูที่เป็นปูชนียบุคคล เป็นอาชีพที่ได้บุญนั้น มันคืออะไรเสียมากกว่า เพื่อเห็นแก่ความเป็นมนุษย์ก็ได้ เห็นแก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ก็ได้ เห็นแก่ความรู้สึกผิดชอบขั่วดีโดยทั่วๆไปก็ได้ เราก็มาเป็นครูบาอาจารย์ที่แท้จริงตรงตามความหมายของคำๆนี้กันเถิด
อาตมามีความยินดี ในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในวันนี้ แล้วก็พูดจาปราศรัยกันในฐานะที่ว่า เราก็เป็นครูด้วยกัน อาตมาเป็นครูที่สังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ท่านทั้งหลายเป็นครูของกระทรวงศึกษาธิการ สังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ เดี๋ยวนี้อาตมามาขอร้อง ขอวิงวอน ขออ้อนวอนว่าจงแบ่งภาคไปสังกัดกับพระบรมครู คือ พระพุทธเจ้ากันสักส่วนหนึ่งเถิด แล้วปัญหาต่างๆของมนุษย์ก็จะหมดไป ก็จะเป็นความสุขสวัสดีอย่างยิ่งแก่สัตว์โลกทั้งหลาย ให้สมกับว่าครูนี้เป็นผู้สร้างโลก
อาตมาขอตั้งความปรารถนาดี อวยพรให้ท่านทั้งหลายทุกคนที่ทำหน้าที่เป็นครู จงได้ทำตนให้เต็มตามความหมายของคำว่าครู ผู้เปิดประตูทางวิญญาณ แล้วก็มีความก้าวหน้าในการงาน ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นที่พอใจอยู่ มีความสุขอยู่ ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ